ถ้าย้อนเวลาไปถามคนเล่นรถสักสามปีก่อนว่า Volvo รุ่นไหนขายดีที่สุดในไทย? มีน้อยคนมากที่จะตอบว่า EX30… เพราะตอนนั้นมันยังไม่เกิด!
แต่พอข้ามเดือน กันยายน 2023 มาปุ๊บ เจ้า EX30 คันเล็กๆ ที่เหมือนจะมาแบบน่ารักไม่แย่งซีนใคร ดันกลายเป็นดาวเด่นของค่ายชนิดที่รุ่นพี่อย่าง XC60 ต้องหลบให้แบบเต็มใจ ด้วยยอดจดทะเบียนสูงสุดในค่าย Volvo ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แซงหน้ารุ่นพี่ที่มีชื่อเสียงมายาวนานอย่างหน้าตาเฉย
อะไรทำให้ รถเล็กแต่ใจใหญ่ คันนี้แย่งซีนได้ขนาดนั้น? คำตอบไม่ซับซ้อนเลยครับ มันสวย มันขับดี มีความเท่แฝงความมินิมอลในแบบที่คนรุ่นใหม่ชอบ และมาในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น
EX30 ทำให้แบรนด์พรีเมียมจากสวีเดนดูเข้าถึงง่ายแต่ยังคงมีคลาส มันไม่ได้ถูกตั้งราคาให้ไปแข่งแข่งตรงๆ กับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน หรือแม้กระทั่งแฝดคนฝาละอย่าง Zeekr X แต่ก็ไม่ได้แพงจนหลายคนโดยเฉพาะลูกค้าหน้าใหม่รู้สึกว่า “เออ… Volvo รุ่นนี้ก็น่าคบเหมือนกันนะ” และในเมื่อรุ่นปกติขายดีขนาดนี้ ทาง Volvo ก็เลยไม่รอช้า รีบส่งเวอร์ชั่น ลุยเบาๆ แบบมีสไตล์ อย่าง EX30 Cross Country ออกมาเสริมทัพ โดยเพิ่มความสูงตัวรถ ใส่โป่ง เพิ่มชายล่างดำ กับลุคที่เหมือนพร้อมลุยไปแคมป์เขาใหญ่ในวันหยุด
คำถามที่เราจะไปค้นหาคำตอบกันในวันนี้คือ Volvo EX30 Cross Country มีดีมากพอจะให้คุณอยากขับพามันออกต่างจังหวัดทุกสุดสัปดาห์หรือไม่ ? และที่สำคัญกว่านั้น ในราคาที่เท่ากันกับรุ่นท็อปตัวปกติ มันมีความพิเศษกว่ายังไง ?
จุดเริ่มต้นของ Volvo EX30 Cross Country ไม่ได้เกิดจากแค่การตกแต่งให้ดูลุยตามสูตรยอดนิยมของวงการยานยนต์เท่านั้น แต่มันเป็นผลลัพธ์ของแนวคิดที่ Volvo ใช้กับรถสายลุยตระกูล Cross Country มานานนับสิบปี เริ่มตั้งแต่ Volvo V70 XC หรือ V70 Cross Country ซึ่งถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายยุค 90 ในฐานะต้นแบบของรถแนว Crossover SUV ยุคบุกเบิก ก่อนที่จะกลายมาเป็นรถตระกูล XC ที่ขายดิบขายดีอย่างทุกวันนี้
แนวคิดหลักของออกแบบและพัฒนา Volvo EX30 Cross Country คือ “ทำอย่างไรให้ EV ขนาดเล็กที่เน้นใช้งานในเมือง กลายเป็นรถที่คุณอยากขับพาไปกางเต็นท์บนภูเขา หรือแวะคาเฟ่ในหุบเขาแบบไม่ต้องกลัวกันชนหรือแบตจะครูดพื้น ?”
เบื้องหลังที่น่าสนใจคือ ในขั้นแรกที่ Volvo ตัดสินใจสร้าง EX30 ให้เป็นรถไฟฟ้าราคาจับต้องได้สำหรับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก พวกเขารู้ตั้งแต่ต้นว่า กลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่น้อย ไม่ได้อยากได้แค่รถเล็กขับในเมืองเท่านั้น แต่ยังต้องการรถที่ดูพร้อมออกทริป ไปคาเฟ่บนเขา ไปแคมป์ หรือขับลุยทางฝุ่นแบบเบาๆ ได้อย่างมั่นใจ ดังนั้น แพลตฟอร์ม SEA (Sustainable Experience Architecture) ที่ EX30 ใช้ร่วมกับแฝดคนละฝาอย่าง Zeekr X และ Smart #1 จึงถูกออกแบบให้ยืดหยุ่นพอจะสร้างเวอร์ชั่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และรองรับความสูงของตัวรถที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หมายความว่า Volvo EX30 Cross Country เริ่มตั้งไข่พัฒนาพร้อมกันกับรุ่นปกติ ไม่ใช่รุ่นตกแต่งที่ตามออกมาทีหลังแบบที่หลายคนเข้าใจในตอนแรก

Volvo Cars เริ่มเผยภาพ Official ของ EX30 Cross Country ออกมาตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2023 เพื่อปลุกกระแส ก่อนจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เปิดผ้าคลุมรถคันจริงออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกในโลก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025
สำหรับตลาดประเทศไทย Volvo Cars (Thailand) เริ่มบอกใบ้ถึงการมาถึงของ EX30 Cross Country ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025 ณ งานแถลงผลประกอบการดำเนินธุรกิจประจำปี 2024 ก่อนจะร่อนจดหมายเปิดตัวอย่างอย่างเป็นทางการให้กับบรรดาสื่อมวลชนในวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และมีการนำรถยนต์คันจริงไปจัดแสดงที่งาน Fast Auto Show Thailand 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 6 กรกฎาคม 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC บางนา
Volvo EX30 Cross Country เวอร์ชั่นไทย ถูกส่งตรงมาจากสายการผลิตของโรงงาน Zhejiang Geely Automobile เช่นเดียวกับ EX30 รุ่นปกติ วางราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,890,000 บาท เท่ากันกับรุ่น Ultra Twin Motor Performance เวอร์ชั่นปกติ มาพร้อมการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ High-voltage 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร การรับประกันคุณภาพรถยนต์ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และบริการให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง Volvo Assistance 1 ปี

