ตลาดรถยนต์ Minivan 7 ที่นั่ง ขนาดใหญ่ เริ่มค่อยๆ เบ่งบานขึ้นในประเทศไทย มาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1990 อันเป็นผลมาจาก บรรดานักการเมือง และผู้นำระดับสูงของประเทศเรา เริ่มเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิต จากการนั่งโดยสารบนเบาะหลังของรถยนต์ Saloon หรูๆ อย่าง Mercedes-Benz ไปจนถึง Rolls Royce มาเป็นการนำรถตู้ อย่าง Volkswagen Caravelle มาดัดแปลงใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุผลเรื่อง พื้นที่ห้องโดยสาร ใหญ่โตกว่า เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่มากกว่า ทำให้ รถตู้โดยสารขนาดใหญ่ แบบ Minivan 7 ที่นั่ง แบบมีด้านหน้ารถยื่นออกมา เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น จากจำนวนผู้เล่นในตลาด ในยุคทศวรรษ ที่ 1990 ซึ่งมีอยู่เพียงแค่ Volkswagen Caravelle และ Mercedes-Benz Vito ก็เริ่มมีคู่แข่งจากฝั่ง ASIA เข้ามาขอร่วมวงมากขึ้น เช่น Toyota Granvia ในปี 1996 อันเป็นบรรพบุรุษ ที่วางพื้นฐานให้ Toyota Alphard / Vellfire กลายมาเป็นรถตู้ 7 ที่นั่ง ยอดนิยมในบ้านเรา จนกระทั่งค่ายรถยนต์จากจีน พากันส่ง รถตู้ Minivan ขุมพลังไฟฟ้า เข้ามาบุกตลาดบ้านเรากันใหญ่
อย่างไรก็ตาม เมื่อข้ามทวีปไปดูฝั่งสหรัฐอเมริกา อันเป็นประเทศต้นกำเนิดความนิยมในรถยนต์ประเภทนี้ เรากลับพบว่า วิธีการใช้งานรถตู้ของพวกเขา แตกต่างจากคนไทยในบ้านเราโดยสิ้นเชิง กว่า 90% ของลูกค้าที่อุดหนุนรถตู้ Minivan 7 ที่นั่ง คือ ครอบครัวชาวอเมริกัน ที่มีสมาชิกในบ้านเยอะกว่าปกติ เวลาเดินทางไปไหนมาไหน ก็อยากให้สมาชิกตัวน้อยในบ้าน ได้รับความเพลิดเพลิน สะดวกสบาย และมีพื้นที่ส่วนตัวในระหว่างร่วมทางไปด้วยกัน
Chrysler Corporation (ในยุคสมัยที่ยังไม่ควบรวมกิจการมาเป็น Stellantis ในปัจจุบัน) คือผู้บุกเบิกให้ชาวอเมริกันได้รู้จักกับยานพาหนะในการเดินทางรูปแบบใหม่ ในยุคที่ชาวอเมริกันส่วนมาก ยังคุ้นเคยกับรถยนต์ Station Wagon ตรวจการ 5 ประตู ซึ่งมีข้อจำกัดด้านพื้นที่การใช้งาน อรรถประโยชน์ยังไม่อเนกประสงค์มากพอ ด้วย Dodge Caravan , Plymouth Voyager และ Chrysler Town & Country ที่สร้างยอดขายถล่มทะลาย จนทำให้ Lee Iacocca นำพาบริษัท Chrysler จากคนไข้ที่ป่วยในระดับนอนรอความตาย จนพลิกฟื้นกลับมาได้ กลายเป็นยักษ์อันดับ 3 ของวงการรถยนต์อเมริกัน ได้อย่างสวยงามอีกครั้ง ก่อนจะล้มลุกคลุกคลานเรื่อยๆ มาจนถึงยุค Stellantis ในปัจจุบัน
แน่นอนว่า ยุคนั้น เป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก แนวคิดใหม่ๆ ถูกพัฒนาและนำออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ผู้ผลิตรถยนต์หลายๆราย ก็เริ่มมองเห็นการเจริญเติบโตของตลาด Minivan 7 ที่นั่ง บนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม Platform ร่วมกับรถยนต์เก๋ง 4 ประตู แบบเดิมๆ จนต่างก็อยากจะทำรถตู้ Minivan ขึ้นเป็นของตนเอง
ขณะเดียวกัน ช่วงทศวรรษ 1980 นั้น การแสวงหาพันธมิตร ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หลายบริษัท ต่างล้วนแล้วแต่เคยร่วมมือกัน สร้างสรรค์โครงการความร่วมมือในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพราะหากต่างคนต่างลงทุนพัฒนารถยนต์กันตามลำพัง โดยเฉพาะตลาดกลุ่มใหม่ ที่ตนเองไม่เคยมีรถยนต์สำหรับทำตลาดกลุ่มนั้นๆมาก่อน ยิ่งเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจมูลค่ามหาศาลที่บริษัทรถยนต์ต้องแบกรับ การจับมือกันจะช่วยลดต้นทุนการพัฒนา รวมทั้งการบริหารจัดการด้าน Logistic โรงงาน อะไหล่ และอีกสารพัดเรื่องล้านแปด จนกระทั่งยังช่วยให้พวกเขา ส่งรถยนต์เข้าสู่ตลาดได้ด้วยราคา และสัดส่วนกำไรที่เหมาะสม
Ford Motor Company ในฐานะยักษ์อันดับ 2 ของวงการรถยนต์อเมริกัน เองพวกเขากำลังซุ่มทำ Minivan ของตนเองอยู่ เพื่อออกมาต่อกรกับ Chrysler กันอยู่ก็จริง แต่รถตู้ Ford AeroStar ที่สร้างขึ้นบน Frame Chassis ของรถตู้ Econoline ก็ยังไม่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีพอ พวกเขาต้องการ Minivan 7 ที่นั่ง บนพื้นตัวถังรถเก๋งขึ้นรูปด้วยโครงสร้างแบบ Monocoque Body เพื่อให้ตัวรถขับขี่ง่าย และนั่งสบายอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน Nissan Motor Company ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของวงการรถยนต์ฝั่งญี่ปุ่น (ในตอนนั้น) เอง ก็มองเห็นการเติบโตของตลาดกลุ่มนี้เช่นกัน และอยากจะลองหยั่งเชิงในการสร้างรถตู้ Minivan 7 ที่นั่ง เพื่อตลาดอเมริกาเหนือเป็นหลัก
ความต้องการที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายปลายทางร่วมกัน นำมาสู่ความร่วมมือแบบที่ทุกคนก็ไม่คาดคิด
ใช่ครับ ในที่สุด วันหนึ่ง โชคชะตา ก็นำพาให้ Ford กับ Nissan หันมาจับมือ เพื่อทำรถยนต์ร่วมกัน! และนี่คือโครงการแรกเริ่ม ที่ทั้งคู่ จับมือกันพัฒนารถยนต์ ร่วมกัน ออกสู่ตลาดโลก นอกเหนือจาก Nissan Mistral / Ford Maverick (3rd Generation) ที่สยามกลการเคยนำเข้ามาขายในบ้านเรา ด้วยชื่อ Nissan Terrano II ในช่วงปี 1996-1997
ช่วงทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจโลก กำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า ขณะนั้น ยอดขายรถยนต์ในกลุ่ม Minivan (MPV) เริ่มพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความนิยมของ ฝาแฝด Minivan อย่าง Chrysler Town and Country , Plymouth Voyager และ Dodge Caravan หนึ่งในผลงานชิ้นโบแดงของ Lee Iacocca ผู้บริหารที่นำพาให้ยักษ์อันดับ 3 ของอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกันที่กำลังจะล้มละลายอย่าง Chrysler Corporation ฝ่าวิกฤติ พ้นปากเหว และรอดจากปากเหยี่ยวปากกาสื่อมวลชน กับรัฐบาลสหรัฐฯ จนสำเร็จ เปิดตัวออกสู่ตลาดอเมริกาเหนือ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 1983 ก่อนจะตามมาด้วย Renault Espace ผลผลิตจาก Matra และ Renault เพื่อตลาดฝรั่งเศส และทวีปยุโรป ซึ่งเปิดตัวในเดือนเมษายน 1984 และเริ่มออกจำหน่ายจริงในเดือนมิถุนายน 1984
ตอนนั้น Ford Motor Company เอง ก็เลือกจะตอบโต้ Chrysler ในตลาดอเมริกาเหนือ ด้วยการซุ่มพัฒนาและเปิดตัว รถตู้ Ford Aerostar เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1985 วางขุมพลัง ทั้งแบบ เบนซิน “Lima-in-Line (ตั้งชื่อตามโรงงานผลิตเครื่องยนต์ Lima ในรัฐ Ohio)” เบนซิน 4 สูบ SOHC 2.3 ลิตร 2,301 ซีซี หัวฉีด Multi-Point EFI 100 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 125 ฟุต-ปอนด์ (17.28กก.-ม.) และ เบนซิน “Cologne (ชื่อตระกูลเครื่องยนต์ Ford V6 สำหรับยุโรป) ” เบนซิน V6 2.8 ลิตร 115 แรงม้า (HP) ที่ 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 ฟุต-ปอนด์ (20.7 กก.-ม.) ที่ 2,600 รอบ/นาที ทั้งคู่ มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ (จาก Mazda TK5) และ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (Ford A4LD)
ถึงแม้ว่า ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ล้ำสมัย จะช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจ จนขายดิบขายดีอยู่พอสมควรในช่วงแรกๆ ก็จริงอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาจะต้องคิดการใหญ่เพื่อ เตรียมพัฒนารถตู้ Minivan รุ่นต่อไป Ford เริ่มมองเห็นว่า การที่ Aerostar ถูกสร้างขึ้นบน Chassis รถตู้ส่งของ Ford Econoline ทำให้สมรรถนะการขับขี่มันไม่ค่อยดีเท่าที่ควร อีกทั้งตัวรถยังค่อนข้างสูงไปหน่อย สำหรับลูกค้าที่คุ้นชินกับการขับรถเก๋งมาก่อน ทำให้ระยะหลังๆ Ford ต้องปรับปรุงตัวรถ หลายระลอก และลากทำตลาด Aerostar ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 17 มีนาคม 1997 จึงจะประกาศยุติบทบาท และรถคันสุดท้าย ก็คลอดออกจากโรงงาน St.Louise เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1997 ถึงแก่การปิดฉากโดยสมบูรณ์ ด้วยยอดผลิตตลอดอายุตลาด 12 ปี รวมทั้งหมด 2,029,577 คัน
ระหว่างที่ Aerostar เปิดตัวไปได้ไม่นานนัก Ford เอง ก็กำลังเริ่มทำรถตู้ขนาดใหญ่กว่าเดิม อย่าง Ford Windstar บนพื้นตัวถังของ Ford Taurus แต่กว่าจะคลอดออกสู่ตลาดได้ ็ต้องรอกันหลังปี 1995 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน สำหรับ แบรนด์ Mercury ในเครือของ Ford แล้ว ยังต้องการ Minivan สักรุ่นที่มีขนาดย่อมเยาลงมา แต่ทรงพลังกว่าเดิม และสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับแบรนด์นี้ เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับทั้ง Aerostar ที่กำลังทำตลาดในตอนนั้น และ Windstar ที่ยังไม่ถึงกำหนดออกขายจริง ดังนั้น น่าจะเป็นการดีกว่า หากจะมีพันธมิตร ที่จะมาร่วมด้วยช่วยกันพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ สำหรับตลาดอเมริกาเหนือเป็นหลัก โดยที่ตนเอง ก็ไม่ต้องทุ่มเงินลงทุนเยอะ
ขณะเดียวกัน ฝากฝั่งญี่ปุ่น Nissan Motor ก็กำลังสนุกกับการบุกตลาดสหรัฐอเมริกา ไปพร้อมกับการเป็นผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์ Minivan 7 ที่นั่ง ในญี่ปุ่น จากการเปิดตัว Nissan PRARIE รถตู้ขนาดเล็ก บนพื้นฐาน Nissan Sunny FF B11 และเป็นรถตู้ที่ไม่มีเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillarless แบบแรกในโลกที่ผลิตออกขายจริง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 1982 (ก่อนหน้า Chrysler Minivan ไม่นานนัก) ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็เริ่มมองเห็นกระแสความต้องการรถตู้ Minivan ขนาดกลาง เพื่อครอบครัว ในตลาดสหรัฐอเมริกา
พวกเขาทดลองนำ PRARIE ผลิตจากญี่ปุ่น ส่งไปขายในเขตอเมริกาเหนือ ในปีเดียวกันนั้นเอง ภายใต้ชื่อ Nissan STANZA WAGON วางตำแหน่งการตลาดในฐานะ ตัวถัง Station Wagon สำหรับรถเก๋งขนาดกลาง ตระกูล Stanza (แตกหน่อออกมาจาก Violet และ Auster แต่เป็นต้นตระกูลของ Altima ในปัจจุบัน) แต่ด้วยขนาดตัวรถที่เล็กไปสำหรับสรีระชาวอเมริกัน Nissan จึงขอลองอีกครั้ง ด้วยการพัฒนา PRARIE รุ่นที่ 2 ส่งเข้าไปขายในตลาดอเมริกาเหนืออีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น Nissan AXXESS รวมทั้งการนำ Nissan VANNETTE เข้าไปจำหน่าย ในชื่อ Nissan VAN แต่ทั้งสองรุ่น กลับ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะตัวรถมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับชาวอเมริกันอยู่ดี
แน่นอนว่า Nissan ต้องการ Minivan คันใหญ่กว่าเดิม ใหญ่กว่าทุกรุ่นที่พวกเขาผลิตออกจำหน่ายในเวลานั้น สำหรับเอาใจลูกค้าชาวอเมริกัน แต่ ครั้นจะให้ลงทุนทำ Minivan ขึ้นมาใหม่เองทั้งคัน Nissan ก็มองว่า ตลาดกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงสูงไปหน่อย ถ้ามีใครมาร่วมแชร์กัน ลงทุนทำรถยนต์รุ่นใหม่ด้วยกัน น่าจะลดความเสี่ยงลงไปได้เยอะเลย
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Nissan กับ Ford เริ่มมาพบปะพูดคุยกัน อย่างจริงจัง…
วันที่ 1 พฤษภาคม 1987 Nissan และ Ford ออกแถลงการณ์ร่วมกันครั้งแรก อย่างเป็นทางการ ว่า ทั้ง 2 บริษัท ต่างตกลงร่วมกัน เริ่มต้น ศึกษาความเป็นไปได้ ในการร่วมมือกันพัฒนา และผลิต รถตู้ Minivan 7 ที่นั่ง รุ่นใหม่ โดยในช่วงแรก ทั้งคู่ต่างจะแลกเปลี่ยนมุมมอง และความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ ไปจนถึงร่วมกันมองหาความเป็นไปได้ ทั้งหน้าที่ ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบ โรงงานที่จะผลิต ในสหรัฐอเมริกา และ Canada การแลกเปลี่ยน และบริหารจัดการชิ้นส่วนอะไหล่ ปริมาณยอดขายที่คาดหวังไว้ ฯลฯ
