Nissan NP 300 Navara รุ่นปัจจุบัน (รหัส D23) เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และเริ่มทำตลาดในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2014 พร้อมวิดิโอโฆษณาชุดแรกที่เอาพี่แบ้งค์วง Clash มาขับ Navara ตีลังกาควงสว่านลงมาจากน้ำตกอย่างเว่อวังอลังการ และต่อจากโฆษณาชุดนั้น ในปี 2015 ก็เอาพี่หญิงลีมาเป็นพรีเซนเตอร์ในชุดโฆษณา Navara Number One ทั้งนี้พี่หญิงลีในที่นี้ไม่ใช่พี่หญิงลีพระมหาเทวีเจ้านะครับ แต่เป็นพี่หญิงลี ศรีจุมพล นักร้องลูกทุ่งหมอลำซิ่งเจ้าของบทเพลง”ขอใจแลกเบอร์โทร” นอกจากการจัดทำชุดวิดิโอโฆษณาแล้ว Nissan ก็ยังออกรุ่นตกแต่งพิเศษมากมาตลอดการทำตลาด เช่น รุ่น Sportech หรือ Black Edition แต่ยอดขายโดยรวมสำหรับรุ่นก่อน Minorchange ก็ไม่ได้มากมายนัก

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2020 Nissan Motor Thailand ก็ได้เปิดตัว Nissan Navara Minorchange โดยในครั้งนี้ถือว่า Nissan ทำการบ้านมาค่อนข้างดี มีการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานหลายประการ และมีการปรับงานออกแบบทั้งภายนอกให้มีความบึกบึนมากขึ้น ละทิ้งการออกแบบที่อ่อนช้อยแบบรุ่นเดิม ส่วนภายใน ก็มีการปรับปรุงเล็กน้อย เช่น การนำพวงมาลัยดีไซน์ใหม่มาแทนที่ พวงมาลัยทรงเดิมที่โดนแซวว่าเป็นพวงมาลัยทรงมดลูก นอกจากนี้ยังตัดสินใจเพิ่มรุ่นพิเศษตกแต่งจากโรงงาน ทั้งรุ่น PRO-4X (ขับเคลื่อน 4 ล้อและ PRO-2X (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) หวังแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกับคู่แข่งหลายรุ่น อาทิ Isuzu D-Max X-Series , Toyota Hilux Revo GR sport และ Mitsubishi Triton Athlete เป็นต้น 

ล่าสุดในวันที่ 11 มิถุนายน 2022 ที่ผ่านมา  Nissan ก็เปิดตัว Navara MY 2022 เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดอีกครั้งหนึ่ง ใจความสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็ได้แก่การเพิ่มออปชั่นเล็กน้อย การปรับราคา และการเพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษ Black Edition

อนึ่งจุดประสงค์ของการเพิ่มรุ่น Black Edition ใน MY2022 ก็เพื่ออุดช่องว่างระหว่างรุ่นธรรมดา และรุ่น Pro 2X Pro 4X ที่เดิมมีส่วนต่างราคามากพอสมควร คราวนี้ Nissan Navara Black Edition 2022 จะเป็นรุ่นยกสูง Calibre ทั้งหมด โดยมีทั้งตัวถัง 4 ประตู Double Cab และตัวถัง 2 ประตูตอนครึ่งแคปเปิดได้ King Cab นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์ 2.3 เทอร์โบเดี่ยวในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 2.3 เทอร์โบคู่ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ  ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ Navara Black Edition ที่ได้เครื่องเทอร์โบคู่ โดยทั้ง 4 รุ่นย่อยมีราคาค่าตัวดังนี้

  • 2.3 Calibre 2 ประตูยกสูง M/T 799,000
  • 2.3 Calibre 2 ประตูยกสูง A/T 849,000 (Twin-Turbo)
  • 2.3 Calibre 4 ประตูยกสูง M/T 884,000
  • 2.3 Calibre 4 ประตูยกสูง A/T 934,000 (Twin-Turbo)

ในครั้งนี้ผมได้รับเชิญจาก Nissan Motor ประเทศไทย ให้เข้าร่วมทริปทดลองขับ Nissan Navara Black Edition ในเส้นทาง กรุงเทพ – สัตหีบ เป็นระยะทางรวมทั้งหมดราว 322 กิโลเมตร โดยผมได้ลองขับในรุ่น 2.3 king Cab Calibre Black Edition 7AT 

