เมื่อปฏิทิน ล่วงเลยมาถึงเดือนตุลาคม ของปีคริสต์ศักราช ซึ่งลงท้ายด้วยเลขคี่ ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์จากทั่วโลกต่างรู้กันดีว่า มหกรรมการปล่อยของดีของเด็ด จากผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่นทั้งหลาย ภายใต้ชื่องาน Tokyo Motor Show จะเวียนมาอุบัติขึ้นอีกครั้ง ผู้คนจากทั่วโลกล้วนตั้งความคาดหวังเอาไว้ ว่าพวกเขาจะได้เห็นแนวคิดใหม่ๆ ในวงการยานยนต์ จากชาวญี่ปุ่น เหมือนเช่นเคย

ทว่า นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา สมาคมอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Automobile Manufacturers Association, Inc.: JAMA) เจ้าภาพในการจัดงาน มองเห็นว่า ไม่ควรจะจำกัดแค่รถยนต์ รถบรรทุก หรือจักรยานยนต์ เพราะในโลกยุคใหม่ บริษัท Start-up มากมาย ก็กลายพันธ์ เป็นผู้ผลิตยานพาหนะในรูปแบบใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อให้ทุกๆคนในโลก ได้เข้าถึงการเดินทางไปอย่างอิสระตามใจปราถนา ถ้าจำกัดตัวเองแคงานแสดงยานพาหนะที่มีล้อกันต่อไป น่าจะไม่ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปของโลก จึงมีการเปลี่ยนชื่องานมาเป็น Japan Mobility Show ซึ่งถ้านับรวมปี 2025 ก็ถือเป็นครั้งที่ 2 หลังการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้านับต่อเนื่องจาก Tokyo Motor Show เรื่อยมา งานครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งที่ 48 ในปีที่ 67 แล้ว

 

งานแสดงยานพาหนะที่ยิ่งใหญ่สุดในญี่ปุ่น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี 1954 จากแนวคิดของ Yutaka Katayama หรือ Mr.K ผู้ล่วงลับ อดีตผู้บริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Nissan ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานของ Nissan Motor USA. และกลายเป็นผู้ผลักดันให้เกิดรถสปอร์ตรุ่นดังในตำนานอย่าง Nissan Fairlady Z / Datsun 240Z ปี 1968 อยากจะชักชวนบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ มาร่วมลงขันกันจัดงานแสดงรถยนต์ เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงสาธารณชนคนญี่ปุ่นในยุคสมัยนั้นมากขึ้น ตอนแรก บริษัทอื่นเขาก็ขำกลิ้งตกเก้าอี้ ว่าลุง K.จะบ้าเหรอ? จู่ๆทำไมต้องเอางบบริษัทตัวเองไปลงแขกจัดงานร่วมกันด้วย? แต่ในที่สุด ทุกค่ายก็ยอม!

งานครั้งแรก ถูกจัดขึ้นที่ สวนสาธารณ Hibiya Park ตอนนั้น มี “ยานยนต์” ทั้งหมด มาจัดแสดงรวม 267 คัน (แต่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแค่ 17 คัน ที่เหลือ…แน่นอนครับ จักรยานติดมอเตอร์ จักรยานยนต์ รถบรรทุก รถบัส และสารพัดอะไรก็ตามที่มีล้อในยุคนั้น) งานครั้งแรก ประสบความสำเร็จใช้ได้ เพราะมีผู้เข้าชมงานทั้งหมดสูงถึง 547,000 คน

ผ่านไปแล้ว 67 ปี งานแสดงรถยนต์ ที่สำคัญสุดงานหนึ่งในโลก ก็ยังคงมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และถูกจัดขึ้นให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยงานในปีนี้ ทาง JAMA ก็ยังคงเป็นเจ้าภาพผู้จัดงาน เหมือนเช่นเคย โดยพยายามเสริมกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เข้าไปเพื่อให้เป็นงานที่ทุกคนในครอบครัวมาเที่ยวเล่น หาความรู้ เปิดประสบการณ์ ใช้เวลาว่างร่วมกันได้มากขึ้นกว่าที่เคย

งาน Japan Mobility Show 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2025 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า Tokyo Big Sight เช่นเดิม โดยรอบสื่อมวลชน ยังคงมีก่อนหน้างานวันจริง 2 วัน คือ 29 และ 30 ตุลาคม 2025

 