(นอกเหนือจากนี้ ทั้ง 2 บริษัท ต่างจะเจรจากันเพื่อมองหารถยนต์รุ่นใหม่ที่จะทำตลาดร่วมกัน ตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล Australia ในขณะนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับโครงการนี้ แต่บทสรุปเป็นอย่างไร ค่อนข้างบันเทิงเอาเรื่อง เช่น Ford Falcon Ute กระบะ แต่เอาไปใส่แบรนด์ Nissan Ute หรือ เอา Nissan Patrol GR ไปขายในชื่อ Ford Marverick ฯลฯ เดี๋ยวไว้จะเขียนเล่าให้อ่านวันหลัง)
หลังจากการศึกษา ความเป็นไปได้ ในทุกด้านอย่างจริงจัง ประมาณ 1 ปีเศษ วันที่ 12 กันยายน 1988 Nissan และ Ford ก็ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ว่า ขณะที่สถานการณ์ในปี 1987 นั้น ยอดขาย Minivan ในสหรัฐอเมริกา พุ่งสูงขึ้นรวมถึง 740,000 คัน และคาดการณ์กันว่า ตัวเลขจะพุ่งสูงขึ้นไปถึง 1,000,000 คัน ในปี 1992 นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ Nissan และ Ford จะเดินหน้าโครงการพัฒนา Minivan 7 ที่นั่ง ร่วมกัน เพื่อให้ทันออกสู่ตลาดในฤดูใบไม้ร่วง ปี 1991
โดย Nissan และ Ford จะทำการสำรวจ และวิจัยตลาดร่วมกัน ส่วนบริษัท Nissan Research and Development Inc. ที่ Ann Arbor มลรัฐ Michigan จะรับหน้าที่ในการออกแบบตัวรถ ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และภายใน ไปจนถึงงานวิศวกรรมในด้านต่างๆ
การพัฒนาเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปลายปีนั้น โดยทั้งคู่ ตกลงร่วมกันว่า จะสร้างรถตู้ Minivan รุ่นใหม่นี้ บนพื้นตัวถัง VX54 ซึ่งดัดแปลงจากพื้นตัวถังของ Nissan Maxima รหัสรุ่น J30 และจะใช้เครื่องยนต์ VG30 ของ Nissan เป็นขุมพลังหลัก เพียงแบบเดียว
ส่วนงานออกแบบนั้น การคัดเลือกขั้นสุดท้าย เกิดขึ้นเมื่อปี 1989 จากนั้น ตัวรถต้นแบบเข้าสู่การทดสอบเบื้องต้นในปี 1990 ที่สนามทดสอบของทั้ง Ford และ Nissan จากนั้น การทดสอบในสภาพถนนจริง และการทดสอบความทนทานของชิ้นส่วนอะไหล่ ก็มีขึ้นตลอดปี 1991
Earl Hesterberg รองประธานของ Nissan Division ของ Nissan Motor USA ในขณะนั้น กล่าวว่า “จากการวิจัยกลุ่มลูกค้าตัวอย่าง พบว่า ลูกค้าจำนวนมาก ต้องการให้ รถตู้รุ่นใหม่นี้ มีความสบาย และความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ควบคู่ไปกับการขับขี่ ที่ให้สมรรถนะในแบบเดียวกับรถเก๋ง เราศึกษารถตู้ของคู่แข่งทุกรุ่น แต่เราไม่ได้ลอกเลียนแบบพวกเขา เพราะเป้าหมายของเราคือการสร้างมาตรฐานใหม่ สำหรับรถตู้ Minivan ในอนาคต”
ด้านการผลิต Nissan และ Ford ตกลงร่วมกันที่จะนำ Quest และ Mercury Villager ไปขึ้นสายการผลิต ณ โรงงานของ Ford ที่เมือง Avon Lake มลรัฐ Ohio โดย Nissan จะเข้าไปให้ความร่วมมือด้านเทคนิค สำหรับกระบวนการผลิต รวมทั้งการกำหนดรูปแบบของแม่พิมพ์ชิ้นส่วนตัวถัง (Body Jig) และจัดส่งทีมวิศวกรฝ่ายผลิตไปช่วยฝึกอบรมให้กับคนงานในโรงงาน Ohio
Nissan และ Ford ตั้งเป้าหมายยอดผลิตอยู่ที่ 135,000 คัน/ปี โดยในจำนวนนี้ Nissan จะแบ่งออกไปจำหน่ายเองรวม 50,000 คัน อย่างไรก็ตาม ด้วยการทำงานที่มีขั้นตอนต่างๆมากมาย การทดสอบ และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและต้องแก้ไข ทำให้กว่าที่รถคันจริง จะเริ่มส่งถึงมือโชว์รูมผู้จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ก็ปาเข้าไปเป็น เดือนกรกฎาคม 1992 ในฐานะ รถยนต์รุ่นปี 1993
1St Generation : Nissan QUEST (V40) & Mercury VILLAGER
January 6th,1992 – July 1998
เมื่อการพัฒนาตัวรถ เสร็จสิ้นลง ในช่วงปลายปี 1991 Nissan เผยโฉมผลผลิตจากความร่วมมือนี้ก่อน เป็นครั้งแรกในโลก ผ่านทางภาพถ่ายชุดแรก เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1991 ก่อนจะส่งรถคันจริง ขึ้นไปอวดโฉมบนแท่นหมุนในบูธของตน ณ งาน 1992 North American International Auto Show หรือ Detroit Auto Show เมื่อวันที่ 6 มกราคม 1992 โดยใช้ชื่อ Nissan QUEST
จุดเด่นสำคัญที่ Nissan ใช้เป็นจุดขายของ Minivan รุ่นใหม่นี้ก็คือ “True car-like handling and comfort” แปลเป็นไทยได้ว่า “บุคลิกการขับขี่และความสบาย ที่ใกล้เคียงกับรถเก๋ง อย่างแท้จริง”
สายการผลิตที่โรงงาน Avon Lake เริ่มปล่อย Quest และ Villager คันแรก ออกมาเมื่อ วันที่ 13 เมษายน 1992 แต่กว่าจะพร้อมส่งขึ้นโชว์รูมตัวแทนจำหน่ายของทั้ง Nissan และ Ford Lincoln Mercury ทั่วสหรัฐอเมริกา ต้องรอกันจนถึง วันที่ 7 มิถุนายน 1992
หลังจากนั้น Nissan ก็ทดลองนำ Quest ไปอวดโฉมในสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ งาน Auto China เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1992 ร่วมกับรถยนต์ในตระกูลอีก 7 รุ่น เพื่อดูการตอบรับของลูกค้าชาวจีน ซึ่งก็ได้รับความสนใจอยู่แต่ไม่ถึงกับมากมายนัก
Nissan Quest
ส่วน Ford นำรถตู้คันนี้ ไปทำตลาดเองในชื่อ Mercury Villager (รหัสรุ่น V11) โดยเผยภาพถ่ายแรกพร้อมกับ Nissan ในวันที่ 17 ธันวาคม 1991 และเปิดตัวในงาน Chicago Auto Show 1992 ก่อนจะเริ่มออกสู่ตลาด เมื่อ วันที่ 9 มิถุนายน 1992 ทั้งในสหรัฐอเมริกา และ Canada รวมทั้งตลาดส่งออกในบางประเทศเล็กๆ ที่อยู่ในเขต U.S. Territory ในฐานะ รถยนต์รุ่นปี 1993
ชื่อรุ่น Villager นั้น เป็นการนำชื่อนี้กลับมาวนใช้อีกครั้ง ตามนิสัยปกติของ Ford และผู้ผลิตชาวอเมริกันรายอื่นๆ เพราะแรกเริ่มเดิมที Ford นำชื่อนี้มาใช้เป็นครั้งแรกกับรถยนต์ตัวถัง Station Wagon ที่ Ford พัฒนาขึ้นมาเพื่อจำหน่ายภายใต้แบรนด์ EDSEL อันเป็นแบรนด์ระดับกลาง ที่ Ford ตั้งใจหมายมั่นปั้นมือว่า จะเพิ่มทางเลือก สำหรับลูกค้าที่อยากจะยกระดับจาก Ford หรือ Mercury ที่ตนใช้อยู่ แต่ยังมีงบไม่ถึงพอจะปีนขึ้นไปหาแบรนด์ Lincoln อันเป็นแบรนด์สูงสุดในตระกูล
Edsel Villager ออกจำหน่ายครั้งแรก พร้อมกับญาติพี่น้องอีก 18 รุ่นย่อย ในวันเปิดตัวแบรนด์ Edsel สู่ตลาดอเมริกาเหนืออย่างเป็นทางการ เมื่อ วันที่ 4 กันยายน 1957 ในฐานะรถยนต์รุ่นปี 1958 แต่ด้วยปัญหานานับประการ ทำให้ แบรนด์ Edsel ถูกประกาศยกเลิกไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1959 (รายละเอียดความเป็นมาของแบรนด์ Edsel อ่านได้ที่นี่ CLICK HERE)
นับแต่นั้นมา Edsel Villager จึงถูกเปลี่ยนมาจำหน่ายในชื่อ Mercury Villager Station Wagon ตลอดช่วงปี 1962 จนถึง 1984 ก่อนจะยุติบทบาทไป เพราะแทนที่ด้วย Mercury Sable Station Wagon ฝาแฝด ของ Ford Taurus Station Wagon ที่เปิดตัวในปี 1985
การกลับมาของชื่อ Villager ครั้งนี้ หากนับล่วงมาจนถึงปัจจุบันแล้ว ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่ Ford นำชื่อรุ่นนี้ มาใช้กับรถยนต์เพื่อตลาดกลุ่มครอบครัวของตน
Mercury Villager
ทั้ง Quest และ Villeger รุ่นแรก มีขนาดตัวถังยาว 4,823 มิลลิเมตร กว้าง 1,872 มิลลิเมตร สูง 1,717 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 3,783 – 3,970 ปอนด์ (1,715 – 1,804 กิโลกรัม) ถังน้ำมันความจุ 20 Gallons (75 ลิตร)
ตัวรถมีลักษณะเป็น Minivan 4 ประตู คือมีประตูคู่หน้า และฝากระโปรงท้าย แต่สำหรับผู้โดยสารตรงกลาง Nissan และ Ford ทำประตูให้ขึ้น-ลง จากรถ แค่เพียงฝั่งขวา อย่างเดิยวเท่านั้น
งานออกแบบภายนอก มาในแนวร่วมสมัย โค้งมน กลมกลืนไปทั้งคัน มุมขอบกระจกหน้าต่าง รอบคันเป็นแบบโค้งมน ตัวรถถูกลดความสูงลงมา จาก Minivan คู่แข่ง ส่งผลให้ตำแหน่งเบาะนั่งต่ำลง จนมีลักษณะภายนอก เหมือนรถเก๋ง ตัวถัง Station Wagon มากกว่าจะดูเป็น Minivan ไปเสียทีเดียว
ความแตกต่างจากภายนอกที่สำคัญ และแยกทั้งคู่ออกจากกันอย่างเด้นชัด คือ กระจังหน้าของ Quest จะถูกออกแบบเป็นช่องรับอากาศแนวยาวธรรมดา พ่นกรอบด้านนอกเป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนไฟเลี้ยว บนเปลือกกันชนหน้า จะเป็นสีส้ม ขณะที่ Villager จะเปลี่ยนไปใช้กระจังหน้าแบบ “Light Bar” เพื่อเชื่อมต่อไฟหน้าทั้ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน ส่วนไฟเลี้ยวบนเปลือกกันชนหน้า จะเปลี่ยนไปใช้กรอบสีขาว หลอดสีส้มอำพัน แทน
กระจกหน้าต่างด้านข้าง ฝั่งผู้โดยสารแถว 2 และ 3 สามารถเปิด “เผยอ” ออกมา เพื่อระบายอากาศได้ ทัั้งฝั่งซ้ายและขวา ส่วนฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง สามารถแบ่งเปิดแยกชิ้นกัน ระหว่างตัวบานฝาท้าย และกระจกบังลมหลัง แนวคิดนี้ ถูกนำมาใช้กับ Nissan Serena C27 และ C28 ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน
หลังคาด้านบนของ Quest GXE และ Villager LS จะมี Rack Roof มาให้ สำหรับติดตั้งอุปกรณ์รองรับการบรรทุก ทั้งจักรยาน เครื่องเล่นสกี ไปจนถึง กล่องใส่สัมภาระต่างๆ
ครึ่งท่อนล่างของตัวรถ ถูกตกแต่งด้วยแผงพลาสติกแบบ Polyvinyl Chloride คล้ายๆกับ Mercedes-Benz E-Class W124 นอกจากจะเสริมความสวยงาม และป้องกันการกระเด็นของเศษหินกับเศษยางมะตอยแล้ว ยังสะดวกต่อการทำสีรถในลักษณะ Two-Tone อีกด้วย โดย Quest จะถูกตกแต่งด้วยสีตัวถัง Monochrome หรือ โทนสีเดียวกันทั้งคัน ขณะที่ Villager จะสร้างความแตกต่าง ด้วยสีแบบ Two-tone เป็นหลัก
ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ของ Quest จะมีไฟถอยหลัง แยกออกมาติดตั้งขนาบข้างช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง แต่สำหรับ Villager จะได้แผงทับทิมสะท้อนแสงสีแดง แนวยาว มาติดตั้งเชื่อมต่อจากชุดไฟท้าย ฝั่งซ้าย จรดขวา
นอกจากนี้ยังมีใบปัดน้ำฝนหลัง พร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง ซึ่งมาพร้อมกับไล่ฝ้าในตัว และสามารถแยกเปิดเฉพาะกระจกบังลมหลังเพียงอย่างเดียว หรือจะเปิดยกฝาท้ายขึ้นมาทั้งฝาเลยก็ได้
ภายในห้องโดยสาร ออกแบบเรียบง่าย แต่เอาใจลูกค้าชาวอเมริกัน ด้วยการย้ายคันเกียร์ ไปไว้บนคอพวงมาลัย แบบ Column Shift ชุดมาตรวัดในรุ่นมาตรฐาน จะเป็นเข็มวัด Analog 4 ช่อง พร้อมแผงสวิตช์ควบคุมไฟหน้าและไฟตัดหมอก อยู่ที่ฝั่งซ้ายของกรอบชุดมาตรวัด ส่วนฝั่งขวา เป็นแผงสวิตช์ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ แป้นเบรกมือ ย้ายไปเป็น เบรกจอด Parking Brake แบบ แป้นเหยียบ และมีคันโยก ดึงปลดเบรกจอดออก ที่ใต้สวิตช์กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า บริเวณฝั่งซ้ายของคอพวงมาลัย เป็นก้านสวิตช์ไฟเลี้ยว และใบปัดน้ำฝนพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกทั่้งด้านหน้าและด้านหลัง
ส่วนคอพวงมาลัยฝั่งขวา เป็นตำแหน่งของคันเกียร์อัตโนมัติ แบบ Column Shift ที่คนรุ่นก่อนมักเรียกว่า “เกียร์มือ” อันเป็นรูปแบบคันเกียร์ ที่คนอเมริกันคุ้นชิ้นมาตั้งแต่ยุค 1930 – 1940 จนถึง 2000 ส่วนพวงมาลัย ทุกรุ่นเป็นแบบ 4 ก้าน
แผงควบคุมวิทยุ และเครื่องปรับอากาศตรงกลาง ออกแบบมาให้เรียบง่าย สะดวกต่อการใช้งาน ถัดลงมา เป็น กล่องเก็บของ Consol Box ขนาดใหญ่ ใส่เครืองดื่มกระป๋องได้ในขนาดกำลังพอดี ฝั่งขวาของแผงหน้าปัด บริเวณผู้โดยสารด้านหน้า กล่องเก็บของ Glove Compartment ย้ายขึ้นไปเปิดอยู่ด้านบนแทน เพิ่มพื้นที่ใส่ของให้ลึกมาก
ด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวก Quest และ Villager ทุกรุ่น ทั้ง XE / GS และ GXE / LS ติดตั้ง ระบบ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า (Power Windows) เซ็นทรัลล็อก (Power Door Lock) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่รุ่น GXE จะเพิ่ม เบาะนั่งหุ้มหนัง เครื่องเล่น CD พร้อมสวิตช์ควบคุมสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ติดตั้งที่แผงวางแขนข้างผู้โดยสารด้านซ้ายของเบาะแถวกลาง และ Sunroof เปิด-ปิด-ยกขึ้น ได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า รวมทั้งมีระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control ติดตั้งบนแป้นแตรที่พวงมาลัย มาให้ด้วย
ภายในห้องโดยสาร เบาะนั่งคู่หน้า มีพนักวางแขน พับเก็บได้ ติดตั้งไว้ให้ตรงด้านข้างของตัวพนักพิง เบาะคนขับปรับตำแหน่งด้วยสวิตช์ไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง
เบาะนั่งของทุกรุ่น เป็นแบบ 7 ที่นั่ง หุ้มด้วยผ้า โดยเบาะแถวกลาง จะเป็นแบบม้านั่ง Bench Seat แต่ใน Quest GXE และ Villager LS มีเบาะนั่งแถวกลางแบบ Captain Seat และเบาะหนัง ให้เลือก เป็นอุปกรณ์สั่งซื้อติดตั้งพิเศษ
จุดเด่นสำคัญของ Minivan รุ่นนี้ คือ เบาะนั่ง แบบ QUEST TRAC ซึ่ง สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้มากถึง 14 รูปแบบ เบาะแถวกลาง สามารถพับเป็นโต๊ะวางของได้ และสามารถยกออกได้ เมื่อคุณต้องการพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังมากเป็นพิเศษ ให้ยกเบาะรองนั่งของเบาะแถว 3 ขึ้นมา (แบบเบาะโรงภาพยนตร์) แล้วเลื่อนชุดเบาะแถว 3 ขึ้นมาให้ได้ตามระยะที่คุณต้องการ หรือถ้าต้องการพื้นที่นั่งโดยสารแถวกลางที่กว้างเป็นพิเศษ คุณสามารถยกเบาะแถวกลางออก แล้วปรับเลื่อนตำแหน่งเบาะแถว 3 ให้กลายมาเป็นเบาะแถวกลาง พร้อมพื้นที่วางขาที่มากกว่ารถ Limousine ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เบาะแถว 3 ไม่สามารถถอดยกออกจากรถได้ และนี่คือหนึ่งในจุดด้อยของฝาแฝดคู่นี้ และปัญหาดังกล่าวก็ยังคงอยู่กับ Quest / Villager รุ่นถัดไป ไม่ได้รับการแก้ไข
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง หากไม่พับเบาะเลย จะอยู่ที่ 14.1 ลูกบาศก์-ฟุต ถ้าพับเบาะแถว 3 ลงไป จะเพิ่มขึ้นเป็น 49.4 ลูกบาศก์-ฟุต แต่ถ้ายกเบาะแถว 2 ออกไป แล้วดันเบาะแถว 3 ยกพับแล้วเลื่อนขึ้นไปชิดกับเบาะคู่หน้าสุด พื้นที่จะเพิ่มเป็น 114.8 ลูกบาศก์-ฟุต
ด้านขุมพลัง ถึงแม้ว่า Nissan และ Ford จะตกลงร่วมกันให้ Quest และ Villager รุ่นแรก วางเครื่องยนต์ VG30E เบนซิน V6 SOHC 12 วาล์ว 2,960 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87 x 83 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.0:1 หัวฉีด EGI (Sequential Multi-Point Fuel Injection) กำลังสูงสุด 153 แรงม้า (PS) หรือ 151 แรงม้า (HP) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร (23.94 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพัฒนา Ford ร้องขอให้ Nissan ต้องปรับเปลี่ยนงานออกแบบ VG30E บางจุดเสียก่อน ทั้งการเพิ่มเซ็นเซอร์ระดับน้ำมันเครื่อง (Oil Sensor level) และการย้ายตำแหน่งไส้กรองน้ำมันเครื่อง(Oil Filter) เพื่อให้ช่างซ่อมบำรุงเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สะดวกต่อการถอดเปลี่ยนเมื่อถึงเวลาเข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง นอกจากนี้ ตัวเครื่องยนต์ยังได้รับการปรับปรุง ให้เป็นแบบ non-interference design กล่าวคือ หากสายพานราวลิ้นขาด ลูกสูบ จะไม่สัมผัสกับวาล์วใดๆ ที่เปิดอยู่ในกระบอกสูบ
ขุมพลัง VG30E บล็อกนี้ ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ควบคุมด้วยสมองกล Electronics ของ Jatco ที่ยกมาจาก Nissan Maxima (Quest / Villager ทุกรุ่น ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกเลย) อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1…………………………..2.785
เกียร์ 2…………………………..1.545
เกียร์ 3…………………………..1.000
เกียร์ 4…………………………..0.694
เกียร์ Reverse (R)……………2.272
อัตราทดเฟืองท้าย……………3.861
พวงมาลัย Rack & Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบ Hydraulic ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบ McPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ คานบิด Beam Axel พร้อมแผ่นแหนบ Leaf Spring (มีเหล็กกันโคลง ขายแยกเป็น Option พิเศษ)
ระบบห้ามล้อ คู่หน้า ดิสก์เบรก คู่หลัง ดรัมเบรก พร้อมระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti Lock Braking System) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย รุ่น XE / GS สวมล้อกระทะเหล็กขนาด 15 นิ้ว x 5.5 JJ พร้อมยางขนาด 205/75R15 ส่วน รุ่น GXE / LS สวมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว x 6.5 JJ สวมยางขนาด 215/70R15 97H
ด้านความปลอดภัย Quest และ Villager รุ่นแรก ใช้โครงสร้างตัวถังนิรภัย แบบ Crumple Zone โดยใช้แผ่นเหล็ก ชุบ Galvanize พร้อมคานกันกระแทกนิรภัยเสริมในประตูทั้ง 4 บาน และเปลือกกันชนแบบ คืนรูปได้เมื่อเกิดการชนด้วยความเร็วไม่เกิน 5 ไมล์/ชั่วโมง แกนพวงมาลัยยุบตัวได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ทั้งเบาะคู่หน้า คู่กลาง และเบาะหลังแถว 3
Video Tape VHS สำหรับแจกลูกค้าชาวอเมริกัน ของ Nissan Quest รุ่นแรก มี 2 Version
ณ วันเปิดตัว ราคาจำหน่ายของ Nissan Quest และ Mercury Villager นั้น แตกต่างกันเล็กน้อย โดยฝั่งของ Ford/Mercury จะขายในราคาถูกกว่า Nissan ในระดับ 200 – 600 เหรียญสหรัฐ (อัตราแลกเปลี่ยน ในขณะนั้น 1 US.Dollar เท่ากับ 25 บาท) ตัวเลขราคา มีดังนี้
- 1993 Mercury Villager GS (Base): ราคาเริ่มต้น $17,055 ถึง $18,851
- 1993 Mercury Villager LS (Premium): ราคาเริ่มต้น $22,630 ถึง $22,683
- 1993 Nissan Quest XE Minivan: ราคาเริ่มต้น $17,345 ถึง $17,895
- 1993 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $21,800 ถึง $22,050
กระแสตอบรับจากสื่อมวลชนสายยานยนต์ ฝั่งอเมริกาเหนือ เป็นไปด้วยดี นักข่าว นักวิจารณ์ และนักทดสอบรถยนต์ส่วนใหญ่ ชื่นชอบ Quest และ Villager ในบุคลิกการขับขี่ที่ใกล้เคียงกับรถยนต์ Sedan ขนาดกลาง อย่าง Nissan Maxima ในขณะนั้น ถือว่าเป็น Minivan ที่ขับขี่ใกล้เคียงกับรถเก๋งมากที่สุดในตลาด รวมทั้งการจัดวาง Packaging พื้นที่ห้องโดยสาร ที่ให้ความสะดวกในการจัดรูปแบบเบาะนั่งทั้ง 3 แถว อย่าง อเนกประสงค์ และมีแนวโน้มที่รถจะมีตวามทนทานไว้ใจได้ อีกด้วย
ทันทีที่เปิดตัวออกสู่ตลาด Quest สามารถทำยอดขายในเดือนกันยายน 1992 อันเป็นเดือนแรกที่เริ่มออกจำหน่าย ได้ 1,358 คัน สำหรับตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาแล้ว ยอดขายเดือนแรก แทบจะเรียกได้ว่าชี้ชะตาของรถยนต์รุ่นนั้นๆในอนาคตกันได้เลย
ย่างเข้าสู่ เดือน กรกฎาคม 1993 Ford ส่ง Mercury Villager รุ่นปี 1994 ล็อตแรกออกสู่ตลาดไปแล้วก็จริง แต่ถึงกระนั้น วันที่ 30 พฤศจิกายน 1993 Ford ประกาศราคาจำหน่าย ของ Mercury Villager รุ่นปี 1994 อีกรอบ โดยเพิ่มถุงลมนิรภัย SRS (Supplemental Resistance System) มาให้ เฉพาะฝั่งคนขับ และเพิ่มรุ่น Cargo Van สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้งานเชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ ยังเพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษ Mercury Villeger Nautica อันเป็นรุ่น Top of the Line ที่กำเนิดขึ้นจากความร่วมมือ กับ ผู้ผลิตเครื่องแต่งกาย Nautica ซึ่งมีแนวทางในการนำบรรยากาศ การเดินเรือยอชต์ และท้องทะเลใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์ของตน มาร่วมตกแต่งให้ Villager พิเศษขึ้นกว่าเดิม
Villager Nautica โดดเด่นด้วยสีตัวถัง Two-tone น้ำเงิน ตัดกับสีขาว พร้อมคิ้วกันกระแทกรอบคัน สีขาวสลับเหลือง ล้ออัลลอย สัญลักษณ์ Nautica รอบคัน พร้อมฝาครอบดุมล้อ สีขาวล้วน ภายในหุ้มเบาะด้วยหนัง สีน้ำเงินเข้ม ตัดสลับกับสีขาว รวมทั้งยังติดตั้งเบาะคู่ที่ 2 แถวกลาง แบบ Captain Seat พร้อมพนักวางแขนพับเก็บได้มาให้ พร้อมสัญลักษณ์ Nautica ปักลงบนพื้นที่ด้านบนของพนักพิงหลัง และที่สำคัญ ลูกค้าที่ซื้อ Villager Nautica ทุกคัน จะได้รับ กระเป๋า Carrying Bag สีเหลือง จาก Nautica ที่ออกแบบพิเศษให้สอดรับกับรถคันนี้อีกด้วย
การนำแบรนด์ Nautica มาตกแต่งให้กับ Villager นั้น สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับการที่ Ford ตกลง นำแบรนด์ Eddie Bauer มาตกแต่งให้กับรถตู้ Ford AeroStar และ Ford SUV อีกหลายรุ่นในช่วงปีเดียวกัน
ราคาแนะนำโดยผู้จำหน่าย (MSRP : Manufacturer Suggested Retail Price) ของ Mercury Villager 1994 มีดังนี้
- 1994 Mercury Villager GS (Base): ราคาเริ่มต้น $18,375
- 1994 Mercury Villager LS (Premium) ราคาเริ่มต้น $23,155
- 1994 Mercury Villager Nautica ราคาเริ่มต้น $24,635
- 1994 Mercury Villager Cargo Van ราคาเริ่มต้น $17,785
ข้ามฟากมาทาง Nissan กันบ้าง Nissan Quest รุ่นปี 1994 ออกสู่ตลาดในเดือนสิงหาคม 1993 ช่วงจังหวะเดียวกับ Mercury Villager ปี 1994 Lot แรก ก็จริง แต่หลังจากนั้น วันที่ 30 พฤศจิกายน 1993 Nissan เองก็ประกาศเพิ่มการติดตั้งถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับเพิ่มมาให้ เหมือนกับ Villager เปี๊ยบ! โดยวงพวงมาลัย จะยกมาจาก Nissan Maxima J30 พร้อมสวิตช์ควบคุมระบบ Cruise Control มาให้ ในรุ่น GXE
ราคาจำหน่าย MSRP มีดังนี้
- 1994 Nissan Quest XE Minivan: ราคาเริ่มต้น $19,079
- 1994 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $23,589
ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ Ford Motor Co. ประกาศออกมา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1993 ว่า จะเพิ่มกำลังการผลิตของทั้ง Quest และ Villager ที่โรงงาน Avon Lake ที่มลรัฐ Ohio จากเดิม 29 คันครึ่ง / ชั่วโมง เป็น 33 คัน / ชั่วโมง เพื่อช่วยเพิ่มยอดผลิตอีกประมาณ 20,000 คัน ดันตัวเลขประมาณการรวมเป็น 154,000 คัน ในปีปฏิทิน 1994
อย่างไรก็ตาม ตลอดปีปฏิทิน 1993 โรงงาน Avon Lake ผลิต Minivan รุ่นใหม่นี้ รวมกันแล้ว มากถึง 141,303 คัน โดยแบ่งเป็น Mercury Villager 88,893 คัน และ Nissan Quest 52,410 คัน ส่วนตัวเลขยอดขาย เฉพาะในสหรัฐอเมริกา ไม่รวม Canada แล้ว Mercury ทำยอดขาย Villager ไปได้ 71,567 คัน ในขณะที่ Nissan จำหน่าย Quest ไปได้ 44,602 คัน
ตลอดช่วงปี 1994 – 1995 Nissan Quest และ Mercury Villager รุ่นปี 1995 ยังคงทำตลาดต่อเนื่อง โดยไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดใน Brochure ที่แจกลูกค้าเล็กน้อย เดือนสิงหาคม 1994 ยังมีภาพประกอบ ของ Nissan Sunny/Sentra B13 อยู่ใน Lineup Nissan และพอมาถึงเดือนมิถุนายน 1995 ภาพดังกล่าว ถูกเปลี่ยนเป็น Nissan Sunny/Sentra B14 ที่เปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ขณะนั้น
กระทั่ง เพียง 3 เดือน ให้หลัง ในเดือนกันยายน 1994 Nissan Quest รุ่นปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ ก็ออกสู่ตลาด ในฐานะ รถยนต์รุ่นปี 1995 เปลี่ยนลวดลายกระจังหน้า มาเป็นแบบ ตะแกรงซี่เฉียง และมีแถบด้านบนหนาขึ้น พ่นสีเดียวกับตัวถังเช่นเดิม ขณะเดียวกัน เปลือกกันชนหน้า ก็ถูกออกแบบใหม่ โดยตัดไฟเลี้ยวคู่หน้าออกไป ดูโค้งมนลงตัวยิ่งขึ้น เปลี่ยนงานออกแบบภายในของชุดไฟท้าย โดยยังคงตำแหน่งไฟเบรกไว้ด้านบน ไฟเลี้ยวไว้ด้านล่าง แต่เปลี่ยนกรอบด้านนอกตรงไฟเลี้ยว เป็นพลาสติกใส 3 แถบ เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ตามหลังมา แยกแยะไฟเบรกกับไฟเลี้ยวได้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนลายฝาครอบล้อลายใหม่ให้กับรุ่น XE และกระทะล้ออัลลอยใหม่ แบบปัดเงา ให้กับรุ่น GXE รวมทั้งยังเพิ่ม เบาะนั่งแถว 2 แบบ Captain Seat ให้เลือกสั่งติดตั้งพิเศษ
ถุงลมนิรภัย ฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า-ขวา ก็ถูกติดตั้งเพิ่มเติม ตามเข้ามาเป็นครั้งแรก ควบคู่กับการเปลี่ยนงานออกแบบพวงมาลัย พร้อมถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ แบบใหม่ ที่มีสวิตช์ Cruise Control ย้ายจากบนแป้นแตร ไปอยู่ด้านข้าง แป้นแตร แทน เช่นเดียวกับสวิตช์ปรับเพิ่มและลดความดังของชุดเครื่องเสียง ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มทางเลือก เบาะหนัง อย่างดี มาให้ในรุ่น Top of the Line ของทั้งคู่ อีกด้วย ส่วนรายละเอียดทางเทคนิค ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ
ราคาจำหน่าย MSRP มีดังนี้
- 1995 Nissan Quest XE Minivan: ราคาเริ่มต้น $19,839
- 1995 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $24,609
Nissan QUEST Japanesse Version
April 1995
ในปีเดียวกันนี้เอง Nissan ตัดสินใจส่ง Quest รุ่นพวงมาลัยซ้าย เข้าไปทำตลาดในญี่ปุ่น เมื่อเดือนเมษายน 1995 ด้วยเหตุผลในการเพิ่มทางเลือก ขยายรุ่นรถยนต์ ที่มีจำหน่ายในญี่ปุ่น ให้มากขึ้น เพื่อเป็นการทดลองตลาด ขณะเดียวกัน ยังมีเหตุผลในด้านการใช้พื้นที่ว่างบนเรือขนส่งรถยนต์เฉพาะของ Nissan ให้มีประสิทธิภาพ หลังการส่งออกไปยังอเมริกาเหนือ ก็จะได้มีรถยนต์นำเข้ากลับมาขายในญี่ปุ่นด้วย เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวเรือเปล่าๆ ดังนั้น บริษัท Nissan Shatai (Nissan Auto Body แห่ง Kyushu) จึงกลายมาเป็นผู้นำเข้า Quest พวงมาลัยซ้าย ซึ่งมีการปรับปรุงรายละเอียดเล็กน้อยให้สอดคล้องกับกฎหมายจราจรของญี่ปุ่น และให้ หน่วยงาน “Autech Japan” รับหน้าที่จัดจำหน่ายผ่านทางโชว์รูม Nissan บางแห่งในญี่ปุ่นเท่านั้น
รายละเอียดทางเทคนิคต่างๆของตัวรถ ขุมพลัง ระบบส่งกำลัง ระบบกันสะเทือน เบรก ฯลฯ เหมือนกับเวอร์ชันอเมริกาเหนือทุกประการ อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ VG30E เบนซิน V6 SOHC 12 วาล์ว 2,960 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87 x 83 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.0:1 หัวฉีด EGI ของเวอร์ชันญี่ปุ่น ถูกปรับปรุงตัวเลขสมรรถนะ มาอยู่ที่ 150 แรงม้า (PS) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.1 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที อันเป็นผลมาจากการปรับปรุงให้เหมาะสมกับคุณภาพน้ำมัน และมาตรฐานมลพิษของรัฐบาลญี่ปุ่น
15 กุมภาพันธ์ 1996 มีการปรับโฉม Minorchange เล็กน้อย ตามตลาดอเมริกาเหนือ ท้ั้งกระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า และโคมไฟท้ายแบบรวม ไปจนถึงการเปลี่ยนแผงหน้าปัด Dashboard จากนั้น จึงมีการปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 1997
เนื่องจาก Nissan นำเข้า Quest ไปขายในญี่ปุ่น ด้วยปริมาณจำกัด จึงมีให้เลือกเพียงแค่รุ่นพวงมาลัยซ้าย และประตูบานเลื่อน มีเพียงแค่ด้านขวาเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่อยากได้รถพวงมาลัยขวา และประตูบานเลื่อนอยู่ทางซ้าย เหมือนรถยนต์ประกอบขายในญี่ปุ่นรุ่นอื่นๆทั่วไปในยุคนั้น ยอดขายจึงต่ำมาก
นอกจากนี้ Nissan ยังให้ระยะเวลารับประกันคุณภาพแค่เพียง 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน) ซึ่งสั้นกว่ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ไม่เพียงเท่านั้น ผู้จำหน่าย เกรย์ (Grey) บางราย ยังมีการนำเข้า Quest และ Mercury Villager จำนวนเล็กน้อย ผ่านผู้นำเข้ารายย่อยในญี่ปุ่นบางแห่งอีกด้วย แต่ไม่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น
เมื่อจำหน่ายหมดแล้ว Nissan ก็ยุติการนำเข้า Quest ไปขายในบ้านตัวเอง การทำตลาดในญี่ปุ่น สิ้นสุดลงในเดือน ธันวาคม 1998 ทำให้ Quest กลายเป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นที่หายากมากๆบนถนนแดนอาทิตย์อุทัย เพราะท้ายที่สุด สรุปตัวเลขรวมแล้ว Nissan Quest ถูกนำเข้าไปขายในญี่ปุ่น เพียงประมาณ 400 คัน เท่านั้น
ส่วน Mercury Villager รุ่นปี 1996 นั้น ออกสู่ตลาด ในเดือนสิงหาคม 1995 ถูกปรับโฉม Minorchange เช่นเดียวกับ Quest แต่ดูหรูขึ้นกว่าเดิม และแตกต่างกันชัดเจนขึ้น ด้วยการเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ เป็นแบบโครเมียม ซี่นอน แนวหรูหรา โดยมีสัญลักษณ์ของแบรนด์ Mercury อยู่ตรงกลางด้านบนสุดของกระจังหน้า รวมทั้งเปลี่ยนงานออกแบบลวดลายชุดไฟท้าย สลับตำแหน่งไฟเลี้ยวลงมาอยู่ด้านล่าง และเป็นแบบกรอบใส 3 แถบ อีกทั้งยังเปลี่ยนงานออกแบบแผงทับทิม ที่เชื่อมต่อกับชุดไฟท้ายและกรอบช่องใส่ป้ายทะเบียน ให้ดู หรูขึ้นเล็กน้อย และเปลี่ยนงานออกแบบลายฝาครอบล้อ และล้ออัลลอยแบบใหม่ โดยรุ่น Nautica จะได้ล้ออัลลอย ลายเดียวกับรุ่น LS แต่พ่นสีขาว แทน
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสีตัวถัง จากเดิม ทุกรุ่น มีสี Two-Tone มาให้เลือกเป็นมาตรฐาน แต่ในรถรุ่นปี 1996 สี Two-Tone จะมีให้เลือกเฉพาะรุ่น LS เท่านั้น ส่วนรุ่น GS จะมีเพียงสีตัวถังแบบ Monochrome โทนเดียว ให้เลือก ไม่เพียงเท่านั้น ภายในห้องโดยสาร ยังเปลี่ยนมาใช้แผงหน้าปัดดีไซน์ใหม่ เพื่อรองรับการติดตั้ง ถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารเป็นครั้งแรก ทุกรุ่นย่อย และเพิ่มเบาะนั่งแถว 2 แบบ Captain Seat ให้เลือกติดตั้งพิเศษ เหมือน Nissan Quest
อีกทั้ง ยังเป็นปีแรกที่ Ford เพิ่มทางเลือกรุ่น Cargo Van สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้รถเพื่อธุรกิจ ขนส่งสินค้า และให้บริการธุรกิจของตนกับลูกค้ารายย่อย ในลักษณะ Mobile Service แต่มองว่า Ford Windstar มีขนาดใหญ่ไปหน่อย โดยรุ่น Cargo Van จะมีเฉพาะบนโชว์รูม Mercury เท่านั้น
ราคาจำหน่ายมีดังนี้
- 1996 Mercury Villager GS (Base): ราคาเริ่มต้น $19,940
- 1996 Mercury Villager LS (Premium) ราคาเริ่มต้น $24,300
- 1996 Mercury Villager Nautica ราคาเริ่มต้น $26,390
- 1996 Mercury Villager Cargo Van ราคาเริ่มต้น $19,385
มิถุนายน 1996 Mercury Villager รุ่นปี 1997 ออกสู่ตลาด โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นปี 1996 เท่าใดเลย แต่มีการปรับราคาจำหน่าย MSRP ขึ้น ดังนี้
- 1996 Mercury Villager GS (Base): ราคาเริ่มต้น $20,215
- 1996 Mercury Villager LS (Premium) ราคาเริ่มต้น $25,085
- 1996 Mercury Villager Nautica ราคาเริ่มต้น $26,915
- 1996 Mercury Villager Cargo Van ราคาเริ่มต้น $19,960
ขณะเดียวกัน ราคาของ Nissan Quest รุ่นปี 1996 ปรับขึ้นมา เป็นดังนี้
- 1996 Nissan Quest XE Minivan: ราคาเริ่มต้น $20,899
- 1996 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $25,699
พอมาถึงเดือนกันยายน 1997 ทั้ง Quest และ Villager รุ่นปี 1998 ก็ยังคงลากจำหน่ายกันต่อไป โดยแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ราคาขาย MSRP มีดังนี้
- 1997 Nissan Quest XE Minivan: ราคาเริ่มต้น $21,249
- 1997 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $26,049
กันยายน 1997 Mercury Villager รุ่นปี 1998 ออกสู่ตลาด โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่สำคัญมากนัก ราคา MSRP มีดังนี้
- 1998 Mercury Villager GS (Base): ราคาเริ่มต้น $20,805
- 1998 Mercury Villager LS (Premium) ราคาเริ่มต้น $25,075
- 1998 Mercury Villager LS (Premium) ราคาเริ่มต้น $26,905
เดือนสิงหาคม 1997 Nissan Quest รุ่นปี 1998 อันเป็นรุ่นปีสุดท้าย ที่ Quest รุ่นแรก จะอยู่ในตลาด มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ GLE เป็นรุ่น Top-of the line โดย Quest XE จะถูกเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานจากรุ่นปี 1997 เล็กน้อย ส่วนรุ่น GXE จะเพิ่ม กลุ่มอุปกรณ์สั่งพิเศษให้เลือก ทั้ง GXE Luxury Package ซึ่งจะมีหลังคา sunroof มาให้ และ GXE Handling Package ซึ่งประกอบด้วย เหล็กกันโคลง และช็อกอัพจูนแบบ Sport Suspension
ส่วนรุ่น Quest GLE จะติดตั้งอุปกรณ์มาให้ครบถ้วนที่สุด เช่นเบาะหนัง ส่วนเครื่องปรับอากาศ พร้อม Heater สำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ 3 พร้อม ปลั๊กไฟ 12 Volt บริเวณพื้นที่เบาะแถวกลาง (เฉพาะรุ่น GXE กับ GLE) นอกจากนี้ ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ถูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น GXE และ GLE (แต่เป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษในรุ่น XE) ส่วนสีตัวถัง ถูกเพิ่มเติมเข้ามาอีก 4 สี รวมมีให้เลือกทั้งหมด 14 เฉดสี ทั้งแบบธรรมดา และแบบ Two-Tone
ราคาจำหน่าย MSRP มีดังนี้
- 1998 Nissan Quest XE Minivan: ราคาเริ่มต้น $23,099
- 1998 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $26,049
- 1998 Nissan Quest GLE Minivan: ราคาเริ่มต้น $27,838
ถึงแม้ว่า ตัวรถจะมีจุดเด่น ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ ที่ใกล้เคียงกับรถยนต์นั่ง Sedan อย่าง Nissan Maxima ซึ่งสะดวกต่อการขับขี่ของคุณแม่บ้าน ที่ไม่ต้องปรับตัวเยอะ เมื่อเทียบกับรถตู้ทรงสูง Minivan คันอื่นๆ ในตลาดอเมริกาเหนือ รวมทั้งคุณภาพการออกแบบ การประกอบ และการใช้งาน ที่ทนทาน และไม่ค่อยพบเจอปัญหาใดๆ มากไปกว่า เสียงลม เข้ามาในรถค่อนข้างดังกว่าเพื่อนเขานิดหน่อย รวมทั้งเบาะแถว 3 ที่ไม่สามารถถอดยกออกไปจากรถได้ แต่ในเมื่อ 2 ศรีพี่น้อง คู่นี้ อยู่ในตลาดมา 5 ปีแล้ว ก็สมควรแก่เวลาจะลาโรง เพื่อหลีกทางให้รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model change ออกมาต้อนรับลูกค้ากันต่อไป
สายการผลิตของ Quest และ Villager รุ่นแรก ยุติลง ในเดือนกรกฎาคม 1998 เพื่อเตรียมการผลิต Generation ที่ 2 ของฝาแฝด Minivan คู่นี้ กันต่อไป ไม่ให้ขาดตอน
——————————————————
2nd Generation : Nissan QUEST (V41) & Mercury VILLAGER
Febuary 5th , 1998
หลังจากได้รับความนิยมในระดับไปได้ดีพอประมาณ Nissan กับ Ford จึงตัดสินใจ เดินหน้าโครงการพัฒนา รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ให้กับ Minivan สองศรีพี่น้อง รุ่นนี้ ต่อเนื่องอีก 1 Generation เพียงแต่ว่า คราวนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น อาจผิดไปจากความตั้งใจที่ทั้ง 2 บริษัท อยากให้เป็น
Nissan เผยโฉม Quest รุ่นที่ 2 บนเวที ในงาน Chicago Auto Show เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1998 โดย ในวันที่มีการเผยโฉม ปฏิกิริยาของสาธารณชนส่วนใหญ่ มองเห็นว่า ภายนอก ไม่สวย เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ที่มีเส้นสายลงตัว ทั้งคัน มากกว่า
สำหรับ Nissan แล้ว มีการปรับเปลี่ยนรุ่นย่อย (Grade walk) กันใหม่ โดยยกรุ่น GXE เดิม ซึ่งเป็นรุ่นกลาง ลงไปไว้เป็นรุ่นเริ่มต้น และเพิ่มรุ่น SE มาเป็นรุ่นกลาง ส่วนรุ่น GLE ถูกดันขึ้นเป็นรุ่น Top of the line ต่อเนื่องมาจากปี 1998
ส่วนทางฝั่งของ Ford นั้น ยังคงนำรถตู้รุ่นนี้ สวมแบรนด์ Mercury Villager อย่างต่อเนื่องตามเดิม เปิดตัวครั้งแรก ในงาน Chicago Auto Show โดยมีให้เลือก 3 Trim การตกแต่ง คือ Base , Sport และ Luxury Estate
Quest และ Villeger รุ่นที่ 2 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง และงานวิศวกรรมช่วงล่างที่ยกมาจากรถรุ่นเดิม แต่เพิ่มขนาดตัวถังให้ใหญ่โตขึ้น ด้วยความยาว 4,945 มิลลิเมตร กว้าง 1,902 มิลลิเมตร สูง 1,781 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร
แม้ว่าเส้นสายภายนอกเมื่อดูผ่านๆจะคล้ายกับรุ่นเดิม แต่ความจริงแล้ว แทบจะใช้ชิ้นส่วนตัวถังภายนอกร่วมกันกับรถร่นเดิมไม่ได้เลยทั้งคู่ อีกทั้งทีมออกแบบ ยังจงใจแบ่งแยกกระจกหน้าต่างของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า แยกออกมาจากกระจกหน้าต่างของผู้โดยสารแถว 2 กับ 3 อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความแตกต่างจากรุ่นเดิม ต้องยอมรับว่า เส้นสายภายนอก ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากทีมออกแบบ Ford ที่เคยนำเสนอออกมาเป็นรถตู้ Ford Windstar ในช่วงก่อนหน้านั้น ไม่กี่ปี แต่ถ้าย้อนกลับไปดูกันดีๆ จะพบว่า แนวกระจกหน้าต่างแบบนี้ เหมือนกับ รถยนต์ต้นแบบ Nissan COCOON ที่เคยออกอวดโฉมครั้งแรกในโลก ณ งาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม ปี 1989!!