ชุดแต่ง Black Edition ที่เพิ่มเข้ามามีดังนี้

  1. กระจังหน้าแบบ Interlock สีเทาดำ
  2. ชายล่างกันชนหน้าสีดำ
  3. สติ๊กเกอร์ Black Edition รอบคัน
  4. กระจกมองข้างสีดำ
  5. มือจับเปิดประตูสีดำ
  6. เสาอากาศ Shark Fin สีดำ
  7. กันชนหลังสีดำ
  8. มือจับเปิดฝาท้ายสีดำ
  9. คิ้วซุ้มล้อสีดำ*
  10. ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว สีดำ
  11. วัสดุตกแต่งแดชบอร์ดด้านหน้าและกรอบช่องแอร์ สีดำ
  12. วัสดุตกแต่งช่องวางแก้วบริเวณคอนโซลกลาง สีดำ
  13. วัสดุตกแต่งฐานเกียร์ สีดำ
  14. วัสดุตกแต่งแผงด้านข้างประตู สีดำ

ภายนอกของ Nissan Navara Black Edition ทั้งตัวถัง Double Cab และ King Cab จะมาพร้อมกับชุดแต่ง รวมถึงชุดสติ๊เกอร์ที่มีหน้าตาเหมือนกันทุกประการ แต่ตัวถัง 4 ประตู Double Cab จะได้ออปชั่นภายนอกที่มากกว่า King Cab อยู่ 3 ประการ ได้แก่

  1. กระจกแบบเก็บเสียง Acoustic Glass
  2. โช็คผ่อนแรงฝาท้าย
  3. ฝาท้ายประทับตรา NAVARA

นอกจากนั้นแล้วก็เรียกได้ว่าเหมือนกันแทบทุกประการ

สำหรับลูกค้าชาวไทยนั้น ข้อพิจารณาประการสำคัญเวลาซื้อรถใหม่ คือ ไฟหน้าต้องสวย แน่นอนว่า Nissan เข้าใจประเด็นนี้ดี ทำให้ Nissan Navara Black Edition ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมกับไฟหน้า แบบ LED Projector Quad-Eyes เปิด – ปิดอัตโนมัติ พร้อมระบบไฟหน้า Follow-Me-Home ที่จะทำการเปิดไฟหน้า ทิ้งไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งหลังดับเครื่องยนต์ กระจังหน้าแบบ Interlock สีเทาดำหน้าตาคล้ายกับกระจังหน้ารุ่น Pro 4X แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว

นั่นเพราะว่า กระจังหน้าของ Pro 4X ใช้โลโก้นิสสันสีดำแดง  ถัดลงมาเป็นกันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถพร้อมชายล่างสีดำล้วน ต่างจากรุ่นธรรมดาที่จะมีการตกแต่งสีเงิน และต่างจากรุ่น Pro 4 X ที่จะมีการตกแต่งสีแดง นอกจากนี้ที่ด้านหน้ายังมีการคาดด้วยสติ๊กเกอร์สีขาวดำ และเทา(โทน Grey Scale) พาดผ่านฝากระโปรง เพื่อบ่งชี้ว่า เฮ้ย…นี่ฉันเป็นรถรุ่นแต่งพิเศษนะเว่ย

โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ายังพอโอเค ดูไม่รกรุงรังมากนัก ประกอบกับความที่เป็นสีโทน Grey Scale ทำให้สามารถเข้าได้กับรถทุกสี แม้ว่าพอไปอยู่บนตัวรถสีดำแล้วจะถูกกลืนไปก็ตาม ต่างจากรุ่นพิเศษจากบางค่ายที่มีสีสันฉูดฉาดจนไม่สามารถเข้ากับตัวถังบางสีได้

