7 กันยายน 2025

ผมยืนมองบรรยากาศการแข่งขัน รายการ Lamborghini Super Trofeo Asia 2025 หนึ่งในซีรี่ส์ One Make Race ที่รวมเอาเจ้าของกระทิงดุจากทั่วเอเชีย มาลงสนามวัดใจกันด้วย Huracán Super Trofeo EVO2 รถแข่งเครื่อง V10 NA ที่ต่อยอดตรงมาจาก Huracán รุ่นปกติ แต่ถูกดัดแปลงให้พร้อมดวลกันในสนามจริง

การแข่งขันปีนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือน เมษายน ที่ผ่านมา โดยกองทัพกระทิงดุได้ไปเยือนหลากหลายสนามระดับโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Sydney Motorsport Park ประเทศออสเตรเลีย, Shanghai International Circuit ประเทศจีน, Fuji Speedway ประเทศญี่ปุ่น และ Inje Speedium ประเทศเกาหลีใต้ แต่ละสนามก็มีเอกลักษณ์และความโหดแตกต่างกันไป

และล่าสุด…การเดินทางก็มาถึง Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย สนามที่ 5 ของฤดูกาล ก่อนที่ซีรี่ส์เอเชียจะเดินทางไปปิดท้ายอย่างยิ่งใหญ่ในรอบ World Finals ที่สนาม Misano World Circuit Marco Simoncelli ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นการรวมทัพนักแข่งจากทุกทวีปมาประลองกันเพื่อหาสุดยอดของสุดยอด

ณ สนามเซปังแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่ความยาวกว่า 5.5 กิโลเมตร กับโค้งความเร็วสูงเท่านั้น ที่รอต้อนรับ แต่มันยังเป็นบททดสอบความอึด ทั้งของรถและนักขับ เพราะอากาศร้อนชื้น บางวันอุณหภูมิพื้นสนามพุ่งสูงทะลุ 67 องศาเซลเซียส (สนามบุรีรัมย์บ้านเรา ที่เคยเจออย่างมากสุดราวๆ 58 องศาเซลเซียส) การใช้เบรกอย่างต่อเนื่อง สามารถทำให้การแข่งชั่วโมงเดียว กลายเป็นศึกทรหดที่ทำเอารถแข่งบางคันถึงขั้นนเกิดปัญหา

 

สำหรับผม จุดเริ่มต้นของทริปนี้ มาจากคุณแพรว PR แห่ง Renazzo Group (Lamborghini Bangkok) ที่ส่งจดหมายเชิญเข้าร่วมชมการแข่งขัน แม้ก่อนหน้านี้จะมีสื่อสายไลฟ์สไตล์ได้ไปสัมผัสประสบการณ์กันแล้ว แต่รอบนี้เป็นคิวของสื่อสายยานยนต์อย่างเราๆ สักที ยิ่งพอรู้ว่าปลายทางคือ Sepang International Circuit สนามแข่งระดับโลกที่ผมเองยังไม่เคยมีโอกาสเหยียบมาก่อน คำตอบมันก็ออกมาแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา รีบตอบตกลงทันที ทั้งที่ในตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำหนดการจริงๆ จะเป็นอย่างไร

แต่ที่ทำให้ผมไม่อยากพลาดทริปนี้จริงๆ คือโอกาสที่จะได้ลิ้มรส Lamborghini URUS SE บนสนามแข่งเต็มรูปแบบ ก่อนหน้านี้ผมเคยชิมลางไปแล้วเล็กน้อยที่สนามทดสอบชั่วคราวริมทะเลสาบเมืองทองธานี ซึ่งสภาพแทร็กเป็นเพียงลานสั้นๆ คล้ายจิมคาน่า เน้นความเร็วต่ำและการเล่นไลน์แคบๆ มากกว่าจะได้ปลดปล่อยศักยภาพของรถเต็มที่ คราวนี้ที่เซปัง มันคือโอกาสทองที่จะได้รู้จัก URUS SE อย่างจริงจัง ว่ามันเป็นแค่รถยกสูงที่ใส่เครื่องแรงๆ หรือ กระทิงดุในคราบ SUV ที่พร้อมจะพาคนขับออกไปเผชิญกับทุกสภาพถนน !?

ช่วงบ่าย ของวันที่ 6 กันยายน 2025 หลังจากเที่ยวบิน TG415 จากกรุงเทพฯ ลงจอดที่กัวลาลัมเปอร์ปุ๊บ ก็แทบไม่ต้องยืนงงอยู่ตรงสายพานกระเป๋าเลย เพราะทีมงาน Lamborghini HQ ได้มายืนรออยู่แล้ว พร้อมส่งรถ Toyota Alphard มารับเหมือนเป็นแขก VIP ขับพาออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปเซปังทันที

ระหว่างนั่งรถไปก็มองซ้ายมองขวา อารมณ์เหมือนขับอยู่ถนนเส้นชานเมืองบ้านเราไม่มีผิด ต่างตรงที่บนถนนนี่ ถ้าแชะรูปส่งเข้าไลน์กลุ่มเมื่อไร มีโอกาสสูงที่รถ Proton จะติดเฟรมมาให้เห็นทุกช็อต เรียกว่าขับกันดาษดื่นสมกับเป็นแบรนด์ประจำชาติ ส่วนที่เจอบ่อยรองลงมาก็คือ Honda และ Toyota ที่วิ่งกันขวักไขว่ ไม่แพ้กัน

พอถึงสนามเซปัง ผมก็ได้ขึ้นไปนั่งพักที่ Lamborghini Exclusive Lounge ซึ่งจัดไว้สวยหรูสำหรับแขกพิเศษ มีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และโซนพักผ่อนให้พร้อม ที่เด็ดคือมีมุมโชว์นาฬิกาหรู Roger Dubuis สปอนเซอร์หลักของงาน กับอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ดึงดูดสายตาเต็มๆ ก็คือ Lamborghini Temerario สีน้ำเงินเข้ม รุ่นใหม่ ที่จอดเด่นอยู่กลางเลานจ์ เรียกว่ากว่าจะหันไปดูการแข่งขัน ก็เล่นเสียเวลาไปกับการยืนถ่ายรูปกับ พระเอก คันนี้อยู่พักใหญ่เลยทีเดียว

 

 

สำหรับการแข่งขัน Lamborghini Super Trofeo Asia 2025 เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือน เมษายน ที่ผ่านมา

ประเดิมด้วยสนาม… Gardner GP Circuit สนามกรังด์ปรีซ์ ระยะทาง 3.93 กิโลเมตร เคยเปิดบ้านต้อนรับรายการแข่งระดับโลกมาแล้ว ทั้ง Australian Motorcycle Grand Prix และ V8 Supercars Championship ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอย่างเป็นทางการในปี 2013 เพื่อตั้งชื่อตาม Wayne Gardner แชมป์โลกผู้เป็นตำนานของชาวออสซี่

เสน่ห์ของสนามนี้อยู่ที่โค้งและทางตรงที่ผสมผสานกันอย่างท้าทาย ตั้งแต่โค้งความเร็วกลาง โค้งบอด ไปจนถึงทางตรงที่ยาวพอให้กดเต็มคันเร่ง โดยเฉพาะ โค้งหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อว่าเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย การเข้าโค้งที่ความเร็วราว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องอาศัยทั้งความแม่นยำและความใจถึงแบบสุดๆ ใครที่กล้าวางรถ ตั้งแต่จุดกดพวงมาลัยแรกจะได้รางวัลเป็นความเร็วที่ต่อเนื่องและเหนือคู่แข่งทันที

พื้นสนามถูกปูด้วยแอสฟัลต์ผสมร้อน (Hot Mix Asphalt) คุณภาพสูง กว้าง 15 เมตรในทางตรงหลัก ก่อนจะแคบลงเหลือเพียง 12 เมตรเมื่อเข้าสู่โซนเนินเขา เพิ่มความกดดันให้กับนักแข่งทุกคน การผสมผสานของความเร็วสูงกับโค้งที่ต้องใช้ทักษะเต็มร้อย ทำให้ที่นี่กลายเป็นสนามโปรดของทั้งนักบิด และนักขับมือเก๋าที่ชื่นชอบความท้าทาย

