งาน Bangkok International Motor Show 2021 (BIMS ครั้งที่ 42)

ระยะเวลาการจัดงานสำหรับบุคคลทั่วไป – ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม จนถึง 4 เมษายน 2021   Impact Challenger เมืองทองธานี

เวลาจัดงาน

วันธรรมดา 12.00 น. – 22.00 น.

วันเสาร-อาทิตย์ 11.00 น. – 22.00 น.

*โปรดเตรียมเวลาสำหรับการเข้าชมงานภายใต้มาตรการความปลอดภัยจาก COVID-19

  • โปรดใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ภายในงาน
  • โปรดเตรียมสมาร์ทโฟนที่สามารถอ่านและสแกน QR Code ไทยชนะก่อนเข้ายังอาคาร
  • พื้นที่ในแต่ละบูธ จะมีการจำกัดจำนวนคนต่อพื้นที่ จำกัดการเข้าชม 4 ตารางเมตร/คน = ประมาณ 27,000 คนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ASTON MARTIN

MGC Asia : Master Group Corporation ร่วมฉลองการเข้าสังเวียน Formula 1 ของทางค่าย ภายใต้ชื่อทีม Aston Martin Cognizant Formula One Team ด้วยรถรุ่น Vantage ที่ตกแต่งในธีมสีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ “Aston Martin Green Livery” ซึ่งเป็นสไตล์เดียวกับที่อยู่บนรถแข่ง AMR21 ของทางทีม เครื่องยนต์ของ Vantage รุ่นนี้ เป็นแบบ V8 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ซุกหอยกลางวี ซึ่งมีพละกำลัง 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 685 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุด 314 กม./ชม. ส่วนใครที่ติดตามวงการ F1 ก็เตรียมรอดูผลงานของทีมฯ ได้ ที่รายการแข่งบาห์เรน 28 มีนาคมนี้ ภายใต้อุ้งเท้าอุ้งมือของนักขับอย่าง Sebastian Vettel และ Lance Stroll

นอกจากนี้ ในบูธยังมี “SUV รุ่นแรกของ Aston” อย่างเจ้า DBX ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตรเทอร์โบคู่ที่ให้กำลังรวม 550 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700Nm ตัวถังมีน้ำหนัก 2,245 กิโลกรัม ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 291 กม./ชม. และ Aston Martin DBS Superleggera สูงสุดแห่งห่วงโซ่นักล่าของค่าย ซึ่งมาพร้อมกับเครื่อง 5.2 ลิตร V12 พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ 725 แรงม้า ราคาเริ่มต้นที่ 28,900,000 บาท


AUDI

แผนการรุกตลาดของ Audi Thailand หลังจากปักเท้าลงพื้นได้มั่นแล้วก็ถึงเวลาวิ่งอย่างเต็มสปีด ช่วงเวลานับตั้งแต่ Motor Expo 2020 จนถึงในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งนี้ เพียงแค่ไตรมาสเดียว Audi ลุยเปิดตัวรถแบบสาวหมัดไม่ยั้งทั้งไลน์อัพปกติและรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง RS Car จนอยากจะถามว่าพี่หลับกันวันละกี่ชั่วโมง และรถเหล่านั้นก็นำมาโชว์ในงานนี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • Audi TT Coupe และ Roadster เวอร์ชั่นอัปเดต MY2021 ราคา 3,399,000-3,699,000 บาท เทียบกับเวอร์ชั่นก่อนโดยสรุปคือ เพิ่มเงินแสนเดียว ได้ม้าเพิ่มเป็น 245 ตัว เกียร์เดิมมี 6 จังหวะ ไม่มากพอก็เพิ่มให้เป็น 7 จังหวะ ล้อเดิมไม่สวย พี่เปลี่ยนให้เป็นขอบ 18 แล้วก็เพิ่ม Cruise Control และชุดมัลติมีเดียรองรับ Apple CarPlay/Android Auto มาให้ เพื่อสร้างตัวรถที่ลูกค้าเห็นแล้วตัดสินใจง่ายขึ้น พยายามที่จะเป็น “Compact Performance Car ที่คุ้มค่าตัวสุดใน Segment” ต่อไป
  • Audi RS Q3 Sportback เล็ก..น่ารัก..แต่ตบทีคอหมุนได้รอบ ด้วยพลัง 5 สูบที่สืบทอดตำนานจาก Original Quattro Coupe พัฒนาจนมีกำลังถึง 400 แรงม้า อยู่ในเรือนร่างครอสโอเวอร์แบบท้ายลาดหลังคาเตี้ยใต้ท้องสูง ราคา 4,750,000 บาท
  • Audi Q3/Q3 Sportback เวอร์ชั่น 40TFSI Quattro หลังจากที่ก่อน COVID-19 attack มีการเปิดตัวมา แล้วมีพลังแค่ 1.4 ลิตรเทอร์โบ 150 แรงม้า ซึ่งยังสู้คู่แข่งไม่ได้ ก็เลยเป็นที่มาของเวอร์ชั่น 2.0 ลิตรเทอร์โบขับสี่ 180 แรงม้า ให้อัตราเร่งที่สนุกสนานขึ้นสำหรับคนที่อยากได้แรง แต่ยังไม่พร้อมเล่นของแพงอย่าง RS Q3 ราคาค่าตัวอยู่ที่ 2,750,000-2,990,000 บาท
  • Audi RS 5 Coupe จากการที่ RS 4 Avant มีกระแสตอบรับที่ดีมาก Audi Thailand จึงรีบเอา RS 5 มาสานต่อด้วยราคา 5,990,000 บาท เป็นรถคู่แข่งกับ M4 และ C63 มาตั้งแต่ชาติปางก่อน แม้ว่าคู่แข่งเขาจะขายรถเวอร์ชั่นแรง ที่มีม้าทะลุ 500 ตัวกันในขณะที่ Audi มี 450 แรงม้า ทว่าค่าตัวที่ถูกกว่ากันถึงราว 4 ล้านบาท แต่ได้รถคลาสเท่ากัน นั่นคือไม้ตายของสี่ห่วง
  • Audi e-tron GT รถยนต์ไฟฟ้าทรงเพรียวที่พูดง่ายๆก็คือ Porsche Taycan 4S ที่แต่งหน้าทาปากให้ต่างกันแล้วขายในชื่อ Audi นั่นเอง คุณได้พละกำลังสูงสุดใน Boost Mode 530 แรงม้า ช่วงล่าง Adaptive ล้อ 20 นิ้ว หลังคา Panoramic ในราคา 6,390,000 บาท ส่วน e-tron GT Quattro Performance จะเพิ่มเป็น 6,790,000 บาท แต่ได้เบรกเคลือบทังสเตนคาร์ไบด์ (ประมาณเบรก PSCB ของ Porsche) ระบบชาร์จไฟ AC รองรับการถ่ายไฟจาก 11 เป็น 22kW และล้อ 21 นิ้ว
  • Audi RS e-tron GT ราคา 9,490,000 บาท ใช้ขุมพลังมอเตอร์หน้า/หลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ให้พละกำลังรวม 646 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ภายใน 3.3 วินาที
  • Audi Q5 Minorchange ซึ่งในครั้งนี้ทาง Audi Thailand นำเข้ามาจำหน่ายรุ่นย่อยเดียวคือ 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงขุมพลังจากรุ่นเดิม 252 แรงม้า เป็น 249 แรงม้า พร้อมมอเตอร์ช่วยเสริมแบบ Mild-Hybrid 48V มาพร้อมชุดแต่ง Black Edition รอบคัน ช่วงล่างแบบปรับความหนืดโช้คอัพด้วยไฟฟ้า และสีใหม่ Ultra Blue มาในราคาสุดคุ้มค่าเพียง 3,990,000 บาท พร้อมแคมเปญพิเศษ ดอกเบีย 0 % 3 ปี ไม่มีบอลลูน

เฉลี่ยแล้วทุกๆเดือน Audi จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 3 รุ่น แสดงถึงสัญญาณพร้อมลุย พร้อมกันนี้ยังประกาศรับพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมบริการได้เป็นวงกว้างขึ้น ใครอยากจะเป็นผู้แทนจำหน่าย ลองสะกิดไปที่เพจ Audi Thailand ได้ครับ

โปรโมชั่น/ข้อเสนอพิเศษในงานของ Audi คลิกที่นี่


BENTLEY

ทาง Bentley Bangkok โดย AAS Auto Service นำ Bentley Continental GT V8 มาเผยโฉมในงานนี้ (รุ่นก่อนหน้าที่เปิดตัวไปจะเป็นเครื่องยนต์ W12) ซึ่งการใช้เครื่องยนต์ V8 นั้นแม้จะมีพละกำลังน้อยกว่า แต่ก็ได้เปรียบที่ความเบาของตัวเครื่องยนต์ ทำให้บุคลิกการขับของรถมีความคล่องแคล่วในขณะที่รุ่น W12 จะเป็นสิงห์ทางยาวมากกว่า โดยเครื่องยนต์รุ่น GT V8 นี้ จะมีความจุ 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ที่ให้พลัง 542 แรงม้า แรงบิด 770 นิวตันเมตร ภายในหรูหราด้วยหนังและวัสดุตกแต่งที่เจ้าของรถสามารถเลือก Combination ได้หลายแบบ ประณีตด้วยการประกอบด้วยมือ “Handbuilt in Crewe, England” และมาพร้อมกับไฟหน้าที่ตกแต่งด้วยคริสตัลของแท้ และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว

Bentley Bangkok จำหน่าย Continental GT V8 ทั้งรุ่นหลังคาแข็งคูเป้ ราคาเริ่มต้นที่ 16.99 ล้านบาท และรุ่นเปิดประทุนหลังคาผ้าใบไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 18.5 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในบูธยังมีรถรุ่น Flying Spur แกรนด์ ทัวเรอร์ 4 ประตู ใช้ขุมพลังบล็อก W12 สูบ ความจุ 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ  พละกำลังที่ 635 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร เห็นมาดรถยักษ์อัครยนต์หนักสองตันกว่าแบบนี้ แต่ทำความเร็วที่ 0-100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงในเวลา 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 18.6 ล้านบาท


BMW/MINI

BMW ในชั่วโมงนี้ หลังจากปิดท้ายปี 2020 ด้วยการเป็นแชมป์ยอดขายตลาดรถระดับพรีเมียม ก็ดูจะพร้อมลุยราวกับนักกีฬาได้ดื่มน้ำอุทัยสูตรชะมดเช็ดที่เตรียมไปต่อไม่รอใคร ในช่วงไตรมาสแรกของปีจนถึงในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ มีการเปิดตัวรถไปหลายรุ่น อาทิ

  • BMW 5 Series LCI ปรับโฉม ปรับรายละเอียด ราคาเริ่มต้นสามล้านทอนพันบาทใน 530 e ELITE และรุ่น 520d M Sport ขวัญใจนักธุรกิจขับทางไกลราคา 3,539,000 บาท แต่ที่เด็ดสุดคือ 530e M Sport ซึ่งนอกจากจะปรับราคาถูกลงเหลือ 3,739,000 แล้ว ยังเพิ่มอุปกรณ์ไม่ยั้ง เปลี่ยนช่วงล่างเป็นแบบ Adaptive พร้อม Cruise Control แบบ Adaptive เช่นกัน แรงเครื่องก็พร้อมถีบด้วยการอัปพลังตาม 330e จาก 252 เป็น 292 แรงม้า แล้วยังเพิ่มระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน Driving Assistant และระบบเลี้ยว 4 ล้อเข้าไปอีก ปิดจุดด้อยเดิม เพิ่มพลัง ลดราคา ขายไม่ได้ก็แปลกละครับ
  • BMW 330 Li M Sport ซีรีส์ 3 ก็จริง แต่ปรับฐานล้อและตัวรถจนยาวน้องๆ ซีรีส์ 5 ทำไปทำมา พื้นที่วางขายาวกว่ารุ่นพี่ได้อย่างเหลือเชื่อ เสนอจุดเด่นที่การใช้เครื่องเบนซินเทอร์โบเพียว ไร้ถ่านไร้มอเตอร์ สำหรับบางคนที่ยังไม่ชอบรถ Plug-in ซึ่งก็ให้พลังระดับ 258 แรงม้า อุปกรณ์อาจจะขาดบางตัวแต่มีหลังคา Panoramic มาให้ ที่สำคัญคือ เป็นรถที่อุดช่องว่างทางการตลาดเดิม สำหรับคนที่ชอบรถนั่งสบายแต่ไม่อยากจ่ายข้ามสามล้าน (เดิมมี 320d GT ทำตลาดตรงนี้อยู่) ด้วยราคาแค่ 2,899,000 บาท เท่านั้น
  • BMW 3 Series MY2021 แม้จะไม่ได้ปรับเรื่องทางเทคนิคมาก แต่รุ่น 320d M Sport ก็ได้แพดเดิ้ลชิฟท์ จอ HUD ที่ชาร์จ Wireless และ Gesture Control เพิ่ม ในราคา 2,549,000 บาทเท่าเดิม ส่วน 330e เปลี่ยนระบบ Cruise Control เป็น Adaptive ให้ ในราคาเดิม 2,799,000 บาท เช่นกัน
  • BMW M340i xDrive ตลาดรถยุโรปสมรรถนะสูง คือส่วนที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID หลังจากที่ปล่อยให้ค่ายดาวสามแฉกกินตลาดเซกเมนต์นี้ด้วย C 43 4 MATIC มาหลายปี ในที่สุด BMW ก็เปิดตัว M 340i พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive พลังเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตรเทอร์โบ 387 แรงม้า บล็อคเดียวกับ Z4 M40i/Supra ล็อตปรับพลัง แต่อยู่ในบอดี้ที่ซ่อนเขี้ยว ดูเผินๆนึกว่า 320d แต่ง กลายเป็น Sleeper หรู คุ้ม 3,999,000 บาท โดยออพชั่นครบครัน ไฟหน้าเลเซอร์ คาลิเปอร์ M หลังคามูนรูฟ ไม่ได้ตัดออพชั่นอย่างที่มีข่าวลือปีก่อน มาพบกันได้ในงานนี้ หรือไม่ก็ที่ประชาชื่นคืนวันเสาร์ในเร็ววัน
  • BMW M4 Competition Coupe สำหรับคนที่คิดว่า M340i ยังไม่พอ ก็ต้องย้ายไปอยู่ M Town กับ M4 ซึ่งทาง BMW Thailand สั่งมาเป็นสเป็ค Competition ตัวแรงสุด 510 แรงม้า/650 นิวตันเมตร แรงกว่า M340i เห็นๆ แต่ยังคงถ่ายทอดความมันส์ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบดั้งเดิม เตะเกียร์คลัตช์คู่ทิ้ง แล้วใช้เกียร์อัตโนมัติทอร์คคอนเวอร์เตอร์/ชุดเฟืองแบบดั้งเดิมที่จูนโดย M Division ภายในคล้าย 3 Series แต่ได้หน้าปัด TFT แบบเฉพาะของ M Car รวมถึงเบาะบัคเก็ตซีทที่แนะนำว่าลองไปดูหน้าตาของเบาะแล้วจะชอบ ราคาตั้งขายไว้ที่ 9,999,000 บาท หรือเท่ากับ ซื้อ M340i+530e ตัวท้อป+X1 sDrive18i แค่นั้นเอง

นอกจากนี้ ยังมีรถกลุ่มปกติที่ถูกนำมาตกแต่งด้วยอุปกรณ์ M Performance Parts แล้วตั้งราคาขายอย่างเป็นทางการ อย่างเช่น X3 xDrive20d M Performance Edition  และ X4 xDrive20d M Performance Edition ซึ่งมีล้อขนาด 21 นิ้ว ชุดแต่ง M Aerodynamics รอบคัน และอื่นๆ พร้อมคาดสติกเกอร์ Tri-color ด้านข้าง ราคาเพิ่มจากรุ่นปกติ 200,000 บาท และปิดท้ายด้วย 330e M Sport M Performance Edition ที่มีชุดแต่งคาร์บอน และกระจังหน้าเรืองแสงเพิ่มเติมเข้ามา สนนราคา 2,999,000 บาท แต่ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 15 คันเท่านั้น

โปรโมชั่น/ข้อเสนอพิเศษในงานของ BMW คลิกที่นี่

ในฝั่งของ MINI นั้น มีการนำเอารุ่น MINI JCW GP Inspired Edition มาโชว์ ซึ่งรถรุ่นนี้ ทางไทยได้โควต้าเพียงแค่ 19 คันเท่านั้น เครื่องยนต์สเป็คเดียวกับ JCW Hatch3 2.0 ลิตรเทอร์โบ 231 แรงม้า  สีเทา Racing Grey Metallic พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งเฉพาะรุ่น ในราคา 3,448,000 บาท แพงขึ้นกว่ารุ่น JCW ปกติประมาณ 30,000 บาท

แต่ดาวเด่นของบูธ ที่มาเซอร์ไพรส์แบบไม่มีข่าวหลุดมาก่อนหน้านี้เลยก็คือ MINI Cooper S “Paddy Hopkirk Edition” ซึ่งเป็นรถรุ่นพิเศษ สร้างขึ้นมาโดยแรงบันดาลใจจากการที่นักแข่งชาวไอร์แลนด์เหนือ “Paddy” Patrick Hopkirk หวด MINI Cooper รุ่นคลาสสิค ล้มยักษ์ แซงรถใหญ่ที่มีพลังสูงกว่า และชนะรายการแข่ง Monte Carlo ปี 1964 ด้วยรถแข่งหมายเลข 37 ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ Cooper S Paddy Hopkirk Edition รุ่นใหม่ จะมาพร้อมตัวถังตกแต่งสีแดงคาดขาว แถมยังมีสปอตไลท์ที่ด้านหน้ารถเหมือนรถแข่งในอดีต คาดสติกเกอร์หมายเลข 37 ข้างตัวรถอีกด้วย