กระจกมองข้างปรับ – พับด้วยไฟฟ้า ตกแต่งด้วยสีดำเงา เพื่อให้เข้ากับมือเปิดประตูรถสีดำเงา นอกจากนี้บริเวณมือเปิดประตูยังมีปุ่มเล็กๆไว้สำหรับการปล็ดล็อคประตูด้วยระบบ Keyless Entry ด้านข้างตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สีเดียวกับด้านหน้า กินพื้นที่ตั้งแต่ประตูหลังไปจนถึงกระบะท้าย ถัดลงมาเป็นคิ้วซุ้มล้อ แบบแปะ สีดำ ซึ่งมีขนาดใหญ่ และยื่นออกมาจากตัวรถมากพอสมควร ซึ่งผมเชื่อว่าคงจะถูกใจสายแต่งรถอยู่ไม่น้อย เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเวลาเปลี่ยนล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่…..คงจะหาล้อเปลี่ยนยากสักนิดนึง เพราะค่า PCD ของ Navara นั้นมันแตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขาน่ะสิครับ แต่ถ้าไม่ชอบคิ้วซุ้มล้อจริงๆ ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่เอาคิ้วซุ้มล้อก็ได้

แม้จะได้กล่าวไปข้างต้นว่าค่า PCD ทำให้หาล้อแต่งยาก แต่ล้อเดิมจากโรงงานก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่จนถึงขั้นจำเป็นต้องหาล้อเปลี่ยน โดยเป็นล้ออัลลอย 6 ก้าน สีดำ ขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางยี่ห้อ​ Toyo tire A25 ขนาด 255/60 R18 ใหญ่กว่ารุ่น E เดิม และใหญ่กว่ารุ่น Pro 2X Pro 4X อันที่จริงล้อชุดนี้ มันก็คือการนำล้อของรุ่น King Cab Calibre V 2022 มาทำสีดำนั่นแหละครับ 

ด้านท้ายรถมาพร้อมกับไฟท้าย LED ที่มีไฟเบรค และไฟหรี่เป็น LED ส่วนไฟถอย และไฟเลี้ยวยังคงเป็นหลอดไส้ธรรมดา เหนือไฟท้ายเป็นสปอยเลอร์หลังเพิ่มความสปอร์ตให้ท้ายรถ มือเปิดฝาท้ายเป็นสีดำ แต่รุ่น 2 ประตูจะไม่ได้โช๊คผ่อนแรงเวลาเปิดฝาท้ายแบบรุ่น 4 ประตู  ถัดลงมาเป็นกันชนหลังสีดำ และเซนเซอร์กะระยะด้านท้าย 4 จุด

สำหรับภายในของ Nissan Navara Black Edition จะตกแต่งด้วยโทนสีดำ วัสดุตกแต่งภายในที่เคยเป็นสีเงินและโครเมียมในรุ่น E ถูกเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นกรอบวิทยุ กรอบคอนโซลเกียร์ กรอบที่วางแก้ว ขอบของที่ท้าวแขนบริเวณแผงประตู และมือเปิดประตู โดยความแตกต่างของภายในของตัวถัง 4 ประตู Double Cab และ 2 ประตู King Cab มีเพียงแค่เบาะนั่งด้านหลัง และเข็มขัดนิรภัยด้านหลัง เท่านั้น

ด้านอุปกรณ์มาตรฐานภายใน Navara ถือว่าให้มาค่อนข้างครบ กระจกมองหลังเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ถัดลงมาเป็นคอนโซลหน้าที่ถูกขึ้นรูปด้วยพลาสติกแข็ง ที่มาพร้อมชุดควบคุมเครื่องเสียงระบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth, Apple CarPlay และ Android Auto ขับเสียงผ่านทางลำโพง 6 ตำแหน่ง ทั้งนี้สำหรับรุ่น Double Cab ส่วนรุ่น King Cab จะได้ลำโพง 4 ตำแหน่ง เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังระบบกล้องรอบคัน IAVM จะทำงาน และปรากฎภาพขึ้นที่น่าจอกลาง มีข้อสังเกตุเล็กน้อยว่า Nissan Navara เป็นรถที่มีทั้งกล้องรอบคัน และเซนเซอร์กะระยะด้านหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะรถยนต์บางรุ่นเมทื่อมีกล้องแล้ว จะไม่มีเซนเซอร์มาให้

พวงมาลัยสามก้านหุ้มด้วยยูรีเทน มาพร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังชั่น ชุดปุ่มด้านซ้ายมือใช้สำหรับควบคุมชุดเครื่องเสียง และชุดมาตรวัด ส่วนด้านขวามือ ใช้สำหรับควบคุมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ถัดไปทางด้านหลังทางด้านซ้านเป็ที่อยู่ของก้านควบคุมใบปัดน้ำฝน แบบปรับหน่วงเวลาอัตโนมือ กล่าวคือไม่มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติมาให้แต่อย่างใด ถ้าอยากได้คงต้องเพิ่มเงินไปเล่นในรุ่น King Cab Calibre V หรือ Pro 2X ด้านขวาเป็นก้านสวิทช์เปิด-ปิดไฟหน้ารถ และไฟเลี้ยว ด้านหลังก้านใบปัดน้ำฝนเป็นที่อยู่ของปุ่ม Push Start