Volvo EX30 Cross Country ยังคงใช้วัสดุอะลูมิเนียมประมาณ 27% รวมถึงเหล็กและพลาสติกอย่างละ 17% ที่ได้มาจากกระบวนการรีไซเคิลเช่นเดียวกับรุ่นปกติ แต่ปรับดีไซน์ภายนอกให้ดูเข้มขึ้นและพร้อมลุยมากกว่าเดิมด้วยวัสดุสีดำด้านรอบคัน ช่วยให้เปลี่ยนชิ้นส่วนได้ง่ายขึ้นและลดความยุ่งยากในการทำสีเวลามีรอยขีดข่วนจากการลุยป่า นอกจากนี้ ยังซ่อนสัญลักษณ์ Cross Country ไว้ตามจุดต่างๆ อย่างแนบเนียน ทั้งบริเวณเสาหลังคาด้านหลังและชายขอบล่างกันชนหลัง
ด้านหน้ารถ โดดเด่นมาแต่ไกลด้วยกระจังหน้าสีดำทมึน พร้อมลวดลายแผนที่ภูมิศาสตร์ของภูเขา Kebnekaise (เคบเนไคยซะ) ซึ่งเป็นยอดเขาสูงที่สุดในสวีเดน สูงจากระดับน้ำทะเล 2,099 เมตร ตั้งอยู่ในเขต Lapland ดินแดนตอนเหนือที่โหดและทุรกันดาร เป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติแบบสุดขอบที่ทั้งท้าทายและงดงาม Volvo ใช้ลายภูเขานี้เพื่อสื่อสารว่า EX30 Cross Country ไม่ใช่แค่รถไฟฟ้าน่ารักสำหรับขับในเมือง แต่พร้อมพาคุณออกไปไกลกว่าเดิม แม้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่สุด (ถ้าเปลี่ยนลายเป็นแผนที่แนวเทือกเขาตระนาวศรี ดอยผ้าห่มปก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง หรือเทือกเขาบรรทัดแทน ลูกค้าชาวไทยอาจจะอินมากกว่านี้ ฮ่าาาา)
ส่วนล้ออัลลอยยังคงขนาด 19 x 7.5 นิ้ว เท่ารุ่นธรรมดา แต่ใส่ยางแก้มหนาขึ้นจาก 245/45 R19 เป็น 235/50 R19 (แก้มยางหนาขึ้น 3.5 มิลลิเมตร) ลวดลายล้อแตกต่างจากรุ่นปกติเล็กน้อย พร้อมเสริมด้วย Aerocaps ที่ช่วยให้ก้านล้อแบนเรียบขึ้น ช่วยลดแรงต้านอากาศด้านข้าง เพิ่มประสิทธิภาพการวิ่งและพิสัยขับขี่ให้ไกลขึ้นอีกทาง
ส่วนใครที่เห็นภาพโปรโมทของรถในช่วงแรกๆ ที่เปิดตัว ซึ่งมีราวหลังคาพร้อมตะกร้า บังโคลนหน้า – หลัง ม่านบังแดดหลังคากระจก แผ่นกันรอยท้าย รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งภายในอื่นๆ ติดตั้งมาให้ ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมจาก Volvo ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะครับ…
ขนาดและมิติตัวถังของ EX30 Cross Country มีดังนี้
- ความยาว 4,233 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,838 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,567 มิลลิเมตร
- ความยาวฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร
- น้ำหนักตัวรถ 1,960 กิโลกรัม (อ้างอิงจากตัวเลขบน EcoSticker)
เทียบกับ EX30 รุ่นปกติ (ยาว x กว้าง x สูง / ฐานล้อ)
- EX30 : 4,233 x 1,837 x 1,549 / 2,650 มิลลิเมตร
- EX30 Cross Country : 4,233 x 1,838 x 1,567 / 2,650 มิลลิเมตร
โดยรวมแล้ว EX30 Cross Country คือ EX30 คันเดิมที่สูงขึ้น พร้อมลุยมากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวในเมือง และพาออกไปลุยนอกเส้นทางได้ในบางโอกาส

Frunk ด้านหน้าของ EX30 Cross Country จุได้แค่ 7 ลิตร… ใช่ครับ ไม่ใช่ 70 ไม่ใช่ 17 แค่ 7! ถึงจะไม่ได้ใส่กระเป๋าเดินทางไซส์เล็กได้ แต่ก็ยังพอซ่อนของจุกจิกที่ไม่อยากให้กลิ่นวนในห้องโดยสาร เช่น รองเท้าใส่วิ่งที่ยังไม่ได้ซัก หรือข้าวกล่องลืมไว้สองวัน เล็กแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีให้เลย… Volvo เค้าคิดมาแล้ว (แหละมั้ง อิๆ)
บานฝาท้ายเป็นแบบค้ำยันด้วยโช๊ค พร้อมระบบเปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า มีกิมมิคน่ารักแถมมีประโยชน์ เป็นป้ายคำแนะนำดีไซน์เก๋ “Will it fit?” ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวช่วยให้คุณประเมินได้ง่ายๆ ว่าสัมภาระที่คุณมีทั้งหมดนั้น จะพอดีกับพื้นที่เก็บของด้านท้ายหรือไม่ บนป้ายจะแสดงขนาดและรูปทรงของสิ่งของทั่วไป เช่น กระเป๋าเดินทาง, รถเข็นเด็ก, กล่องเก็บของ ฯลฯ เพื่อให้คุณเทียบกับของจริงก่อนจัดวาง ช่วยให้การบรรจุของลงท้ายรถเป็นเรื่องง่ายขึ้นและลดโอกาสต้องรื้อออกมาจัดใหม่ยกชุด
ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังของ EX30 เอาตรงๆ ก็ไม่ได้เยอะครับ ท้ายรถมันสั้นกุด จะให้ใส่ของได้เท่า EX90 ก็คงยาก เพราะจริงๆ แล้ว EX30 ถูกออกแบบมาเพื่อความกระชับ คล่องตัวในเมือง ไม่ได้เกิดมาเพื่อขนจักรยาน เต็นท์ หรือกระเป๋าเดินทาง 5 ใบ คุณจะได้พื้นที่ราว 318 ลิตร เมื่อเบาะหลังตั้งอยู่ในตำแหน่งปกติ และเพิ่มเป็น 904 ลิตร เมื่อพับเบาะให้ราบลง ยังไม่รวมช่องลับใต้พื้นที่ให้มาอีก 61 ลิตร ซึ่งก็ถือว่าใช้งานได้โอเค สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องบรรทุกของชิ้นใหญ่เป็นกิจวัตร
เทียบกับ Zeekr X ซึ่งใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน พื้นที่เก็บของของ Zeekr X ใหญ่กว่าประมาณหนึ่งที่ความจุ 362 – 1,182 ลิตร เก็บของได้มากกว่าราวๆ 40 ลิตรในโหมดปกติ และพอพับเบาะก็ทิ้งห่างกันเกือบ 300 ลิตร

