(Video Clip version of this Full Review is now available at the end of this article)
(วีดีโอ คลิป ทดลองขับ ของรถคันนี้ เลื่อนลงไป อยู่ด้านล่างสุดของบทความนี้ )
นับตั้งแต่ 1 เมษายน 2023 วันที่ Hyundai Motor เกาหลีใต้ ใช้เวทีในบูธงาน Bangkok International Motor Show ประกาศความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ การทำตลาดรถยนต์ Hyundai ในประเทศไทย ด้วยการลงทุนเข้ามาเปิดบริษัทใหม่ ชื่อ Hyundai Mobility Thailand เพื่อรับช่วงสืบทอด การนำเข้า ผลิต จำหน่าย และให้บริการ รถยนต์ Hyundai ในสยามประเทศ แทน Hyundai Motor Thailand ซึ่งเป็นบริษัทของกลุ่มพันธมิตรด้้งเดิม อย่าง Sojitsu Trading Company จากญี่ปุ่น
ในตอนนั้น มีผู้คนจำนวนมาก พากันเข้าใจผิดว่า Hyundai จะเลิกขายรถในเมืองไทยแล้ว…จนถึงขั้น สื่อมวลชนรายใหญ่อย่างข่าวสด เอาไปเล่น ป้นข่าวจนเป็นกระแสขึ้นมาอย่างทะเล่อทะล่า ผู้คนพากันเชื่อเป็นตุเป็นตะทั้งเมืองไทย
เวลาที่เราได้ยินข่าวคราวอะไร ก็เที่ยวลือกันไปทั่วเป็นไฟลามทุ่งในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ฟังให้ละเอียดๆ จบๆ ครบๆ ให้ดีเสียก่อนที่จะไปกระจายต่อ เป็นธรรมดาแหละ คนส่วนใหญ่ ชอบลือในสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง แต่พอข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ถูกต้องกระจ่างออกมา กลับทำเป็นเงียบกริบ ไม่เห็นช่วยแชร์กระจายข่าวเหมือนตอนแรกกันเลย
อ่ะ! จะสรุปให้ตรงนี้ละกันว่า ผู้จำหน่ายรายเดิม เขาเริ่มได้รับการติดต่อมาจาก สำนักงานใหญ่ในเกาหลีใต้ ตั้งแต่ช่วง กลางปี 2022 แล้วว่า จะขอสิทธิ์ในการทำตลาด Hyundai ในบ้านเรา กลับมาถือไว้เอง สรุปว่า ต่อจากนี้ บริษัทแม่จากเกาหลีใต้ จะมาลุยตลาดรถยนต์ Hyundai ในเมืองไทยด้วยตัวเองเสียที!
นับตั้งแต่ปลายปี 2007 เป็นต้นมา ตลอดเวลาหลายปีที่กลุ่ม Sojitsu ทำตลาดรถยนต์ Hyundai ในประเทศไทย คุณอาจสังเกตว่า แม้จะเริ่มต้นด้วยการเปิดตัว Sedan รุ่น Sonata พร้อมกับ Coupe และ SUV รุ่น Santa Fe ทว่า พวกเขาประสบความสำเร็จเฉพาะแค่รถตู้ H-1 ซึ่งเปิดตัวในเมืองไทย ณ งาน Motor Expo 2007 และขายดิบขายดีเป็นตัวชูโรงมานานหลายปี นานพอจะส่งอานิสงค์ผลบุญมายัง รถตู้ Staria รุ่นล่าสุดนี้ ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 อยู่ด้วยบ้างแค่นั้น
อันที่จริง Sojitsu เคยทดลองนำ Sonata รุ่นปี 2008 มาว่าจ้างให้ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ทดลองประกอบ อยู่ในช่วงสั้นๆ คือปี 2008 แต่เนื่องจากมียอดขายสู้คู่แข่งไม่ได้ ทำให้ Sojitsu เข็ดกับการลงทุนประกอบรถยนต์ในบ้านเรา และหันมาให้ความสำคัญกับการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป เป็นการทดแทน ผลที่ตามมาคือ ทั้ง Sonata รุ่นที่ 6 , Coupe, Santa Fe, Elantra, Veloster, Ionic EV, Kona Electric ต่างก็เจอภาษีนำเข้าที่แพงมาก จนไม่อาจตั้งราคาให้แข่งขันกับตลาดได้ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ เลยพากันเมินหนีจากรถยนต์นั่งของ Hyundai ไปอย่างน่าเสียดาย
ล่าสุด ในปี 2022 พวกเขาก็ส่ง B-SUV รุ่น Creta เข้ามาเปิดตลาด ด้วยรูปลักษณ์ที่เชยสะบัดช่อ แถมราคาที่แพงเอาการ ลูกค้าเลยพากันมองข้ามคุณงามความดี จากสมรรถนะการขับขี่ และความสบายในห้องโดยสาร หันกลับไปคบหาคู่แข่งชาวญี่ปุ่นไปจนหมดสิ้น ถึงขั้นต้องออก แคมเปญล้างสต็อก ให้ส่วนลด และแถมทองคำอีกต่างหาก จนหมดสต็อกไปแล้ว และเพิ่งจะนำกลับมาทำตลาดใหม่อีกรอบ ด้วยรุ่น Black Edition เมื่อ 5 กรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปยังช่วงกลางปี 2022 ในตอนนั้น Hyundai เกาหลีใต้ เอง ก็เริ่มส่งคนเข้ามาดูลาดเลาตลาดเมืองไทย อย่างจริงจัง เริ่มศึกษาอย่างละเอียด ถึงความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาทำในสิ่งที่ ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์จีน ไม่ค่อยทำ คือ ใส่ใจ และตั้งคำถามกับคนไทย เรื่องคุณภาพของบริการหลังการขาย ซึ่งจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็กำลังทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องในประเด็นนี้อยู่
คำถามก็คือ ผ่านไปเกือบ 2 ปี พวกเขาทำอะไรไปแล้วบ้าง?
สิ่งที่ผมพอจะบอกกับคุณผู้อ่านได้ก็คือ ตอนแรก พวกเขา เริ่มจาก ย้ายสำนักงานใหญ่ จากริมถนนวิภาวดีรังสิต เข้ามาเช่าพื้นที่ บนชั้น 18 อาคาร Exchange Tower สี่แยกอโศก อันแสนติดขัดทุกเย็นวันฝนตก นั่นแหละ Office แห่งใหม่นั้น ดูแน่นไปด้วยจำนวนโต๊ะทำงาน และพนักงานหน้าใหม่ๆ อายุยังน้อย แถมพนักงานใหม่ๆที่รับเข้ามา ก็ดันเป็นคนคุ้นเคยในชีวิตผม อยู่ 2-3 คน อาจมีเจ้าหน้าที่ชุดเก่า ที่เปลี่ยนถ่ายมาจาก Hyundai Motor Thailand บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก และส่วนใหญ่ ก็จะพากันบ่นว่า หาของกินตอนเที่ยง ลำบาก แถมค่าครองชีพสูงอีกต่างหาก ที่จอดรถ ก็คอนข้างน้อย ยังดีที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS พอได้อยู่ สุดท้าย ก็ยังต้องเช่าพืนที่โชว์รูมวิภาวดีรังสิตเดิม ปรับปรุงเป็น Flagship Showroom และศูนย์บริการ รวมทั้ง Service Training ในชื่อ “H-Space”
หลังจากนั้น พวกเขาก็ เตรียมการทุกอย่าง ให้เข้าที่เข้าทาง ประชุมกันหนักมาก งานการแต่ละแผนก ก็หนักหนามาก ผมเข้าใจดีเลยละ เพราะหลังจากผมเดินทางกลับมาจากไปเยี่ยมชมกิจการของ Hyundai ที่เกาหลีใต้ ครั้งที่ 2 ในชีวิต เมื่อเดือนมีนาคม 2023 ที่ผ่านมา และเป็นครั้งแรก หลังจากเคยไปเยือนเมื่อปี 2011 ผมพบว่า ความคาดหวังของคนเกาหลีใต้ ที่จะเห็นการเติบโตของ Hyundai ในตลาดเมืองไทย งวดนี้ สูงมาก แต่ก็เต็มไปด้วยอุปสรรคมาก ซึ่งต้องพึ่งพาการลงทุนระดับมโหฬารมากเช่นเดียวกัน เพื่อลดปัญหาและข้อจำกัดต่างๆให้น้อยลง
ในทางกลับกัน ฝั่งของผู้บริโภคชาวไทยนั้น ต้องยอมรับว่า เราอยากจะเห็นผลลัพธ์ จากการมาลุยตลาดบ้านเราด้วยตัวเองของ Hyundai เกาหลีใต้ เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น การรอคอยว่า เมื่อไหร่จะนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเสียที มัวแต่ขายรถตู้ จนคนเข้าใจว่า แบรนด์ Hyundai มีแต่รถตู้ กันไปแล้ว รวมทั้งยังอยากเห็นจำนวนโชว์รูมและศูนย์บริการ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ อีกมากมาย
อย่างไรก็ตาม ในงาน Motor Expo เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 Hyundai ก็ทำ Surprise ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ทีเดียว 3 รุ่นรวด นั่นคือ การประกาศราคาจำหน่ายของ รถยนต์ไฟฟ้า Hyundai IONIQ 5 การนำ Mid-Size SUV รุ่น Santa Fe ขุมพลัง Hybrid มาเปิดตัว เป็นประเทศสุดท้ายในโลก (ในเกาหลีใต้เขามีรุ่นใหม่ออกมาแล้วไงละ) และที่น่าตกใจคือ การเปิดตัว Hyundai Elantra N เพื่อหวังสร้าง Brand Image ด้าน Performance ในสายตาคนไทย (แต่จนถึงตอนนี้ มีแต่นักเล่นรถสายลึกเท่านั้นที่รู้จักแบรนด์ N) ก่อนจะตามมาด้วย ็ัีืHyundai IONIQ 6 SUV ร่างยักษ์ Hyundai Palisade 2.2 Diesel Turbo CRDi FWD รวมทั้ง Hyundai Creta N-Line Minorchange และล่าสุด กับ Hyundai Santa Fe 1.6 Hybrid Turbo FWD Full Modelchange นำเข้าจาก Vietnam กดราคาขายให้ต่ำสุดจนเกือบจะเข้าเขตแดนขาดทุนกันเลย
ไม่เพียงเท่านั้น Hyundai ยังเลือกทำเล ตึก True Digital Park สุขุมวิท 101/1 ใช้เป็น Flagship Showroom ในชื่อ Hyundai IONIC LAB สำหรับสื่อสารเรื่อง Brand และเป็นจุดสำหรับส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้า 100 คันแรก เปิดตัวไปเมื่อ เดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา ที่นี่จะใช้เป็นฐานบัญชาการ ในการดูแลลูกค้ากลุ่ม IONIQ และ เป็น Office เริ่มต้นเพื่อเตรียมการนำแบรนด์รถยนต์ระดับหรูอย่าง GENESIS เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ช่วงอนาคตอันใกล้นี้
ทว่า นับจากการเริ่มต้นชิมลางตลาดเมืองไทย ด้วยตนเอง เป็นครั้งแรก ด้วยรถยนต์ ที่ถูกผลิตขึ้นจาก โรงงานแห่งใหม่ล่าสุด ณ เมือง คาวารัง Indonesia นั่นก็คือ Hyundai Stargazer หรือ “หม้อทอด Junior” คันนี้ จนถึงปัจจุบัน ถ้าพูดตรงๆก็คือ ยอดขายทำได้แค่ประมาณหนึ่ง แต่ยังไม่ดีพอ จนชวนให้สงสัยว่า รถที่ขับดี ใช้งานได้ดี แต่ทำไมขายไม่ดี?
ผมจะพาไปหาข้อสรุปให้คุณได้อ่านกันครับ
ทำไมต้องเป็น “หม้อทอด Junior?”
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ Hyundai เปิดตัวรถตู้ Staria เป็นครั้งแรกในโลก เมื่อปี 2021 ก่อนจะเข้าเมืองไทยในระดับไวปานกามนิตหนุ่ม รูปทรงของตัวรถที่ Hyundai อธิบาย ว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก ยานเดินทางในอวกาศ Space Odyssey นั้น มันดันไปคล้ายคลึง กับ หม้อทอดไฟฟ้า รุ่น Top ของ PHILLIPS ผู้ผลิตเครื่องไฟฟ้า จาก Netherlands ที่ กำลังได้รับความนิยมในหมู่ พ่อบ้านแม่บ้านชาวไทย ช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้านจากการระบาดของ Covid-19 ก่อนหน้านี้ พอดีเป๊ะ ถือเป็น Hyundai รุ่นแรก ที่ถูกรังสรรค์ขึ้น ภายใต้ แนวทางการออกแบบยุคใหม่ ของ Hyundai ซึ่งมีไฟ Daytime Running Light เป็นแถบ LED แนวยาว และย้ายไฟหน้ามาไว้ ด้านข้าง กระจังหน้า ซึ่งถูกย้ายลงมาอยู่กับเปลือกกันชนหน้าพร้อมกันทั้งยวง กลายเป็นงานออกแบบที่ สร้างเอกลักษณ์ให้กับรถยนต์ Hyundai ขึ้นมาใหม่ทันที
พอมาถึง Stargazer ทีมออกแบบของ Hyundai ต้องการสร้างแรงกระเพื่อมต่อเนื่อง ก็เลยยกเอางานออกแบบด้านหน้าของ Staria มาวางให้กับ Stargazer ไปพร้อมกันด้วยเลย นัยว่า เพื่อสร้างเอกลักษณ์งานออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียว ง่ายต่อการจดจำของลูกค้าในทันทีที่พบเห็นว่านี่คือรถยนต์ Hyundai ยุคใหม่
แล้วทำไม ต้องเป็น “Stargazer” จุดเริ่มต้นความเป็นมา เป็นอย่างไร?
Hyundai Stargazer เป็น รถยนต์ Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนา Emerge Market ซึ่งถูกสร้างขึ้น ภายใต้รหัสโครงการ “KS” บนโครงสร้างพื้นตัวถัง K2 Platform สำหรับรถยนต์นั่งในกลุ่ม B-Segment ซึ่ง Hyundai กับ Kia Motors พัฒนาร่วมกัน โดยมีรถยนต์ฝาแฝด ร่วม Platform อีกรุ่น นั่นคือ Kia Caren รหัสโครงการพัฒนา “KY”
ครับ อ่านไม่ผิด…ลื่นปรื๊ดกันเลยทีเดียว!