สนามที่ 2 ได้แก่ Shanghai International Circuit สนามแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในชานเมืองเซี่ยงไฮ้ เมื่อปี 2003 มีความยาว 5.451 กิโลเมตร ออกแบบให้เต็มไปด้วยทางตรงที่กดได้สุด และโค้งเร็วที่ท้าทายฝีมือ รวมถึงโซนเบรกหนักที่พร้อมจะเขย่าความมั่นใจของนักขับทุกคน

ดีไซน์ของสนามถือว่ามีเอกลักษณ์ เพราะถูกออกแบบให้มีลวดลายคล้ายอักษรจีน “shàng” (上) ที่แปลว่า “ขึ้น” หรือ “เหนือ” ทั้งในเชิงความหมายมงคล และยังสื่อถึงการมุ่งหน้าสู่ความสูงสุดในโลกความเร็วอีกด้วย

 

สนามที่ 3 ต่อมา คือ Fuji International Speedway เปิดใช้งานครั้งแรกในปี 1965 ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น สนามแห่งนี้ผ่านการปรับเลย์เอาท์มาหลายครั้ง จนปัจจุบันมีความยาว 4.563 กิโลเมตร พร้อมด้วย 16 โค้ง ที่ท้าทายทั้งสายสปีดและสายเทคนิค

บรรยากาศของฟูจิไม่เคยง่ายสำหรับนักแข่ง เพราะภูมิประเทศที่รายล้อมด้วยภูเขา ทำให้มีทั้งความชื้นสูงและฝนที่ตกแบบคาดเดายาก ซึ่งมักส่งผลกระทบต่อการแข่งขันอยู่เสมอ จุดนี้เองที่ทำให้การขับที่ฟูจิไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็ว แต่ยังต้องอ่านเกมจากสภาพอากาศให้ขาด

ปัจจุบัน Fuji Speedway เป็นเจ้าภาพหลักของการแข่งขันสาย Endurance แต่ในอดีต สนามนี้เคยใช้จัดรายการใหญ่มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Formula 1 Japanese Grand Prix ถึง 4 ครั้ง และ Motorcycle Grand Prix อีก 2 ครั้ง สะท้อนถึงความสำคัญในฐานะ บ้านใหญ่ ของ Motorsport ญี่ปุ่นที่ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้

 

ถัดมาที่สนามที่ 4 ณ Inje Speedium เป็นสนามแข่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น พื้นที่แห่งการลิ้มรสความเร็ว อย่างแท้จริง สนามนี้มีระยะทาง 3.908 กิโลเมตร เพียบพร้อมด้วยเลย์เอาท์ที่รองรับทั้งการแข่งขันระดับนานาชาติ และยังเปิดโอกาสให้นักขับสมัครเล่นได้มาสนุกกับการแข่งแบบเข้าถึงง่าย

เสน่ห์ของ Inje อยู่ตรงที่เป็นสนามที่มอบความเร้าใจให้ทั้งฝั่งนักขับและผู้ชมบนอัฒจันทร์ โค้งและทางตรงถูกออกแบบให้สร้างทั้งความท้าทายและจังหวะการลุ้น จนทำให้ที่นี่กลายเป็น สนามครบเครื่อง ของวงการ Motorsport เกาหลีใต้ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การจัดแข่งใหญ่ แต่ยังเป็นสวรรค์ของคนรักความเร็วทั่วไปด้วย

 

ส่วนสนามล่าสุดที่เรามาเยือนกันในครั้งนี้… Sepang International Circuit สนามแข่งระดับโลกของมาเลเซีย ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1998 บนทำเลทองที่อยู่ห่างจากกัวลาลัมเปอร์เพียง 30 นาที (หากไม่เจอรถติดหนัก) และติดกับสนามบินนานาชาติ ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลาง Motorsport ของภูมิภาคได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภายในคอมเพล็กซ์ยังมีทั้งโรงแรม สนามกอล์ฟ สนามโกคาร์ท และแหล่งช็อปปิ้งครบครัน เรียกว่ามากกว่าสนามแข่ง แต่คือ เมือง Motorsport ในตัวเอง

สนามแข่งมีความยาว 5.543 กิโลเมตร โดดเด่นด้วย 2 ทางตรงยาว 900 เมตร ที่เปิดโอกาสให้กดคันเร่งสุดทาง ก่อนจะต้องชะลอเข้าชุดโค้ง 11 โค้งความเร็วสูง และ 4 โค้งความเร็วต่ำ ที่พร้อมจะวัดใจและทดสอบฝีมือนักขับในจังหวะเบรกและการวางไลน์อย่างถึงที่สุด

แต่สิ่งที่ทำให้เซปังแตกต่างจากสนามอื่นไม่ใช่เพียงเลย์เอาท์ท้าทายเท่านั้น หากยังรวมถึง คู่ต่อสู้ที่มองไม่เห็น อย่าง อากาศร้อนจัดและความชื้นสูง ซึ่งเล่นงานทั้งนักแข่งและรถได้พอๆ กัน การคว้าชัยที่เซปังจึงไม่ใช่แค่การเอาชนะคู่แข่ง แต่ยังต้องเอาชนะธรรมชาติและสภาพร่างกายตัวเองไปพร้อมกันด้วย

 

 

สำหรับสนามถัดไปที่จะถูกใช้เป็นเวทีจัดการแข่งขันรอบ World Finals ในวันที่ 6–7 พฤศจิกายน ปีนี้ ได้แก่ Misano World Circuit Marco Simoncelli สนามแข่งริมทะเลที่หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในสนามขวัญใจแฟน Motorsport ทั่วโลก สนามนี้ตั้งอยู่ใกล้เมือง Misano Adriatico ในจังหวัด Rimini เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1972 และนับจากทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา มันก็ได้กลายเป็นเวทีสำคัญของการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Grand Prix Motorcycle Racing หรือ Superbike World Championship ที่สามารถดึงผู้ชมเข้ามาได้มากสุดถึง 100,000 คนในแต่ละครั้ง บรรยากาศที่นี่จึงไม่ใช่แค่สนามแข่ง แต่เป็นเหมือนงานเทศกาลริมทะเล Romagna Riviera ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมอิตาเลียนแท้ๆ

สิ่งที่ทำให้ Misano แตกต่างจากหลายสนาม คือ ระบบไฟส่องสว่างระดับเวิลด์คลาส ที่ออกแบบมาเพื่อการแข่งขันกลางคืนโดยเฉพาะ ทำให้ไม่เพียงแต่วิ่งได้กลางวันเท่านั้น แต่ยังสามารถจัดเรซกลางคืนสุดเร้าใจได้อย่างเต็มรูปแบบ ประกอบกับพื้นที่ paddock ขนาดมหึมา 70,000 ตารางเมตร ที่พร้อมรองรับทั้งทีมแข่ง รถบรรทุก ทีมช่าง ไปจนถึงกิจกรรมเบื้องหลังต่างๆ ทุกอย่างถูกเซ็ตไว้อย่างครบวงจร จึงไม่น่าแปลกใจที่ Misano จะถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสนามที่แฟนๆ อยากเดินทางมาเชียร์ติดขอบสนามมากที่สุด

สำหรับ กติกาการแข่งขัน Lamborghini Super Trofeo Asia ที่จะปิดฤดูกาลกันที่นี่ โครงสร้างก็ยังคงความเข้มข้นในแบบ one-make series อย่างชัดเจน รถแข่งทุกคันจะเป็น Huracán Super Trofeo EVO2 สเป็กเดียวกันทั้งหมด ไม่มีการดัดแปลงใหญ่ใดๆ เพื่อให้การต่อสู้ในสนามวัดกันที่ ฝีมือนักขับ และการบริหารทีม อย่างแท้จริง นักแข่งถูกแบ่งออกเป็น 4 คลาสตามระดับความเชี่ยวชาญ ได้แก่ PRO (มืออาชีพเต็มตัว), PRO–AM (จับคู่กันระหว่างโปรกับสมัครเล่น), AM (สมัครเล่นล้วน) และ Lamborghini Cup ที่ Lamborghini คัดเลือกขึ้นมาเป็นกลุ่มพิเศษ

การแข่งขันแต่ละเรซวีกเอนด์จะประกอบด้วยการฝึกซ้อม (Free Practice), ควอลิฟายรอบละ 15 นาทีเพื่อจัดกริดสตาร์ท และเรซจริงระยะเวลา 50 นาทีต่อเรซ ทั้งฤดูกาลมีทั้งหมด 6 สนามในเอเชีย (รวมถึง Sepang ที่เพิ่งผ่านไป) และปิดท้ายด้วยรอบชิง World Finals ที่ Misano ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของปี

ด้านกฎควบคุมตัวรถและความปลอดภัย Lamborghini เองก็กำหนดไว้เข้มงวด เครื่องยนต์และระบบควบคุมทั้งหมดถูกปิดผนึก โดยโรงงาน ห้ามดัดแปลงใดๆ หากมีปัญหาต้องส่งกลับให้ Lamborghini ตรวจสอบและซ่อมเท่านั้น ยางที่ใช้ก็เป็นสเป็กเดียวกันหมดตามที่กำหนด ห้ามใช้ฮีตเตอร์หรือเทคนิคใดๆ ในการปรับอุณหภูมิ ขณะที่ ECU และระบบดาต้าห้ามแก้ไขหรือแทรกแซงใดๆ ยกเว้นการปรับเล็กน้อยอย่างไฟบอกเกียร์เพื่อความสะดวกของนักขับ

ทั้งหมดนี้ทำให้ World Finals ที่ Misano ไม่ได้เป็นแค่การปิดฉากฤดูกาล แต่คือเวทีที่จะบอกว่าใครคือที่สุดของการขับ Lamborghini ระดับโลกในปีนี้ บนสนามแข่งริมทะเลที่ทั้งสวย ทั้งโหด และเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์แบบอิตาเลียนแท้ๆ

 

Lamborghini Huracán LP620-2 Super Trofeo EVO คือผลผลิตจาก Squadra Corse แผนกมอเตอร์สปอร์ตของ Lamborghini ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสานต่อจาก Super Trofeo รุ่นเดิม แต่คราวนี้ไม่ได้มาแค่เปลี่ยนหน้าตาเฉยๆ เพราะโจทย์ทางวิศวกรรมคือการรักษาระดับแรงกด (Downforce) ให้คงเดิม ในขณะที่ลดแรงต้านอากาศ (Drag) ลงให้ได้ เพื่อให้สมรรถนะโดยรวมบนสนามแข่งพุ่งไปอีกขั้น

ผลลัพธ์คือรถที่มีงานออกแบบตัวถังแทบทั้งหมดถูกยกเครื่องใหม่ ตั้งแต่กันชนหน้า กันชนหลัง โป่งล้อ ไปจนถึงสปอยเลอร์ โดยเฉพาะในส่วนของครีบอากาศและช่องรับลมบนฝาครอบเครื่องยนต์ด้านหลัง ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ตัวเลขอากาศพลศาสตร์ดีขึ้น แต่ยังทำให้ภาพลักษณ์ของ Super Trofeo EVO เชื่อมโยงกับ Huracán รุ่นถนนปัจจุบันได้แนบเนียนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็ยังมีบางชิ้นส่วนที่ถูกสืบทอดมาจากรุ่นก่อนหน้า เช่น ลิ้นหน้า ครีบกันชนหลัง และพื้นตัวถังรถ ที่ยังคงไว้

ขุมพลังขับเคลื่อนยังคงเป็น เครื่องยนต์เบนซิน V10 สูบ ขนาด 5.2 ลิตร แบบเดียวกับ Huracán LP620-2 Super Trofeo แต่ผ่านการปรับรายละเอียดในระบบท่อไอดีและท่อไอเสียใหม่ เพื่อรีดการตอบสนองและสร้างเสียงเครื่องที่ดุดันสะใจยิ่งขึ้น มันถูกจัดการโดยกล่องควบคุมจาก MOTEC ที่ปรับจูนมาเพื่อการแข่งโดยตรง ตัวเลขกำลังจึงขยับจาก 580 ม้าไปเป็น 620 ม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ X-Trac Sequential 6 จังหวะ ซึ่งเป็นชุดเกียร์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสนามแข่งแบบไม่ประนีประนอม

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะถูกสร้างมาเพื่อซีรีส์ Lamborghini Super Trofeo โดยเฉพาะ แต่ตัวรถก็ยังผ่านมาตรฐานให้เข้าร่วมการแข่งขัน FIA GT Championship ได้เหมือนเดิม และสำหรับเจ้าของ Super Trofeo รุ่นก่อนที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2015 ก็ไม่ถูกทิ้งให้ล้าสมัย เพราะ Lamborghini เปิดทางให้อัพเกรดชิ้นส่วนตัวถังขึ้นสู่สเป็ก EVO ได้ เรียกได้ว่าเป็นการต่ออายุให้รถยังคงแข่งขันได้ในมาตรฐานปัจจุบันโดยไม่เสียของ

ในแง่ภาพรวม Huracán LP620-2 Super Trofeo EVO จึงไม่ใช่แค่รถแข่งที่แรงขึ้น แต่เป็นบทพิสูจน์ว่าการพัฒนาในโลกมอเตอร์สปอร์ต ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง “แรงม้าเพิ่มขึ้น” หากแต่ต้องพัฒนาให้ครบทุกมิติ ทั้งอากาศพลศาสตร์ ความทนทาน และการรองรับการใช้งานจริงในซีรีส์แข่งขันระดับโลก

 

การแข่งขันครั้งนี้มีสีสันพิเศษขึ้นอีกหลายเท่า เพราะมีนักขับจากประเทศไทยของเราเข้ามามีบทบาทในเวทีระดับโลกด้วย

คนแรกคือ คุณศุภชัย วีรบวรพงศ์ (Supachai Weeraborwornpong) นักขับจากทีม Siamgas Corse ที่ลงแข่งในคลาส Lamborghini Cup และถ้าจะบอกว่าเขาคือ ตัวเต็งอันดับหนึ่ง ของฤดูกาลนี้ก็คงไม่เกินจริงนัก เพราะตั้งแต่รอบแรกจนถึงสนามที่ 4 เขายังไม่เคยพลาดโพเดียมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฟอร์มการขับที่หนักแน่นและสม่ำเสมอ ทำให้เขากลายเป็นเหมือนเครื่องจักรที่คอยตอกย้ำคู่แข่งทุกสนามว่า ถ้าอยากขึ้นโพเดียม คุณต้องผ่านเขาไปให้ได้เสียก่อน

อีกคนคือ คุณสุทธิรักษ์ บุญเจริญ  (Suttiluck Buncharoen) จากทีม True Vision Motorsports Thailand ในคลาส AM ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแทนความภาคภูมิใจของแฟนมอเตอร์สปอร์ตไทย ฟอร์มของ Suttiluck นั้นไม่ใช่แค่ดี แต่กำลัง มาแรง อย่างแท้จริง ปัจจุบันคะแนนสะสมของเขาอยู่ในอันดับต้น และยังนำโด่งในคลาส AM อย่างมั่นใจ การขับของเขาไม่ใช่แค่หวังผลระยะสั้น แต่คือการวางเกมยาวแบบนักหมากรุกบนสนามแข่ง รู้จักจังหวะที่จะบุก รู้จักจังหวะที่จะเก็บ และผลลัพธ์ก็คือการรักษาคะแนนสะสมที่มั่นคงจนแทบจะการันตีอนาคตได้ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล

 

หลังจบการแข่งขันในคลาส PRO คู่หู Charles Leong / Alex Denning จากทีม DW Evans GT with SJM Theodore Racing ตอกย้ำความเหนือชั้นด้วยการคว้าชัยชนะที่เซปัง ซึ่งเพียงพอให้พวกเขาผงาดขึ้นเป็นแชมป์ฤดูกาลล่วงหน้าก่อนปิดซีซันได้สำเร็จ เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดของสนามนี้อย่างแท้จริง

ในคลาส PRO-AM การต่อสู้ดุเดือดตลอดสองเรซ แต่สุดท้ายเป็น Chris van der Drift / Todd Kingsford จากทีม FEYNLAB Racing ที่โชว์ฟอร์มแข็งแกร่ง กวาดชัยชนะไปได้ทั้งสองเรซ สร้างความประทับใจและการันตีศักยภาพของทีมในคลาสนี้

ส่วนคลาส AM เรซแรก คุณสุทธิรักษ์ บุญเจริญ นักขับไทยจากทีม True Vision Motorsports Thailand พลาดโพเดียมไปอย่างน่าเสียดาย หลังจบเพียงอันดับ 4 แต่ในเรซที่สองสามารถแก้ตัวได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่แซงขึ้นมาจนคว้าชัยชนะในคลาส AM ได้สำเร็จ ถือเป็นการพลิกสถานการณ์ที่สร้างรอยยิ้มให้กับแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย

และใน Lamborghini Cup อีกหนึ่งไฮไลต์จากนักขับไทยอย่าง คุณศุภชัย วีรบวรพงศ์ จากทีม Siamgas Corse ที่โชว์ฟอร์มเหนือชั้น กวาดชัยชนะทั้งสองเรซไปครองแบบไม่ทิ้งข้อกังขา กลายเป็นตัวเต็งที่น่าจับตามองสำหรับการแข่งขัน World Finals

 

สำหรับคนเล่นรถ ชื่อของ Lamborghini Super Trofeo อาจไม่คุ้นหูเท่า F1, WEC หรือ GT3 แต่ถ้าคุณถามใครที่มีหัวใจเป็นแฟนกระทิงดุ จะรู้ว่านี่คือหนึ่งในรายการแข่งที่นิยามตัวตน ของ Lamborghini ได้ชัดที่สุด เพราะมันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อโชว์ภาพลักษณ์หรือหาคนดูเพียงอย่างเดียว แต่มันคือเวทีที่เปิดให้ เจ้าของ Lamborghini ตัวจริง ได้ขึ้นไปสัมผัสความเร้าใจในสนามแข่งระดับโลก

ในโลกของ Motorsport ส่วนใหญ่ เราจะเห็นเพียงนักแข่งอาชีพหรือทีมโรงงานใหญ่ๆ แต่ Super Trofeo แตกต่างออกไป ตรงที่มันคือ One-Make Series ทุกคนใช้รถรุ่นเดียวกัน คือ Huracán Super Trofeo EVO2 เครื่อง V10 NA 5.2 ลิตร เกียร์ Xtrac 6 จังหวะ และแอโรพาร์ทที่ออกแบบมาเพื่อสนามแข่งโดยเฉพาะ ดังนั้น ความต่างอยู่ที่ฝีมือคนขับและการทำงานของทีมเท่านั้น ไม่ได้วัดกันด้วยกระเป๋าเงินหรือการเซ็ตอัพสุดล้ำ มันคือการแข่งที่แฟร์ และเข้าถึงจิตวิญญาณของการแข่งขันจริงๆ

บทบาทของรายการนี้ จึงเป็นทั้ง สนามฝึกวิชา สำหรับนักแข่งที่อยากก้าวต่อไปสู่ GT3 หรือ Le Mans และเป็น สนามพิสูจน์ใจ สำหรับลูกค้า Lamborghini ที่อยากสัมผัสว่ารถตัวเองในสนามมันเร้าใจแค่ไหน ในเอเชียเองก็มีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยที่ยอมลงทุนกับทีมแข่ง เพียงเพื่อจะได้ลองใช้ชีวิตแบบนักแข่งจริงหนึ่งฤดูกาล

นอกจากนั้น Super Trofeo ยังเป็นเสมือน สนามทดลองเคลื่อนที่ ของ Lamborghini เอง เทคโนโลยีหลายอย่างที่เห็นในรถถนน ถูกพิสูจน์บนแทร็กในรูปแบบนี้ ทั้งความทนทานของเครื่องยนต์ ระบบเบรก หรือการปรับปรุงสมดุลตัวรถ ซึ่งทั้งหมดส่งผลกลับไปยังรถโปรดักชั่นที่เราใช้กันจริงบนถนน

ดังนั้น ถ้ามองจากมุมคนเล่นรถ Super Trofeo ไม่ใช่แค่การแข่งของคนรวยที่อยากซิ่ง แต่มันคือ ecosystem ที่เติมเต็มทั้งฝั่งนักแข่ง, แบรนด์ และแฟนๆ อย่างเราๆ ได้เห็น Huracán EVO2 กว่า 20 คันกรีดเสียง V10 พร้อมกันในสนาม มันคือภาพที่บอกได้เลยว่า Lamborghini ไม่ได้เกิดมาเพื่อจอดในโชว์รูม…

แต่มันเกิดมาเพื่อ ดวล ตั้งแต่วันแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา

—————//—————

มาต่อกันด้วยกระทิงที่เลือกหยิบเสื้อคลุมมาใส่บังกล้าม… Lamborghini URUS SE รถ SUV รุ่นแรกของค่ายกระทิงดุที่ไม่ใช่แค่ใส่เครื่อง V8 เทอร์โบ แต่ยังพ่วงปลั๊กเสียบไฟเพิ่มเข้าไปด้วย ใช่ครับ นี่คือ Plug-in Hybrid คันแรกในประวัติศาสตร์ Lamborghini ที่เปิดตัวครั้งแรกของโลกไปเมื่อ 26 เมษายน 2024 และในเวลาไม่นาน Lamborghini Bangkok ก็ไม่ยอมพลาด จัดงานเปิดตัว URUS SE เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมปักป้ายราคาเริ่มต้นไว้ที่ 24,980,000 บาท

ในวันที่ Lamborghini เปิดตัว URUS SE ครั้งแรกของโลกเมื่อปี 2024 หลายคนอาจยังคิดว่า เอ๊ะ…Lambo กับ Plug-in Hybrid มันจะไปด้วยกันได้จริงหรือ เพราะภาพจำของแบรนด์นี้ไม่ใช่คำว่า รักษ์โลก หรือ EV Range แต่มันคือ เสียงคำราม และ อัตลักษณ์แห่งการท้าทาย แต่เรากำลังอยู่ในยุคที่กฎสิ่งแวดล้อมเข้มข้นขึ้น ตลาดก็เปลี่ยนเร็ว และแม้กระทิงดุจะแข็งแรงแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเรียนรู้การ เสียบปลั๊ก ให้เป็น

URUS SE จึงไม่ใช่แค่ URUS ที่ใส่แบตเข้าไป แต่มันคือการเขียนบทใหม่ของ Lamborghini ในบทที่ชื่อว่า “Direzione Cor Tauri” แผนอนาคตของ Lamborghini ที่แปลได้ว่า เส้นทางสู่หัวใจของกระทิง พ้องกับชื่อดาว Aldebaran ดาวที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาววัว ซึ่งเปรียบเสมือนดวงไฟชี้นำทิศทางไปข้างหน้า

สาระสำคัญของแผนนี้ มี 3 ขั้นตอนด้วยกัน… เริ่มจากการอนุรักษ์ความคลาสสิก ในช่วงบอกลาเครื่องยนต์ V10 / V12 แบบดั้งเดิม ด้วยรุ่นพิเศษ Final Edition ก่อนจะเข้าสู่ต่อมาที่ทุกโมเดลหลักของค่ายจะต้องมีเวอร์ชั่นขุมพลัง Plug-in Hybrid และในท้ายที่สุดท้ายก็จะก้าวเข้าสู่ยุคขุมพลังไฟฟ้าเต็มตัว โดย Lamborghini EV 100% วางแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกภายในปี 2028 (คาดว่าเป็น GT 2+2 ที่อยู่เหนือ URUS และ Huracán)

จากทั้งหมดที่มวลที่กล่าวมา URUS SE จึงเป็นเหมือน หมากตัวแรก ที่ถูกส่งออกไปในกระดานนี้ เพราะเป็นรถที่ขายดีที่สุดของค่าย และการแปลงมันให้กลายเป็น PHEV ได้โดยยังคงความดุดันเท่าเดิม

 

ถ้าคุณมองเผินๆ URUS SE อาจไม่ใช่การเปลี่ยนโฉมใหญ่แบบที่เรียกว่า Full Modelchange แต่มันก็ไม่ใช่แค่การ ล้างหน้าไก่งาม เล็กๆ น้อยๆ เหมือน Minorchange เพราะสิ่งที่ Lamborghini พยายามสื่อสารกับเราคือ นี่คือ SUV ที่พร้อมก้าวสู่บทใหม่ของค่ายกระทิง ผ่านรายละเอียดการออกแบบที่ทั้งคมกว่าและมีเรื่องเล่าซ่อนอยู่

