25 สิงหาคม 2025
13.00 น. สนาม Thailand Circuit นครชัยศรี
สารภาพว่า ตั้งแต่ อยู่ในวงการยานยนต์นี่มา 27 ปี นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมมาเยือน สนามแข่งรถ Thailand Circuit แห่งนี้ สนามที่อยู่ไกลปืนเที่ยงพอสมควร ดั้นด้นมาจากบ้าน ย่านบางนา ต้องใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมง ครึ่ง
เมื่อมาถึง ผมก็มองเห็น Suzuki Fronx ทั้ง 3 คัน จอดเรียงอยู่ใต้โครงหลังคา บริเวณ Pit Stop แต่ไกล
ใช่ครับ ผมกำลังจะได้ทดลองขับ รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด จาก Suzuki รุ่นแรก หลังจากที่พวกเขาห่างหายจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย มานานหลายปี
ผู้ผลิตรถยนต์จากเมือง Hamamatsu ประเทศญี่ปุ่น แห่งนี้ พยายามต่อสู้ ในตลาดเมืองไทย ล้มลุกคลุกคลานตลอด จากมือของผู้จำหน่ายรายเดิม จนเปลี่ยนมือมาเป็นการลงทุนและบริหารจากบริษัทแม่ในญี่ปุ่น เองเต็มตัว มาตั้งแต่ปี 2010 จนเข้าสู่ยุครุ่งเรือง จากการเข้าร่วมโครงการ ECO Car ของรัฐบาลไทย ในช่วงปี 2010-2012 พวกเขาทำให้ แบรนด์ Suzuki และรถยนต์หลายรุ่น อย่าง Swift และ Ciaz ก็เข้ามาเปิดตลาด และได้รับความนิยมในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
ทว่า ท่ามกลางสภาวะตลาดรถยนต์ในบ้านเรา หดตัว และ Suzuki เองก็มียอดขายลดลงมาต่อเนื่อง จนอยู่ในระดับประคับประคองตัวต่อไปได้เรื่อยๆ แน่นอนว่า การมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าด้วยภาษี 0% จากจีน และการดัมพ์ราคากันสุดเหวี่ยงของชาวจีน มีส่วนทำให้ผู้ผลิตดั้งเดิมทุกราย ถูกแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดและลูกค้าไปมากจนกระทั่ง การผลิตรถในประเทศ เริ่มไม่คุ้มค่าต่อไป เพราะต้นทุนต่อคัน เริ่มแพงขึ้น สวนทางกับยอดขายที่ลดลง ดังนั้น Suzuki จึงประกาศปิดโรงานประกอบรถยนต์ในไทย ไปเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2024
แต่….พวกเขา ยังไม่เจ๊ง! เพราะการปิดโรงงาน ไม่ได้แปลว่า ปิดบริษัทเสมอไป
ขอย้ำว่า ยังไม่เจ๊ง!
Fronx รุ่นใหม่นี้ คือสิ่งที่ยืนยันว่า Suzuki จะยังทำตลาดและให้บริการลูกค้าในเมืองไทยต่อไป และพวกเขายังไม่เจ๊ง!
ถ้าใกล้เจ๊งจริงอย่างที่คนจำนวนมาก คิดกันไปเองนั้น เค้าจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่แบบนี้กันเรอะ?
คิดหน่อย พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย!!!!
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ผม เห็นคันจริงของ Fronx ครั้งแรก นั่นคือ ตอนที่ยืนอยู่ในสถานีรถไฟ Shinkansen ที่ Osaka ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อ ปล่ายเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา ตอนนั้น Suzuki ที่ญี่ปุ่น ทำตลาดด้วยการนำรถคันจริง ผลิตจากโรงงานของ Maruti Suzuki ใน India ไปจอดจัดแสดงไว้กลางสถานีรถไฟแห่งนั้นเลย พร้อมกับวาง Catalog ให้หยิบกันเป็นจำนวนมากตามอัธยาศัย
เดินเข้าไปมองใกล้ๆ ทำไมมันดูกระปุกลุก กระทัดรัด แถมดูคุ้นๆตาจังเลยหว่า ทรงมันเหมือนรถยนต์สักรุ่นของ Suzuki ที่ผมยังนึกไม่ออกว่าเป็นรุ่นไหน
จนกระทั่ง พอมาเจอรถคันจริงอีกครั้ง ในงานเปิดตัว Fronx เวอร์ชัน Indonesia ที่โรงแรม Raffle เมื่อ 28 มิถุนายน 2025 หรือในอีกดี 2 เดือนถัดมา ผมจึงได้รู้ว่า Fronx คือการนำ Suzuki Baleno Sub-Compact Hatchback ที่เคยวางจำหน่ายมาแล้วทั้งใน India ญี่ปุ่น และ Australia รวมทั้งอีกหลายประเทศ มาทำศัลยกรรมครั้่งใหญ่มโหฬาร ในระดับที่อาจจะเรียกว่า Big Minorchange ก็ว่าได้ เพียงแต่กรณีของ Fronx มันเป็นการแตกหน่อ รถยนต์รุ่นใหม่ ต่อยอดออกมาจาก Baleno เดิม
คำถามก็คือ แล้ว Fronx เนี่ย คันเล็กเท่านี้ จะดีพอที่จะฟัดเหวี่ยงกับคู่แข่งในพิกัด B-Segment Crossover SUV ในตลาดเมืองไทย ซึ่งเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโหดๆ ทั้งหลาย ได้ดีแค่ไหน
