28 พฤศจิกายน 2024
Challenger Hall , IMPACT, เมืองทองธานี
หลังอาหารมื้อเช้า ผมเดินลงมาจากห้องพักในโรงแรม Novotel เพื่อเดินมาตามทางเชื่อม เข้าสู่งานแสดงรถยนต์ MOTOR EXPO เฉกเช่นที่ทำเป็นประจำในทุกรอบสื่อมวลชน
งานในปีที่ผ่านมา จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2024 กลายเป็นงานที่หลายๆคน เริ่มมาบ่นให้ผมฟังว่า ตกลงแล้ว พวกเรา อยู่ใน กรุงเทพมหานคร / ปทุมธานี หรือ อยู่ในนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน กันแน่?
แหงละครับ บรรดาผู้ผลิตรถยนต์แดนมังกร จำนวนมาก ต่างพากันยกทัพ เข้ามายึดหัวหาด ครองพื้นที่ของงาน ในปริมาณที่มากกว่าการจัดงานทุกครั้งในอดีต บรรดา แบรนด์หลักๆขนาดใหญ่ ซึ่งเรียงตามลำดับการเข้ามาลงหลักปักฐานในบ้านเรามาก่อนแล้ว ได้แก่ MG GWM (Great Wall Motor) BYD CHANGAN AION ZEEKR CHERY (ในนาม Omoda & Jaecoo) ฯลฯ ต่างเข้ามาเปิดศึกโชว์ศักดิ์ศรี ความยิ่งใหญ่ของทุนเงินตรา เพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนร่วมชาติ
ขณะเดียวกัน ในงานครั้งนั้น มีบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ ชาวจีน ซึ่งอาจจะเป็นรายเก่า รายใหญ่ ในแผ่นดินเกิด แต่มาเปิดศักราชใหม่ อวดโฉม เปิดตัวแบรนด์ของตนในเมืองไทยกันหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Geely Riddara King Long ฯลฯ เล่นเอางานนี้ ผู้บริโภคและสื่อมวลชน ถึงกับต้องทนฟังบรรดาผู้บริหารชาวจีน พูดประกาศศักดาออกไมโครโฟน กันดังสนั่น ลั่นอาคารจัดแสดงในงาน ราวกับว่าผู้บริหารเหล่านั้น เป็นโรคหูหนวกมาตั้งแต่กำเนิด นัยว่าเพื่อประกาศแสนยานุภาพความ “ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร รถจีน” ได้ประจักษ์ชัดแก่สายตาชาว ไท่กั๋ว (ชาวไทย)
ท่ามกลางการอวดบารมีที่ใหญ่โต ชนิดไม่ยอมให้ตนเสียหน้าเพื่อนฝูงร่วมชาติจีนแผ่นดินใหญ่ มีแบรนด์รถยนต์รายหนึ่ง โผล่มาจากไหนไม่รู้ ขอแบ่งพื้นที่เล็กๆ ตรงกลางฮอลล์จัดงาน อวดโฉม เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกของพวกเขา เป็นครั้งแรกในโลกเสียด้วย!
รถยนต์จากจีน แต่เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย!? และตอนเปิดตัว ยังไม่มีขายในเมืองจีน!!!
ห้ะ!!?? มีอย่างนี้ด้วยเหรอ? ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเรื่องประหลาดแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศสยามอันเป็นที่รักของเรา
ครับ…แบรนด์นี้ มีชื่อว่า JuneYao Auto (จุนเหยา ออโต้)
จริงๆแล้ว ผมได้ยินข่าวคราวการเข้าสู่ประเทศไทย ของแบรนด์ JuneYao นี่มาสักพักหนึ่งแล้วละ ความชัดเจนที่ได้ยินเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2024 ว่าพวกเขา ตั้งใจจะเปิดตัวแบรนด์ รวมทั้ง เปิดผ้าคลุมรถยนต์นั่ง ขุมพลังไฟฟ้าล้วน EV (Electric Vehicle) กันในงาน Motor Expo นี่แหละ
สารภาพตามตรงว่า ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่า พวกเขาเป็นใครมาจากไหน เป็นกลุ่มทุนจีนขนาดใหญ่โตแค่ไหน ถึงได้ลงทุนพัฒนา และผลิตรถยนต์ออกมาขายได้ แล้วทำไมจู่ๆ เกิดนึกอะไรขึ้นมา ถึงอยากทำรถยนต์ขาย
ตามสไตล์บริษัทรถยนต์ชาวจีน ที่อยากดิ้นหนีตาย จากภาวะการแข่งขันในตลาดรถยนต์ที่บ้านเกิด ซึ่งดุเดือดเลือดพล่านไปด้วยการห้ำหั่นกันทั้ง ราคา โปรโมชั่น และวิธีการขาย ดีลเลอร์ท้องถิ่น พากันปิดตัวหนีตายกันเพียบ พวกเขาเลยจำใจต้องสยายปีกมาเปิดสมรภูมิกันที่เมืองไทย
ชาวจีนส่วนใหญ่ หลายแบรนด์ ล้วนเข้ามาเปิดตัวแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ใช้วิธีส่งคนจีน ลูกน้องของตน บินมาตั้งบริษัทเอง ให้คนไทยตัวเล็กๆ ช่วยเหลือในการจดทะเบียนบริษัท และดำเนินเรื่องทางกฎหมาย นิดๆหน่อยๆ จากนั้น ก็ลงมือลุยกันเองเลย โดยไม่จ้างคนไทยมาคุมในระดับบริหารให้วุ่นวายใจ เพื่อที่พวกตนจะได้ทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่ต้องให้คนท้องถิ่นชาวไทยอยู่เป็นก้างขวางคอ แล้วทีนี้ ฉันจะติดต่อกับ PR คนไหนยังไงละเนี่ย
ทว่า JuneYao มาเมืองไทยในวิธีที่ต่างออกไป พอลองเปิดใจ เข้าไปนั่งดูคร่าวๆ ผมพบว่า ตัวรถ ก็ไม่แย่ ภายในชวนให้นึกถึง บรรดารถยนต์จากเมืองจีนรุ่นอื่นๆ ที่มักชอบทำหน้าจอตรงกลางขนาดใหญ่ เอาทุกสวิตช์ออก ไปรวมไว้ควบคุมบนหน้าจอนั่นละ นี่ยังไม่นับกับตรรกะในการจัดวางสวิตช์และอุปกรณ์บางอย่างที่ประหลาด และรู้ได้เลยว่า ไปเอาแนวทางมาจากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla มาแหงๆ เพราะนี่คือวิธีการเดียวกับที่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนส่วนใหญ่ นิยมทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ทุกแบรนด์
เดี๋ยวนะ ราคาแค่คันละ 7 แสนกว่าบาท ถึง 8 แสนกว่าบาท เองเหรอ?? จริงอยู่ ราคาถูกกว่าที่คิด แต่จะมีใครซื้อไหมละ ลูกค้าชาวไทยต่างคิดว่า กำเงินจำนวนนี้ ไปซื้อรถเก๋งแบรนด์เจ้าตลาด หรือรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแบรนด์อื่นที่น้่าเชื่อถือกว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอ?
คำถามคาใจผมยังมีอยู่มากมาย แต่ก็มลายหายวับไปกับกาลเวลา
ตัดภาพกลับมายังปัจจุบัน
หลังวันขึ้นปีใหม่ 2025 ผ่านพ้นไป พี่เบิ้ม พี่ชายร่วมวงการ ซึ่งปกติ ทำนิตยสาร Torque Magazine จู่ๆ ก็ติดต่อมา บอกว่า ทาง JuneYao อยากส่งรถยนต์รุ่นแรกของพวกเขามาให้เราทำรีวิว เมื่อนัดแนะกันเสร็จสรรพ แอบต้องมีการเลื่อนนัดไปรอบนึง ด้วยเหตุผลที่ว่า ตัวรถกำลังรอ Update Firmware Version ใหม่ อยู่
อ่ะ ไม่เป็นไร เลื่อนก็ได้ครับ ยอมรอ ปล่อยให้่พวกเขา จัดงานทดลองขับ กับสื่อมวลชนกลุ่มใหญ่ประมาณหนึ่งให้เสร็จเรียบร้อยไปก่อน และเท่าที่ได้ยินเรื่องราวจากผู้ที่ได้ไปลองขับในเบื้องต้น ก็เจออาการของตัวรถอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ไม่ทำงาน หรือ ยางก็เกิดแบน ระหว่างขับขี่อยู่บนทางยกระดับบูรพาวิถี ขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่เนื่องจากยางของ JY AIR นั้น เป็นยางไซส์พิเศษ ออกจะหายากสักนิดในเวลาอันจำกัด จึงต้องใช้วิธียกรถขึ้น ยานแม่ (รถ Slide-on) กลับลงมา อย่างปลอดภัย เป็นต้น
27 มกราคม 2025
ทันทีที่ เรา เดินทาง มาถึง หน้าโรงงาน…หรือว่า โกดัง…ของบริษัท Smart tech ย่าน บางนา-ตราด กม.25 อันเป็นสถานที่ในการรับรถของเรานั้น เมื่อเห็นหน้าประตูทางเข้า ซึ่งเป็นสถานประกอบการ ที่มีอาคารโกดัง และสำนักงานเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ข้างในนั้น ผมกับ Mark Pongsawang เราหันมามองหน้ากัน และเผลอพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า
“ไม่มีอนาคต”!!!
แล้วก็นั่งขำไปด้วยความหวั่นใจไปชอบกล กันอยู่ สองคน ในรถนั่นแหละ
เราหันมาถามกันเองต่อ “แรงไปหรือเปล่า ยังไม่ทันรับรถ เราคิดกันแบบนี้เลยเหรอ ไม่อคติไปหน่อยเหรอ? จะใจร้ายไม่ให้โอกาสเขาตั้งตัวกันสักหน่อยเลยเหรอ?”
เออ หวะ! จริงด้วย เราควรจะทิ้งอคติของเราออกไปเสียก่อน ตลอด 15 ปีที่ทำเว็บ Headlightmag นี่มา และรวมกว่า 27 ปีในวงการสื่อมวลชนสายยานยนต์ การจะทำรีวิวรถยนต์อะไรก็ตามของเราในอดีตที่ผ่านมา เรามักวางอคติใดๆในใจลงไปให้หมด แล้วตัดสินตัวรถจากผลงานที่มันเป็น ไม่ใช่เหรอ?
ดังนั้น เราไม่ควรไปตีค่ากันแบบนี้แต่แรกเลย มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนะจิมมี่! ตัดอคติออกไปก่อนๆๆๆๆๆ
เอาละ กุญแจรีโมท อยู่ในมือเราแล้ว คุณฮวด ทีมงานของ JuneYao ก็อธิบายการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆในตัวรถเสร็จแล้ว จากนี้ละ ถึงเวลาที่รถอยู่ในมือของเรากันเสียที จะได้รู้กันว่า JuneYao Air ผลผลิตคันแรกจากแบรนด์ JuneYao กลุ่มธุรกิจรายใหญ่จาก เซี่ยงไฮ้ เขามีดีพอไหมที่จะแทรกตัวเข้ามาขอใจจากผู้บริโภคในเมืองไทย
ก่อนอื่น คุณคงอยากรู้ใช่ไหมครับว่า JuneYao คือใคร? มีที่มาอย่างไร ไฉนถึงอาจหาญเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน ในวันที่การแข่งขันดุเดือดมาก ชนิดที่ว่า มีแต่ผู้เล่นรายเดิมๆที่ล้มละลาย และทะยอยจากไป จาก 800 แบรนด์ ในปี 2018 เหลือแค่ 100 กว่า แบรนด์ ในปี 2024 พวกเขาทำอะไรมาก่อน ถึงจะเข้ามาสู่วงการนี้
ความเป็นมาของกลุ่ม JuneYao เป็นอย่างไร เลื่อนลงไปอ่านได้ ข้างล่างนี้เลยครับ!
JuneYao Auto คือใคร? มีที่มาอย่างไร?
JuneYao Auto เป็นแบรนด์รถยนต์ภายใต้เครือของกลุ่มบริษัท JuneYao Group ที่เริ่มต้นการดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 1991 บริษัทนี้ ทำธุรกิจหลัก 5 กลุ่ม นั่นคือ การขนส่งทางอากาศ , การบริการทางการเงิน , สินค้าอุปโภคบริโภคด้านสุขภาพ ธุรกิจโรงเรียน/การศึกษา และ กลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ แต่กลุ่มธุรกิจที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในหมู่ชาวจีน ก็คือ สายการบิน JuneYao Air
“Juneyao Air” อ่านว่า “จูนเหยาแอร์” มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า 吉祥航空 (จี๋เสียงหังกง) ซึ่งแปลว่า “สายการบินอันเป็นมงคล” เป็นสายการบินสัญชาติจีน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ เมืองผู่ตง ในนครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) มีฐานการบินอยู่ที่ ท่าอากาศยานหงเฉียว และท่าอากาศยานผู่ตง ของเซี่ยงไฮ้ ให้บริการเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทาง 70 แห่ง ทั้งภายในและระหว่างประเทศ ในเอเชียและยุโรป
แรกเริ่มเดิมที ประวัติของกลุ่ม JuneYao นั้น เริ่มต้นจาก Wang Junyao และ Wang Junhao 2 พี่น้อง ก่อตั้ง บริษัทWenzhou Tianlong Charter Industry Co., Ltd. สายการบินเช่าเหมาลำเอกชนแห่งแรกของจีน รวมทั้งเปิดตัวเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเมืองฉางซา (Changsha) ไปยังเมืองเหวินโจว (Wenzhou) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมในปี 1991 ซึ่งถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในอุตสาหกรรมการบินแบบเช่าเหมาลำโดยเอกชนของจีน
เมื่อกิจการไปได้ดี พวกเขาจึงเริ่มขยายธุรกิจ ในเดือนมิถุนายน 1994 ทั้ง 2 พี่น้องได้ก่อตั้งบริษัท Wenzhou JuneYao Dairy Co.,Ltd. สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่ม Consumer Products จากนั้นในเดือน ตุลาคม 1998 กลุ่มบริษัทแห่งนี้ ได้ ก้าวเข้าไปบริหารจัดการ ธุรกิจ Taxi สนามบิน Wenzhou ต่อมา เดือนธันวาคม 1999 ทางกลุ่มได้เลือกย้ายสำนักงานใหญ่ มาตั้งที่ เซี่ยงไฮ้ (Shanghai)
ต่อมาในปี 2000 JuneYao Group Aviation Service Co., Ltd. เริ่มเปิดดำเนินการ โดยมีฐานที่นคร Shanghai และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2002 กลุ่มบริษัท JuneYao Group ได้เข้าซื้อหุ้นใน China Eastern Airlines Wuhan Co., Ltd. ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งแรกของบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล
เดือนมีนาคม 2002 กลุ่ม JuneYao กลายเป็นผู้ให้บริการ ด้านการบิน เอกชน รายแรกของจีน ต่อมา เดือนมกราคม 2004 ทางกลุ่ม ได้เปิดดำเนินการโรงแรม JuneYao International Plaza ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมธุรกิจหรูระดับ Class A แห่งแรกในเซี่ยงไฮ้
เดือนพฤศจิกายน 2004 มีการเปลี่ยนแปลงในองค์กร เพื่อรองรับการก่อตั้งกลุ่ม JuneYao Group ในเดือนธันวาคม 2004 และเข้าตลาดหลักทรัพย์ หลังจากการทำ tender offer ในหุ้นของ Wuxi Commercial Mansion Co., Ltd.
ส่วนสายการบิน JuneYao Air นั้น เริ่มขึ้นในเดือน ธันวาคม 2004 ในฐานะ เป็นบริษัทลูกของ บริษัท Shanghai JuneYao (Group) Co., Ltd. จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2005 และเริ่มเปิดดำเนินงานการบินได้จริงเป็นคร้งแรก เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2006 JuneYao Airline ประสบความสำเร็จ ในการบินไฟลต์แรก จาก Shanghai สู่ Changsha ปัจจุบัน JuneYao Air เป็นสมาชิกในกลุ่มสายการบิน Star Alliance เช่นเดียวกับ การบินไทย ANA FinAir ฯลฯ มาตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2017 หลังจากนั้น ในเดือนมิถุนายน JuneYao Air เป็นสายการบินเอกชนแห่งแรกในจีนที่ให้บริการเส้นทางข้ามทวีปเมื่อเดือนมิถุนายน 2019 เที่ยวบินตรงระหว่าง สนามบินผู่ตง Shanghai ไปยัง นคร Helsinki
ปัจจุบัน ฝูงบินของ JuneYao Air ประกอบไปด้วย เครื่องบิน Airbus A320 จำนวน 93 ลำ และ Boeing 787 Dreamliner จำนวน 8 ลำ ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา JuneYao Air มีผู้โดยสารรวมกันกว่า 20 ล้านคน เข้าถึง จุดหมายปลายทางกว่า 220 แห่ง ทั่วโลก
แล้วสายการบิน JuneYao Air มาทำรถยนต์ได้อย่างไร?
จุดเริ่มต้นในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ของ JuneYao Group เกิดขึ้นในช่วงปี 2022 จากการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท Start Up ที่ชื่อ Yudo Automobile (ชื่อภาษาจีนเรียกว่า ยุ่นตู้ 云度) ซึ่งประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก ในตอนนั้น
เดี๋ยวนะ…มีตัวละครใหม่มาเพิ่มละ…
แล้ว Yudo Automobile คือใคร?