Lamborghini ใช้คำว่า Redefined Stylistic Canons ซึ่งถ้าแปลตรงๆ ก็ออกจะฟังดูวิชาการ แต่เอาเข้าจริงมันหมายถึง เราจะยังคง DNA กระทิงไว้ แต่ขีดเส้นสายใหม่ให้โลกจำได้อีกครั้งฝากระโปรงหน้า ถูกออกแบบใหม่ให้มีความโค้งและเหลี่ยมชัดขึ้น มองแล้วเหมือนกล้ามอกของนักสู้ที่ผ่านยิมมาหมาดๆ ขนาบข้างด้วยไฟหน้า Matrix LED ดีไซน์ใหม่ ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่ยังเป็นการยกเครื่องด้านเทคนิค โดยใช้ Matrix LED รุ่นใหม่ ที่มีไฟ LED 21 แยกกันทำงานอัตโนมัติ ปรับแสงตามสภาพถนน ให้ความสว่างมากกว่า URUS S ถึง 40%  เห็นเส้นทางชัดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และยังคงเอกลักษณ์ด้วยลาย หางกระทิง ที่กลายเป็น Signature ใหม่ของ SUV รุ่นนี้

ไม่เพียงแค่นั้น กันชนหน้าและกระจังหน้าก็ใหม่ด้วยเช่นกัน เส้นสายดูคล้าย Revuelto รุ่นทายาท Aventador แปลว่า Lamborghini อยากให้ URUS SE มีหน้าตาที่เชื่อมโยงกับพี่น้อง Supercar ตระกูลเดียวกัน ด้านหลังมีทั้งฝาท้ายใหม่ กันชนใหม่ และไฟท้ายที่ปรับเส้นแสงใหม่ คล้ายเส้นสาย Gallardo รุ่นคลาสสิกในยุคก่อน ส่วนล้อและยางดีไซน์ใหม่ มีให้เลือกทั้ง 22–23 นิ้ว ตั้งใจทำให้ URUS SE ดู พรีเมียมและสมรรถนะสูง ไปพร้อมกัน

ทั้งหมดนี้ คือการรีเฟรชที่ไม่ได้หวือหวาจนเปลี่ยนบุคลิก แต่เพียงพอที่จะทำให้คนที่รู้จัก URUS เดิมเห็นแล้วร้องว่า อ๋อ…นี่มัน SE นี่หว่า

 

ขนาดตัวรถยังคงความมหึมาในแบบ กระทิงยกสูง มีความยาว 5,123 มิลลิเมตร กว้าง 2,022 มิลลิเมตร สูง 1,638 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 3,003 มิลลิเมตร พร้อมอัตราส่วนกระจายน้ำหนัก 54 : 46 ที่บอกเราว่าเครื่องยังวางหน้าอยู่ แต่การเซ็ตบาลานซ์นั้นคิดมาแล้วให้ท้ายไม่เบาจนเกินไป

และไม่ใช่แค่หน้าตา URUS SE ยังปรับงานอากาศพลศาสตร์ให้เหนือกว่า URUS S แบบจับต้องได้ ตัวเลขบอกว่าแรงกดท้ายเพิ่ม 35% ระบบระบายความร้อนโดยรวมดีขึ้น 15% และเบรกก็หายใจโล่งขึ้น 30% ถ้าเทียบให้เห็นภาพ มันคือการไปยิมแล้วเปลี่ยนจากคนที่ใส่ชุด Hoodie ปิดบังกล้าม มาเป็นคนที่โชว์ Six-pack ให้คุณเห็นชัดๆ แต่ยังบอกว่า อย่าลืมสิ ฉันยังเป็น Hybrid ที่เสียบปลั๊กได้นะ

 

การออกแบบภายในห้องโดยสาร Lamborghini ใช้คีย์เวิร์ดว่า Feel like a Pilot เพื่ออธิบายห้องโดยสารของ URUS SE ซึ่งเป้าหมายคือทำให้ผู้ขับรู้สึกเสมือนนั่งอยู่ในห้องนักบิน ไม่ใช่แค่ SUV ธรรมดาที่มีพลังแรงเท่านั้น แต่เป็นยานพาหนะที่พร้อมพาคุณเข้าสู่ประสบการณ์แบบสปอร์ตเต็มขั้น สิ่งแรกที่สะดุดตาคือหน้าจอกลางที่กว้างขึ้นกว่าเดิม 2.2 นิ้ว พร้อมกราฟิกใหม่ที่ออกแบบเป็นสไตล์ Carousel เลื่อนใช้งานได้ง่ายเหมือนสมาร์ทโฟน ทำให้บรรยากาศการควบคุมดูทันสมัยและเข้าถึงง่ายกว่าที่เคย

อีกสิ่งที่ Lamborghini เลือกทำคือการนำปุ่มกดจริงกลับมาในจุดที่สำคัญ หลังจากที่หลายคนบ่นว่าหน้าจอสัมผัสล้วนแม้จะดูไฮเทค แต่ไม่ตอบโจทย์เวลาขับขี่ด้วยความเร็วสูง การคืนชีพของปุ่มกดเหล่านี้จึงไม่ใช่ก้าวถอยหลัง แต่เป็นการยอมรับว่าการสัมผัสเชิงกายภาพยังมีคุณค่าต่อการควบคุมรถสมรรถนะสูงแบบนี้ ในขณะเดียวกัน แผงแดชบอร์ดและช่องแอร์ก็ถูกออกแบบใหม่ให้เฉียบขึ้นกว่าเดิม สะท้อนความตั้งใจในการสร้างบรรยากาศที่ทั้งล้ำและดูแข็งแรง

วัสดุตกแต่งภายในก็ได้รับการยกระดับ รายละเอียดแบบ anodized aluminium ถูกนำมาใช้โดยออกแบบให้เป็นลาย Y-shape ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่แฟนพันธุ์แท้จะจำได้ทันที เสริมด้วยโทนสีและ Trim ใหม่ที่ถูกเปิดตัว ทำให้ห้องโดยสารของ URUS SE ดูสดขึ้นและมีชีวิตชีวามากกว่ารุ่นก่อนหน้า ทั้งหมดนี้คือการปรับแต่งที่ไม่ได้เปลี่ยนแค่ความสวยงาม แต่ยังสร้างอารมณ์ร่วม ให้สมกับความตั้งใจที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า กำลังนั่งอยู่ในห้องนักบินของเครื่องบินเจ็ต มากกว่าจะเป็น SUV ครอบครัวทั่วไป

แม้ Lamborghini จะย้ำอยู่เสมอว่า URUS SE ถูกสร้างมาเพื่อเป็น Super SUV ที่ต้องขับมันส์ไม่แพ้ Supercar แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้มันเพื่อวิ่งเซอร์กิตทุกวัน หลายคนยังต้องการรถที่ขับไปประชุม ขับไปสนามบิน หรือพาครอบครัวไปเที่ยวในวันหยุด ดังนั้น พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังก็ยังเป็นโจทย์ที่เลี่ยงไม่ได้

URUS SE ให้ความจุท้ายอยู่ที่ 454 ลิตร ตัวเลขนี้อาจไม่ทำให้คุณตาลุกวาวเหมือนเวลาเห็นแรงม้า 800 ตัว แต่ในชีวิตจริง มันมากพอสำหรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบ บวกกระเป๋าใบเล็กอีก 1 – 2 ใบ หรือถ้าเป็นคนโสดใจซิ่ง ก็เหลือเฟือสำหรับชุดกอล์ฟหนึ่งเซ็ตกับกระเป๋าแบรนด์เนมอีกใบ จุดนี้ทำให้ URUS SE ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่าง รถสปอร์ตแรงๆ ที่ท้ายเล็กจนแทบวางอะไรไม่ได้ กับ SUV ครอบครัวแท้ๆ ที่ท้ายบรรทุกได้เป็นคันรถขนของ

ตัวเลขมิติภายในก็ถูกเปิดเผยละเอียด ความกว้าง 1,064 มิลลิเมตร ความสูง 422 มิลลิเมตร และความยาว 1,092 มิลลิเมตร ถ้าวางเป็นภาพก็คล้าย ลังขนาดกลาง ที่ถูกออกแบบมาให้พอดีกับการใช้งานทั่วไป ไม่ใหญ่จนเสียบุคลิก ไม่เล็กจนกลายเป็นข้ออ้างที่ทำให้ภรรยาหรือสามีคุณบ่นว่า ซื้อรถคันละ 20 กว่าล้าน แต่ใส่ของยังไม่เท่า Honda CR-V