สัมผัสเพียงคร่าวๆ จากรอบสนาม Thailand Circuit นครชัยศรี พอจะบอกผมได้คร่าวๆ และนั่นเพียงพอที่จะถ่ายทอดให้ได้รับรู้กันในเบื้องต้น ประมาณหนึ่ง…
Suzuki Fronx เป็นรถยนต์รูปแบบตัวถัง Crossover Hatchback ในพิกัด B-Segment ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากการนำ Suzuki Baleno Hatchback รุ่นล่าสุด (รหัสรุ่น WB) ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ 15 กันยายน 2015 และเพิ่งปรับโฉมครั้งใหญ่ (รหัสรุ่น WB2) เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2022 มาพัฒนาต่อเนื่อง โดยปรับปรุงงานออกแบบภายนอกและภายใน ใหม่ทั้งหมด แล้วจับยกสูงขึ้น จนกลายเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ สำหรับบุกตลาดทั่วโลก
ชื่อรุ่น Fronx นั้น Suzuki แอบไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอาไว้อย่างเงียบๆ ตั้งแต่ ปี 2014 และไม่เคยนำออกมาใช้เลย จนกระทั่ง 10 ปีต่อมา ชื่อนี้ เป็นการนำคำว่า Frontier (แปลว่า “เขตแดน”) และ Next (แปลว่า “ต่อไป”) มารวมเข้าด้วยกัน สื่อถึงการก้าวไปสู่ดินแดนใหม่ ของทั้ง Suzuki ที่จะเปิดตลาดรถยนต์ B-SUV และ หมายถึงการก้าวข้ามเขตแดน
Fronx ถูกเปิดตัวครั้งแรก ในโลก ณ งาน Auto Expo ที่ India เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2023 โดยเวอร์ชัน India และตลาดส่งออก ภายใต้การดูแลของ Maruti Suzuki นั้น มีขุมพลังให้เลือก 2 ขนาด คือ เครื่องยนต์ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger และระบบ Mild-hybrid กำลังสูงสุด 100 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 148 นิวตัน-เมตร (15.08 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 4,500 รอบ//นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
อีกทางเลือก เป็น เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.2 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ 90 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 113 นิวตัน-เมตร (11.51 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรือ เกียร์ธรรมดา ทำงานด้วยคลัตช์ไฟฟ้า (AMT) 6 จังหวะ
กระซิบให้นิดนึงว่า ในตลาดต่างประเทศ แห่งใด ที่ Suzuki มีความร่วมมือกับ Toyota Motor Corporation ด้วยแล้ว ในประเทศนั้น Fronx จะมีเวอร์ชันฝาแฝด ภายใต้ชื่อที่แตกต่างออกไป เช่น Toyota Urban Cruiser TAISOR ในตลาด India เปิดตัวตามมาเมื่อ 2 เมษายน 2024 หรือ Toyota Starlet Cross ในตลาด South Africa โดยวางขุมพลังทั้ง 2 แบบ ข้างต้น เหมือนกัน
หลังการเปิดตัวใน India แล้ว Suzuki ยังนำเข้า Fronx จากโรงงาน ใน India กลับไปขายในญี่ปุ่นด้วย โดยเปิดตัวออกจำหน่ายจริง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2024 โดยวางขุมพลัง K15 C เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร Mild-Hybrid เหมือนเวอร์ชันไทย และ Indonesia (ตัวเลขสเป็กต่างกันนิดเดียว) แต่มีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD ให้เลือกด้วย
สำหรับตลาด ASEAN แล้ว ฐานการผลิตของ Fronx จะอยู่ที่โรงงานของ Suzuki ในเมือง Cikarang ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1970 ปัจจุบัน เป็นฐานการผลิตให้กับทั้ง Suzuki Ertiga และ Suzuki XL7 อยู่แล้ว การเพิ่ม Fronx เข้าไปในไลน์การผลิตอีกรุ่นหนึ่ง เท่ากับช่วยเสริมศัยภาพของ โรงงานแห่งนี้ ให้กลายเป็น 1 ใน 3 ฐานการผลิต
ถ้าจะถามว่า เราไว้ใจคุณภาพงานประกอบจาก โรงงาน Suzuki ใน Indonesia ได้มากน้อยแค่ไหน? จากที่ผมเจอรถคันจริงมาแล้ว ทั้งในญี่ปุ่น Indonesia และประเทศไทย ยืนยันให้ได้เลยว่า Fronx ที่ประกอบจากโรงงาน ใน Cikarang นั้น แม้ว่า อาจยังไม่ถึงขั้น เนี้ยบระดับสมบูรณ์แบบมากนัก แต่มันก็ยังประณีตกว่า Fronx เวอร์ชันญี่ปุ่น ที่ประกอบจากโรงงาน Maruti Suzuki ใน India อย่างชัดเจนแน่นอน!