งานพัฒนา Stargazer เริ่มต้นขึ้น ในช่วงปี 2018 ในระหว่างที่ Hyundai กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดตลาดรถยนต์ Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง ในย่าน ASEAN โดยมี Indonesia เป็นตลาดหลักที่พวกเขาให้ความสำคัญ แน่นอนว่า ความสำเร็จ ของ Toyota Avanza / Veloz และ Mitsubishi Xpander คือเหตุผลหลักที่ทำให้ Hyundai ตัดสินใจ เริ่มทำโครงการรถคันนี้ขึ้นมา เพื่อหวังจะพิสูจน์ว่า ชาวเกาหลีใต้ ทำรถยนต์ออกมาได้ดีกว่าคนญี่ปุ่นแล้ว
จากการสำรวจวิจัยตลาดอย่างจริงจังของ Hyundai พบว่า ลูกค้าในประเทศแถบ ASEAN นั้น ต้องเผชิญปัญหาคล้ายคลึงกัน ทั้งจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนจากฝนตก พายุกระหน่ำ สภาพถนนที่ค่อนข้างย่ำแย่ในภาพรวม 2 เหตุผลนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด ทำให้ผู้คนต้องใช้เวลาเดินทาง อยู่ในรถเป็นเวลานานๆเกินจำเป็น ดังนั้น ถ้าทำรถยนต์ Minivan ที่มีบรรยากาศภายในห้องโดยสาร โปร่งสบาย ให้สัมผัสที่ Premium ขึ้นจากวัสดุที่เลือกใช้ รวมทั้งมีคุณภาพการขับขี่ สมรรถนะที่ดีเพียงพอ สำหรับบรรทุกสมาชิกในครอบครัวสูงสุด 7 คน พร้อมสัมภาระ แต่ต้องประหยัดน้ำมัน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ แต่มาในรูปลักษณ์ล้ำสมัย พร้อมการบริการที่ไว้วางใจได้ นั่นละคือคำตอบที่จะทำให้ Hyundai เอาชนะใจลูกค้าใน Indonesia และภูมิภาค ASEAN ได้
Stargazer ปรากฎโฉมสู่สาธารณชนครั้งแรกในโลก ผ่านการเปิดตัว ระดับ World Premier แบบ Online เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2022 โดย Hyundai Motor Indonesia ประกาศ เปิดรับจอง Stargazer อย่างไม่เป็นทางการ พร้อมเผยข้อมูล สเป็ก “คร่าวๆ” ของตัวรถ และราคาจำหน่าย ออกมาก่อน
จากนั้น Hyundai Stargazer ก็ถูกส่งไปอวดโฉมอย่างเป็นทางการ บนเวทีของบูธ Hyundai ในงาน Gaikindo Indonesia International Auto Show (GIIAS) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2022 เสียงตอบรับของลูกค้าชาว Indonesia ถือว่าดีมาก มียอดสั่งจองหลังเปิดตัวเยอะพอสมควร
Vietnam เป็นประเทศที่ 2 ที่ได้สัมผัส Stargazer การเปิดตัว มีขึ้น เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2022 โดยมีให้เลือกทั้งรุ่น Standard , Special และ Premium อย่างไรก็ตาม ลูกค้าชาวเวียตนาม อาจได้พบกับเวอร์ชันประกอบในประเทศของตนเอง ช่วงปลายปี 2023 นี้
Philippines ตามมาเป็นประเทศที่ 3 การเปิดตัว มีขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 โดยมีให้เลือกทั้งรุ่น GL , GLS และ GLS Premium ซึ่งมาพร้อมระบบ Hyundai SmartSense จะสังเกตได้ว่า ทุกประเทศที่ Stargazer เข้าไปจำหน่าย Hyundai จะมีทางเลือก 3 ระดับการตกแต่งเหมือนกันหมด ต่างกันแค่ชื่อเรียกที่เหมาะสมกับตลาดนั้นๆ
ส่วนลูกค้าชาวไทย ต้องอดใจรอกันยาวนานพอสมควร เพราะในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2022 ทาง Sojitsu ตัวแทนจำหน่าย Hyundai ในเมืองไทย ได้รับการติดต่อ จาก Hyundai Motor เกาหลีใต้ ขอสิทธิ์ในการทำตลาดรถยนต์ ของตนในบ้านเรา คืนกลับมาอยู่ในอ้อมอกของชาวเกาหลีใต้ ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการยืนยันว่า Stargazer จะมาเมืองไทยแน่นอน ทาง Hyundai Motor Thailand ในขณะนั้น จึงตัดสินใจ นำ Stargazer คันต้นแบบ ที่สั่งนำเข้ามาเพื่อทำเรื่องยื่นขอตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐานมลพิษ ให้ผ่านข้อกำหนด Homo-location ของบ้านเรา ดึงมาจัดแสดงเรียกน้ำย่อยกันก่อน ในงาน Motor Expo เมื่อ 1 ธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา แม้จะได้รับความสนใจประมาณหนึ่ง ทว่า ในรอบประชาชนทั่วไป Hyundai ไม่ได้เปิดให้สาธารณชนขึ้นไปทดลองนั่งทั้งสิ้น เพราะอุปกรณ์บางอย่าง ของรถคันสีดำที่จัดแสดง ในงานดังกล่าว มีบางส่วนที่อาจยังไม่ตรงกับสเป็กที่จะจำหน่ายในประเทศไทย ทำให้ลูกค้าที่กำลังเล็งรถยนต์รุ่นนี้ ต่างเซ็งเป็ดไปตามๆกัน
กว่าที่ Stargazer จะพร้อมเปิดตัวในเมืองไทย ต้องรอกันจนถึง วันที่ 20 มีนาคม 2023 จึงมีการแถลงราคาอย่างเป็นทางการออกมา ส่วนรถคันจริง เปิดให้ลูกค้าบ้านเราได้ยลโฉมกันเป็นครั้งแรก เมื่อ 31 มีนาคม 2023 ณ งาน Bangkok International Motor Show ที่ Challenger Hall เมืองทองธานี โดยในวันรุ่งขึ้น มีการประกาศเปลี่ยนผู้จำหน่ายในเมืองไทย จากเดิม Hyundai Motor Thailand (กลุ่ม Sojitsu ญี่ปุ่น) มาเป็น Hyundai Mobility Thailand (บริษัทแม่จากเกาหลีใต้ มาลุยเองทั้งยวง)
กระนั้น กว่าที่รถคันจริงจะพร้อมให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ และพร้อมปล่อยให้ลูกค้าที่สั่งจองไปก่อน ก็ต้องรอกันจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมา รถล็อตแรก จึงลงเรือมาถึงเมืองไทย ได้ในที่สุด
ช่วงแรกที่เปิดตัว Stargazer เวอร์ชันไทย มีให้เลือก 5 รุ่นย่อย ด้วยราคาดังนี้
- Stargazer 1.5 IVT Trend : 769,000 บาท
- Stargazer 1.5 IVT Style : 829,000 บาท
- Stargazer 1.5 IVT Smart 7 : 869,000 บาท
- Stargazer 1.5 IVT Smart 6 : 889,000 บาท
- Stargazer 1.5 IVT Smart 6 Black Roof : 909,000 บาท
หลังจากนั้น ไม่นานนัก วันที่ 10 สิงหาคม 2023 Hyundai ใช้เวทีในงานแสดงรถยนต์ GAIKINDO Indonesia International Auto ครั้งที่ 30 ณ ประเทศ Indonesia เปิดตัว Hyundai Stargazer X เวอร์ชันยกสูงขึ้นกว่าเดิม อีก 30 มิลลิเมตร หวังประกบกับ Mitsubishi Xpander CROSS เต็มๆ
26 กันยายน 2023 Hyundai Stargazer X ถูกส่งตามมาเปิดตัวในเมืองไทย ทิ้งห่างจากใน Indonesia เพียงแค่ 1 เดือนเศษๆ ด้วยราคา 939,000 บาท โดยเวอร์ชันไทย มีรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงดังนี้
- ปรับดีไซน์ภายนอก ตามแนวคิด X Dedivated
- เพิ่มการตกแต่งรอบคันสไตล์ Crossover
- เปลี่ยนล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ลายใหม่
- เพิ่มราวหลังคาแบบ Built-in
- เปลี่ยนการตกแต่งภายในเป็นโทนสีดำ – แดง
- Ground Clearance สูงขึ้น 5 มิลลิเมตร
- ความสูงเพิ่มขึ้น 30 มิลลิเมตร
- เพิ่มเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold
29 มีนาคม 2024 Hyundai นำ Stargazer X ไปปรับปรุงอุปกรณ์ใหม่ และเพิ่มทางเลือกรุ่นย่อยใหม่ อีก 2 รุ่น ดังนี้
- เพิ่มรุ่นย่อย X7 เบาะนั่ง 3 แถว 7 ตำแหน่ง
- เพิ่มรุ่นย่อย X6 มาพร้อมชุดเครื่องเสียง BOSE (อุปกรณ์อื่นๆ เหมือนกันกับรุ่น X ปกติ)
- ราคารุ่น X6 เพิ่มขึ้นจากรุ่น X ปกติ 10,000 บาท
- เพิ่มสีตัวถังภายนอก สีทอง Gravity Gold Matte +10,000 บาท (เฉพาะรุ่น X7 และ X6)
- เพิ่มสีตัวถังภายนอก สีขาว Optic White Matte +10,000 บาท (เฉพาะรุ่น X7 และ X6)
ราคาอย่างเป็นทางการ
- Stargazer X7 (7 ที่นั่ง) : 929,000 บาท (NEW)
- Stargazer X (6 ที่นั่ง) : 939,000 บาท
- Stargazer X6 (6 ที่นั่ง) : 949,000 บาท (NEW)
หลังจากนั้นมา Hyundai ก็แทบไม่ได้ปรับปรุงอะไรให้กับ Stargazer อีกเลย ยอดขายในภาพรวม ก็แค่ พอไปได้ แต่ไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า การโฆษณายังไม่เข้าถึงผู้บริโภคส่วนใหญ่ มากเท่าที่ควร
มิติตัวถัง / Dimension
Hyundai Stargazer มีความยาวทั้งคัน 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร สูง 1,695 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,780 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/หลัง 1,559 และ 1,572 มิลลิเมตร ระยะห่างจากจุดต่ำสุดของพื้นใต้ท้องรถถึงพื้นถนน (Ground Clearance) 195 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 40 ลิตร น้ำหนักตัวรถ 1,209 – 1,272 กิโลกรัม ตามแต่ละรุ่นย่อย
เมื่อเปรียบเทียบกับ Honda BR-V ใหม่ ซึ่งมีความยาวของตัวรถอยู่ที่ 4,490 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร สูง 1,685 มิลลิเมตร (รุ่น EL) ระยะฐานล้อ 2,695 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า /หลัง (Front & Rear Track) อยู่ที่ 1,548/1,540 มิลลิเมตร ระยะห่างจากจุดต่ำสุดของรถถึงพื้นถนน (Ground Clearance) อยู่ที่ 209 มิลลิเมตร ถังน้ำมันมีความจุ 42 ลิตร จะพบว่า Stargazer สั้นกว่า BR-V ใหม่ 30 มิลลิเมตร ทั้งคู่มีความกว้างเท่ากัน แต่ Stargazer สูงกว่า 10 มิลลิเมตร มีระยะฐานล้อยาวกว่า BR-V ใหม่ ถึง 85 มิลลิเมตร แต่ระยะ Ground Clearance เตี้ยกว่า BR-V 14 มิลลิเมตร
ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับ Mitsubishi Xpander ซึ่งมีความยาว 4,475 มิลลิเมตร กว้าง 1,750 มิลลิเมตร สูง 1,700 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นรถ Ground Clearance สูงถึง 225 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ 1,290 กิโลกรัม ถังน้ำมันมีความจุ 45 ลิตร จะพบว่า Stargazer สั้นกว่า Xpander 15 มิลลิเมตร แต่กว้างกว่าถึง 30 มิลลิเมตร ทว่า เตี้ยกว่าแค่ Xpander 5 มิลลิเมตร แถมระยะฐานล้อก็ยาวกว่า Xpander แค่ 5 มิลลิเมตร กระนั้น ระยะห่าง Ground Clearance ยังเตี้ยกว่า Xpander ถึง 30 มิลลิเมตร
หรือหากลองเปรียบเทียบกับ Mitsubishi Xpander Cross ที่มีความยาว 4,500 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,750 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อซ้ายขวา (Track width) คู่หน้า 1,520 มิลลิเมตร คู่หลัง 1,510 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นรถ Ground Clearance 225 มิลลิเมตร จะพบว่า Stargazer สั้นกว่า Xpander Cross อยู่ถึง 40 มิลลิเมตร แต่แคบกว่า 20 มิลลิเมตร สูงกว่า 5 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวกว่า แค่ 5 มิลลิเมตร และระยะห่าง Ground Clearance ยังเตี้ยกว่า Xpander ถึง 30 มิลลิเมตร เช่นเดียวกัน
ถ้าเปรียบเทียบกับ Suzuki Ertiga รุ่นปกติ ซึ่งมีความยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,735 มิลลิเมตร สูง 1,690 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,740 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 180 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่า (Kerb Weight) มีตั้งแต่ 1,125 – 1,135 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร จะพบว่า Stargazer ยาวกว่า Ertiga มากถึง 65 มิลลิเมตร กว้างกว่า Ertiga 45 มิลลิเมตร แต่สูงกว่า Ertiga แค่ 5 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวกว่า Ertiga 40 มิลลิเมตร และระยะ Ground Clearance มากกว่า Ertiga 15 มิลลิเมตร
ท้ายสุด เมื่อเปรียบเทียบกับ Suzuki XL 7 ที่มีความยาว 4,450 มิลลิเมตร กว้าง 1,775 มิลลิเมตร สูง 1,710 มิลลิเมตร (ไม่รวมความสูงของราวหลังคา) ระยะฐานล้อ 2,740 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 200 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่า 1,175 กิโลกรัม จะพบว่า Stargazer ยาวกว่า XL7 10 มิลลิเมตร กว้างกว่า XL7 แค่ 5 มิลลิเมตร แต่แอบเตี้ยกว่าอยู่ 25 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อสั้นกว่าอยู่ 40 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถมากกว่า XL7 เพียง 9 มิลลิเมตร
ท้ายสุด เมื่อเปรียบเทียบกับ Toyota Veloz ที่มีความยาว 4,475 มิลลิเมตร กว้าง 1,750 มิลลิเมตร สูง 1,700 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง 1,515 / 1,510 มิลลิเมตร (รุ่น Premium) ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 205 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 43 ลิตร จะพบว่า Stargazer สั้นกว่า Veloz 15 มิลลิเมตร กว้างกว่า Veloz 30 มิลลิเมตร แต่เตี้ยกว่า Veloz แค่ 5 มิลลิเมตร แถมมีระยะฐานล้อยาวกว่า Veloz ถึง 30 มิลลิเมตร แต่ก็มีระยะห่าง Ground Clearance เตี้ยกว่า Veloz 10 มิลลิเมตร
ภายนอก / Exterior
Hyundai Stargazer มาพร้อมกับรูปลักษณ์ ทรงกล่อง แบบ Sleek one box ผสานกับแนวคิดการออกแบบ One Curve Design ตั้งแต่เสาหลังคาคู่หน้าจรดบั้นท้าย เพื่อให้ภาพรวมของตัวรถ ดูเป็นรูปทรงกล่องมีความโค้งมน ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Aerodynamic) Cd.0.33
ด้านหน้าของตัวรถมาพร้อมกับ ไฟ DRL (Daytime Running Light) แบบ Horizontal LED พาดผ่านเป็นแนวยาว ขวางหน้ารถ ในสไตล์เดียวกันกับ รถตู้ Staria ทีมออกแบบของ Hyundai อธิบายว่า เส้นไฟ DRL ที่พาดผ่านหน้ารถเปรียบเสมือนเส้นศูนย์สูตร ที่พาดผ่านโลก เนื่องจาก Stargazer จะถูกผลิตขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย และถูกทำตลาดในประเทศที่อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรเป็นหลัก (จริงๆก็ไม่เกี่ยวหรอก มันคือความจงใจที่จะให้เส้นสายของ Stargazer ล้อไปในทิศทางเดียวกับพี่ชายหม้อทอด Staria นั่นแหละ!)