พื้นที่จัดแสดง ในปีนี้ ถูกขยายให้ใหญ่โตขึ้น โดยมีการเพิ่มพื้นที่จัดแสดง Tokyo Future Tour 2035 เพื่อแสดงให้เห็นภาพว่า วิสัยทัศน์ ของการเดินทางสัญจรในกรุง Tokyo อีก 10 ปีข้างหน้า จะเป็นเช่นไร รวมทั้งการจัดแสดง ย้อนอดีต ในยุคที่รถยนต์ จักรยานยนต์ รุ่นก่อนๆ ได้รับความนิยม ไปจนถึงการจับมือกับ ผู้ให้บริการ Theme park แบบเรียนรู้จริงสำหรับเด็ก Kidzania มาร่วมมือกับบริษัทรถยนต์ จัดพื้นที่ Out of Kidzania ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จักการทำงานของรถยนต์ การซ่อมบำรุง และฝึกสมมติบทบาทจริง เพื่อให้มีประสบการณ์เติบโตไปในอนาคต นี่ยังไม่นับรวมกิจกรรมเพื่อความบันเทิง การเสวนา การสัมมนากลุ่มย่อย ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ โลกยานยนต์ และการขนส่ง ด้านมลพิษ ฯลฯ

ปีนี้ มีผู้ผลิตรถยนต์ เข้าร่วมงาน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ไม่กี่ราย และส่วนใหญ่ เป็นบริษัทที่มีบทบาท (และพยายามเข้ามามีบทบาท) อยู่แล้วในตลาดญี่ปุ่น แต่ละราย ต่างขนรถยนต์ต้นแบบ และรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมาอวดโฉมจัดแสดงกันเต็มที่ให้สมศักดิ์ศรี กันเลยทีเดียว

ใคร มีอะไรมาโชว์ให้คุณดูกันบ้าง เลื่อนลงไปข้างล่างนี่ได้เลยครับ เรียงตามตัวอักษรนำหน้าชื่อแต่ละแบรนด์

——————————————-

BMW / MINI

เมื่อโลกยานยนต์เดินเข้าสู่ยุคที่ขับเคลื่อน ไม่ได้หมายถึงแค่เครื่องยนต์และล้ออีกต่อไป BMW กลับมาแสดงศักยภาพของแบรนด์อย่างเต็มพิกัดในงาน Japan Mobility Show 2025โดยยึดแกนกลางของการสื่อสารว่า BMW เป็นมากกว่า Ultimate Driving Machine แต่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการเดินทางในอนาคตที่เชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์ ดีไซน์ และพลังงานรูปแบบใหม่ด้วย

BMW iX3

พระเอกหลักของบูธ BMW ในงาน Japan Mobility Show 2025 คือการเผยโฉม BMW iX3 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม Neue Klasse อย่างเต็มรูปแบบ และนับเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย (Asian Premiere) ตัวรถใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่เจเนอเรชัน 6 (eDrive Gen6) ที่เปลี่ยนมาใช้เซลล์ทรงกระบอก (cylindrical cell ) ให้พลังงานหนาแน่นขึ้น และน้ำหนักลดลงจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

ดีไซน์ภายนอกสะท้อนแนวทางใหม่ของ BMW – เรียบหรูแต่เฉียบคม เส้นสายถูกลดทอนให้สะอาดตา พร้อมไฟหน้าและกระจังที่ออกแบบให้สอดคล้องกับ Aerodynamic Concept ของยุคไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ภายในห้องโดยสารมาพร้อมระบบ Panoramic iDrive และ BMW Panoramic Vision ที่ฉายข้อมูลบนแนวกระจกหน้าตลอดแนว ผสานกับสถาปัตยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ใหม่แบบ Zonal ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์หลัก 4 ตัว ควบคุมระบบทั้งหมดในรถ รองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ตลอดอายุการใช้งาน

BMW iX3 จะเริ่มสายการผลิตเดือน มีนาคม 2026 และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน ถือเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ที่ BMW ตั้งใจจะเปลี่ยนรถทุกคันให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ติดล้อ

BMW M2 CS

สำหรับแฟนสายแรง BMW จัดหนักด้วยการนำ BMW M2 CS มาจัดแสดงในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก รถคูเป้ขนาดกะทัดรัดแต่ดุดันคันนี้คือรุ่นพิเศษของ M2 ที่พัฒนาโดย BMW M GmbH โดยตรง วางเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร M TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 530 แรงม้า และแรงบิด 650 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ M Steptronic