การเปิดตัวใน Indonesia มีขึ้น ณ โรงแรม Raffle กลางกรุง Jakarta เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2025 ซึ่งเราเคยรายงานในคลิปสั้น ทาง Facebook Reels และ Tiktok ผ่านช่อง Headlightmag ของเราไปแล้ว
ส่วนประเทศไทย Suzuki Motor Thailand จัดงานเปิดตัว Fronx ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 ณ Samyan Midtown (สามย่าน มิดด้าม…เอ้ย มิดทาวน์) โดยมีรุ่นย่อยให้เลือก เหมือนเวอร์ชัน Indonesia ไม่มีผิดเพี้ยน ดังต่อไปนี้
- GL ขุมพลัง เบนซิน 1.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ หลังคาสีเดียวกับตัวถัง
- GLX ขุมพลัง เบนซิน 1.5 ลิตร Mild-Hybrid เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ หลังคาดำ
- GLX Plus ขุมพลัง เบนซิน 1.5 ลิตร Mild-Hybrid เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ หลังคาดำ ล้ออัลลอยดำ
Suzuki Fronx มีขนาดตัวถัง ยาว 3,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,550 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,520 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ Ground Clearance 170 มิลลิเมตร
ถ้าต้องการเปรียบเทียบตัวเลขกับคู่แข่งในตลาด นี่คือตัวเลขของ Fronx และคู่แข่ง ที่อยู่ในพิกัดเดียวกัน ซึ่งมีจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย
- Suzuki Fronx : 3,995 x 1,765 x 1,550/ 2,520 มิลลิเมตร
- Toyota Yaris Cross : 4,310 x 1,770 x 1,615 / 2,620 มิลลิเมตร
- Honda WR-V : 4,060 x 1,780 x 1,608 / 2,485 มิลลิเมตร
- Nissan Kicks : 4,330 x 1,760 x 1,610 / 2,615 มิลลิเมตร
- Mazda CX-3 : 4,275 x 1,765 x 1,550 / 2,570 มิลลิเมตร
- Hyundai Creta : 4,315 x 1,790 x 1,630 / 2,610 มิลลิเมตร
หากสังเกตดีๆจะพบว่า Fronx มีขนาดตัวรถสั้นที่สุดในตลาด แต่กว้างกว่า Nissan Kicks 5 มิลลิเมตร โดยมีความกว้างและความสูง เท่ากับ Mazda CX-3 ส่วนระยะฐานล้อ ยาวกว่า Honda WR-V เพียงรุ่นเดียว ดังนั้น มองในภาพรวมแล้ว Fronx มีขนาดตัวรถค่อนข้างเล็กกว่าเพื่อนอยู่นิดหน่อย เพราะ Suzuki ตั้งใจจะวางตำแหน่งทางการตลาดของ Fronx ไว้ในฐานะ “Entry Level B-Segment Crossover SUV”
Mr.Takeshi Maeda หัวหน้าฝ่ายงานออกแบบภายนอก (Head of Exterior Design Section) แผนกออกแบบรถยนต์ 4 ล้อ (4-Wheels Design department) จาก ฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ (Product Planning Division) ของ Suzuki เปิดเผยว่า แนวคิดในการพัฒนา Fronx คือ “การผสมผสาน ความแข็งแกร่งของรถยนต์ SUV เข้ากับสไตล์รถยนต์ Coupe ที่โฉบเฉี่ยว”
“พื้นฐานของ Fronx คือ รถยนต์ B-Segment Sub-Compact Hatchback รุ่น Baleno และเราคิดว่าจะใช้ทรัพยากรของรถยนต์รุ่นนี้เพื่อสร้างรถสไตล์ SUV ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นในตลาดได้อย่างไร นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนา ในระหว่างการออกแบบ ทีมงานของเรามีแนวคิดต่างๆมากมาย เช่น การทำให้ประตูคู่หลัง ตั้งตรงมากขึ้นเพื่อเน้นพื้นที่ภายใน แต่ ท้ายที่สุด เราได้ข้อสรุปว่าหากเราตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ในการเอียงประตูท้ายลงเพื่อสร้างสไตล์ Coupe เราจะสามารถยืนยันการมีอยู่ของเราในตลาดที่เต็มไปด้วยรถยนต์ SUV ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวได้ดีกว่า”
จุดเด่นในงานออกแบบของ Fronx หลักๆแล้ว มีด้วยกัน 4 จุด นั้นคือ ด้านหน้ารถที่มีกระจังหน้าขนาดใหญ่ ลายสปอร์ต แต่มีการจัดเรียงให้ โคมไฟด้านบน มีลักษณะเรียวยาว และเป็นทั้งไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน Daytime Running Light กับไฟเลี้ยว สลับกันอยู่ในโคมเดียวกัน เชื่อมต่อกับแถบโครเมียม ด้านบน ส่วนโคมไฟหน้า LED แบบปรับระดับ สูง – ต่ำได้ พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ (ไฟหน้า Auto) ย้ายลงมาติดตั้งที่ด้านล่าง ของเปลือกกันชนหน้า
ต่อมา ด้านข้างรถ มีการเล่นแนวเส้นเพื่อเพิ่มความโฉบเฉี่ยว และสร้างมิติให้กับตัวรถ แถมยังมีการติดตั้งคิ้วสีดำด้านเหนือซุ้มล้อทั้ง 4 เพื่อเพิ่มบุคลิกความเป็น B-SUV ยกสูง ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน บริเวณเสาหลังคาคู่ลัง C-Pillar มีการเล่นกับแนวเส้นเพื่อเชื่อมกระจกบังลมด้านหลัง กับกระจก Opera Window คู่หลัง ด้านข้าง ในลักษณะที่ชวนให้นึกถึง Toyota C-HR อยู่บ้างเหมือนกัน ปิดท้ายด้วย ไฟท้าย LED รูปเลข 7 เรียงกัน ฝั่งละ 3 ตัว ในลักษณะที่ผมขอเรียกว่า “ไฟท้าย 7 ยับ” (ห้ามผวน!)