การตกแต่งบริเวณคอนโซลกลางแบบ Piano Black ล้อมกรอบด้วยวัสดุสีดำ เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา (Dual Zone) ที่สำคัญที่สุดคือมี Heater มาให้ แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ใช่เมืองหนาว แต่การมี Heater ทำให้การทำงานของระบบปรับอากาศดิจิตอลปรับอุณหภูมิแม่นยำมากยิ่งขึ้น รถที่มีแอร์ดิจิตอล แต่ไม่มี Heater ถ้าเจอฝนตกหนัก ๆ ก็เตรียมห่มผ้าได้เลยครับ เพราะต่อให้ปรับอุณหภูมิไว้ที่ 30 ก็ยังคงหนาวเกินไปอยู่ดี ถัดลงมาจากเครื่องปรับอากาศเป็นปุ่มเปิด – ปิด การทำงานของเซนเซอร์กะระยะด้านท้าย ช่อง AUX ช่องจ่ายไฟ และช่องเชื่อมต่อ USB A 1 ตำแหน่ง 

ชุดมาตรวัดความเร็วเป็นแบบเข็ม Analog โดยตรงกลางมีหน้าจอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสามารถแสดงข้อมูลได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นความเร็วแบบดิจิตอล อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real Time รายการเพลงที่กำลังเล่นอยู่ Trip meter และการตั้งค่าตัวรถ นอกจากนั้นยังมี Animation ต้อนรับเมื่อสตาร์ทรถอีกด้วย

เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีดำ เบาะฝั่งคนขับปรับด้วยมือได้ 6 ทิศทาง ได้แก่ เลื่อนหน้า-หลัง ปรับเอนขึ้น-ลง และปรับระดับสูง-ต่ำ ส่วนเบาะผู้โดยสารตอนหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง ได้แก่ เลื่อนหน้า-หลัง ปรับเอนขึ้น-ลง บริเวณระหว่างเบาะที่นั่งคู่หน้าเป็นที่อยู่ของคอนโซลกลาง ซึ่งมาพร้อมกับที่ท้าวแขนคู่หน้า และคันเกียร์ ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติฐานเกียร์ตกแต่งด้วยโครเมียม และหัวเกียร์เป็นยูรีเทน ส่วนในรุ่นเกียร์ธรรมดาหัวเกียร์จะเป็นยูรีเทนตกแต่งด้วยโครเมียม รอบๆฐานเกียร์ตกแต่งด้วย Piano Black ซึ่งผมยอมรับว่าสวย แต่ดูแลรักษาค่อนข้างยาก อีกทั้งผมยังพบปัญหาการสะท้อนแสงอาทิตย์เข้าสู่ดวงตา ซึ่งก็น่ารำคาญอยู่พอสมควร  

แผงประตูคู่หน้าถูกตกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ มือเปิดประตูถูกเปลี่ยนจากแบบโครเมียม เป็นสีดำด้าน เพื่อให้เข้ากับธีมการตกแต่งภายในจุดอื่นๆ พนักท้าวแขนหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์พร้อมการเดินตะเข็บสีขาว ด้านล่างของแผงประตูมาพร้อมกับช่องวางขวดน้ำ 1 ตำแหน่ง ต่อหนึ่งฝั่ง สามารถวางขวดน้ำขนาด 1.25 ลิตรได้สบาย ๆ