รูปทรงและฟังก์ชั่นการใช้งานเบาะนั่งคู่หน้า ไม่แตกต่างจากรุ่นปกติ สามารถปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้ารวม 8 ทิศทาง พร้อม Lumbar Support แต่มาในสไตล์พร้อมลุยและพร้อมเลอะมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนวัสดุหุ้มบริเวณรองนั่งและปีกข้างจากผ้าเป็นหนังสังเคราะห์แบบ Vegan (วัสดุที่ผลิตขึ้นโดยไม่ใช้หนังสัตว์) ทนทายาดกับคราบเปื้อนและสิ่งสกปรก เลอะโคลนเสร็จก็แค่เช็ดเบาๆ ไม่ต้องทำความสะอาดยุ่งยากเท่าเบาะผ้า เว้นเสียแต่ว่า คุณจะทำให้มันเลอะบนพนักพิงหลังและหมอนรองศีรษะ ที่ยังคงใช้วัสดุผ้ารีไซเคิลแบบเดียวกับรุ่นปกติ
โทนสีภายในห้องโดยสาร ทั้งเบาะนั่ง แผงประตู และชิ้นส่วนตกแต่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปตามสีภายนอกของตัวรถ หากเลือกตัวถังสีขาว Crystal White จะได้ห้องโดยสารในธีม Indigo ซึ่งใช้โทนดำตัดกับน้ำเงินเข้ม ให้ความรู้สึกเรียบหรูแต่แฝงความลึกลับ แต่ถ้าเป็นตัวถังสีเทา Vapour Grey Metallic จะมีตัวเลือกธีม Pine เพิ่มเข้ามา ภายในโทนสีเทาอ่อนผสมสีเขียวอ่อน ให้อารมณ์อบอุ่น ผ่อนคลาย ดูมินิมอลแบบสแกนดิเนเวียน และไม่มีให้เลือกใน EX30 รุ่นปกติ
การยกเอาเบาะนั่งคู่หน้ามาจาก EX30 ทั้งชุด ทำให้ความสบายในการนั่งโดยสารเหมือนกันแบบไม่ผิดเพี้ยน ฟองน้ำของเบาะมีความนุ่ม ตัวเบาะไม่ได้โหญ่โตมากนักและออกไปในแนวกระชับลำตัว จุด Hip-point ของตำแหน่งถูกยกระดับขึ้นตามความสูงของตัวรถคือ 17 มิลลิเมตร ทำให้คนที่ไม่ชอบเบาะแบบเตี้ยจม รู้สึกว่าการก้าวเข้า-ออกสบายขึ้น
สิ่งที่ต้องระมัดระวังสำหรับสายลุยคือการที่แผงประตูทั้ง 4 บานของ EX30 Cross Country ไม่ได้ถูกออกแบบให้กันคราบสกปรกมาติดบริเวณขอบด้านข้างของธรณีประตู นั่นหมายความว่า เมื่อเจอกับทางลูกรัง หรือลุยโคลนมา ขอบธรณีประตูด้านล่างอาจมีคราบฝุ่นหรือคราบดินเลอะสะสมได้ ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ขากางเกง หรือชายกระโปรงของคุณ มีลวดลายศิลปะจากคราบโคลนแบบไม่ตั้งใจ แนะนำให้ระมัดระวังจังหวะการก้าวเข้า–ออกจากรถทุกครั้ง โดยเฉพาะหลังกลับจากเส้นทางแบบแอดเวนเจอร์
มาถึงส่วนที่ไม่ได้เป็นจุดเด่นของรถคันนี้ นั่นคือ เบาะนั่งด้านหลัง… เบาะหลังของ EX30 Cross Country เหมือนกันกับรุ่นปกติทุกประการ ช่องทางเข้า – ออกค่อนข้างแคบ เบาะรองนั่งและพนักพิงหลังออกแบบมาเพื่อความสบายในระยะทางสั้นๆ ไม่ได้เน้นสำหรับการเดินทางไกลหรือโดยสารไกลบนเส้นทาง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ฟองน้ำและองศาเบาะดีกว่ารุ่นพี่อย่าง XC40 เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงกับนั่งสบายแบบรถใหญ่อย่างที่หลายคนคาดหวัง
จุดด้อยที่เห็นได้ชัดคือ พื้นที่ Head room, Leg room และ Shoulder room ในห้องโดยสารตอนหลังยังถือว่าแคบกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับฝาแฝด Zeekr X ที่มีฐานล้อยาวกว่า มอบพื้นที่ให้ผู้โดยสารนั่งได้โปร่ง และยืดขาได้มากกว่า ดังนั้น ถ้าคุณวางแผนจะใช้ EX30 Cross Country เป็นรถสำหรับรับ–ส่งผู้โดยสารบ่อยๆ โดยเฉพาะการเดินทางไกลๆ หรือมีผู้โดยสารตอนหลังประจำ เบาะหลังคันนี้อาจทำให้ต้องคิดหนัก เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์นั้นโดยตรง

แผงแดชบอร์ดของ EX30 Cross Country ยกชุดมาจาก EX30 รุ่นปกติ แตกต่างกันแค่วัสดุตกแต่งในบางธีม แผงคอนโซลหน้าออกแบบโดยใช้เส้นแนวนอนให้ความรู้สึกกว้าง ใช้วัสดุรีไซเคิลที่ดูแปลกตา เช่น ผ้าทอจากเส้นใยกางเกงยีนส์ หรือพลาสติกลายหินเทอร์ราซโซ่ ซึ่งช่วยกระจายแสงธรรมชาติให้ห้องโดยสารดูสว่าง มีลูกเล่น การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เน้นความสะอาดสะอ้าน เช่น Soundbar จาก Harman Kardon ที่วางขวางอยู่ใต้กระจกหน้า เป็นลำโพงชุดเดียวที่แทนการกระจายลำโพงรอบรถแบบเดิม ช่วยลดชิ้นส่วนและสร้างดีไซน์ที่ดูมินิมอล
หนึ่งในแนวคิดหลักของ Volvo EX30 คือ Digital-first Cockpit หรือการออกแบบห้องโดยสารโดยให้จอเป็นศูนย์กลางจักรวาล โดยตัดหน้าจอชุดมาตรวัดแบบรถทั่วไปออก แล้วรวบรวมทุกข้อมูลมาไว้บนจอกลางระบบสัมผัสแนวตั้ง ขนาด 12.3 นิ้ว เพียงจอเดียว ทั้งมาตรวัดความเร็ว การแสดงข้อมูลตัวรถ การตั้งค่าระบบต่างๆ ของตัวรถ รวมไปถึงการควบคุมเครื่องปรับอากาศและโหมดขับขี่ ฯลฯ
การควบคุมต่างๆ ถูกย้ายมารวมไว้ในจอกลางทั้งหมด แม้จะมีปุ่มฟิสิคัลบางอย่าง เช่น ปุ่มไฟฉุกเฉิน หรือสวิตช์เปิดฝาท้าย แต่โดยรวมก็ยังต้องพึ่งหน้าจอเป็นหลัก รวมถึงสวิตช์กระจกไฟฟ้าที่ปกติมีแยกฝั่งซ้าย-ขวา ก็ถูกย้ายมาอยู่ตรงกลาง เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้ง 2 ฝั่ง และลดจำนวนชิ้นส่วนที่ต้องผลิตแยกกันสำหรับรุ่นพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวา
Volvo เชื่อว่าแนวทางนี้ช่วยลดความซับซ้อน ทำให้ภายในดูโปร่ง โล่ง และสงบขึ้น… จอเดียวจบ คือคอนเซ็ปต์ของยุคใหม่ แต่จากการใช้งานจริง ผมพบว่ามันยังมีจุดที่ควรปรับปรุง เช่น การปรับอุณหภูมิ การเปลี่ยนโหมดขับขี่ หรือตัวเลขความเร็ว ต้องละสายตาจากถนนไปจิ้มหน้าจอกลาง ซึ่งบางทีก็ตรงกับจังหวะที่ระบบเตือนความปลอดภัยส่งเสียงบอกให้กลับมามีสมาธิกับถนนเสียอย่างนั้น มันเลยรู้สึกย้อนแย้งอยู่พอสมควร ถ้า Volvo อยากมอบประสบการณ์แบบมินิมอล โดยไม่ทิ้งคำว่า Volvo for Life จริงๆ อย่างน้อยควรมีจอ Head-up Display เล็กๆ หรือปุ่มลัดที่กดใช้งานได้กว่านี้ ซัก 3-4 ปุ่ม ก็ยังดี