ทุกรุ่น มีเสาอากาศครีบฉลาม ไล่ฝ้าที่กระจกบังลมหลัง แผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ แถบกันกระแทกด้านข้าง และราวหลังคา (Rack Roof) มาให้จากโรงงาน โดยรุ่น GL ราวหลังคาจะเป็นสีดำ แต่รุ่น Mild-Hybrid GLX และ GLX Plus จะพ่นสีเงิน มาพร้อมกับกระจกหน้าต่างแบบตัดแสง UV-Cut สีเขียว เพื่อเสริมบุคลิกให้ตัวรถดูเป็น Mini SUV มากขึ้น
ทุกรุ่น มาร้อมกับล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 195/60R16 โดยรุ่น GL และ Mild-Hybrid GLX จะเป็นล้อปัดเงา ตัดสลับสีดำ ส่วนรุ่น Mild-Hybrid GLX Plus จะพ่นล้อสีดำไปเลย
สีตัวถัง ของทุกรุ่น ย่อย มี 5 สี ดังนี้
- สีขาว Pearl Snow White (ZQZ)
- สีเงิน Silky Silver Metallic (Z2S)
- สีเทา Metallic Magma Grey (ZYZ)
- สีดำ Cool Black Metallic (ZBD)
- สีขาวมุก Savanna Ivory Metallic (WBY)
แต่สำหรับรุ่น Mild-Hybrid GLX Plus จะเพิ่มหลังคาสีดำ และสีพิเศษ ประจำรุ่น มาให้ดังนี้
- สีขาว Pearl Snow White / ตัดหลังคาสีดำ Cool Black Metallic (ET5)
- สีขาวมุก Savanna Ivory Metallic / ตัดหลังคาสีดำ Cool Black Metallic (EYP)
- สีฟ้า Ice Greyish Blue Metallic / ตัดหลังคาสีดำ Cool Black Metallic (FD1) (สีพิเศษ สีโปรโมทประจำรุ่น)
ระบบกลอนประตู ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมระบบถอดรหัสกันขโมย Immobilizer โดยรุ่น GL เครื่องยนต์สันดาปล้วน จะเป็นกุญแจธรรมดา พร้อม Remote Control มีไฟกระพริบตอบรับ เมื่อกดล็อก หรือ ปลดล็อก ยังต้องใช้วิธีติดเครื่องยนต์ด้วยการเสียบกุญแจเข้าไปในรูสวิตช์ที่คอพวงมาลัย ฝั่งขวา แล้วบิดสตาร์ท อยู่ อาจจะดูขัดหูขัดตาใครหลายคน แต่สำหรับผม ผู้ซึ่งชินกับกุญแจของ Ciaz เกียร์ธรรมดาอยู่แล้ว มองว่า ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
แต่รุ่น Mild Hybrid ทั้ง GLX และ GLX Plus จะเปลี่ยนไปใช้ปุ่มติดเครื่องยนต์ Push Start พร้อมกุญแจแบบ Remote Control แบบ Keyless Entry ยกมาจาก Swift ใหม่ หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ
การเข้า – ออกจากช่องประตูคู่หน้า ไม่ได้แตกต่างไปจากรถยนต์ Suzuki รุ่นอื่น ๆมากนัก ความกว้างของช่องทางเข้า-ออก ยังคงอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมกับขนาดตัวรถ ถ้าปรับเบาะคนขับลงไปในตำแหน่งต่ำสุด แล้วก้มศีรษะเพิ่มอีกนิด ก็จะไม่โขกกับขอบหลังคาด้านบน แน่ๆ แต่ถ้าเป็นตำแหน่งผู้โดยสารฝั่งซ้าย ซึ่งเบาะนั่งจะปรับระับสูง – ต่ำไม่ได้ ก็จะมีโอกาสที่ศีรษะ โขกกับขอบหลังคาด้านบนเพิ่มขึ้น
เบาะนั่งคู่หน้า นั่งสบายกว่าที่คิด ให้สัมผัส แทบจะไม่ต่างจากการนั่งอยู่บนเบาะของ Suzuki Swift รุ่นที่ 3 ซึ่งยังมีขายอยู่ในบ้านเรา เพียงแต่ว่า ตัวฟองน้ำแบบนิ่ม แอบจะหนาขึ้นเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความสบายในการเดินทาง ให้กับทั้งบริเวณช่วงสะบัก ปีกข้าง แผ่นหลัง รวมทั้งเบาะรองนั่ง ซึ่งมีความยาวในระดับมาตรฐานพอกันกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของ Suzuki ก่อนหน้านี้ พนักศีรษะบาง นุ่มและ ไม่ดันกบาล ส่วนพนักวางแขนบนแผงประตูด้านข้าง วางข้อศอกพอได้อยู่
การเข้า – ออกจากช่องประตูคู่หลัง นั้น ควรจะก้มหัวให้เยอะๆ มิเช่นนั้น ศีรษะของคุณจะโขกกับขอบหลังคาด้านบนแน่นอน อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
เบาะนั่งด้านหลังมีมุมเอนที่เหมาะสมมาก นั่งสบาย เบาะรองนั่ง ใช้ฟองน้ำแบบนิ่ม แต่แอบหน้านุ่มกว่าเบาะรองนั่งด้านหน้านิดนึง พนักศีรษะ ยังไงก็ต้องยกขึ้นใช้งาน (ซึ่งก็ยกได้แค่ 1 ตำแหน่ง) มิเช่นนั้น ขอบด้านล่าง จะทิ่มตำช่วงต้นคอ กลางแผ่นหลัง
ส่วนตรงกลางของพนักพิงเบาะหลัง ไม่มีพนักวางแขนแบบพับเก็บได้มาให้แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่ยังดีที่มี พนักศีรษะมาให้ โดยมีเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด มาให้ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง
พื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง (Rear Legroom) เหลือค่อนข้างเยอะ ระดับที่ช่วยให้ผู้ใหญ่ตัวสูงปกติ นั่งไขว่ห้างได้สบายๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก งานออกแบบหลังคา ลาดลู่ลงไปทางด้านหลัง เพื่อเพิ่มบุคลิกความเป็น Coupe SUV ย่อมส่งผลให้พื้นที่เหนือศีรษะด้านหลัง (Rear Headroom) เหลือน้อยมาก ถ้าคุณเป็นคนตัวสูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร คุณจะมีพื้นที่เหนือศีรษะเหลืออยู่ราวๆ 1 นิ้วมือในแนวนอน สอดเข้าไปเหนือเส้นผม แต่ถ้าคุณตัวสูงเกินกว่านั้น อาจต้องทำใจสักหน่อย เพราะยังไงๆ ศีรษะของคุณ ก็จะชนกับเพดานหลังคาด้านหลังอย่างแน่นอน
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เปิดยกขึ้นด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ค้ำยันด้วยช็อกอัพ 2 ต้น เมื่อเปิดยกขึ้นมา จะพบกับ พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ขนาดไมใหญ่ไม่โตนัก กำลังดี ความจุ 290 ลิตร ซึ่งสามารถเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นเป็น 1,009 ลิตร เมื่อพับเบาะหลัง ลงทั้ง 2 ฝั่ง
เมื่อยกพื้นห้องเก็บสัมภาระขึ้นมา ข่าวดีก็คือ Fronx ยังเป็นหนึ่งในรถยนต์ไม่กี่รุ่น ที่ยังทำตลาดในเมืองไทย แล้วให้ยางอะไหล่ แถมมาในห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง แน่นอนว่า ส่วนหนึ่ง มาจากเหตุผลที่ ชาว Indonesia ยังเรียกร้องให้ผู้ผลิต ใส่ยางอะไหล่มาให้ตามเดิม
แผงหน้าปัดออกแบบใหม่ โดยเน้นความหนาและดูโฉบเฉี่ยว ของแถบสีเงิน ซึ่งเพิ่มบุคลิกความทะมัดทะแมงขึ้นอีกเล็กน้อย การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ยังคงอยู่ในมาตรฐานของ Suzuki คือ สะดวกต่อการอ่าน ง่ายต่อการกดใช้งาน และลดการละสายตาจากถนน
มองขึ้นไปด้านบน จะพบว่า ไฟอ่านแผนที่ แยกฝั่งซ้าย – ขวา กดใช้งานได้ง่ายดาย แต่แผงบังแดดนั้น ต่อให้เป็นรุ่น GLX Plus ก็ยังมีกระจกแต่งหน้ามาให้เฉพาะฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย เท่านั้น ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ยอมติดตั้งกระจกมาให้กับแผงบังแดดฝั่งคนขับด้วยนะ?