น้ำหนักตัวรถลดลงประมาณ 30 กิโลกรัม ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรง หลังคา หรือสปอยเลอร์หลัง ส่งผลให้ตัวเลข 0–100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.8 วินาที (หรือ 3.5 วินาที เมื่อวัดแบบ 1-foot rollout) และความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 302 กม./ชม. เรียกว่าเป็นของขวัญชิ้นพิเศษ สำหรับแฟน M ทั่วโลก ที่ยืนยันว่า BMW ยังไม่ทิ้งจิตวิญญาณของรถขับหลังแท้แม้โลกจะหันไปทาง EV แล้วก็ตาม

BMW Concept Speedtop

อีกหนึ่งดาวเด่นของบูธคือ BMW Concept Speedtop รถต้นแบบสไตล์ 3 ประตู ที่ตีความใหม่ในแนวทาง Shooting Brake ผสมผสานความโฉบเฉี่ยวของรถสปอร์ตเข้ากับความสง่างามแบบ Gran Tourer คอนเซ็ปต์คันนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงแนวทางการออกแบบของ BMW ในอนาคต โดยเน้นสัดส่วนล้อใหญ่ ฐานล้อยาว และเส้นสายที่ดูหนักแน่นแต่เรียบง่าย ในขณะที่เส้นหลังคาไหลลื่นต่อเนื่องสู่บั้นท้ายที่แฝงความปราดเปรียว

ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่แห่งอารมณ์มากกว่าแค่ค็อกพิท โดยใช้วัสดุโปร่งแสงและระบบไฟ Ambient Light ที่ตอบสนองต่อจังหวะการขับ เรียกว่าเป็นการทดลองขอบเขตใหม่ของดีไซน์ BMW ทั้งด้านอารมณ์และเทคโนโลยี

BMW iX5 Hydrogen

ในด้านเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก BMW ยังคงเดินหน้าตามแนวคิด Technology Open ด้วยการนำ BMW iX5 Hydrogen มาจัดแสดงภายในงาน รถต้นแบบพลังไฮโดรเจนนี้ใช้ระบบเซลล์เชื้อเพลิงรุ่นที่ 3 ที่ร่วมพัฒนากับ Toyota ให้กำลังขับรวม 401 แรงม้า พร้อมระบบจัดเก็บก๊าซไฮโดรเจนแรงดันสูง 700 บาร์ สามารถเติมเชื้อเพลิงได้ในเวลาเพียง 3–4 นาที และวิ่งได้ระยะทางกว่า 500 กม. ต่อการเติมเต็มถัง

BMW มองว่า ไฮโดรเจนคือทางออกสำคัญในประเทศที่โครงสร้างพื้นฐาน EV ยังไม่สมบูรณ์ และเป็นอีกทางหนึ่งของการลดคาร์บอนไดออกไซด์โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ การนำ iX5 Hydrogen มาโชว์ในญี่ปุ่นจึงมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เพราะที่นี่คือหนึ่งในตลาดที่เทคโนโลยี Fuel Cell ก้าวหน้าที่สุดในโลก

MINI Paul Smith Edition 

MINI เปิดบูธด้วยการสร้างรอยยิ้มให้ผู้เข้าชม ด้วยการนำเสนอ MINI Paul Smith Edition รุ่นพิเศษที่เกิดจากความร่วมมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังชาวอังกฤษ Sir Paul Smith อีกครั้ง หลังจากประสบความสำเร็จร่วมกันในโครงการ MINI Recharged และ MINI Strip ก่อนหน้านี้ สำหรับงานปี 2025 นี้ MINI เลือกญี่ปุ่นเป็นเวทีเปิดตัวระดับโลก (World Premiere) ของรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ

ดีไซน์ภายนอกใช้โทนสีแบบ British Playful ตามเอกลักษณ์ของ Paul Smith ผสมกับแนวคิด less is more ลดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นแต่ยังคงความหรูและขี้เล่นในแบบ MINI แท้ ภายในตกแต่งด้วยวัสดุรีไซเคิลและผ้าเฉดพิเศษตามแนวทาง sustainability ที่แบรนด์ให้ความสำคัญ รถรุ่นนี้จึงไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ของแฟชั่น แต่ยังเป็นการสื่อสารตัวตนใหม่ของ MINI ที่หันมาเน้น design และ lifestyle ในระดับที่ลึกกว่าเดิม