YUDO New-Energy Automobile Co., Ltd.,(YUDO AUTO) เป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2015 จากการร่วมทุนกัน ระหว่าง บริษัท 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท Fujian Automobile Industry Group Co., Ltd. , กองทุน Putian State-owned Asset Investment Co., Ltd. และ บริษัท Fujian Haiyuan Automation Machinery Co., Ltd.
Yudo Automobile เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากลุ่มแรกที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยกระทรวง MIIT ( Ministry of Industry and Information Technology) แห่ง รัฐบาลกลาง สาธารณรัฐประชาชนจีน และเริ่มต้นการผลิตรถยนต์ในปี 2016 นับว่า เป็นการเดินนำหน้าผู้ผลิตรถยนต์ชาวจีนร่วมชาติรายอื่นที่เป็นบริษัท Start Up ด้วยกัน อยู่หลายก้าวพอสมควร
เรื่องน่าแปลกนิดหน่อยก็คือ ใน Website ของ JuneYao Auto ระบุว่า “โรงงาน Yudo เปิดดำเนินการเมื่อปี 2016 บนพื้นที่ 200,000 ตารางเมตร มีกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ล้วน อยู่ที่ระดับ 100,000 คัน / ปี โรงงานนี้มี Workshop สำหรับการปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนตัวถัง การเชื่อมตัวถัง การพ่นสี การประกอบขั้นสุดท้าย ศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ ห้องปฏิบัติการณ์ค้นคว้าเรื่องแบ็ตเตอรี ฯลฯ”
ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจ Yudo Automobile มุ่งเน้นการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กเป็นหลัก โดยวางจำหน่ายรถยนต์หลัก ๆ อยู่ 2 รุ่น ได้แก่ π1 (Pi 1) และ π3 (Pi 3) ทั้ง 2 รุ่น ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานแถลงข่าวแนะนำแบรนด์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2017 ก่อนจะนำไปจัดแสดงสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก ณ งาน Shanghai Auto Show เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2017
ทว่า ช่วงแรกที่เปิดตัว สื่อมวลชนในจีน พากันตั้งคำถามว่า Yudo จะสามารถผลิตรถยนต์ เพื่อส่งมอบได้ทันตามกำหนดการที่พวกเขาวางเอาไว้ในเดือนมิถุนายน 2017 หรือไม่ เพราะในขณะนั้น โรงงานยังสร้างไม่เสร็จ อีกทั้งต่อให้วางแผนแต่งตั้งผู้จำหน่ายทั่วเมืองจีน 110 ราย ในปี 2017 ก่อนจะขยายให้ได้ตามแผน 500 ราย ในปี 2020 แต่เอาเข้าจริง ก็ยังไม่มีเครือข่ายผู้จำหน่ายและศูนย์บริการรองรับเพียงพอ ในช่วงเริ่มก่อตั้งแบรนด์ (ทำไมสถานการณ์ มันเหมือนกับบรรดาค่ายรถจากจีน ที่เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย ไม่มีผิดเพี้ยนเลยแหะ)
Yudo π1 (Pi 1)
Sub-Compact Hatchback คันนี้ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ A101 มีจุดขายสำคัญคือ เป็น City Car ขุมพลัง EV ที่มีระบบ Karaoke KTV ในรถ ให้เจ้าของได้เพลิดเพลินกับการร้องเพลงรอ ระหว่างรถติด หรือชาร์จไฟ
ตัวถังยาว 4,010 มิลลิเมตร กว้าง 1,729 มิลลิเมตร สูง 1,621 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,460 มิลลิเมตร พูดกันตามตรงก็คือ พาย 1 เป็นร่าง Cloning ของ รถยนต์ Haval H1 จาก GWM (Great Wall Motor) แต่นำมาติดตั้งขุมพลังไฟฟ้าล้วน ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 55 กิโลวัตต์ (74.8 แรงม้า PS) แรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร (17.32 กก.-ม.) และ ขนาด 90 กิโลวัตต์ (122 แรงม้า PS) แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร (27.51 กก.-ม.) แบ็ตเตอรี เป็นแบบ Lithium-ion ความจุ 38.5 kWh แล่นได้ระยะทาง 301 กิโลเมตร (CLTC)
ปี 2019 มีการ Upgrade แบ็ตเตอรี ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 51 kWh เพิ่มระยะทางแล่นได้ไกลขึ้นเป็น 426 กิโลเมตร (CLTC) และในปี 2020 มีการปรับปรุงขนาดของแบ็ตเตอรี ลดลงเหลือ 49.8 kWh แต่แล่นได้ระยะทางไกลขึ้นเป็น 430 กิโลเมตร (CLTC)
Yudo π3 (Pi 3)
Sub-Compact Hatchback ยกสูง คันนี้ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ A301 มีตัวถังยาว 4,010 มิลลิเมตร กว้าง 1,729 มิลลิเมตร สูง 1,621 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,460 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 90 กิโลวัตต์ (122 แรงม้า PS) แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร (27.51 กก.-ม.) แบ็ตเตอรี เป็นแบบ Lithium-ion ความจุ 51 kWh แล่นได้ระยะทาง 401 กิโลเมตร (CLTC)
การทำตลาดรถยนต์ Yudo ทั้ง 2 รุ่น ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจาก บริษัทเพิ่งจะเปิดดำเนินการ ตัวรถก็ใหม่ ความไว้ใจของลูกค้าจึงแทบไม่มี ดังนั้น Yudo จึงออกแคมเปญส่งเสริมการขาย “Three-Year Repurchase Plan”
แนวคิดของแคมเปญพิลึกนี่ก็คือ Yudo Automobile ตกลงว่าจะซื้อรถของตนเองคืนในมูลค่า 50% หลังจากผ่านไป 3 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับราคาขายต่อของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทำให้ในช่วงแรก Yudo Automobile เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างมาแรงในหมู่ Start Up โดยในปี 2017 ซึ่งยังเป็นปีที่ ตลาดรถยนต์ EV เพิ่งจะเริ่มเติบโตในจีน Yudo มียอดขายรถยนต์ใหม่ 9,300 คัน และอัตราการส่งมอบ 100% ในตอนนั้น ตัวเลขดังกล่าว เป็นรองแค่แบรนด์รถยนต์ EV ระดับหรูกว่าอย่าง NIO เท่านั้น
ทว่า เนื่องด้วยการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ กอปรกับความไม่แข็งแรงของแบรนด์ และตัวรถ ยังไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจน รวมทั้งการลากขายรถยนต์รุ่นเดิม มาเป็นเวลาพอสมควร ทำให้ Yudo Automobile มียอดขายที่ลดลงเรื่อย ๆ ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเป็นแบรนด์ Top 3
ซ้ำร้าย แคมเปญรับซื้อคืน ยังย้อนกลับมาเป็นดาบสองคม เพราะเมื่อผ่านไป 3 ปี ลูกค้าที่ซื้อรถไปก็ทยอยกันมาขายรถคืนเพื่อเอาเงิน 50% ของมูลค่ารถคืนตามแคมเปญ Yudo Automobile จึงประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก มีปัญหาหารจ่ายเงินดังกล่าวให้กับลูกค้าล่าช้า โดยลูกค้าบางรายได้รับการชำระเงินล่าช้า 2 เดือน และบางรายได้รับการชำระเงินที่ล่าช้าถึงครึ่งปี สร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าถึงขั้นที่จะเกิดการขึ้นโรงขึ้นศาลกัน
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ Yudo ขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เริ่มจากปี 2018 Yudo ขายรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นไปได้เพียง 7,343 คัน ตัวเลข ขาดทุนอยู่ที่ 138 ล้านหยวน ส่วนปี 2019 ยอดขายดำดิอ่งลงถึง 65 % เหลือเพียง 2,566 คันเท่านั้น การขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก 177 ล้านหยวน
ปี 2020 Yudo วางแผนจะนำรถยนต์เพื่อการพาณิชย์พลังไฟฟ้า V01L ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์ Keyton M70 จากบริษัทแม่ผู้ลงทุนใหญ่ Fujian Motors แต่ พวกเขาไม่สามารถนำรถตู้รุ่านดังกล่าวออกสู่ตลาดได้ ยิ่งพอล่วงเข้าสู่ ปี 2021 แม้ Yudo จะมีรายได้ 67.8 ล้านหยวน แต่ตัวเลขการขาดทุน พุ่งสูงถึง 213 ล้านหยวน และในวันที่ 31 มีนาคม 2022 Yudo มียอดหนี้สินรวมกันสูงถึง 1,682 ล้านหยวน ทำให้แผนการพัฒนารถยนต์ SUV อีก 2 รุ่น ที่จะต้องคลอดตามออกมา จึงเกิดการชะงักงัน
ดังนั้น ในเดือนมกราคม 2022 Yudo จึงยุติการผลิต Crossover รุ่น π3 (Pi 3) จากนั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ รถยนต์รุุ่น π1 (Pi 1) ก็ต้องยุติการผลิตตามมา เนื่องจากบริษัท ยื่นขอเข้าสู่กระบวนการ “ล้มละลาย”
JuneYao เริ่มเข้ามา ณ จุดนี้
ดังนั้น Yudo จึงทำได้เพียงแต่ นำ รถยนต์รุ่น π1 (Pi 1) มาพัฒนาต่อเนื่อง ทั้ง Yudo π1 Lite และรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ ในชื่อ Yudo Yuntu เพื่อเป็นการต่อลมหายใจของพวกเขาไปอีกระยะหนึ่ง
Yudo Yuntu (ยูโด หยุนตู้)
Sub-Compact Crossover Hatchback คันนี้ เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2023 โดยชื่อรุ่น “Yuntu” นั้น แปลความตามภาษาจีนได้ว่า “Cloud Rabbit” หรือ “กระต่ายเมฆ” มีตัวถังยาว 4,035 มิลลิเมตร กว้าง 1,736 มิลลิเมตร สูง 1,625 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,480 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า permanent magnet synchronous รุ่น TZ180XS30HP ของ บริษัท Hepu Power Co., Ltd., ขนาด 70 กิโลวัตต์ (95.2 แรงม้า PS) แรงบิดสูงสุด 165 นิวตันเมตร (16.81 กก.-ม.) ติดตั้งด้านหน้ารถ แบ็ตเตอรี เป็นแบบ Lithium-ion มีความจุให้เลือก ทั้งขนาด 31.95 kWh. แล่นได้ระยะทาง 320 กิโลเมตร (CLTC) และขนาด 41.7 kWh. แล่นได้ระยะทาง 415 กิโลเมตร (CLTC) อัตราเร่ง 0-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.2 วินาที Top Speed 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จุดขายของ Yuntu อยู่ที่การใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Amber OS. ด้วยชิพประมวลผล Qualcomm Snapdragon 64-bit Octa-Core processor. ที่สามารถ Update ได้ผ่านเทคโนโลยี over-the-air (OTA) และระบบ Infotainment พร้อมตัวช่วยแบบ 3 มิติ ในชื่อ Mecha Rabbit (机甲兔) และเชื่อมต่อไฟแบบ V2L ได้ ราคาขาย ตอนเปิดตัว อยู่ที่ 85,800 – 95,800 หยวน ก่อนจะค่อยๆปรับราคาลดลงมาเรื่อยๆ ล่าสุด อยู่ที่ 69,800 – 89,800 หยวน (กุมภาพันธ์ 2025)
แม้จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกมา และเริ่มมีการส่งออก Yuntu ไปขายในตลาดต่างประเทศบางแห่ง ในชื่อ Yudo K3 รวมทั้งเปลี่ยนชื่อในบางประเทศ เช่น Greece (ใช้ชื่อ Ecocar Yudo) ใน Spain (ใช้ชื่อ Yudo 3) และ EMC Yudo แต่สถานการณ์ของ Yudo ก็ยังคงไม่สู้ดีนัก
ดังนั้น การที่ JuneYao Group เข้ามาซื้อกิจการ จึงนับว่าเป็นการช่วยชีวิตต่อลมหายใจให้ Yudo Automobile โดยหลังจากซื้อกิจการนั้น รถยนต์ที่อยู่ในสต๊อกของ Yudo เช่น 2023 Yudo π1 (Pi 1) LITE play ก็ถูกนำมาเทกระจาดลดราคาเกือบครึ่ง จากเดิมที่ขายอยู่ 79,800 หยวน เหลือเพียง 45,800 หยวน หรือราว 213,000 บาท เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นสื่อของประเทศจีนก็ยังรายงานว่า ผลตอบรับก็ยังไม่ได้ดีนัก ทั้งนี้ หลังจากที่ Yudo Automobile ถูกซื้อกิจการไป ก็ดำเนินงานต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน โดยยังคงผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กราคาประหยัดเช่นเดิม
ขณะเดียวกัน การเข้ามาของ JuneYao Group ก็ช่วยให้ Judo มีเงินลงทุนมากพอที่จะสานต่อโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนารถยนต์นั่งขนาดกลาง C-Segment ที่ คั่งค้างเอาไว้อยู่ พวกเขาใช้เวลา 1,099 วัน หรือ ประมาณ 3 ปี เศษ ในการออกแบบ และสร้างรถยนต์นั่งรุ่นใหม่คันนี้ โดยจะเป็นรถยนต์คันแรกที่ใช้แบรนด์ JuneYao Auto ตัวรถถูกออกแบบขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางโดยเครื่องบิน Trans Atlantic และเพื่อต่อยอดธุรกิจการเดินทาง ทั้งบนฟากฟ้า และบนพื้นดิน ให้เชื่อมต่อกันอย่างครบถ้วน และนี่คือที่มาของ JY Air
ไม่เพียงเท่านั้น JuneYao ยังต้องหารายได้ เพื่อนำไปประคับประคองกิจการของ Yudo ดังนั้น วิธีที่ควรทำก็คือ ส่ง YUDO 3 ไปขอใบรับรอง EU SSWVTA เป็นรุ่นแรก จนเสร็จสิ้น เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 เพื่อให้สามารถส่งออก YUDO 3 ไปทำตลาดได้มากกว่า 10 ประเทศ ต่อมา วันที่ 14 มิถุนายน 2024 JY AIR ก็ได้รับใบรับรอง EU SSWVTA โดยมีแผนที่จะ ขอรับใบรับรอง EU WVTA ในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นใบเบิกทางให้พวกเขาสามารถส่งรถยนต์ไปทำตลาดในสหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศได้ ท่ามกลางการกีดกันทางการค้าที่คุกรุ่นอยู่ในห้วงเวลานี้
JuneYao เข้ามาเมืองไทย ได้อย่างไร?