ชุดมาตรวัด ยังคงเป็นแบบ Analog เหมือนกับเวอร์ชันในต่างประเทศ มันอาจจะดูเชยในสายตาของใครก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว มาตรวัด 2 วงกลมแบบนี้ แสดงข้อมูลอย่างง่ายดาย ไม่ซับซ้อน อ้านตัวเลขง่าย มีหน้าจอ Multi Information Display ตรงกลาง แสดงข้อมูล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่างๆ การแจ้งเตือนของระบบต่างๆภายในรถ ไปจนถึงการทำงานของระบบ Mild-Hybrid ขณะขับขี่จริง
รุ่น Mild-Hybrid GLX จะมีระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control มาให้ แต่ในรุ่น GLX Plus จะUpgrade ขึ้นเป็นระบบ ACC (Adaptive Cruise Control) ควบคุมการทำงานของระบบ และปรับระยะห่างจากรถคันข้างหน้า ได้ด้วยสวิตช์บนก้านพวงมาลัย
อีกจุดเด่นที่เหนือกว่านั้นก็คือ รุ่น GLX Plus จะมาพร้อมกับ ระบบแสดงความเร็วบนกระจกหน้า HUD (Head-up Display) โดยใช้การยิงภาพขึ้นไปสะท้อนที่แผ่นพลาสติกบางๆ พับเก็บได้ ในสไตล์เดียวกับคู่แข่งอย่าง Mazda CX-3 เปี๊ยบ! ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Suzuki ที่ติดตั้งระบบนี้มาให้ทั้งในเมืองไทย และในตลาดโลก
ด้านความบันเทิง รุ่น GL จะติดตั้ง จอ Monitor สี Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว พร้อมลำโพง 4 ตำแหน่ง แต่สำหรับรุ่น Mild-Hybrid GLX และ GLX Plus จะถูก Upgrade ขนาดของหน้าขอ Monitor สีแบบ Touch Screen เป็น 9 นิ้ว พร้อม ลำโพง 6 ตำแหน่ง (เพิ่ม ทวีตเตอร์ ที่เสาหลังคาคู่หน้า ทั้ง 2 ฝั่ง) ทุกรุ่น มาพร้อม วิทยุ AM/FM ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือแบบ Bluetooth ไปจนถึงระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Apple Car Play แบบ “ไร้สาย” และAndroid Autoมาให้จากโรงงาน ด้านหน้า ติดตั้ง ช่องเชื่อมต่อ USB A และช่องจ่ายไฟสำรอง 12 V ส่วนด้านหลัง มีช่องชาร์จไฟ USB-A และ USB-C มาให้ อย่างละ 1 ตำแหน่ง
********** รายละเอียดทางเทคนิค / Technical Information **********
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของ Suzuki Fronx เวอร์ชั่นไทย ยกมาจากเวอร์ชัน Indonesia ทั้งยวง แบบไม่ต้องปรับปรุงใหม่ใดๆทั้งสิ้นให้เสียเวลา เพราะพัฒนามาเผื่อและรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงของทั้ง 2 ประเทศ เรียบร้อยแล้ว มีให้เลือก 2 รูปแบบ รายละเอียด มีดังนี้
เบนซิน 1.5 ลิตร สำหรับรุ่น GL 4AT
เครื่องยนต์ รหัส K15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร 1,462 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 74.0 x 85.0 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด MPI (Multi-Point Fuel Injection) กำลังอัด 10.5 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT (Intake & Exhaust Variable-valve Timing)
กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร (14.06 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD ความจุถังน้ำมัน 37 ลิตร
เบนซิน 1.5 ลิตร Mild-hybrid (MHEV) สำหรับรุ่น GLX 6AT และ GLX Plus 6AT ขุมพลังเดียวกับญี่ปุ่น!
