Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 โดยมียอดขายและกำไรที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งขึ้น รวมถึงกระแสลบต่อภาพลักษณ์ผู้บริหารแบรนด์มาโดยตลอดที่เกิดจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ Elon Musk ในช่วงที่ผ่านมา

 

รายได้จากธุรกิจรถยนต์ของ Tesla ลดลง 16% จาก 19.9 พันล้านดอลลาร์ เหลือ 16.7 พันล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้รวมลดลง 12% เหลือ 22.5 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลง 15% เหลือเพียง 3.9 พันล้านดอลลาร์ และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (Adjusted EBITDA) ลดลง 7% เหลือ 3.4 พันล้านดอลลาร์

 

Tesla ชี้แจงว่าสาเหตุหลักของผลประกอบการที่ย่ำแย่มาจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่ลดลง รายได้จากเครดิตสิ่งแวดล้อมที่น้อยลงเช่นเดียวกัน รวมไปถึงราคาขายเฉลี่ยต่อคันที่ลดลง และที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือแรงกดดันจากการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงขึ้น โดยยอดส่งมอบ Model 3 และ Model Y รวมกันลดลง 12% เหลือ 373,728 คัน ขณะที่กลุ่มรถ “อื่นๆ” ที่รวมถึง Model S Model X และ Cybertruck มียอดส่งมอบเพียง 10,394 คัน ลดลงถึง 52% ซึ่งสะท้อนถึงยอดขาย Cybertruck ที่ยังคงล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง

 

ถึงแม้ภาพรวมจะไม่สู้ดีนัก แต่ Tesla ยังพยายามนำเสนอเนื้อหาข่าวในเชิงบวก โดยระบุว่ารถทุกรุ่นในไลน์อัปปัจจุบันได้รับการอัปเดตให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีรอบด้านและบริษัทกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวรถรุ่นใหม่เพิ่มเติมภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม Roadster รุ่นใหม่ซึ่งเลยกำหนดการเปิดตัวล่าช้ามานานยังอยู่ในขั้นตอน “ออกแบบพัฒนา” เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าอาจต้องรออีกพักใหญ่และไม่ใช่ภายในปีนี้

 

นอกจากนี้ Tesla ยังกล่าวถึงบริการแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) ที่เริ่มดำเนินการในเมืองออสติน สหรัฐฯ โดยมีแผนขยายบริการไปยังเมืองอื่นๆในสหรัฐฯ พร้อมชูจุดแข็งด้านโครงสร้างระบบที่ไม่ยึดติดกับพื้นที่ จึงสามารถขยายบริการได้อย่างรวดเร็วด้วยการลงทุนที่น้อย

ในส่วนของเครือข่ายสถานีชาร์จ Supercharger ทาง Tesla ได้เพิ่มสถานีชาร์จอีก 904 แห่งภายในปี 2024 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นเริ่มเข้าถึงเครือข่ายนี้มากขึ้น และผลสุดท้าย Supercharger กลายเป็นแหล่งรายได้ที่สร้างกำไรอย่างต่อเนื่องให้กับ Tesla อย่างยั่งยืน

ที่มา: Carscoops