ขุมพลัง เป็นแบบเดียวกับ Cooper S รุ่นปกติ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 192 แรงม้า แต่ความเด็ดอยู่ที่การใช้เกียร์ธรรมดา ถอนเท้าคลัตช์จับเหยียบสับเอาเอง ซึ่ง MINI ในไทยไม่มีรถเกียร์ธรรมดาจำหน่ายมานานกว่า 15 ปีแล้ว (ครั้งสุดท้ายคือรุ่น R53 Supercharge 6 เกียร์) ราคาเปิดมา 2,910,000 บาท แต่เฉพาะในงานนี้ ลดเหลือ 2,555,000 บาท แต่รีบหน่อยเพราะมีจำนวนจำกัดแค่ 37 คันเท่านั้น

โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษของ MINI คลิกที่นี่


FORD

ยังคงยืนหยัดด้วยรถปิคอัพ Ranger และ SUV พื้นฐานกระบะอย่าง Everest เหมือนเดิม แต่คราวนี้ ยังมีรุ่นย่อยใหม่ถูกใจขาลุยอย่าง Ford Ranger FX4 MAX มากระตุ้นตลาดในช่วงท้ายอายุโมเดล FX4 MAX หรือที่สื่อมวลชนพร้อมใจขนานนามว่า “Baby Raptor” นั้น เกิดจากความต้องการสร้างรถที่ลุยได้น้องๆ Raptor แต่ใช้ช่วงล่างหลังแหนบแบบรถกระบะทั่วไปเพื่อให้ราคาไม่ดีดแบบ Raptor ตัวแม่ Ford ใช้ตัวรถพื้นฐานจากรุ่น XLT แต่นำมาใส่เครื่องยนต์ Panther 2.0 ลิตร Bi-Turbo 213 แรงม้า เกียร์ 10 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจากรุ่น Wildtrak เข้าไป ยกความสูงของรถขึ้นจากรุ่น XLT 20 มิลลิเมตร เซ็ตสปริง แหนบใหม่ และเปลี่ยนโช้คอัพเป็น FOX 2.0 มีซับแทงก์ที่โช้คหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้จะแตกต่างจากเซ็ตอัพที่ใช้อยู่ใน Raptor ตัวแม่

นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนยางเป็น All Terrain ของ BF Goodrich KO2 ซึ่ง Ford สั่งสเป็คมาให้ทนความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้น ล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้วลายเฉพาะรุ่น และยังมีช่องต่อใช้ไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ออฟโรดพร้อมกล่องฟิวส์/สวิตช์แยก เพื่อให้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ออฟโรดที่ใช้ไฟฟ้าเช่นเครื่องกว้าน เพิ่มเติมได้โดยไม่ยุ่งกับระบบไฟฟ้าหลักของรถ ลดการเสี่ยงวารันตีสะบั้น

ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,189,000 บาท ซึ่งถูกกว่ารุ่น Wildtrak เสียอีก แต่ Ford มองว่ารถสองรุ่นย่อยนี้มีกลุ่มลูกค้าที่ต่างกัน ขาลุยตัวจริงจะไปทาง FX4 Max ส่วน Wildtrak จะเป็นชาวถนนยางมะตอยที่เน้นอุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีระบบ Adaptive Cruise Control และระบบเบรกอัตโนมัติ

โปรโมชั่นและข้อเสนอจาก Ford ในงาน คลิกที่นี่


GREAT WALL MOTOR

จัดบูธได้บรรยากาศเหมือนงาน TECH EXPO ที่พบได้ในเมืองนอก กินพื้นที่บูธโตเท่าค่ายรถทั่วไป 2-3 ค่ายรวมกัน แต่มาเพื่อ “แนะนำตัว” ให้คนไทยได้รู้จักเท่านั้น ไม่ได้มีการขาย ไม่ได้เปิดรับจองแต่อย่างใด และกรุณาอย่าถามราคารถแต่ละรุ่นเพราะยังไม่มีการประกาศจนกว่าจะเข้าช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ทางจีนดูซีเรียสมากกับการเปิดตัวแบรนด์ในลักษณะเปิดที่ไทย แต่โลกต้องรู้ ว่าแล้วก็เลยได้ที เผยโฉมรถ SUV/Crossover “HAVAL H6 Hybrid” ก่อนเมืองจีน และเป็นแห่งแรกในโลก แถมยังเป็นรถพวงมาลัยขวาอีกต่างหาก H6 Hybrid ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรเทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พลังรวมสูงสุด 243 แรงม้า แรงบิด 530 นิวตันเมตร นอกจากพลังสูงแล้ว ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์ด้าน IT อัดแน่นเต็มคันรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ Autonomous Drive ระบบกล้องรอบคันที่ทำให้รถมีฟังก์ชั่นจอดอัตโนมัติ ระบบเบี่ยงรถให้ห่างจากสิบล้อมอเตอร์เวย์โดยอัตโนมัติ หรือขับรถหลงเข้าซอยตัน รถก็ยังสามารถจำระยะ 50 เมตรสุดท้ายไว้ แล้วให้เรากดปุ่มสั่งรถให้ถอย บิดพวงมาลัย รูดกลับทางเดิมได้เอง เหมือนระบบ Reverse Assistant ของ BMW (แต่ 50 เมตรสุดท้ายนั้นจะต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 30)

นอกจากการเผยโฉมของ H6 แล้ว Great Wall Motor ยังขนรถรุ่นอื่นๆมาโชว์ด้วย

  • Haval Concept H เปิดตัวเป็นครั้งแรกของโลกที่งาน Auto Car 2020 ที่ประเทศอินเดีย เปรียบเสมือนรถที่ใช้วิจัยด้านดีไซน์ก่อนจะมาเป็น H6 ภายในตัวรถเต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบอินโฟเทนเมนต์ หน้าจอสัมผัสแบบ Free Standing และ Touch Pad ด้านหน้าและบริเวณประตูสำหรับการควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานและระบบความปลอดภัยต่างๆ
  • ORA Good Cat เจ้าแมวใหญ่ใจดี เป็นที่ชื่นชอบของคนที่ได้พบตัวจริง ด้วยดีไซน์แบบ Retro Futuristic จะเก่าก็ไม่เก่าจะใหม่ก็ไม่ใหม่ แต่ดันน่ารัก ใช้พลังขับจากมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นรถ EV พลัง 140 แรงม้าที่มีความจุไฟฟ้า/พิสัยทำการ 2 ระดับคือ 400 หรือ 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม ในด้านอุปกรณ์ก็มาเพียบด้วยไฟหน้าแบบ Intelligent Multi LED และพาโนรามิคซันรูฟ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะมากมาย หรือ Intelligent Connectivity ไม่ว่าจะเป็นการสั่งการด้วยเสียง รวมไปถึงการควบคุมรถจากระยะไกล ภายในรถบุหนัง แดชบอร์ดตอนบนใช้วัสดุนุ่ม เบาะนุ่มแบบรถใหญ่ ปรับด้วยไฟฟ้า จอ TFT สีคาดยาวจากตรงกลางคอนโซลเป็นชิ้นเดียวกับหน้าปัด
  • ORA Black Cat  เจ้าแมวเล็กตาแป๋ว ที่เปิดตัวในตลาดจีนมาได้สักพักแล้ว ขนาดตัวรถจัดเป็นรถเล็กใกล้เคียง Suzuki Celerio แต่ใช้พลังไฟฟ้าล้วน เมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม สามารถวิ่งได้ไกล 300 กิโลเมตร แต่จะเน้นการใช้งานในเมือง เพราะความเร็วสูงสุดตามสเป็คจีนอยู่ที่แค่ 102 กม./ชม. ดีไซน์ภายนอก เป็นแบบ Classic Nostalgic/Futuristic เข้าไว้ด้วยกัน จอมัลติมีเดีย ขนาด 9 นิ้ว เชื่อมต่อระบบการสั่งการด้วยเสียง รวมไปถึงพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น และเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
  • POER EV รถกระบะไฟฟ้าขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ เด่นด้วยฝาท้ายกระบะที่เมื่อเปิดออกแล้ว สามารถกางออกมาเป็นบันไดให้เดินขึ้นไปยกของบนกระบะหลังได้ง่ายขึ้น มาพร้อมกล้อง 360 องศา เซนเซอร์ด้านข้าง และถุงลมนิรภัย 6 จุด มอเตอร์ไฟฟ้า ให้พลัง 204 แรงม้า และสามารถวิ่งได้ไกล 375 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

HONDA

บูธ Honda ในปีนี้ เน้นสไตล์ Minimal เปิดกว้างใช้พื้นที่ให้คุ้ม เพื่อที่จะได้ให้ผู้ชม 1 คนมีพื้นที่การเดินชมรถเยอะขึ้น แต่เดาว่าเข้าวันจริงยังไงก็แน่นอยู่ดี เพราะกระแส City Series แรงแบบเสมอต้นเสมอปลายมานานเป็นปี ดังนั้นรถที่ Honda เน้นโปรโมทในครั้งนี้ ก็ยังคงเป็น City Turbo, City e:HEV และ City Turbo Hatchback เช่นเดิม เลือกเอาว่าอยากได้รถใช้งานราคามาตรฐานตามสไตล์รถ Eco car ที่เคยเป็น B-Segment อย่างรุ่นซีดาน หรือถ้าชอบแนววัยรุ่น เบาะหลังสบายน้อยลงแต่ปรับ พับ จัดพื้นที่ได้อิสระขึ้น ก็ต้องเป็นรุ่น Hatchback ส่วนถ้าใครไม่ประทับใจออพชั่นของสองรุ่นนี้ คุณมีทางเลือกเดียวก็คือ e:HEV RS ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฮบริด 109 แรงม้า ได้ดิสก์เบรกหลัง หน้าปัดแบบใหม่ไฮโซขึ้น ระบบ Auto Brake Hold พร้อมระบบความปลอดภัย Honda SENSING (แม้จะเป็นเวอร์ชั่นที่ระบบ Adaptive Cruise Control ไม่มีฟังก์ชั่น Stop & Go) แต่ราคาก็เพิ่มขึ้นอีก แสนบาทจากรุ่น 1.0RS Sedan คุณต้องวัดใจกันเอา