เครื่องยนต์รหัส K15C เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร 1,462 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 74.0 x 85.0 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด MPI (Multi-Point Fuel Injection) กำลังอัด 12 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT (Intake & Exhaust Variable-valve Timing) กำลังสูงสุด 101 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร (13.75 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที
(ตั้งข้อสังเกตเล็กน้อย เวอร์ชันญี่ปุ่น กำลังอัดลดลงจาก 12.1 เหลือ 11.9 และเวลาแจ้งตัวเลขความจุกระบอกสูบ เขาระบุไว้ในโบรชัวร์ที่ 1,460 ซีซี ซึ่งต่างจากเวอร์ชันไทย คือ 1,462 ซีซี)
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ DC Synchronous Motor รุ่น WA06A ให้กำลังสูงสุดชั่วขณะ 2.3 กิโลวัตต์ หรือ 3.1 แรงม้า (PS) ที่ 800 – 1,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตันเมตร (6.1 กก.-ม.) ที่ 100 รอบ/นาที (ถูกแล้วครับ เขียนไม่ผิด) พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 6 Ah จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมแป้่นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ที่ด้านหลังพวงมาลัย ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD ความจุถังน้ำมัน 37 ลิตร เท่ากัน
ระบบบังคับเลี้ยว เป็น พวงมาลัย แบบ Rack & Pinion ผ่อนแรงด้วย Power แบบไฟฟ้า EPS รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตร ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ MacPherson Strut ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ คานบิด Torsion Beam ระบบห้ามล้อด้านหน้า เป็น ดิสก์เบรก ส่วนด้านหลัง ยังคงเป็น ดรัมเบรก พร้อมตัวช่วยมาตรฐาน ดังนี้
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก BA
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
- ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Hold Control
ส่วนอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยนั้น Fronx เวอร์ชันไทย มาพร้อมกับระบบ ADAS ในชื่อ Suzuki Safety Support ซึ่งรวมสารพัดระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ดังนี้
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ DSBS II
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในมุมอับสายตาด้านข้าง BSM (Blind Spot Monitoring)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบควบคุมรถให้อยู่กลางเลน LKA (Lane Keeping Assist)
- ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน LDP
- ระบบเตือนเมื่อรถมีอาการส่ายไปมา VSW
- ระบบเปิด – ปิดไฟสูงอัตโนมัติ HBA (High-Beam Assit)
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้ง ถุงลมนิรภัย 6 ใบ (คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย) เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด 5 ตำแหน่ง (คู่หน้าปรับระดับสูง-ต่ำ ไม่ได้) Sensor กะระยะช่วยจอดด้านหลัง 4 ตำแหน่ง กุญแจ Immobilizer และ สัญญาณกันขโมย มาให้อีกด้วย
การทดลองขับ ในสนาม / First Impression
พอเห็นตัวเลขพละกำลังสูงสุด ของขุมพลัง ทั้ง 2 แบบ ผมพอจะเดาไว้ก่อนลองขับได้ว่า บุคลิกของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังของ Fronx น่าจะมาในแนวเดียวกันกับ Suzuki Ertiga และ XL-7 ที่ผมพบเจอมาตลอดตั้งแต่ปี 2018 มาจนถึง 2023 แหงๆ
แล้วผมก็เดาไม่ผิด
จริงอยู่ว่า ถ้าคุณเคยขับ Suzuki Swift หรือ Ciaz มาก่อน แน่นอนครับ อัตราเร่ง อาจจะไวกว่า รถยนต์ Suzuki รุ่นอื่นๆ ในกลุ่ม ECO Car ที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้ แต่ถ้าคุณเคยขับ Ertiga หรือ XL-7 มาก่อนแล้วละก็ บอกได้เลยว่า
“ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก”
แหงละ ในเมื่อเครื่องยนต์ บล็อกเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน ไส้ในก็เหมือนกัน แถมได้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ลูกเดียวกัน บุคลิกภาพรวม ย่อมต้องเหมือนกันเป็นธรรมดา ดังนั้น อัตราเร่ง ของ Fronx ก็ยังคงยังคงมีนิสัย ที่ไว้วางใจได้ ในการขับขี่ใช้งานทั่วๆไป แต่สำหรับใครที่ชอบขับรถเร็ว แน่นอน คู่แข่งคันอื่นทำอัตราเร่งได้ดีกว่าแน่ๆ
ถ้ารุ่น 1.5 ลิตร สันดาปล้วน มีบุคลิกการขับขี่แบบนี้ แล้วรุ่น 1.5 ลิตร Mild-Hybrid ละ อัตราเร่งจะไวขึ้นกว่านี้ไหม?