MINI Cooper SE

ในบูธเดียวกัน MINI ยังนำ Cooper SE หรือ Mini ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด มาจัดแสดงเพื่อโชว์ทิศทางของแบรนด์ในยุค EV เต็มรูปแบบ รถรุ่นนี้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 218 แรงม้า ให้แรงบิดทันใจแบบที่แฟน MINI เรียกว่า go-kart feeling การควบคุมที่เฉียบคมยังคงเป็นหัวใจหลัก แม้จะเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นแบตเตอรี่ก็ตาม

การออกแบบภายนอกยังคงกลิ่นอายของ MINI ดั้งเดิม แต่ผสานกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น ไฟหน้า LED ทรงกลม พร้อมลวดลายกราฟิก Union Jack ด้านท้าย และห้องโดยสารโอบล้อมด้วยจอ OLED ทรงกลมขนาดใหญ่กลางคอนโซล ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของ MINI ยุคใหม่ รุ่นนี้แสดงให้เห็นว่าพลังไฟฟ้า ไม่ได้ทำให้ MINI สูญเสียจิตวิญญาณความสนุกในการขับ แต่กลับทำให้มัน ทันสมัย และสดใหม่ กว่าที่เคย

MINI Cooper 5-Door S 

สำหรับผู้ที่รักความกะทัดรัดของ MINI แต่ต้องการความเอนกประสงค์มากขึ้น MINI จึงนำ Cooper 5-Door S มาจัดแสดงควบคู่กัน โดยรถรุ่นนี้ใช้พื้นฐานเดียวกับ Cooper 3-Door แต่ขยายฐานล้อและเพิ่มประตูคู่หลัง เพื่อให้เข้าออกสะดวกและมีพื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้น

ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ ให้สมรรถนะเร้าใจพอตัว ในขณะที่ช่วงล่างยังคงเซ็ตมาในสไตล์ go-kart ขับสนุกแต่ไม่กระด้าง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรถเล็กขับมันส์ แต่ใช้งานได้ทุกวัน เรียกว่าเป็น MINI สำหรับครอบครัว หรือ MINI ของคนที่โตขึ้นแต่ยังอยากขับรถสนุกได้อย่างลงตัว

MINI Convertible 

สายลมและอากาศสดใหม่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของ DNA แบรนด์นี้เสมอ MINI จึงขน MINI Convertible มาร่วมโชว์ในธีม Always Open ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างอิสระและสนุกกับทุกเส้นทาง

หลังคาผ้าใบเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ใช้เวลาเพียง 18 วินาที ก็สามารถเปลี่ยนจากคูเป้เป็นโรดสเตอร์ได้ทันที ภายในตกแต่งด้วยโทนสีสด และรายละเอียดขี้เล่นแบบ British Pop จึงไม่แปลกที่รุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในรถเปิดประทุนไม่กี่รุ่นในตลาดที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ เล็กแต่มีบุคลิกจัดจ้าน ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

MINI John Cooper Works Aceman 

รถที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุดในบูธ MINI คือ John Cooper Works Aceman ซึ่งเป็นครอสโอเวอร์พลังไฟฟ้าสมรรถนะสูง รุ่นแรกของ JCW อย่างเป็นทางการ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า และแรงบิด 340 นิวตันเมตร จากแบตเตอรี่ 54.2 kWh พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า และโหมดขับขี่ JCW Sport Mode ที่ปรับการตอบสนองให้เฉียบขึ้น

ดีไซน์ภายนอกใช้สัญลักษณ์ JCW เต็มขั้น ตั้งแต่กันชนหน้าทรง air curtain ใหม่ ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว และลวดลายกราฟิกแดง-ดำที่สะท้อนถึงสนามแข่ง ขณะที่ภายในใช้เบาะ JCW ทรงสปอร์ต และหน้าจอกลม OLED เหมือนใน Cooper SE แต่เพิ่มกราฟิกเฉพาะรุ่น ถือเป็นการประกาศชัดว่า ยุคใหม่ของ JCW ไฟฟ้า ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

MINI Countryman S ALL4 

ปิดท้ายบูธด้วย MINI Countryman S ALL4 รถครอสโอเวอร์ขนาดกลางที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล MINI แต่ยังคงคาแรกเตอร์ขับมันส์ ไว้อย่างเหนียวแน่น มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4 และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ แรงกว่า 200 แรงม้า พร้อมช่วงล่างปรับปรุงใหม่เพื่อความสบายและเสถียรยิ่งขึ้น

การออกแบบใหม่ทั้งภายนอกและภายในได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Adventure Spirit ที่เน้นความอเนกประสงค์ในการเดินทางทุกรูปแบบ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการรถคันเดียวขับในเมืองได้ เที่ยวต่างจังหวัดได้ และยังคงบุคลิกความสนุกสไตล์ MINI อยู่ครบทุกมิติ