เรื่องนี้ เท่าที่พอจะเสาะหาเบื้องหลัง และสรุปกันออกมาได้ เริ่มต้นก็คือ คุณจาง ไห่ โป อดีตผู้บริหารใหญ่ของ SAIC ในเมืองไทย ที่เคยกุมบังเหียน ดูแลธุรกิจรถยนต์ MG ในเมืองไทย (คนในภาพ ทางซ้าย) ตัดสินใจลาออกมา ทำธุรกิจส่วนตัว จากการเข้าไปดูแลการจัดจำหน่ายจักรยานยนต์ไฟฟ้า แบรนด์หนึ่ง อยู่พักใหญ่ หลังจากนั้น คุณจาง ก็ได้บินไปพูดคุยกับทาง JuneYao เพื่อจะนำแบรนด์รถยนต์ของพวกเขา มาเปิดตลาดในประเทศไทย ในช่วงปี 2023 – 2024 มานี่เอง โดยทาง JuneYao ได้ก่อตั้งบริษัท JuneYao Auto (Thailand) จำกัด และให้คุณ จาง ไห่ โป รับหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการ
JuneYao มองว่า ในฐานะที่คุณจาง เคยทำงานอยู่กับ SAIC-MG มา 10 กว่าปีนั้น ย่อมมีความรู้ และสายสัมพันธ์ ระหว่าง ผู้จำหน่าย สถาบันการเงิน บางราย หรือผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ จึงดูเหมือนว่าน่าจะพอมีความเข้าใจในตลาดรถยนต์บ้านเรา มากกว่าชาวจีนรายอื่นๆ ที่เพิ่งเริ่มจะย่างทัพเข้ามาได้ไม่นานนัก
คุณจาง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ เมื่อวันเปิดตัว JY AIR ว่า “จากประสบการณ์ที่ผมเคยทำงานอยู่ในไทยมานานนับสิบปี มีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคคนไทย รู้ดีว่าจะร่วมมือกับบรรดาดีลเลอร์อย่างไร จะประสานกับสถาบันการเงินต่างๆอย่างไร ขณะเดียวกันผมเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยดีว่าใส่ใจในเรื่องของคุณภาพและรายละเอียดของตัวผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมาก”
ประเด็นที่คุณจางมองก็คือ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรานั้น มีผู้เล่นหลายแบรนด์ แต่ส่วนใหญ่ แต่ละราย ต่างไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ดังนัน การสร้างความแตกต่างให้่กับ JY AIR จึงต้องนำเอาจุดเด่นของกลุ่ม JuneYao มาใช้ในการประชาสัมพันธ์ นั่นคือ การเป็นผู้นำ ธุรกิจ การเดินทาง ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกเอาคำว่า “การเดินทาง” (Journey) มาใช้เป็นแนวคิดหลักสำหรับสื่อสารการตลาด และต่อยอดออกมาเป็นคำขวัญของแบรนด์คือ “Joyful Drive Joyful Life” เพื่อสื่อสารให้เห็นถึงการเดินทางที่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นในอากาศ หรือภาคพื้นดิน
การเปิดตัวแบรนด์ JuneYao Auto เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในโลกครั้งแรกที่เมืองไทย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2024 ซึ่งก็น่าแปลกว่า ทำไมไม่ไปเปิดตัวที่เมืองจีน บ้านเกิด กันเสียก่อน ในวันนั้น งานแถลงข่าว จัดขึ้นที่ EM WONDER & SPHERE HALL ชั้น 5 ศูนย์การค้า EMSPHERE ในเครือ The Mall Group ก่อนจะนำรถยนต์ตัวอย่าง ไปจัดแสดงสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ณ งาน Thailand MOTOR EXPO ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2024 JuneYao Auto ตั้งเป้าจำหน่าย ในปี 2025 ไว้ 300 คัน
เบื้องต้น JuneYao Auto มี Dealer เป็นโชว์รูมผู้จำหน่าย และ ศูนย์บริการ 4 แห่ง โดยในกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ นวมินทร์ และ สุวินทวงศ์ ส่วนต่างจังหวัด ตอนนี้ มีเพียงแค่ ชลบุรี และอุดรธานี เท่านั้น ตามแผนแล้ว พวกเขายังคงเปิดรับผู้สนใจร่วมลงทุนเป็น Dealer ในจังหวัดต่างๆกันอยู่ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีนักลงทุนรายใดกล้าเข้าร่วมด้วยนัก
กระนั้น พวกเขาก็พยายามดิ้นรน ด้วยการหาพันธมิตร ทั้งการไปจับมือกับ ศูนย์บริการรถยนต์แบบ Fast Service ในชื่อ AutoClik เพื่อให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าในพื้นที่ ซึ่งยังไม่มี Dealer ไปตั้งโชว์รูม โดยในกรุงเทพมหานคร มี 5 แห่ง (BigC กัลปพฤกษ์ , ปั้มบางจาก ซอยวิภาวดีรังสิต 60 , Lotus อ่อนนุช 80 , Lotus นวนคร , Big C ติวานนท์) เชียงใหม่ 1 แห่ง (BigC เชียงใหม่ ดอนจั่น) และในภูเก็ต 1 แห่ง (ปั้ม Caltex ถนนเทพกษัตรี) หรือ จัดหน่วยรถบริการเคลื่อนที่ Mobile Service ออกให้บริการลูกค้าในกรณีฉุกเฉิน
นอกจากนี้ JuneYao Auto ยังมีแผนที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย เพื่อเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา สำหรับจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานได้ภายในปี 2025 ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ยังไม่ได้ยินความคืบหน้าใดๆจาก JuneYao อีกเลย จนกระทั่ง….
ข่าวล่าสุด ก็คือ คุณ จางไห่ โป ได้ลาออก ไปรับตำแหน่งเป็น รองประธานกลุ่มธุรกิจยานยนต์ และอุตสาหกรรม ของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) แล้ว ตั้งแต่ 13 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา!
อ้าววววววววววว!!!!??????
แล้วยังไงกันต่อละเนี่ย?
ถึงคุณจาง จะลาออกไปแล้ว แต่กิจการของ JuneYao Auto ในเมืองไทย ยังคงดำเนินไปอยู่ แบบเงียบๆ ไม่หวือหวา และตัวรถก็ยังคงมีจำหน่ายต่อไป ส่วนการบริการหลังการขาย ก็ยังตงเดินหน้าไปเรื่อยๆ แบบเงียบๆ แม้ว่าล่าสุด มีกระแสข่าววงในว่า Dealer รายหนึ่ง ของ JuneYao Auto ซึ่งเป็น Dealer ให้กับรถยนต์หลายแบรนด์ เริ่มมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
หลังการเปิดตัวในเมืองไทย JuneYao Auro ก็นำ JY Air ไปเปิดตัวใน สาธารณรัฐประชาชนจีน ดินแดนบ้านเกิด เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา โดยตั้งราคาไว้ คันละ 147,800 – 159,800 หยวน (ราว 675,000 – 730,000 บาท) ถือว่ามีค่าตัวสูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้น การจะเติบโตในตลาดจีน อาจจะเป็นเรื่องยาก และดูเหมือนว่า พวกเขาคงต้องเตรียมปูทางไปบุกตลาดในประเทศอื่นๆ แทน เช่น Nepal อันเป็นประเทศล่าสุดที่เพิ่งมีการเปิดตัวไป
สำหรับ JY Air ในเมืองไทยนั้น ราคาจำหน่าย ตั้งแต่เปิดตัว จนถึงตอนนี้ ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ตามเช่นที่ผู้บริหารได้กล่าวไว้ในวันเปิดตัวว่า จะไม่เข้าร่วมเล่นสงครามราคา กับผู้ผลิตรถยนต์ชาวจีนรายอื่น
JuneYao ชูราคา JY AIR เอาไว้ ทั้งรุ่น Standard ราคา 759,000 บาท และรุ่น PLUS 869,000 บาท โดยมีแคมเปญพิเศษ ซึ่งยังคงไม่เปล่ยนแปลง นับจากวันเปิดตัว นั่นคือ ดอกเบี้ยพิเศษ 1.88 % ฟรี Junyao Air Gold Membership ตั๋วเครื่องบิน 4 ที่นั่ง 3 ปี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ฟรี 24 ชั่วโมง 8 ปี แถม Wall-Box AC Charger ฟรี ค่าติดตั้ง
สำหรับสิทธิประโยชน์พิเศษให้แก่ลูกค้าที่สั่งจองรถและออกรถ JY AIR ในช่วงเปิดตัวจะเป็นตั๋วเครื่องบิน JuneYao Air แบบไม่ระบุปลายทาง 4 ที่นั่งต่อปี ติดต่อกัน 3 ปี ทั้งหมด 12 ที่นั่ง พร้อมบัตรสมาชิก Gold Membership ของ Juneyao Airlines นาน 3 ปี” (ทุกวันนี้ Promotion ดังกล่าว ก็ยังคงมีอยู่)
หลังจบงาน JuneYao ได้รับยอดสั่งจองรถเข้ามา 63 คัน และตามกำหนดการแล้ว รถยนต์ล็อตแรก ก็เดินทางมาถึงเมืองไทย และพร้อมเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้ากลุ่มแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา…
มีใครเห็นรถรุ่นนี้ บนถนนเมืองไทยแล้วบ้าง?
มิติตัวถัง / Dimensions
JuneYao JY Air มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,550 มิลลิเมตร กว้าง 1,860 มิลลิเมตร สูง 1,515 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,800 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่าอยู่ที่ 1,750 กิโลกรัม ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Cd) ต่ำมาก เพียง Cd.0.23
ปกติแล้ว เราต้องเปรียบเทียบขนาดตัวถังของรถยนต์ที่เรานำมาทำรีวิว กับคู่แข่งที่แท้จริง ทว่า ในกรณีนี้ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า รถคันนี้ จะไปขายแข่งกับใคร มีคู่แข่งเป็นใครกันแน่ ดังนั้น จากข้อมูลที่ได้รับมาเพียงเท่านี้ ก็คงพอจะบอกได้แค่ว่า JY-Air มีขนาดตัวถัง จัดอยู่ในกลุ่มพิกัดรถยนต์นั่ง แบบ C-Segment เพียงแต่ว่า ตัวรถนั้น หน้าสั้นกุด ท้ายจุ๊ดจู๋ไปหน่อย เลยทำให้ตัวรถคันจริง ดูเหมือนเล็กกว่าตัวเลขสเป็ก ทั้งที่ความจริง ไม่เป็นเช่นนั้น
หากจะต้องเปรียบเทียบจริงๆ ก็คงนึกถึง MG4 รุ่นมาตรฐาน และ รุ่น XPower ซึ่งมีความยาว 4,287 มิลลิเมตร กว้าง 1,836 มิลลิเมตร สูง 1,516 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนนจนถึงพื้นใต้ท้องรถ Ground Clearance 117 มิลลิเมตร
เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขกันแล้ว จะพบว่า JY Air ยาวกว่า MG4 263 มิลลิเมตร กว้างกว่า 24 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า แค่ 1 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า MG4 ถึง 95 มิลลิเมตร
รูปลักษณ์ภายนอก / Exterior
เส้นสายของ JY AIR ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก อากาศยานแห่งอนาคต โดยนำประสบการณ์ บนเที่ยวบิน ข้ามมหาสมุทร Trans Atlantic ที่เน้นความเรียบง่ายแต่หรูหราและสะดวกสบาย มาใช้เป็นแนวทางการออกแบบ ซึ่ง JuneYao เชื่อว่าจะทำเกิดความรู้สึกเหมือนกับการเดินทางในห้องโดยสารของเครื่องบินระดับ First Class
รูปลักษณ์ภายนอก ลากเส้นตัวถังจากด้านหน้า ยาวต่อเนื่องขึ้นไปบนหลังคา ลงไปจรดกับแผงไฟท้ายที่ด้านหลังรถ โค้งมนในแบบ One Motion Form ด้านหน้ารถค่อนข้างสั้น ชวนให้นึกถึง Honda Fit/Jazz แต่มีความโค้งมน ดูเรียบง่าย แต่ไม่มีจุดเด่นอะไรให้จดจำนัก มาพร้อมกับชุดไฟหน้าแบบ LED ที่มีจำนวนหลอดไฟ ทั้งหมดถึง 240 หลอด ส่องสว่างผ่านเลนส์แบบ ultra-thin lens ขนาด 15 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับ ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับระดับไฟหน้าสูง – ต่ำ ได้ และระบบเปิด – ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ ทั้ง 3 ระบบนี้ ควบคุมการทำงานได้จากหน้าจอกลางภายในรถ
ถัดลงมาเป็นเปลือกกันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ เส้นสายโค้งมน แต่มีความเป็นเหลี่ยมสันที่มุมของกันชนฝั่งซ้ายและขวาล้อไปตามแนวขอบของไฟหน้าและเส้นสายของฝากระโปรงหน้า พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า ติดตั้งอยู่ใกล้กับ ช่องดักลมด้านล่าง (Defuser) ตกแต่งด้วยสีดำด้าน ซึ่งออกแบบให้สอดรับกับหลักอากาศพลศาสตร์ ทำหน้าที่ดูดรับกระแสลม ให้ไหลเข้าใต้ท้องรถ ทำให้ลมสามารถไหลผ่านไปที่ด้านหลังอย่างราบเรียบขึ้น ลดการต้านลมได้อย่างดี
เสาหลังคา่คู่หน้า A-Pillar ยื่นล้ำมายังด้านหน้าตัวรถ ในลักษณะเหมือน Honda Civic FD (2005) หรือ Honda Fit/Jazz แทบทุกรุ่น (2001 – ปัจจุบัน) จึงต้องมีกระจกหน้าต่างแบบหูช้าง มาคั่นกลางเชื่อมต่อกับบานประตู อย่างที่เห็น ส่วนกรอบกระจกมองข้าง พ่นสีเดียวกับตัวถัง แล้วยังมีไฟเลี้ยว LED ติดตั้งมาให้ทั้ง 2 ฝั่งอีกด้วย
งานออกแบบด้านข้างตัวรถ เป็นรูปทรงโดม dome-style floating roof ไล่เส้นโค้งมาตั้งแต่เสาหลังคาคู่หน้า A – Pillar จนถึงเสาหลังคาคู่หลังสุด C – Pillar ได้รับแรงบันดาลใจเส้นขอบฟ้าที่ผู้โดยสารจะเห็นระหว่างการโดยสารในเที่ยวบินตอนกลางคืน เส้นสายเน้นความโค้งมน ขอบกระจกหน้าต่างตกแต่งด้วยคิ้วสีดำเงา กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถติดตั้งอยู่ที่ประตูคู่หน้า ปรับและพับไฟฟ้า และมีไฟเลี้ยวในตัว มือเปิดประตูรถเป็นแบบเรียบไปกับตัวรถ พ่นด้วยสีเดียวกับตัวรถ ส่วนเสาอากาศเป็นแบบครีบฉลาม Shark Fin Antenna ตามสมัยนิยม
ด้านท้ายรถของ JY Air มีความโค้งมนในทำนองเดียวกันกับด้านหน้ารถ มาพร้อมกับไฟท้ายเรียวยาวพาดผ่านจากฝั่งซ้ายไปยังฝั่งขวา โดยเป็นไฟท้ายแบบ OLED ที่มีหลอด LED ทั้งหมด 270 ดวง และ 32-pixel OLED อีก 8 ชิ้น โดยตัวโคมไฟ ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายเป็น สปอยเลอร์ขนาดเล็กทรงหางเป็ด (Duck Tail) ในตัว ช่วยเพิ่มแรงกดให้ด้านหลังรถได้อีกเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังมีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED แนวยาว ติดตั้งอยู่ด้านบนสุด เหนือกระจกบังลมหลังอีกด้วย
เส้นสายที่โค้งมนและการออกแบบในสไตล์ One Motion Form แบบนี้ ทำให้ JY Air ลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ต่ำเพียง Cd. 0.23 ถือว่าค่อนข้างต่ำมากในบรรดารถยนต์ระดับ Mass Production Car แบบนี้
ต้องยอมรับว่า โดยรวมแล้ว บั้นท้ายแบบนี้ “สวยและนำสมัย” ถ้าไม่ติดว่า พอมองลงมาด้านล่าง ถัดลงมาเป็นเปลือกกันชนหลังสีเดียวกับตัวรถ ตกแต่งชายล่างด้วยแผงตกแต่งสีดำเงา พร้อมกับไฟทับทิมท้ายและเซ็นเซอร์กะระยะด้านหลังพอมองรวมกันแล้ว ดูคล้ายกับเครื่องซักผ้าฝาบนรุ่นใหม่ๆ
ล้อของ JY Air รุ่นย่อย Plus จะเป็นล้ออลูมินั่มอัลลอยขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 235/45/ R19 ยี่ห้อ Sentury รุ่น Qirin EV 235/45 R19 (แบรนด์เดียวกับบริษัทยางจากจีน ที่มาตั้งโรงงานในบ้านเรา แล้วก่อเรื่องไม่เป็นธรรมกับพนักงานคนไทย นั่นแหละ) ส่วนรุ่นย่อย Standard จะเป็นล้ออลูมินั่มอัลลอยขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 215/60/ R17
สีตัวถังมีให้เลือก 4 สี ประกอบด้วย สีขาว Moon White (ได้ภายในสีเทา Pastel Grey), สีฟ้า Meteorite Blue ได้ภายในสีเทา Pastel Grey), สีดำ Galactic Black (ได้ภายในสีดำ Black Knight) และสีเขียว Aurora Green คันที่คุณเห็นในภาพประกอบของบทความนี้ (ได้ภายในสี Honey Orange) แต่ถ้าเป็นรุ่น Standard มีแค่ 2 สี คือ ขาว Moon White กับ ดำ Galactic Black ซึ่งทั้งคู่ จะได้ภายในสีเทา ตัดสลับกับผ้าสังเคราะห์ เท่านั้น
ภายในห้องโดยสาร / Interior
ระบบกลอนประตู เป็นแบบ Smart Key Remote ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายระบบ Keyless Entry ทั่วไปคือ เมื่อพกกุญแจรีโมท เดินเข้าใกล้ประตูคู่หน้าในระยะไม่เกิน 80 เซนติเมตร แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มยาง 4 เหลี่ยม ที่อยู่ด้านข้างมือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ กลอนประตู ก็จะปลดล็อกให้อัตโนมัติ หากต้องการล็อกประตู ก็สามารถกดปุ่ม 4 เหลี่ยม ที่มือจับประตูซ้ำอีกครั้ง หรือกดปุ่มล็อก – ปลดล็อกที่กุญแจรีโมทก็ได้เช่นกัน คุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้บานประตู ปลดล็อก และล็อกพร้อมกันทั้ง 4 บาน หรือเฉพาะฝั่งคนขับอย่างเดียว ได้จาก Menu บนหน้าจอ Monitor กลาง
จุดที่อยากให้สังเกตก็คือ
1. บนตัวรีโมทกุญแจรีโมท ไม่มีสวิตช์สำหรับปลดล็อกประตูรถ!! ถือเป็นเรื่องพิลึกที่เซอร์ไพรส์มากๆ!