ด้านหลังเป็นเป็นจุดที่รุ่น Double Cab และรุ่น King Cab จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนมากที่สุด ในรุ่น 4 ประตู จะมาพร้อมเบาะนั่งด้านหลังขนาดใหญ่ที่สามารถพับได้ และมาพร้อมกับจุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX แต่สำหรับรุ่น King Cab นั้นก็จะมีเพียงแค่พื้นที่วางของด้านหลังดังที่เห็นในรูป ซึ่งคนส่วนมากนิยมนำเบาะรองนั่งมาใส่เพิ่มเข้าไปในภายหลัง เพื่อให้โดยสารในแคปหลังได้ ทั้งนี้ไม่มีเข็มขัดนิรภัยด้านหลังมาให้ เพราะการใส่เข็มขัดนิรภัยด้านหลังจะทำให้รถถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มกระบะสำหรับการโดยสาร อันจะส่งผลให้ต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกับตัวถัง Double Cab ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของคุณผู้อ่านทุกท่านเราจึงไม่ค่อยแนะนำให้นั่งแคปหลังสักเท่าไหร่

ทั้งรุ่น King cab และรุ่น Double Cab จะมาพร้อมกับช่องแอร์ด้านหลัง เพื่อกระจายความเย็นไปยังด้านหลังรถให้มีปรสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยที่ต้องเจอกับอากาศอันร้อนระอุแทบจะทั้งปี

ระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่ มีดังนี้

  • โครงสร้างนิรภัย Zone Body
  • คานกันกระแทกด้านข้าง
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
  • พวงมาลัยแบบยุบตัวได้ เมื่อเกิดการชนด้านหน้า
  • ระบบตัดวาล์วน้ำมันเชื้อเพลิงอัตโนมัติ ในกรณีรถพลิกคว่ำ
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS
  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบป้องกันการลื่นไถล ABLS
  • ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ VDC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะลากจูง TSA
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด ปรับสูง-ต่ำได้
  • เข็มขัดนิรภัยเบาะนั่งด้านหลัง (รุ่น Double Cab)
  • จุดยึดเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ISOFIX (รุ่น Double Cab)
  • กล้องมองภาพรอบทิศทาง IAVM
  • ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน MOD
  • สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง
  • กุญแจ Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย

เห็นได้ว่าจะขาดอุปกรณ์ความปลอดภัย แบบ Active Safety บางประการที่มีใน รุ่น King Cab Calibre V, Pro 2X และ Pro 4X ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนรถในมุมอับ BSM ระบบเตือนและควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทาง ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย และยังมีถุงลงนิรภัยเพียงแค่ 2 ตำแหน่ง

**********รายละเอียดทางวิศวกรรม / Engineering Details**********

Nissan Navara เวอร์ชันไทย ยังคงมีทางเลือกขุมพลัง 2 แบบ ตามเดิม ดังนี้

Diesel 2.3 Turbo (MID Power) สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 M/T เท่านั้น

เครื่องยนต์รหัส YS23DDT ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร 2,298 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 85.0 x 101.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.4 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ VGS Turbo พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร (41.06 กก.ม.) ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง รองรับน้ำมันสูงสุดถึงระดับ Diesel B20

Diesel 2.3 Twin-Turbo (HIGH Power) สำหรับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 7AT เท่านั้น

เครื่องยนต์รหัส YS23DDTT ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร 2,298 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 85.0 x 101.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.4 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Turbochared พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง รองรับน้ำมันสูงสุดถึงดีเซล B20

ระบบบังคับเลี้ยว / Steering Wheel

  • พวงมาลัยเพาเวอร์พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน  ผ่อนแรงด้วยระบบไฮดรอลิก วงเลี้ยวแคบสุด 6.3 เมตร

ระบบกันสะเทือน / Suspension

  • ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ Double Wishbone พร้อม Coil Spring ช็อกอัพ และเหล็กกันโคลง
  • ด้านหลังเป็นแนบแผ่นซ้อน วางแหนบไว้ใต้เพลา พร้อมติดตั้งช็อกอัพแบบไขว้

ระบบห้ามล้อ / Braking

  • ด้านหน้า : ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน
  • ด้านหลัง : ดรัมเบรก

**********การทดลองขับ / Test Drive**********

ผลทดสอบ อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง ของ Nissan Navara King Cab 2.3 ตามมาตรฐาน Headlightmag มีดังนี้

  • 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้เฉลี่ย 10.13 วินาที
  • 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้เฉลี่ย 6.88 วินาที
  • ความเร็วสูงสุดบนมาตรวัด ทำได้ 182 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 3,300 รอบ/นาที
  • อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ย 15.23 กิโลเมตร/ลิตร