เท่าที่ลองขับในสนามนครชัยศรีมา ผมมองว่า ไม่แตกต่างกันมากนัก พื้นฐานของเครื่องยนต์ K-Series นั้น ถูกเซ็ตมาให้มีเรี่ยวแรงดีในช่วงกลาง และช่วงปลาย แต่ด้วยการเซ็ตเฟืองท้ายออกมาอย่างที่เป็นอยู่นี้ ผมก็มองว่า สมรรถนะที่ได้ ออกมาในระดับที่ คนทั่วไปซึ่งไม่ได้ขับรถเร็วนัก น่าจะพอรับได้ แต่อาจจะไม่ได้แรงทันใจ แบบ ระบบ Hybrid ของ Toyota , Honda หรือ Nissan แน่ๆ
จากการคาดการณ์ ผมเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาที่เราจับตัวเลขอัตราเร่งกันจริงๆ มีความเป็นไปได้ว่า อัตราเร่งของรุ่น 1.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ควรจะอยู่ที่ 11 วินาทีปลายๆ แตะ 12 วินาที โดยรุ่น Mild-Hybrid 1.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ น่าจะทำตัวเลขได้ดีกว่า นิดเดียว ไม่เยอะนัก
พวงมาลัย กลายเป็นอีกจุดขายหนึ่งที่ผมอยากพูดถึง คือถูกเซ็ตมาได้ดี มีน้ำหนักพวงมาลัยเบา แต่ Linear ตอบสนองได้เป็นธรรมชาติ มีระยะฟรีเหมาะสม บังคับเลี้ยวได้แม่นยำดี หากมองว่า นี่คือพวงมาลัยที่ต้องเซ็ตมาให้กับรถยนต์ที่ถูกยกพื้นให้สูงขึ้นกว่ารถเก๋งทั่วไป (คือสำหรับรถสูงแล้ว พวงมาลัย ควรไวกำลังเหมาะ และแม่นยำกำลังดี มีระยะฟรีเหมาะสม เพราะถ้าไวและระยะฟรีน้อยเกินไปแบบ Chery V23 ละก็ มีโอกาสที่ผู้ขับขี่อาจเผลอเรอ และพาให้รถพลิกคว่ำได้ง่าย) ภาพรวมแล้ว พวงมาลัยของ Fronx ดีใช้ได้ ในระดับที่ผมอยากจะถอดชุดแร็ค ทั้งยวง เอาไปใส่ใน Ciaz คันที่บ้านเลย! (แต่เอาเข้าจริง มันทำไม่ได้ อะไหล่คนละ Part Number กันเลย ขนาดก็ไม่เท่ากัน) และแน่นอนว่า เมื่อต้องเทียบกับคู่แข่งแล้ว พวงมาลัยของ Fronx ทำหน้าที่ได้ดีกว่า ตอบสนองดีกว่า Toyota Yaris Cross แบบชัดเจน ไม่ต้องสืบ
ระบบกันสะเทือน ถูกเซ็ตมาในแนวนุ่ม ผมแอบ Surprise นิดหน่อย ตรงที่ ขณะขับคลานๆออกจากหน้า Pit stop เพื่อเข้าสู่ตัวสนาม จะต้องผ่านพื้นผิวขรุขระแบบเบาๆ กลายเป็นว่า ช่วงล่างของ Fronx ดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนจุดนั้น เอาไว้ได้ดีมากๆ คนขับแทบไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือนเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นเลย คือมันนุ่มจนแอบ Delightful เลยละ! มันจะมาในแนวเดียวกับ Swift และ Ciaz แต่นุ่มขึ้นกว่าทั้งคู่ อีกนิดนึงด้วยซ้ำ!
เอาแล้ว Honda City รุ่นปัจจุบัน เจอคู่แข่งในเรื่องความนุ่ม ตามตรอกซอกซอย แล้วเว้ยเฮ้ย! เพราะในพื้นผิวขรุขระเบาๆ แบบนั้น Honda HR-V ซึ่งถือว่า เซ็ตรถมาได้ลงตัวที่สุดในกลุ่ม ก็ยังพอสัมผัสแรงสะเทือนเบาๆขึ้นมาจากล้ออยู่นิดๆเลย แต่ Fronx เล่นเก็บอาการได้เนียนกริ๊ป! จนชวนให้สงสัยต่อไปว่า ถ้านุ่มแบบนี้ แล้วเวลาต้องโยนโค้งหนักๆ รถจะเป็นอย่างไรบ้างละ?
แน่นอนครับ รถถูกยกสูงมา เซ็ตช่วงล่างติดนุ่ม แถมต้องเซ็ตมาเผื่อเอาใจลูกค้าทั่วโลก และโดยเฉพาะลูกค้าชาวยุโรปที่ซีเรียสเรื่องการทรงตัวด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่วิศวกร Suzuki ทำได้ดีเลยทีเดียว หน้ารถจิกโค้งประมาณหนึ่ง มีอาการ Understeer เบาๆ ให้รับรู้ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง บั้นท้ายจะเริ่มออกนิดๆ เป็น Character ตามปกติ ของรถยนต์ที่ใช้ Platform Heartect นั่นแหละ คล้ายๆ Swift รุ่นปัจจุบันเลย แต่ความคล่องแคล่ว และคล่องตัวนั้น Fronx จะแทรกอยู่ตรงกลางระหว่าง Swift และ Ciaz นั่นละครับ คือ คล่องใกล้เคียง Swift แต่ไม่ถึงกับมีบั้นท้ายที่ยาวมาคอยรั้งไว้แบบ Ciaz
การตอบสนองของแป้นเบรก นั้น น้ำหนักเบา มีระยะเหยียบ ปานกลาง ไม่ลึกไม่ตื้นจนเกินไป แป้นเบรกค่อนข้าง Linear ดีประมาณนึงเลยละ แต่ด้วยเวลาอันจำกัด และระยะทางวิ่งที่สั้น ทำให้เรายังลองระบะเบรกได้ไม่เต็มที่นัก
********** สรุป (เบื้องต้น) / Conclusion **********
Swift ที่ยกสูงขึ้น และกว้างขึ้น ขุมพลัง Ertiga จับยกสูง คล่อง นุ่ม ควบคุมดี
การลองขับช่วงสั้นๆ ในสนามนครชัยศรี อาจดูเหมือนว่าสั้นไปสักหน่อย สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผม นั่นก็มากเพียงพอที่จะทำให้เราได้เรียนรู้จัก บุคลิกของ รถยนต์รุ่นใหม่ ที่จะเป็นทัพเอกในการทำตลาดหลักให้กับ Suzuki ในเมืองไทย ตลอดช่วง 4 ปีข้างหน้านี้
ยิ่งมองในมุมของคนที่เคยขับ Suzuki มาแล้ว ทุกรุ่นที่ทำตลาดในเมืองไทย ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ผมยิ่งเข้าใจรถคันนี้ได้ง่ายขึ้นเยอะเลย และตัวรถ ก็มีบุคลิก เป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้ในหลายสิ่ง แต่บางเรื่อง ก็ดีกว่าที่คิดซะงั้น!
