ทางการรัฐ California กำลังทบทวนแผนยุติการห้ามขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในภายในปี 2035 แม้ยังคงสู้กับรัฐบาลประธานาธิบดี Trump อย่างแข็งขันเรื่องสิทธิในการกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรัฐตนเอง ภายใต้กฎหมาย Clean Air Act ของรัฐ California เคยเป็นผู้นำด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศ และกฎเข้มงวดของรัฐเคยถูกใช้เป็นแม่แบบโดยรัฐอื่นที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากข้อบังคับเดิมถูกปัดตกโดยรัฐบาลกลางเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐได้ส่งสัญญาณว่าการกำหนดให้รถใหม่ทั้งหมดเป็นขุมพลังไฟฟ้าล้วน (BEV-only) ภายในปี 2035 อาจไม่ใช่แนวทางที่ปฏิบัติได้จริงอีกต่อไป ปัจจัยสำคัญมาจากราคารถ BEV ที่ยังสูงลิ่ว รวมไปถึงแคมเปญด้านภาษีที่ลดลงและโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จที่ยังไม่เพียงพอ 

 

ด้วยเหตุนี้ California จึงเดินหน้ากระบวนการปรับปรุงกฎใหม่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าให้มาตรฐานการปล่อยมลพิษเวอร์ชั่นปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2027 สำหรับใช้กับรถรุ่นปี 2031 เป็นต้นไป Lauren Sanchez ประธานคนใหม่ของ California Air Resources Board (CARB) ระบุว่าการบังคับให้ขายเฉพาะรถ BEV ภายในปี 2035 จะเป็นประเด็นถกเถียงเข้มข้นในการออกกฎครั้งนี้

ในขณะเดียวกัน รัฐ California ก็กำลังฟ้องรัฐบาล Trump จากความพยายามเพิกถอนสิทธิของรัฐในการออกมาตรฐานมลพิษที่เข้มงวดกว่า โดยมีอัยการสูงสุดจากหลายรัฐร่วมสนับสนุนข้อกล่าวหา CARB ยอมรับว่ารัฐไม่สามารถบังคับใช้กฎเดิมได้ในขณะนี้ 

 

ในส่วนของรัฐอื่น ๆ เช่น Maryland Washington และ Vermont ก็ได้ชะลอการบังคับใช้เป้าหมายยอดขายรถ BEV เช่นเดียวกัน พร้อมทบทวนแนวทางใหม่ตามสถานการณ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและต้นทุนทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค Sanchez กล่าวว่า “การเลิกขายรถน้ำมันปี 2035 ยังคงเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานมาก ขณะที่รัฐยังมีโอกาสคิดทบทวนว่าควรตั้งเป้าใหม่อย่างไรต่อไป”

ถึงแม้ทิศทางของนโยบายรถ BEV ของ California ยังคงมุ่งหน้าสู่การลดการปล่อยมลพิษในระยะยาว แต่สภาวะปัจจุบันบ่งชี้ว่าในปี 2035 ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงขับรถน้ำมันอยู่ ถึงแม้บางรัฐที่ยึดถือนโยบายนี้ ในท้ายที่สุดแล้วสหรัฐก็ยังต้องเผชิญข้อจำกัดที่แท้จริงของกลไกตลาดและเทคโนโลยี

ที่มา: Axios