2. การออกแบบมือจับเปิดประตู ในลักษณะ ยื่นออกมาเองโดยอัตโนมัติ นั้น มีความไม่เรียบร้อยของงานประกอบให้เห็นอยู่ ตามภาพที่เห็น ซึ่งในความเป็นจริง ควรเก็บรายละเอียดชิ้นงานให้เรียบร้อยกว่านี้ ขณะที่ช่องกุญแจสำรองฉุกเฉินนั้น อาจเกิดความไม่สะดวก ในการใช้งานจริง เพราะมือจับประตูมีโค้งเว้าที่ยื่นมา ทำให้การเสียบกุญแจฉุกเฉินตรงๆ อาจจะต้องแยงเข้าไปในมุมเฉียง ซึ่งไม่สะดวกเอาเสียเลย ไม่เพียงเท่านั้น ถ้ามือจับเกิดยื่นออกมานานเกินไป จู่ๆ รถจะล็อกประตูเอง ทำให้มือจับหดกลับเข้าไป ในบางกรณี อาจทำให้มือของคุณโดนมือจับหนีบได้โดยไม่ตั้งใจ ควรใช้ความระมัดระวังในจุดนี้
การออกแบบแนวหลังคาให้โค้งยาวต่อเนื่องเป็นเส้นเดียวกันในลักษณะ One-Motion form ส่งผลให้ การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า ทำได้ไม่ดีนัก ถ้าก้มหัวไม่มากพอ หรือลืมปรับตำแหน่งเบาะคนขับ กดให้เตี้ยลงจนสุด ศีรษะของคุณจะโขกกับขอบหลังคาด้านบนได้โดยง่าย
แต่ตอนลุกออกจากเบาะคนขับ หรือผู้โดยสารฝั่งซ้าย กลับทำได้ไม่มีปัญหาอะไร แค่หมุนท่อนขา ไปวางไว้บนพื้น ยกตัวขึ้น ก็ยืนออกมานอกรถได้แล้ว
แผงประตูหน้า ท่อนบนสุดขึ้นรูปด้วยวัสดุบุนุ่ม มือจับเปิดประตูรถเป็นแบบโครเมียมดึงเปิดด้วยวิธีการปกติ ท่อนกลางของแผงประตู เป็นแผงบุนุ่มหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ มาพร้อมกับพนักวางแขน บุนุ่มด้วยวัสดุสังเคราะห์ ตกแต่งด้วยแถบเส้นโครเมียม ซึ่งวางท่อนแขนได้สบายพอดีๆ
ปลายสุดของพนักวางแขน ยังเป็นสถานที่ติดตั้ง แผงสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ซึ่งมีตรรกะการทำงานที่พิลึกพิลั่นตามประสา รถยนต์จากเมืองจีน เช่นเดียวกับ ตระกูล Changan ไม่มีผิด กล่าวคือ Logic ของรถยนต์ทั่วไป ถ้าคุณกดสวิตช์ลง หน้าต่างควรจะเลื่อนลง ยกหรือดันสวิตช์ ขึ้น หน้าต่างควรจะเลื่อนขึ้น แต่ JY AIR ไม่เป็นแบบนั้น ถ้าคุณดันสวิตช์ขึ้นไปข้างหน้า กระจกหน้าต่างจะเลื่อนลง! และในทางกลับกัน ถ้ากดสวิตช์ลงมา หน้าต่างจะเลื่อนขึ้น!
สารภาพตามตรงว่า ไม่เข้าใจตรรกะในประเด็นนี้ของผู้ผลิตรถยนต์ชาวจีนหลายๆค่ายกันเลย ว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่? ถึงได้ทำสวิตช์กระจกหน้าต่าง ออกมาแบบนี้ หลายแบรนด์ หลายรุ่น หลายคันกันเลย ตรรกะแบบนี้วิปลาสมาก!
ท่อนล่างของแผงประตูเป็นแผงพลาสติก มาพร้อมกับลำโพง และออกแบบให้เป็นช่องใส่เอกสารและของจุกจิก สามารถวางขวดน้ำได้
ภายในห้องโดยสาร มีให้เลือก 4 สี คือ Honey Orange แบบที่เห็นอยู่นี้ , สีเทา Grey , Luna Grey และ สีดำ Silk Black ทั้งหมด ทุกรุ่น ใช้ผ้าบุหลังคาสีดำ หวังเพิ่มความสปอร์ต โดยหารู้ไม่ว่า ถ้าใช้โทนสีเทาอ่อน หรือครีม จะทำให้ห้องโดยสารดูสว่าง และโปร่งโล่ง เหมือนเดินทางอยู่บนเครื่องบินตามที่ทีมออกแบบเขาตั้งใจ มากกว่า
เบาะนั่ง ออกแบบในสไตล์ที่เรียกว่า Cloud Dream Seat ถ้าหากเป็นรุ่นย่อย รุ่นย่อย Standard จะเป็นเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าและ PVC ปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง และจะไม่มีระบบระบายอากาศและทำความร้อนมาให้
ส่วนรุ่น Plus ที่เห็นอยู่นี้ เบาะนั่งจะเป็นแบบ Bucket Seat หุ้มด้วยหนัง PU Leather เหมือนๆกับรถยนต์จากเมืองจีนทั่วไป เบาะคนขับและเบาะผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า 6 ทิศทาง ปรับเอนลงได้ 240 มิลลิเมตร (เอนได้ถึง 180 องศา) ปรับความสูงได้ 46 มิลลิเมตร มาพร้อมกับระบบพัดลมระบายอากาศและ Heater ทำความร้อน
พนักพิงเบาะหน้า ใช้ฟองน้ำแบบแน่นแอบนุ่มนิดเดียว ตัวเบาะเหมือนจะหนา แต่ไม่มากขนาดนั้น การออกแบบดูเหมือนได้แรงบันดาลใจ มาจากรถยนต์ Premium ฝั่งยุโรป อย่าง BMW หรือ Volkswagen/Audi อยู่บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนรองรับช่วงกลางหลัง จะรองรับสรีระได้ดีพอสมควร ปีกข้างดูเหมือนจะสูง แต่เมื่อนั่งจริง ก็ไม่ได้ถึงกับช่วยตรึงผู้ขับขี่ไว้กับเบาะขณะอยู่ในโค้งได้มากเท่าใดนัก
พนักศีรษะ ถูกออกแบบมาให้รวมเป็นชิ้นเดียวกับพนักพิงหลัง ใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ ฟองน้ำค่อนข้างแน่น และค่อนข้างหนา ดังนั้น ถ้าปรับเบาะนั่งให้ได้ท่านั่งขับที่ถูกต้อง อาจพบการดันศีรษะนิดๆ ต้องปรับพนักพิงหลังเอนลงไปเล็กน้อย จึงจะยังพอหาความสบายได้อยู่
เบาะรองนั่ง มีรูปทรงที่ดูเหมือนพยายามออกแบบมาให้คล้าย BMW รุ่นล่างๆ หลายๆรุ่น ตัวเบาะใช้ฟองน้ำนิ่มๆ นั่งให้พอสบายก้น ความยาวของตัวเบาะไม่เยอะนัก มุมเงยอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ดีไม่แย่
อีกจุดที่ต้องตำหนิก็คือ ปีนี้ 2025 เข้าไปแล้ว แต่ JY Air ยังคงติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับสูง – ต่ำ ไม่ได้ มาให้ เหมือนพวกรถยนต์ระดับราคาล่างๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ผลิตรถยนต์สมัยนี้ ทั้งจีน ทั้งญี่ปุ่น และยุโรป ต้องงกต้นทุนในจุดนี้กันด้วย น่าเบื่อมากๆ ทุกแบรนด์เลย
การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง ก็ยังคงทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แถมจะหนักหนากว่าบานประตูคู่หน้าด้วยซ้ำ เพราะในจังหวะที่คุณหย่อนบั้นท้ายลงไปนั่ง ถ้าคุณก้มหัวไม่มากพอ ด้านข้างศีรษะของคุณ จะไปโขกกับด้านบนขอบหลังคาด้านบนได้เต็มๆ ดังนั้น ต้องก้มหัวลงไปมากๆ ยังดีที่บานประตูคู่หลัง เปิดกางออกได้กว้างพอสมควร อีกทั้ง ช่องประตูทั้ง 2 ฝั่งค่อนข้างจะตั้งตรง จึงทำให้การก้าวขาและสอดร่างกายเข้าไปนั่งในรถ ทำได้ดีพอกันกับบรรดา รถยนต์ Compact C-Segment ทั่วๆไป
ส่วนการลุกออกมาจากรถ เนื่องจากธรณีประตูมีชิ้นสเกิร์ตชายล่างที่ค่อนข้างหนา ดังนั้น โอกาสที่ขากางเกง หรือชายกระโปรงของคุณจะไปโดดเศษดิน หรือฝุ่น ก็เป็นไปได้สูงมากๆ อาจต้องระมัดระวังจุดนี้ไว้ด้วย
แผงประตูคู่หลัง ออกแบบเหมือนกับแผงประตูคู่หน้า มือจับเปิดประตูรถเป็นแบบโครเมียมดึงเปิดด้วยวิธีการปกติ เช่นเดียวกัน พนักวางแขนนั้น พอจะวางท่อนแขนได้สบายประมาณหนึ่ง แต่อาจจะเตี้ยไปสักนิดสำหรับคนที่มีช่วงลำตัวยาว ด้านล่างของแผงประตูคู่หลัง ยังคงมีช่องใส่ของจุกจิก หรือขวดน้ำดื่ม มาให้ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง เหมือนรถยนต์ทั่วไป
เบาะนั่งแถวหลัง หุ้มด้วยวัสดุเหมือนกันกับเบาะนั่งคู่หน้า สามารถกดตัวปลดล็อกบริเวณบ่า (ออกจะแข็งสักนิดนึง) เพื่อพับพนักพิงหลังลงมา ในอัตราส่วน 60:40 ให้ทะลุไปยังพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มาพร้อมกับพนักพิงศีรษะ 3 ตำแหน่ง มีจุดยึดเบาะเด็กแบบ ISOFIX แต่กลับไม่มีพนักท้าวแขนกลางสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ตัวพนักพิงหลัง แม้จะออกแบบให้มีแอ่งโค้งเว้าลึกลงไป เพื่อหวังให้รองรับสรีระ แต่ด้วยการใช้ฟองน้ำแบบแน่นแอบนุ่ม แถมยังมีองศาค่อนข้างชัน พอนั่งจริง กลับไม่ค่อยสบายนัก
พนักศีรษะ ถ้าใช้นิ้วกดลงไป จะเข้าใจว่าฟองน้ำนิ่ม แต่เมื่อใช้งานจริง จะสัมผัสได้ว่า มันค่อนข้างแข็ง ปรับระดับสูง – ต่ำ ได้แค่ 2 ระดับ เท่านั้้น เพราะเพียงแค่นี้ ตัวพนักศีรษะก็ชนเพดานหลังคาเรียบร้อย
เบาะรองนั่ง ดูเหมือนจะยาว แต่เอาเข้าจริง ค่อนข้างสั้น ตัวเบาะใช้ฟองน้ำนิ่มๆ แถมออกแบบให้มีมุมเงย ไม่มากนัก แต่ด้วยการออกแบบให้ดูคล้ายเป็นแอ่งหลุมสี่เหลี่ยมลงไป ทำให้พอจะนั่งลงไปได้ในระยะทางไม่ไกลนัก
พื้นที่เหนือศีรษะ (Headroom) สำหรับคนตัวสูง 170 เซ็นติเมตร เหลือ เพียงแค่ 1 นิ้วมือในแนวนอน สอดเบียดๆแทรกเข้าไประหว่างศีรษะกับเพดานหลังคา ส่วน พื้นที่วางขา (Legroom) ถือว่า มีเหลือเยอะพอให้นั่งไขว่ห้างได้ 1 ห้างพอดี
สิ่งที่ผมไม่โอเค อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เหนือช่องประตูคู่หลังของ JY AIR มีเพียง ไฟอ่านแผนที่ LED ดวงเล็กๆมาให้ ทั้ง 2 ฝั่งเท่านั้น แต่กลับไม่มีมือจับ ที่เราเรียกว่า มือจับศาสดา สำหรับไว้โหนตัวเข้า-ออกจากรถ หรือไว้ให้ผู้โดยสาร ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ เวลาที่คนขับเกิดอยากจะซิ่งขึ้นมาเลย แม้แต่ตำแหน่งเดียว!!
ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง เปิดยกขึ้นพร้อมกระจกบังลมหลัง แบบรถยนต์ Fastback โดยฝาท้ายของรุ่น Plus ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้น ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เปิดยกขึ้นได้ด้วยระบบไฟฟ้า ผ่านสวิตช์บนรีโมทกุญแจ หรือกดสวิตช์ที่ขอบล่างของฝากระโปรงท้ายเหนือช่องติดแผ่นป้ายทะเบียน ส่วนการปิด สามารถกดสวิตช์ฝั่งซ้ายของแผงพลาสติกบุฝาท้ายด้านบน คุณสามารถตั้งระดับสูง – ต่ำ ในการยกเปิดฝาท้าย ได้บนหน้าจอ Monitor กลาง ส่วนรุ่น Standard จะเป็นแบบเปิดด้วยมือ ธรรมดา
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังรถ ตามปกติ มีความจุ 420 ลิตร ซึ่งเทียบเท่ากับรถยนต์ Sedan พิกัด B-Segment หรือ C-Segment ทั่วไป แต่เมื่อพับเบาะแถวหลังทั้ง 2 ฝั่งลงมา ความจุจะเพิ่มขึ้นเป็น 1338 ลิตร คราวนี้ การจัดวางพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง จะมาในแนวเดียวกับรถยนต์ Fastback 5 ประตู ในอดีตกันเลย
เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบแค่ เครื่องมือประจำรถ เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งอันที่จริง ควรจะมีชุดปะยางฉุกเฉินมาให้สักหน่อยก็ย้ังดี นี่เล่นให้มาแค่ แผงทับทิมฉุกเฉิน ทรงสามเหลี่ยม กับค้อนขนาดเล็กๆ เพียงแค่นั้น
ผนังห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายฝั่งขวาบุด้วยกำมะหยี่ มีการปั๊มหูสำหรับยึดฝาปิดช่องเก็บสัมภาระด้านท้ายทั้งสองฝั่ง มาพร้อมกับไฟส่องช่องสัมภาระท้ายแบบ LED ผนังฝั่งซ้ายนั้น เมื่อดึงออกมา จะเป็นที่พักอาศัยของ แบ็ตเตอรี 12V ลูกเล็ก และอุปกรณ์ดึงเปิดฝาชาร์จรถ ในยามฉุกเฉิน
แผงแดชบอร์ดของ JY Air ส่วนบนเป็นแบบบุนุ่ม มีลักษณะโค้งมน เชื่อมต่อระหว่าง A-Pillar ด้านซ้ายและด้านขวา ชั้นล่างจะยื่นออกมาจากชั้นบนแบบขั้นบันใด ตกแต่งด้วยวัสดุบุนุ่มแบบแผงตกแต่งที่แผงประตู ช่องแอร์กลืนไปกับร่องของแดชบอร์ด ปรับได้ด้วยมือ ตกแต่งด้วยไฟ Ambient Light แบบซ่อนข้างในแล้วฉายแสงลงมากระทบกับพื้นผิว (waterfall-style) ที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ 256 สี
เมื่อมองไปด้านบนเพดานหลังคา บุด้วยผ้าสีดำ ก็จะพบกับ กระจกมองหลังเป็นแบบตัดขอบ รวมทั้ง ไฟอ่านแผนที่ แบบ LED ใช้นิ้วแตะเพื่อเปิด-ปิดไฟ สิ่งที่น่าตำหนิก็คือ สวิตช์ไฟฉุกเฉิน และสวิตช์ฉุกเฉิน SOS ติดตั้งอยู่บนเพดาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมผู้ผลิตรถยนต์ชาวจีนทุกราย จะต้องไป Copy ตำแหน่งของสวิตช์ทั้ง 2 นี้ มาจาก Tesla กันด้วย? เปิดประตูรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนคันไหน ต้องเจอ Pattern แบบนี้ เหมือนกันทุกคันไปหมดเลย มันคือตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ในการใช้งานจริง
แผงบังแดด หุ้มด้วยวัสดุผ้าสักกะหลาดสังเคราห์ ติดตั้งกระจกแต่งหน้าขนาดใหญ่แนวยาว แบบมีฝาเปิด – ปิด พร้อมไฟแต่งหน้า LED ที่สว่างจ้าใช้ได้ ราวกับไฟสำหรับส่องหน้าเวลา ทำ Live ขายของ Online มีมาให้ครบทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยฝั่งคนขับ จะมีช่องเสียบนามบัตรเพิ่มมาให้
จากฝั่งขวา ไล่ไปทางซ้าย
ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาด้านคนขับ ไม่มีแผงสวิตช์ควบคุมใดๆมาให้เลยทั้งสิ้น! มีเพียงแค่สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ ขึ้น – ลง Auto ได้ ทั้ง 4 บาน และสวิตช์ล็อก – ปลดล็อก กลอนประตู บริเวณมือจับเปิดประตู เท่านั้น!
พวงมาลัยเป็นแบบ 2 ก้าน ปรับได้ 2 ทิศทาง (สูง – ต่ำ) วงพวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง มาพร้อมกับสวิตช์บนก้านพวงมาลัย ทั้ง 2 ฝั่ง โดยฝั่งขวา เน้นการปรับหน้าจอมาตรวัด ส่วนฝั่งซ้าย เน้นการปรับหน้าจอกลางเป็นหลัก ฟังก์ชันต่างๆ เปลี่ยนแปลงได้ ตาม Menu ในแต่ละหน้าจอ ไม่เว้นแม้กระทั่ง ใช้ปรับกระจกมองข้างด้วย เหมือนรถยนต์แบรนด์จีนรายอื่นๆ!