ไม่เพียงเท่านั้น ทีมวิศวกรยังรับฟัง Feedback จากลูกค้า และปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่พอทำได้ อย่างเช่น การเพิ่มประตูบานหลังแบบ Slide Door ให้กับฝั่งซ้ายของตัวรถ เพื่อให้สะดวกต่อการขึ้น – ลงจากรถได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ข้างฝั่งไหนของตัวรถก็ตาม ไม่ถูกจำกัดให้ต้องเดินอ้อมไปขึ้นรถที่บานประตู Slide Door ฝั่งขวาของตัวรถเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ความแตกต่างที่ชัดเจน เมื่อดูจากภายนอก มีเพียงแค่กระจังหน้าของรุ่น Quest มีแถบรับอากาศด้านบน คั่นกลางระหว่างตัวกระจังหน้ากับฝากระโปรงหน้า โดยมีช่องรับอากาศหลัก ทรงวงรี ขนาดใหญ่ ล้อไปกับงานออกแบบของชุดไฟหน้า ขณะที่กระจังหน้าของ Villager จะเป็นลวดลายซี่ตั้ง แบบ Waterfall หรือน้ำตก อันเป็นเอกลักษณ์การออกแบบของรถยนต์ตระกูล Mercury ในช่วงระยะสุดท้าย ก่อนปิดตัวลง นอกจากนี้ ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของ Quest จะเป็นแบบเรียบๆ ไม่หวือหวา แต่ Villager จะถูกตกแต่งเพิ่มแถบทับทิมสะท้อนแสงสีแดง เชื่อมไฟท้ายกับกรอบช่องใส่ป้ายทะเบียน เข้าหากัน มาเป็นพิเศษ
ห้องโดยสาร และแผงหน้าปัด ชัดเจนมมากว่า เป็นสไตล์การออกแบบจากทีมของ Nissan แน่ๆ เมื่อดูจากรูปแบบช่องแอร์ บนแผงหน้าปัด Dashboard เบาะนั่งทุกตำแหน่งถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับกับมาตรฐานสรีระของชาวอเมริกันที่ใหญ่โตขึ้น เบาะนั่งคู่หน้า (ปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า) และเบาะคู่กลาง ล้วนมีพนักวางแขนแบบยกพับเก็บด้านข้างได้มาให้ ทั้ง 4 ตำแหน่ง และมีให้เลือกทั้งรุ่นเบาะแถว 2 แบบม้านั่งยาวๆ Bench seat หรือ เบาะแยก แบบ Captain Seat และสามารถปรับหรือพับแบ่งได้อย่างอเนกประสงค์ กระนั้น ข้อด้อยที่ยังตามมาหลอกหลอนต่อเนื่อง จากรถรุ่นแรก นั่นคือ เบาะนั่งแถว 3 ยังคงไม่สามารถถอดยกออกจากรถได้ เหมือนเดิมอยู่ดี…
ชุดมาตรวัดของ Quest ยังคงเป็นเข็มแบบ Analog ส่วน Villager จะหรูหรากว่าด้วย มาตรวัดแบบ Digital ตำแหน่งสวิตช์ต่างๆ ถูกจัดวางไว้ให้สะดวกต่อการใช้งาน ใต้แผงควบคุมเครื่องเสียง และเครื่องปรับอากาศแบบ Digital เป็นลิ้นชักวางแก้วน้ำ และลิ้นชักใส่ของจุกจิก รวมทั้งมีช่องเก็บของแบบมีฝาปืดขนาดใหญ่อยู่ด้านล่างสุด คราวนี้ กระจกหน้าต่าง ถูกปรับปรุงให้เป็นแบบ เลื่อนขึ้น – ลงด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ได้ครบทั้ง 4 บานแล้วเสียที พร้อมระบบ Auto One Touch เฉพาะฝั่งคนขับ คันเกียร์ ยังคงเป็นแบบ Columns Shift บนคอพวงมาลัยฝั่งขวา เหมือนเดิม
Quest และ Villager รุนที่ 2 ถูกยกระดับขุมพลังให้แรงขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ VG33E เบนซิน V6 SOHC 12 วาล์ว 3.3 ลิตร 3,274 ซีซี หัวฉีดอีเล้กโทรนิคส์ EGI กำลังสูงสุด 172 แรงม้า (PS) หรือ 170 แรงม้า (HP) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 271 นิวตันเมตร (27.61 กกใ-ม.) ที่ 2,800 รอบ/นาที
ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ของ Jatco รุ่น RE4F0A พวงมาลัย Rack & Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบ Hydraulic ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ McPherson Strut ด้านหลังแบบ คานบิด Beam Axel ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ
การประกาศราคา เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 1998 ราคาจำหน่าย MSRP ของทั้ง Quest และ Villager รุ่น 2 มีดังนี้
- 1999 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $22,159
- 1999 Nissan Quest SE Minivan: ราคาเริ่มต้น $23,899
- 1999 Nissan Quest GLE Minivan: ราคาเริ่มต้น $26,299
- 1999 Mercury Villager Base Minivan: ราคาเริ่มต้น $22,415
- 1999 Mercury Villager Sport Minivan: ราคาเริ่มต้น $25,015
- 1999 Mercury Villager Luxury Minivan: ราคาเริ่มต้น $25,015
เดือนสิงหาคม 2000 Nissan Quest 2001 ออกสู่ตลาดโดยได้รับการปรับปรุงเล็กน้อยหลายประการ รูปลักษณ์ด้านหน้าและด้านหลังได้รับการปรับปรุงใหม่ เปลี่ยนกระจังหน้าลายใหม่ พร้อมกับโคมไฟท้าย ล้ออัลลอยลายใหม่ในทุกรุ่นย่อย
รุ่น GXE ระดับเริ่มต้นมีเหล็กกันโคลงด้านหลัง ขณะที่รุ่น SE ได้รับการติดตั้งวาล์วสตรัทแบบปรับความเร็วได้และโครงค้ำสตรัททาวเวอร์ มาตรวัดภายในและผ้าหุ้มเบาะแบบใหม่ รวมถึงระบบเสียง 130 วัตต์ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น SE และ GLE รุ่น GLE ระดับหรูยังได้รับวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD 6 แผ่นในคอนโซลหน้า (in-Dash) และพวงมาลัยหุ้มหนังสลับกับลายไม้ ระบบความบันเทิงสำหรับครอบครัว Infotainment System เปลี่ยนมาเป็นแบบติดตั้งเหนือศีรษะ แทนที่รุ่นเดิมที่ติดตั้งบนพื้น แต่ยังต้องสั่งซื้อติดตั้งพิเศษตามเดิม
ราคา MSRP มีดังนี้
- 2001 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $22,639
- 2001 Nissan Quest SE Minivan: ราคาเริ่มต้น $24,399
- 2001 Nissan Quest GLE Minivan: ราคาเริ่มต้น $27,049
ส่วน Quest รุ่นปี 2002 มีเพียงแค่การเพิ่มสี Two Tone ใหม่ และสีตัวถังแบบปกติ อีก 3 สี รวมทั้งการปรับเปลี่ยนลายล้ออัลลอย ของรุ่น GXE และ SE เท่านั้น ราคา MSRP มีดังนี้
- 2002 Nissan Quest GXE Minivan: ราคาเริ่มต้น $22,739
- 2002 Nissan Quest SE Minivan: ราคาเริ่มต้น $24,499
- 2002 Nissan Quest GLE Minivan: ราคาเริ่มต้น $27,149
ขณะเดียวกัน Mercury Villager เอง ก็มีรุ่นปรับโฉม Minorchange ออกมา ในปี 2000 ออกสู่ตลาดในฐานะรถรุ่นปี 2001 ดูหรูขึ้นด้วยกระจังหน้าลายใหม่ ซี่ตั้ง ที่ลงตัวขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเบาะ Heater ให้ เพิ่มล้ออัลลอย 16 นิ้ว สำหรับรุ่น Sport และ Estate เปลี่ยนแผงหน้าปัดแบบใหม่ เบาะนั่งแบบ Bench Seat แถว 2 ถูก ถอดออก แล้วเปลี่ยนเป็น เบาะ Captain Seat ในบางรุ่นย่อย เพิ่มระบบ Home Link และ เพิ่มผ้ายางปูพื้นลายใหม่ นอกจากนี้ ยังเพิ่มระบบเข็มขัดนิรภัยแบบ Pre-tensioner กับจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กแบบ LATCH มาให้ด้วย
ราคา MSRP มีดังนี้
- 2001 Mercury Villager Wagon : $22,510
- 2001 Mercury Villager Sport $25,735
- 2001 Mercury Villager Estate $27,210
เดือนสิงหาคม 2001 Mercury Villager รุ่นปี 2002 เริ่มออกสู่ตลาด เป็นปีสุดท้าย มีแค่การเปลี่ยนเบาะแถวกลางแบบ Bench Seat ออกจากรุ่น Sport เพิ่มสีตัวถังใหม่ 1 เฉด เพิ่มผ้ายางปูพื้น และเพียงแค่นี้เท่านั้น อีกทั้งยังมีการลดราคาลง และเพิ่มรุ่นย่อย Value กับ Popular ตัด Option เพื่อเน้นทำราคาสู้คู่แข่งเป็นพิเศษ
ราคา MSRP มีดังนี้
- 2002 Mercury Villager Value : $19,340
- 2002 Mercury Villager Wagon : $21,340
- 2002 Mercury Villager Sport $24,340
- 2002 Mercury Villager Estate $25,340
ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนโฉมใหม่ แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ มองว่า สวยสู้รุ่นเดิมไม่ได้ อีกทั้งในจังหวะเดียวกัน ตลาด Minivan 7 ที่นั่งขนาดใหญ่ เริ่มเข้าสู่ช่วง “ขาลง” Quest เอง ก็ได้รับความนิยมลดลง ด้วยยอดขายที่หายไปเกือบ 32 % ในปีปฏิทิน 2001 เหลือเพียง 29,232 คัน ตามรายงานของ สำนักข่าว Automotive News สื่อมวลชนชั้นนำ สายอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯ
ส่วน Mercury Villager ได้รับความนิยมน้อยลงไปอีก ตัวเลขยอดขายของ Villager รุ่นที่ 2 ตลอด 4 ปีที่อยู่ในตลาด ไม่ค่อยดีเอาเสียเลยเมื่อเทียบกับขนาดของตลาดอเมริกาเหนือทั้งหมด รวมตัวเลขออกมาแล้ว มีดังนี้
1999…….45,315 คัน (รวม Generation 1 เข้าไปด้วย)
2000……30,443 คัน
2001…….22,046 คัน
2002…….16,442 คัน
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ในช่วงปลายอายุตลาดของรถตู้ Minivan ทั้ง 2 รุ่นพอดี ดังนั้น Ford ตัดสินใจ ทำตลาด Mercury Villager ต่อไป ในปี 2001 และ 2002 โดยไม่ปรับปรุงอุปกรณ์ใดๆทั้งสิ้น จนกว่าจะหมดสต็อก ท้ายที่สุด Mercury Villager ก็ถูกยกเลิกไปพร้อมกับการถูกแทนที่ด้วย Mercury Monterey รถยนต์ Minivan 7 ที่นั่ง ฝาแฝดของ Ford Windstar ในปี 2003
Nissan และ Ford จึงตัดสินใจ ยุติโครงการร่วมกัน โดย Quest และ Villager คันสุดท้าย คลอดออกจากสายการผลิต โรงงานใน Avon Lake มลรัฐ Ohio เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2002 ตลอดอายุตลาด 10 ปีเต็ม ตัวเลขสรุปยอดผลิตของ Nissan Quest ทั้ง รุ่นแรก และ รุ่นที่ 2 รวมกันมากถึง 448,044 คัน ขณะที่ยอดผลิตรวมของ Villager ทั้งหมดอยู่ที่ 555,539 คัน รวมยอดผลิตทั้ง 2 รุ่น 1,003,583 คัน
เมื่อสายการผลิตของ Quest และ Villager โรงงาน Avon Lake เสร็จสิ้นลง ก็ถูกปิดปรับปรุง เพื่อ Upgrade สายการผลิต รองรับ Ford Escape SUV ที่เริ่มเดินเครื่อง ในช่วงฤดูร้อน ปี 2003
หลังจากนั้น อีกไม่นานนัก เมื่อยอดขายของแบรนด์ Mercury ค่อยๆลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากปัญหาด้านคุณภาพตัวรถ ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ ยิ่งเมื่อสรุปยอดขายของทั้งแบรนด์ ตลอดทั้งปี 2009 รวมทุกตลาด ทั้งในสหรัฐอเมริกา Canada, Mexico, Puerto Rico, U.S. Virgin Islands, และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง มีเพียงแค่ 92,299 คัน แม้ว่าในปี 2010 ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อน เป็น 93,165 คัน แต่ภาพรวมแล้วก็ถือว่ายอดขาย ลดลงจากระดับ 265,000 คัน / ปี ในช่วงทศวรรษ 2000
Ford จึงตัดสินใจ ประกาศยุติบทบาท เลิกทำตลาด และถอนแบรนด์ Mercury ออกจากตลาดทั่วโลก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2010 โดยรถยนต์คันสุดท้าย Mercury Grand Marquis อันเป็น Sedan 4 ประตูขับเคลื่อนล้อหลังขนาดใหญ่ ฝาแฝดของ Ford Crown Victoria คลอดออกจากสายการผลิต ของโรงงาน St. Thomas Assembly ของ Ford of Canada เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2011 ถึงกระนั้น ปัจจุบัน Ford ยังคงรักษาสถานะของแบรนด์ Mercury เอาไว้อยู่ ด้วยการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ตามเดิม จนถึงปัจจุบัน
——————————————————
3rd Generation : Nissan QUEST (V42)
January 5th 2003
เมื่อ Ford ตัดสินใจ เดินแยกทางออกไป ด้วยการพัฒนารถตู้ Minivan ของตัวเอง ที่ดูจะตรงใจกับตลาดอเมริกาเหนือมากกว่า Nissan ก็จำเป็นต้องลุยเดี่ยว ในการพัฒนารถตู้ Quest รุ่นต่อไปด้วย ทุน และทรัพยากรของตนเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ Nissan Motor ประเทศญี่ปุ่น จึงมอบหมายให้ Nissan Design America, Inc. ในเมือง La Jolla มลรัฐ California รับหน้าที่ออกแบบ Quest รุ่นต่อไป โดยใช้โครงสร้างพื้นตัวถังสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ขับเคลื่อนล้อหน้า FF-L Platform ร่วมกับ Nissan Altima / Teana และ Maxima ต่อเนื่องจากรุ่นเดิม
ช่วงก่อนเปิดตัว เมื่อทีมออกแบบมองเห็นว่า ตัวรถจะดูล้ำสมัย และฉีกแนวไปจาก Quest รุ่นที่ 2 อย่างมาก ระดับหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาจึงตัดสินใจ สร้างรถยนต์ต้นแบบ Nissan Quest Concept ออกมาจัดแสดงครั้งแรก ในงาน North American International Motor Show เดือนมกราคม 2002 เพื่อหยั่งเชิงกระแสเสียงของผู้บริโภคชาวอเมริกัน และเป็นการสะท้อนภาพของ Quest ใหม่ เวอร์ชันจำหน่ายจริงที่เตรียมออกสู่ตลาดในอนาคต
Tom Semple ประธาน Nissan Design America, Inc. ณ ขณะนั้น เล่าว่า “ในการศึกษา ผู้บริโภคทั้งกลุ่มผู้ซื้อ Minivan และกลุ่มไม่ใช่ลูกค้าของ Minivan ถึงความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบ สิ่งหนึ่งที่มักปรากฎให้เห็นเป็นประจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือ งานออกแบบที่เหนือกว่าบรรดารถตู้ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน เรารู้ดีว่า Minivan มีภาพลักษณ์ เชิงลบ ในสายตาผู้บริโภค และมันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริโภคที่จะมองข้ามงานออกแบบภายนอกไปได้ เมื่อความจริงก็คือ ไม่มีรถยนต์ประเภทใดที่ให้ความอเนกประสงค์ในการบรรทุกคน และสัมภาระได้มากกว่านี้อีกแล้ว เราจึงใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ รูปลักษณ์อันสวยงาม กับความสะดวกสบายในการใช้งาน สามารถไปด้วยกันได้อย่างลงตัว”