หมายเหตุ : ตัวเลขข้างต้นเป็นตัวเลขของรุ่นย่อย Calibre V ปี 2020 ที่ใส่ล้อขนาด 17 นิ้ว ซึ่งเล็กกว่า Black Edition ที่มาพร้อมล้อ 18 นิ้ว ตัวเลขของรุ่นล้อ 18 นิ้วอาจมีความแตกต่างจากตัวเลขข้างต้นเล็กน้อย 

รถคันที่ได้ทดลองขับเป็นตัวถัง King Cab เครื่องยนต์ 2.3 Twin-Turbo เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ จังหวะคิ๊กดาวน์ออกจากจุดหยุดนิ่งพบว่ารถมีความกระฉับกระเฉงมากถ้ามองว่านี่คือรถกระบะเกียร์ออโต้ แต่จะมีอาการ Lag ของคันเร่งให้สัมผัสนิดหน่อย แม้ว่า Navara ไม่ได้มีนิสัยแรงแบบกระชากๆ ดึงจนหลังติดเบาะ แต่มีเรี่ยวแรงมาเรื่อย ๆ ต้นกระฉับกระเฉง ปลายไม่เหี่ยว เมื่อรถอยู่ในความเร็วช่วงกลาง เพียงกดคันเร่งเพียงแค่ครึ่งเดียว ความเร็วก็จะไหลขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงย่าน 140 150 ได้สบาย ๆ การทำงานของเกียร์มีความนิ่มนวล และเปลี่ยนอย่างฉับไว ไม่มีอาการกระชาก หรือกระตุก จนในบางจังหวะผมก็เผลอลืมไปว่ากำลังขับรถกระบะอยู่เสียด้วยซ้ำ จะพูดว่าเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังเป็นจุดเด่นหนึ่งของ Navara ก็ได้นะครับ

พวงมาลัยเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิก ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้พวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า แบบ Ford Ranger ยังคงมีความเป็นรถกระบะให้สัมผัสได้บ้าง ในช่วงความเร็วต่ำพวงมาลัยมีความเบา ทำให้การเลี้ยวในเมืองค่อนข้างคล่องตัว แต่เมื่อวิ่งทางตรงในความเร็วช่วง 100 – 120 พบว่าพวงมาลัยยังคงเบาอยู่ ประกอบกับมีระยะฟรีประมาณหนึ่ง ทำให้รู้สึกเกร็งพอสมควร  แต่อย่างไรก็ดีพอหักพวงมาลัยให้พ้นช่วงที่มีอาการฟรีพวงมาลัยจะมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นพอสมควร 

ในด้านช่วงล่าง  ด้วยความที่รุ่น King Cab จำเป็นต้องเซ็ตแหนบให้รองรับน้ำหนักการบรรทุก และสวมล้อขนาด 18 นิ้ว ทำให้ในย่านความเร็วต่ำจะมีความแข็ง และกระเทือนอยู่ประมาณหนึ่ง อีกทั้งในช่วงความเร็วเดินทางก็ยังพอมีอาการดีดเด้งจากด้านท้ายให้สัมผัสอยู่บ้าง ในด้านการเข้าโค้งตัวรถมีความมั่นคงพอสมควร เวลาใส่โค้งตัวรถไม่ค่อยมีอาการโยนตัวเท่าไหร่ โดยรวมน่าจะถูกใจคนที่ชอบรถช่วงล่างเฟิร์มๆ ส่วนคนที่ต้องการความนุ่มสบายที่มากขึ้นกว่านี้ คงต้องเพิ่มเงินไปเล่นรุ่น 4 ประตู ซึ่งถูกเซ็ตช่วงล่างมานุ่มนวลมากกว่ารุ่น 2 ประตู

เบรคของ Navara เซ็ตแป้นเบรคมาลึกในระดับหนึ่ง การเหยียบ ในช่วง 20%แรก ของระยะเหยียบ แป้นเบรกจะยังคงเบา และเบรกจะยังไม่จับตัวเท่าไหร่ เผื่อไว้สำหรับกับการเลียเบรค แต่เมื่อเบรคหนัก ๆ แล้วพบว่าการกระจายแรงเบรกทำได้ดี กล่าวคือหน้ารถไม่ทิ่มลงพื้น ตัวรถยังคงสามารถรักษาสมดุลไว้ได้ดี