——————————————-

BYD

นับเป็นการเข้าร่วมงาน Japan Mobility Show ครั้งที่ 2 ของ BYD นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น และไม่เพียงแค่เข้าร่วม ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์นั่ง แต่คราวนี้ พวกเขา ขนรถบรรทุก และรถบัส ซึ่งเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญของตน มาร่วมจัดแสดงด้วย โดยแยกพื้นที่ออกไปตั้งอยู่ ณ บูธบริเวณใกล้ๆกัน

ตลอดปี 2025 BYD ทำยอดขายรถยนต์ทุกประเภทในตลาดญี่ปุ่น เพียงแค่ 5,xxx คัน เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมาย แถมยังต่ำกว่าทุกประเทศที่พวกเขาบุกเข้าไปเปิดตลาดอีกด้วย แต่ดูเหมือนชาวจีน ยังคงไม่ย่อท้อ ที่จะบุกตลาดญี่ปุ่น เพิ่มมากขึ้นกว่านี้

นอกเหนือจากการนำรถยนต์ 3 รุ่น ที่ทำตลาดอยู่ในญี่ปุ่น ทั้ง Dolphin,  Seal และ Sealion 7 มาจัดแสดงแล้ว ในงานนี้ BYD ยังเผยโฉม รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ในพิกัด K-Car (Kei-Jidosha) สำหรับตลาดญี่ปุ่น โดยเฉพาะ อีกด้วย

BYD Racco

ตัวถังภายนอกใช้สีขาวตัดกับสีดำบริเวณกระจกและเสา A-B-C รอบคันแบบ Floating Roof โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยดีไซน์หลายก้านสีเทาเข้ม และประตูสไลด์ไฟฟ้าด้านหลังทั้งสองข้างสไตล์รถตู้

ดีไซน์โดยรวมของ BYD K-Car เน้นความเรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งานสูง ตัวถังออกแบบให้มีเส้นหลังคาเรียบตรงเพื่อเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะในห้องโดยสาร มาพร้อมฐานล้อที่ค่อนข้างยาวเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถ เพื่อเพิ่มความกว้างขวางภายใน ขณะที่ช่วงกันชนหน้าและท้ายสั้น ช่วยให้ขับขี่ในพื้นที่จำกัดได้คล่องตัวขึ้น ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของ Kei Car ในเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น มีกระจกหลังขนาดใหญ่พร้อมที่ปัดน้ำฝนและช่องรับลมขนาดเล็กบริเวณด้านหน้า ภายในห้องโดยสารติดตั้งพวงมาลัย 3 ก้านและหน้าจอสัมผัสแบบลอยตัว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางดีไซน์มินิมอลที่พบในรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ BYD

ด้านสมรรถนะ BYD K-Car ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่แบบ LFP ความจุเพียง 20 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 180 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTC) ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนเมืองญี่ปุ่น ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้าออกมาในขณะนี้

สำหรับราคาจำหน่ายคาดว่าจะเริ่มต้นที่ 2 ล้านเยน (ประมาณ 4.3 แสนบาท) ซึ่งใกล้เคียงกับราคาของรถ Kei Car ยอดนิยมอย่าง Honda N-Box ที่จำหน่ายในญี่ปุ่นในราคาเริ่มต้น 1.78 ล้านเยน (ประมาณ 3.8 แสนบาท) ทำให้ BYD K-Car พร้อมชนคู่แข่งโดยตรงของแบรนด์ญี่ปุ่นรายใหญ่อย่าง Honda Suzuki และ Daihatsu ในตลาดรถขนาดเล็กพลังงานไฟฟ้า

สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Racco ก็คือ วิศวกรที่พัฒนารถคันนี้ คือ Mr.Tagawa อดีตหัวหน้าวิศวกรทีมพัฒนา Nissan Dayz และ Nissan Sakura EV ที่ถูก BYD ซื้อตัวไป นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ Racco มีกลิ่นอาย ของ K-Car ทรง Tall Boy ประตูบานเลื่อนไฟฟ้า ฝั่งญี่ปุ่นมาเต็มคันรถ!