ถัดลงมาเป็นชุดไฟหน้าแบบ Multi Reflector และชุดไฟเลี้ยว ซึ่งถูกย้ายตำแหน่งลงมาอยู่ที่เปลือกกันชนด้านล่าง ในรุ่นย่อย Trend และ Style จะมาพร้อมเป็นหลอดไฟแบบ Halogen ธรรมดา ส่วนรุ่นย่อย Smart จะมาพร้อมกับหลอดไฟแบบ LED นอกจากนั้นแล้วตั้งแต่รุ่นย่อย Style ขึ้นมา จะได้ระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และชุดไฟตัดหมอกคู่หน้า ที่ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่กลมกลืนกันกับชุดไฟหน้า
กระจังหน้า ถูกออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกับ เปลือกกันชนหน้า โดยตั้งแต่รุ่นย่อย Style ขึ้นมาจะใช้วัสดุตกแต่ง Plastic สีดำ พร้อมชุดตกแต่งแผงกันกระแทกใต้เปลือกกันชนหน้าและไฟหน้าสีเงิน
ด้านข้างของตัวรถมีความโค้งมนตามแนวคิดการออกแบบ One Curve Design เสา A ทอดยาวออกไปจนเลยดุมล้อหน้า เพื่อให้ห้องโดยสารภายในมีความโปร่งโล่งมากขึ้น กระจกมองข้างเป็นแบบปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว มือจับเปิดประตูรถเป็นแบบโครเมียมพร้อมปุ่มสมาร์ทคีย์ช่วยเปิดประตูอัจฉริยะทั้งฝั่งคนขับ และฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า สำหรับรุ่นย่อย Smart และ Style ส่วนรุ่นย่อย Trend จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ
ด้านท้ายของ Stargazer ถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์ โดดเด่น พอกันกับด้านหน้ารถ ด้วยชุดไฟท้าย H-shape โดยไฟหรี่ท้ายจะเป็นแบบ LED ซึ่งจะเรืองแสงเป็นรูปตัว H ในเวลาค่ำคืน คล้ายกับ ยานอวกาศในภาพยนตร์ Sci-Fi รวมทั้ง คล้ายกับไฟ้ายของ Mitsubishi Xpander ด้วย ทว่าเมื่อเหยียบเบรก ไฟเบรก จะติดสว่างขึ้นมา เต็มพื้นที่สามเหลี่ยมที่เหลือทั้งหมด แม้จะดูเต็มพื้นที่ เต็มตา แต่ ไฟเลี้ยว และไฟถอยหลังยังคงเป็นแบบ Halogen ธรรมดา แถมยังมีขนดเล็กราวกับแสงหิ่งห้อยเสียอย่างนั้น ได้แต่หวังว่า รุ่นปรับโฉม Minorchange ในอนาคต จะมีการออกแบบไฟเลี้ยว และไฟถอยหลัง ให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย
ทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ฝังมาให้ในสปอยเลอร์ด้านหลัง ที่ติดตั้งอยู่เหนือฝาประตูท้าย กระจกหน้าต่างบานหลัง มีชุดขดลวดไล่ฝ้าไฟฟ้า และใบปัดน้ำฝนด้านหลังพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจก ส่วนเปลือกกันชนหลัง มาพร้อมกับแผงกันกระแทกใต้เปลือกกันชนหลังสีเงิน และชุดทับทิมสีแดงทรงสามเหลี่ยม สะท้อนแสงที่มุมเปลือกกันชนหลังทั้งสองฝั่ง
ล้อและยางของ Stargazer ทุกรุ่นย่อยจะมีขนาดเท่ากัน โดยมาพร้อมกับล้ออลูมินั่มลอยขนาด 16×6.5 นิ้ว รัดด้วยยาง KUHMO SOLUS HS63 ขนาด 205/55/R16 ทุกรุ่นย่อย แต่จะมีเพียงรุ่นย่อย Trend เท่านั้นที่จะได้ล้อลาย 6 ก้านคู่ ส่วนรุ่นย่อย Style และ Smart จะได้ล้อลาย Sporty แบบปัดเงา 7 ก้าน สีทูโทน
ภายใน / Interior
ระบบกลอนประตูนั้น ทุกรุ่นมาพร้อมกับระบบกันขโมย Immobilizer และระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ตามความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นหลังเริ่มออกตัว โดย รุ่นย่อย Trend จะได้ กุญแจ แบบมี Remote Control มาให้ในชุดเดียวกัน
ส่วนรุ่น Style และ Smart จะถูกอัพเกรดเป็นกุญแจ Smart Key มีดอกกุญแจฝังอยู่ด้านในตัวรีโมท มีสวิตช์ ล็อก – ปลดล็อก สวิตช์ Hold และสวิตช์ปลดล็อกฝาท้าย หน้าตาเหมือนยกมาจากกุญแจรีโมทของ Hyundai รุ่นใหม่ๆ หลายๆรุ่น
เพียงแค่แค่พกรีโมทกุญแจไว้กับตัว เดินเข้าใกล้บานประตูฝั่งคนขับ หรือฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าด้านซ้าย กระจกมองข้างไฟฟ้าจะกางออกโดยอัตโนมัติ เมื่อต้องการปลดล็อก หรือสั่งล็อกรถ ให้กดสวิตช์สีดำบนมือจับประตู หรือกดปุ่มบนรีโมทกุญแจ
ในกรณีที่ถ่านแบตเตอรี่ CR2035 ของรีโมทหมดลง ยังสามารถ ถอดดอกกุญแจในตัวรีโมท ออกมาเพื่อไขเปิดประตู ทั้งนี้ ก่อนที่จะไขเปิดประตูได้ นั้น จะต้องงัดฝาครอบรูกุญแจ บริเวณมือจับเปิดประตูก่อน (งัดจากรูด้านล่าง)
อีกจุดเด่นสำคัญ ก็คือ Smart key ดังกล่าวยังมาพร้อมกับ ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท (Remote Start Engine) เพื่อให้คุณติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ รอไว้ในระหว่างที่กำลังเดินกลับไปที่รถ ซึ่งจอดตากแดดในวันร้อนจัด ความแตกต่างที่เหนือกว่าระบบเดียวกันนี้ของ Honda นั่นคือ ตัวระบบฉลาดมาก กรณีที่กดปุ่มบทรีโมท สั่งให้ติดเครื่องยนต์ไว้ ขณะกำลังเดินกลับไปที่รถ โดยที่มีบุตรหลานนั่งเล่นรออยู่บนรถ ถ้ามีใครเกิดซุกซน เผลอกดเหยียบเบรก หรือเปลี่ยนเกียร์ แล้วระบบตรวจพบว่า ไม่มีกุญแจรีโมทอยู่ในรถ ระบบจะสั่งดับเครื่องเองโดยทันที! แต่ถ้าคุณ เดินกลับมาเปิดประตูขึ้นรถแล้ว ระบบตรวจจับสัญยาณได้ว่า มีกุญแจรีโมทอยู่ในรถแล้ว ระบบจะร้องเตือน “ติ้ง ติ้ง ติ้ง” แล้วคุณก็จะสามารถขับรถออกไปต่อได้ทันที โดยไม่ต้องกดปุ่ม Engine Start เพื่อติดเครื่องยนต์อีกรอบ! ซึ่งฉลาดกว่าระบบของฝั่ง Honda
การเข้า-ออกจาก บานประตูคู่หน้า นั้น ทำได้สะดวกสบายกว่าที่คิด ด้วยการออกแบบให้ช่องประตู มีความกว้างที่เหมาะสม จึงช่วยเพิ่มความสะดวกต่อการก้าวขึ้น – ลง จากตัวรถ กระนั้น เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar มีลักษณะลาดเอียงเป็น One Motion form อย่างที่เห็น ถ้าไม่ปรับเบาะนั่งคู่หน้าให้เตี้ยลงจนสุด และก้มศีรษะเพิ่มขึ้นจากปกติ ขณะเข้าไปนั่งในรถ ก็อาจทำให้มีโอกาสที่ศีรษะจะโขกกับเสากรอบช่องประตูด้านบนได้บ้างอยู่ดี
ขณะเดียวกัน แม้ว่าตำแหน่งเบาะนั่งคู่หน้าในระดับต่ำสุด จะถูกออกแบบให้สูงจากพื้นถนนในระดับเหมาะสมมากๆ เพื่อให้คุณก้าวเข้า – ออกจากรถ ง่ายขึ้นกว่าคู่แข่งหลายรุ่น แต่ระยะห่าง จากขอบธรณีประตู จนถึงเบาะคู่หน้า มีอยู่พอสมควร แม้จะไม่กว้างเท่ากับ Creta ก็ตาม อีกทั้ง ขอบล่างของบานประตู ไม่ได้ถูกออกแบบให้คลุมทับกาบชายล่าง คุณควรเพิ่มความระมัดระวังขณะก้าวลงจากรถ เพราะทำให้ ขากางเกงหรือชายกระโปรงมีโอกาสเลอะฝุ่นโคลนจากบริเวณขอบ Skirt ชายล่างสีดำ ด้านล่างของตัวรถ ได้บ้างเหมือนกัน
แผงประตูคู่หน้า เป็นพลาสติก Recycle สีดำ มีการกัดดลวดลายเพื่อตกแต่งเป็นเส้นโค้ง มือเปิดประตูเป็นพลาสติกแบบสีเงินโครเมียม ถัดลงมาเป็นพนักท้าวแขน หุ้มด้วยหนัง พร้อมการเดินตะเข็บด้วยด้าย สามารถวางทอนแขนได้สบายพอดี ในระดับเหมาะสม ถัดลงไป เป็นช่องวางของจุกจิกอเนกประสงค์ ซึ่งสามารถวางขวดน้ำดื่มขนด 7 บาท ได้มากถึง 3 ขวด พร้อมกัน!! ถือเป็นรถยนต์รุ่นเดียวในตลาดที่มีจุดเด่นนี้
Stargazer เวอร์ชันไทย จะมีภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้านบนเพดานด้วยสีเทา ส่วนเบาะนั่ง แผงหน้าปัด และแผงประตู จะเป็นสีดำ เพียงสีเดียว โดยแบ่งรูปแบบเบาะ และวัสดุหุ้มเบาะ แตกต่างกันไป
เบาะนั่งในรุ่น Trend มีเฉพาะแบบ 7 ที่นั่ง เท่านั้น จะหุ้มด้วยผ้าแบบสาก ส่วนรุ่น Style (มีเฉพาะแบบ 7 ที่นั่ง) และ รุ่น Smart (มีทั้งแบบ 7 ที่นั่ง และ แบบ Captain Seat 6 ที่นั่ง) จะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ผิวเรียบ แต่แอบทำความสะอาดยากนิดนึง
เบาะนั่งคู่หน้าปรับเอน นอน ได้ไม่ราบสุด ปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ด้วยคันโยกมือ ในทุกรุ่นย่อย นอกจากนี้ เฉพาะเบาะคนขับ ยังมีคันโยกปรับระดับสูง – ต่ำ เพิ่มมาให้เป็นพิเศษ นอกจากนี้ที่ด้านหลังเบาะนั่งคู่หน้าของรุ่นย่อย Style และ Smart จะมาพร้อมกับ โต๊ะวางของหลังเบาะข้างคนขับอีกด้วย
พนักพิงหลัง มีขนาดเล็กกว่าคู่แข่ง ใช้ฟองน้ำแบบ “แน่นแอบนุ่มนิดเดียว” ให้สัมผัสกับแผ่นหลัง ที่แบนดุจนั่งพิงไม้กระดานที่บุนวมแน่นแอบแข็งนิดๆ รองรับถึงบริเวณสะบักได้นิดหน่อย รองรับการเดินทางในระยะไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง ในระดับพอใช้ได้ แต่ถ้าหลังจากนั้น อาจมีอาการเมื่อยแผ่นหลังได้บ้างเหมือนกัน
พนักศีรษะ ใช่ฟองน้ำแบบ “แน่นแอบนุ่มนิดๆ” ออกแบบมาให้ไม่ดันกบาล ยกขึ้นใช้งานได้ 4 ตำแหน่ง รองรับศีรษะได้ดีพอสมควร ส่วนเบาะรองนั่ง ใช้ฟองน้ำ “แน่นแอบนุ่มนิดๆ” เช่นเดียวกัน มีความยาว และความสูงของขอบเบาะด้านข้าง ในระดับมาตรฐาน ไม่แตกต่างจากคู่แข่งฝั่งญี่ปุ่นเลย ถ้าขอบเบาะด้านหน้าจะยาวเพิ่มขึ้นอีกนิดนึงได้ก็ดี
ถ้าให้เทียบกับคู่แข่ง เบาะนั่งของ Ertiga / XL-7 ยังคงครองความนั่งสบายสมราคาในอันดับ 1 ตามด้วย เบาะของ Xpander / Xpander Cross ขณะที่เบาะของ Stargazer จัดอยู่ในระดับกลางๆ โดยมีเบาะนั่งของ Veloz และ BR-V ใหม่ ครองตำแหน่ง นั่งได้แย่สุด ตามมารั้งท้าย
น่าเสียดายว่า Stargazer ก็ยังคงมีเรื่องให้น่าตำหนิอยู่ประเด็นหนึ่ง ซึ่งไม่แตกต่างจาก Minivan สัญชาติ Indonesia คันอื่นๆ นั่นคือ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด มาให้แล้วก็จริง แต่ปรับระดับสูง – ต่ำ ไม่ได้ ไม่เข้าใจว่า จะงกต้นทุนในประเด็นนี้กันไปทำไมนักหนา ทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เลย ยังดีที่มี สัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย มาให้
การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง สำหรับผู้โดยสารแถว 2 ทำได้สะดวกโยธินอย่างมาก เพราะการเพิ่มขนาดตัวถังให้ใหญ่โตขึ้น ส่งผลให้ ช่องประตู ถูกถ่างขยายออกให้กว้างขึ้นตามไปด้วย แต่บานประตู กางออกได้แค่ระดับประมาณ ไม่เกิน 80 องศา อาจจะไม่ถึงขั้นที่คู่แข่งทำได้ แต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่าดีถมถืดแล้ว
แผงประตูคู่หลัง ตกแต่งในแนวทางเดียวกับ แผงประตูคู่หน้า เพียงแต่จะไม่มีไฟ Ambient Light มาให้ กระจกหน้าต่าง สามารถเลื่อนเปิด – ปิด ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ลงมาได้จนสุดขอบราง พนักวางแขนหุ้มด้วยหนัง สามารถวางท่อนแขนได้สบายพอดี ตั้งแต่ข้อศอก จรดปลายนิ้ว ปลายสุดของพนักวางแขน เป็นช่องวางแก้วน้ำดื่ม ที่ถูกยกระดับขึ้นมาจากด้านล่าง มาอยู่ตรงกึ่งกลางของแผงประตู เหมือนกับทั้ง Hyundai Staria และ Toyota Veloz เป็นตำแหน่งที่ผมชอบมาก เพราะช่วยเพิ่มความสะดวก ในการหยิบยกและวางเครื่องดื่ม โดยไม่ต้องควานมือลงไปด้านล่างของแผงประตูเหมือนรถยนต์รุ่นอื่นๆ ถัดลงมาเป็นช่องใส่เอกสาร และช่องวางแก้วน้ำขนาด 7 บาท อีกฝั่งละ 1 ตำแหน่ง
Stargazer ถือเป็น B-SUV Minivan รุ่นเดียวในตลาด ASEAN รวมทั้งเมืองไทย ที่มีเบาะนั่งแบบ Captain Seat มาให้ เลือกในแถวกลาง ของรุ่น Smart 6 ที่นั่ง ซึ่งเป็นรุ่น Top of the Line โดยตัวเบาะนั้น มีขนาดเล็ก ไม่ใหญ่นัก หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์
เบาะแถวกลางทั้ง ฝั่งซ้ายและขวา มีโครงสร้างรูปแบบเดียวกัน แค่สลับฝั่ง ตัวพนักพิงหลัง ใช้ฟองน้ำแบบ “แน่นแอบนุ่มนิดเดียว” ให้สัมผัสกับแผ่นหลัง ไม่แตกต่างจากเบาะคู่หน้าเท่าใดเลย คือแบนดุจนั่งพิงไม้กระดานที่บุนวม ข้อดีก็คือ มีพนักวางแขนแบบพับเก็บได้ และตัวพนักพิงหลัง สามารถปรับเอนได้ด้วยคันโยกที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของตัวพนักพิงเองนั่นแหละ เสียดายว่า ไม่สามารถปรับเอนลงไปจนนอนราบได้ แต่ก็สามารถพับมาข้างหน้าให้แบนราบได้ ในอัตราสวน 50 : 50 เพื่อเพิ่มพื้นที่ขนของในยามจำเป็น
พนักศีรษะ ใช้ฟองน้ำแบบ “แน่นแอบนุ่มนิดๆ” เช่นเดียวกับเบาะหน้า แต่มีรูปทรงเป็นตัว L คว่ำ ดังนั้น ต้องยกขึ้นใช้งาน ล็อกได้ 1 จังหวะ เพื่อไม่ให้ ขอบด้านล่าง ทิ่มตำต้นคอผู้โดยสาร ยังดีที่ออกแบบมาให้ไม่ดันกบาล และรองรับศีรษะได้ดีพอสมควร
ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่ง ใช้ฟองน้ำ “แน่นแอบนุ่มนิดๆ” เช่นเดียวกัน เบาะรองนั่ง มีความยาวลดลงจากเบาะรองนั่งคู่หน้า นิดหน่อย มุมเงยค่อนข้างน้อย แต่รองรับช่วงต้นขาพอได้อยู่
ส่วนรุ่น 7 ที่นั่ง นั้น เบาะนั่งของ แถวกลาง จะเป็นแบบ ม้านั่ง Bench Seat แยกฝั่งพับได้ ซ้าย – ขวา ในอัตราส่วน 60 : 40 เหมือนคู่แข่งรุ่นอื่นๆ โดยรุ่นย่อย Trend จะหุ้มด้วยผ้าแบบสาก ส่วนรุ่น Style และ Smart จะ Upgrade มาหุ้มเบาะด้วยหนังสังเคราะห์ และได้พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ เพิ่มเข้ามา โดย พนักพิงศีรษะเป็นแบบกึ่ง L คว่ำ สัมผัสในการนั่งโดยสาร ไมได้แตกต่างจาก เบาะรุ่น 6 ที่นั่ง มากนัก
ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 6 หรือ 7 ที่นั่ง เข็มขัดนิรภัย ของทั้ง 2 และ 3 ที่นั่งบนเบาะแถวกลาง จะเป็นแบบ ELR 3 จุด อยู่ดี
วิธีพับเบาะนั่งแถวกลาง เพื่อก้าวเข้าไปนั่งบนเบาะแถว 3 ให้ดึงคันโยกที่ด้านข้างพนักพิง โน้มไปข้างหน้า ตัวพนักพิงหลังจะพับลงจนสุด แบนราบ พร้อมกับในจังหวะนั้นเอง ฐานเบาะจะถูกปลดล็อก ให้คุณโน้มเบาะมาข้างหน้า เพื่อเปิดช่องให้คุณเข้า – ออก จากเบาะแถวหลังสุด
การก้าวขึ้น – ลง จากเบาะแถว 3 ทำได้สะดวกโยธินโคตรๆ อันเป็นผลมาจากการออกแบบช่องประตูให้มีความกว้างยาวเยอะมาก ขนาดคนตัวอ้วนอย่างผม ยังก้าวเข้า – ออก จากเบาะแถว 3 ได้สะดวก โดยไม่มีอะไรให้ต้องบ่นเลย
เบาะนั่งแถว 3 แบ่งพับได้ในอัตราส่วน 50 : 50 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ตัวพนักพิงหลัง ใช้ฟองน้ำแบบ “แน่นแอบนุ่มนิดๆ” ให้สัมผัสแบนเรียบ คล้ายกับเบาะนั่งแถว 2 ตัวพนักพิง สามารถปรับเอน ตั้งชัน และแบ่งพับได้แค่ระดับที่เห็นในภาพถ่ายข้างบนนี้
พนักศีรษะ ใช้ฟองน้ำแบบ “แน่นแอบนุ่มนิดๆ” ออกแบบเป็นรูปตัว L คว่ำ ต้องยกขึ้นใช้งาน (ล็อกได้แค่ 1 จังหวะ) ถึงกระนั้น ก็อาจจะทิ่มตำช่วงต้นคอ อยู่ดี เว้นเสียแต่ว่าจะปรับพนักพิงหลังเอนลงไป ขอบด้านล่างของพนักศีรษะ จึงจะไม่ทิ่มตำต้นคอ
เบาะรองนั่ง ใช้ฟองน้ำแบบ “แน่นแอบนุ่มนิดๆ” มีมุมเงยมากกว่า คู่แข่งหลายรุ่น ออกแบบมาให้รองรับสรีระช่วงต้นขามากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ให้ความสบายพอสมควร กระนั้น ยังไงๆ ผู้โดยสาร ก็ต้องนั่งชันขานิดๆ อยู่ดี
พื้นที่วางขา ขึ้นอยู่กับความเมตตา กรุณา ปราณี ของผู้โดยสารแถว 2 ว่าจะยอมเลื่อนขึ้นไปข้างหน้าให้คุณหรือไม่ แต่สำหรับพื้นที่เหนือศีรษะ ของผู้โดยสารแถวหลังสุดแล้ว คนตัวสูง 170 เซ็นติเมตร อย่างผม ยังเหลือพื้นที่ 2 นิ้วมือในแนวนอน ไม่ว่าจะตั้งเบาะตรง หรือปรับพนักพิงหลังให้เอนลงจนสุดก็ตาม ส่วนเข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด มาให้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา
พนักวางแขนทั้ง 2 ฝั่ง เป็น Plastic Recycle ขึ้นรูปเหนือซุ้มล้อคู่หลัง สามารถวางท่อนแขนได้ในตำแหน่งพอดี แต่ไม่มีการบุนุ่มหุ้มหนังใดๆ มีเพียงช่องวางแก้วน้ำ ฝั่งละ 1 คำแหน่ง ช่องวางของจุกจิก และปลั๊กชาร์จไฟ 12 V มาให้ เท่านั้น
ภาพรวมแล้ว เบาะนั่งแถว 3 ของ Stargazer สามารถนั่งโดยสารได้จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ แถมยังให้ความสบายในการเดินทางได้ดีตามอัตภาพอีกด้วย ถือเป็นจุดขายสำคัญ ที่ทำให้ กลุ่มลูกค้าซึ่งให้ความสำคัญกับพื้นที่เบาะแถว 3 น่าจะชื่นชอบ
ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ยกขึ้นโดยใช้ช็อกอัพ Hydraulic 2 ต้น ค้ำยันเอาไว้ ปลดล็อกได้ทั้งจาก สวิตช์ไฟฟ้า บริเวณใกล้กับไฟส่องป้ายทะเบียนหลัง หรือ กดปลดล็อกแช่ไว้ 3 วินาที บนสวิตช์ Hold ของ รีโมทกุญแจ
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังนั้น ตามสเป็กระบุว่า หากใช่งานเบาะนั่งทุกตำแหน่งตามปกติ จะมีพื้นที่ประมาณ 200 ลิตร ถ้าหากพับเบาะแถว 3 ลงไปทั้งหมด ความจุจะเพิ่มเป็น 585 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะแถว 2 ลงไปด้วย ให้พื้นห้องโดยสารแบนราบต่อเนื่องกัน พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,892 ลิตร แน่นอนว่า คุณสามารถยกจักรยานเสือภูเขา หรือสัมภาระที่ม่ความยาสกว่าปกติ เข้าไปยังท้ายรถได้ง่ายดาย
พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลังสุด ยกขึ้นมา จะเป็นถาดเก็บของ หลุมลึกแบ่งเป็น 3 ช่อง สำหรับใส่ข้าวของหรือผลไม้ที่มีกลิ่นแรง ส่วนผนังปิดซุ้มล้อคู่หลังด้านข้าง ถูกออกแบบให้มีทั้งพนักวางแขน พร้อมช่องวางแก้ว สำหรับผู้โดยสารบนเบาะแถว 3 ปลั๊กไฟ 12V 1 ตำแหน่ง ที่แผงพลาสติกฝั่งขวา และ ตะขอเกี่ยว สำหรับติดตั้ง Cargo Net ป้องกันสัมภาระเทกระจาดขณะขับขี่ ส่วนยางอะไหล่ ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ
แผงหน้าปัด (Dashboard) ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวยาว ใช้วัสดุเป็นพลาสติก Recycle ขึ้นรูปแอ่งเว้า กัดลวดลาย ที่ใช้กับแผงหน้าปัดทั้งด้านบนและด้านล่าง ทั้งแผงประตูด้านข้าง อาจทำให้คุณรู้สึกว่า มัน Look Cheap พอกับ พลาสติกที่ใช้ในรถยนต์ Honda ทว่า หากพิจารณาดูดีๆ พลาสติกแบบเบา อย่างนี้แหละ ที่จะทนสภาพอากาศร้อนจัดในบ้านเราได้อย่างดี และทนไปได้ในระยะเวลาหลายปี แถมยังแทบไม่ค่อยมีกลิ่นไอ Thermo Plastic ระเหยขึ้นมาให้ได้ระคายจมูกเลยแม้แต่น้อย! และพื้นผิวสัมผัสของมัน ก็ดีใช้ได้ ไม่แย่เลย
แผงหน้าปัด ชั้นบนเป็นชุดหน้าจอตกแต่งด้วยวัสดุแบบ Piano Black ที่เชื่อมต่อตอดกับชุดมาตรวัด ส่วนบนของแผงแดชบอร์ดถัดไปทางผู้โดยสารตอนหน้าถูกออกแบบให้ลาดลง เพื่อให้เพิ่มความอเนกประสงค์ในการวางของบนแดชบอร์ด
รุ่นย่อย Smart จะมาพร้อมกับไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน Ambient light สีฟ้า ซึ่งลำแสงจาก Ambient light จะลงมาตกกระทบกับลวดลายของแผงประตู
มองไปด้านบน จะพบ เพดานหลังคา ใช้วัสดุ Recycle สีเทาสว่าง มีแผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง ครบทุกรุ่น แต่ มีกระจกแต่งหน้า แบบไม่มีฝาปิดพับ ใดๆทั้งสิ้น มาให้เฉพาะฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย เท่านั้น แถมไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า ยังถูกจับไปรวมกับไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ด้านหน้า ใช้สวิตช์กดเปิด – ปิด มาให้เพียงชิ้นเดียว ไม่มีการแยกไฟอ่านแผนที่มาให้ทั้งสิ้น ส่วนกระจกมองหลัง เป็นแบบสีเทา ไม่มีก้านโยกตัดแสงสะท้อนจากไฟหน้ารถคันข้างหลังมาให้เลย
ผมมองว่า ทีมออกแบบของ Hyundai พยายาม เอาใจลูกค้า ในบริเวณแผงหน้าปัด ซึ่งต้องพบเห็นและใช้งานบ่อย แต่พอเป็นด้านบนแผงหลังคา กลับไม่ใส่ใจเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะเรื่องของการลดต้นทุน ซึ่งน่าเสียดายมากที่จะต้องหักคะแนนจุดนี้ออกไป
จากขวา มาทางซ้าย
แผงประตูด้านข้างฝั่งคนขับ เป็นที่อยู่อาศัยของ สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน แบบมี สวิชต์ Auto One-Touch กดเลื่อนลง หรือดึงเลื่อนขึ้น จนสุดเพียงจังหวะเดียว พร้อมระบบดีดกลับเมื่อมีสิ่งกีดขวาง (เฉพาะฝั่งคนขับ) มีสวิตช์ ล็อกกระจกหน้าต่างฝั่งผู้โดยสารทั้ง 3 บาน และ Central Lock บนแผงประตูฝั่งคนขับ สวิตช์กระจกมองข้างปรับ และพับด้วยระบบไฟฟ้า ยกชุดมาจาก Creta
ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ด้านขวา มีสวิตช์ติดเครื่องยนต์ Push Start มาให้ ติดตั้งอยู่ข้างๆกับ ช่องใส่ของจุกจิกแบบชั่วคราว ไม่มีฝาปิด ถัดลงไป เป็นฝาปิดแผง FUSE ระบบไฟฟ้าของตัวรถ
พวงมาลัย เป็นแบบ 4 ก้าน ปรับระดับ สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างจากตัวผู้ขับขี่ ได้รวม 4 ทิศทาง ถือเป็น Minivan จากแดนอิเหนา 1 ในไม่กี่รุ่นที่มีออพชันนี้มาให้สำหรับชาวไทย ก้านพวงมาลัยด้านใน ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน วงพวงมาลัยของรุ่นย่อย Trend จะเป็น แบบ ยูรีเทน ส่วนรุ่นย่อย Style และ Smart จะหุ้มด้วยหนัง
ก้านพวงมาลัย มีแผงสวิตช์ Multi-function มาให้ โดยฝั่งซ้าย จะเป็นชุดสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์มือถือ ระบบส่งการด้วยเสียง Voice Recognition การเปลี่ยน Mode เครื่องเสียง (วิทยุ / Bluetooth ฯลฯ) ส่วนแผงสวิตช์ฝั่งขวา มีไว้ควบคุมการแสดงผลหน้าจอกลาง Multi Information Display บนชุดมาตรวัด และระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control รวมทั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่าง ๆ ที่มีเฉพาะในรุ่น Smart
ก้านสวิตช์บนคอพวงมาลัยฝั่งซ้าย ใช้ควบคุมใบปัดน้ำฝนคู่หน้า และด้านหลัง พร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ส่วนก้านสวิตช์บนคอพวงมาลัยฝั่งขวา ใช้ควบคุมไฟเลี้ยว ไฟหน้า แบบ Auto ไฟหรี่ ไฟสูง ไฟตัดหมอก
ชุดมาตรวัดของรุ่นย่อย Trend จะเป็นมาตรวัดเรืองแสง ธรรมดา แบบเข็ม 2 วงกลม เข็มสีแดง ตัวอักษรสีขาว พื้นหลังสีดำด้าน พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูล Multi Information Display แบบขาวดำ
ส่วนรุ่นย่อย Style และ Smart จะ Upgrade มาเป็น หน้าจอแบบ Supervision TFT LCD ขนาด 4.2 นิ้ว มาตรวัดความเร็วเป็นแบบ Digital อยู่ที่ด้านซ้าย และมาตรวัดรอบเป็นแบบ Digital อยู่ด้านขวา แสดงผลด้วยตัวอักษรสีขาว โดยตกแต่งด้วยชุดกราฟฟิก ซึ่งจะเปลี่ยนสีแปรผันกับโหมดการขับขี่ กล่าวคือ สีเขียวในโหมด Eco สีน้ำเงินในโหมด Normal สีแดงในโหมด Sport และสีฟ้าในโหมด Smart
ส่วนตรงกลาง จะเป็นหน้าจอ Multi Information System แสดงข้อมูล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ปรับเปลี่ยนตัวช่วยระบบ ADAS ประับเปลี่ยนหน้าจอ แสงสว่าง ระบบล็อกประตู และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมทั้งแสดงหน้าจอของ ระบบวัดแรงดันลมยาง TPMS (Tyre Pressure Monitoring System) และระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control อีกด้วย ส่วนมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง เป็นแถบอยู่ทางฝั่งซ้าย และมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นในเครื่องยนต์ เป็นแถบอยู่ฝั่งขวา การเลือกเปลี่ยนตั้งค่าต่างๆ ทำได้ด้วยสวิตช์บนก้านพวงมาลัย
จากฝั่งซ้าย มาทางขวา
บริเวณฝั่งซ้ายของแผงหน้าปัด Dasboard มีช่องเก็บของ ด้านบนพร้อมฝาปืด ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวยาว ติดตั้งอยู่คั่นกลางระหว่าง ช่องแอร์ของผู้โดยสารด้านซ้าย และช่องแอร์คู่กลาง มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ลึกพิอสมควร พอให้ใส่ของจุกจิกเล็กน้อย มีฝาปิดซ่อนสีเงินซึ่งออกแบบมาให้สอดรับกับเส้นสายของแผง Dashboard เพิ่มความสวยงามให้ห่องโดยสารไปในตัว
ถัดลงไปเป็นกล่องเก็บของแบบลิ้นชักมีฝาปิด Glove Compartment ซึ่งมีขนาดใหญ่เอาเรื่อง ถ้าถึงขั้นว่าใส่คู่มือประจำรถจากโรงงาน ซึ่งมีความหนา น้องๆ คัมภีร์ไบเบิล แล้วยังเหลือพื้นที่วางของอีกมาก ตามในภาพ ก็ไม่น่าจะมีปัยหา ถ้าคุณต้องการใส่ของขนาดใหญ่ วางเข้าไปร่วมกันด้วย
สำหรับรุ่น Smart จะมีการฉายไฟลงมาจากขอบบนของช่องเก็บของ นั้น เพื่อให้แผงแดชบอร์ดท่อนบนดูเสมือนว่ากำลังลอยอยู่
ถัดลงมาตรงกลางเป็นแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ โดยในรุ่น Smart จะเป็นแบบอัตโนมัติ สวิตช์ที่เครื่องปรับอากาศด้านซ้ายใช้สำหรับควบคุมความแรงลม ส่วนด้านขวาใช้สำหรับควบคุอุณหภูมิ การควบคุมการหมุนเวียนอากาศ ไล้ฝ้าด้านหน้า การทำงานของ A/C ระบบปรับอากาศอัตโนมัติสามารถทำได้โดยการสัมผัส ถัดจากสวิตช์เครื่องปรับอากาศไปทางด้านซ้ายมือเป็นช่องเก็บของฝั่งผู้โดยสารสำหรับใส่สมุดคู่มือประจำรถ และของจุกจิก
ด้านความบันเทิงในรถ หากเป็นรุ่น Trend จะมาพร้อมชุดเครื่องเสียงแบบมาตรฐาน พร้อมกับระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารไร้สาย Bluetooth พร้อมลำโพง 4 ตำแหน่ง
ส่วนรุ่นย่อย Style และ Smart จะได้รับการอัพเกรดชุดเครื่องเสียงเป็น เครื่องเสียงแบบหน้าจอสัมผัส TouchScreen ขนาด 8 นิ้ว ควบคุมการทำงานของ วิทยุ AM/FM เครื่องเล่นไฟล์เพลง MP3 รองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือและ Gadget ไร้สายต่างๆ ได้ทั้งทาง Bluetooth ไปจนถึง ระบบ Apple CarPlay และ Andorid Auto อีกทั้งยังเพิ่มลำโพง Tweeter อีก 2 ตำแหน่ง รวมเป็น 6 ตำแหน่ง
หน้าจอ ถูกออกแบบ User Interface ให้เหมือนกับ Hyundai รุ่นใหม่ๆ ทั้ง IONIC , Palisade , Staria และ Santa Fe 1.6 Hybrid ที่เพิ่งตกรุ่นไป ซึ่งสะดวกต่อการใช้งาน ลดการละสายตาจากถนนได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การแสดงผล ยังคงรองรับได้ทั้งภาษาอังกฤษ เกาหลี ญี่ปุ่น แต่ไม่รองรับภาษาไทย ส่วนคุณภาพเสียงที่ ดีกว่าคาดคิดพอสมควร เสียงใสคือ ใช้ได้ ส่วนเสียงทุ้ม ก็ขึ้นอยู่กับการปรับ Equalizer ของคุณ แต่แนะนำว่า เสียงกลาง ควรปรับขึ้นจากค่ากลาง นิดนึง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