ก้านสวิตช์บนคอพวงมาลัย ฝั่งขวา เป็นคันเกียร์ Shift Lever ใช้งานเหมือน Mercedes-Benz หรือ รถยนต์ แบรนด์จีน รายอื่นๆทั่วๆไป กดหัวก้านสวิตช์ เป็นเกียร์ P (Park) เพื่อจอดรถ ถ้าจะเปลี่ยนเกียร์ ควรเหยียบเบรกตอนรถจอดสนิทหยุดนิ่ง แล้วกระดกก้านเกียร์ขึ้น เป็นเกียร์ R (Reverse) ไว้ถอยหลัง กดลงมา 1 จังหวะ เป็นเกียร์ N (Neutral) เกียร์ว่าง และถ้ากดลงมาอีก 1 จังหวะ หรือกดลงมาจนสุด เป็นเกียร์ D (Drive) สำหรับเดินหน้า
ส่วนก้านสวิตช์บนคอพวงมาลัยฝั่งขวา รวมการควบคุม ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟสูง-ไฟต่ำ ตามปกติ แต่ถ้าหมุนหัวก้านสวิตช์ จะเป็นการควบคุมชุดใบปัดน้ำฝน กดสวิตช์บนหัวก้าน จะเป็นหัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหน้า
ชุดมาตรวัด เป็นหน้าจอ Digital สี่หลี่ยมผืนผ้า ขนาด 8.8 นิ้ว แยกฝั่งการแสดงผลไว้ชัดเจน ฝั่งซ้าย เป็นตัวเลขความเร็ว อุณหภูมิภายนอกรภ กำลังไฟที่ใช้งานจริง แบบ Real Time ปริมาณไฟในแบ็ตเตอรีที่เหลืออยู่ และระยะทางที่แล่นได้ ไฟบอกตำแหน่งเกียร์ ไฟแสดงการทำงานระบบ Adaptive Cruise Control และถ้ากดปุ่ม Power ติดเครื่อง พร้อมกับเหยียบเบนก จนมีไฟ READY สีเขียวติดสว่างขึ้นมา แสดงว่า พร้อมออกรถได้
ตรงกลาง เป็นภาพ Graphic รูปตัวรถ แสดงภาพได้ทั้ง ตอน เปิด-ปิดไฟหน้า ไฟท้าย ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว และไฟเบรก แบบ Real-Time รวมทั้งแสดงระยะห่างจากรถคันข้างหน้าที่คุณตั้งเอาไว้ ให้ระบบ Adaptive Cruise Control ทำงาน รวมทั้ง แสดงภาพจากกล้อง Radar ให้เห็นทั้ง ภาพของยานพาหนะรอบข้างรถคุณ (ทั้งหมดนี้ คล้าย Tesla หรือ Honda Civic รุ่นปัจจุบัน)
ส่วนฝั่งขวา เป็น Trip Computer แสดง ทั้งระยะทางที่แล่นไปแล้วในการชาร์จครั้งล่าสุด ระยะเวลาที่คุณอยู่บนรถ ความเร็วเฉลี่ย และการกินไฟเฉลี่ย สามารถปรับตั้งการแสดงผลหน้าจอได้หลายแบบ รวมทั้งระบบ แจ้งเตือน แรงดันลมยาง TPMS (Tyre Pressure Monitoring System) บนหน้าจอ Monitor กลาง มุมขวาบน แสดง Mode การขับขี่ ส่วนมุมขวาล่าง เป็นนาฬิกา หรือเปลี่ยนไปแสดงข้อมูลการชาร์จไฟ แบบ Real Time ได้อีกด้วย ต้องข้อสังเกตว่า Font ตัวอักษรมีขนาดเล็กพอสมควร ถ้าใหญ่กว่านี้ทั้งหมดได้ เพิ่มขนาดจอไปด้วยอีกหน่อย น่าจะดีกว่านี้
ถัดไปทางด้านซ้ายเป็นหน้าจอกลาง ติดตั้งแบบลอยตัว ขนาด 15.6 นิ้ว แบบสัมผัส Touchscreen แต่เฉพาะรุ่น Plus เท่านั้นที่จะสามารถปรับทิศทางการหันหน้าจอได้ 15 องศา ทั้งฝั่งซ้ายหรือขวา โดยหน้าจอควบคุมมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Crystal OS มาพร้อมกับ Chipset ของ Qualcomm Snapdragon 8155 ใช้สำหรับการปรับตั้งค่าต่าง ๆ ของตัวรถ เช่น ระบบความปลอดภัยต่าง ๆ กระจกมองข้าง โหมดการขับขี่ ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ รวมทั้งแสดงการทำงานและปรับชุดเครื่องเสียง จำนวน 8 ลำโพง รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay, Android Auto, Wi-Fi / 4G Network, Switch, สามารถเล่นวิทยุ DAB + FM เล่นเพลงจาก USB เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth รองรับ การ Update Software แบบ OTA (Over The Air) ไปจนถึงการบริหารจัดการพลังงานตัวรถ ควบคุมการชาร์จไฟ ข้อมูลการใช้พลังงานในรถ
นอกจากนี้ ยังรับภาพ จาก กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา โดยกล้องด้านหน้า เป็นแบบ 2 Megapixel ส่วนกล้องด้านหลัง เป็นแบบ 1 Megapixel
รูปแบบการทำงานของ User Interface และการปรับระบบเครื่องปรับอากาศ ทั้งหมด อยู่บนหน้าจอ ยังดีที่คุณสามารถปรับช่องแอร์ ได้เองโดยตรง ไม่ต้องไปลากเปลี่ยนทิศทางลมจากหน้าจอ เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าค่ายอื่นที่พยายามจะทำตัว ล้ำสมัย แต่ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้เอาเสียเลย แต่อย่างใด
ความลื่นของหน้าจอ เป็นระบบ กึ่ง Android อัตรา Refresh rate อยู่ที่ 60 FPS (Frame Rate Per Seconds) ซึ่งไหลลื่นปกติ แต่ในบางกรณี ถ้าเชื่อมต่อ ระบบ Apple Car Play ด้วย แล้วเปิดโปรแกรมระบบขับขี่ หรือดูข้อมูลตัวรถอื่นๆ ไปด้วย อาจมีอาการ Lack และ กระตุกอยู่บ้าง
การใช้งาน คล้ายคลึงกับบรรดาหน้าจอของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนหลายๆแบรนด์ เช่น Changan/Deepal , Xpeng , Aion คุณภาพของเครื่องเสียง จัดอยู่ในเกณฑ์ พอไหว ไม่น่าเกลียด แต่ไม่ถึงกับดีเลิศอะไรนัก ฟังเพลงใช้ได้
สิ่งที่ผมไม่ชอบเลย คือ การต้องมานั่งปรับกระจกมองข้าง ผ่านหน้าจอ Monitor กลาง ไม่เข้าใจว่า ทำไมอุปกรณ์พื้นฐานแบบนี้ จะต้องพยายาม เอาไปใส่ไว้ให้ในหน้าจอกลางแบบเดียวกับ Tesla และรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนค่ายอื่นกันทำไม เรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องพื้นฐานด้านความปลอดภัย ทุกอย่างควรจะใช้งานง่าย และสะดวก บางอย่างที่ล้ำมากเกินไป แต่ไม่เป็๋นมิตรกับผูั้ใช้ มันไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก
ความพิเศษของ JY AIR ก็คือ มีโปรแกรม Background หน้า Main page ซึ่งสามารถเลือกได้ 3 แบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปรถ รูป Background ที่ให้มาในรถ หรือ เลือกรูปของคุณ ใส่บนหน้าจอหลักแทนก็ได้
นอกจากนี้ ในรถคันที่เราทดลองขับ ณ ขณะนั้น มีโปรแกรม Games แถมมาให้เลือก 2 แบบ บนพื้นฐานของเกมส์แบบ MMORPG (Massive Multi-player Online Role-Playing Game) หรือ เกมออนไลน์ แบบมีผู้เล่นจำนวนมาก เลือกเล่นตามบทบาท
แต่บนหน้าจอนี้ จะมีผู้เล่นเดียว ก็คือ เจ้าของรถ ไม่มีตัวละครอื่นมาแจมด้วย
อีกโปรแกรมหนึ่ง จะเป็นตัวละคร สัตว์เลี้ยง ที่เจ้าของรถ สามารถแลกเอาระยะทางการขับขี่ที่ผ่านมา ไปเปลี่ยนเป็น อาหาร เลี้ยงให้ตัวละคร เจริญเติบโต ถ้านึกไม่ออก ให้นึกถึงตัว Tamagotchi แบบญี่ปุ่นนั่นละครับ เหมือนกันเลย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราส่งคืนรถคันนี้ไปแล้ว ได้รับการยืนยันจากผู้ที่ต่อคิวยืมรถคันนี้ ในเวลาต่อมาว่า ทั้ง 2 เกมส์ดังกล่าว ได้หายไปจากหน้าจอ หลังจากการ Update Firmware รอบล่าสุดแล้ว
ไม่เพียงแค่ควบคุมบนหน้าจอกลาง JY Air ยังมีแผนจะทำ Application บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อสั่งให้รถช่วยเหลือคุณในบางอย่าง เช่น เวลาจอดรถไว้กลางแจ้ง คุณสามารถเปิดแอร์ และระบายอากาศร้อนของเบาะนั่งไว้ก่อนจะขึ้นรถ เพื่อความเย็นสบาย หรือแม้แต่การส่งแผนที่ ไปยังระบบนำทางของตัวรถ หรือตรวจดูว่า ปิดประตู หรือ หน้าต่างสนิททั้ง 4 บานหรือไม่ ไปจนถึงการตรวจเช็คแบตเตอรี่ระบบขับเคลื่อน และลมยาง ได้จากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของคุณเอง
จากฝั่งซ้าย มายังตอนกลางของภายในรถ
ลิ้นชักเก็บของ Glove Compartment ไม่มีตัว Soft Opener มาให้ แต่พื้นที่ข้างในมีขนาดใหญ่พอจะใส่คู่มือประจำรถ และเอกสารกรมธรรม์ได้ โดยยังพอเหลือพื้นที่ให้กับเอกสารอื่นๆ ได้อีกพอสมควร
ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ขวาสุด และฝั่งผู้โดยสารด้านซ้ายสุด อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องก็จริง แต่ช่องแอร์คู่กลางนั้น เนื่องจากการออกแบบให้ คอนโซลกลางวางเชื่อมต่อกับแดชบอร์ด รวมทั้งขนาดของจอ Monitor กลาง ใหญ่โตมหาโหดขนาดนี้ จึงจำเป็นต้องแยกช่องแอร์คู่กลาง ออกจากกัน โดยฝั่งซ้าย ย้ายไปไว้ด้านข้างจอ Monitor กลาง ส่วน ฝั่งขวา ย้ายลงมาอยู่ตรงช่องวางแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย Wireless Charger และช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง สำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
เมื่อมองไปด้านใต้คอนโซลกลางเป็นช่องวางของ และมาพร้อมกับช่อจ่ายไฟ USB – A, USB – C, และ AC 12v อย่างละ 1 ช่อง ออกแบบมาในลักษณะ Floating Console ที่ดูเหมือนจะได้รูปแบบมาจาก Honda HR-V/Vezel รุ่นแรก (2017) และเป็นแนวคิดที่ถูกบริษัทรถยนต์จากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ นำไปลอกเลียนกันใช้หลายรายแล้ว
ฝั่งซ้ายของลำตัวคนขับ จะเป็นกล่องเก็บของที่เชื่อมต่อจากคอนโซลกลาง ด้านบนเป็นฝาปิดแบบบุฟองน้ำ หุ้มหนัง PU ทำหน้าที่เป็นพนักวางแขนตรงกลางสำหรับเบาะนั่งคู่หน้า ซึ่งก็พอจะวางแขนได้ตามสมควร เมื่อเปิดขึ้น จะพบกับพื้นที่เก็บของ ถัดมาทางด้านหลังเป็นช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ช่องเป่าลมของระบบปรับอากาศ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ติดตั้งมาให้บริเวณด้านหลังกล่องเก็บของคอนโซลกลาง สามารถปรับทิศทางลมได้ แต่มีแค่ช่องเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีช่องจ่ายไฟ USB – C มาให้ 2 ตำแหน่ง อีกด้วย
รุ่น Plus จะเพิ่มอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งไม่มีในรุ่น Standard ได้แก่ หลังคากระจก Panoramic Glass Roof แบบไม่มีม่านบังแดดแบบเดียวกันกับ Tesla Model Y และ Deepal L07 โดยตัวหลังคา ใช้กระจกสีเขียว Solar ที่มีคุณสมบัติในการกันความร้อนและป้องกันรังสี UV มีขนาดใหญ่ถึง 2.072 ตร.ม. ซึ่งในช่วงที่นำรถมาทำรีวิวนั้น ผมยังไม่พบว่าแสงแดดจะส่งความร้อน มายังศีรษะมากเท่าใดนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะช่วงที่นำรถออกไปแล่นบนถนนนั้น เป็นช่วงบ่ายๆ เกือบเย็นค่ำ และตอนกลางคืน เสียเป็นส่วนใหญ่
ทัศนวิสัย ด้านหน้า แทบไม่แตกต่างจาก รถยนต์ ซึ่งมีเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ยื่นล้ำไปทางด้านหน้าของรถเยอะๆ เช่น Honda Civic FD (2005 – 22012) Honda Fit/Jazz (2001 – ปัจจุบัน) ไปจนถึง Minivan อย่าง Hyundai Stargazer หรือ GAC Aion Y Plus
ตำแหน่งนั่งขับ มองไปทางด้านหน้ารถ จะคล้ายกับ Honda Jazz ที่มีกระจกหูช้าง บานใหญ่กว่า และมีเสาคู่หน้า ยื่นออกไปเพิ่มขึ้นจาก Jazz พอสมควร แต่ความสูงจากพื้นดิน พอๆกันเลย สูงกว่า Jazz นิดเดียว นั่นหมายความว่า คุณอาจมองไม่เห็นฝากระโปรงหน้า ขณะขับขี่ และอาจจะกะระยะห่างจากวัตถุ หรือยานพาหนะข้างหน้ารถได้ยากกว่ากันนิดนึง
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ถูกออกแบบมาค่อนข้างหนา ดังนั้น มันอาจบดบังรถที่แล่นสวนทางมา ขณะที่คุณกำลังจะเข้าโค้งขวา บนถนนสวนกัน 2 เลน ขณะเดียวกัน เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งซ้าย ที่ดูหนา อาจบดบังสายตาของคุณขณะเลี้ยวกลับรถได้ ในบางจังหวะ ขณะเดียวกัน พื้นที่กระจกหน้าต่างรอบคัน ค่อนข้างเตี้ย และตีบ อาจทำให้คุณมองยานพาหนะรอบข้างได้ไม่ดีนัก
ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น เสาหลังคาคู่หลังสุด C-Pillar ทึบ เพราะไม่มีการเจาะช่อง หน้าต่าง Opera มาให้เลย ดังนั้น เสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar จึงบดบังจักรยานยนต์ และยานพาหนะที่แล่นมาทางด้านข้างฝั่งซ้ายหลัง ไว้เต็มๆคัน ดังนั้น ขอแนะนำว่า อย่าเชื่อระบบ Blind Spot ที่มีมาให้เพียงอย่างเดียว แต่ควรหันเหลียวมองรอบคัน 2-3 รอบ ก่อนเคลื่อนรถ เปลี่ยนเลน หรือออกจากถนนเส้นหลัก เข้าช่องคู่ขนานด้วย
******* รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ *******
******** Technical Information & Test Drive *********
เมื่อดึงคันโยกที่ใต้แผงหน้าปัดฝั่งคนขับ เพื่อเปิดยกฝากระโปรงหน้าขึ้นมา คุณจะพบแค่เพียงแผ่นพลาสติกขนาดใหญ่ ปิดบังไว้ ซ่อนไม่ให้เห็นงานวิศวกรรมด้านล่าง ซึ่งไม่มีอะไรในกอไผ่ มีเพียงช่องเติมน้ำฉีดล้างกระจกบังลมหน้า และพื้นที่สำหรับ Service ชุดใบปัดน้ำฝนคู่หน้า เท่านั้น
ไม่ต้องตกใจครับ รถยนต์ไฟฟ้า EV ทั่วๆไปก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่า ด้วยพื้นที่ด้านหน้ารถที่สั้น และมีฝากระโปรงหน้า ลาดลง ทำให้พื้นที่ด้านหน้ารถ เหลือน้อยเกินกว่าที่จะทำช่องใส่ของ Front Trunk (Frunk) ได้ เขาก็เลยเอาแผ่นพลาสติกขนาดเบ้อเร่อเบ้อร่า มาปิดไว้เพื่อความเรียบร้อยสวยงามแค่นั้นเอง
แต่งานวิศวกรรมทั้งหมด หนะ มันซ่อนอยู่ทั้งช้างล่างนี่ และด้านหลังของตัวรถ
JuneYao JY Air ถูกสร้างขึ้น บนโครงสร้างวิศวกรรม พื้นตัวถัง SKY Platform ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ ขุมพลังขับเคลื่อน ของ JuneYao JY AIR มีให้เลือก 2 แบบ 2 ระดับความแรง ดังนี้
JY AIR Standard