โดยรวม ภายใน EX30 Croos Country มีความโปร่ง เรียบ สะอาด และมีคาแรกเตอร์แบบสวีดิชชัดเจน แต่อาจจะยังไม่ใช่ Digital-first Cockpit ที่เพอร์เฟค หรือเอาอยู่แค่หน้าจอเดียว โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบการควบคุมแบบทันใจ และไม่อยากละสายตาจากถนนบ่อยนัก
สำหรับหน้าจอกลาง ขนาด 12.3 นิ้ว ที่รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาอยู่ในนี้ และเพิ่งโดนตำหนิในบางประเด็นไปเมื่อซักครู่ ถูกยกมาจาก EX30 รุ่นปกติ ฟังก์ชั่นทุกอย่างเหมือนกัน บางอย่างหาง่าย แต่บางอย่างต้องใช้เวลาขลุกอยู่กับรถนานพอสมควร ถึงจะรู้ว่าอยู่ตรงไหนและทำอะไรได้บ้าง การใช้งานหน้าจอกลางเมื่อเทียบกับแบรนด์ Premium ด้วยกัน หน้าจอยุคใหม่ของ Volvo ใช้ง่ายกว่า BMW ในแง่การออกแบบไอคอนที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ สื่อความหมายได้ชัดเจน แต่ยากกว่า Mercedes-Benz ซึ่งจัดเรียงหมวดหมู่ของเมนูได้ดีกว่า มีความซับซ้อนน้อยกว่า
สำหรับของเล่นใหม่ที่มีมาให้ใน EX30 Cross Country ซึ่งติดตั้งระบบปฏับัติการเวอร์ชั่นล่าสุด ได้แก่
– Relax Mode หรือ ฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายขณะจอดรถ เมื่อเปิดใช้งาน เบาะที่นั่งฝั่งคนขับจะเอนลง ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารจะหรี่ลง ประตูจะล็อกโดยอัตโนมัติ และกระจกหน้าต่างจะปิดทั้งหมด
วิธีเปิดใช้งาน ไปที่หน้าจอกลาง > กดสัญลักษณ์รูปรถ > เลือก Settings > Controls > Car Modes > Relax > ตั้งเวลาที่ต้องการพักผ่อน แล้วกด Start เมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้ จะมีเสียงเตือนดังขึ้น หากคุณยังอยากพักต่อ สามารถกด Snooze บนหน้าจอเพื่อยืดเวลา หากต้องการยกเลิกการใช้งานก่อนหมดเวลา สามารถกด End เพื่อเข้าสู่โหมดเตรียมขับขี่ได้ทันที โดยระบบ Relax Mode จะยุติการทำงานโดยอัตโนมัติหากระดับแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% หรือสามารถกด End ปิดได้ทุกเมื่อ
– Refresh Mode หรือ ฟังก์ชันที่ช่วยเร่งการทำความเย็นภายในห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดระหว่างการเดินทาง เมื่อเปิดใช้งาน ระบบจะปล่อยลมเย็นทันที พร้อมทำการหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร และมีไฟสัญญาณ Refresh ติดขึ้นตลอดเวลาที่ระบบทำงาน
วิธีเปิดใช้งานคล้ายกับ Relax Mode คือ ไปที่หน้าจอกลาง > กดสัญลักษณ์รูปรถ > เลือก Settings > Controls > Car Modes > Refresh > กด Start เพื่อเริ่มทำงาน โดยระบบจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อครบเวลา หรือต้องการปิดด้วยตนเองก็สามารถกด End ได้ทุกเมื่อเช่นกัน
ส่วนที่ผมมองว่าเป็นการออกแบบมินิมอล น้อยแต่มาก นั่นคือแนวคิดที่เรียกว่า “Fika Point” ซึ่งเป็นการออกแบบคอนโซลกลางและพนักวางแขนระหว่างเบาะนั่งคู่หน้าให้มีขนาดกะทัดรัด แต่ฟังก์ชั่นการใช้งานครบ ไม่เบียดพื้นที่วางขา แถมยังเป็นการหยิบเอาวัฒนธรรมประจำชาติของชาวสวีดิชมาเล่าเรื่องผ่านฟังก์ชั่นภายในรถยนต์อย่างเนียนๆ ด้วย
คำว่า Fika หรือ ฟีค่า ในภาษาสวีดิช หมายถึงการหยุดพักสั้นๆ เพื่อดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มอุ่นๆ ควบคู่กับขนมหวาน พร้อมพูดคุยและผ่อนคลายไปกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว หรือคนรัก เป็นช่วงเวลาที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมาย และถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่ชาวสวีเดนภาคภูมิใจ
ใน EX30 คำว่า Fika Point ไม่ได้เป็นแค่ชื่อเรียกพื้นที่คอนโซลกลางธรรมดาๆ แต่ Volvo กำลังจะบอกว่านี่คือ พื้นที่แห่งความสัมพันธ์ ระหว่างคนขับและผู้โดยสาร ที่ออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายและเข้าถึงได้จากทั้งสองฝั่ง เช่น ถาดวางของปรับรูปแบบได้ พร้อมช่องชาร์จ USB-C แท่นชาร์จโทรศัทพ์ไร้สาย Wireless Charegr ที่วางแก้วน้ำที่เลื่อนตำแหน่งได้ ช่องเก็บของด้านล่างที่โปร่งโล่ง และลิ้นชักเล็กๆ ที่ผู้โดยสารด้านหลังก็หยิบใช้ง่ายแบบ All in One
สังเกตุว่า Volvo ไม่ได้ใส่คำว่า Luxury หรือ Hi-tech ไว้ในการออกแบบตรงคอนโซลกลาง แต่กลับใส่คำว่า Fika ลงไปแทน ราวกับจะบอกว่า… การเดินทางที่ดี ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อลังการ แค่มีช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้หยุดพัก จิบกาแฟ และแบ่งปันพื้นที่เล็กๆ กับใครสักคนอย่างอบอุ่น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม **********
ขุมพลังขับเคลื่อนของ EX30 Cross Country มีรูปแบบเดียว คือ Twin Motor Performance AWD มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