BYD Sealion 6 DM-i

รถยนต์ PHEV จาก BYD ที่จะมาประเดิมตลาดญี่ปุ่นเป็นรุ่นแรกคือ Sealion 6 DM-i ซึ่งผสานการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่และแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจาก BYD ที่เป็นผู้นำของวงการยานยนต์พลังงานใหม่ จึงมีระบบการจัดการแบตเตอรี่ขั้นสูง พร้อมสั่งการให้เครื่องยนต์ใช้เชื้อเพลิงได้เต็มประสิทธิภาพ และยังมอบประสบการณ์ขับขี่ที่น่าจดจำ

BYD Atto 3 

BYD Atto 3 ที่เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดของค่ายในญี่ปุ่น โดยมียอดขายสะสมนับตั้งแต่เปิดตัว 2,500 คัน เนื่องจากขับขี่ได้ไกลสุด 470 กิโลเมตร (WLTC) และมีขนาดพอเหมาะกับสภาพถนนท้องถิ่น โดยรุ่นล่าสุดที่พึ่งเปิดตัวที่ประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้ มาพร้อมกับการปรับดีไซน์ใหม่ทั้งภายนอกและภายใน จะมาเปิดตัวที่งานนี้ให้ชาวญี่ปุ่นได้สัมผัสกันเป็นครั้งแรก ก่อนเริ่มจำหน่ายจริง

Yangwang U9

Yangwang U9 รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเจ้าของสถิติทำความเร็วสูงสุดได้ 496.22 กิโลเมตร/ชั่วโมง และยังทำเวลาต่อรอบสนาม Nürburgring Nordschleife ได้ต่ำกว่า 7 นาที โดยในงานจะมีการแสดงความสามารถของช่วงล่างไฟฟ้า DiSus-P ที่สามารถเต้นรำได้

——————————————-

DAIHATSU

ทุกสิ่งของแบรนด์นี้เริ่มต้นที่ เราทำในสิ่งที่เป็นไปได้เพราะเรามีขนาดเล็ก และเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ทีละก้าว เพราะความเล็กนั้นเอง ที่ทำให้ Daihatsu สามารถแทรกซึมกับวิถีชีวิตได้หลากหลายรูปแบบ เพราะความเล็กนั้นเอง ที่ทำให้ Daihatsu อยู่ใกล้ชิดกับคนที่คุณรักมากขึ้น และเพราะความเล็กนั้นเอง ที่ทำให้ Daihatsu สามารถสนับสนุนความฝันอันยิ่งใหญ่ได้จากสิ่งเล็กๆที่อยู่ใกล้ตัว

นับตั้งแต่ปี 1907 Daihatsu อยู่เคียงข้างผู้คนมาโดยตลอด และได้สร้างสรรค์รถยนต์ที่เต็มไปด้วยความสุข ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณแห่งการประดิษฐ์ ไว้ในร่างกายขนาดกะทัดรัด แม้จะเคยพยายามทำสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ และผ่านความล้มเหลวมามากมาย แต่ Daihatsu ยังคงท้าทายตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกพูดว่า “น่าสนใจจัง!” และให้ลูกค้าพูดว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ!” หรือ “คุณเข้าใจฉันจริง ๆ!”

การสร้างรถยนต์ที่ลูกค้ารักคือหัวใจของการสร้างสรรค์ยานยนต์ในแบบของ Daihatsu วันนี้ Daihatsu ได้ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของแบรนด์อีกครั้ง และตระหนักถึงคุณค่านั้นอย่างลึกซึ้ง จึงตั้งชื่อให้กับแนวคิดแห่งการคิดค้นในแบบของเรา ว่า Daihatsu Mei หรือ จิตวิญญาณแห่งการประดิษฐ์ที่แท้จริงในแบบฉบับ Daihatsu

Daihatsu Mei เป็นแนวความคิดที่พัฒนาต่อยอดมาจากการที่ Daihatsu เป็นรถขนาดเล็กที่ทำอะไรได้หลากหลาย ทั้งเพื่อการโดยสาร การขนส่งมวลชนในพื้นที่จำกัด การขนส่งเพื่อการพาณิชย์ อย่างที่บ้านเราคุ้นเคยกับรถ 2 แถวขนาดเล็ก ที่ลัดเลาะไปตามซอกซอยนั่นเอง และยังรวมไปถึงรถสปอร์ตขนาดเล็กที่สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ขับขี่ โดยไม่จำเป็นจะต้องมีขุมพลังที่ทรงพลังแต่อย่างใด