ขับเคลื่อนล้อหลัง RWD ด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor จำนวน 1 ตัว กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่แบตเตอรี่ CATL SHENXING Lithium-ion (LFP) ขนาดความจุ 51 kWh แบบ CTP (Cell-to-Pack) รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุดกว่า 70 KW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 KW และมาพร้อมกับระบบจ่ายไฟ V2L
JY AIR PLUS
ขับเคลื่อนล้อหลัง RWD ด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor จำนวน 1 ตัว กำลังสูงสุด 218 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่แบตเตอรี่ CATL SHENXING Lithium-ion (LFP) ขนาดความจุ 64 kWh แบบ CTP (Cell-to-Pack) รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุดกว่า 90 KW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 KW และมาพร้อมกับระบบจ่ายไฟ V2L
ข้อมูลด้านเทคนิคของตัวรถนั้น ทาง JuneYao ไม่ได้มีมาให้เราด้วย เราต้องไปควานหา ค้นคว้ากันมาเอง ดังนั้น จึงมีข้อมูลต่างๆ เพียงเท่าที่คุณอ่านกันอยู่นี้ เท่านั้น
สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เรายังคงทำการทดลองจับเวลา หาอัตราเร่งกันเหมือนเดิม นั่นคือ ใช้เวลากลางคืน เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน น้ำหนักตัวคนขับ (75 กิโลกรัม) และผู้โดยสาร สักขีพยาน (Mark Pongsawang น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม) รวมกัน ได้ 135 กิโลกรัม ผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้
จากตัวเลขที่ออกมา จะพบว่า แม้อัตราเร่งของ JY Air อยู่ในกลุ่มล่างๆ ของตาราง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก อย่าลืมว่า รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปล้วน ในพิกัดเดียวกัน มีไม่กี่รุ่นที่ก้าวขึ้นมาเทียบชั้น เคียงบ่าเคียงไหล่ กับคู่แข่งกันได้ในพิกัด ต่ำกว่า 8.5 วินาที อย่างนี้
หากเทียบกับแบรนด์คู่แข่ง จากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง JY Air ทำตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ด้อยกว่า Nissan LEAF รุ่นที่ 2 , BYD dolphin Extended Range แม้แต่ Honda e: N1 แต่อย่างน้อย ก็ยังเหนือกว่า Dolphin รุ่น Standard Range , MG ZS EV รุ่นเก่า , ORA Good Cat 500 Ultra นั่นแหละ
สำหรับความเร็วสูงสุดนั้น ใช้เวลาในการไต่ขึ้นไปไม่นานนัก แต่ หลัง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง อาจจะต้องใช้เวลาและระยะทางอยู่บ้างเล็กน้อย กว่าจะขึ้นไปถึงตัวเลขอย่างที่เห็น
(เราไม่สนับสนุนให้ทำการทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเองเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายต่อชีวิต ของคุณผู้อ่าน และเพื่อนร่วมทางอีกด้วย เราทำการทดลองเพื่อให้ได้รู้ข้อเท็จจริง สำหรับการใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการศึกษา ในด้านวิศวกรรม ของผู้คนทั่วไปเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะทำความเร็วสูงขนาดนี้ กับรถครอบครัวบ้านๆ แบบนี้ หากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้นมา เราไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ในทุกกรณี)
อัตราเร่งในการขับขี่จริงนั้น ถ้าเทียบกับรถยนต์นั่ง ราคา ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ทุกรูปแบบขุมพลัง ทั้งตลาด ถือว่า อยู่ในเกณฑ์ แรงกำลังดี แต่ถ้าเทียบกับบรรดารถยนต์ไฟฟ้า EV จากจีน ด้วยกัน ต้องถือว่า เฉพาะช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง ถึง 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังไม่ค่อยแรงนัก และดูเหมือนว่าทีมวิศวกร จงใจจะเซ็ตมาให้การออกตัวนั้น นุ่มนวล คล้ายกับการนั่งอยู่บนเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ ขณะกำลัง Take Off ในช่วงเริ่มต้น มากกว่า ทำให้การไต่ความเร็วช่วงหลังจาก 50-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไปแล้วนีั่้น สัมผัสได้ถึงแรงดึงที่ต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน
อันที่จริง ในโหมด Adpative ตัวรถจะสามารถปรับความแรงของกำลังขับได้ ระหว่าง 1 – 100% ตามแต่คุณจะต้องการเรียกใช้ ต้องการให้รถแรงแค่ไหน คุณเลือกบนโปรแกรมหน้าจอ ล็อกพละกำลังแรงบิดในระดับที่คุณต้องการได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงเร่งแซง คันเร่งกับมอเตอร์ไฟฟ้า ตอบสนองได้ไว และทันท่วงที ไม่ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ เผลอๆ แอบดีกว่ากันเสียด้วยซ้ำ เรียกเมื่อไหร่ แรงบิดพร้อมมาเมื่อนั้น ถือว่าทำได้ดีสมตัวในประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งจะดีหรือไม่เพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของมอเตอร์ และแบ็ตเตอรี ด้วย เพราะในการทดลองจับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมพบว่า เรากดคันเร่งจมมิดต่อเนื่องไปสัก 2-3 ครั้ง ติดๆกัน พอทำแบบเดียวกันในครั้งที่ 4 คราวนี้ ตัวเลขความเร็ว กลับเหี่ยวลง ค่อยๆไต่ขึ้นไปช้าๆ ราวกับจะบอกคนขับว่า “พี่จ๋า หนูเหนื่อยแล้ว แฮ่กกกกกก”….จู่ๆ พอหนูตัวร้อน ไข้ขึ้น หนูก็จะงอแงเสียอย่างนั้น!
กลายเป็นว่า จากตัวเลข 8.3 วินาที ที่ทำได้ทั้ง 3 ครั้งก่อนหน้านั้น กลับร่วงผลอย กลายเป็น 16.27 วินาที ในรอบที่ 4 นี่แหละ ตัวเลขออกมาพอกันกับ Nissan Note 1.2 ลิตร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ECO Car ที่อืดสุดในตลาด เราจึงต้องขับรถต่อเนื่องไปด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกพักใหญ่ เพื่อให้ มอเตอร์ และแบ็ตเตอรี คลายความร้อนลง ก่อนจะสลับมากดเต็มตีน จับเวลาหาอัตราเร่ง เป็นแบบนี้ สลับๆกันไปเป็นพักๆ จนได้ตัวเลขค่าเฉลี่ยออกมาอย่างที่เห็นในตาราง
เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นถึงความ ไม่ Consistency ของ ความเร็วที่ได้ อันเป็นผลมาจาก การขึ้น-ลง ของอุณหภูมิในระบบขับเคลื่อนที่ส่งผลต่อการตอบสนองอัตราเร่งมากเกินไป อาการแบบนี้ อาจพบได้บ้างในรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป แต่ถ้าอาการจะหนักขนาดนี้ ผมไม่เคยเจอในรถยนต์ไฟฟ้า แบบใดมาก่อน ต่อให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า จากชาวจีนด้วยกันก็เถอะ!
คุณอาจมองว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับผมแล้ว มองว่า หากมีลูกค้าคนไหน เป็นพวกชอบเร่งๆ กดๆ ขณะขับขี่ทางไกล และระหว่างอยู่ในภาวะคับขัน เช่นแซงรถพ่วง 18 ล้อ แล้วเกิด มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังเหี่ยวไปดื้อๆแบบนี้ ในจังหวะนั้น มันอันตรายนะครับ ฝากผู้เกี่ยวข้อง ลองปรับปรุงด้วย
การเก็บเสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และอาการสะท้าน
***** NVH (Noise Vibration & Harshness) *****
ตั้งแต่เริ่มเคลื่อนรถออกจากจุดหยุดนิ่ง ไปจนถึงความเร็ว ประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงรบกวนต่างๆ ยังน้อยอยู่ ให้บรรยากาศ สงบ รื่นรมณ์ ในแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วๆไป ถ้าคุณรำคาญ เสียงสังเคราะห์ ซึ่งฟังแล้วตลกๆ หน่อยๆ ที่รถมีมาให้ จนรู้สึกว่า จะใช้เสียงแบบนี้กันจริงๆเหรอ? ก็สามารถสั่งเปลี่ยนเสียง หรือปิดทิ้งไปได้เหมือนรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ
พอพ้นจากความเร็วระดับ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถจะเริ่มค่อยๆดังขึ้น แต่ก็ยังเบาอยู่ในระดับพอๆกับเครื่องบินที่กำลังเคลื่อนออกจากหลุมจอด ยังไม่ดังเท่าไหร่ แต่ถ้าพ้นจาก 100 กิโเลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป เสียงที่เกิดขึ้น จะให้ความรู้สึก เหมือนคุณนั่งอยู่บนเครื่องบิน ที่อยู่ในระหว่าง กำลัง Take Off คือ เสียงลมไหลผ่านพื้นที่ด้านหน้ารถ ดังพอสมควร โดยเฉพาะ เสียงกระแสลมที่ไหลผ่านกระจกบังลมด้านหน้า ไล่ต่อเนื่องไปยังเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ช่วงบน
กระนั้น เสียงดังกล่าว ก็ยังไม่ค่อยดังเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเสียงยาง และกระแสลมหมุนวนจากซุ้มล้อทั้ง 4 ซึ่งดังขึ้นแบบชัดเจนมากกว่า ยิ่งใช้ความเร็วสูง เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง มากเท่าไหร่ เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถ และเสียงยางบดกับพื้นถนน ก็ยิ่งดังขึ้นมากตามนั้น
ภาพรวมถือว่า การเก็บเสียง ของ JY Air อยู่ในเกณฑ์ ไล่เลี่ยกับรถยนต์ไฟฟ้าคันอื่นๆ อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้เงียบแบบ Xpeng หรือ Tesla แต่ก็ไม่ได้ดังแบบ Neta V หรือหนวกหูแบบ Fomm แน่ๆ (ใครยังจำแบรนด์นี้ได้บ้าง?)
ระบบบังคับเลี้ยว/ Steering Wheels
พวงมาลัยเป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) สามารถปรับระดับความหนืดได้ 3 แบบ
– สบาย : พวงมาลัยจะเบาหวิวไปเลย เหมาะสำหรับการเข้า – ออกจากช่องจอดรถ ของคุณแม่บ้านเท่านั้น
– Comfort : น้ำหนักพวงมาลัยจะหนืดขึ้นมานิดนึง…กระจึ๋งเดียว
– กีฬา เป็นโหมดที่เราแนะนำให้คุณตั้งค่าไว้ ในการขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะมีความหนืดเพิ่มมาจนเหมาะสม
บุคลิกของพวงมาลัย ค่อนข้างเป็น Feeling แบบ Robotic ระยะฟรีน้อยมาก แอบไวไปหน่อยสำหรับรถยนต์แบบบ้านๆอย่างนี้ น้ำหนักพอได้ แต่ความหนืดและการตอบสนอง ยังไม่ถึงกับลื่นเป็นธรรมชาตินัก ยังไม่ค่อย Linear เท่าไหร่ แทบไม่ต่างจากพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ของ Xpeng G6 หรือ พวก Toyota Vios Gen 2 กับ Toyota Sienta และบรรดารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน หลายๆราย
ถ้าอยากให้พวงมาลัยตอบสนองเป็นธรรมชาติขึ้น ขอแนะนำให้ปิดระบบ ตัวช่วย ADAS ทั้งหมด ทิ้งไป ก็จะช่วยให้ตอบสนองได้แม่นยำต่อความต้องการต้องการของคุณมากขึ้น แต่ก็ยังหลงเหลืออาการแบบ Robotic นิดๆ ให้เห็นอยู่ดี
ระบบกันสะเทือน / Suspension
ช่วงล่าง ด้านหน้า เป็นแบบ McPherson Strut พร้อม Coil Spring ส่วน ด้านหลัง เป็นแบบ Five-Link พร้อม Coil Spring…ครับ ข้อมูล มีมาให้แค่นี้จริงๆ
ช่วงความเร็วต่ำ ขณะคลานไปตามตรอก ซอกซอย เนินสะดุด หลุมบ่อ ลูกระนาด สัมผัสได้ว่า ตัวช่วงล่างหนะ ตอบสนองค่อนข้างนุ่ม ส่วนด้านหลังจะกระเด้งนิดหน่อย ติด Rebound เยอะนิดนึง ตามสไตล์รถยนต์จากจีนทั่วไป แต่ความตึงตังเบาๆ แบบที่ไม่ควรจะเกิดนั้น จะมาจากยางติดรถ Sentury ชัดเจน
ส่วนการเดินทางในย่านความเร็วสูงนั้น JY Air นิ่งในระดับหนึ่ง พอให้ความไว้ใจได้ในระดับที่ ถือว่าดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตชาวจีนทั่วไปนิดนึง แต่ถ้าเจอรอยต่อพื้นทางด่วน อาจเจออาการตึงกระเดิดๆ ให้สัมผัสได้อยู่ ซึ่งเป็นสัมผัสที่มาจากยาง Sentury อันเห่ยเฟย นั่นอีกเช่นกัน ไม่ใช่มาจากช่วงล่าง
สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยก็คือ แม้ว่า JY Air จะติดตัั้งมอเตอร์ไว้ด้านหลังรถ เพื่อขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลัก แต่ อากัปกิริยา ของด้านหน้ารถ ในย่านความเร็วสูง กลับยังนิ่ง และให้ความมั่นใจได้มากกว่า MG4 เล็กน้อย ส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากรูปแบบด้านหน้ารถ ที่กดลงต่ำ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงกด หรือ Down Force ให้มากขึ้น ทำให้การทรงตัวในย่านความเร็วสูง พอไว้ใจขึ้นกว่า MG4 เล็กน้อย
ส้วนการเข้าโค้งนั้น เมื่อใช้ความเร็วปานกลาง ตัวรถจะเอียงไม่เยอะอย่างที่คิด แต่มีอาการหน้าดื้อ Understeer นิดหน่อย เรียกได้ว่า ถ้าเปลี่ยนยางติดรถจาก Sentury ทิ้ง แล้วสวมยางใหม่ที่ดีกว่าเข้าไปแทน ตัวรถน่าจะตอบสนองดีขึ้นชนิดผิดหูผิดตาแน่ๆ
ความเร็วบนมาตรวัด ขณะเข้าโค้งมาตรฐานทั้ง 5 จุด บนพื้นแห้งๆ บนระบบทางด่วนเฉลิมมหานคร ขั้นที่ 1 ต่อเนื่องไปยังทางยกระดับบูรพาวิถี ฝั่งบางนา เริ่มต้นจาก โค้งขวารูปเคียว ย่านมักกะสัน รถยนต์ทั่วไป ควรเข้าโค้งนี้ได้ในช่วง 80 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ JY Air ทำได้ที่ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ต่อเนื่องไปยัง โค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Eastin ก็ยังรักษาความเร็วไว้ได้ในระดับเดียวกันคือ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียงแค่นี้ ยางติดรถ Sentury ก็แทบจะกรีดร้องขอชีวิตกันแล้ว อันที่จริง มันไม่มีเสียงกรีดร้องหรอกครับ ยางลักษณะแบบนี้ ถ้ามันนึกอยากจะพาคุณหลุดโค้ง มันก็พาหลุดเลยดื้อๆนั่นแหละ ดังนั้น เบาได้เบา!