ถ้าคุณเคยชอบความคล่องแคล่วของ Swift แต่ขอกำลังเครื่องยนต์ที่แรงกว่า ECO Car 1.2 ลิตรเดิมๆ เอาสัก 1.5 ลิตร แบบ Ertiga ก็ยังดี ต้องการรถยนต์คันเล็กใช้งานในเมือง แต่ยกสูงหนีน้ำท่วมพอไหว ไม่เน้นหวือหวา ขับใช้งานเรื่อยๆ ไม่ได้บ้าพลัง แต่มีตัวช่วยด้วยความปลอดภัยมาให้ ร่วมสมัยนิยม แถมยังอยากได้ความนุ่มสบายไปพร้อมกับความมั่นใจในการขับขี่ย่านความเร็วสูง ในราคาที่ไม่แพง หรืออาจจะเรียกได้ว่า ถูกที่สุดในบรรดา B-SUV จากฝั่งญี่ปุ่น คำตอบจะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจาก Fronx
จุดเด่นของ Fronx นั้น อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งมีขนาดกำลังดี ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ เกินไป การควบคุมรถที่ดีงาม สมกับเป็น Suzuki ที่ทำมาเพื่อขายในตลาดยุโรป และทั่วโลกด้วย พวงมาลัยน้ำหนักเบา แต่เป็นธรรมชาติ เซ็ตมาดีมาก บังคับเลี้ยวได้แม่นยำในระดับที่เหมาะสมกับลักษณะของรถที่ยกสูงจากพื้นค่อนข้างเยอะกว่ารถเก๋งปกติ มีระยะฟรีกำลังดี ในระดับที่อยากจะถอดชุดแร็ค ทั้งยวง เอาไปใส่ใน Ciaz คันที่บ้านเลย! นอกจากนี้ ช่วงล่าง ก็ยังซับแรงสะเทือนในช่วงความเร็วต่ำได้ดีมาก เน้นความนุ่มสบาย แต่เข้าโค้งก็พอให้ความมั่นใจได้อยู่ แถม Feeling แป้นเบรก ก็ยังเบา Linear และนุ่มเท้า ในแบบ Suzuki ที่หลายคนคุ้นเคย
อีกจุดเด่นสำคัญก็คือ Fronx เป็น Suzuki รุ่นแรกในเมืองไทย ที่ถูกติดตั้งระบบตัวช่วยการขับขี่ ADAS ในกลุ่มของ Suzuki Safety Support จัดมาให้ในระดับ เท่ากันกับเวอร์ชัน Indonesia เป๊ะ ไม่ว่าจะเป็นระบบ ACC (Adaptive Cruise Control) ระบบ Dual Sensor Brake Support II ระบบ LKA (Lane Keeping Assist) ระบบ BSM (Blind Spot Monitor ระบบ Lane Departure Warning ระบบ Lane Departure Prevention ฯลฯ
เรื่องบริการหลังการขาย และอะไหล่ แทบจะเรียกว่า หายห่วง เพราะ Suzuki ยังคงมีคลังอะไหล่ อยู่ในประเทศไทย จากประสบการณ์ของผม ถ้าของชิ้ันเล็กๆ หมุนเวียนบ่อย สั่งปุ๊บ รอไม่เกิน 24 ชั่วโมง หรือ วันเดียว อะไหล่ก็มาถึงศูนย์บริการ แต่ถ้าเป็นชิ้นใหญ่ๆ ที่นานๆที คนจะเบิกกันสักที อาจต้องรอสัก 2 – 3 วัน (48 – 72 ชั่วโมง) ไม่เกินนี้ อะไหล่ก็มาถึงศูนย์บริการ ทั้ง 93 แห่งทั่วประเทศไทย แล้ว (Update เมื่อ 22 กันยายน 2025) และในแง่การซ่อมบำรุง ก็ถือว่า ซ่อมง่าย ไม่ยาก ค่าซ่อม หรือค่าเข่าศูนย์บริการแต่ละครั้ง ถือว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นค่ายอื่น ไปดูรายละเอียดเรื่องงานบริการหลังการขาย ได้ที่นี่ Click Here
ส่วนจุดด้อยที่ เห็นได้ชัดในตอนนี้ แน่นอนว่า หลักๆแล้วมีอยู่ 2 จุด นั้นคือ พื้นที่เหนือศีรษะของผู้โดยสารด้านหลัง อาจจะน้อยไปหน่อย เพราะหลังคาด้านหลัง ออกแบบมาให้ลาดเทลงไปเยอะ อีกประการหนึ่งคือ พละกำลัง จากเครื่องยนต์ ทั้ง 2 แบบ แม้จะเพียงพอต่อการใช้งานของทุกคน แต่อาจจะยังอืดไปหน่อยเมื่อเทียบกับชาวบ้านชาวช่อง ในยุคสมัยนี้
มันอืดแค่ไหน มันไม่แย่หรอกครับ ประมาณ 11 วินาที ปลายๆ ถึง 12 วินาที ต้นๆ ซึ่งก็อยู่ในระดับที่หลายๆคน คุ้นเคยกับรถเก๋ง B-Segment เจ้าตลาด อย่าง Toyota Vios และ Honda City รุ่นก่อนๆ ซึ่งก็ถือว่า อยู่ในระดับมาตรฐานทั่วไป ไม่ลงต่ำไปแถวๆ 14-15 วินาที เหมือนพวก ECO Car 1.2 ลิตร แน่ๆ แต่ถ้าคนรุ่นใหม่ ที่คุ้นเคยกับอัตราเร่งที่ไวกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้ของรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นที่มีราคาถูกกว่าแล้ว Fronx ก็คงอืดกว่าแน่ๆในสายตาคนกลุ่มนั้น
คำถามก็คือ ถ้าเราจับเวลากันจริงๆ ตัวเลขจะอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงหละ จะประหยัดน้ำมันมากน้อยแค่ไหน แล้วการขับขี่ บนถนนจริงในเมืองไทย จะให้การตอบสนองได้ดีแค่ไหน?
อดใจรออ่านในบทความ Full Review ฉบับเต็ม ก่อนสิ้นปีนี้ ครับ!
—————————–///——————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์
บริษัท Suzuki Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
สถานที่ในการบันทึกภาพ : สนามแข่งรถ Thailand Circuit นครชัยศรี
——————————————————-
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
25 กันยายน 2025
Copyright (c) 2025 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 25th, 2025
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE
————————–///————————-