Twin Motor Performance AWD – ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า PMSM (Permanent Magnet Synchronous Motor) แบบอัตราทดจังหวะเดียว (Single-speed Transmission) จำนวน 2 ตัว มอเตอร์ด้านหน้า รหัส TZ180XSB01 มีพละกำลังสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ด้านหลัง รหัส TZ220XSA02 มีพละกำลังสูงสุด 272 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตร เมื่อมอเตอร์ทั้ง 2 ตัวทำงานผสานกัน จะได้ตัวเลข Maximun Output กลมๆ 315 กิโลวิตต์ (kW) หรือ 428 แรงม้า (PS) 543 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ที่ใช้เป็นแบบ Lithium-ion Nickel Rich (NCM) ความจุรวม (Gross Capacity) เท่ากันกับ EX30 รุ่นปกติคือ 69 kWh แต่ความจุที่ใช้ได้จริง (Useable Capacity) รุ่น Cross Country จะปรับจาก 64 เป็น 65 kWh (Useable Capacity ออกแบบมาเพื่อป้องกันแบตเสื่อมเร็ว หรือแบตเสียหายจากการถูกชาร์จเต็มหรือปล่อยไฟจนหมดเกินไป เป็นการรักษาอายุการใช้งานและความปลอดภัยอีกทางหนึ่ง)
ระบบขับเคลื่อนและมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมดถูกพัฒนาขึ้นโดย Viridi E-Mobility Technology หรือ VREMT บริษัทลูกของ Geely ที่รับผิดชอบดูแลทั้งมอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ และชุดควบคุมพลังงานให้กับแบรนด์ในเครือหลายค่าย รวมถึง Volvo ด้วย
ระบบชาร์จไฟฟ้า รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC ด้วยหัวชาร์จ Type 2 สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC ด้วยหัวชาร์จ CCS2 สูงสุด 175 kWh มากกว่ารุ่นปกติซึ่งรองรับ DC ชาร์จสูงสุด 153 kW โดยตัวเลขระยะเวลาการชาร์จไฟฟ้าที่ Volvo ระบุเอาไว้ มีดังนี้
- การชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW
- อัดประจุด้วย EV Charger 1-Phase (7.4 kW / 32A) จาก 0 – 100% ภายในเวลา 11.5 ชั่วโมง
- อัดประจุด้วย EV Charger 3-Phase (11 kW / 16A) จาก 0 – 100% ภายในเวลา 8 ชั่วโมง
- การชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 175 kW
- อัดประจุด้วย DC Quick Charge (175 kW) จาก 10 – 80% ภายในเวลา 28 นาที
ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.7 วินาที (ช้ากว่า EX30 Twin Motor Performance 0.1 วินาที)
- ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Locked)
- ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จ ทำได้ 490 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) (น้อยกว่า EX30 Twin Motor Performance 30 กิโลเมตร)

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมระบบเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPS – Electronic Power Steering) สามารถปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้จากฟังก์ชั่น Steering Feel บนหน้าจอกลาง 3 ระดับ ได้แก่ Soft, Medium และ Firm แล้วแต่ใจอยากได้ รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดอยู่ที่ 5.6 เมตร แคบสะใจแบบไม่ต้องพึ่งระบบเลี้ยว 4 ล้อ
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ Macpherson Spring Strut ด้านหลังเป็นแบบอิสระ Multi-Link มีการเปลี่ยนชุดช็อกอัพ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลงชุดใหม่ ปรับจูนให้มีความนุ่มขึ้น และดีดตัวรถสูงขึ้นอีก 12 มิลลิเมตร จากรุ่นปกติ
ล้ออัลลอยเป็นลาย 5 ก้าน พร้อมแผ่นปิดแบบ Aero Insert สีเทา Graphite เส้นผ่านศูนย์กลาง 19 นิ้ว กว้าง 7.5 นิ้ว ทั้ง 4 ล้อ รัดด้วยยาง Goodyear Efficient Grip Performance SUV ขนาด 235/50 R19 แก้มยางหนาและสูงขึ้นจากรุ่นปกติ 7 มิลลิเมตร มีชุดซ่อมยางฉุกเฉินติดตั้งมาให้แทนล้ออะไหล่ สำหรับยางที่เสียหายไม่มากและซีลให้กลับมาใช้ต่อได้ชั่วคราว ควรใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง และควรเปลี่ยนยางภายในระยะ 200 กิโลเมตร
ทั้งช่วงล่างที่ยกสูงขึ้น 12 มิลลิเมตร และยางแก้มหนาขึ้น 7 มิลลิเมตร ส่งผลให้ระยะตำ่สุดจากใต้ท้องรถถึงพื้น (Ground Clearance) เพิ่มขึ้น 19 มิลลิเมตร ขยับจาก 171 เป็น 190 มิลลิเมตร
ระบบห้ามล้อเป็นจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Disc Brake) ทั้ง 4 ล้อ เสริมการทำงานด้วยระบบพื้นฐานต่างๆ เช่น ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System), ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Distribution) และระบบเสริมแรงเบรก EBA (Emergency Brake Assits)

ด้านความปลอดภัย มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูง อย่างเต็มพิกัด ตามสไตล์ Volvo ไม่ว่าจะเป็น…
– Adaptive Cruise Control with Queue Assist ใช้เซ็นเซอร์และเรดาร์ตรวจจับระยะห่างจากรถคันหน้า พร้อมปรับความเร็วให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่หยุดนิ่งจนถึง 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อเจอทางโค้ง ระบบจะปรับความเร็วให้ลื่นไหล ช่วยรักษาระยะปลอดภัยและลดความเหนื่อยล้าขณะขับขี่
– Post Impact Braking เมื่อเกิดการชนและถุงลมนิรภัยหรือเข็มขัดนิรภัยทำงาน ระบบจะเบรกอัตโนมัติเพื่อลดความเสียหายและป้องกันอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