ถัดลงมาตรงกลางเป็นแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ โดยในรุ่น Smart จะเป็นแบบอัตโนมัติ แผงควบคุมเป็นแบบสัมผัส สวิตช์ด้านซ้ายใช้สำหรับควบคุมแรงลม ส่วนด้านขวาใช้สำหรับควบคุมอุณหภูมิ การหมุนเวียนอากาศภายในและภายนอกรถ ไล่ฝ้าด้านหน้า การทำงานของ คอมเพรสเซอร์ A/C เสียดายว่า ไม่มี Heater สำหรับทั้งเวอร์ชัน Indonesia และ เวอร์ชันไทย แต่ไม่มีระบบแยกฝั่งอุณหภูมิซ้าย-ขวา
สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง Stargazer มี พัดลม Blower ปรับได้ 3 ระดับความแรงด้วยสวิตช์มือหมุน มีคอยล์เย็น กระจายแรงลมผ่านช่องแอร์ 4 ช่อง ติดตั้งมาให้บนเพดานหลังคา การใช้งานจริง ถือว่าช่วยกระจายแรงลมแอร์ได้ดีประมาณหนึ่ง
ใต้แผงแอร์เป็นช่องสำหรับใส่ของ พร้อมจุดชาร์จไฟแบบ USB A 1 ตำแหน่งและช่องจ่ายไฟ AC 12V 120W อีก 1 ตำแหน่ง โดยในรุ่น Smart จะมีแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายเพิ่มเข้ามา
พื้นที่ตรงกลาง ระหว่างผู้ขับขี่ กับผู้โดยสารตอนหน้า ถูกคั่นกลางด้วยกล่องคอนโซลเก็บของ ซึ่งมีฝาปิดด้านบน บุนุ่ม หุ้มหนัง เดินตะเข็บด้าย ทำหน้าที่เป็น พนักวางแขนในตัว นอกจากนี้ ยังมีช่องวางแก้วมาให้ 2 ตำแหน่ง ซึ่งในรุ่น Smart จะมีไฟเรืองแสงที่ช่องวางแก้วน้ำดังกล่าวด้วย อีกทั้งตัวกรอบสีสว่างด้านบน สามารถยกถอดออกเก็บ เพื่อใช้วางข้วของอื่นๆนอกจากแก้วน้ำได้อีกด้วย ด้านข้างกันนั้น เป็นที่อยู่ของเบรกมือแบบดึงธรรมดา
ด้านหลังของกลองคอนโซลกลาง เป็นช่อง USB สำหรับชาร์จไฟเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 ตำแหน่ง รวมทั้งช่องใส่ของจุกจิกขนาดเล็ก พอให้วางโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กได้ 1 เครื่อง แบบเกินๆ ล้นๆนิดๆ
ส่วนด้านหลังของเบาะนั่งคู่หน้านั้น มีช่องใส่หนังสือมาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง และมีถาดวางของขนาดเล็ก พับเก็บได้ พร้อมช่องเสียบแก้วน้ำดื่ม มาให้ เฉพาะด้านหลังเบาะหน้าฝั่งซ้าย เท่านั้น อำนวยความสะดวกให้กับคุณหนูๆ เวลาขึ้นมาบนรถ ก็จะนำอาหาร เช่น แซนด์วิช หรือ กล่องทัพเฟอร์แวร์ ขนาดเล็ก วางบนถาดนี้ได้เลย ซึ่งเมื่อทดลองแล้ว ก็ใช้งานได้จริง เสียดายว่า มีมาให้แค่ฝั่งซ้ายเพียงตำแหน่งเดียว น่าจะมีมาให้ทั้ง ฝั่งซ้าย และขวากันไปเลย
ทัศนวิสัย รอบคัน ดูโปร่งตามากๆ แน่ละ กระจกหน้าต่างรอบคันดูโล่งโจ้งขนาดนี้ ก็แทบไม่เหลืออะไรในชีวิตให้ปิดบังกันอีก ด้านหน้า แน่นอนว่า การมองเห็นภาพด้านหน้ารถ ชัดเจนมาก เพียงแต่ว่า ด้วยลักษณะด้านหน้ารถ สั้น ฝากระโปรงหน้าจึงกดลงต่ำ และอาจทำให้คุณ มองไม่เห็นขอบฝากระโปรงหน้า ระหว่างขับขี่ หรือกะระยะเข้าจอด
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ค่อนข้างหนา ถูกออกแบบให้ยื่นล้ำไปด้านหน้าตัวรถ จึงต้องมีกระจก Opera หูช้าง เพิ่มเข้ามาอีกฝั่งละ 1 ชิ้น แม้ว่า ฝั่งซ้าย อาจจะบดบังรถจักรยานยนต์ หรือยานพาหนะอื่นๆ ขณะเลี้ยวกลับรถ ไม่มากนัก แต่สำหรับเสาฝั่งขวานั้น บังจักรยานยนต์ ที่แล่นสวนทางมา และกำลังเข้าโค้งซ้าย (ฝั่งตรงข้ามกับเราซึ่งกำลังจะเลี้ยวโค้งขวา ได้เต็มคัน ดังนั้น โปรดใช้ความระมัดระวังด้วย
ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น ดูโปร่งโล่งสบายตา ก็จริง แต่บริเวณเส้นสายตัวถังด้านข้าง ช่วงตั้งแต่บานประตูคู่หลัง จรดขึ้นไป บริเวณเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar และ D-Pillar ค่อนข้างทึบเล็กน้อย และบดบังจักรยานยนต์ ที่แล่นมาขนาบทางด้านข้างฝั่งซ้าย จนมิด ดังนั้น โปรดใช้ความระมัดระวังด้วย เหมือนปกติ ที่คุณเคยเป็น
******* รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ *******
******** Technical Information & Test Drive *********
ขุมพลัง ไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นเครื่องยนต์ ตระกูล Smart Stream รหัส G4FL เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร 1,497 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 75.6 x 83.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด MPI (Multi-point Injection) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว D-CVVT (Dual Continuous Variable Valve Timing) ยกชุดมาจาก Hyundai Creta Minorchange ตามความคาดหมาย
จุดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นนี้ คือ ใช้หัวฉีดคู่ / 1 สูบ แบบ Dual Port Injector เพื่อให้ส่วนผสมไอดี (น้ำมันกับอากาศ) เกิดความสมดุลย์ และช่วยให้ การเผาไหม้ มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้หัวฉีดเดียว / 1 สูบ รวมทั้งการปรับปรุงระบบนำไอเสียจากการเผาไหม้ กลับมาวนใช้ใหม่ EGR (Exhaust Gas Re-circulation) เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันมากขึ้น และลดการปล่อยมลพิษ รวมทั้งค่าฝุ่น PM ลงจากเดิม
กำลังสูงสุด 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 144 นิวตันเมตร (14.67 กก.-ม.) ที่ 4,500 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO4 ตามการวัด และเผยแพร่บน ECO Sticker ของรัฐบาลไทย
เครื่องยนต์ดังกล่าว จะส่งกำลัง สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ผ่านเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน IVT (Intelligent Variable Transmission) ล็อกตำแหน่ง Pullay ได้ 8 ตำแหน่ง อัตราทดเกียร์ ถูกเซ็ตมา เหมือนกับ Hyundai Creta เป๊ะ ดังนี้
- เกียร์เดินหน้า………………. 2.680 – 0.385
- เกียร์ถอยหลัง……………… 2.822 – 1.822
- อัตราทดเฟืองท้าย……….. 6.483
สิ่งที่คุณควรจะรู้เกี่ยวกับเกียร์อัตโนมัติ iVT ก็คือ
- ความแตกต่างจากเกียร์ CVT ทั่วไป ก็คือ iVT ถูกเซ็ตให้มีการลากรอบ จนถึง 6,000 รอบ/นาที แล้วตัดเปลี่ยนเกียร์ขึ้นไปในตำแหน่งถัดไป พูดง่ายๆคือ เป็นเกียร์ CVT ที่ทำตัวลากรอบ และเชนจ์เกียร์ขึ้นเองได้เหมือน เกียร์อัตโนมัติ ธรรมดา นั่นเอง
- ถ้าคุณจะเร่งแซง หรือขึ้นทางลาดชัน การกดคันเร่งลงไปให้ลึกมากสุด จะช่วยให้เกียร์ เปลี่ยนสู่ตำแหน่งต่ำลง มากสุดเท่าที่สมองกลจะยินยอม เพื่อเรียกพละกำลังอย่างเต็มที่ ไม่ต้องสนใจเสียงครางจากเครื่องยนต์
- ควรออกรถจากจุดหยุดนิ่งอย่างนุ่มนวล เพราะมันคือเกียร์สายพาน CVT
น่าเสียดายว่า ในตลาดโลก จะมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มาให้เลือกด้วย แต่สำหรับตลาดเมืองไทย แน่นอนว่า เกียร์อัตโนมัติ ครองสัดส่วนยอดขายในกลุ่มรถยนต์นั่ง ไปเกินกว่า 95% แล้ว และลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ ในกลุ่มนี้ เลือกซื้อรถยนต์เกียร์อัตโนมัติเป็นหลักไปแล้ว เราจึงไม่มีโอกาสเห็นเกียร์ธรรมดา ในเวอร์ชันสำหรับประเทศไทย
Stargazer มีโหมดการขับขี่ Drive Mode 4 รูปแบบ เหมือนกับทั้ง Staria , Palisade และ Creta สามารถเลือกเปลี่ยน Mode ได้ด้วยการ กดปุ่ม ที่ติดตั้งบริเวณด้านข้างของคันเกียร์ รายละเอียดแต่ละ Mode มีดังนี้
- Normal : เป็นโปรแกรมหลัก สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ที่เน้นความสบาย
. - Eco : เน้นการขับขี่ เพื่อความประหยัดน้ำมัน ดังนั้น คันเร่ง จะตอบสนองต่อเท้าขวา ช้ากว่าปกตินิดเดียว และ เครื่องปรับอากาศ จะปรับอุณหภูมิล็อกไว้แค่ 25 องศาเซลเซียส เท่านั้น
. - Sport : เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตเพิ่มขึ้นนิดๆ คันเร่งจะตอบสนองไวขึ้นเล็กน้อย ให้พอจับสังเกตได้ มาตรวัด จะถูกเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นมาตรวัดสีแดง
. - Smart : ระบบจะเรียนรู้จาก อัลกอริทึม (algorithm) ในการขับขี่ของคุณ แล้วจะนำมาปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณในขณะนั้น
สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เรายังคงทำการทดลองจับเวลา หาอัตราเร่งกันเหมือนเดิม นั่นคือ ใช้เวลากลางคืน เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน น้ำหนักตัวคนขับ (93 กิโลกรัม) และผู้โดยสาร สักขีพยาน (Mark Pongsawang น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม) รวมกัน 153 กิโลกรัม ผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้

ตัวเลขที่ออกมา เล่นเอาผมงงไปเลย ในที่สุด Stargazer ใหม่ ก็แซงหน้า คู่แข่งจากฝั่งญี่ปุ่นทุกคัน ขึ้นมาครองตำแหน่ง อัตราเร่ง ดีที่สุด ในกลุ่ม B-Segment Minivan 6-7 ที่นั่ง ได้สำเร็จ อย่างน่าอัศจรรย์ เป็น Minivan ขนาดเล็ก เครื่องยนต์สันดาปล้วน จาก Indonesia คันแรก ที่กดตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงมาต่ำกว่า 11 วินาที ได้เป็นผลสำเร็จ แถมยังทำอัตราเร่งแซง ไวที่สุดในกลุ่ม คือ 8.57 วินาที ไม่เพียงแค่นั้น ตัวเลขความเร็วสูงสุด (บนมาตรวัด) ก็ยังมากที่สุดในบรรดาคู่แข่งทั้งหมด นี่เรายังไม่นับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งจะเก็บไว้พูดคุยกัน ข้างล่างนี้ ด้วยอีกนะ
เรื่องตลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ตัวเลขของ Stargazer ใหม่ ยังเอาชนะ ญาติร่วม Platform ที่ใช้เครื่องยนต์และเกียร์ลูกเดียวกัน อย่าง Creta ไปได้อย่างงุนงง (0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 11.55 วินาที , 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 9.13 วินาที Top Speed 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6,300 รอบ/นาที)
ถ้าจะถามหาคำอธิบาย ว่าทำไมตัวเลขของ Stargazer ถึงออกมาดีกว่าชาวบ้านเขา ไม่เว้นแม้แต่ Creta ผมก็คงต้องบอกว่า เรื่องน้ำหนัก อาจจะไม่ใช่คำตอบ เพราะ Creta หนัก 1,150 กิโลกรัม เบากว่า Stargazer Smart 6 ที่นั่ง ซึ่งอยู่ที่ 1,272 กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นเรื่อง Aerodynamic และการลดแรงเสียดทานตามจุดต่างๆ อาจจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะด้วยรูปทรงของตัวรถแล้ว Stargazer ลู่ลมกว่า Creta ชัดเจนแบบไม่ต้องสืบ
อีกมุมหนึ่ง คือ การพัฒนาเครื่องยนต์ เพราะ Hyundai ให้ความสำคัญกับตลาด India อย่างมาก เนื่องจากมาตรฐานมลพิษของ แดนภารตะ ในตอนนี้ ก้าวข้ามขึ้นไปเป็นระดับ EURO 6 เทียบเท่ากับสหภาพยุโรป แล้ว ดังนั้น ถ้าอยากจะผลิตรถยนต์ขายคน India ก็จำเป็นต้องลงทุน R&D เรื่องเครื่องยนต์สันดาป ให้ประหยัด แรง แต่ปล่อยมลพิษต่ำ แน่นอนว่า Stargazer กับ Creta จะใช้เครื่องยนต์ Smart Stream 1.5 ลิตร ตัวเดียวกับในประเทศไทยด้วย
ดังนั้น ถ้าย้อนกลับขึ้นไปดูดีๆจะเห็นว่า Hyundai ทุ่มงบประมาณในการพัฒนา เครื่องยนต์ Smart Stream รุ่นใหม่ของตน ให้มีเทคโนโลยี ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ของคู่แข่งจากฝั่งญี่ปุ่นในตอนนี้ “แทบทั้งหมด” (ยกเว้น Toyota กับ Honda ที่ถือว่า ทัดเทียมกัน)
ทว่า คำตอบที่แท้จริงหนะ มันอยู่ที่ ขนาดของล้อและยาง ในขณะที่ Creta ต้องสวมล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/60R17 แต่ Stargazer ให้ล้ออัลลอยขนาดเล็กลงมา คือ 16 นิ้ว สวมด้วยยาง ขนาด 205/55R16 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักก็เบากว่า แรงเสียดทานย่อมน้อยกว่า นี่เรายังไม่นับเรื่องความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ตามรูปทรงตัวรถอีกนะ ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจว่า ตัวเลขของ Stargazer จึงออกมาดีกว่า Creta
ในการขับขี่จริง การตอบสนองของขุมพลัง SmartStream 1.5 ลิตร แทบไม่แตกต่างจาก Creta มากนัก
ถ้ามองกันแต่เพียงตัวเลข คุณก็คงเข้าใจว่า อัตราเร่งของ Creta ก็ออกมาสมตัว พอๆกันกับ Honda City 1.5 ลิตร หรือ Toyota Vios 1.5 ลิตร รุ่นก่อนๆ นั่นแหละ ซึ่งก็จริงครับ ไม่เถียงเลย แต่ในการขับขี่จริง การตอบสนองคันเร่งที่ ไวกำลังดี ไม่ไวถวายชีวิตเกินไป มีส่วนช่วยให้ Creta ทะยานออกตัวไปได้ค่อนข้างรวดเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิดไว้นิดหน่อย
สิ่งที่ทำให้ผมชื่นชอบก็คือ แม้จะใช้เครื่องยนต์ เบนซิน ขนาดแค่ 1.5 ลิตร แต่กลับมีความกระฉับกระเฉง อยู่ในเกณฑ์สมตัว ตั้งแต่ช่วงออกตัว จนถึง 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง Creta เร่งขึ้นค่อนข้างไว มีแรงดึงพอให้แผ่นหลังของคุณติดเบาะ ได้พอประมาณ พละกำลังจะยังคงถูกส่งไปหมุนล้อคู่หน้าอย่างต่อเนื่อง
