Mercedes-Benz เปิดตัว GLB รุ่นใหม่ โดยในช่วงแรกจะวางจำหน่ายเฉพาะรุ่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนก่อนขณะที่รุ่นขุมพลัง Hybrid จะตามมาในลำดับถัดไป ถึงแม้จะยังคงเอกลักษณ์ตัวถังทรงเหลี่ยมแบบเดิม แต่ดีไซน์ภายนอก–ภายในได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ รวมถึงพื้นที่โดยสารที่รองรับได้ถึง 7 ที่นั่งและเทคโนโลยี Superscreen ใหม่ที่ยกระดับภาพลักษณ์และการใช้งานให้ทันสมัยขึ้น ครบครันทั้งความอเนกประสงค์ สะดวกสบาย และพร้อมรองรับการใช้งานแบบครอบครัวได้อย่างแท้จริง
ไฮไลต์หลักของรุ่นใหม่ GLB อยู่ที่การออกแบบอย่างชาญฉลาดให้มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับผู้โดยสารสูงสุดถึง 7 คน พร้อมดีไซน์สไตล์ Off-road ที่โดดเด่นควบคู่กับฟังก์ชันใช้งานจริงภายในห้องโดยสารที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดที่ติดตั้ง Superscreen ดีไซน์ล้ำยุค รุ่นใหม่นี้ให้ทั้งความมั่นใจ ความสง่างาม และภาพลักษณ์ที่มีคาแร็กเตอร์เฉพาะตัว โดย Mercedes มองว่า GLB คือเพื่อนคู่ใจที่ “พร้อมขับออกไปได้ทันที” ด้วยอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรและระบบช่วยเหลือที่ทำงานโดยสัญชาตญาณของผู้ขับ
หัวใจสำคัญที่สุดคือระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชันที่ 4 ที่ขับเคลื่อนด้วย MB.OS ใหม่ทั้งหมด ซึ่งรองรับการอัปเดต OTA เชื่อมต่อ Cloud อัจฉริยะของ Mercedes และให้ประสบการณ์ UI ที่ล้ำสมัยด้วย Superscreen ขนาดใหญ่ พร้อมอินเทอร์เฟซ Zero Layer แบบใหม่ที่จัดวางข้อมูลให้เข้าถึงง่าย รองรับการเคลื่อนไหวแบบสมาร์ทโฟน เช่น การจัดกลุ่มแอปหรือเลื่อนกลับหน้าเดิม รวมถึงผู้ช่วยเสมือน MBUX เวอร์ชันใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีจาก ChatGPT-4o Microsoft Bing และ Google Gemini เพื่อให้การสนทนากับระบบเป็นธรรมชาติและมีความฉลาดเข้าใจผู้ใช้มากขึ้น พร้อมระบบนำทางใหม่ที่พัฒนาโดยใช้ Google Maps เพื่อให้การนำทางและแนะนำจุดหมายมีความแม่นยำสูงสุด
ในด้านพื้นที่ใช้สอย GLB ใหม่ให้พื้นที่ศีรษะเพิ่มขึ้นสำหรับสองแถวหน้า รวมทั้งพื้นที่วางขาที่มากขึ้น เบาะนั่งแถวสองให้ความสบายที่ดีขึ้น เช่น การรองรับต้นขาที่ยาวกว่าเดิม GLB ใหม่ยังเป็นรุ่นที่มี frunk ขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ด้วยความจุ 127 ลิตรเพียงพอสำหรับสัมภาระชิ้นใหญ่ ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังสูงสุดอยู่ที่ 1,715 ลิตรเมื่อพับเบาะทั้งหมด รองรับการเดินทางทุกรูปแบบ
GLB เปิดตัว 2 รุ่นย่อย ได้แก่ GLB 250+ และ GLB 350 4Matic ซึ่งทั้งคู่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 85 kWh พร้อมสถาปัตยกรรมไฟฟ้า 800 V ช่วยให้การชาร์จไวขึ้นถึง โดยภายในเวลา 10 นาที สามารถวิ่งได้ไกลสุด 260 กม. โดยรุ่น 250+ มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยวติดตั้งที่เพลาล้อคู่หลังให้พละกำลังสูงสุด 272 แรงม้า (PS) ระยะทางวิ่งสูงสุดทำได้มากถึง 631 กม. (มาตรฐาน WLTP) ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในเซกเมนต์
ขณะที่รุ่น 350 4Matic มาพร้อมมอเตอร์คู่แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งให้พละกำลังรวม 354 แรงม้า (PS) ทั้งนี้ Mercedes ยังเตรียมเพิ่มรุ่นไฟฟ้าระดับเริ่มต้นและรุ่นขุมพลัง Hybrid ตามมาในอนาคตอันใกล้
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง GLB เวอร์ชัน 4MATIC ยังรองรับการลุยเส้นทางทุรกันดารได้ด้วยโหมด TERRAIN MODE ที่ปรับระบบขับเคลื่อน พวงมาลัย และเบรกให้เหมาะกับเส้นทางแบบลูกรัง รวมถึงฟีเจอร์ “Transparent Bonnet” ที่ให้ภาพจำลองใต้ท้องรถ ทำให้ขับผ่านพื้นที่ขรุขระได้ปลอดภัยขึ้น ที่สำคัญคือสามารถลากจูงได้สูงสุดถึง 2 ตัน เหมาะกับคาราวาน และรองรับน้ำหนักบาร์ลากได้ 100 กก. สำหรับพาหนะเสริม เช่น รถ e-bike
ระบบกันสะเทือนแบบ Adaptive Damping ที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับได้ระหว่าง Comfort หรือ Sport ส่วนห้องโดยสารรองรับการติดตั้งที่นั่งเด็กมากถึงสี่ตำแหน่งในสองแถวหลัง ซึ่งเป็นจุดเด่นที่รถในกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ทุกรายละเอียดถูกออกแบบเพื่อให้เป็น SUV ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับครอบครัวที่สุดรุ่นหนึ่งของแบรนด์
ความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ GLB ใหม่มาพร้อมชุดระบบความปลอดภัยและผู้ช่วยขับขี่ MB.DRIVE ที่อัปเกรดใหม่ทั้งหมด โดยติดตั้งกล้อง 8 ตัว เรดาร์ 5 ตัว เซนเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงที่รองรับการอัปเดต OTA นอกจากนี้ Mercedes ยังออกแบบให้ GLB รองรับการเดินทางไกลอย่างแท้จริงด้วยระยะทางวิ่งกว่า 600 กม. เหมาะสำหรับการเดินทางระหว่างเมืองใหญ่ทั้งในยุโรป จีน หรือสหรัฐฯ โดยไม่ต้องหยุดชาร์จระหว่างทาง
GLB ขุมพลังไฟฟ้าใหม่จะเปิดให้สั่งซื้อในเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2025 โดย GLB 250+ เริ่มต้นที่ 59,048 ยูโร (2,190,326 บาท) และ GLB 350 4Matic เริ่มต้นที่ 62,178 ยูโร (2,306,430 บาท) นอกจากความคุ้มค่าแล้ว Mercedes ยังเน้นการใช้งานจริง โดย GLB มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่งเหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ หรือจะพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่ขนของก็ทำได้ง่ายด้วยเบาะแถวสองที่ปรับเลื่อนได้
ที่มา: Mercedes-Benz