นอกจากนี้ ภายในบูธ Honda ยังมีรถอีก 7 รุ่นจัดแสดง ได้แก่ Jazz ซึ่งยังอยู่ ขายควบคู่ไปกับ City Hatchback นั่นแหละ Civic และ Civic Hatchback ขวัญใจวัยรุ่นประชาชื่นก็มา นอกจากนั้น ก็มี Accord, HR-V, BR-V และ CR-V นอกจากนี้ ทาง Honda ยังคงอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั่วประเทศได้สัมผัสประสบการณ์การชมบูทออนไลน์แบบ 360 องศาจากที่ใดก็ได้ ผ่านเว็บไซต์ Honda Virtual Experience ที่ virtualexperience.honda.co.th ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ลูกค้าสามารถติดต่อพูดคุยกับเซลส์จากผู้แทนจำหน่ายได้อีกด้วย

โปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษของ Honda จากในงาน คลิกที่นี่ (นอกงาน ก็ยังได้รับสิทธิ์เดียวกัน)


HYUNDAI

H-1 และ Grand Starex เป็นรถทะลวงยอดขายครองพื้นที่บูธ Hyundai อยู่เช่นเคย และ Kona รถยนต์ EV ชื่อน่ารักแต่อัตราเร่งร้าย ก็ยังมีขายอยู่ แต่งานนี้ Hyundai เซอร์ไพรส์ด้วยการนำเอารถ SUV ระดับ Flagship ของค่ายอย่าง Palisade มาโชว์ที่เวทีด้านหลังด้วย นี่คือรถขนาดใหญ่เกินกว่า Santa Fe ขึ้นอีก

เครื่องยนต์ของ Palisade เป็นแบบ V6 ความจุโต “Lambda II GDi” เบนซิน 3.8 ลิตร หัวฉีดตรง 295 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 355 นิวตันเมตรที่ 5,200 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ภายในมีเบาะสำหรับ 7 ที่นั่ง หุ้มด้วยหนัง Nappa โดยแถวสองติดตั้งแบบกัปตัน ซีท นอกจากนี้ บริเวณคอนโซลกลางออกแบบลักษณะ Bridge type คอนโซลหน้ามาพร้อมหน้าจอแบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว พร้อมฟังก์ชั่นแสดงผลหน้าจอบนกระจก Head-Up Display รวมถึงหลังคาแบบ Panoramic

โปรโมชั่น และข้อเสนอพิเศษภายในงานสำหรับ Hyundai คลิกที่นี่


ISUZU

D-Max กระบะพลานุภาพยอดนิยม เป็นพระเอกของบูธ Isuzu มาตลอด ในงานครั้งนี้ นอกจากจะโชว์รถตัวถังปกติ ก็แน่นอนว่าต้องมีเวอร์ชั่นตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นออฟโรดสายแคมปิ้ง หรือโหลดเตี้ยแต่งซิ่งแบบวัยรุ่นสร้างตัว นี่คือความเปลี่ยนแปลงของ Isuzu จากสมัย 20 ปีก่อนที่มายังไงก็ขายอย่างนั้น จนในช่วงหลังมานี้ สนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มวัยลึกขึ้น สายซิ่งก็สนับสนุนการจัดงานแข่งในสนามต่างๆ ส่วนสายหรู Higher income ก็มาจบกับรถอย่าง MU-X

Isuzu MU-X รถตรวจการณ์พลังดีเซล 1.9 และ 3.0 ลิตร ซึ่งพลิกโฉมรอบคัน ต่างจากรถรุ่นเดิมชนิดไม่รู้เลยว่ามีพ่อมีแม่เดียวกัน เลิกใช้ดีไซน์เอาใจวัยกลางคน หันมาหาสัดส่วนที่ดูเป็นวัยรุ่นขึ้น กระจกบานเล็ก ทำให้ส่วนหลังคาของรถดูเตี้ยเหมือนรถเล็กเวลาจอดอยู่เดี่ยวๆ แต่จริงๆแล้วขนาดของตัวใหม่นั้นขยายขึ้นในทุกมิติ ภายในรถแม้จะเห็นเส้นสายแดชบอร์ดแบบ D-Max อยู่ แต่ก็พยายามปรับให้หรูขึ้น หน้าปัดเปลี่ยนใหม่ เล่นแสงสีดิจิตอลให้ทันคู่แข่ง มีการใช้ Ambient Light ตกแต่งบรรยากาศในห้องโดยสาร ที่สำคัญที่สุด Isuzu รุกคืบเอาเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ๆมาใส่มากขึ้น อาทิ ADAS ระบบเตือนสารพัด เตือนตอนถอย เตือนรถในจุดบอด เตือนก่อนชนด้านหน้า อีกทั้งยังมีระบบเบรกอัตโนมัติและ Radar Cruise Control แปรผันความเร็วตามรถคันหน้า พร้อมระบบ Stop & Go ราคาเริ่มต้น 1,109,000 บาท และรุ่นท้อปจบที่ 1,591,000 บาท

โปรโมชั่น และข้อเสนอพิเศษภายในงาน ของ Isuzu คลิกที่นี่


KIA

มาคราวนี้ Kia Grand Carnival รุ่นเดิม ไม่โผล่มาให้เห็นแล้ว เหลือแต่รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Motor Expo 2020 โดยมีราคา 2,144,000-2,459,000 บาท มีจุดเด่นที่รูปทรงภายนอก เปลี่ยนจากมาดเรียบๆไปหาดีไซน์ดุแบบหุ่นยนต์ยักษ์ แต่ภายในนั้นหรูหรา มีเอกลักษณ์บางอย่างที่ดูแล้วนึกถึงรถยุโรป เช่นแผงหน้าปัดเชื่อมต่อฝั่งคนขับกับจอกลาง คันเกียร์แบบโยกถูกเปลี่ยนเป็นสวิตช์สำหรับเปลี่ยนเกียร์แบบหมุนคล้ายกับของ Jaguar แต่ในเรื่องความอเนกประสงค์ก็ยังคงอยู่ จุดชาร์จ USB มีมาให้ในเบาะแถว 1, 2 และ 3 ไม่ต้องแย่งกันชาร์จ ระบบความปลอดภัยเพียบพร้อมทั้งระดับเบสิกอย่างกันลื่น ระบบการทรงตัว ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ระบบ Radar Cruise Control พร้อม Stop & Go และระบบแจ้งเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลน

Kia Grand Carnival ใหม่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร ที่ให้กำลัง 202 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

โปรโมชั่น และข้อเสนอพิเศษในงาน สำหรับ Kia คลิกที่นี่


MASERATI

จากที่ปกติโชว์แต่รถรุ่นเดิมๆอย่าง Quattroporte, Ghibli และ Levante มาหลายงาน คราวนี้มีดาวเด่นกับเขาเสียที ด้วยซูเปอร์คาร์เครื่องวางกลางลำพลังสูงและทรวดทรงที่กินใจชนิดที่เจ้าของ Ferrari ยังแอบเดินมามองอยู่หลายคน นี่คือ Maserati MC20 ซึ่งถ้าหากไม่นับรถเครื่องวางกลางรุ่นโคตรพิเศษผลิตจำนวนน้อยอย่าง MC12 แล้ว เราจะนับได้ว่า MC20 คือรถเครื่องวางกลางลำรุ่นแรกของ Maserati ในรอบเกือบ 40 ปีก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่ยุติการผลิตรุ่น Merak ไปในช่วงกลางยุค 80s ทางค่ายก็หันไปผลิตรถในซีรีส์ Bi-turbo อย่าง 430, 222SR และ Spider ซึ่งทั้งหมดเป็นรถเครื่องวางหน้า

ชื่อของ MC20 มีที่มาเข้าใจง่ายกว่าที่คุณคิด MC ย่อมาจาก Maserati Corse (Corse คือภาษาอิตาเลียน แปลว่าการแข่งรถ) และ 20 ย่อมาจากเลขสองตัวท้ายของปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่มันเปิดตัวได้ในที่สุด หลังจากที่ผุดโครงการมา ว่าจะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 แล้วก็เลื่อนมาเรื่อยๆด้วยพิษเศรษฐกิจโลก MC20 เกิดมาเป็นซูเปอร์คาร์แท้จริง จึงมีบอดี้เตี้ย ใช้ประตูแบบ Butterfly doors  ภายในดู Minimalist มากตามสไตล์รถนักขับตัวจริงมีสิ่งให้กดไม่เยอะ ยกเว้นตรงจอทัชสกรีนตรงกลางที่เป็นศูนย์รวมความบันเทิงต่างๆ

เครื่องยนต์ “Nettuno” ของ MC20 นั้น แม้เมืองนอกจะเคลมว่า “100% Maserati” และผลิตที่โรงงานของ Maserati  แต่มองหน้าก็รู้กันว่าเทคโนโลยีบางส่วน หรือการที่ตัวเครื่อง V6 แต่กาง 90 องศาเหมือน V8 F154 ของ Ferrari นั้น แปลว่าต้องมีเพื่อนมาช่วยซุ่มวิจัยแน่นอน แต่ใครจะสนในเมื่อเครื่องความจุแค่ 3.0 ลิตรนี้สามารถกระแทกม้าออกมาได้ถึง 630 แรงม้า หรือ 210 แรงม้าต่อ 1,000 ซีซี. แรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตร น้ำหนักตัวถังไม่ถึง 1.5 ตันด้วยโครงสร้่างคาร์บอนไฟเบอร์ ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 2.9 วินาที ความเร็วสูงสุดมากกว่า 325 กม./ชม.

ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 21,500,000 บาท


MAZDA

 

งาน Bangkok International Motor Show ครั้งนี้ นับเป็นเวทีแรกในงานโชว์รถสำหรับ Mazda BT-50 กระบะใหม่ของทางค่าย ที่เน้นจุดขายความเป็นรถกระบะ หน้าเหมือนรถเก๋ง เน้นหรูแบบ SUV ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มาจากโรงงานเดียวกับ Isuzu ไลน์ประกอบ D-Max นั่นเอง แม้ว่าเครื่องยนต์กลไก เกียร์ ช่วงล่าง จะเหมือนกับ Isuzu รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล VGS Turbo 1.9 ลิตร 150 แรงม้า และ 3.0 ลิตร 190 แรงม้า แต่หน้าตาของรถที่มีความคล้ายรถเก๋งมากกว่า และในรุ่นย่อยกลางถึงบน จะได้แดชบอร์ดที่แตกต่างจาก Isuzu ชัดเจน ประกอบกับวิธีการจัดวางราคาและอุปกรณ์ที่มีความแตกต่างกันอยู่ ทำให้ BT-50 มีจุดขายของตัวเองได้เหมือนกัน

Mazda BT-50 มีให้เลือกทั้งหมด 3 ตัวถัง ได้แก่ Standard Cab, Freestyle Cab และ Double Cab แบ่งออกเป็นรุ่นย่อยทั้งหมด 14 รุ่น ราคาตั้งแต่ 553,000 ไปจนถึง 1,153,000 บาท

โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษของ Mazda ภายในงาน คลิกที่นี่


MERCEDES-BENZ

ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ ทางเบนซ์เลือกวิธีการจัดบูธใหม่ จากเดิมที่บูธใหญ่โต อลังการงานประติมากรรมเหมือนวิหารเซอุส เห็นได้แม้จะมองจากอีกฟากของ Hall คราวนี้ มาในรูปแบบเรียบง่าย ใช้จอ LED ไฟตกแต่ง และสื่อดิจิตอลต่างๆซึ่งมองจากระยะไกลเหมือนไม่มีอะไร แต่เข้ามาเล่นใกล้ๆแล้วก็มีอะไรให้เพลินได้เหมือนกัน แล้วถ้าจะดูพริตตี้ ไม่ต้องมาบูธนี้ครับ เพราะที่นี่จะมีแต่สุภาพสตรี Digital Guide ซึ่งรอคุณอยู่พร้อม iPad ให้คุณสอบถามข้อมูลได้

ต้องเท้าความกันนิดว่าปี 2020 เสียแชมป์ยอดขายให้กับ BMW เพราะรถตัวเล็กขายดีอย่าง GLA ถูกเลื่อนการเปิดตัวจากที่ตั้งใจไว้ไปหลายเดือน เนื่องจากขั้นตอนวิธีปฏิบัติขององค์กรที่ต้องมีทีมเยอรมันมาตรวจสอบการประกอบและอนุมัติการทำตลาด แต่พอเจอ COVID-19 ก็ส่งคนมาไม่ได้ เมื่อมาได้ และช่วยกันจนเข็น GLA 200 และ A200 ประกอบในออกมาได้ ก็ปลายปีมากแล้ว ไม่ทันต่อการกอบกู้สถานการณ์ ตัวเลขมันไปแล้ว ก็ต้องมาแก้มือใหม่กันในปีนี้ ซึ่งถ้าเราลำดับรถของดาวสามแฉกที่เปิดตัวหลังจากเริ่มปีใหม่เป็นต้นมา ก็มีอยู่หลายรุ่น และทั้งหมดสามารถมาดูได้ที่งานนี้ และยังมีการเปิดตัว E-Class Coupe และ Cabriolet เป็นครั้งแรกในงานนี้อีกด้วย

  • GLS 350d 4MATIC AMG Premium ประกอบในประเทศ ลุยเซกเมนต์ Flagship SUV แข่งกับ BMW X7 6,499,000 บาท ตัดจอ HUD ออกแต่เพิ่มจอให้คนนั่งหลัง 2 จอ ราคาถูกลงกว่าตัวประกอบนอก 2,360,000 บาท เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรดีเซลเทอร์โบ 286 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร
  • E-Class Minorchange ปรับหน้าตาใหม่ให้ดูมีความเป็นวัยรุ่นขึ้น มากับ 2 ขุมพลัง รุ่น E 220 d ปรับราคาเพิ่ม 210,000 บาท แต่ก็ปรับระดับออพชั่นจาก SPORT เป็น AMG SPORT ได้กระจังหน้าลาย Diamond ได้ชุดแต่ง AMG ล้อ 19 นิ้ว ใส่ Keyless-GO และเพิ่ม Blind Spot Monitoring พยายามทำตัวรถให้แข่งกับ 520d M Sport ที่เป็นรถเสี่ยวิ่งไกลมาดสปอร์ตซีดานแบบตรงตัวในราคาที่แทบไม่ต่างกัน ส่วนรุ่น E 300 e นั้น ยันราคาเดิม ในรุ่นท้อปมีออพชั่นบางตัวหายไป เช่น Adaptive Cruise Control กับจานเบรกเจาะรู แต่ได้ระบบ MBUX ใหม่ที่พัฒนามารองรับรถ Plug-in โดยเฉพาะ
  • GLA 35 4 MATIC รถใน Sub brand Mercedes-AMG ที่ประกอบในประเทศ และมีราคาถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยราคาแค่ 3,190,000 บาท แต่ได้ชื่อว่าเป็น Mercedes-AMG และได้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 306 แรงม้าจาก CLA 35 รถทรงน่ารัก ออพชั่นใช้ได้ แรงแบบน้ำหมากแม่ยายกระจาย ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ยกเว้นแต่ถ้าคุณซีเรียสว่า AMG ของแท้ต้องมีลายเซ็นวิศวกรบนเครื่อง ต้องประกอบเยอรมัน ถ้างั้นแนะนำให้เล่นตัวอื่น
  • CLS 220 d AMG Premium พยายามทำราคาบอดี้ CLS ให้คนซื้อหาได้ง่ายขึ้น ถูกลงกว่า CLS 300 d 120,000 บาท แต่แลกกับพลังที่น้อยลง 50 กว่าม้า และออพชั่นอย่าง Adaptive Cruise Control และจานเบรกเจาะรูที่หายไป ระบบมัลติมีเดียในรถ ได้รับการปรับเป็น MBUX 6.0 เหมือน E-Class Minorchange
  • A 200 AMG Dynamic หลังจากที่ประกอบในไปแล้วช่วงปลายปี 2020 รุ่นล่าสุดของปี 2021 เฉพาะตัว AMG Dynamic เพิ่มเบาะไฟฟ้าฝั่งคนนั่ง และใส่ระบบ Memory ตำแหน่งเบาะ 3 ตำแหน่งให้เบาะทั้งคู่ข้างหน้า ในราคา 2,150,000 บาทเท่าเดิม
  • GLE 350de Exclusive Plug-in Hybrid ทำตลาดคู่กันกับ GLE 300 d AMG Dynamic ซึ่งแรงน้อยกว่า ออพชั่นเยอะกว่า ราคาลดจาก 5,190,000 เหลือ 4,699,000 บาท จุดเด่นก็คือขุมพลัง เป็นการกลับมาของ ดีเซล+มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้พลังรวมเท่า E 300 e คือ 320 แรงม้า และ 700 นิวตันเมตร แต่สิ่งที่เด็ดกว่าพวกตระกูล 300 e คือ Mercedes-Benz ยัดแบตเตอรี่ Li-on ความจุมากถึง 31.2 kWh ทำให้สามารถเคลมระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลเกือบ 100 กิโลเมตร