แต่พอเข้าสู่ ความเร็วระดับ 130 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณจะเริ่มสัมผัสได้ว่า เรี่ยวแรงเริ่มค่อยๆหายไป จนกระทั่งพ้นช่วง 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป การไต่ความเร็วหลังจากนี้ จะทำได้ช้าลงคนละเรื่อง เหมือนหมดฤทธิ์ยา เข็มความเร็วค่อยๆไหลขึ้นไปอย่างเชื่องช้า เหมือนกับถูกเค้นจนอ่อนล้าเต็มที ชวนให้สงสารเครื่องยนต์เป็นยิ่งนัก ยิ่งถ้าคิดจะไต่ความเร็วขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด Top Speed นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และ อาจต้องแช่คันเร่งกันยาวๆ และใช้ระยะทางค่อนข้างไกลโพ้น แถมยังใช้เวลานานมาก เรียกได้ว่า ควรจะสะสมแต้มบุญบารมีมาตลอดชีวิต พอๆกับการเค้นเอาความเร็วช่วงปลาย จากขุมพลัง เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร จากทั้ง Mercedes-Benz และ Volkswagen Group กันเลยทีเดียว
ถ้าจะบอกว่า ความกระฉับกระเฉงของ Creta ในช่วงรอบต้นๆ และรอบกลางๆ นี่เปรียบได้กับการเป็น “Vios Britney แต่ยกสูง” ก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริงนัก แต่พอหลังจากนั้น ช่วงรอบปลายๆ ก็เหี่ยว แบบที่ชวนให้นึกถึง ขุมพลัง Honda Hybrid ตระกูล e:HEV หรือ เครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo จาก Mercedes-Benz ไม่มีผิด
คันเร่งไฟฟ้า ใช้สมองกลควบคุม ตอบสนองไวพอสมควร จะเลี้ยงให้นิ่ง ก็พอไหว ขณะที่เกียร์ จะฉลาดแค่ไหน ขึ้นอยู่กับบุคลิกการกดคันเร่งของคุณ ถ้ากดแบบไม่ไวนัก เกียร์ก็จะตัดเปลี่ยนลงมาไม่เยอะ แต่ถ้ากระแทกคันเร่งลงไปจมมิดติดเหล็กรถ เกียร์ก็จะรีบรับคำสั่งเหมือนกับ เด็กนักเรียน ที่เจอคุณครู มายืนอยู่ข้างหลัง อย่างไรก็ตาม การลากรอบไปจนถึงการตัดรอบเครื่องยนต์ เพื่อไล่ตำแหน่งเกียร์ ขึ้นไป เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ วางโปรแกรมล็อกตำหน่งพูเลย์ ไว้ค่อนข้างดีพอสมควร
ส่วนตัวเลข Top Speed ที่เห็นอยู่นี้ คงต้องขอย้ำกันอีกสักทีว่า เราทำการทดลองเพื่อให้ได้รู้ข้อเท็จจริง สำหรับการใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการศึกษา ในด้านวิศวกรรม ของผู้คนทั่วไปเท่านั้น เราไม่สนับสนุนให้ทำการทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเองเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายต่อชีวิต ของคุณผู้อ่าน และเพื่อนร่วมทางอีกด้วย มันไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะทำความเร็วสูงขนาดนี้ กับรถครอบครัวบ้านๆ แบบนี้ หากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้นมา เราไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ในทุกกรณี
***** การเก็บเสียง การสั่นสะเทือน และอาการสะท้าน *****
********* NVH Noise Vibration and Harshness *********
การเก็บเสียง ในขณะจอดนิ่ง มีเสียงเครื่องยนต์เล็ดรอดเข้ามาในห้องโดยสารนิดหน่อย ไม่มากนัก พอรับได้ แต่เสียงเครื่องยนต์ขณะเร่งความเร็ว จะดังเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างเยอะุ ยิ่งหลังจากใช้ความเร็วขึ้นไปถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณจะพบว่า เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวถังด้านข้าง ช่วง Upper Body บริเวณ กระจกหน้าต่างฝั่งคนขับ และเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar จะค่อนข้างดัง “ฮือออ” มากเอาเรื่อง ยิ่งใช้ความเร็วสูงขึ้น เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถก็จะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นปกติ
เสียงที่ดังมาจากไหน? กระจกบังลมหน้าหนะ ไม่เท่าไหร่ ไม่เยอะ แต่อากาศช่วงเสาหลังคา บริเวณกระจกมองข้างนั่นดังเอาเรื่อง ทว่า เสียงที่น่ารำคาญของจริง มาจาก ช่วง Lower body ทั้ง เสียงยางติดรถ และกระแสลมที่ไหลเวียนบริเวณซุ้มล้อ คู่หลัง ซึ่งดังเข้ามา รบกวนการเดินทางมากเอาเรื่อง ขนาดที่ว่า Honda BR-V ซึ่งเก็บเสียง ไม่ค่อยดี ก็ยังเงียบกว่า Stargazer ชัดเจน นี่คือประเด็นที่อยากจะฝากให้ทีมวิศวกรของ Hyundai เอาไปปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้ Stargazer มากกว่านี้
ระบบบังคับเลี้ยว / Steering Wheel
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบบติดตั้งที่คอพวงมาลัย C-MDPS (Column mounted Motor Driven Power Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.4 เมตร
ขึ้นขับครั้งแรก จะสัมผัสได้เลยว่า พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาหวิว! แต่ยังไม่ถึงขั้นเบาโหวงจนใช้นิ้วหมุนพวงมาลัยได้ ยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังพอจะมีแรงต้านที่มือบ้างนิดหน่อย ตอนหมุนไปมา ซ้ายขวา มีความต่อเนื่อง เป็นธรรมชาติอย่างที่ผมต้องการในรถยนต์ประเภทนี้ เป็น Feeling ที่เรียกว่า ดีสุดในตลาด เท่ากับ Honda BR-V ใหม่เลย สัมผัสจากการหมุนพวงมาลัย อยู่ตรงกลางระหว่าง พวงมาลัยของ Toyota CH-R และ Corolla Cross แต่ด้วยน้ำหนักที่เบา ทำให้กระเดียดมาทาง Corolla Cross มากกว่าสักหน่อย ซึ่งกรณีนี้ จะต่างจาก Creta นิดๆ
เหตุผลที่ต่างกันนั้น ผมมองว่า เป็นเพราะ Creta ใชล้ออัลลอย 17 นิ้ว สวมยาง 215/60R17 แต่ Stargazer ให้ล้ออัลลอยขนาดเล็กลงมา คือ 16 นิ้ว สวมด้วยยาง ขนาด 205/55R16 แน่นอนว่า ต่อให้เซ็ตอัตราทด และน้ำหนักมาเหมือนกันเป๊ะ พวงมาลัยของรถที่ใช้ล้ออัลลอยเล็กกว่า และเบาขึ้น อย่าง Stargazer ก็จะมีน้ำหนักพวงมาลัย ที่เบากว่า รถที่ใช้ล้ออัลลอย 17 นิ้ว อย่าง Creta อยู่ดี
พวงมาลัยมีระยะฟรี ปานกลาง ไม่เนือยมาก แต่ก็ไม่คมและไม่ไวจนเกินไป นอกจากนี้ การหมุนเลี้ยวคล่องมือในช่วงความเร็วต่ำ ชวยเพิ่มความคล่องแคล่ว และไวในการบังคับรถเลี้ยวลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรติดขัดได้ดีมากกว่าที่คิด แต่ในความเร็วเดินทาง ตั้งแต่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป พวงมาลัยจะหนืดขึ้นเล็กน้อย On Center feeling จัดว่าดีงาม ไม่ต้องมานั่งคัดพวงมาลัยซ้ายๆขวาๆ ทำให้การถือพวงมาลัยในย่านความเร็วสูงๆ มั่นใจดีใช้ได้ ตีคู่มากับ Honda BR-V เลยทีเดียว!
การเลี้ยวเข้าโค้ง ไปมา ในช่วงความเร็วสูง ให้ความมั่นใจใช้ได้ และแม่นยำในระดับที่ผมคาดหวังให้รถยนต์กลุ่มพิกัดนี้ พึงเป็น คือ เบา ไวพอประมาณ ไม่ได้ไวนัก แต่หักพวงมาลัยแค่ไหน รถเลี้ยวแค่นั้น ไม่น้อยหรือมากเกินผู้ขับขี่ต้องการ และต่อให้เจอโค้งตัว S ที่ต้องหมุนพวงมาลัยไปมา ก็ยังตอบสนองได้ดีมาก
แน่นอนว่า ถ้าเทียบกับคู่แข่งแล้ว พวงมาลัยของ Stargazer ตอบสนอง ตีคู่มากับ Honda BR-V ชนิดหายใจรดต้นคอ และแอบดีกว่า Suzuki Ertiga / XL-7 นิดๆ แค่ในประเด็นของ องศาพวงมาลัยขณะนั่งขับขี่ แต่เหนือกว่าทั้ง Mitsubishi Xpander / Xpander Cross และ Toyota Veloz แบบชัดเจน!
ระบบกันสะเทือน / Suspension
ช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบอิสระ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง เป็นแบบคานบิดกึ่งอิสระ Torsion Beam Axle พร้อมเหล็กกันโคลง
การซับแรงสะเทือนในย่านความเร็วต่ำ ยังเป็นสิ่งที่เราคาดหวังจาก Minivan ระดับนี้ และ Stargazer ยังทำได้แค่ในระดับเดียวกับคู่แข่ง ยังไม่ได้โดดเด่นเหนือชาวบ้านเขา
ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะคลานไปตาม ตรอก ซอก ซอย เมื่อเจอ หลุมบ่อ เนินสะดุด ลูกระนาด พื้นผิวปูนซีเมนต์ หรือรอยต่อบนพื้นถนนที่ชัดเจน ต้องยอมรับว่า จังหวะแรกที่ช็อกอัพรับแรงกระแทกจากล้อและยางขึ้นมา ค่อนข้างแข็งนิดๆ ต้องเจอกับเนินสะดุดสูง พอสมควร จึงจะพบว่า ช่วงล่างแอบนุ่ม ต่อให้ปรับลดลมยางลงมาแล้ว ก็ดีขึ้นต่างกันไม่มากนัก
แต่ปัญหานี้ ผมว่า แก้ไขได้ โดยไม่ต้องไปทำช่วงล่างใหม่ใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่คุณ เปลี่ยนยางติดรถ Kumho จากโรงงาน เดิม ไปเป็น ยางที่นุ่มกว่านี้ เชื่อแน่ว่า อาการสะเทือนเล็กๆต่างๆ จะลดน้อยลง รถจะนุ่มขึ้นนิดๆ จนทำให้คุณสบายใจได้มากขึ้นแน่ๆ
พอเข้าสู่ช่วงความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูงๆ กลับให้ความนิ่งใช้ได้ดีเลยละ เว้นเสียแต่ว่าถ้าเจอกระแสลมปะทะด้านข้าง ตัวรถก็จะมีอาการ “หวึ่งหวึย” ขึ้น-ลง ไปมา (ไม่ถึงขั้นยวบยาบแบบ Haval H6) ได้ตามปกติของรถยนต์ประเภทนี้ นั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม การเซ็ตช่วงล่างแบบนี้ กลับทำให้ Stargazer ทำความเร็วในโค้งได้มากกว่า Creta อยู่เล็กน้อยเสียอย่างนั้น บนทางโค้ง 5 แห่ง ในระบบทางด่วนกรุงเทพมหานคร ซึ่งเราใช้เป็นสถานที่ทดลองสมรรถนะในทางโค้งยาวๆ ในยามค่ำคืน ผบพบว่า โค้งขวารูปเคียว เหนือย่านมักกะสัน รถยนต์ทั่วไป ทำความเร็วในโค้งได้ราวๆ 80 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ Stargazer ทำได้ที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ต่อเนื่องไปยัง โค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Eastin ก็ยังรักษาความเร็วไว้ได้ในระดับเดียวกันคือ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเป็นจุดที่ตัวรถพร้อมยางเดิมจากโรงงาน (Kumho) รับมือได้ถึงจุดนี้เท่านั้น ถ้าเกินกว่านี้ ตัวรถจะเริ่มมีอาการหน้าดื้อ Understeer เกิดขึ้น
ส่วนทางโค้งรูปตัว S จากทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสุขุมวิท 62 ขึ้นไปยังทางด่วนยกระดับบูรพาวิถี Stargazer เข้าโค้งขวาแรกด้วยความเร็วขึ้นไปแตะระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ตัวรถเอียงออกทางด้านข้างพอกันกับคู่แข่ง จากนั้น โค้งซ้ายยาวๆ ผมไต่ขึ้นไปได้แค่ 112 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ซึ่งนั่นก็ถึง Limit ที่ยางติดรถ และช่วงล่าง จะรับมือกับทางโค้งซึ่งมีลักษณะพื้นผิวเป็นลอนคลื่น (Wave) ได้ไหวแล้ว ก่อนจะปิดท้ายด้วยโค้งขวายกระดับ Stargazer เข้าโค้งดังกล่าวได้ที่ 122 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ถึงจุดนี้ อาการ Understeer หรือหน้าดื้อ จะเกิดขึ้นชัดเจนมากในจังหวะนี้ทันที
ความเร็วในโค้งของ Stargazer ทำได้มากกว่า Creta อยู่เล็กน้อย ซึ่งก็ออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกสักหน่อย แต่ที่แน่ๆ เสถียรภาพในการเข้าโค้งยาวๆต่อเนื่องของ Stargazer ทำได้ดีกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันหลายรุ่นอยู่เหมือนกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ต้องยอมรับความจริงว่า ในย่านความเร็วต่ำ ช่วงล่างของ Honda BR-V และ Suzuki XL-7 กับ Mitsubishi Xpander , Toyota Veloz จะเรียงลำดับความนุ่มกว่านิดนึง แต่พอเป็นช่วงความเร็วเดินทาง และความเร็วสูง ช่วงล่างของ Stargazer จะกระโดดขึ้นมาอยู่ในระดับต้นๆของตลาดทันที อาจจะยังเป็นรอง BR-V แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับ XL-7 กับ Xpander และดีกว่า Veloz แน่ๆ
ระบบห้ามล้อ / Brake
ระบบเบรก เป็น Disc Brake ทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้า เป็นแบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Disc) เส้นผ่านศูนย์กลาง 280 มิลลิเมตร ส่วน จานเบรกคู่หลัง เป็นแบบ Solid Disc เส้นผ่านศูนย์กลาง 262 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับ
- ระบบป้องกันล้อล็อก Anti-lock Braking System (ABS)
- ระบบเสริมแรงเบรก Brake Assist System (BAS)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพ Electronic Stability Control (ESC)
- ระบบควบคุมการทรงตัว Vehicle Stability Management (VSM)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Assist Control (HAC)
แป้นเบรก มีระยะเหยียบสั้น ไม่ยาวนัก สัมผัสได้ถึงการทำงานของคาลิเปอร์ทันที เพียงแค่ 5 – 10% แรกที่เหยียบลงไป ให้ความนุ่ม แอบหยุ่นและหนืดเท้าหน่อยๆ จังหวะคืนตัวคล้ายแป้นเบรกของ Mercedes-Benz รุ่นก่อนๆ อยู่นิดๆ แต่เบากว่านิดนึง ถ้าจะเลี้ยงแป้นเบรกเพื่อควบคุมให้รถจอดสนิทนิ่ง อย่างนุ่มนวล ขณะคลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด ก็ทำได้ไม่ยากเลย