– Driver alert systemใช้เซ็นเซอร์ภายในรถตรวจจับพฤติกรรมผู้ขับและความเคลื่อนไหวของพวงมาลัย เพื่อประเมินความเหนื่อยล้าหรือเหม่อลอย เมื่อพบความผิดปกติ ระบบจะแจ้งเตือนและแนะนำให้หยุดพัก พร้อมส่งคำแนะนำไปยังจุดพักใกล้เคียง
– Collision avoidance and mitigation เรดาร์และกล้องตรวจจับยานพาหนะ คนเดินเท้า และจักรยานที่อยู่ในระยะเสี่ยง หากมีความเสี่ยงชน ระบบจะแจ้งเตือนก่อน พร้อมเตรียมเบรกรองรับแรงกระแทก และเสริมแรงเบรกหากผู้ขับใช้แรงเบรกไม่พอ ในกรณีฉุกเฉินรถจะเบรกอัตโนมัติเต็มประสิทธิภาพ และช่วยบังคับเลี้ยวเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการชน
– Front Cross Traffic Alert ใช้กล้องหน้าตรวจจับวัตถุที่กำลังตัดผ่านหน้า เช่น รถ คนเดินเท้า หรือจักรยาน เมื่อขับออกจากที่มีทัศนวิสัยจำกัด ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือนทันที
– Rear Cross Traffic Alert with autobrake เซ็นเซอร์และเรดาร์ด้านหลังจะตรวจจับวัตถุตัดผ่านขณะถอยรถ หากพบความเสี่ยงชน ระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอและเสียง หากผู้ขับไม่ตอบสนอง จะเบรกอัตโนมัติเพื่อป้องกันการชน
– Low Speed Autobrake, Rear ฟังก์ชั่นตรวจจับวัตถุ คนเดินถนน หรือเด็กด้านหลังขณะถอยรถในพื้นที่แคบ ระบบจะหยุดรถให้อัตโนมัติเมื่อมีความเสี่ยงชน
– Lane Departure Warning กล้องตรวจจับเส้นแบ่งเลนที่ความเร็วเกิน 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากรถเริ่มออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะเตือนด้วยการสั่นที่พวงมาลัย
– Oncoming Lane Mitigation หากผู้ขับขี่เบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ และมีรถวิ่งสวนมาในระยะที่มีโอกาสชน ระบบจะบังคับเลี้ยวกลับให้อย่างปลอดภัย
– Lane Keeping Aid เมื่อรถใกล้ข้ามเส้นแบ่งเลนโดยไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะค่อยๆ ช่วยหักเลี้ยวกลับเข้าช่องทาง พร้อมแจ้งเตือนด้วยเสียงหรือการสั่นที่พวงมาลัย
– Pedestrian, Cyclist and Scooter Steering Avoidance ในถนนชนบทหรือเขตเมืองที่มีเส้นแบ่งเลน ระบบจะตรวจจับคนขี่จักรยานที่วิ่งในทิศทางเดียวกัน หากมีความเสี่ยงชน รถจะเบี่ยงหลบโดยไม่ข้ามเลน และกลับเข้าสู่เลนเดิมหลังผ่าน
– Door Opening Alert เรดาร์ด้านท้ายตรวจจับยานพาหนะ จักรยาน หรือคนเดินเท้ามาด้านหลัง หากผู้ขับเปิดประตูในขณะที่มีวัตถุเคลื่อนผ่าน ระบบจะเตือนด้วยภาพและเสียง
– Blind Spot Information System ตรวจจับรถในจุดอับสายตาและแจ้งเตือนด้วยไฟกระจกมองข้าง หากผู้ขับจะเปลี่ยนเลน ระบบช่วยบังคับเลี้ยวกลับเพื่อลดโอกาสชนสามารถทำงานได้ในสภาพอากาศและสภาพแสงต่างๆ ทั้งกลางวันหรือกลางคืน และจะทำงานในทุกระดับความเร็วที่สูงกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง
– Oncoming Mitigation by Braking ตรวจจับรถที่วิ่งสวนทางมาในระยะเสี่ยงชน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระบบจะเบรกอัตโนมัติเพื่อลดแรงปะทะลงประมาณ กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการชน
– Run-off road Mitigation ตรวจจับเส้นแบ่งเลนและขอบถนน หากรถเริ่มออกนอกถนน ระบบจะบังคับเลี้ยวและเบรกเพื่อช่วยให้รถกลับเข้าช่องทางและป้องกันตกถนน
นอกจากนี้ ยังระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง (Passive Safety) ติดตั้งมาให้ อาทิ ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ถุงลมนิรภัยตำแหน่งกลางระหว่างคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า และม่านถุงลมนิรภัย) ระบบป้องกันการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลัง เมื่อเกิดการชน รวมถึงระบบกระจายแรงกระแทกจากด้านข้างตัวรถ

********** การทดลองขับ **********
เริ่มภารกิจทดสอบ EX30 Cross Country ท่ามกลางพายุฝนแบบไทยๆ เส้นทางทดสอบในครั้งนี้ Volvo ประเทศไทย ชวนเราออกนอกเมืองไปฝั่งตะวันออก โดยแม้จะยังไม่ถึงขั้นเข้าป่าเข้าดง แต่ก็ถือว่าได้พาหนุ่มน้อยสายเขียวคนนี้ออกจากแสงนีออนในเมือง ไปเผชิญโลกจริงที่เต็มไปด้วยโคลน ฟ้าฝน และแอ่งน้ำ ในช่วงฤดูแห่งฝนที่สร้างความปั่นป่วนให้ทั่วกรุง รวมทั้งย่านหนองจอก ลาดกระบัง ร่มเกล้า ที่เราใช้ทดลองขับ EX30 Cross Country ครั้งนี้
เราเริ่มออกเดินทางจาก Fika Point ของจริง ซึ่ง Volvo จัดขึ้นที่ James 500 City Camp ย่านร่มเกล้า ลัดเลาะไปตามถนนบึงขวาง ไปทะลุเส้นราษฎร์อุทิศ วิ่งผ่านผิวถนนคอนกรีตซึ่งมีลูกระนาดและคอสะพานให้ได้ลองสัมผัสช่วงล่างที่เซ็ตมานุ่มขึ้นและสูงขึ้นใน EX30 Cross Country สิ่งที่สัมผัสได้ตั้งแต่ช่วงแรกที่ขับคือ ช่วงล่างและยางของรถ ช่วยกำจัดแรงสะเทือนเล็กๆ จากผิวถนนไม่เรียบออกไปได้ดีกว่ารุ่นปกตินิดนึง การซับแรงกระแทกซึ่งในรุ่นปกติก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว ในรุ่น Cross Country นี้ จะมีความละมุนละม่อมกว่า แต่อย่างเพิ่งคิดว่ามันจะเป็นสายนุ่มย้วนเหมือนรุ่น Single Motor เพราะจากที่ได้ลองเข้าโค้งแรงๆ นั้น ช่วงล่างของ Cross Country ยังให้ความมั่นใจและประสิทธิภาพการยึดเกาะที่ดีกว่า เพียงแต่อาจจะยังไม่เพอร์เฟคเท่ารุ่น Twin Turbo เวอร์ชั่นเตี้ยปกติ