**********บทสรุป / Conclusion**********

สิ่งที่ชอบใน Navara Black Edition อยู่ที่เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังอยู่ ที่มีพละกำลังเหลือเฟือสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน ประกอบกับอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มาค่อนข้างครบ เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 849,000 บาท ส่วนช่วงล่างที่ติด Firm นั้นโดยส่วนตัวผมรู้สึกชอบ เพราะแม้จะแข็ง แต่ทรงตัวเวลาเข้าโค้งได้ดีไม่ย้วย ไม่โยนจนเกินไป

ส่วนที่ยังมองว่าน่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้กว่านี้ คือ พวงมาลัยที่มีน้ำหนักเบาพอสมควรในช่วงความเร็วเดินทาง คิดว่ายังต้องอาศัยความเคยชินสักหน่อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรถที่เคยใช้อยู่ ถ้ารถที่ขับเดิมเป็นกระบะอายุเกิน 10 ปี คงจะไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ขยับมาจากรถเก๋งขนาดกลาง หรือ SUV ขนาดกลาง อาจรู้สึกเมื่อยล้าแขนในการขับทางไกล

ด้วยความที่ Navara D23 เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 แม้ว่าจะผ่านการ Minorchange ที่มาพร้อมกับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยพื้นฐานรถที่เริ่มมีอายุ อาจมีความไม่ทันสมัยให้เห็นอยู่บ้างในบางจุด สำหรับผมส่วนที่เห็นชัดคงเป็นการออกแบบภายในรถที่เริ่มดูมีอายุ

Q : จุดเด่นคืออะไรถ้าเทียบกับรุ่นตกแต่งพิเศษจากค่ายคู่แข่ง?

A : ได้เครื่องเทอร์โบในราคาถูกกว่าชาวบ้าน และออฟชั่นที่ไม่น้อยหน้าใคร

ปัจจุบัน รถกระบะเกือบทุกค่ายล้วนออกรุ่นตกแต่งพิเศษเพื่อกระตุ้นยอดขายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Isuzu D-max X Series, Mitsubishi Triton Athlete, Mitsubishi Triton RALLIART, Toyota Hilux Revo GR Sport แต่ราคาขายของรถกระบะแต่งจากแต่ละค่ายนั้น มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD)ค่อนข้างมาก หรือพูดง่ายๆคือราคาค่อนข้างโดด นั่นเป็นเพราะรุ่นที่ถูกนำมาเป็นพื้นฐานสำหรับการแต่งนั้นแตกต่างกัน บ้างก็เอารุ่นท็อปสุดมาแต่ง และบ้างก็เอารุ่นย่อยกลางมาแต่ง กรณี Navara Black Edition นั้นเป็นการนำรุ่นยกสูง รุ่นย่อยกลาง ๆ มาสวมชุดแต่ง จึงใกล้เคียงกับ Isuzu D-max X Series Highlander มากที่สุด

Nissan Navara Black Edition  

  • 2.3 Calibre 2 ประตูยกสูง M/T 799,000
  • 2.3 Calibre 2 ประตูยกสูง A/T 849,000 (Twin-Turbo)
  • 2.3 Calibre 4 ประตูยกสูง M/T 884,000
  • 2.3 Calibre 4 ประตูยกสูง A/T 934,000 (Twin-Turbo)

Isuzu D-max X Series

  • 1.9 Highlander 2 ประตูยกสูง M/T 848,000
  • 1.9 Highlander 4 ประตูยกสูง M/T 952,000
  • 3.0 Highlander 4 ประตูยกสูง A/T  987,000

เมื่อเทียบรุ่น 2 ประตูตอนครึ่งของ Navara Black Edition และ Isuzu D-Max X-series สิ่งที่ Navara มีเหนือกว่าชัดเจนคือเครื่องยนต์ 2.3 เทอร์โบคู่ ที่มีแรงม้ามากถึง 190 แรงม้า พร้อมทั้งได้เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ในขณะที่ Isuzu D-max X Series ได้เครื่อง 1.9 ที่มีแรงม้าเพียง 150 แรงม้า และเป็นรถรุ่นเกียร์ธรรมดา ส่วนเรื่องอุปกรณ์มาตรฐานจัดว่ามีพอๆกัน โดยสิ่งที่ Isuzu มีมากกว่าคือเบาะหนัง คอนโซลหน้าหุ้มหนัง ลำโพง 6 ตำแหน่ง ส่วนสิ่งที่ Nissan มีมากกว่าคือ กล้องรอบคัน 360 องศา แอร์หลัง และล้อ18 นิ้ว

ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนที่มีนิสัยชอบกระแทกคันเร่งบ่อย ๆ เจอรถขับช้าไม่ได้จะต้องขับแซงหน้า Navara จะเป็นรถที่น่าสนใจมาก ๆ คันหนึ่ง เพราะในตลาดรถกระบะวันนี้ เรียนตามตรงว่านาวาร่าเป็นรถกระบะเครื่องโบคู่ ที่ถูกที่สุดในตลาดแล้วล่ะครับ แต่ทว่าถ้าไม่ได้อินกับรถเครื่องแรงๆจากโรงงาน คงต้องลองพิจารณาปัจจัยอื่นเพิ่มเติมว่าชอบรุ่นไหนมากกว่า

Q : ถ้าอยากได้ Navara อยู่แล้วจะซื้อ Black Edition ดีไหม ?

A : รูปด้านบนคือคำตอบ

คิดว่าระหว่างคันสีเงินตัวธรรมดา กับคันสีขาว Black Edition คันไหนสวยกว่า ให้ซื้อคันนั้นเลยครับ เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Black Edition เป็นการนำ Navara Calibre รุ่นย่อย E ซึ่งเป็นถือเป็นรุ่นรองท็อปมาสวมชุดแต่ง โดยไม่ได้มีการเพิ่มอุปกรณ์พื้นฐานใด ๆ เลย เท่ากับว่าราคาที่เพิ่มขึ้นมา 35,000 เป็นราคาชุดแต่ง Black Edition ทั้งสิ้น ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบกระบะทรงหรูหรา แต่ชอบกระบะทรงดุดัน ดูมีความแกร่ง ผมว่าน่าจะเหมาะกับ Black Edition เพราะถ้าไปซื้อรุ่นธรรมดา ผมคิดว่าคงคันไม้คันมือ หาพาร์ทแต่งมาใส่แทกระจังหน้าโครเมียมเดิมแน่ ๆ และการไปหาซื้อของแต่งเองภายหลังนั้น แม้ว่าจะดีตรงที่เราได้เลือกของแต่งตามใจชอบ แต่ทว่าในด้านคุณภาพก็ไม่ได้มีการรับประกันในทำนองเดียวกับของแต่งที่มาจากโรงงาน อีกทั้งยังไม่สามารถเอาราคาของแต่งที่ซื้อทีหลังเข้าไปรวมกับยอดจัดไฟแน้นซ์ได้ หมายความว่าคุณอาจจะต้องจ่ายเงินซื้อชุดแต่งด้วยเงินสด ดังนั้นถ้าชอบหน้าตาอันดุดันของแต่ง Black Edition การซื้อ Black Edition ก็คุ้มค่ากว่าตัวธรรมดารุ่น E พอสมควร 

แม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น 35,000 จากรุ่น E แต่ราคาก็ยังถูกกว่ารุ่นท็อปของแต่ละตัวถังพอสมควร สำหรับตัวถัง 2 ประตู King Cab จะมีรุ่นท็อปสุดคือรุ่น Calibre V ซึ่งยังคงแพงกว่ารุ่น Black Edition อยู่ 40,000 บาท และสำหรับตัวถัง 4 ประตู Double Cab จะมีรุ่นท็อปสุด(ขับ 2)คือรุ่น Pro 2X ซึ่งยังคงแพงกว่า Black Edition 4 ประตูอยู่ถึง 96,000 บาท อุปกรณ์ที่ได้เพิ่มขึ้นมาในรุ่นท็อปหลักๆแล้วเป็นระบบความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนรถในมุมอับ BSM ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน IEB ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน LI หรือระบบถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งในรุ่น Pro 2X ดังนั้นลองชั่งน้ำหนักดูครับว่าต้องการระบบความปลอดภัยเหล่านี้มากเพียงใด


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

บริษัท Nissan Motor ประเทศไทย จำกัด
สำหรับการเชิญทดลองขับ

KANVITZ (Navarat Panutat)

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน 
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด
เป็นของ Nissan Motor ประเทศไทย และผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com  

1 สิงหาคม 2022

Copyright (c) 2022 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
 

First published in www.Headlightmag.com.

1 August 2022