ส่วนทางโค้งรูปตัว S จากทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสุขุมวิท 62 ขึ้นไปยังทางด่วนยกระดับบูรพาวิถี JY Air เข้าโค้งขวาแรกด้วยความเร็ว 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ตัวรถเอียงออกทางด้านข้าง แต่ไม่มากอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก เพียงแต่ว่า พอเลี้ยงพวงมาลัยค้างไว้ รถดูเหมือนจะเลี้ยวมากเกินไป ต้องแอบคืนพวงมาลัยนิดๆ
ถัดมา โค้งซ้ายยาวๆ ผมไต่ขึ้นไปได้ถึงแค่ 107 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) เจอพื้นผิวเป็นลอนคลื่นเข้าไป ตัวรถมีอาการแกว่งซ้าย-ขวา หน่อยๆ พอเข้าสู่ช่วงท้ายด้วยโค้งขวายกระดับ JY Air เข้าโค้งดังกล่าวได้ที่ 119 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) และทำได้แค่นั้น แม้ว่า ESP จะเริ่มเข้ามาทำงาน แต่ผมก็ไม่กล้าพารถพุ่งในโค้งเกินไปกว่านั้น อันเป็นผลมาจากช่วงล่างโดยเต็มๆ อาการด้านท้าย ยังแอบโยนนิดๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นหนักหนาเมื่อเทียบกับชาวบ้านจากเมืองจีนคันอื่นๆ
ภาพรวม ถือว่า ช่วงล่าง ของ JY Air ไม่ได้แย่ ถือว่าให้ความไว้ใจได้ ในระดับที่คนทั่วไป ซึ่งต้องการรถสักคันที่มีช่วงล่างนุ่มๆหน่อย ใช้งานได้โดยไม่บ่นมากนัก แต่ถ้าเป็นคนที่รักการขับรถเป็นชีวิตจิตใจ ช่วงล่างของ JY Air อาจไม่เหมาะกับคุณ เพราะถูกเซ็ตมาให้เน้นความนุ่มสบายสำหรับการเดินทาง มากกว่าจะเซ็ตมารองรับอารฒณ์ดิบๆ ดุๆ ในวันที่โลกโหดร้าย ถ้าคิดจะมุดไล่ล่า หรือทำเวลาเพราะไปทำงานสาย อาจจะต้องเบาเท้าขวากันเยอะๆ เพราะมันไม่เหมาะกับสายซิ่ง สายมุดเอาเสียเลย
ระบบห้ามล้อ / Brakes
JuneYao Air ติดตั้ง ดิสก์เบรกมาให้ ทั้ง 4 ล้อ เฉพาะคู่หน้า จะเป็นจานเบรกแบบมีรูระบายความร้อน ทำงานร่วมกับ ชุดเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) มาพร้อมกับ ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) โดยมีตัวช่วยมาตรฐาน ติดตั้งพ่วงมาให้ดังนี้
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค Anti-lock Braking System (ABS)
- ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control (ESC)
- ระบบป้องกันการลื่นไถล Traction Control System (TCS)
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)
แป้นเบรกมีน้ำหนักเกือบเบาหวิว ระยะฟรีแแป้นเบรกค่อนข้างเยอะ ต้องเหยียบลึกลงไปกว่า 30% ของระยะเหยียบทั้งหมด จึงจะเริ่มสัมผัสได้ถึงการทำงานของคาลิเปอร์เบรก การตอบสนองจะคล้ายแป้นเบรกของ Leap Motor C10 แต่สามารถเลือกการตอบสนองได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
- มาตรฐาน : แป้นเบรกจะเบา เบ๊า เบา นุ่มเท้าไปเลย
- Sport : แป้นเบรกจะหนืดขึ้น สู้เท้ามากขึ้นมานิดเดียวจริงๆ และระยะเหยียบจะสั้นลงนิดเดียว
เมื่อทดลองเบรกกระทันหันจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวรถ ทำระยะเบรกไว้ปานกลาง สัมผัสได้ว่า ABS ทำงานจนแป้นเบรกสะท้านขึ้นมาที่เท้าชัดเจน แต่การจับๆปล่อยๆ ของคาลิปเปอร์ในแต่ละล้อ สลับไปมาระหว่างจานเบรกหน้าซ้าย หลังขวา หน้าขวาหลังซ้าย แยกจากกันและไม่สมดุลกัน ส่งผลให้ตัวรถเริ่มเบนออกไปทางขวาหน่อยๆ แต่ก็ยังอยู่ในเลน จังหวะหยุดนิ่งและดีดตัวกลับค่อนข้างเยอะ และแรงประมาณหนึ่ง
ทว่า หากลองเพิ่มความเร็วเป็น Top Speed 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อเริ่มเหยียบแป้นเบรกลงไปลึกประมาณ ครึ่งทางของระยะเหยียบทั้งหมด ตัวรถมีอาการหน้าทิ่ม แต่ด้วยการที่ ABS สั่งคาลิเปอร์ จับ-ปล่อยๆ สลับล้อกันไปมาโดยตลอด ทำให้ตัวรถเบนออกทางขวาเยอะชัดเจน และเมื่อตัวรถหยุดนิ่ง แรงเหวี่ยงศีรษะคนขับและู้โดยสาร ค่อนข้างเยอะประมาณหนึ่ง เล่นเอาหัวกระแทกพนักศีรษะ หนักๆไปหนนึง ภาพรวมแล้ว อาจต้องทำใจ ว่าระยะเบรกแอบจะยาวกว่ารถยนต์ทั่วไปอยู่สักหน่อย ควรเผื่อระยะเบรกเอาไว้ประมาณหนึ่ง
********** อุปกรณ์ความปลอดภัย / Safety Features **********
JY Air ติดตั้ง ระบบตัวช่วยผู้ขับขี่ ADAS (Adaptive Driver Assistant System) มาให้ ในฐานะ ความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) มากถึง 16 รายการ ดังนี้
- ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบแปรผัน Intelligent Adaptive Cruise Control (IACC)
- ระบบควบคุมรถให้อยู่กลางเลน Lane Centering Control (LCC)
- ระบบเตือนการชนขณะเปลี่ยนเลน Lane Change Warning (LCW)
- ระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ Intelligent speed assistance (ISA)
- ระบบตรวจจับพฤติกรรมผู้ขับขี่ Driver Monitoring System (DMS)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning (FCW)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking (AEB)
- ระบบตรวจสอบจุดอับสายตา Blind Spot Detection (BSD)
- ระบบเตือนยานพาหนะแล่นมาทางข้างหลัง ขณะเปิดประตูรถ Door Open Warning (DOW)
- ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน Emergency Lane Keeping Assist (ELK)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Assist (LKA)
- ระบบเตือนการชนทางด้านหลัง Rear Cross Warning (RCW)
- ระบบเตือนคนและพาหนะ ขณะถอยหลังจากช่องจอด Rear Cross Traffic Alert & Brake (RCTA)
- ระบบเบรกเมื่อมี คนและพาหนะ ตัดผ่านขณะถอยหลัง จากช่องจอด Rear Cross Traffic Brake (RCTB)
ทว่า ถ้าระบบทั้งหมด เอาไม่อยู่ ระบบความปลอดภัยแบบ ปกป้อง (Passive Safety) ก็จะเข้ามารับหน้าที่ต่อ ดังนี้
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ใบ
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ใบ
- ม่านลมนิรภัย 2 ใบ
- ถุงลมนิรภัย Center Airbag คั่นกลาง ระหว่าง ผู้โดยสารด้านหน้า และด้านหลัง (มาแปลก ไม่เหมือนใคร)
- เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ทั้ง 5 ที่นั่ง (ในเอกสาร ของ JuneYao บอกว่าคู่หน้าปรับระดับได้ แต่เราพบว่า “ไม่ได้”)
- จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX ที่เบาะรองนั่งด้านหลัง ฝั่งซ้ายและขวา รวม 2 ตำแหน่ง
อุปกรณ์ความปลอดภัยทั้งหมด ถูกติดตั้งลงในโครงสร้างตัวถัง ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเหล็ก Boron (แบบเดียวกับที่ใช้ใน Ford Fiesta นั้นแหละ) ซึ่งทนแรงอัดได้ถึง 1,500 MPa (เมกกะปาสคาล) มากถึง 22% ของโครงสร้างทั้งคัน
ผสานกับเหล็ก High-Strength Steel อีก 77% ของโครงสร้างทั้งหมด ภาพรวมแล้ว โครงสร้างตัวถังมีความแข็งแรง สูงถึง 32,450 N.m/deg.
JuneYao ระบุว่า พวกเขานำ JY AIR ไปทดสอบการชน รวม 4 รอบ ครอบคลุมถึงรูปแบบการชนมากถึง 50 รายการ รวมทั้งสิ้นมากกว่า 100 ครั้ง เพื่อให้ รถคันนี้ ผ่านมาตรฐานทดสอบการชน ทั้ง EuroNCAP ของสหภาพยุโรป และ CNCAP ของจีน ในระดับ 5 ดาว ทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม ผลทดสอบการชน อย่างเป็นทางการ จากหน่วยงานทั้ง 2 แห่ง ยังไม่มีให้เราได้พบเห็น ในเว็บไซต์ของทั้ง 2 หน่วยงาน ในตอนนี้ คาดว่า การทดสอบเพื่อยืนยันว่าผ่านมาตรฐานจริง น่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2025 นี้
********** การชาร์จไฟ และ การวัดอัตราใช้ไฟโดยประมาณ **********
********** How to charge & Electricity Consumption ***********
การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้น แตกต่างจากการหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เนื่องจาก รถยนต์ไฟฟ้า ส่วนใหญ่ มีแบ็ตเตอรี ขนาดแตกต่างกัน ทำให้มีระยะทางวิ่งสูงสุด ไม่เท่ากัน และมักแล่นได้ไม่ไกลเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
ประเด็นนี้ ไม่เพียงเป็นข้อจำกัดในการใช้งาน เพียงอย่างเดียว หากยังเป็นข้อจำกัดในการทดสอบของเราอีกด้วย เพราะจากเดิม เมื่อเราต้องทดสอบรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เราก็แค่หาปั้มน้ำมันตั้งต้น เติมน้ำมันให้เต็มถัง (หรือจะเขย่าอัดกรอกด้วยในบางกรณี) จากนั้น ก็ขับไปตามเส้นทางที่กำหนด แล้วกลับมาเติมน้ำมันที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม เพื่อดูว่า แล่นไปกี่กิโลเมตร เติมน้ำมันกลับเข้าไปใหม่กี่ลิตร เอา มาหารกัน ก็ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย อย่างง่ายๆแล้ว
ทว่า พอมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า หากใช้เส้นทางปกติที่เราทดลองกัน แค่ขับไป-กลับ ทางด่วนเชียงราก นั่นก็ 93 กิโลเมตร เข้าไปแล้ว ไหนจะขับไป – กลับ จากบ้านย่านบางนา มายังจุดเริ่มต้น ก็เสียปริมาณไฟฟ้าลงไปอีกเท่าไหร่ แล้วถ้าจะให้ตั้งต้น ก็ไม่รู้ว่าจะหาจุดเริ่มต้นใหม่ตรงไหน เพราะถ้าเริ่มปั้มน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน เหมือนเช่นปกติ ที่เราเคยทำมาละก็ เลิกคิดได้เลยครับ เพราะปั้มแห่งนั้น ระบบไฟ ไม่มีสายดิน ไม่ได้รองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเลย แล้วถ้าไฟมันหมดระหว่างที่ผมกำลังขับรถกลับบ้านละ? รอเรียก “ยานแม่” (รถยก Slide-on) สถานเดียว!!!
ดังนั้น ผมจึงติดตั้งแท่นชาร์จ แบบ Wall Box หรือ Wall Charge ไว้ที่บ้านตัวเองมันซะเลย เพื่อให้สามารถเริ่มต้นทริปทดลองอัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า ได้จากบ้านผมเอง เป็นแท่นชาร์จ Wall Box ขนาด 7.0 kWh พร้อม Meter วัดปริมาณกระแสไฟ (หน่วยเป็น kWh) ขอ ABB มาให้เสร็จสรรพ ซึ่งตอนนี้ ก็ผ่านไปแล้ว 5 ปีเศษ ยังไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นเลย
ใครที่ซื้อหรือคิดจะใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผมขอยืนยันว่า คุณควรมี Wall Charge ติดบ้านไว้ เพื่อช่วยให้การชาร์จไฟ ทำได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องไปแก่งแย่งชิงหัวชาร์จไฟกันตามสถานีบริการ จนกลายร่างเป็น “นักสู้หน้าตู้ชาร์จ” เหมือนที่เขาเหน็บแนมกันในโลก Social Media
ผมตัดสินใจ ใช้เส้นทางการทดสอบ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะ ซึ่งถูกกำหนดขึ้นมาใหม่ แยกเส้นทางจากการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบเดิม เป็นเส้นทางที่เราใช้มาตั้งแต่บทความรีวิวรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อปี 2018 โดยเปลี่ยน เส้นทางการวิ่ง จากเดิม ที่เราเคยใช้ “ทางด่วน พระราม 6 – บางปะอิน” มาเป็นเส้น “ทางด่วนบูรพาวิถี” ย่านบางนา แทน
- เรายังใช้มาตรฐานการทดลองขับ ดั้งเดิม คือ ทดลองตอนกลางคืน เปิดแอร์ อุณหภูมิ 24 – 25 องศาเซลเซียส พัดลมแอร์ เบอร์ 1 กับ 2 ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมนั่ง 2 คน (ผู้ขับขี่ 80 กิโลกรัม กับ น้อง Mark Pongswang ทีมงานของเว็บเรา น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม)
- เราจะเปลี่ยนจุดเริ่มต้น มาเป็นบ้านผม ในซอยราชวินิตบางแก้ว หลัง Mega Bangna นี่แหละ เราจะเสียบปลั๊กชาร์จไฟกันจากในบ้านจนเต็มตามที่ตัวรถแจ้งไว้ คือ 100% ซึ่งระบบในตัวรถคำนวนได้ว่า เราจะแล่นได้ในระยะทางไกลจริงๆราวๆ 509 กิโลเมตร
จากนั้น เริ่มต้นจากบ้านผม ขับช้าๆ ลัดเลาะออกไปถึงริมถนนบางนา – ตราด ราวๆ 3 กิโลเมตร แล้ว เราออกสู่ถนนบางนา-ตราด กม.7 ไป U-Turn ขึ้นสะพานกลับรถ ที่ บางนา-ตราด กม.3 หน้าสำนักงานใหญ่ สุกี้ MK แล้วขึ้นทางด่วนบูรพาวิถี หน้า Central Bangna ขับไปยาวๆ ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
จนถึงปลายทางด่วนบูรพาวิถี ขึ้นสะพานกลับรถ ก่อนถึงนิคมอุตสาหกรรม อมตะ แล้วย้อนขึ้นทางด่วนเส้นเดิมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ เราจะลงทางด่วนที่กิ่งแก้ว แล้ววิ่งทางข้างล่าง เลาะเข้าคู่ขนาน เลี้ยวเข้า Mega Bangna เพื่อทะลุด้านหลังห้างฯ กลับเข้าซอยราชวินิตบางแก้ว อีกครั้ง แล้วมุ่งหน้ากลับเข้าบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน นำรถเข้าจอดเรียบร้อยแล้ว เราก็เสียบหัวชาร์จ เข้ากับปลั๊กไฟบ้านตัวเองอีกรอบ ปล่อยให้กระแสไฟไหลเข้าไปจนเต็ม 1 คืน พอเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ตื่นนอน ลงมาจดตัวเลขที่ มิเตอร์วัดไฟ
ตัวเลขบนชุดมาตรวัดแสดงข้อมูลก่อนการชาร์จไว้ ดังนี้
ระยะทางที่แล่นไป ตาม Trip Meter บนมาตรวัด อยู่ที่ 111.9 กิโลเมตร
ตัวรถแจ้งว่า แบตเตอรี่ลดจาก 100 เหลือ 67%
เมื่อเสียบชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน ด้วย Wall Box ระบบแจ้งว่าต้องใช้เวลาในการชาร์จ 3 ชั่วโมง 40 นาที
พอเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ตื่นนอน ลงมาจดตัวเลขที่ มิเตอร์วัดไฟ และต่อไปนี้คือตัวเลขที่ได้
- มาตรวัดไฟก่อนชาร์จ 2877.33 kWh (กิโลวัตต์-ชั่วโมง)
- มาตรวัดไฟหลังชาร์จ 2899.31 kWh (กิโลวัตต์-ชั่วโมง)
- เท่ากับ ชาร์จไฟไป 21.98 kWh (กิโลวัตต์-ชั่วโมง)
เมื่อคำนวนออกมาแล้ว เท่ากับว่า วิ่งเฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า เฉลี่ย 5.09 km/kWh

จัดว่าอยู่ในระดับกลางๆ ทำผลงานได้ไม่เด่นมากนัก ถ้าวัดจากตัวเลขสถิติที่เราทำมา JY Air จะประหยัดไฟกว่า MG4 Deepal S07 , Nissan LEAF , Leap Motor C10 , Hyundai IONIQ5 และ IONIQ6 , Kia EV9 และ Volvo XC40 EV แต่ยังไม่ประหยัดไฟเท่ากับ BYD Dolphin หรือ Lexus UX300e ฯลฯ
คำถามต่อมาก็คือ แล้วการใช้งานจริงละ ชาร์จไฟเต็มแบ็ตเตอรี 1 ครั้ง แล่นได้ไกลแค่ไหน?
บอกกันตามตรงว่า รถยนต์ไฟฟ้า ถ้าเหยียบคันเร่งหนักๆ ก็จะกินไฟเยอะ ถ้าเหยียบเบาๆ ก็จะกินไฟลดลงนิดหน่อย แต่เอาเข้าจริงแล้ว จากตัวเลขบนมาตรวัด กับการใช้งานจริง ผมไม่เคยแล่นได้ระยะทางเกินกว่า 300 กิโลเมตร จากการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง 100% ได้เลย เคยปล่อยให้ไฟหล่นลงเหลือต่ำสุด ก็ 20% ไฟค่อนข้างหล่นหายเร็ว ต่อให้ผมจะขับเรื่อยๆ ใช้ความเร็วแค่ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในชีวิตประจำวันก็ตาม หรือต่อให้เหยียบหนักๆ ก็จะทำอัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า ด้อยลงกว่านี้
********** สรุป / Conclusion **********
ตัวรถพอขับได้ แต่ยังต้องปรับปรุงเรื่องการประกอบ ความทนทาน
รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ และบริการหลังการขายมากกว่านี้
การเข้ามาทำธุรกิจรถยนต์ในประเทศไทยของกลุ่ม JuneYao เป็นเรื่องที่หลายคนงุนงงมากว่า “มาทำไม?” และ “มาทำไมเอาป่านนี้?”