ถ้าให้เทียบแบบมีคะแนนในด้านประสิทธิภาพการทรงตัวและการยึดเกาะ รุ่น Twin Motor ปกติจะทำได้ 8 เต็ม 10 และรุ่น Single Motor ทำได้ 5 คะแนน ในรุ่น Cross Country นี้ ผมให้ที่ 7 คะแนน ถือว่านุ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ยังไม่เสียความมั่นใจในการขับขี่ไปทั้งหมด
ส่วนเรื่องความแรง ผมลองเทคตัวจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยโหมด Normal บนพื้นเปียก EX30 Cross Country สามารถแบกน้ำหนักตัวรถและผู้โดยสาร 2 คน จับเวลาครั้งแรกได้ 4.66 วินาที และครั้งที่ 2 ได้ 4.72 วินาที เทียบกับผลทดสอบรุ่น Twin Motor ปกติ โดยพี่ J!MMY ซึ่งทำเวลาได้ 4.64 วินาที ก็ชัดเจนว่าความแรงหายไปแค่นิดดดดดเดียวจริงๆ ขนาดยางที่โตขึ้นไม่ได้มีผลทำให้ Cross Country เสียจริตความเป็น EV บ้าพลังแต่อย่างใด เผลอๆ จอดออกตัวพร้อมกัน รุ่นปกติอาจจะวิ่งนำ Cross Country ได้แค่ช่วงปลายฝากระโปรงหน้า
สิ่งที่ผมชอบทั้งใน EX30 Twin Motor รุ่นปกติ รวมถึง Cross Country คือการออกแบบให้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อคู่หลังมีกำลังสูงกว่าด้านหน้า เพราะเวลากดคันเร่งเต็ม แรงดึงทั้งหมดจะพาน้ำหนักตัวรถไปตกอยู่ที่ล้อคู่หลังเสียส่วนใหญ่ อาจเพราะด้วยเหตุนี้เอง รวมถึงลักษณะการปล่อยพลังที่ไม่ระเบิดปั้ง ! 100% ในวินาทีแรก ทำให้ทั้ง 2 รอบที่ลองจับเวลาลองอัตราเร่ง Cross Country ไม่มีการหมุนล้อฟรีทิ้ง ไม่มีท้ายปัด ไม่มีสะบัด หรือออกอาการตุปัดตุเป๋สายไปมาเลย ทั้งที่แรงดึงมหาศาลขนาดนี้
และเมื่อลองวิ่งทางเปียกลุยหลุมพอหอมปากหอมคอแล้ว Volvo ก็พาเราเข้าสู่โซน Off-road เบาๆ บริเวณปลายทางของเส้นทาง On-road ที่ไม่ใช่แค่แอ่งน้ำริมถนนอีกต่อไป แต่มีทั้งทางโคลนผสมดินหนังหมู ทางกรวดลูกรัง และทางลาดเอียง เอาไว้ให้ EX30 Cross Country ได้โชว์ความสามารถในการลุยแบบพอประมาณ
ผมเริ่มขับเข้าสู่ด่านแรก เจอกับบ่อน้ำจำลองสีชาไทย ที่ดูแล้วให้อารมณ์ประมาณ คลอง 1 คลอง 2 แถวๆ ทางขึ้นพะเนินทุ่ง แต่ในเวอร์ชั่นลดความโหดลงเหลือความลึกแค่ 10 เซนติเมตร และทางขึ้น-ลงไม่ชันเท่า แน่นอนว่ามันไม่เป็นอุปสรรคต่อรถ EX30 Cross Country สามารถวิ่งผ่านไปได้แบบไม่สะเทือนอารมณ์ และแทบไม่ได้ยินเสียงน้ำสาดกระทบพื้นด้านล่างของตัวรถเลย
หลังจากพ้นบ่อน้ำก็มาเจอกับเนินชันที่ไม่โหดมาก แต่ช่วงก่อนขึ้นแอบมีโคลนดินเหนียวดักหน้าอยู่นิดหน่อย พอให้รถหน้าเหวอ ในเคสนี้ผมลองขับฝ่าไปโดยไม่หลบแล้วลุยโคลนเข้าไปเลย ปรากฏว่าว่าระบบกระจายกำลังด้วยมอเตอร์คู่นั้นใช้ได้ ทันทีที่ล้อฝั่งใดฝั่งหนึ่งเกิดอาการหมุนฟรี ระบบ Traction Control จะตัดกำลังและส่งที่ไปล้อที่ฝั่งแบบฉับไว เป็นอีกหนึ่งข้อดีของการใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน เช่นเดียวกับ EV บางคันที่เคยเจออย่างเช่น MINI Cooper SE ซึ่งมีการตัดและต่อกำลังไวระดับสายฟ้า
เมื่อขึ้นเนินมาเสร็จสรรพ ทีม Instructor ก็ไม่ให้พัก เปิดโอกาสให้เราได้ลองอัตราเร่งอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนจากพื้นถนนปกติและพื้นกรวด ผลปรากฏว่าการถ่ายกำลังลงสู่ล้อของ EX30 Cross Country ก็ยังทำผลงานออกมาได้ดี ตัวรถพุ่งไปข้างค่อนข้างตรงแหน่ว แม้จะมีอาการท้ายกวาดเบาออกข้างเบาๆ ตามธรรมชาติของพื้นหินกรวดผิวเรียบที่สื่อสารกับยางเหมือนเพื่อนใหม่ที่ยังไม่ค่อยไว้ใจกัน แต่โดยรวมแล้วถือว่าเนียนและควบคุมได้อยู่
ทันทีที่เข้าสู่สถานีถัดมาคือ Slalom ฝนเจ้ากรรมก็ปรอยลงมาอีกครั้ง ราวกับว่าต้องการเพิ่มความท้าทายของการทดสอบ ด้วยความเปียกกับลูกรังและยางแบบนี้ หวังว่าคุณผู้อ่านคงไม่คาดหวังให้ผมถึงขั้นบทความโหดพารถโยนเข้าโค้งเพื่อดูว่ามันไปได้เร็วแค่ไหน แต่จากที่ลองซิกแซกไปมานั้น ผมค้นพบว่าการถ่ายเทน้ำหนักของตัวรถนั้นทำให้ดีและควบคุมทิศทางได้ไม่ยากเกินไป
ปิดท้ายการขับด้วยการวิ่งวนรอบกรวยบนดินหนังหมูที่ลื่นชนิดที่ว่าถ้าลงไปเดินอาจมีไถลหัวฟาด! สถานีนี้ผมทำอะไรไม่ได้มาก นอกเสียจากพยายามลองดริฟท์ดูเล่นๆ และพบว่าระบบควบคุมการทรงตัวของ EX30 Cross Country ทำงานเฉียบระดับครูปกครองขาโหดที่เงื้อปากกาแดงรอนักเรียนทำผิด ทันที ESP ตรวจจับได้ว่ารถเริ่มเสียอาการก็จะสั่งลดกำลังลงทันที ครั้นปิดระบบไปก็ยังลองที่จะลองสไลด์เล่นได้แค่พอหอมปากหอคอ
โดยรวมแล้ว EX30 Cross Country ไม่ได้มาในแบบออฟโรดสายฮาร์ดคอร์แบบ Jeep หรือ Land Cruiser แต่มันคือรถที่ ลุยได้พองาม เล่นสนุกได้พอกรุบ ทั้งในและนอกเมือง
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
Crossover สายเขียว ตัวจี๊ด ที่พกนิสัย Adventure ติดตัวมาด้วย
สนุกและมั่นใจขึ้นในทางลุย แต่ไม่เสียความคล่องตัวในเมืองไปทั้งหมด