และนี่คือความต่างที่ Lamborghini ตั้งใจ พวกเขาไม่อยากทำให้ URUS SE กลายเป็นรถครอบครัวจ๋าแบบ BMW X5 หรือ Mercedes-Benz GLE ที่ท้ายมักให้ 600 – 650 ลิตรขึ้นไป เพราะถ้าทำแบบนั้น บุคลิก กระทิงดุ จะหายไปทันที Urus SE จึงเลือกจะอยู่ในจุดที่ ใช้งานได้จริงพอ แต่ยังคงความโฉบเฉี่ยวแบบ SUV สายสปอร์ตที่ไม่ทิ้งภาพลักษณ์

 

แม้จะเข้าสู่ยุค Hybrid แต่เครื่องยนต์กลไกของ URUS SE ก็ยังคงยืนพื้นจากพี่น้องอย่าง URUS S และ URUS Performante เพียงแต่คราวนี้มี เพื่อนใหม่ เข้ามาเสริมกำลัง นั่นคือมอเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกวางไว้อย่างแนบเนียนเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ V8 แบบ 90 องศา ความจุ 4.0 ลิตร 3,996 ซีซี กระบอกสูบและช่วงชักเท่ากันที่ 86.0 x 86.0 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 9.7 : 1 พ่วงระบบแปรผันวาล์ว Intake & Exhaust Camshafts with Continually Variable Adjustment และระบบอัดอากาศ Bi-Turbo Twin-scroll

เฉพาะเครื่องยนต์สันดาปเพียงอย่างเดียวก็ให้กำลัง 620 แรงม้า (PS) แต่เมื่อรวมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 192 แรงม้า (PS) ที่อัดแรงบิดเข้ามาอีก 483 นิวตันเมตร ทั้งระบบจึงทะยานไปถึง 800 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร ที่ 2,250–4,500 รอบ/นาที เรียกว่ามากพอจะทำให้คุณกดคันเร่งแล้วรู้สึกเหมือนเวลาช้าลง ขอบฟ้าถูกดึงเข้ามาใกล้ตัวในพริบตา

เพื่อไม่ให้กำลังระดับนี้สูญเปล่า Lamborghini จับคู่หัวใจสองดวงนี้กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่ปรับการตอบสนองได้ตามรูปแบบการขับขี่ TAMBURO Drive Mode ขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านระบบ Integrated Front Differential, Central Torsen Differential และ Active Torque Vectoring Rear Differential ที่พร้อมปรับสมดุลแรงบิดให้เข้ากับทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็นโค้งแห้ง โค้งเปียก หรือแม้แต่พื้นผิวที่คุณไม่คิดว่ารถราคา 25 ล้านบาท+++ ควรจะไปเหยียบ

ตัวเลขสมรรถนะที่เคลมจากโรงงาน มีดังนี้

  • อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.4 วินาที
  • อัตราเร่ง 0–200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 11.2 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และถ้าคุณอยากขับแบบไม่ปล่อยควันดำแม้แต่นิดเดียว URUS SE ก็สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ 60 กิโลเมตร ที่ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวเลขที่ไม่ใช่เล่นๆ สำหรับ SUV ที่หนักกว่า 2.5 ตัน

 

ระบบกันสะเทือนของ URUS SE ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือทั้งความเร็วระดับ Supercar และความต้องการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ด้านหน้าใช้แบบอิสระมัลติลิงก์ (Independent Multilink) ทำงานร่วมกับโช้คอัพกึ่งแอคทีฟ (Semi-active Dampers) และสปริงลม (Pneumatic Springs) ที่สามารถปรับระดับความสูงได้ตามสภาพการขับขี่ ด้านหลังก็ยังคงใช้ระบบมัลติลิงก์เช่นเดียวกัน พร้อมโช้คกึ่งแอคทีฟและสปริงลมที่มาพร้อมฟังก์ชั่นปรับระดับความสูง เพื่อให้การซับแรงและการทรงตัวสมดุลในทุกรูปแบบถนน

ไม่เพียงเท่านั้น ล้อคู่หลังยังเสริมด้วยระบบบังคับเลี้ยว Double Steering Axle ซึ่งช่วยลดรัศมีวงเลี้ยวในความเร็วต่ำ ทำให้รถขนาดใหญ่กลับคล่องตัวเหมือน SUV ที่เล็กกว่าหลายไซส์ ในขณะเดียวกัน เมื่อขับที่ความเร็วสูง ระบบนี้จะหมุนล้อหลังไปในทิศเดียวกับล้อหน้าเพื่อเพิ่มเสถียรภาพและความมั่นใจในการทรงตัว

ระบบเบรกก็จัดเต็มสมกับสมรรถนะระดับ 800 แรงม้า ด้านหน้าใช้จานเบรกคาร์บอนเซรามิก (CCB) ขนาดใหญ่ถึง 440 x 40 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังเป็นจาน CCB ขนาด 410 x 32 มิลลิเมตร ช่วยเพิ่มแรงเบรกและทนความร้อนสูงในการใช้งานจริง ล้อและยางมาตรฐานที่ให้มา ด้านหน้าเป็นขนาด 285/45 ZR21 และด้านหลัง 315/40 ZR21 แต่ถ้าลูกค้าต้องการความดุดันหรือความสปอร์ตยิ่งขึ้น Lamborghini ก็เปิดโอกาสให้เลือกอ็อพชั่นล้อ ขนาด 22 นิ้ว ไปจนถึง 23 นิ้ว ได้ตามความชอบ

 

*****การทดลองขับ*****

การได้มาเหยียบแทร็กใหญ่ระดับสากล อย่าง Sepang International Circuit เป็นเหมือนของขวัญที่ Lamborghini ตั้งใจให้เราได้ลิ้มรสพลังเต็มๆ ของ URUS SE เพราะสนามใหญ่แบบนี้แหละ ที่จะเผยให้เห็นนิสัยจริงกระทิงดุคันนี้ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงการซัดสั้นๆ ในลานหรือสนามเล็กๆ เหมือนครั้งที่เคยลองที่ลานข้างทะเลสาป เมืองทองฯ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นรู้แค่ว่ามันแรง แต่บอกไม่ได้ทั้งหมดหมดว่า รถขับเป็นอย่างไร…

ทันทีที่ไฟเขียวปล่อยรถออกจากพิทเลน ผมลองกดคันเร่งจากจุดหยุดนิ่ง มอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องเบนซิน V8 4.0 ลิตร Twin-Turbo พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า กว่า 800 ม้า ส่งกำลังออกมาแบบ โบกมือลาความลังเล ล้อหมุนครู่เดียวแล้วเกาะฉับไปข้างหน้า ตัวเลขบน HUD ทะยานขึ้นรวดเร็วแบบที่สมองแทบไล่ไม่ทัน URUS SE ใช้เวลาแค่ชั่วอึดใจเดียวความเร็วแตะ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงทางตรงยาว และดูเหมือนจะยังพุ่งต่อได้เรื่อยๆ เสียงท่อไอเสียกับเสียงเครื่องที่ผ่านการปรุงแต่งด้วย Helmholtz resonator ดังลั่น ราวกับกระทิงตัวใหญ่กำลังคำรามก้องอยู่ในโพรงอก

การขับในสนามใหญ่แบบนี้ ทำให้ผมได้เห็นอีกมิติของ URUS SE ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันไม่ใช่แค่ SUV ที่แรงทางตรง แต่ยังสามารถเข้าโค้งความเร็วสูงอย่างโค้ง T5 – T6 ของเซปัง ได้อย่างมั่นใจ (แหงสิ ก็ขับตาม Instructor หนิ ! ฮ่าๆๆ) น้ำหนักรถที่มากกว่า 2 ตันครึ่ง แสดงออกมาชัด แต่ระบบช่วงล่างถุงลมก็ทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด รถยังเกาะถนนราวกับถูกกาวติดไว้กับแทร็ก ความรู้สึกคือแรงเหวี่ยงออกข้างมากจนร่าผมแทบจะถูกโยนออกจากเบาะ แต่ล้อทั้ง 4 ยังฝังอยู่บนพื้น ราวกับมีเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างคำว่า อยู่ กับ ไม่อยู่ และเส้นนั้นขึ้นอยู่กับปลายเท้าและมือของเราเท่านั้น

ความมันส์คือ… รถมันตามสั่ง คุณอยากให้มันเกาะ มันก็เกาะเหมือนหมัดนักมวยที่ชกเข้าเป้าเป๊ะ แต่ถ้าอยากลองแกล้งให้ท้ายขยับนิดๆ เพียงบิดพวงมาลัยแรงขึ้นหรือเติมคันเร่งเร็วๆ มันก็พร้อมจะตอบสนองอย่างซุกซน ราวกับจะบอกว่า… ฉันคือส่วนหนึ่งของการควบคุม ไม่ใช่แค่บังคับไป