ส่วนรถ 3 รุ่นที่เปิดตัวเปิดราคาในงาน ได้แก่

  • E 200 Coupe’ AMG Dynamic (Facelift) ราคา 4,550,000 บาท เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซิน เทอร์โบ 197 แรงม้า
  • E 200 Cabriolet AMG Dynamic (Facelift) ราคา 5,140,000 บาท ปรับจากเดิมที่เป็นรุ่น E 300 มาเป็น E 200 ใช้เครื่องยนต์ม้าลดลงเหลือ 197 แรงม้า
  • GLB 200 AMG Dynamic ราคา 2,999,000 บาท เป็นรุ่นย่อยใหม่ที่มาเสริมทัพ GLB 200 Progressive ที่ขายมาก่อนหน้า เพิ่มชุดแต่ง AMG รอบคัน ล้ออัลลอย 19 นิ้ว เบาะหน้าแบบสปอร์ต และพวงมาลัยท้ายตัด

โปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษของ Mercedes-Benz ภายในงาน คลิกที่นี่


MG

สำหรับค่ายนี้ มีกระบะ Extender Minorchange เป็นรถใหม่ชูโรง ราคาตั้งแต่ 559,000-1,039,000 บาท ปรับเพิ่มจากรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ประมาณ 10,000 บาท รุ่นท้อป 2.0 GRAND X 4WD 6AT มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 161 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-time พร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน

นอกจากนี้ ในบูธ ก็ยังมี MG EP รถยนต์ไฟฟ้า 5 ที่นั่งราคาต่ำกว่าล้านรุ่นแรกของประเทศ ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนที่ให้พลัง 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุไฟฟ้า 50.3 kWh เมื่อชาร์จเต็มหม้อจะสามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 380 กิโลเมตร และ MG HS PHEV รถ Plug-in Hybrid 5 ที่นั่งที่มีราคาถูกที่สุดไทยขณะนี้ ขุมพลัง 1.5 ลิตรเทอร์โบ 162 แรงม้า บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า MG แจ้งสเป็คว่าได้กำลังขับรวม 284 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 480 นิวตันเมตร อุปกรณ์ครบครันแบบ HS ตัวท้อป เพิ่มภายในสีน้ำเงิน (มีเฉพาะกับสีภายนอกบางสี) และเครื่องเสียง BOSE ราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,359,000 บาท

โปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษ สำหรับ MG ภายในงาน คลิกที่นี่


MITSUBISHI

 

ในปีนี้ทาง Mitsubishi ได้ฉลองครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมการผลิตรถยนต์ครบ 6 ล้านคัน ด้วยรถรุ่นพิเศษ นำเอาสีแดง “Passion Red” เป็นธีมหลัก ซึ่งทาง Mitsubishi ใช้สีนี้บนสัญลักษณ์องค์กร และยังเป็นสีที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นอีกด้วย

ประเดิมกันก่อนที่ Mitsubishi Pajero Sport Passion Red Edition ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 1,299,000-1,603,000 บาท ทุกรุ่นยกเว้นตัวถูกสุด ได้ Wireless Charger สำหรับสมาร์ทโฟนเพิ่ม และมีสี Medium Red ให้เลือกในรุ่น GT-Premium และ GT-Premium 4WD

ต่อมาก็คือ Mitsubishi Triton “Special Edition” ซึ่งรถกระบะรุ่นพิเศษนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่าง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และคุณรักกิจ ควรหาเวช ศิลปินแนวสตรีทอาร์ตชื่อดัง ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ศิลปะแนวเรขาคณิตที่มีสไตล์เฉพาะตัว

และ Mitsubishi Mirage/Attrage Special Edition อีโคคาร์ที่ขายมายาวนานของทางค่าย ซึ่งมาในสีแดงมงคลเช่นเดียวกัน และที่สำคัญก็คือ ในรถ Passion Red Edition และ Special Edition ทั้งหมดนี้ ในทุกๆคันที่ขายได้ ทาง Mitsubishiจะบริจาคเงินมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท เพื่อร่วมบริจาคเงินไปพัฒนา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย

นอกจากนี้ยังมีรถ Plug-in Hybrid อย่าง Outlander PHEV ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบ 4B12 128 แรงม้า ธรรมดาๆ แต่เพิ่มพลังด้วยมอเตอร์ชุดแยก ด้านหน้า 82 แรงม้า และด้านหลัง 95 แรงม้า ทาง Mitsubishi ก็เอาเลขบวกๆกันแล้วได้พลัง 305 แรงม้า แบตเตอรี่ที่ใช้ เป็นแบบ Lithium-ion ความจุ 13.8 kWh ซึ่งทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลสุด 55 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC Super All-Wheel Control สามารถสั่งล็อคให้ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาได้ (ตามเงื่อนไขการขับขี่) และยังมี Snow Mode เผื่อเมืองไทยหิมะตก, Normal และ Sport Mode ไว้ให้ใช้ ส่วนในด้านความปลอดภัย ก็มีระบบเตือนหน้าเตือนหลัง กล้องรอบคันมาให้พร้อมสรรพ


NISSAN

Nissan Navara Minorchange โชว์ตัวมาตั้งแต่งาน Motor Expo แล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรใหม่เพิ่ม ไม้เด็ดอย่าเพิ่งถาม เอาไม้ปัจจุบันให้มันยืนต้นด้นรากได้ก่อน ก็หวังว่ารถอย่าง Navara Pro-4X นั้นน่าจะได้ยอดเพิ่มบ้าง เพราะอุตส่าห์ทำมาดรถมาซะดูแล้วนึกถึงพวกกระบะใหญ่สเป็คอเมริกา ช่วงล่าง สปริง โช้คอัพ นอกจากจะเพิ่มความสูงใต้ท้องตามสมัยนิยมแล้ว ยังปรับโช้คอัพใหม่ จากกระบะแข็งดีด กลายเป็นกระบะนุ่มนั่งสบายอันดับค่อนไปทางต้นๆของวงการ เครื่องยนต์ใหม่ 2.3 ลิตรทวินเทอร์โบ ลองขับแล้วก็พบว่า แรงกว่าเดิมนิดเดียว แต่ประหยัดกว่าเดิม และเงียบเรียบนิ่มขึ้น ออพชั่นอาจจะขาดๆเกินๆบ้าง แต่ราคา 1,189,000 ก็ไม่ได้แพงที่สุดในกลุ่มปิคอัพยกสูงสไตล์แต่ง ถ้าสามารถจริงจังกับการให้ลูกค้าได้สัมผัสประสิทธิภาพรถตอนขับ ก็น่าจะขายได้มากกว่านี้

นอกจากรถอีโคคาร์ที่ขายกันจนรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว ก็ยังมี Nissan Kicks รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ไม่มีรูให้เสียบปลั๊กและยังดื่มน้ำมันเป็นอาหาร ลงสีใหม่ไปแล้วเมื่องานปลายปี ตอนนี้จึงพยายามโหมแคมเปญโปรโมทใหม่ ให้คุณซื้อ Nissan Kicks e-Power ไปตามปกติ แต่ถ้าหากใช้ไปแล้ว หลังจากรับรถภายใน 30 วัน หากรู้สึกว่าคิดผิด ก็สามารถนำรถมาคืนได้ แต่ต้องวิ่งเป็นระยะมากกว่า 500 กม. และไม่เกิน 3,000 กม. สภาพตัวถังกับภายในต้องเดิมและดี

ถ้าสนใจอยากดูเงื่อนไข Nissan Kicks ดังกล่าว คลิกที่นี่ได้ครับ


PEUGEOT

ในงานนี้ มีการนำน้องเล็ก 2008 มาโชว์โฉม..แต่ยังไม่ขายนะครับ ยังดีที่ว่ารถที่มาโชว์คราวนี้ เป็นพวงมาลัยขวาแล้ว ดังนั้น โอกาสที่เราจะได้ใช้ครอสโอเวอร์เล็ก หน้าตาหาพบยาก มันก็ใกล้เคียงความจริงมากขึ้นอีกระดับ  โดยเท่าที่สอบถามกับทางผู้บริหารมา เวอร์ชั่นไทย จะได้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรติดเทอร์โบชาร์จเจอร์ ทำราคาเอาไว้ประมาณ 1 ล้านบาทบวกลบนิดหน่อย ซึ่งถ้ามาได้จริง โอกาสที่ Peugeot จะกลับมาผงาดในตลาดรถไทยนั้น มีไม่น้อยทีเดียว  นอกจากนั้นก็เป็นรุ่น Crossover/SUV 3008 5 ที่นั่ง และ 5008 7 ที่นั่งซึ่งทำตลาดมาได้ราวปีเศษ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร


PORSCHE

AAS Auto Service ใช้เวทีงาน BIMS42 ครั้งนี้ เป็นวาระครบรอบ 1 ปี การเผยโฉม Porsche Taycan พอดี จึงมีการนำรถรุ่น Taycan Turbo S มา Wrap เป็นลายช้างไทย ซึ่งเป็นดีไซน์ของ NaRaYa ซึ่งเป็นแบรนด์ไทยที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวเช่นเดียวกัน รถคันที่มาโชว์นั้น ราคาสูงกว่า 11.7 ล้านบาท แต่พองานเปิดตัวรอบสื่อมวลชนในบูธเสร็จสิ้นลง พิธีกรกับ PR ยังไม่ทันลงจากเวที ก็มีลูกค้าเดินขึ้นมาแสดงความจำนงค์ ขอซื้อรถคันที่โชว์ ดังนั้นไอ้คันที่จอดอยู่ในบูธนั่นก็เลยถูกขายภายในเวลาไม่ถึง 5 นาทีหลังแถลงข่าวจบ