Volvo EX30 Cross Country เปรียบเสมือนหนุ่มน้อยสายรักษ์โลกที่เราเคยเห็นเดินอยู่แถวสยาม ใส่รองเท้าผ้าใบคลีนๆ สะพายกระเป๋า Tote รีไซเคิล หิ้วกาแฟ Cold Brew แบบ reusable cup แต่วันนี้เขากลับมาในลุคใหม่ สวมแจ็กเก็ตกันลม รองเท้าทรง Hiking ของ Northface พร้อมโบกมือลาถนนคอนกรีตแล้วเดินเข้าทางฝุ่นโดยไม่ลังเล แม้ถึงเวลาต้องกลับมาใช้ชีวิตในเมือง เขาอาจยังหลงบ้าง เวลาเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าที่สยาม แต่ในวันที่ฝนฟ้ากระหน่ำ รถติด น้ำรอการระบายเอ่อล้นถนน… เขากลับกลายเป็นคนที่รู้วิธีเอาตัวรอดและดูแลแฟนให้เดินบนฟุตบาทแบบไม่สะดุด
ภาพรวมโดยสรุปของอุปกรณ์และอ็อพชั่นเพิ่มเติมจาก EX30 Ultra รุ่นปกติ มีดังนี้
- กระจังหน้าสีดำ พร้อมแผนที่ทางภูมิศาสตร์ภูเขา Kebnekaise (เคบเนไคยซะ)
- ฝาท้ายตกแต่งด้วยสีดำ พร้อมพิกัดลองจิจูด/ละติจูดภูเขา Kebnekaise
- กันชนด้านล่าง พร้อมแผ่นกันกระแทก Cross Country
- คิ้วซุ้มล้อสีดำ Cross Country
- ล้ออัลลอย ลาย Aero Insert ขนาด 19 นิ้ว
- ยาง ขนาด 235/50R19 (EX30 245/45R19)
- ช่วงล่างยกสูงเพิ่มขึ้น 12 มิลลิเมตร
- Ground Clearance เพิ่มขึ้น 19 มิลลิเมตร (+12 มิลลิเมตร จากช่วงล่าง และ +7 มิลลิเมตร จากยาง)
- อัพเกรดความจุแบตเตอรี่ Useable Capacity เป็น 65 kWh (EX30 รุ่นปกติ 64 kWh)
- รองรับ DC ชาร์จสูงขึ้นเป็น 175 kW (EX30 รุ่นปกติ 153 kWh)
- Refresh Mode หรือ ฟังก์ชันที่ช่วยเร่งการทำความเย็นภายในห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว
- Relax Mode หรือ ฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายขณะจอดรถ
ทั้งหมดนี้ ทำให้ EX30 Cross Country ยังคงรักษาหัวใจแก่นของความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด คล่องตัว และแรง เหมาะกับชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยจราจรที่เร่งรีบในบางจังหวะ รวมถึงที่จอดรถไซส์มินิ แม้ประสิทธิภาพการทรงตัวบนถนนเรียบแห้งจะด้อยลงจากรุ่นปกติเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือความพร้อมในการเดินทางออกนอกตัวเมืองที่มากขึ้น ทำให้เจ้าของรถกล้าฝ่าทางลูกรัง ขึ้นดอยลงเนิน หรือแม้กระทั่งรูดลูกระนาด ด้วยช่วงล่างยกสูงกว่าเดิม พร้อมชิ้นกันกระแทกรอบคัน และยางแก้มหนาขึ้นที่สวมมาให้จากโรงงาน
แม้จะไม่ได้แปลงร่างเป็นสายลุยเต็มขั้น แต่ Cross Country ก็เป็นอีกระดับของความกล้าหาญในแบบฉบับของ EX30 ที่ยังรักษาความแรง ปราดเปรียว คล่องแคล่ว และเรียบหรูตามสไตล์สแกนดิเนเวียนไว้ครบ แต่แอบซ่อนข้าวของบางอย่างพอที่จะงัดออกใช้ได้ยามจำเป็น
แล้วรุ่นไหน…ใช่สำหรับคุณ?
ถ้าคุณเปิดบทความนี้ขึ้นมาเพราะ รับได้กับเบาะนั่งด้านหลังที่ไม่สบายเท่าที่ควร พื้นที่เก็บของด้านหลังที่เล็กจิ๋ว รวมถึงหน้าจอที่ต้องเรียนรู้การใช้งานช่วงแรกพอสมควร ของ Volvo EX30 ได้ และกำลังลังเลระหว่าง Ultra Twin Motor Performance รุ่นปกติ กับรุ่น Cross Country ซึ่งมีราคาเท่ากันเป๊ะที่ 1,890,000 บาท ผมขอสรุปสั้นๆ ว่า…
หากคุณเป็นคนมีนิสัยชอบความคล่องในเมืองใหญ่ รู้ทุกมุมของลิฟต์ BTS ว่าขึ้นฝั่งไหนถึงจะต่อรถไฟสายต่อไปได้เร็วที่สุด ชอบเดินห้างมากกว่าออกไปลุยฝุ่น ไม่เผื่อใจไปลุย… EX30 Ultra Twin Motor Performance รุ่นปกติ คือคำตอบ เพราะสามารถเร่งได้ไวกว่านิด ชาร์จแบตเต็มวิ่งได้ไกลกว่าหน่อย มีความคุ้มค่าของไฟฟ้าทุก kWh ที่จ่ายไปมากกว่า ได้ช่วงล่างแน่นหนึบแต่ไม่แข็งกระด้าง พวงมาลัยคม ซอกซ้ายแซกขวา (แซกนะครับ ไม่ใช่แทรก) ในเมืองด้วยความมั่นใจกว่า และสาดโค้งได้อย่างมั่นใจกว่าเล็กน้อย
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ประนีประนอมได้ ยอมเสียบางอย่างเพื่อให้ได้มากซึ่งหลายอย่าง รับได้กับความแรงที่ลดลงนิดหน่อย ระยะทางวิ่งที่หายไปราว 30 กิโลเมตร และช่วยล่างโยนตัวได้มากขึ้นนิดนึง แลกกับความนุ่มที่เพิ่มขึ้นเวลาเจอรอยต่อเล็กๆ บนถนน ความกังวลที่น้อยลงเวลาวิ่งรูดผ่านลูกระนาดหรือพื้นต่างระดับ… Cross Country ก็เป็นตัวเลือก “ที่น่าสนใจ”
รวมถึงอาจจะเป็นตัวเลือกที่ทำให้คุณ “ฉีกยิ้มได้กว้างกว่า” ถ้าคุณเป็นคนเมืองที่ระแวกบ้านประสบพบเจอน้ำท่วมขังอยู่บ่อยครั้ง บางวันออกจากออฟฟิศตอนเย็นแล้วเจอฝนตกรถติด เป็นเหตุให้ต้องมุดเข้าซอยลัดที่ไปได้เร็วกกว่าซึ่งมีโอกาสเจอกับสภาพถนนหนทางที่ไม่คาดฝัน หรือบางวันอยากแวะคาเฟ่ลับโซนเขาใหญ่ Cross Country จะทำให้คุณกลับถึงบ้านได้แบบไม่ต้องลุ้นเกิน
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่า EX30 เวอร์ชั่นไหนจะตอบชีวิตคุณผู้อ่านได้มากกว่า ผมก็อยากจะบอกว่า…
ขอให้มีความสุข กับคันที่ใช่ครับ
————–//————–
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Volvo Cars (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
QCXLOFT (Yutthapichai Phantumas)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายโดยผู้เขียน และช่างภาพของ Volvo Cars (Thailand)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
23 กรกฎาคม 2025
Copyright (c) 2025 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 23rd, 2025