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีจุดที่รู้สึกว่าไม่สมบูรณ์แบบ สิ่งแรกคือเบาะนั่งสไตล์ Comfort Seats mujไม่ได้โอบกระชับเท่าที่ควรสำหรับการขับในสนาม ถ้าขับใช้งานทั่วไปบนถนนมันสบายดี แต่พอเจอแรงเหวี่ยงระดับสนามแข่ง คุณจะรู้สึกว่าตัวเองถูกโยนซ้ายโยนขวาจนอยากได้เบาะแบบ Bucket Seats ที่โอบรัดลำตัวมากกว่านี้

อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือ แป้นเบรก แม้ว่าจานเบรกจะเป็น Carbon Ceramic ขนาดใหญ่ แต่ฟีลลิ่งของแป้นไม่ค่อยตามสั่ง เหมือนรถ High-performance เครื่องยนต์ล้วน ระยะเหยียบแป้นค่อนข้างลึก การหน่วงความเร็วไม่ถึงกับดูดเท้าในจังหวะแรกๆ เข้าใจว่า Lamborghini เซ็ตมาให้รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย จึงเน้นความนุ่มนวลมากกว่าความดิบ แต่เมื่อเอามาลงสนามจริง มันยังไม่ตามสั่งขนาดนั้น ส่วนในด้านประสิทธิภาพการหยุดยั้งความเร็ว รวมถึงการทนความร้น ในรอบแรกๆ เบรกยังโอเค พอเข้ารอบ 2 กลับเริ่มมีอาการเฟดให้เห็น ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดที่คนซื้อคงต้องเข้าใจว่า URUS SE คือรถที่ต้องบาลานซ์ระหว่าง รถบ้าน และ รถแข่ง ในร่างเดียวกัน และที่สำคัญ มันหนักเท่า Huracán Tecnica 2 คันรวมกัน !

และถึงแม้ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง Double Steering Axle จะช่วยลดความอุ้ยอ้ายไปได้มาก แต่ก็ยังรู้สึกถึงน้ำหนักมหึมาของตัวรถอยู่ดี มันไม่สามารถซ่อนความเป็น SUV ที่ยกสูงและบอดี้ใหญ่โตได้ทั้งหมด ถ้าเปรียบเทียบกับ Porsche Cayenne Turbo GT ที่ผมเคยลองขับก่อนหน้านี้ รายนั้นจะให้ฟีลเบาและคล่องกว่า เลี้ยวคมกว่าในโค้งแคบๆ อย่างชัดเจน แต่ก็อย่างที่ว่า การเปรียบตรงๆ อาจไม่แฟร์นักกับ URUS เพราะจริงๆ แล้วคู่ต่อกรตรงๆ ของ Cayenne Turbo GT ต้องเป็น URUS Performante ซึ่งผมเอง ยังไม่มีโอกาสลอง

สิ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดจาก Full-lap ครั้งนี้คือ Lamborghini ไม่ได้พยายามทำให้ URUS SE เป็นรถแข่งที่แฝงในร่าง SUV แต่เป็น SUV ที่พร้อมจะพาคุณเล่น ในสนามแข่งได้อย่างเต็มอารมณ์ มันยังคงมีความอุ้ยอ้ายของรถคันใหญ่ แต่ก็ทดแทนด้วยพลังมหาศาล ความโหดดิบของเสียงเครื่องและท่อ รวมถึงช่วงล่างที่เกาะตามใจสั่ง ประมาณหนึ่ง

 

ต่อจากการวิ่งเต็มสนามใหญ่ กิจกรรมถัดมาคือการพา URUS SE มาลองปลดปล่อยอารมณ์ที่สถานี Drift บนพื้นลาดยางราดน้ำ (แค่น้ำ ไม่ได้ผสมผงซักฟอก) สถานีนี้ไม่ใช่บททดสอบสมรรถนะที่จริงจังเหมือนในแทร็ก แต่มันคือสนามเด็กเล่นที่ Lamborghini ตั้งใจให้เราได้ลองกดคันเร่งแบบไม่ต้องเสียดายยาง เสียดายผ้าเบรก หรือเสียดายค่าซ่อมแซม (ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งจะได้มาถลุงรถราคาแพงแบบนี้ ฮ่าๆๆ)

คุณ James Yu ผู้รับหน้าที่ Instructor ให้ผมกดเลือกโหมด Corsa ที่เน้นความดุดันที่สุด และกดปิดการทำงานของ Traction Control ไปจนหมดจด หวังใจว่าจะได้หมุนควงเป็นลูกข่าง แต่ทันทีที่รถเริ่มออกอาการ ภาพฝันว่าผมจะได้หักพวงมาลัยแบบมาดนักดริฟท์ก็แตกสลายไปเล็กน้อย เพราะถึงแม้ระบบช่วยเหลือต่างๆ จะถูกปิด แต่ตัวรถก็ยังพยายาม ลากเราเข้าร่อง อยู่ตลอดเวลา ผมสัมผัสได้จากเสียงครืดๆ ราวกับเครื่อง Vibrator กำลังทำงาน ซึ่งอันที่จริงมันคือ แรงสะท้านขึ้นมาทางเท้าและมือ จาก actuator ของระบบ ABS ที่เข้ามาจัดการทุกครั้งที่ล้อหน้าเริ่มไถลจนเกิดอาการ understeer

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อท้ายรถพยายามจะกวาดออก หรือเกิดอาการ oversteer ตัวระบบควบคุมเสถียรก็ยังทำงานลับๆ ราวกับครูฝึกยืนกำกับอยู่ข้างสนาม พยายามดึงท้ายรถกลับเข้ามาให้เส้นทางยังอยู่ในกรอบ แม้ผมจะตั้งใจดันคันเร่งให้รถท้ายออกไปแค่ไหนก็ตาม

ถามว่ามันสนุกไหม ? ในมุมของคนที่อยากหมุนรถเล่นแบบบ้าดีเดือด ก็คงต้องตอบว่า ยังไม่สุด เพราะ URUS SE ถูกเซ็ตมาในแนวที่ชัดเจนมากว่า ห้ามหลุดเด็ดขาด คุณอาจได้ภาพท้ายออกนิดๆ เสียงยางกรีดพื้นให้หัวใจสูบฉีด แต่ไม่ถึงขั้นเป็นรถที่ยอมให้คุณกวาดท้ายจนเต็มโค้ง หรือหมุนรอบตัวเองอย่างที่ ตัวเองผม รวมถึงคุณก้อง (Kong Anantarit ) Sales Consultant ของ Lamborghini Bangkok คาดหวังเอาไว้ในตอนแรก

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง มันกลับสะท้อนปรัชญาของรถคันนี้ได้ชัด Lamborghini อยากให้ URUS SE เป็น SUV ที่ แรงและสนุก แต่ก็ยังคงต้อง ควบคุมได้ ไม่ใช่รถที่โยนให้คนขับไปเจอเส้นบางๆ ระหว่างมันส์กับอันตราย ตัวช่วยทุกระบบจึงถูกจูนมาในแบบ เป๊ะและเด็ดขาด ให้รถคงเส้นคงวาไม่ว่าคนขับจะบ้าระห่ำแค่ไหน

 

จากสนามดริฟท์ มาถึงสถานีกึ่ง Off-road Sepang Bay 13 ที่ Lamborghini ตั้งใจให้เราได้สัมผัสอีกด้านของ URUS SE นั่นคือการวิ่งบนพื้นฝุ่นลูกรัง ด่านนี้ไม่ได้เป็นการเพื่อโชว์ว่ารถคันละ 20 กว่าล้านสามารถแปลงกายเป็นรถแรลลี่ได้ แต่เป็นการทำให้เห็นถึงศักยภาพของช่วงลมถุงลม ที่สามารถปรับระดับสูง–ต่ำ ได้ ตามความเหมาะสมของเส้นทาง