นอกจากนี้ ภายในบูธยังมีรถรุ่นอื่นๆอีก เช่นถ้าใครชอบพลังขับเคลื่อนแบบไฟฟ้า แต่ก็กลัวเรื่องพิสัยทำการ ก็มี Porsche Panamera 4 e-Hybrid Minorchange เครื่องยนต์ 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบ V6 บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พลัง 462 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร ราคาเริ่มต้น 7,300,000 บาท มาพร้อมกับช่วงล่าง Adaptive Air Suspension และล้อ 19 นิ้ว หรือสามารถเพิ่มเป็น 7,750,000 บาทเพื่อซื้อ Premium Plus Package แล้วจะได้ล้อ 21 นิ้ว หลังคา Panoramic เปลี่ยนระบบ On-board charge จาก 3.6 เป็นรองรับ 7.2kW  ไฟหน้า PDLS และสี Metallic


ROLLS-ROYCE

Rolls-Royce หนึ่งในแบรนด์ขลังสุดของโลกรถหรูที่คนทั่วไปไม่มีทางเอื้อมถึง กำลังเป็นแบรนด์ที่วัยรุ่นขึ้น ทำไม? เพราะลูกค้าของ Rolls-Royce ทั่วโลกกำลังขยับฐานอายุไปหากลุ่มที่อายุน้อยลง และด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าสมัยใหม่จำนวนมากจะชื่นชอบการขับรถเองมากกว่าที่จะมีโชเฟอร์ขับให้ นี่คือที่มาของ Roll-Royce Ghost ซึ่งปัจจุบันอยู่ใน Generation ที่สอง และเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุด

ในงานนี้ เป็นครั้งแรกที่สาธารณชนไทย จะได้เห็น Roll-Royce GHOST รุ่นฐานล้อสั้น ถือเป็นรถระดับ Entry Level ของทางค่ายที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ลูกค้าที่มีอายน้อย เป็นผู้ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยหนุ่มสาว หน้าตารูปลักษณ์จะมีความคล้ายกับเจนเนอเรชั่นก่อน แต่เทคโนโลยี โดยเฉพาะโครงสร้างตัวถัง เปลี่ยนใหม่หมด เป็นแพลทฟอร์มแบบ Architecture of Luxury (AOL) ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดย Rolls-Royce เอง ช่วงล่างมีระบบ Magic Carpet Ride ทำงานร่วมกับ Planar software เพื่อปรับสภาพการทำงานของช่วงล่าง โดยแปรผันตามสภาพถนนเบื้องหน้า รวมถึงระบบเพิ่มลดความสูงเองโดยอัตโนมัติ ทั้งยังมีระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ

ภายในห้องโดยสาร แดชบอร์ดเรืองแสง (Illuminated Fascia) ปรับแต่งให้มีสีสันเข้ากับแสงของนาฬิกา และ มาตรวัด ติดตั้งท่อนำแสงหนา 2 มิลลิเมตร พร้อมเจาะรูขนาดเล็กด้วย Laser กว่า 90,000 ช่อง บนแชบอร์ด เพื่อทำให้คำว่า ’ Ghost’  มีความสว่างอย่างทั่วถึง ภายใต้ LED จำนวนมากถึง 152 ดวง ล้อมรอบด้วยหมู่ดาว 850 ดวง ทั้งหมดถูกซ่อนไว้ขณะดับเครื่องยนต์ ภายใต้วัสดุ Composite ชั้น

Rolls-Royce Ghost เวอร์ชั่นฐานล้อสั้น ใช้เครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน แบบ V12 จาก BMW บล็อค N74B68 ขนาด 6.75 ลิตร 6,749 ซีซี. เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 563แรงม้า (BHP) หรือ 571 แรงม้า (PS)  แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 32,700,000 บาท และสำหรับคนที่ยังชอบนั่งเบาะหลัง ก็มีรุ่นฐานล้อยาวให้เลือกในราคา 36,800,000 บาท


SUBARU

ชาวดาวลูกไก่ปรีดากันถ้วนหน้า เพราะครั้งนี้ มี Subaru “All New” เปิดตัวใหม่กับเขาด้วย

และเป็นการเปิดตัวที่ไม่คาดฝัน ชนิดที่ว่า ขนาด 1 สัปดาห์ก่อนงานมอเตอร์โชว์ ชะตาของรถยังผีเข้าผีออก ไม่รู้ว่าจะได้ขาย หรือได้แค่มาโชว์เฉยๆ จนกระทั่งเพียงไม่กี่วันก่อนงานโชว์ บอสใหญ่ฟันธงว่าสวยต้องขาย ทีมงานของพี่ตวัน คำฤทธิ์ และทีมฝ่ายการตลาด พี่ซู สุรีย์ทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี มือดาบการตลาดจากยุค Mazda 2 ตัวแรกที่ย้ายเข้ามาร่วมสู้ในรั้วดาวลูกไก่ได้ไม่นาน ทำงานกันแบบขอใช้ไฟฟ้า 24 ชั่วโมง เพื่อปรับกลยุทธ์อย่างด่วน และประสานงานข้ามโลกให้สามารถเคาะราคาขาย Subaru Outback 2.5 AWD เจนเนอเรชั่นใหม่ได้ที่ 2,699,000 บาท

ช่วยไม่ได้ที่หลายคนจะบ่นว่าแพง แต่ในเมื่อเป็นรถนำเข้าทั้งคันจากญี่ปุ่น ก็เสียเปรียบเรื่องการตั้งราคาจากโครงสร้างภาษี สู้รถนำเข้าจากจีนและอาเซียนไม่ได้ ดังนั้น ทีมงานชาวไทยก็ต้องคิดกันว่า จะถอดอุปกรณ์ให้เหี้ยนแล้วทำราคาให้ถูกสุด ซึ่งก็ยังจะเกิน 2 ล้านอยู่ดี (จำได้ไหม Forester โฉมที่แล้ว 2.0 ไม่มีเทอร์โบนำเข้าจากญี่ปุ่นก็ล้านปลายแล้ว) หรือใส่ของให้เต็มไปเลย แล้วราคาเท่าไหร่ก็เท่านั้น ดูเหมือนพวกเขาจะเลือกอย่างหลัง เพราะได้ออพชั่น EyeSight ตัวเต็ม ระบบขับกึ่งอัตโนมัติที่หยุดเหลือศูนย์ได้ เบาะหนัง Nappa ปรับไฟฟ้าคู่หน้า หลังคามูนรูฟ เครื่องเสียง Harman Kardon ภายในตกแต่งจนดูไฮโซด้วยจอกลางแนวตั้งขนาดใหญ่

เครื่องยนต์ของ Outback ใหม่ มีบล็อคเดียวคือ 2.5 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ 188 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร ต้องรอดูว่ายอดขายจะเงียบแบบรุ่นที่แล้ว หรือไปได้ดี เพราะรถอย่าง Outback ที่ทรงเหมือนเก๋งแวก้อนแต่ยกสูงเหมือน SUV ทำให้ไม่มีคู่เปรียบโดยตรง ลูกค้าจึงนำราคาเป็นตัวเปรียบ และในงบเท่ากันนั้นมีตัวเลือกที่เป็นครอสโอเวอร์ยุโรป และรถ EV 100% ที่น่าเล่น ดังนั้นจึงอยู่ที่การสื่อสารผลิตภัณฑ์ในการนำเสนอรถขับสี่ไม่มีเทอร์โบ แข่งกับรถพลังงานทางเลือกในยุคที่ EV กำลังได้รับความสนใจ

โปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษของ Subaru ในงาน คลิกที่นี่


SUZUKI

ปี 2020 ในขณะที่ COVID-19 พังเศรษฐกิจวินาศ ยอดขายรถในประเทศไทย ในเซกเมนต์รถยนต์นั่งส่วนบุคคลก็มีภาพรวมยอดขายลดลง แต่ Suzuki กลับสามารถรักษาระดับยอดขายสูงกว่าตลาดรวม 7% ที่ตัวเลขยอดขายจำนวน 25,528 คัน ทำให้ท่านประธานมิโนรุ และคุณวัลลภ หัวเรือของค่ายกล้าตั้งเป้า 30,000 คันสำหรับปี 2021 โดยที่ผ่านมานั้น ทางบริษัทพยายามอยู่รอดด้วยการนำเสนอแคมเปญต่างๆเพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถได้ง่าย เช่น Celerio 1.0 ลิตร ที่จัดโครงการผ่อนชำระให้เริ่มต้นได้ถูกเพียงเดือนละ 1,999 บาท เป็นต้น

ในงานนี้ Suzuki มีรถที่เพิ่งเปิดตัว เป็น Swift Minorchange ราคาเริ่มต้น 557,000 บาท ตัดรุ่นย่อย GA และ GLX Navi ออก และเพิ่มชุดจอกลางใหม่ที่รองรับ Apple CarPlay/Android Auto ให้กับรุ่น GLX ทำให้สามารถทดแทนรุ่น GLX Navi เดิมได้ และเพิ่มกล้องมองหลังมาให้ด้วย แม้ว่าไฟกลางเก๋งจะยังไม่มีมาให้ก็เถอะ