Daihatsu K-OPEN

ในปี 2002 Daihatsu ได้เปิดตัวรถสปอร์ตเปิดประทุนที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยก้าวข้ามขีดจำกัดของรถยนต์ขนาดเล็กอย่างสิ้นเชิง รถคันนั้นคือ Copen รุ่นแรก ผลงานแห่งความท้าทายจาก Daihatsu ที่ต้องการสร้างรถยนต์ขนาดเล็กที่มอบความสนุกและอิสระในการขับขี่ได้ไม่ต่างจากรถสปอร์ตขนาดใหญ่ Copen ได้รับการออกแบบโดยใช้พื้นฐานจากเครื่องยนต์ 4 สูบและระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วของ Daihatsu แต่ถูกพัฒนาให้กะทัดรัดและลงตัวภายในโครงสร้างขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยนวัตกรรม

สิ่งที่ทำให้ Copen โดดเด่นอย่างแท้จริงคือ หลังคาแบบ Active Top ที่เปิด-ปิดอัตโนมัติและสามารถพับเก็บได้อย่างลงตัวภายในตัวถังขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายในยุคนั้น รถคันนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์รับลมไปตามถนนหนทางให้กับผู้ขับในชีวิตประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องมีรถสปอร์ตขนาดใหญ่หรือราคาแพง Copen จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสนุกที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ด้วยแนวคิด รถสปอร์ตสำหรับทุกคน Copen ได้ทำลายกำแพงระหว่างความฝันและความจริง มันไม่ใช่เพียงแค่ยานพาหนะ แต่เป็นเครื่องหมายของความหลงใหลและความกล้าที่จะท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ รถคันนี้แสดงให้เห็นว่าความสุขจากการขับขี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือราคา หากแต่ขึ้นอยู่กับหัวใจของผู้สร้างและผู้ขับขี่

แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 20 ปี Copen ยังคงครองใจแฟนๆ มากมายทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์ที่ผสานระหว่างดีไซน์ ความสนุก และจิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง มันจึงไม่ใช่แค่รถสปอร์ตขนาดเล็ก แต่เป็นตำนานที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของ Daihatsu อย่างสมบูรณ์แบบ

การกลับมาของรถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่งขนาดเล็ก Copen ที่ขยายขนาดตัวถังจนไม่ใช่รถเล็กอีกต่อไป แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดรถเปิดประทุนวางเครื่องด้านหน้า ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลังในนามว่า K-OPEN จะเข้ามาเปลี่ยนบทบาทของ Copen เดิม ให้มีพละกำลังมากขึ้น ความสนุกที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นมิตรที่เข้าถึงง่ายเช่นเดิม

Daihatsu K-VISION

ต้นแบบรถ K-Car ประตูสไลด์ขุมพลัง Hybrid เจเนอเรชันใหม่สำหรับทุกคน ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม DNGA เจเนอเรชั่นใหม่ ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต ตัวรถติดตั้งระบบขับเคลื่อน e-SMART HYBRID รุ่นใหม่ ที่ได้รับการย่อขนาดให้กะทัดรัดและมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นใน Rocky HEV แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะอันยอดเยี่ยม เป็นมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ขนาดเล็กที่ผสานคุณสมบัติของรถไฟฟ้าเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งความเงียบ นุ่มนวล แรงบิดทรงพลังจากมอเตอร์ขับเคลื่อน 100% ประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม และยังสามารถใช้งานได้แบบเดิมโดยไม่ต้องชาร์จไฟ

Daihatsu KAYOIBAKO-K

KAYOIBAKO-K คือรถเพื่อการพาณิชย์รุ่นใหม่พิกัด K-Car ที่ได้รับการออกแบบเพื่อยกระดับวิถีการทำงานและการใช้ชีวิตของผู้คนในชุมชน โดยมุ่งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างคนกับรถในรูปแบบใหม่ ยานยนต์รุ่นนี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับงานขนส่งระยะสุดท้าย หรือ Last-mile delivery รวมถึงภารกิจหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนในท้องถิ่น

แนวคิดหลักของ KAYOIBAKO-K คือ ความยืดหยุ่นในการใช้งาน ที่ช่วยเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับรถของตนเอง จากเครื่องมือเพียงอย่างหนึ่ง ให้กลายเป็นคู่หูที่ตอบโจทย์วิถีการทำงานยุคใหม่ รถคันนี้สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้หลากหลาย ไม่ว่าจะใช้ในการขนส่งสินค้า บริการเคลื่อนที่ หรือภารกิจสนับสนุนชุมชน