ผมลองพา URUS SE วิ่งลุยผ่านผิวถนนที่เต็มไปด้วยหลุมและเนินเล็ๆ ความรู้สึกแรกคือ สบายเกินคาด ระบบกันสะเทือนซับแรงได้เนียนจนหัวสั่นหัวคลอนน้อยมาก แทบไม่ต้องเกร็งคอหรือหลังให้เมื่อย การได้ลองตรงนี้ทำให้ผมเข้าใจทันทีว่าทำไมโลกถึงต้องมีรถอย่าง URUS อยู่ในสายการผลิต เพราะถ้าเป็น Lamborghini รุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Huracán หรือ Aventador คงไม่มีวันที่จะเอามาลุยแบบนี้ได้ (เว้นแต่เป็น Huracán Sterrato ยกสูง ที่ถูกสร้างมาเพื่อโจทย์นี้โดยเฉพาะ)

สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวช่วยควบคุมเสถียรภาพที่ผมเคยบ่นว่ามัน เป๊ะเกินไป ในสนามดริฟท์ บนพื้นลูกรังมันกลับกลายเป็นครูฝ่ายปกครองที่เข้มงวดแต่พอดี เพราะแรงเสียดทานของผิวถนนที่ต่ำทำให้รถพร้อมจะเสียอาการได้ง่าย แต่ระบบก็ยังเข้ามาจัดการให้อยู่ในกรอบอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์คือการดริฟท์เล่นบนทางฝุ่นที่ไม่อันตรายจนเกินไป แต่ก็ยังพอมีช่องให้หักพวงมาลัยเล่น ปล่อยท้ายสะบัดเบาๆ จนรอยยิ้มหลุดออกมา (ปนเสียงของ Instructor ที่กระซิบเบาๆ ว่า ใจเย็นนนนนน)

ตรงนี้แหละที่ผมคิดว่า Lamborghini คุมสมดุลได้ลงตัว มันไม่ใช่การทำให้รถกลายเป็น SUV ครอบครัวที่นิ่มเกินไป และก็ไม่ใช่การทำให้รถดุ จนคนธรรมดาขับแล้วหวาดเสียว แต่คือความพอดีที่ทำให้คุณมั่นใจได้ว่ากระทิงคันนี้พร้อมจะไปกับคุณทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็สนามแข่ง สนามดริฟท์ หรือแม้แต่เส้นทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นและก้อนหินเล็กๆ ที่คนทั่วไปไม่คิดจะเอา Lamborghini มาวิ่ง

 

*****บทสรุปเบื้องต้น*****

กระทิงใหญ่สายบุ๋น แรงดุ เสียงเร้า ควบคุมได้ตามสั่ง และใช้ได้ทุกวัน
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องความอุ้ยอ้าย และฟีลเบรกที่ไม่คมกริบ เหมือน Supercar ตัวเตี้ย

เวลาที่คุณเอามือจับพวงมาลัย URUS SE ครั้งแรก คุณจะรู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ SUV ธรรมดา มันยังคง DNA ของ Lamborghini ไว้ครบถ้วน ทั้งเสียงเครื่อง V8 ที่ผสมแรงดึงจากมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามา ไม่ได้ทำให้มันเชื่องลงเลย แต่กลับเพิ่มแรงบูสต์ให้การออกตัวดุดันขึ้น เหมือนเด็กพลังเหลือล้นที่ไม่รู้จักเหนื่อย ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ เราจะหาไม่เจอใน USUS S ธรรมดา ซึ่งมีราคาแพงกว่า

การขับเต็มรอบ ณ สนามเซปัง ทำให้ผมได้เห็นฟันแท้ของกระทิงร่างใหญ่ พลัง 800 แรงม้า ที่ไหลมาเทมา กดคันเร่งจมแป๊บเดียว ก็ทะยานแตะ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ไม่ยาก เสียงท่อดังสะท้อนเข้าอก ขณะที่ช่วงล่างก็เกาะถนนไว้เหนียวแน่นจนแรงเหวี่ยงแทบโยนคุณออกจากเบาะ แต่รถก็ยังยึดอยู่เหมือนมีเส้นกาวล่องหนตรึงมันไว้กับพื้น สิ่งที่ต่างจาก Supercar ตัวเตี้ย คือความอุ้ยอ้ายที่ปกปิดไม่ได้ ทุกครั้งที่หักโค้งแรงๆ คุณจะรู้สึกถึงน้ำหนักตัว 2.5 ตัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังยิ้มออกเพราะรถมัน ตามสั่ง อยากให้เกาะก็เกาะ อยากให้ซุกซนท้ายออกนิดๆ ก็พร้อมจะเล่นกับคุณ

สนาม Drift บนพื้นราดน้ำคืออีกมุมที่สนุกแบบไม่จริงจัง การปิด Traction Control แล้วลองเล่นสนุกดู เหมือนตั้งใจจะเป็นนักดริฟท์เอาภาพสวยๆ แต่สิ่งที่เจอคือระบบตัวช่วยของ URUS SE ถูกเซ็ตมาในสไตล์ ห้ามหลุดเด็ดขาด ถึงจะพยายามโยนพวงมาลัยยังไง ตัวรถก็ยังหาทางพากลับเข้าร่องอยู่ดี มันอาจไม่ใช่สนามที่คุณจะได้หมุนควงเล่น แต่กลับเป็นบทเรียนชัดเจนว่า Lamborghini อยากให้กระทิงคันนี้แรงได้ สนุกได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้เสมอ

ส่วนสนาม Off-road ทางฝุ่น ก็ถือเป็นอีกบททดสอบที่ทำให้ผมแปลกใจ เพราะนี่คือ Lamborghini ที่วิ่งบนลูกรังได้จริง ระบบกันสะเทือนถุงลมปรับระดับสูง–ต่ำ รูดผ่านหลุมบ่อได้อย่างสบาย หัวสั่นหัวคลอนน้อยกว่าที่คิดมาก ระบบรักษาการทรงตัวที่เคยดูเข้มงวดเกินไปในสนามดริฟท์ กลับกลายเป็นความพอดีเมื่ออยู่บนทางฝุ่น แรงเสียดทานต่ำทำให้รถพร้อมจะเสียอาการได้ง่าย แต่ระบบก็ช่วยให้คุณยังควบคุมได้แบบมั่นใจ ขณะเดียวกันก็ยังเปิดช่องเล็กๆ ให้คุณหักเลี้ยวเล่น ปล่อยท้ายสะบัดเบาๆ ได้พอให้รอยยิ้มหลุดออกมา

ทั้งหมดนี้ สะท้อนว่า URUS SE ไม่ใช่รถที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นรถที่มีความเป็นตัวเอง มันแรง มันเร้าใจ มันคือ Lamborghini จริงๆ แต่ก็พกความอุ้ยอ้าย ความโยนตัว และข้อจำกัดบางอย่างติดมาด้วย นิสัยเหมือนเพื่อนบางคนที่บอกกับเราตรงๆ ตั้งแต่แรกว่า “เรามีข้อจำกัดนะ บางทีอาจวกวน หรือทำให้นายปวดหัวได้” แต่พอได้ใช้เวลาอยู่ด้วย คุณกลับพบว่าในข้อจำกัดเหล่านั้นยังมีเสน่ห์ ความสดใส และพลังงานที่ไม่มีใครเหมือน URUS SE เองก็เป็นแบบนั้น มันคือ Lamborghini ที่เผ็ดร้อนคันหนึ่งในโลกของ SUV แต่คุณต้องยอมรับด้วยว่า ความอุ้ยอ้าย มันมากับแพ็กเกจเดียวกัน

คำถามสำคัญคือ คุณพร้อมจะอยู่กับแพ็กเกจนี้ไหม? ถ้าคุณหวังว่า SUV คันนี้จะคมเท่ากับพี่น้องรุ่นอื่นๆ นั่นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณอยากได้ Lamborghini ที่คุณพาขึ้นห้าง พาครอบครัวไปกินข้าว หรือใช้ทุกวันโดยไม่ต้องกลัวว่าท้องรถจะครูดฟุตบาท และไม่ต้องกังวลว่าจะผลาญนำ้มันทิ้งไปฟรีๆ ตอนจอดติดไฟแดง URUS SE คือ คำตอบเดียว

หากคุณปักธงไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า รถคันใหม่นี้ ต้องเป็น Lamborghini เท่านั้น !

————-//————-


ขอขอบคุณ Automobili Lamborghini Asia Pacific
และฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Renazzo Motor จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้

QCXLOFT (Yutthapichai Phantumas)

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย เป็นผลงานของผู้เขียน
และ Lamborghini Squadra Corse

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
25 กันยายน 2025

Copyright (c) 2025 Text and Pictures 
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 25th, 2025