ขณะเดียวกัน ในเมื่อ จำเป็นต้องยุติความร่วมมือกับ Ford แล้ว ทำให้ Nissan ต้องย้ายสายการผลิตของ Quest ทั้งหมด ออกจากโรงงาน Ford มาเริ่มต้นใหม่ คราวนี้ พวกเขาลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ของตนเอง มูลค่า $1.4 พันล้าน เหรียญสหรัฐฯ ในเมือง Canton มลรัฐ Mississippi
โรงงานแห่งใหม่นี้ ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ในแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ต่อจาก โรงงานประกอบรถยนต์ Smyrna ในมลรัฐ Tennessee และโรงงาน ผลิตเครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อน Decherd ในมลรัฐ Tennessee เช่นเดียวกัน ตามแผนการแล้ว ไม่เพียงแค่จะใช้เป็นฐานการประกอบ Nissan Quest เท่านั้น หากแต่ยังใช้เป็นฐานการผลิต รถกระบะ Full Size Truck อย่าง Nissan Titan จนถึงช่วงฤดูร้อน ปี 2024 อีกด้วย
1 ปี หลังการเผยโฉมของเวอร์ชันต้นแบบ ก็ถึงเวลาที่เวอร์ชันจำหน่า่ยจริงของ Nissan Quest รุ่นที่ 3 ถูกเผยโฉมครั้งแรก ในงาน North American International Auto Show หรือ Detroit Auto Show เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2003 พร้อมกันกับรถยนต์รุ่นใหม่ อีก 2 รุ่น นั่นคือ Nissan Altima และ Infiniti FX45
Quest รุ่นที่ 3 มีขนาดตัวถังใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ด้วยความยาว 5,184 มิลลิเมตร กว้าง 1,971 มิลลิเมตร สูง 1,778 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,150 มิลลิเมตร ความกว้างช่องล้อคู่หน้า / หลัง เท่ากัุนที่ 1,709 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนน ถึงพื้นใต้ท้องรถ Ground Clearance 147 มิลลิเมตร
สำหรับเจเนเรชั่นที่ 3 Nissan พัฒนา Quest ด้วยตนเองทั้งคัน บนพื้นฐานตัวถัง FF-L Platform ที่ใช้ร่วมกับ Nissan Teana โฉมที่แล้ว โดยมีแนวคิดการพัฒนาให้เน้นความล้ำสมัยสุดโต่งทั้งภายนอกและภายในเกินคู่แข่งในช่วงยุคปี 2003 รูปลักษณ์ภายนอก จึงมีเส้นสายในทิศทางเดียวกับบรรดารถยนต์ Nissan ในยุคสมัยเดียวกัน ที่ดูเฉียบคม ไปพร้อมกับความโค้งมน และมีการเล่นระดับสันบ่าข้าง ตั้งแต่ไฟหน้าจรดไฟท้าย เชื่อมต่อเนื่องกัน เช่น Fairlady Z (350Z) Maxima , Altima, TIIDA , LaFesta , Murano ฯลฯ
ภายในห้องโดยสาร ยึดแนวทางการออกแบบ “Modern Living” ซึ่ง เริ่มต้นใช้ครั้งแรก กับ Nissan Murano , Teana J32 โดนเด่นแบบแปลกๆ ด้วยแผงหน้าปัด ที่เปลี่ยนแนวคิด ย้ายชุดมาตรวัดไปไว้ด้านบนตรงกลาง แบบเดียวกับ Nissan Primera P12 ส่วนมือจับเปิดประตูด้านใน ยกมาจาก Nissan Cube แผงควบคุมกลาง พร้อมคันเกียร์อัตโนมัติ ออกแบบเป็นลักษณะเสาวงรี ถูกตัดผ่ากลาง หน้าตาดูรวมๆแล้วเหมือน แท่นปาฐกถา พร้อมไมโครโฟน
ไม่ว่าจะมองจากภายนอก หรือภายในรถ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า Quest รุ่นที่ 3 แทบจะยกงานออกแบบมาจากรถยนต์ต้นแบบ Quest Concept มาแทบทั้งยวง
ฟังก์ชันเด่นๆ ของ Quest รุ่นที่ 3 มีทั้ง เครื่องปรับอากาศ มาพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา Dual Zone สำหรับผู้โดยสารและผู้ขับขี่ด้านหน้า รวมทั้งยังเพิ่มระบบปรับอากาศและทำความร้อนสำหรับผู้โดยสารเบาะหลัง ระบบความบันเทิงพร้อมจอ DVD และระบบนำทาง (Navigation System) พวงมาลัย Multi-Function (ควบคุมเครื่องเสียง) ปิดท้ายด้วย หลังคาแบบ SkyView (แต่มีแผงควบคุมตรงกลาง คล้ายกับเพดานของเครื่องบินพาณิชย์) เพิ่มความสว่าง ให้กับภายในรถได้พอสมควร ส่วนเบาะหลังแถว 3 พับเก็บลงไปบนพื้นรถได้ แต่ไม่สามารถแยกฝั่งซ้าย – ขวา แบ่งพับ 50:50 ได้
Quest รุ่นที่ 3 วางขุมพลังเพียงแบบเดียว นั้นคือ VQ35DE เบนซิน V6 ทำมุม 60 องศา DOHC 24 วาล์ว 3,498 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.5 x 81.4 มิลลิเมตร หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ กำลังสูงสุด 235 แรงม้า (HP) ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 ฟุต-ปอนด์ (33.12 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที
ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ จาก Jatco ทั้งแบบ 4 จังหวะ ในรุ่น S กับ SL และ เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เฉพาะรุ่น SE บังคับเลี้ยวด้วย พวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงด้วย Hydraulic ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ McPherson Strut ด้านหลังแบบ Multi-Link ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) และระบบเพิ่มแรงเบรกฉุกดเฉิน Brake Assist
โรงงาน Canton มลรัฐ Mississippi เริ่มเปิดดำเนินการ พร้อมกับผลิต Nissan Quest รุ่นที่ 3 คันแรก เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2003 และส่งขึ้นโชว์รูม ในอีก 2 เดือนต่อมา เพื่อทำตลาดในฐานะ รถยนต์รุ่นปี 2024 โดยตั้งราคาขายManufacturer’s Suggested Retail Price (MSRP) ไว้เพียง 3 รุ่นย่อย ดังนี้
- 2004 Nissan Quest 3.5 S $24,590 USD
- 2004 Nissan Quest 3.5 SL $27,090 USD
- 2004 Nissan Quest 3.5 SE $32,990 USD
Nissan USA ตั้งเป้าจำหน่าย Quest ใหม่ เอาไว้ที่ระดับ 80,000 – 90,000 คัน / ปี โดยคาดหวังว่า 75% ของยอดขาย จะมาจากรุ่น S และ SL ซึ่งมีราคาต่ำกว่า $30,000
ทว่า ในความเป็นจริง ตั้งแต่เริ่มส่งมอบในเดือนกรกฎาคม 2003 จนถึง กรกฎาคม 2024 นั้น Quest ใหม่ ทำยอดขายสะสมไปได้แค่ ประมาณ 25,000 คัน เท่านั้น และเมื่อถึงวันสิ้นปี 31 ธันวาคม 2024 ยอดขายสะสมรวมทั้งหมด อยู่ที่ 46,430 คัน ซึ่งถือว่า น้อยกว่า คาดการณ์ถึงครึ่งหนึ่ง!
Nissan จึงต้องแก้สถานการณ์ ด้วย การปรับปรุง ปรับปรุงอุปกรณ์ และราคาจำหน่าย ของ Quest รุ่นปี 2025 โดยทุกรุ่นย่อย จะเพิ่มบานประตู Slide ฝั่งขวา เปิด-ปิดด้วย สวิตช์ไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์สำคัญ อยู่ที่การเพิ่มรุ่นย่อยพื้นฐาน 3.5 Base และใส่อุปกรณ์มาตรฐาน ในระดับเท่าที่จำเป็น เพื่อทำราคาให้ลูกค้าชาวอเมริกัน สามารถอุดหนุนได้ง่ายขึ้น ทำให้ราคารุ่นเริ่มต้น ลดราคาลงมาอีก $1000 จากรุ่นเริ่มต้นในปี 2004 ด้วยราคา MSRP ที่ประกาศ ออกมา ณ วันที่ 22 กันยายน 2004 ดังนี้
- 2005 Nissan Quest 3.5 Base $23,350 USD
- 2005 Nissan Quest 3.5 S $25,450 USD
- 2005 Nissan Quest 3.5 SL $27,050 USD
- 2005 Nissan Quest 3.5 SE $33,650 USD
จะเห็นได้ว่า Nissan จำเป็นต้องออก รุ่น 3.5 Base มาเสริม เพราะรู้ตัวดีว่า ยังไงๆ ในปี 2005 ต้องปรับราคา ทั้ง 3 รุ่นย่อยเดิมก่อนหน้านี้ ขึ้นไป ตามธรรมเนียม ดังนั้น ถ้ารุ่นเริ่มต้น มีราคาสูงเกินไป ก็จะแข่งขันกับเจ้าตลาด อย่าง Honda Odyssey , Toyota Sienna และ Chrysler Minivan ยากลำบากแน่ๆ
1 กันยายน 2005 Nissan ประกาศปรับอุปกรณ์ ให้กับ Nissan Quest รุ่นปี 2006 โดยเพิ่ม ยาง Michelin® แบบ PAX® Run-Flat Tire พร้อมล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ในฐานะอุปกรณ์สั่งติดตั้งเพิ่มเติม และเพิ่มระบบ Vehicle Dynamic Control (VDC) ให้กับรุ่นย่อย 3.5 XL สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อยางและล้อชุดดังกล่าว นอกจากนี้นยัง เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 3.5 S Special Edition trim ซึ่งจะมาพร้อมกับ ประตูบานสไลด์ เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ฝั่งขวา (Power right hand door), ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า (Power liftgate) หน้าต่างระบายความร้อนเปิด-ปิดด้วยสวิตช์ไฟฟ้า (Power 3rd row vent windows) , วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD ในตัว แบบ in-dash 6-disc CD auto-changer พร้อมสวิตช์ควบคุม แบบเรืองแสง บนพวงมาลัย และปรับปรุงลำโพงทั้งคันให้ดีขึ้น , เพิ่ม Sonar กะระยะขณะถอยหลัง , เพิ่มตราสัญลักษณ์ Special Edition badges. รวมทั้งเพิ่มอุปกรณ์ทั้งหมดข้างบนนี้ เป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้กับรุ่นย่อย 3.5 SL.
ราคาขาย MSRP มีดังนี้
- 2006 Nissan Quest 3.5 Base $24,150 USD
- 2006 Nissan Quest 3.5 S Special Edition $25,450 USD
- 2006 Nissan Quest 3.5 SL $27,050 USD
- 2006 Nissan Quest 3.5 SE $33,650 USD
1 กันยายน 2006 รุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Quest รุ่นที่ 3 ออกสู่ตลาด ในฐานะรถยนต์รุ่นปี 2007 คราวนี้ Nissan มุ่งเน้นแก้ปัญหาด้านงานออกแบบให้โดนใจลูกค้าชาวอเมริกันมากขึ้น
เริ่มกันที่การปรับปรุงงานออกแบบภายนอกหลายจุด เพื่อให้ดูสะอาดตาและทันสมัยยิ่งขึ้น ด้านหน้า เปลี่ยนกระจังหน้าแบบใหม่ ที่ยังยึดแนวทางการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของทีม Nissan Design ในยุคของ Shiro Nakamura แต่ปรับลายเส้น ซี่นอน ในตัวกระจังหน้า ให้เรีรยบง่ายมากขึ้น รวมทั้งการเปลี่ยนเปลือกกันชนหน้าทรงเหลี่ยมที่ดูทันสมัยกว่าเดิม
ชุดไฟท้าย ใช้กรอบแบบเดิม แต่ปรับเปลี่ยนลวดลายด้านในใหม่ เพิ่มรายละเอียดการตกแต่งด้วยโครเมียม ตามจุดต่างๆ รวมถึงมือจับประตูโครเมียม (แทนที่จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ) ขณะเดียวกัน ราวหลังคาที่มีให้เลือกได้รับการออกแบบใหม่ด้วยผิวเคลือบซาติน นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบ ฝาครอบล้อ และล้ออัลลอย ลายใหม่ จาก 6 ก้าน เหลือ 5 ก้าน อีกทั้งยังเพิ่ม มีสีภายนอกใหม่ให้เลือก คือ สี Chestnut
ส่วนภายในห้องโดยสาร มีการเปลี่ยนงานออกแบบ แผงหน้าปัด Dashboard ใหม่ทั้งหมด แต่ยังยึดรูปทรงแบบเดิม ชุดมาตรวัด ถูกย้ายจากตำแหน่งตรงกลางที่สูง และมองยาก (ให้นึกถึง มาตรวัดของ Nissan Primera P12 หรือ Toyota Soluna Vios รุ่นแรก กับรุ่นที่ 2) ลงมาอยู่ตำแหน่งปกติ ตรงหน้าคนขับ เสียที ไม่เพียงเท่านั้น User Interface ทั้งหมดยังถูกปรับปรุงใหม่ ทั้งสวิตช์ควบคุมเครื่องปรับอากาศ เพิ่มช่องเก็บของขนาดใหญ่ขึ้น และมีคอนโซลกลางแบบตายตัวพร้อมช่องเก็บของด้านล่างที่ซ่อนอยู่ให้เลือกในบางรุ่น (รุ่นที่ไม่มีคอนโซลกลางแบบตายตัวยังคงมีโต๊ะพับได้)
นอกจากนี้ เบาะนั่งแถวที่ 3 ยังถูกออกแบบใหม่ให้มีพนักพิงศีรษะแบบพับได้อัตโนมัติในตัว ซึ่งพับลงได้ด้วยการดึงสายรัด ทำให้การพับแบนราบง่ายขึ้นด้วยระบบช่วยสปริงแบบใหม่ รวมทั้งการเสริมอุปกรณ์ความบันเทิงในรถ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD-Changer 6 แผ่น ในตัว รองรับไฟล์เพลง MP3 เพิ่มช่องเสียบ Input สำหรับหูฟัง เพิ่มระบบโทรศัพท์ Bluetooth Hands-free และระบบตรวจสอบภาพด้านหลัง มีการเพิ่มวัสดุตกแต่งใหม่ (ลายไม้เทียมหรือโลหะขัดเงา) และสีภายในใหม่ “Chili” เข้ามาด้วย
ด้านงานวิศวกรรม ยังคงใช้ขุมพลังเดิม แต่ถอดเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ทิ้งไป ทำให้ตอนนี้ Quest รุ่นปี 2007 เป็นต้นไป จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ซึ่งเกียร์ลูกนี้ ถูกปรับปรุงให้มี อัตราทดเกียร์ที่กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเร่งความเร็ว คุณภาพการขับขี่ การลดเสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และความกระด้าง (Noise , Vibration & Harshness หรือ NVH) ได้รับการปรับปรุง รวมทั้งยังปรับปรุงคุณภาพการขับขี่ ให้ดีขึ้น
ด้านความปลอดภัย คราวนี้ Nissan ติดตั้ง ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเบาะคู่หน้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น 3.5SL และ 3.5SE (จากที่เคยเป็นอุปกรณ์เสริมในรถรุ่นปี 2006) และเพิ่มระบบตรวจสอบแรงดันลมยางแบบเซ็นเซอร์ (TPMS) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น
ราคาจำหน่าย มีดังนี้
- 2007 Nissan Quest 3.5 Base $24,450 USD
- 2007 Nissan Quest 3.5 S $25,650 USD
- 2007 Nissan Quest 3.5 SL $27,500 USD
- 2007 Nissan Quest 3.5 SE $33,990 USD
8 กันยายน 2007 Nissan Quest รุ่นปี 2008 เริ่มส่งขึ้นโชว์รูม แอบช้าไปสักหน่อย แต่มีการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปจากเดิมเล็กน้อย โดยทุกรุ่นย่อย จะติดตั้ง ถุงลมนิรภัยด้านข้างให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า เพิ่มเติม ครบทุกรุ่นย่อย และเพิ่มสีตัวถังใหม่ Lakeshore Slate ไม่เพียงเท่านั้น รุ่น 3.5 SL จะเพิ่มระบบบานประตูฝั่งซ้าย เปิด-ปิด ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ,ชุดไฟหน้า เปิด-ปิด อัตโนมัติ (automatic on/off headlights), เครื่องปรับอากาศแยกฝั่งซ้าย – ขวา Dual zone automatic climate control และระบบกล้องมองหลัง RearView Monitor ขณะที่รุ่น 3.5 SE จะเพิ่มระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Bluetooth® Hands-free Phone System และวิทยุแบบ XM® Satellite Radio ซึ่งแยกขาย และต้องสมัครสมาชิกด้วย ส่วนรุ่น 3.5 S เพิ่ม Rear sonar สำหรับกะระยะถอยหลัง