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเผลอ เพิ่มน้ำหนักเท้าบนแป้นเบรก มากขึ้นเพียงนิดเดียว ตัวรถจะมีอาการ เบรกหน้าทิ่มจนหัวคะมำ ยิ่งกดลงไปลึก หน้ารถจะทิ่มแรงขึ้นอย่างหนัก ดังนั้น ในแง่ของความต่อเนื่อง ผมมองว่า เบรกของ Stargazer จะมีบุคลิกคล้ายๆกับ เบรกของ Creta คือ ตอบสนองไวเกินไปหน่อย ในช่วงความเร็วต่ำ และคุณจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวัง กับแป้นเบรก ขณะขับขี่ในสภาพการจราจรค่อยๆไหลไปเรื่อยๆ เคลื่อนตัวสลับหยุดนิ่ง เพื่อไม่ให้รถถึงกับหยุดกระทันหัน จนยานพาหนะที่แล่นตามมาสอยบั้นท้ายคุณในที่สุด
ขณะเดียวกัน การหน่วงชะลอรถลงมาจากย่านความเร็วสูงนั้น ถ้าไม่ได้เหยียบเบรกกระทันหันใดๆ ถือว่าให้การตอบสนองที่มั่นใจกว่ารถยนต์หลายๆรุ่นในตลาด แต่ในกรณีที่ต้องเบรกกระทันหันนั้น จากที่ได้ทดลองกดเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงมาจนหยุดสนิทนั้น ตัวรถมีอาการ หัวทิ่มแบบ Smooth คือ ทิ่มไปแบบเนียนๆ สัมผัสได้ถึงแรงส่งจากท้ายรถไปยังด้านหน้า จนกระทั่งพอจอดสนิท หน้ารถจะเด้งขึ้น-ลง 2 ครั้ง ไม่ได้นิ่งสนิทในทันที แต่ตัวรถหยุดแบบตั้งตรงแหน่วไปข้างหน้า โดยไม่มีอาการเป๋ใดๆให้พบเจอ
ภาพรวมแล้ว ระบบเบรกของ Stargazer ให้ความไว้ใจได้ดีเลยละ ในการเบรก แบบมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วๆไป รวมทั้งสภาพการจราจรขณะขับขี่แบบปกติ ทั้งในเมืองหรือบนทางด่วน ทางหลวง การตอบสนองภาพรวมถือว่า ดีกว่าคู่แข่งร่วมพิกัดหลายรุ่นอยู่ แต่ถ้าต้องเบรกกระทันหันแล้ว หากความเร็วอยูในช่วง ไม่เกิน 100 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังถือว่า อยู่ในระดับ ไว้วางใจได้ เหมือนรถยนต์บ้านๆทั่วไป
********** อุปกรณ์ความปลอดภัย / Safety Features **********
Hyundai Stargazer เวอร์ชันไทย ติดตั้ง ระบบตัวช่วยผู้ขับขี่ ADAS (Advance Driver Assists System) ในชื่อ Hyundai Smart Sense โดยมีรายการต่างๆ ดังนี้
- ระบบช่วยเตือนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Forward Collision-Avoidance Assist (FCA)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Assist (LKA)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน Lane Following Assist (LFA)
- ระบบเตือนและควบคุมพวงมาลัยเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind-Spot Collision-Avoidance Assist (BCA)
- ระบบช่วยเตือนและเบรกอัตโนมัติขณะถอยรถ Rear Cross-Traffic Collision-Avoidance Assist (RCCA)
- ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA)
- ระบบเตือนการเปิดประตูเมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้าง Safe Exit Warning (SEW)
- ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Alert (DAW)
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ตามความเร็วรถ (Auto Door Lock)
- เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง (รุ่น Stargazer X จะเพิ่มเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้ามาให้ด้วย)
- ระบบแจ้งความดันลมยางอัตโนมัติ บนมาตรวัด TPMS (Tyre Pressure Monitoring System)
- กล้องมองหลัง แสดงภาพขณะถอยเข้าจอด Rear View Monitor
ด้านความปลอดภัยเชิงป้องกัน Passive Safety นั้น Stargazer มีมาให้ในระดับมาตรฐาน เท่าที่รถยนต์ทั่วไปพึงต้องมี
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (Dual SRS Airbags)
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง (Side Airnags)
- ม่านถุงลมนิรภัย บนหลังคา (Curtain Airbags)
- เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ทุกตำแหน่ง ทั้งในรุ่น 6 หรือ 7 ที่นั่ง (คู่หน้า ปรับระดับสูง – ต่ำไม่ได้)
- จุดยึดเบาะนิรภัย มาตรฐาน ISOFIX ที่ฐานเบาะรองนั่งด้านหลัง
Hyundai Stargazer ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนของรถยนต์ที่วางจำหน่ายในอาเซียน ASEAN NCAP ในระดับ 4 ดาว ในปี 2022 โดยได้คะแนน ด้านการปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection : AOP) 24.97 คะแนนจาก ด้านการปกป้องผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection : COP) 36.92 คะแนน ด้านการป้องกันการบาดเจ็บต่อผู้ขับขี่จักรยานยนต์ (Motorcycle Safety: MS) 7.00 คะแนน ด้านระบบช่วยเหลือเชิงรุก (Safety Assist:SA) 12.64 คะแนน ทั้งนี้รุ่นที่ถูกนำไปทดสอบ คือ Hyundai Stargazer Active 2022 RHD
รายละเอียดเพิ่มเติม Click เข้าไปอ่านต่อได้ที่นี่
https://aseancap.org/v4/wp-content/uploads/2022/12/Hyundai-Stargazer-Digital-Report-7th-Dec-2022.pdf
******การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย******
******************Fuel Consumption Test *************
ความประหยัดน้ำมัน คือหนึ่งในคำถามสำหรับลูกค้าที่มองหารถยนต์ประเภท B-Segment Minivan 6 – 7 ที่นั่ง แน่นอนว่า คนกลุ่มนี้ มักจะมีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวค่อนข้างสูง ดังนั้น รถคันไหนก็ตามที่ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ประหยัด มักจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเสมอ เพียงแต่ว่า Stargazer รุ่นนี้ จะทำผลงานออกมาได้ดีแค่ไหน?
เราจึงยังคงทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา คือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ขับทดลองในเวลากลางคืน โดยนำ Stargazer ไปที่ ปั้มน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron จนเต็มถัง แบบหัวจ่ายตัด
ผู้ร่วมทดลอง และสักขีพยานของเรา คราวนี้คือ น้อง Mark Pongswang ทีมเว็บของเรา น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม รวมกับผู้เขียน/ผู้ขับขี่ 110 กิโลกรัม จะทำให้มีน้ำหนักตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวมกัน 170 กิโลกรัม
เมื่อเติมน้ำมันจนเต็มถัง ขนาด 40 ลิตร เสร็จเรียบร้อย เราก็ขึ้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัย กดสวิตช์ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ กดปุ่ม Set 0 บน Trip Meter (กรณีนี้ คือ เลื่อนหน้าจอ MID บนมาตรวัด มาที่ Drive Info แล้วกดปุ่ม OK บนพวงมาลัย แช่เอาไว้ เพื่อ Reset ตั้งค่า แบบเดียวกับ Creta และ รถตู้ Staria) ระบบวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะเปลี่ยนเป็นค่าเริ่มต้น ทั้งหมด
(ในการทดลองครั้งนี้ เราค้นพบว่า ภาพบันทึกการทดลอง ในวันจริง หายไปขณะมีการกู้ ไฟล์จาก Harddisk ส่วนตัวของผม จึงทำให้ ภาพการทดลองในครั้งนี้ อาจจะมีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนอย่างทุกครั้งที่เป็นมา ต้องขออภัยคุณผู้อ่าน มา ณ โอกาสนี้ ครับ)
เราเริ่มเดินทาง จากปั้ม Caltex ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดไปออก ปากซอย โรงเรียนเรวดี สู่ถนนพระราม 6 เลี้ยวขวา ขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปสุดปลายทาง ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ ขับขึ้นทางด่วน ย้อนเส้นทางเดิม โดยใช้มาตรฐานการทดลองดั้งเดิม คือ แล่นด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เราเปิดระบบ Cruise Control เอาไว้
ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อขึ้นเนินทางชัน เราต้องปลดระบบ Cruise Control ออก แล้วเลี้ยงคันเร่งเอง เพราะถ้าเปิดระบบทิ้งไว้ รอบเครื่องยนต์จะกวาดขึ้นไปอยู่แถวๆ 4,000 รอบ/นาที เพื่อเลี้ยงให้ความเร็วรถยังคงอยู่ในระดับที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลให้กินน้ำมันมากขึ้นเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ถ้าจะตั้งค่าระบบให้ล็อกความเร็วไว้ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เอาเข้าจริง ระบบจะล็อกให้ถอยร่นลงมาที่ 109 หรอจะขยับขึ้นไปเป็น 111 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเราต้องการให้ตัวเลขความเร็ว นิ่งๆ ที่ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ต้องคอขยับสวิตช์เพิ่มหรือลดความเร็วลงมาเป็นระยะๆ ซึ่งน่ารำคาญมาก
เมื่อลงทางด่วนที่ด่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมัน Techron เบนซิน 95 ณ หัวจ่ายเดิม และใช้วิธีเติมแบบหัวจ่ายตัด เหมือนช่วงที่เติมครั้งแรกทุกประการ

มาดูตัวเลขที่ทำได้กันดีกว่า
- ระยะทางบน Trip Meter A : 92.5 กิโลเมตร
- เติมน้ำมัน เบนซิน 95 Techron : 5.53 liter
- วิ่งเฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำได้เฉลี่ย 16.72 km/l
ถ้าจะบอกว่า Stagazer ทำตัวเลขออกมาได้ดีที่สุด ในบรรดาคู่แข่งพิกัด B-Segment Minivan From Indonesia จะเชื่อหรือไม่? ตัวเลขความประหยัดขนาดนี้ นับว่าดีงามใช้ได้เลย สำหรับรถยนต์ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน สันดาปล้วนๆ ไร้ระบบ Hybrid ใดๆทั้งสิ้น
ถ้าถามว่าน้ำมัน 1 ถัง จะแล่นได้ไกลแค่ไหน?
จากที่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตกับรถคันนี้ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ บอกได้เลยว่า ถ้าคุณขับแบบกดๆ อัดๆ รีบๆ ตลอดเวลา รวมทั้งเจอการจราจรติดขัด ไปจนถึงการเหยียแช่ยาวๆบนถนนโล่งสุดๆ น้ำมัน 1 ถัง อาจทำได้แค่ 350 กิโลเมตร แต่ถ้าคุณเป็นคนขับรถแบบที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเป็นกัน คือ ขับใช้งานตามปกติ ไม่เร่งกระชาก ไม่เหยียบจมมิด ใช้ความเร็วเดินทาง ไม่เกินกฎหมายกำหนด ขับรถเรื่อยๆ สบายๆ แน่นอนว่า น้ำมัน 1 ถัง อาจพาคุณแล่นได้ไกลราวๆ 450 แต่ ไม่เกิน 500 กิโลเมตร
********** สรุป / Conclusion **********
B-Segment Minivan ที่ขับดีสุด แรงสุด และประหยัดสุดในตลาด
เสียดายว่าควรขายดีกว่านี้ ซื้อช่วงก่อนปรับโฉม ในตอนนี้ คือคุ้มที่สุดแล้ว
28 กันยายน 2025
ระหว่างที่กำลังนั่งรื้อต้นฉบับบทความนี้ มาเขียนให้จบ “พี่ใหม่” มือตัดต่อ Video ประจำเว็บ Headlightmag ของเรา จู่ๆ ก็ส่งข้อความเข้ามา บอกว่า เขาและครอบครัว ตัดสินใจซื้อ Hyundai Stargazer รุ่น Style 6 เรียบร้อยแล้ว
ผมถึงกับตกใจ…มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกสักหน่อยโดยส่วนตัวของผม เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูคนรอบข้าง แทบทุกคนที่เข้ามาร่วมงานกับ Headlightmag ของเรากันยาวๆ ต่างล้วนแล้วมีโอกาสเก็บเงินออกรถใหม่ป้ายแดงกันแทบจะทุกคนเลยทีเดียว
แล้วเหตุผลที่ พี่ใหม่ ถึงตัดสินใจ ถอย Stargazer ก็เป็นเรืองที่คาดเดาได้ไม่ยาก
“ตอนแรกมองๆ ดู Mitsubishi Xpander ไว้ แต่ดูราคากับ Option ผมว่า คันนี้คุ้มกว่าครับ ผมงบไม่เยอะ ผมออกที่ศูนย์ Hyundai พระราม 5 ครับ มันเป็นศูนย์ซ่อมสีและตัวถังด้วย ใหญ่อยู่ครับผม”
ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับ พี่ใหม่ ที่ได้รถคันใหม่ให้ครอบครัว แสดงความยินดีกับ Hyundai ที่ได้ลูกค้าใหม่ เป็นหนึ่งในทีมเว็บของผม และออกจะเสียดายที่ว่า Stargazer มียอดขายดีอยู่ก็จริง แต่มันควรจะเปรี้ยงปร้างกว่านี้ น่าจะได้รับความนิยมจากลูกค้าทั้งใน Indonesia และ ในเมืองไทย มากกว่านี้
เหตุที่ผมคิดเช่นนี้ เพราะด้วยคุณสมบัติตัวรถเพียงลำพัง โดยยังไม่ต้องนับองค์ประกอบอื่นเข้าไปร่วมด้วยแล้ว ตัวรถไม่ใช่แค่คุ้มค่าคุ้มราคา หากแต่ยังมีการขับขี่ที่ดีสุด เครื่องยนต์ที่ให้อัตราเร่ง แรงที่สุด แต่ประหยัดน้ำมันมากที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดา B-Segment Sub-Compact Minivan ขุมพลังสันดาปล้วน ที่นำเข้าจาก Indonesia ทุกรุ่นทุกคัน!
ต้องยอมรับเลยว่า ทีมวิศวกรชาวเกาหลี พยายามทำการบ้านมาดีพอสมควร ในภาพรวม เพราะพวกเขาหมายจะโค่นผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นแทบทุกรายอันเป็นเจ้าตลาดกลุ่มนี้ใน Indonesia และบ้านเราให้ได้ แน่นอนว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาในภาพรวม ทำให้ผมกล้าแนะนำ Stargazer ให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีมากๆ กับใครก็ตามที่มาปรึกษาว่า อยากจะซื้อ Minivan 7 ที่นั่ง ราคา ประหยัด ได้อย่าง เต็มอกเต็มใจ เต็มปากเต็มคำ ไม่ขัดเขินใจใดๆเท่าใดนัก
จุดที่ควรปรับปรุง / What to improve?