นอกจากนี้ รถที่น่าสนใจ อาจจะไม่ใช่รถแบบที่คุณๆอยากซื้อกัน แต่ไอเดียน่าสน มันคือ Suzuki Carry รถบรรทุกเล็กอเนกประสงค์ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย (Biosafety Mobile Unit) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ สำหรับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในเชิงรุกแบบเคลื่อนที่  โดยรถคันนี้ได้รับการออกแบบและดัดแปลงรถโดยศูนย์นวัตกรรม KMITL FIGHT FOR COVID-19 และศูนย์วิจัยและออกแบบงานสร้างสรรค์ (Research and Creative Design Center: RCDC) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ในรถ จะมีระบบปรับและกรองอากาศด้วย HEPA Filter และระบบแรงดันบวก (positive pressure) เพื่อป้องกันแพทย์หรือนักเทคนิคการแพทย์ผู้เก็บตัวอย่างจากภายในรถได้รับอันตรายจากเชื้อโรค ทำให้ลดการติดเชื้อโรคของผู้ปฏิบัติงาน และลดการกระจายเชื้อโรคออกสู่ภายนอกสิ่งแวดล้อม และเพื่อลดการใช้ชุดอุปกรณ์ PPE ชึ่งช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เป็นจำนวนมาก ความคล่องตัวของรถยังสามารถนำไปใช้เก็บตัวอย่างในพื้นที่เข้าถึงยาก ลดปัญหาความแออัดในสถานพยาบาล และเป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่มการตรวจบุคคลกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ได้

โดย SUZUKI CARRY Biosafety Mobile Unit คันนี้จะถูกนำไปส่งมอบบริจาคให้กับ หมอแล็บแพนด้า “ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน” นักเทคนิคการแพทย์สุดฮาในโลกออนไลน์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในขณะนี้  สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในการออกไปปฏิบัติงานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เก็บสิ่งส่งตรวจและเพื่อค้นหาบุคคลกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 เชิงรุกได้ต่อไป

โปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษ สำหรับ Suzuki ในงาน คลิกที่นี่


TOYOTA/LEXUS

ฝั่ง Toyota ยังไม่มีรถใหม่ แต่มีเวอร์ชั่นตกแต่งมาโชว์ อาทิ Yaris Play/ Yaris ATIV Play LIMITED Edition ซึ่งในรุ่นแฮทช์แบ็ค วางราคาไว้ 634,000-709,000 บาท ส่วน ATIV 4 ประตู อยู่ที่ 624,000-699,000 บาท ซึ่งเพิ่มจากรถรุ่นย่อย Sport และ Sport Premium อีกประมาณ 25,000 บาท แต่สิ่งที่คุณจะได้ก็คือ สีตัวถังภายนอก ชมพูฝาด แบบ Ice Pink Metallic, ล้ออัลลอย 15 นิ้วสีไฮไลท์ทูโทน ดำ-ม่วง, เปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะ และวัสดุตกแต่งในห้องโดยสารเป็นสีม่วง Dark Mulberry แล้วยังเพิ่มระบบกรองอากาศ PM 2.5 กระจกบังลมหน้า Acoustic Glass แบบดูดซับความร้อน กล้องรอบคัน และอื่นๆ โดยที่รถรุ่น Play LIMITED Edition นี้จะมีผลิตตัวถังละ 1,500 คันเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย

รถตกแต่งพิเศษอีกรุ่น คือ Fortuner Pride Package II ซึ่งก็คือ Fortuner 2.4 ลิตร ตัวธรรมดา ที่เพิ่มของแต่งชุดไหว้ของดำเข้าไป กระจัง โลโก้ คิ้วไฟ บันได และหลังคา ทำเป็นสีดำ ทำให้รถรุ่น 2.4 ดูคล้าย Legender มากขึ้น ทั้งหมดนี้ราคา 46,000 บาท แต่ถ้าคุณจองและออกรถภายใน 31 มีนาคม ได้ฟรีเลย ไม่ต้องจ่าย แต่สีแดงแบบรถคันในบูธนั้น ต้องจ่ายเพิ่ม 12,000 บาทนะครับ

นอกจากนี้ ในบูธก็ยังมีรถยอดนิยมยอดขายถล่มทลายในเซกเมนซ์อย่าง Corolla Cross และรถที่เคยขายดีแต่ปัจจุบันโดนน้องตัวเองแย่งยอดไป อย่าง Corolla Altis รวมไปถึง Supra สีเหลืองจอดอยู่ด้วย

สำหรับฝั่ง Lexus ก็มีรถ EV อย่าง Lexus UX300e ราคา 3,490,000 บาท รถหรูระดับเรือธงราคาทะลุสิบล้านอย่าง Lexus LS500 h Minorchange ซึ่งรายละเอียดความประณีตของห้องโดยสารยังคงความว้าวไว้ได้เหมือนเดิม ในขณะที่ MPV หรูอย่าง LM300h ในรุ่น 7 ที่นั่งนั้น ก็นับว่าหรูจนลืม Alphard แล้ว แต่ในรุ่นพิเศษของเขา ที่มี 4 ที่นั่ง  ออกแบบตามแนวคิด “Mobile Private Lounge” เสมือนนั่งอยู่ในห้องโดยสารชั้นเฟิร์สคลาส มีความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยแผงกั้นขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ 26 นิ้วและเครื่องเสียง MARK LEVINSON ที่ไม่ต้องถามกันมากเรื่องคุณภาพเสียง ส่วนเบาะนั่งใน LM300h นั้น ก็ได้นำเทคโนโลยีโฟมยูรีเทน ADAPTIPEDIC โดย WOODBRIDGE มาใช้เป็นครั้งแรกของโลก เพื่อช่วยซับแรงกระแทก มาพร้อมกับระบบนวดที่สามารถปรับได้มากถึง 7 รูปแบบ รวมถึงตู้แช่เครื่องดื่ม สนนราคาของ LM300h รุ่น 7 ที่นั่ง ราคา 5,500,000 บาท และรุ่น 4 ที่นั่ง ราคา 6,500,000 บาทครับ

โปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษ ของ Toyota ภายในงาน คลิกที่นี่


VOLVO

เป็นค่ายที่แปลกคือ ไม่มีรถใหม่เปิดตัวมาโชว์ แต่มีการส่งข่าว และเมื่อข่าวออกไป กระแสคนที่เข้ามาถามไถ่กันก็เยอะมาก นี่เรากำลังพูดถึง Volvo XC40 Recharge Pure Electric รถ EV 100% มีแต่ถ่าน ไม่มีควัน ซึ่งเพิ่งจะแถลงข่าวไปในวันสื่อมวลชนของงานมอเตอร์โชว์นี้เอง จุดเด่นเรื่องความปลอดภัยคงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะรู้กันอยู่แล้วว่า Volvo ที่อยู่ในไทยในปัจจุบัน ต่อให้รุ่นถูกขนาดไหนระบบความปลอดภัยก็ครบ เป็นรถหรูเจ้าแรกๆที่นำระบบขับเคลื่อน Autonomous drive ในชื่อ Pilot Assistance มาใช้ในรถที่ราคาต่ำกว่า 4 ล้าน ด้วยซ้ำ แต่จุดที่คนพูดถึง XC40 Pure Electric มากที่สุดคือ ราคา เพราะขนาดว่า พลัง 408 แรงม้า ชาร์จจบแล้ววิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร แต่เปิดราคามาแค่ 2,590,000 บาท หรือถูกกว่า Lexus UX300e ที่เป็นรถรูปแบบใกล้เคียงกันที่สุดอยู่ถึง 900,000 บาท

รถรุ่นนี้จะประกอบจากประเทศจีน แล้วส่งมาขายที่ประเทศไทย ทำให้ได้ประโยชน์จากการเซฟภาษีนำเข้าและทำให้ราคาหอมหวลชวนดมยิ่งนัก ถ้าใครสนใจ ทาง Volvo แจ้งมาว่า คุณไปคุยกับเซลส์ที่บูธได้เลย แล้วจากนั้นเขาจะส่ง Request ไปเช็คคิวว่า ถ้าสั่งวันนี้คุณจะได้รถเมื่อไหร่ ภายใน 3 วันจะทราบคำตอบ โดยสามารถเข้าไปสั่ง EV ยุโรปของคุณได้เลย เริ่มตั้งแต่วันนี้

ส่วนรถรุ่นอื่นที่มา ก็เป็นรถที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Volvo S90 Recharge ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งได้ขุมพลัง Plug-in Hybrid 407 แรงม้า เครื่องเสียง Bower & Wilkins ชุดเทพในตำนานก็ยังคงอยู่ แต่ราคาตัวรถถูกลงเหลือ 3,290,000 บาท ถูกจนเกือบจะเท่ารถ Plug-in รุ่นย่อยล่างๆของคู่แข่งยุโรปด้วยกัน แต่กินขาดในด้านออพชั่น นอกจากนี้ยังมี XC40 Recharge แบบที่เป็น Plug-in Hybrid 1.5 ลิตร 3 สูบเทอร์โบ+มอเตอร์ ให้พลังรวม 262 แรงม้า ในราคาเริ่มต้น 2,090,000 บาท

โปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษของ Volvo ในงาน คลิกที่นี่