ราคาจำหน่าย MSRP มีดังนี้
- 2008 Nissan Quest 3.5 Base $25,080 USD
- 2008 Nissan Quest 3.5 S $25,780 USD
- 2008 Nissan Quest 3.5 SL $29,680 USD
- 2008 Nissan Quest 3.5 SE $34,780 USD
11 กรกฎาคม 2008 Nissan USA ประกาศปรับปรุง Quest รุ่นปี 2009 เพียงแค่การ เพิ่ม ระบบ ล็อกประตู เมื่อรถเคลื่อนที่ auto speed-sensing door locks และเพิ่มสีตัวถังใหม่ Tuscan Sun ส่งขึ้นโชว์รูมในเดือนกันยายน 2008 ในฐานะรถรุ่นปี 2009 ด้วยราคาจำหน่าย MSRP ดังนี้
- 2009 Nissan Quest 3.5 Base $25,950 USD
- 2009 Nissan Quest 3.5 S $26,650 USD
- 2009 Nissan Quest 3.5 SL $30,550 USD
- 2009 Nissan Quest 3.5 SE $35,650 USD
และนั่นคือครั้งสุดท้ายของการปรับปรุง Quest Generation ที่ 3 เท่ากับว่า Nissan Quest รุ่นปี 2009 จะถูกลากจำหน่ายต่อเนื่องมาจนถึงสิ้นปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่ Nissan USA ประกาศเว้นวรรคกับการปรับปรุง Quest ไปอีก 1 ปี Model Year (1 ตุลาคม 2009 – 30 กันยายน 2010)
ช่วงแรกที่ออกสู่ตลาด Quest Generation ที่ 3 มียอดขายในระดับ 2,000 – 4,000 คัน/เดือน แต่พอช่วงอายุปลาย ๆ แล้ว ตัวเลขกลับค่อย ๆ ลดลงอย่างมาก จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2010 Nissan Quest มียอดขายในตลาดสหรัฐฯ เพียงแค่ 43 คัน เท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่ง เป็นเพราะโรงงานในสหรัฐอเมริกา ชะลอการผลิตรถรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน และตัวเลขยอดขายของ Quest รุ่นที่ 3 ในตลาดสหรัฐอเมริกา ตลอด 6 ปี มีดังนี้
2003……23,170 คัน (รวมรถรุ่นเก่า ปี 2002 และรถรุ่นใหม่ ปี 2004 เข้าไปด้วย)
2004……46,430 คัน
2005……40,357 คัน
2006……31,905 คัน
2007……28,590 คัน
2008……18,743 คัน
2009……..8,564 คัน
เหตุผลที่ทำให้ Quest รุ่นที่ 3 มียอดขายลดลงต่อเนื่อง นั่นเพราะว่า ลูกค้ากลุ่มคุณแม่บ้านประเภท Soccer Mom ชาวอเมริกัน อันเป็นกลุ่มเป้าหมายของ Minivan 7 ที่นั่งขนาดใหญ่ รับไม่ได้กับ งานออกแบบทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะ การออกแบบแผงหน้าปัด ที่ล้ำสมัยเกินกว่าจะเป็นรถยนต์ครอบครัวของชาวอเมริกันได้ แถมดูแล้วน่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เสียด้วยซ้ำ
——————————————————
4th & Last Generation : Nissan QUEST (RE52)
November 16th 2010
ด้วยเหตุผลที่ ยอดขายของ Quest รุ่นที่ 3 เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง จนแทบจะไม่คุ้มค่าหากต้องลงทุนสร้าง Quest รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ขึ้นมาใหม่ สำหรับตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะเหมือนในอดีต ทว่า ด้วยการแข่งขันในตลาด Minivan ของสหรัฐอเมริกายังรุนแรงอยู่ Nissan จะทิ้งตลาดกลุ่มนี้่ไปยังไม่ได้ พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องมองหา Solution ที่เหมาะสม เพื่อต่อสู้ในตลาดกลุ่มนี้กันต่อ
ในเมื่ออุตส่าห์ลงทุนพัฒนารถเพื่อตลาดสหรัฐอเมริกาหลาย ๆ รุ่น แต่กลับพบว่า รถยนต์แต่ละรุ่น ทำยอดขายไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้ Nissan เริ่มคิดได้ว่า ควรพัฒนารถยนต์ เพียงรุ่นเดียว แต่สามารถทำตลาดได้หลาย ๆ ประเทศจะดีกว่า การมานั่งสร้างรถยนต์เพื่อเอาใจตลาดท้องถิ่นโดยเฉพาะ เหมือนในอดีต
เมื่อ Nissan มองย้อนกลับไปดูทรัพยากรที่เหลืออยู่ จึงค้นพบว่า ในตอนนั้น บริษัทแม่ ฝั่งญี่ปุ่น กำลัง ทำตลาดรถตู้ระดับหรูอย่าง Nissan Elgrand อยู่แล้ว และยังพอจะมียอดขายไปได้ดีอยู่ ดังนั้น เหตุไฉน จึงไม่นำ Elgrand ใหม่ รุ่นต่อไป มาปรับปรุงให้เข้ากับรสนิยมชาวอเมริกัน แล้วส่งกลับไปขายในสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อ Nissan Quest กันเสียเลยละ?
จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เราจะได้เห็น Nissan Quest เจเนเรชั่นล่าสุดใช้พื้นฐานร่วมกับ Nissan Elgrand ใหม่ เรียกง่าย ๆ ว่ามันคือรถคันเดียวกันนี่แหล่ะ แน่นอนในเมื่อเป็นคันเดียวแต่ต่างกันที่รายละเอียด Nissan จึงตัดสินใจ ยกเลิกการผลิต Quest ที่โรงงาน Canton มลรัฐ Mississippi เพื่อจะเริ่มประกอบ รถกระบะ Full Size Truck รุ่น Titan แทน ทำให้สายการผลิตของ Quest ย้ายฐานผลิตจากสหรัฐอเมริกามาที่โรงงาน Nissan Shatai ใน Kyushu ในญี่ปุ่นแทน โดยใช้สายการผลิตเดียวกับ Nissan Elgrand รุ่นที่ 3 อันเป็นแฝดผู้พี่ของ Quest รุ่นที่ 4
นี่คือที่มาของ Quest Generation ที่ 4 อันเป็นรุ่นสุดท้ายของ Quest ในสหรัฐอเมริกา
Nissan FORUM Concept
“The Preview Concept Minivan of the 4th Generation QUEST”
20 ธันวาคม 2007 Nissan เผยภาพถ่ายชุดแรกของ “Nissan FORUM Concept” ต้นแบบของรถยนต์ Minivan รุ่นใหญ่ สำหรับตลาดอเมริกาเหนือคันใหม่ ก่อนจะนำไปจัดแสดงครั้งแรกในโลก ณ งาน NAIAS (North American International Auto Show) หรือ Detroit Auto Show เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2008 ที่ Cobo Hall ในเมือง Detroit มลรัฐ Michigan
แนวคิดในการออกแบบของ Forum Concept (และ Elgrand รุ่นที่ 3 / Quest รุ่นที่ 4) คือ “Gathering Place” หรือพื้นที่ สำหรับการรวมตัวกันของสมาชิกในครอบครัว ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กๆ เข้าไว้ด้วยกันใน 2 Zone ที่เชื่อมต่อกัน ด้านหน้ารถ เป็นโซนสำหรับผู้ปกครอง ควบคุมรถ มีเทคโนโลยีสารสนเทศขั้นสูง และเบาะนั่งที่ออกแบบมาเพื่อความสบายในการขับขี่ ส่วนโซนด้านหลังเป็นพื้นที่สำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพื่อสร้างความรู้สึกสบายและเพลิดเพลินได้
Rachel Nguyen, Director แผนก Advanced Planning and Strategy, Nissan North America, Inc. ในขณะนั้น อธิบายไว้ว่า “ในแง่ของแนวคิดการออกแบบ Forum มีความใกล้เคียงกับรถยนต์ Limousine สำหรับครอบครัว มากกว่ารถตู้ Minivan ที่คนรุ่น Generation X คุ้นเคย แต่ไม่เหมือนกับ Limousine จริงๆ และ ไม่เหมือนกับ Minivan ทั่วไป เพราะสำหรับ Forum แล้ว ผู้ขับขี่ มีความสำคัญไม่แพ้ ผู้โดยสาร เพราะรถตู้ Minivan นั้น เดิมทีถูกมองว่า เป็น รถยนต์สำหรับคุณแม่ (Mom’s Car) แต่ Forum ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง เพราะจาการวิจัยตลาดของเรา ความจริงก็คือ ทั้งคุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้าน ต่างก็ต้องการสมรรถนะ ความสนุกสนาน และสไตล์ในการขับขี่รถยนต์ของพวกเขา ไม่ว่าจะใช้ขนส่งบุตรหลานด้วยหรือไม่ก็ตาม”
จุดเด่นของ Forum อยู่ที่ การออกแบบให้เบาะนั่งแถวกลาง ปรับหมุนได้ 180 องศา และยังมี กล้องสำหรับจับภาพบุตรหลาน (Kid’s Cam) ให้ผู้ปกครอง ได้คอยสอดส่องลูกหลาน ในขณะเดินทาง การติดตั้งระบบกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา Around View Monitor (AVM) ซึ่ง Nissan นำมาติดตั้งให้กับรถยนต์จำหน่ายจริงเป็นรายแรกของโลก
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสวิตช์ Time Out ติดตั้งอยู่ที่ก้านพวงมาลัยด้านล่าง เพียงกดปุ่มเดียว ผู้ขับขี่สามารถสั่งปิดเสียงอุปกรณ์ความบันเทิงในรถทุกอย่างที่กำลังใช้งานอยู่ในห้องโดยสาร และกระจายเสียงของผู้ขับขี่ผ่านลำโพงภายในรถ ได้พร้อมกัน เผื่อในกรณีที่บุตรหลานซุกซนจนคุมไม่อยู่ ก็สามารถใช้ปุ่มนี้ในการสั่งลูกๆให้หุบปากลงได้
ตัวรถมีความยาว 4,987 มิลลิเมตร กว้าง 2,114 มิลลิเมตร สูง 1,763 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,075 มิลลิเมตร Nissan ระบุไว้ในเอกสารสำหรับสื่อมวลชน (Press Release) ไว้เพียงแค่ว่า Forum ถูกวางขุมพลัง Diesel ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก (Environmentally sensitive clean diesel engine) วางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT สวมล้ออัลลอย ลาย 6 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว พร้อม ยาง Nitto NT420 245/45R20
Nissan North America, Inc. (NNA) เผยภาพถ่ายด้านหน้า ของ Quest ใหม่ เป็นครั้งแรก ในรูปแบบ Teaser เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2010
นำไปเปิดผ้าคลุม บนแท่นหมุน ของบูธตนเอง ในรอบสื่อมวลชนของงาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2010 ณ Los Angeles Convention Center รวมทั้งจัดแสดงต่อ ตั้งแต่วันศุกร์ ที่ 17 – วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2010 โดยเริ่มส่งมอบรถคันแรกให้กับลูกค้าชาวอเมริกันได้ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2010
ตัวรถมีขนาดใกล้เคียงกับ Nissan Elgrand เวอร์ชัน ญี่ปุ่น ด้วยความยาวถึง 5,100 มิลลิเมตร กว้าง 1,971 มิลลิเมตร สูง 1,816 มิลลิเมตร (ถ้ารวม Roof Rack อยู่ที่ 1,854 มิลลิเมตร) ระยะฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง รุ่นล้อ 16 นิ้ว เท่ากันที่ 1,729 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นล้ออัลลอย 18 นิ้ว เท่ากันอยู่ที่ 1,719 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนนจนถึงพื้นใต้ท้องรถ 157 และ 167 มิลลิเมตร ตามแต่ละรุ่นย่อย ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์ แรงเสียดทานอากาศ Cd. 0.32 – 0.34 ตามแต่ละรุ่นย่อย
จุดเด่นของ Quest รุ่นที่ 4 คือ การติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ๆ อัดแน่นเข้าไปเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็น บานประตูเลื่อนไฟฟ้า เปิดได้แบบ One-touch power sliding doors เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแทบทุกรุ่น โดยเบาะแถว 2 และ 3 ปรับและพับลงได้อย่างรวดเร็ว โดยเบาะแถว 3 มีสวิตช์ไฟฟ้า ดึงเบาะกลับขึ้นมาใช้งานตามเดิม ระบบเครื่องปรับอากาศ Advanced Climate Control System (ACCS) พร้อมระบบฟอกอากาศ Plasmacluster® และ Grape Polyphenol Filter,ฝาท้ายไฟฟ้า ระบบกุญแจ Nissan Intelligent Key® ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System (TPMS) พร้อมกับระบบ Easy-Fill Tire Alert
นอกจากนี้ ยังมีระบบ Blind Spot Warning (BSW), ระบบกล้องมองภาพบนหน้าจอ Around View® Monitor 360 องศา , ระบบตรวจจับวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD), ระบบนำทางผ่านดาวเทียม Nissan Hard-Drive Navigation System ที่มี Graphic หน้าจอ และโครงสร้างเมนูหน้าจอ ใช้งานง่าย รวมทั้งระบบแจ้งสภาพการจราจรและข้อมูลสภาพอากาศ NavTraffic และ NavWeather ทำงานร่วมกับวิทยุ SiriusXM (ซึ่งต้องบอกรับสมาชิก และจำหน่ายติดตั้งแยก) ไปจนถึง Dual Panel Moonroof, และชุดเครื่องเสียง จาก Bose® ให้เลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษอีกด้วย
ขุมพลังได้รับการปรับปรุงให้แรงขึ้น และมีให้เลือกเพียงแบบเดียว เหมือนเช่นเดิม เป็นเครื่องยนต์รหัส VQ35DE เบนซิน V6 ทำมุม 60 องศา DOHC 24 วาล์ว 3,498 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.5 x 81.4 มิลลิเมตร กำลังแัด 10.3 : 1 เสื้อสูบ กับฝาสูบ ทำจาก Aluminum ทั้งหมด ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้แบบ Direct-Injection ผ่านท่อร่วมไอดี NICS (Nissan Induction Control System) พร้อมระบบแปรผันระยะยกวาล์วไอดี CVTC (Continuously Variable Timing Control) หัวเทียนแบบ Double tipped Iridium โดยใช้ Starter 12 Volt ส่วน Alternator เป็นแบบ 130 amp และใช้ Battery ขนาด 550 amp/ชั่วโมง
กำลังสูงสุด 260 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 325 นิวตันเมตร (33.11 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที
ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน XTronic CVT โดยมีอัตราทดเกียร์ D เดินหน้า อยู่ในช่วงตั้งแต่ 2.371 – 0.439 เกียร์ถอยหลัง 1.766 และอัตราทดเฟืองท้าย 4.878
พวงมาลัยเป็นแบบ Rack and Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงด้วย Hydraulic แบบ Vehicle Speed Sensing อัตราทดเฟืองพวงมาลัย 18.6 : 1 หมุนจากซ้ายสุด ไปขวาสุด Locl to Lock ได้ 3.6 รอบ รัศมีวงเลี้ยว (ครึ่งวงกลม) ของรุ่นที่ใช้ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ทั้งรุ่น S (16″ x 6.5 J) และ SV (16″ x 7″J) จะอยู่ที่ 5.50 นิ้ว ส่วนรุ่น SL และ Platinum ที่ใช้ล้ออัลลอย 18 นิ้ว (18″ x 7″ J) จะอยู่ที่ 5.59 เมตร