ถึงผมจะบอกว่า ชาวเกาหลี ทำการบ้านได้ดีจนทำให้ Stargazer เป็น Minivan 7 ที่นั่ง คันเล็กที่มีจุดเด่นรอบคัน ขับดี แรงสุด และประหยัดน้ำมันมากสุด แต่แน่นอนว่า Stargazer ก็ยังคงถูกสร้างขึ้นด้วย Mindset ในการลดต้นทุน เช่นเดียวกับ Minivan สัญชาติ Indonesia คันอื่นๆ เราจึงยังคง เห็นจุดด้อยอีกหลายประเด็นที่ยังรอการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ตัวรถสมบูรณ์แบบขึ้นมากกว่านี้ เช่น…
- ช่วงล่าง ในช่วงความเร็วต่ำ ควรจะดูดซับแรงสะเทือนได้นุ่มนวลกว่านี้อีกสักหน่อย
- ยางติดรถ ควรจะดีกว่านี้อีกสักนิด
- การเก็บเสียงในห้องโดยสาร ควรปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่านี้
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด มาให้แล้วก็จริง แต่ปรับระดับสูง – ต่ำ ไม่ได้ ไม่เข้าใจว่า จะงกในประเด็นนี้กันไปทำไมนักหนา ทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เลย ยังดีที่มี สัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย มาให้
- แผงบังแดดฝั่งคนขับ ก็ไม่มีกระจกแต่งหน้ามาให้
- กระจกมองหลัง ก็ไม่มีก้านปรับตัดแสงมาให้
- ถาดวางของด้านหลังเบาะหน้า ก็มีมาให้แค่ฝั่งซ้าย ทั้งที่ควรมีมาให้ครบทั้งฝั่งซ้ายและขวา ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงว่า วิศวกรชาวเกาหลีใต้ ยังละเลยและยอมให้การลดต้นทุน อยู่เหนือกว่าการยอมใส่ อุปกรณ์ให้ลูกค้ามาครบๆ ตั้งแต่แรก ทำให้ผลงานที่ออกมา ขาดซึ่งสิ่งละอันพันละน้อย อย่างไม่ควรเป็น สะท้อนให้เห็นว่า ทีมวิศวกรในโครงการนี้ เน้นแต่การทำรถตามผลวิจัยตลาด และความต้องการของลูกค้าขั้นพื้นฐานเพียงอย่างเดียว โดยไม่รอบคอบพอที่จะคิดเผื่อเหลือเผื่อขาดให้ลูกค้าไปด้วย
คู่แข่งในตลาด / Competitors
กลุ่ม B-Segment Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง ในบ้านเรานั้น มีผู้เล่นมากมายหลายเจ้าอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อดูข้อมูลเชิงลึกกันแล้ว แน่นอนว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ จะให้น้ำหนักกับราคา เป็นตัวตั้ง มาบวกลบคูณหาร กับอุปกรณ์มาตรฐานที่รถแต่ละคันมีมาให้ แน่นอนว่า ความสวยงามของภายนอก ก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่แพ้ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ตัวเลือกที่เหลืออยู่ในตลาดบ้านเราตอนนี้ และเป็นคู่แข่งโดยตรง ในกลุ่มที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป รวมทั้งขุมพลัง Hybrid (ไม่นับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าล้วน BEV) มีดังนี้…
– Honda BR-V คือ ตัวเลือกที่แพงสุด จนลูกค้าเมินหน้าหนีมากสุด ทั้งที่คุณภาพการขับขี่ดีเยี่ยมเทียบกับ Stargazer ชนิดทัดเทียมเคียงบ่าเคียงไหล่ อัตราเร่งดี ประหยัดน้ำมันใช้ได้ พวงมาลัยตอบสนองดี เป็นธรรมชาติ ช่วงล่าง นุ่มแน่น มั่นใจ และนิ่งในย่านความเร็วสูง เข้าโค้งดี แต่ต้องทำใจกับเบรกที่อาจจะ Fade ง่าย เมื่อเจอภาวะที่ต้องเบรกแบบโหดๆ รวมทั้งการขับลงจากสารพัดดอยทางภาคเหนือ ควร Upgrade ผ้าเบรก ด้วย จะช่วยได้มาก แต่ คุณต้องยอมรับให้ได้กับเบาะนั่งที่ ไม่สบายมากสุดในกลุ่ม กระนั้น ยังดีที่มีระบบตัวช่วย ADAS อย่าง Honda Sensing มาให้ แม้ว่าระบบ Lane Watch จะก่อความรำคาญตอนจะเลี้ยวเข้าซอย แล้วต้องพึ่งพาการนำทางผ่านระบบมือถือ Apple Car Play หรือ Andriod Auto ก็ตาม ด้านศูนย์บริการ Honda ตอนนี้ อยู่ในระดับกลางๆ คือบริษัทแม่หนะมาตรฐานสูง แต่ดีลเลอร์ ทำได้หรืออยากจะทำตามมากน้อยแค่ไหน นั่นเป็นอีกเรื่อง
– Mitsubishi Xpander / Xpander Cross HEV
จุดเด่นสำคัญของ 2 พี่น้องคู่นี้ นอกจากอยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งโฉบเฉี่ยว สมส่วน จนเข้าไปอยู่ในใจกลุ่มลูกค้ามากที่สุดแล้ว ยังรวมถึงพื้นที่ห้องโดยสารที่ใหญ่โต เบาะนั่งสบายพอสมควร ช่วงล่าง ที่หนึบแน่น มั่นใจสมราคาค่าตัวรถ แต่ทำใจรับได้กับอัตราเร่ง ของรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร สันดาปล้วน ที่ทำตัวเลขช่วงออกตัว 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อึดสุดในกลุ่ม แต่ช่วงเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไวขึ้นมานิดๆ หรือถ้าอยากลองเล่นขุมพลัง Hybrid ก็ยังพอไหว แต่อาจจะเหนื่อยในการเรียกอัตราเร่งช่วงรอบปลายๆสูงๆ หรือตอนบรรทุกเต็มพิกัด รวมทั้ง การตอบสนองของพวงมาลัยที่ต่อให้จะปรับปรุงจนเป็นธรรมชาติขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นดีสุดนัก และค่าตัวที่ค่อนข้างแพงพอสมควร แต่ตัวรถดูแน่นหนาสุดในกลุ่มแล้ว
ด้านศูนย์บริการ ถึงจะมีโชว์รูมผู้จำหน่ายหน้าใหม่ เปิดตัวขึ้นมาเยอะมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การดูแลลูกค้าก็ยังแตกต่างกันไป บริการหลังการขายภาพรวม จัดอยู่ในเกณฑ์กลางๆ ถ้าเจอดีลเลอร์ไหน ดูแลลูกค้าดี ก็ถือว่าทำบุญมาดี แต่ดีลเลอร์ที่อยู่มานาน ก็มักจะเก๋าเกมเกินเหตุกับลูกค้าอยู่ไม่น้อยตามเดิม
– Suzuki XL-7 Mild Hybrid
XL7 กลายเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่บนโชว์รูม Suzuki เพราะ Ertiga Hybird ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เมื่อขายหมดแล้ว ก็เลยไม่นำเข้ามาเพิ่มอีก ดังนั้น XL-7 จึงเหมาะกับคนที่มีงบประมาณ ไม่มากนัก แต่อยากได้ความทะมัดทะแมงจากภาพลักษณ์ภายนอกของตัวรถ ที่ถูกเสริมแต่งด้วยอุปกรณ์ประดับยนต์จากโรงงาน มารอบคัน ซึ่งจะช่วยเสริมบุคลิกของคุณ ให้ยังคงเป็น พ่อบ้าน ที่เน้นความเท่ ข้อดีก็คือ ช่วงล่าง ที่นอกจากจะยกสูงให้เสร็จสรรพมาจากโรงงานแล้ว ยังตอบสนองได้ดีขึ้น และลดอากาศท้ายเด้ง ให้น้อยลงกว่า Ertiga ตัวเตี้ยอีกเล็กน้อยด้วยซ้ำ ต่อให้ตัวเลขอัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลือง จะด้อยกว่าชาวบ้านอยู่สักหน่อย กระนั้น ในภาพรวม ตัวรถก็ทำมาจบ และลงตัวในทุกด้าน เพียงแต่ว่า จุดด้อยของ XL-7 ที่สำคัญนั่นคือ ไม่มีระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัยกลุ่ม ADAS มาให้นอกเหนือจากอุปกรณ์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐานเลย
ด้านศูนย์บริการ Suzuki ยังคงมีจุดเด่นเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาถูกกว่าเพื่อนฝูงนิดหน่อย แต่แน่นอนว่า คุณภาพงานบริการ ก็อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกันกับ Mitsubishi Motors นั่นคือ ถ้าเจอดีลเลอร์ที่ดี ก็ควรจะผูกมิตรกันไว้นานๆ แต่ถ้าเจอดีลเลอร์ไม่ดี ก็ควรถอยหนีห่างออกมา
– Toyota VELOZ
ตัวเลือกที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ จะคิดออกก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อจะต้องซื้อรถยนต์ในกลุ่มพิกัด B-Segment Minivan 7 ที่นั่ง ราคาประหยัด แน่นอนว่า ถ้าคุณมองหาความคุ้มค่า จากบรรดาสารพัด Option และลูกเล่นที่อัดแน่นเข้ามาในตัวรถ ตั้งแต่ชุดมาตรวัด เปลี่ยน Layout ได้ ไปจนถึง ระบบ ADAS อย่าง Toyota Safety Sense ที่ให้มาเต็มพิกัด คำตอบมันก็คงต้องเป็น Veloz แต่สำหรับคนที่ทำการบ้านมาเยอะ และเปิดใจให้แบรนด์อื่นที่ไม่ใช่ Toyota คุณจะพบว่า นอกเหนือจากคุณงามความดีด้าน Option นั้นแล้ว บุคลิกตัวรถ ยังทำได้เพียงแค่เกาะกลุ่มกับเพื่อนพ้อง อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จะอยู่ในระดับกลางๆ ของตลาด พวงมาลัยตอบสนองดีขึ้นกว่าเดิม แต่เบา และเน้นหมุนคล่องมากกว่า ช่วงล่างมาในแนวนุ่ม เบรก ก็ถือว่า กลางๆ ณ วันนี้ คุณภาพการประกอบจาก Indonesia ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ปัญหาประจำรุ่นที่เกิดจากชิ้นส่วนซึ่งผลิตจากแดนอิเหนา ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เนืองๆ แต้มต่อที่เหนือกว่าเพื่อนอีกเรื่องเดียวก็คือ โชว์รูมและศูนย์บริการ ที่มีมากถึง 450 กว่าแห่ง ทั่วเมืองไทย
ถ้าคุณตัดสินใจเลือก Stargazer ควรเลือกรุ่นย่อยไหนดี? / Which variant to choose?
จากข้อมูลใน https://www.hyundai.com/th/th/build-a-car/prices เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 ปัจจุบัน Hyundai มี Stargazer ทั้ง สต็อกเก่า และรุ่นปัจจุบัน Model Year 2025 รวม ถึง 11 รุ่นย่อย แบ่งเป็น รุ่นมาตรฐาน 6 รุุ่น และ Stargazer X อีก 5 รุ่นย่อย ราคา มีดังนี้
STARGAZER รุ่นมาตรฐาน
- STARGAZER Style I6B………………………………..829,000 บาท
- STARGAZER Style 6 (MY 2025) I6I……………..849,000 บาท
- STARGAZER Smart 7 I6C……………………………869,000 บาท
- STARGAZER Smart 6 I6D…………………………..889,000 บาท
- STARGAZER Smart 6 (MY2025) I6J……………899,000 บาท
- STARGAZER Smart 6 With Black Roof I6E…..909,000 บาท
STARGAZER X
- STARGAZER X7 I6G…………………………………..929,000 บาท
- STARGAZER X.. I6H…………………………………..939,000 บาท
- STARGAZER X6 I6F……………………………………949,000 บาท
อย่างไรก้ตาม ราคาดังกล่าว เป็นราคาตั้ง เพราะ ขณะนี้ มี Promotion ส่วนลด 200,000 บาท จากราคาจริง ดังนั้น บางรุ่นย่อย ในบางโชว์รูม ทะยอยหมดสต็อกลงไปบ้างแล้ว ดังนั้น อาจต้องลองเช็คกับทางโชว์รูมผู้จำหน่าย ทั้ง 37 แห่ง ทั่วประเทศกันอีกสักรอบ
ถ้าถามว่า ควรจะเลือกรุ่นย่อยไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ หากงบประมาณจำกัด รุ่น Style จะกลายเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าเงินที่สุด เพราะได้อุปกรณ์พื้นฐานในระดับใช้งานได้ เพียงแต่ว่า ถ้าอยากได้ระบบ Hyundai Smart Sense ก็คงต้อง Upgrade ขึ้นไปเล่นรุ่น Smart ซึ่งน่าจะคุ้มค่าในระยะยาวมากกว่า
ส่วนรุ่นยกสูง Stargazer X อาจจะเหมาะกับครอบครัวที่มีบ้านเรือนอยู่ในซอยซึ่งมีน้ำท่วมขังอยู่เรื่อยๆ แต่เนื่องจากตัวรถยกสูงเพิ่มจากรุ่นปกติไม่มากนัก ดังนั้น จึงอาจดูไม่ค่อยคุ้มค่านักถ้าจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม
คำถามสุดท้าย…รุ่นปรับโฉมใหม่ Minorchang เผยโฉมแล้ว และกำลังจะมาไทย ควรรอดีไหม?
ช่วงนี้ น่าจะเป็นช่วงสุดท้าย ก่อนที่ Hyundai มีแผนจะนำ Stargazer Cartenz ซึงเป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange ที่เพิ่งเปิดตัวออกสู่ตลาด Indonesia ในงาน Gaikindo International Moto Show กลางกรุง Jakarta เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา
ทว่า ด้วยการออกแบบภายนอกที่ออกจะพิลึกพิลั่นหนักกว่าเดิม เพื่อเอาใจลูกค้าแดนอิเหนา ที่มองว่า ตัวรถนั้น ล้ำยุคสมัยเกินไป ทีมออกแบบชาวเกาหลี ก็เลยพยายามเหลาให้หน้ารถมีส่วนเหลี่ยมสันมากขึ้น แถมมีกระจังหน้าขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ ราวกับได้แรงบันดาลใจจาก Hyundai Palisade Generation 2 ที่เพิ่งเผยโฉมในตลาดโลก ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแผงหน้าปัดแบบใหม่ ให้ดูคล้ายกับ Dashboard ของ Palisade Gen.2 อีกด้วย แต่งานวิศวกรรมเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ทันทีที่ผมเห็นหน้าตาของรถรุ่นใหม่ ผมถึงกับร้องอุทานเลยว่า “ชิบหาย! ดีไซน์อะไรกันออกมาเนี่ยยย?? เฉิ่มเชยสะบัดช่อล่อซะอุบาทว์กว่าเดิมเยอะเลย อย่าว่าแต่อื่นใดเลย คนของ Hyundai ทั้งชาวไทยและชาวเกาหลีใต้ รอบๆตัวผมหลายคน ก็ยังรู้สึกเหมือนกันว่า “ตอนออกแบบ ทำไมไม่มาปรึกษากันหน่อยวะเนี่ย?? จะเอาใจแต่ชาว Indo กันอย่า่งเดียวเลยมันก็ไม่ไหวนะ ไม่ต้องเอาไปขายในตลาดโลกกันพอดีแบบนี้”
ดังนั้น ถ้าถามความเห็นจากผมแล้วว่า ควรรอรุ่นใหม่ดีไหม? มันขึ้นอยู่กับรสนิยมของคุณแล้วละครับ
ถ้าเห็นหน้ารถรุ่นใหม่ จาก Link นี้ แล้วชอบใจ คิดว่าจะรอ นั่นก็แล้วแต่คุณเลยครับ น่าจะใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งกว่าที่ Hyundai ประเทศไทย จะสั่งนำเข้า Stargazer Cartenz มาเปิดตัวในบ้านเรา เร็วที่สุด ก็น่าจะเป็น Motor Expo ปลายเดือน พฤศจิกายน 2025 นี้ หรืออย่างช้า ก็จนกว่า สต็อกของรถรุ่นปัจจุบันนี้ จะหมดลง
แต่ถ้าเห็นหน้ารถรุ่นใหม่แล้ว รับไม่ได้ ผมคงต้องบอกเลยว่า “ไม่ต้องรอ! อย่ารอ” ซื้อรุ่นนี้ไปเลย!
——————————————————————
สิ่งที่อยากจะฝากถึง Hyundai Mobility Thailand ในตอนนี้ ก็คงมีเพียงว่า การวางตำแหน่งทางการตลาดของ Brand Hyundai นั้น มาถูกทางแล้ว คือ ให้เป็น Brand ของ คนที่ชาญฉลาดในการใช้เงิน ขณะเดียวกัน ก็ควรจะใส่ใจดูแลและหมั่นตรวจสอบ ยกระดับคุณภาพงานบริการหลังการขาย ของบรรดา ดีลเลอร์ ผู้จำหน่าย 37 แห่ง ที่มีอยู่ทั่วประเทศตอนนี้ รวมทั้งรายใหม่ที่กำลังจะเปิดจากนี้ ให้ครบ 40 ราย ภายในสิ้นปีนี้ด้วย
ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะยกระดับความเชื่อมั่นของแบรนด์ Hyundai ในเมืองไทย ในสายตาของคนที่ไม่เคยมองรถยนต์แบรนด์ใหญ่จากเกาหลีใต้รายนี้มาก่อน ได้อีกมากโข
ทำรถมาดีแล้ว เหลือเรื่องยกระดับ Service After Sales อีกสักหน่อย ผู้บริโภคก็จะมั่นใจมากขึ้น
แล้วยอดขาย Hyundai ก็จะดีขึ้น อย่างยั่งยืน กันเสียที!
——————————-///——————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
บริษัท Hyundai Mobility (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ
เตรียมข้อมูลตัวรถโดย Navarat Panutat (KANVITZ)
บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
ภาพคันจริง Hyundai Stargazer
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียนและ Hyundai Motors Company
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
28 กันยายน 2025
Copyright (c) 2022 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 28th, 2025
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here
————————————————