เหตุผลก็เป็นอย่างที่ทุกท่านเห็นอยู่ สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในบ้านเราตอนนี้ อยู่ในภาวะชะลอตัว ถึงขั้นถดถอย ทั้งจากผลพวงทั้งพิษสงครามระหว่างประเทศ ในภูมิภาคต่างๆ การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำเอาป่วนไปทั้งโลก เศรษฐกิจ ภาพรวมที่ยิ่งพัง ปัญหาการเมืองที่รุมเร้าไม่จบไม่สิ้น ทำให้หลายๆครอบครัว เริ่มไม่พอกิน บางครอบครัว ที่มีเงิน ก็เรนิ่มใช้จ่ายอย่างประหยัด การขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา
การเข้ามาในตลาดรถยนต์บ้านเราของ JuneYao Auto ในตอนนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ไม่ค่อยดีเอาเสียเลย ไหนจะเป็นแบรนด์ใหม่ ที่จะต้องปลุกปั้นกันอย่างหนัก ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น ทั้งที่ทุนทรัพย์เริ่มต้นก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายนัก เพราะเหมือนทางบริษัทแม่ฝั่งจีน ก็ดูจะกล้าๆกลัวๆ จะเริ่มโฆษณาก็ยากลำบาก งบน้อย เน้นทำโฆษณาฟรี บนโลก Social Media ไปตามมีตามเกิด กับเปิด Facebook และ Instagram ของตัวเอง ลงโพสต์ ไปเรื่อยๆ เมื่อมีคนเห็นสื่อน้อย โฆษณาน้อย กลายเป็นปัญหาว่า นักลงทุนในไทย ก็ไม่กล้าเปิด Dealer กัน เพราะไม่มั่นใจ กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแบบ NETA อีก
หากมองกันแค่ตัวรถ เอาเข้าจริง JY Air มันก็ไม่แย่ งานออกแบบต่างๆ ทำได้ดีประมาณหนึ่ง การทำงานของ Function ต่างๆ ขั้นพื้นฐาน ก็ทำได้ดีในระดับที่รถยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ๆ พึงสมควรจะเป็น การเร่ง เบรก การทรงตัว การขับขี่ในภาพรวม อยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ ไม่แย่ แต่อาจจะมีการทำงานของช่วงล่าง ที่ยังต้องปรับปรุง รวมทั้งระบบหน้าจอ ที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้อยู่เยอะบ้าง และความเสถียรของ Software ในระยะยาว ที่ยังเป็นคำถามอยู่
ด้านบริการหลังการขาย แม้ว่า ศูนย์บริการจะน้อย แต่ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2025 ก็มีข่าวปล่อยออกมาว่า ลูกค้าเจออุบัติเหตุ รถโดนชนท้าย สามารถเคลมอะไหล่ได้เร็วกว่า รถยนต์แบรนด์จีนค่ายอื่น เพียง 3 วัน อะไหล่ก็ถูกส่งมาจากเมืองจีน ผ่านทางสายการบินของ JuneYao Airline เอง มาถึง และพร้อมเปลี่ยนให้ลูกค้าได้ทันที แน่นอนว่า มันเป็นข่าวจริง ที่ “ขิง” บรรดาค่ายรถยนต์เมืองจีน แทบทุกค่ายในเวลานี้กันเลยทีเดียว! เพราะแทบไม่มีค่ายรถยนต์จากแดนมังกรรายใด ตั้งใจทำงานบริการหลังการขาย ดูแลลูกค้าให้มันดีๆ เลยจริงๆ
ถึงกระนั้นก็เถอะ เป็นเรื่องธรรมดา ที่รถคันนี้ ยังมีสิ่งที่ยังต้องนำไปปรับปรุงเพิ่มเติมอีกหลายประการ…
สิ่งที่ควรนำไปปรับปรุงต่อ
- ความประณีตในการผลิตชิ้นส่วน เพื่อรองรับงานประกอบคราวละมากๆ ยังทำได้ไม่ดีพอ
- การออกแบบบางอย่าง ต้องการความใส่ใจในรายละเอียด จากการใช้งานจริงมากกว่านี้
- ลดการเอาทุกอุปกรณ์ ไปรวมไว้ให้ผู้ขับขี่ควบคุมบนหน้าจอกันอย่างเดียวเสียทีเถอะ!
- Function แปลกๆ พิลึกพิลั่น เช่นพวก Games ต่างๆ เอาออกไปเถอะ นั่นมันของเล่นสำหรับตลาดจีน ไม่ใช่ไทย
- พวงมาลัย ไวไปหน่อย ตอบสนองยังไม่ถึงกับเป็นธรรมชาติมากนัก เพิ่มระยะฟรีอีกนิดหน่อย จะลงตัวขึ้น
- การควบคุมอุณหภูมิความร้อนในระบบขับเคลื่อน และแบ็ตเตอรี อาจต้องทำให้ดีกว่านี้
- ปรับปรุงช่วงล่าง ให้รองรับการขับขี่ในย่านความเร็ว เกินกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้ดีกว่านี้ อีกนิด
- ระยะทางในการแล่น ควรมากกว่านี้ ไม่ใช่โฆษณาว่า แล่นได้ไกล แต่ทำได้จริงแค่เกินครึ่งหนึ่งจากที่โฆษณาไว้
- ปรับปรุงการทำงานของระบบเบรก ให้ทนต่อความร้อน สำหรับสภาพอากาศของเมืองไทยให้ดีกว่านี้
- ฯลฯ อีกมากมาย
***** สิ่งที่เราเจอ และควรระวัง *****
ตั้งข้อสังเกตว่า วันที่ นำรถไปคืน สิ่งที่ มาร์ค มารายงานให้ผมฟัง ก็คือ ขณะขับๆไปอยู่ดีๆ ก็มีสัญญาณเตือน แจ้งว่า ระบบ ADAS ไม่ทำงาน สว่างขึ้นมาบนมาตรวัด พร้อมกันนั้น แป้นเบรก ก็เริ่มแข็งทื่อ ควบคุมเบรกยากขึ้น จนต้องค่อยๆประคับประคองรถ ด้วยความเร็ว ไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนกระทั่งถึง Warehouse ย่านบางนา-ตราด จุดรับ-ส่งคืนรถ เมื่อเราแจ้งทางเจ้าหน้าที่ของ JuneYao แล้ว ได้ทราบมาว่า หลังจากนั้น มีการ Update Firmware ใหม่ไปอีกรอบหนึ่ง อาการดังกล่าว หายแล้ว แต่เมนูเกมอันพิลึกพิลั่น บนหน้าจอมอนิเตอร์กลาง ก็หายตามไปพร้อมๆกันด้วย!
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากการชาร์จไฟผ่านทางตู้ DC สาธารณะ 2 ครั้ง เมื่อกลับมาชาร์จแบบ AC ผ่าน Wallbox ที่บ้าน ตัวรถกลับมีอาการ แอร์ไม่เย็น ต้องเปิด – ปิด และลบ Cache ไป 2-3 รอบ กว่าทีเครื่องปรับอากาศ จะกลับมาทำความเย็นได้ตามเดิม
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นกับรถใหม่ ซึ่งกำลังจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าเลย ปัญหาดังกล่าวนี้ หากเป็นรถยนต์ที่ใช้กลไกควบคุมเป็นหลัก ยังพอจะหาสาเหตุเจอได้ แต่พอเป็นรถยนต์ที่ควบคุมด้วย ระบบไฟฟ้า และ Software ต่างๆ การจะค้นลงไปถึงต้นตอของปัญหา อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป
คงต้องขอฝากทาง JuneYao ไปทำการบ้านในเรื่อง ความทนทาน ของชิ้นส่วนต่างๆ และความเสถียรของ Software ในตัวรถทั้งคันให้มากกว่านี้
***** คู่แข่งในตลาด? / Competitions? *****
ถ้ามองจากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย ที่มักเอาราคาขาย มาเป็นโจทย์ตั้งต้นอันดับแรกในการตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน ก็คงตอบได้ทันทีว่า รถยนต์แบบใดก็ตาม ที่มีระดับราคาในช่วง 700,000 – 1,000,000 บาท ทุกรุ่นในตลาดบ้านเรานั่นแหละครับ
ราคาของ JY AIR นั้น อยู่ในระดับเดียวกับรถยนต์ญี่ปุ่น ระดับ B-Segment Sedan ไปจนถึง B-SUV กันเลยทีเดียว ตั้งแต่ Honda City 1.0 Turbo หรือ e:HEV Sedan และ Hatchback , Honda WR-V, Mazda CX-3, Mitsubishi XForce , Nissan Kicks E-Power รุ่น V กับ VL , Suzuki Fronx , Toyota Yaris Cross เพียงเท่านี้ คุณก็คงเห็นแล้วว่า การจ่ายเงินก้่อนใหญ่ในชีวิต เพื่ออุดหนุนรถญี่ปุ่น จะเป็นขุมพลังสันดาปล้วน หรือ Hybrid ก็ยังน่าไว้วางใจมากกว่า
หรือต่อให้คุณจะมองแค่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน คู่แข่งร่วมชาติแดนมังกร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น GAC Aion Y Plus EV ทรง Minivan ที่มีการประกอบเหมือนจะเนี้ยบ ใช้งานพอได้ แต่บริการหลังการขาย ยังน่ากังวล
ไปจนถึง BYD Dolphin ซึ่งก็ยังคงครองตำแหน่ง รถยนต์ EV ที่ผมมองว่า เหมาะกับการเริ่มต้นเป็น EV คันแรกในชีวิตของหลายๆคน มากที่สุด (แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องการ ดัมพ์ราคา เหมือนเช่นในอดีตที่เคยเป็นมา รวมทั้งปัญหาด้านบริการหลังการขาย ซึ่งตอนนี้ หนักหนามาก โดยเฉพาะเรื่องการสต็อกอะไหล่ก็ตาม)
ส่วน Neta X Compact SUV ขุมพลัง EV ที่มีราคาใกล้เคียงกันนั้น มีงานออกแบบพอยอมรับได้ แต่ บริาัทแม่ที่จีน Hozon Auto ก็ประกาศเข้าสู่กระบวนการล้มละลายแล้ว เท่ากับว่า แทบไม่เหลืออนาคตของบริษัท และบริการหลังการขาย ให้ต้องมานั่งหวั่นใจอีกต่อไป ดังนั้น ข้อนี้ ตัดทิ้งเถอะครับ
แต่ถ้าจะจำกัดจำนวนคู่แข่งให้แคบเข้ามา โดยมองจากรูปแบบของตัวรถ ซึ่งเป็น Sedan 4 ประตู หรือ Fastback 5 ประตู ขุมพลังไฟฟ้าล้วน EV ระดับราคา 800,000 – 1,000,000 บาท แล้วละก็ JY AIR จะกลายเป็นรถยนต์รุ่นเดียวในตลาดกลุ่มนี้ทันที นั่นแปลว่า ถ้าคุณอยากได้รถยนต์ไฟฟ้า ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท และตัวถัง “ต้องเป็น Sedan 4 ประตู เท่านั้น” มันก็เหลือ แค่ JY AIR นี่ละครับที่เหลือให้คุณเลือก
พูดตรงๆนะ เงินก้อนนี้ การไปซื้อ MG 4 ซึ่งมีค่าตัวถูกกว่า (ในช่วงนี้) และมีบริการหลังการขาย ที่ดูน่าหวั่นใจน้อยกว่า ก็ยังดูจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลมากกว่า!
ถ้าจะต้องเลือก ควรเล่นรุ่นย่อย รุ่นไหนดี?
JY AIR มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย 2 ระดับราคา ดังนี้
- JY AIR Standard ราคา 759,000 บาท
- JY AIR PLUS ราคา 869,000 บาท
แคมเปญที่ยังคงมีอยู่ก็คือ :
– ดอกเบี้ยพิเศษ 1.88 %
– ฟรี Junyao Air Gold Membership ตั๋วเครื่องบิน 4 ที่นั่ง 3 ปี
– ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ.
– บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ฟรี 24 ชั่วโมง 8 ปี
– แถมฟรี AC Charger พร้อมฟรี ค่าติดตั้ง
พูดกันตามตรง ความแรงของมอเตอร์ มันไม่ได้ต่างกันมากนัก ระยะทางแล่น ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ยิ่งอุปกรณ์ภายในรถ ยิ่งแทบจะเหมือนกันมากๆ ดังนั้น ถ้าอยากจะเลือกรุ่นไหน ก็แล้วแต่ความต้องการของคุณได้เลย หากอยากซื้อมาลองขับแค่ขำขำ และรับได้ว่า ยังไงๆ ราคาขายต่อ ก็ตกต่ำแน่ๆ ลองแค่รุ่น Standard ก็พอ หรือถ้าเงินเหลือ อยากซื้อรถไฟฟ้า ไว้ลองใช้งานจริงจึงขึ้น ก็อุดหนุนรุ่น PLUS ไปได้เลย
ปัญหาก็คือ คุณจะเลือกรถคันนี้จริงๆเหรอ?
เหตุผลที่ต้องถามกันตรงๆแบบนี้ เพราะการตั้งราคาให้ถูกในระดับนี้ เท่ากับว่า JuneYao พาตัวเองเข้ามาอยู่ในสมรภูมิ Red Ocean ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูงมากๆ เพียงเพราะว่า ผู้บริหาร ชาวจีน เข้าใจว่า สำหรับคนไทย ยังไงๆ ต้องตั้งราคาขายถูกๆไว้กระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวไทย เกิดความสนใจไว้ก่อน
พูดกันตามตรง การเลือกซื้อรถยนต์ของคนไทย แตกต่างจากคนจีน เพราะลูกค้าในบ้านเรา มองว่า ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต และแบรนด์ สำคัญยิ่งกว่า จะเห็นแก่ราคาขายที่ถูกกว่าเพื่อน และถ้ารถคันนั้น ระดับราคาพอๆกัน ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือกว่า ไว้ก่อน
กรณีนี้ JuneYao คือ แบรนด์ที่เพิ่งมาใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในโลก ที่เมืองไทย และแทบไม่มีหลักประกันใดๆให้รู้เลยว่า อนาคตวันข้างหน้าของแบรนด์นี้ จะเป็นอย่างไรต่อไป
อยากให้ นักธุรกิจชาวจีน ทุกคน เข้าใจเสียใหม่ว่า รถยนต์ ไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภค ที่ใครนึกอยากจะเข้ามาทำธุรกิจ ก็แค่ลงทุน ทำรถออกมาขาย แล้วก็จบกันไป เน้นแต่ขายรถใหม่ และไม่สนใจลูกค้าที่อุดหนุนไปแล้ว เพราะสำหรับผู้บริโภคทั้งชาวไทย ชาวจีน และชาติไหนๆทั่วโลกนั้น การซื้อรถยนต์สักคัน พวกเขาคาดหวังจะเห็น พันธกิจต่อเนื่อง ในการดูแลลูกค้า การให้บริการหลังการขาย ที่ดีเยี่ยม สมกับที่ลูกค้า กำเงินสะสมมาทั้งชีวิต มายื่นให้ใช้จ่ายในการซื้อรถคันใหม่กับคุณ
ยิ่งถ้าใส่ใจดูแลลูกค้าอย่างดี มีปัญหาอะไร รีบเร่งแก้ไขอย่างจริงใจ ผู้บริโภคก็จะเกิดความเชื่อมั่น ประทับใจ และสร้างภาพจำที่ดีกับแบรนด์ของคุณ ซึ่งนั่นจะช่วยให้การขายรถคันต่อไปกับพวกเขา ง่ายขึ้นอีกเยอะ เพราะคุณเข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้บริโภคแล้ว นั่นต่างหากที่จะช่วยให้บริษัทของคุณเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
จะว่าไป มันก็เหมือนธุรกิจสายการบินนั่นแหละ ถ้าเข้มงวดด้านความปลอดภัย ใส่ใจกับการบริการผู้โดยสาร จนทำให้ลูกค้าพบเจอประสบการณ์ดีๆ ตั้งแต่ซื้อตั๋ว Check-in ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง และเดินออกจากสนามบินได้อย่างสบายใจ นั่นก็เป็นสิ่งที่ทาง JuneYao เองก็กำลังพยายามทำอยู่มิใช่หรือ?
ดังนั้น ถ้าต้องการจะทำธุรกิจรถยนต์ในประเทศไทยต่อไป สิ่งที่ JuneYao ต้องทำต่อจากนี้ คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งกับคู่ค่า พันธมิตรร่วมธุรกิจ ผู้ที่คาดหวังว่าจะมาเป็นดีลเลอร์ และลูกค้าผู้บริโภคทั่วไป ว่า JuneYao ต้องการจะทำตลาดรถยนต์ในเมืองไทยไปยาวๆ ต่อให้แถลงว่า มีแผนจะทำโรงงาน จะผลิตให้ได้ปีละ 30,000 คัน ฯลฯ แต่คำถามก็คือ สิ่งที่ได้แถลงไปทั้งหมดนั้น ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง มากน้อยแค่ไหน ในเมื่อจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปแล้วครึ่งปี เราแทบไม่เห็นมีใครซื้อรถคันนี้ออกมาใช้งานจริงกันมากมายอย่างที่คุณคาดการณ์เอาไว้เลย
ทุกสิ่ง ยังคงรอการพิสูจน์จาก กงล้อแห่งกาลเวลา ว่ามันจะไปไม่รอดตามที่ผมคิดไว้หรือไม่?
————————///————————
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
บริษัท JuneYao Auto (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
เตรียมข้อมูลโดย NAVARAT PANUTAT
——————————————————-
ภาพถ่ายคันจริง และรายละเอียดเพิ่มเติม Click เข้าไปชมต่อได้ที่นี่
ภาพคันจริง JuneYao JY Air Plus
ผลทดสอบอัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า JuneYao JY Air Plus
——————————————————-
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
11 กรกฎาคม 2025
Copyright (c) 2025 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 11th, 2025
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE
——————————————————-