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut พร้อม Coil Spring และเหล็กกันโคลง แบบ Solid เส้นผ่าศูนย์กลาง 25 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ Multi-Link พร้อม Coil Spring
ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก แบบมีครีบระบายความร้อน ทั้ง 4 ล้อ โดยจานเบรกตู่หน้า มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 11.4 นิ้ว หนา 1.1 นิิ้ว ส่วนจานเบรกคู่หลัง เส้นผ่าศูนย์กลาง 12.0 นิ้ว หนา 0.6 นิ้ว เสริมการทำงานด้วยตัวช่วยมาตรฐาน ทั้ง ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Brake System) แบบ 4 Sensors 4 Channel ทั้ง 4 ล้อ ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distribution) และระบบเสริมแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist พร้อมเบรกจอด (เบรกมือ Parking Brake) แบบแป้นเหยียบ เหมือน Nissan Cefiro A31
ราคาจำหน่าย MSRP (Manufacturer Suggest Retail Price) ของ Quest รุ่นปี 2011 ในช่วงแรกที่เปิดตัว มีดังนี้
- Quest 3.5 S $28,550 USD
- Quest 3.5 SV $31,700 USD
- Quest 3.5 SL $35,175 USD
- Quest 3.5 LE $42,175 USD
9 มิถุนายน 2011 Nissan USA ประกาศ ปรับอุปกรณ์เล็กน้อยให้กับ Quest รุ่นปี 2012 โดยเพิ่ม วิทยุผ่านดาวเทียมXM® Satellite Radio (XM® ต้องบอกรับเป็นสมาชิก และแยกขายต่างหาก) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับ Quest รุ่น SV และ SL ราคาจำหน่าย มีดังนี้
- Quest 3.5 S $25,990 USD
- Quest 3.5 SV $29,740 USD
- Quest 3.5 SL $33,520 USD
- Quest 3.5 LE $42,640 USD
3 ตุลาคม 2012 Nissan USA ประกาศปรับอุปกรณ์ให้ Quest รุ่นปี 2013 โดย เพิ่มกล้อมมองภาพรอบคัน 360 องศา Around View® Monitor เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นย่อย LE ตัวท็อป นอกจากนี้ ระบบความบันเทิง DVD Entertainment System ถูกปลดล็อกให้กลายมาเป็นอุปกรณ์สั่งติดตั้งพิเศษสำหรับรุ่นย่อย SV และ SL แล้ว จากเดิมที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะรุ่น LE และเป็น Option สำหรับรุ่น SL ราคาจำหน่าย ประกาศ เมื่อ 3 ตุลาคม 2012 ยังคงเท่ากับรถรุ่นปี 2012
16 กรกฎาคม 2013 Nissan USA ประกาศ ปรับรายละเอียดของ Quest รุ่นปี 2014 เพียงแค่ เพิ่มสีตัวถังใหม่ Titanium และ Gun Metallic โดยตัดสี Twilight Gray สี Platinum Graphite และสี Titanium Beige ออก หลังจากนั้น ในวันที่ 17 กันยายน 2013 Nissan USA ประกาศคงราคา Quest รุ่นปี 2014 ไว้ตามเดิมเท่ากับรุ่นปี 2013
8 กรกฎาคม 2014 Nissan USA ประกาศปรับเปลี่ยนรายละเอียดของ Quest รุ่นปี 2015 ไว้ เล็กน้อย ดังนี้
- รุ่นย่อย LE ยกระดับเป็นรุ่นย่อย Platinum
- ปรับจูนการทำงานของระบบ D-Step Shift logic สำหรับเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ดีขึ้น 2 mpg (ไมล์/แกลลอน) ในรูปแบบการขับขี่ นอกเมือง และดีขึ้น 1 mpg ในรูปแบบการขับขี่ในเมือง กลายเป็น นอกเมือง 27 mpg ในเมือง 20 mpg เฉลี่ยได้ 22 mpg
- ระบบ Moving Object Detection (MOD) เพิ่มเข้ามาให้กับ ระบบ Around View® Monitor สำหรับรุ่น Platinium
- จอ Monitor สี สำหรับผู้โดยสาร ด้านหลัง ยกระดับจากขนาด 4.3 นิ้ว เป็น 5.0 นิ้ว
ส่วนราคาจำหน่ายของ Quest รุ่นปี 2015 ถูกประกาศออกมา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2014 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม ดังนี้
- Quest 3.5 S $26,530 USD
- Quest 3.5 SV $30,280 USD
- Quest 3.5 SL $34,060 USD
- Quest 3.5 Platinum $43,180 USD
18 สิงหาคม 2015 Nissan ประกาศรายการปรับปรุงอุปกรณ์ให้กับรถยนต์ทุกรุ่นปี 2016 โดย Quest รุ่นปี 2016 มีการปรับอุปกรณ์เล็กน้อย นั่นคือ เพิ่ม รางหลังคา Roof Rail มาให้ ตั้งแต่รุ่น SV ขึ้นไป และมีการปรับปรุงโปรแกรมการจ่ายน้ำมันในกล่องสมองกลเครื่องยนต์ ECU ทำให้อัตราสิ้นเปลือง ดีขึ้น 1 Mpg (ไมล์/แกลลอน) เป็น อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยในเมือง 27 mpg Highway 23 mpg รวมเฉลี่ย 20 mpg ราคาประกาศออกมาเมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม 2015 มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ตามเดิม ดังนี้
- Quest 3.5 S $26,530 USD
- Quest 3.5 SV $30,490 USD (เป็นรุ่นเดียวที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น)
- Quest 3.5 SL $34,060 USD
- Quest 3.5 Platinum $43,180 USD
แม้ว่า Nissan จะพยายามใส่อุปกรณ์มาให้ Quest จนดูคุ้มค่าท่วมคัน แต่เนื่องจากสถานการณ์ยอดขาย Minivan ในสหรัฐอเมริกา อยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง แถมคู่แข่ง อย่าง Chrysler Pacifica , Toyota Sienna , Honda Odyssey และ Kia Sedona (Carnival ในบ้านเรา) ต่างก็เปลี่ยนโฉมใหม่ และงัดสารพัดจุดขายออกมาฟาดฟันกันอย่างดุเดือด ส่งผลให้ยอดขายของ Quest ยิ่งค่อยๆดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่อง ดูจากตัวเลขยอดขาย ใน สหรัฐอเมริกา ดังนี้
2011……12,199 คัน (รวมรถรุ่นเก่า ปี 2009 – 2010 และรถรุ่นใหม่ ปี 2011 เข้าไปด้วย)
2012……18,275 คัน
2013……12,874 คัน
2014…….9,833 คัน
2015……28,590 คัน
2016……11,115 คัน
2017…….4,950 คัน
2018…………..3 คัน (Stock เก่า)
ปี 2016 แม้จะทำยอดขายได้ 11,115 คัน แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับ โคม่า แล้ว พอถึง ปี 2017 อันเป็นปีสุดท้ายในตลาด ยอดขายยิ่งตกต่ำลงเหลือเพียง 4,950 คัน ทั้งที่ขนาดของตลาดกลุ่ม Minivan 7 ที่นั่ง ในสหรัฐอเมริกานั้น ต่อให้ตกต่ำยังไง ก็ต้องมียอดขาย หลักเกิน 30,000 คัน/ปี
ปี 2018 ยังคงมีสต็อกหลงเหลือ อีกเล็กน้อย จึงมียอดขายโผล่มาอีก 3 คัน และถือเป็นการปิดฉาก Quest ในตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างสมบูรณ์
ทำไม Nissan Quest ถึงไม่ได้ไปต่อ?
เหตุผลที่ Nissan ต้องยุติการผลิต Quest เอาไว้เพียงเท่านี้ เพราะตลาดรถตู้ Minivan 7 ที่นัง ขนาดใหญ่ สำหรับชาวอเมริกันนั้น นับวันตัวเลขยอดขายยิ่งลดลงเรื่อยๆ จากเดิม ในปี 2016 ยอดขาย Minivan มีสัดส่วน 6.6% จากยอดขายรวมทั้งตลาด มาจนถึงปี 2022 ที่ผ่านมา ตัวเลขยอดขาย Minivan ลดลงเหลือเพียง 3.6% จากยอดขายรวมทั้งตลาด ต่อให้ดูตัวเลขยอดขายของ คู่แข่งก็พบว่า ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งเมื่อดูจากตัวเลขยอดขายสะสมของ Quest ตลอดอายุตลาด จะพบว่า นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ในแต่ละเดือน Nissan จำหน่าย Quest ออกไปได้ไม่ถึงเดือนละ 3,000 คัน ซึ่งถือว่า ค่อนข้างจะยากต่อการทำกำไรในระยะยาว
ส่วนหนึ่งของปัญหา มาจากการที่ลูกค้าชาวอเมริกัน พบเจอกับปัญหาการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT จึงมีรายการร่ำลือกันเป็นปากต่อปาก ไปตาม สื่อ Social Media ต่างๆ มากมาย
ยิ่งเมื่อดูตัวเลขในปี 2017 ซึ่งถือเป็นปีสุดท้ายในตลาดของ Quest จะพบว่า คู่แข่งหลักๆในตลาดกลุ่มนี้ ล้วนทำยอดขายไปได้ไกลกว่า Nissan ทั้งสิ้น
- Dodge Grand Caravan: 125,196 คัน
- Chrysler Pacifica minivan: 118,274 คัน
- Toyota Sienna: 111,489 คัน
- Honda Odyssey (US Version) : 100,307 คัน
- Nissan Quest : 4,950 คัน
ตัวเลขยอดขายเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของชาวอเมริกัน ที่มีต่อ Minivan 7 ที่นั่ง เจ้าถิ่น จาก Chrysler ทั้ง Pacifica และ Dodge Caravan ซึ่งยังคงเหนียวแน่นต่อเนื่องมาตั้งแต่ ปี 1983 จนถึงปัจจุบัน มีเพียงแค่ Toyota Sienna กับ Honda Odyssey และ Kia Carnival เท่านั้น ที่ยังพอจะแย่งขิงส่วนแบ่งก้อนเค้กชิ้นนี้มาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขยอดขาย Minivan 7 ที่นั่ง ในสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ในช่วงปี 2024 -2025 โดยคู่แข่งในตลาดหลัก ยังคงเป็น Chrysler Pacifica ด้วยยอดขาย 107,356 คัน ตามด้วย Toyota Sienna 75,037 คัน และ Honda Odyssey (US Version) 71,933 คัน ตัวเลขของทั้ง 3 รุ่นนี้ คือยอดขายรวมตลอดทั้งปี 2024 แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขในช่วง 5-10 ปีก่อน ก็จะพบแนวโน้มว่า ความนิยมในตลาดกลุ่มนี้ ลดลงเรื่อยๆ มาตลอด จนไม่คุ้มที่ Nissan จะยืนหยัดอยู่ในตลาดกลุ่มนี้ต่อไป
พุดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ รถรุ่นแรก ทำออกมาแล้ว ขายพอได้ แต่พอเปิดตัวรุ่นที่ 2 ออกมา ลูกค้าเห็นงานออกแบบแล้ว รู้สึกเบื่อ พอมาถึงรุ่นที่ 3 งานออกแบบยิ่ง พิลึกพิลั่นหนักเข้าไปอีก ทำให้สุดท้าย ต้องลองคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการนำ Elgrand มาปรับโฉม แต่งหน้าทาปาก ให้พอจะถูไถไปกับรสนิยมของลูกค้าชาวอเมริกัน แต่ด้วยความหรูหราที่มาในสไตล์ญี่ปุ่นเต็มพิกัด แต่อาจไม่เหมาะกับรสนิยมลูกค้าเมืองลุงแซม นั่นจึงทำให้ Nissan Quest กลายเป็นเพียงหนึ่งในความสำเร็จยุคอดีต ที่กลายเป็นบทเรียนให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษา กันไปในที่สุด
อนาคตของ Quest ในอเมริกาเหนือ หมดไปแล้ว แต่สำหรับ ELGRAND ใหม่ เตรียมมาไทย 2026!
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาด Minivan รุ่นใหญ่ ในตอนนี้ Nissan ตัดสินใจแล้วว่า จะไม่พัฒนา Quest รุ่นใหม่ สำหรับตลาดอเมริกาเหนืออีกต่อไป เพราะพวกเขาจะหันไปให้ความสนใจกับการเตรียมเปิดตัวรถตู้ ELGRAND โฉมใหม่ Generation ที่ 4 ซึ่งเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่แบบ Big Minorchange ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยนำเอาแนวทางการออกแบบมาจากรถตู้ต้นแบบ Nissan Hyper Tourer ที่เคยจัดแสดงในงาน Japan Mobility Show ตุลาคม 2023 และนำมาจัดแสดงในงาน Bangkok International Motor Show มีนาคม 2024 มาใช้กับรุ่นปรับโฉมของ ELGRAND ใหม่นี้ด้วย
อันที่จริง Nissan ทำตลาด ELGRAND รุ่นปัจจุบัน มาตั้งแต่ ปี 2010 จนบัดนี้ ก็ปาเข้าไป 15 ปีแล้ว แต่ก็มีการปรับโฉม Minorchange เรื่อยๆ เป็นระยะๆ ทว่า คราวนี้ ถือเป็นการปรับโฉมขนานใหญ่ Big Minorchange มุกเดียวกับ ที่ Nissan ทำมาแล้ว กับรถตู้รุ่น Serena จาก C27 มาเป็น C28 นั่นเอง
คาดว่าขุมพลังของ ELGRAND ใหม่จะเป็นไปตามที่สื่อมวลชนฝั่งญี่ปุ่น รายงานกันไปก่อนหน้านี้ คือ วางขุมพลัง E-POWER Generation ที่ 3 ประุกอบด้วย เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16วาล์ว 1.5 ลิตร Turbo พร้อมมอเตอร์ขับเคลื่อน และ แบ็ตเตอรี Lithium-ion ยกชุดมจาก X-Trail แต่มีการปรับจูนพละกำลัง และอัตราสิ้นเปลือง ให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักบรรทุกของตัวรถ อีกทั้ง ทีมวิศวกร ตั้งใจจะเซ็ตให้ ELGRAND ใหม่ เป็น “Minivan ที่ขับดีที่สุดในตลาด และต้องนั่งสบายควบคู่กันไปด้วย”
กำหนดการเปิดตัว ELGRAND ใหม่ในญี่ปุ่น จะอยู่ในช่วง ปลายปี 2025 และจะไม่มีแผนทำเวอร์ชันพวงมาลัยซ้าย ดังนั้น ตลาดอเมริกาเหนือ และจีนแผ่นดินใหญ่ หมดสิทธิ์ ที่จะได้เห็น ELGRAND ใหม่ ในชื่อ QUEST อย่างแน่นอนแล้ว
พูดกันตามตรงก็คือ Nissan มองไม่เห็นความคุ้มค่า ในการทำ Minivan ออกมาเอาใจตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งต้องการขุมพลัง V6 ขึ้นไป ในการฉุดลาก แบกน้ำหน้กบรรทุก
ส่วนตลาดเมืองจีน การแข่งขันรุนแรงมาก และพวกเขาต้องการขุมพลัง Hybrid หรือ PHEV ก็จริง แต่ ในเมื่อผู้ผลิตชาวจีนเอง ก็ออกรถตู้ไฟฟ้าล้วน มาขายกันอย่างท่วมตลาด อีกทั้ง ลูกค้าชาวจีนส่วนใหญ่ ยังคงเทใจให้กับ Buick GL8 , Toyota Alphard , Denza D9 อันเป็น รถตู้ขายดีรุ่นยอดนิยม กันอยู่ในตอนนี้ ดังนั้น แทบไม่เหลือช่องว่างทางการตลาดให้กับ Nissan ในเมืองจีนกันเลย
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม Nissan ตั้งใจพา ELGRAND ใหม่ พร้อมขุมพลัง E-POWER Generation ที่ 3 ออกสู่ตลาดพวงมาลัยขวาในโซน Asia ทั้งหมด เท่านั้น…รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย ในช่วงปี 2026 นี้!!!
—————————–///—————————–
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นของ Nissan Motors Company & Nissan Motor USA Inc.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
14 ธันวาคม 2025
Copyright (c) 2025 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
Decemember 14th, 2025
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!