Daihatsu Midget-X

Daihatsu Midget รุ่นแรก เปิดตัวในปี 1957 ท่ามกลางยุคเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วของญี่ปุ่น และได้รับฉายาว่าเป็น ยักษ์น้อย ที่ช่วยขับเคลื่อนทั้งชีวิตประจำวันและการทำงานของผู้คน เปิดมาเป็นรถสามล้อขนาดน่ารัก ที่สามารถวิ่งผ่านตรอกซอกซอยแคบ ๆ ได้อย่างคล่องตัว จนได้รับสมญาว่า เฮลิคอปเตอร์สำหรับการใช้งานในเมือง จากผู้ใช้ในยุคนั้น ในเวลานั้น Daihatsu ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและรับฟังเสียงจากผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงคนขับรถส่งของ เพื่อสะท้อนปัญหาที่แท้จริงของพวกเขามาใช้ในการออกแบบ ทำให้รถรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริง

กลยุทธ์การตลาดของ Daihatsu ก็ถือว่าล้ำสมัยในยุคนั้นเช่นเดียวกัน บริษัทใช้การโฆษณาทางโทรทัศน์แบบถ่ายทอดสด และจัดสัมมนาการขายทั่วประเทศ เพื่อแนะนำความสามารถของ Midget ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรงด้วยแนวคิด ส่งถึงมือคือหัวใจสำคัญของการค้า ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณพ่อค้าชาว Osaka ที่ได้ถูกหลอมรวมไว้ในรถคันนี้อย่างชัดเจน

——————————————-

HINO Motors

ผู้ผลิตรถบรรทุกในเครือของกลุ่ม Toyota กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา เพื่อควบควมกิจการ กับ ทาง MITSUBISHI FUSO ของกลุ่ม DAIMLER Truck AG.โดยทั้งคู่ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ถึงความคืบหน้าในการเจรจาดังกล่าว ว่า Toyota Hino และ DAIMLER กับ Mitsubishi Fuso จะตั้งบริษัท Holding Company ชื่อ ARCHION ขึ้นมา โดยให้ Hino และ Mitsubishi Fuso เป็น บริษัทลูกในเครือ ของ ARCHION มีกำหนดเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 เมษายน 2026

กระนั้น กิจการของทั้ง 2 บริษัท ต่างยังคงแยกกันต่อไปก่อน จนกว่าจะถึงช่วงเวลาควบรวมกัน และ ในงาน Japan Mobility Show ปีนี้ คาดว่าจะเป็นปีสุดท้าย ที่ทั้ง 2 บริษ้ัท ต่างจะแยกกันจัดแสดงยานพาหนะในพื้นที่บูธของตนเอง

ปีนี้ Hino นำเสนอเทคโนโลยี การขนส่ง ภายใต้แนวคิด “we make a better world and future by helping people and goods get where they need to go,” หรือแปลเป็นไทยว่า”เราสร้างโลกและอนาคตที่ดีกว่า ด้วยการช่วยให้ผู้คนและสินค้าไปถึงที่หมาย” ซึ่งถือเป็นพันธกิจองค์กรด้วย Hino จะนำเสนอโลกที่พวกเขาจินตนาการให้บรรลุผลสำเร็จ พร้อมกับแลกเปลี่ยน “คำถาม” ในสังคม เกี่ยวกับอนาคตของการขนส่ง Hino จะจัดแสดงยานยนต์และ Solution สำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อมุ่งสู่สังคมที่ยั่งยืน รวมถึงโครงการริเริ่มใหม่ๆ สำหรับอนาคตอันใกล้นี้ รวมทั้งหมด 6 คัน ในจำนวนดังกล่าว 5 คัน ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้

Hino PONCHO dot (World Premier)

พอนโช่-ดอท เป็นรถบรรทุกต้นแบบ ที่พัฒนาขึ้นจากรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดเล็ก Hino Dutro Z EV เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขนส่งระหว่างภูมิภาค ให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ในด้านการขับขี่ ขนาดกะทัดรัด แต่สามารถขนส่งทั้งคนและสินค้าได้พร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ PONCHO dot จึงสามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและหลากหลายวัตถุประสงค์ เช่น การจับจ่ายซื้อของ รับส่งผู้โดยสาร และขนส่งสินค้า นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ Autonomous Drive อันทันสมัย ​​อีกด้วย

Hino PROFIA Z FCV L4 Concept (World Premier)

อธิบายกันก่อนว่า นี่คือรถบรรทุก 1 คัน ที่มีประเด็นในการนำเสนอ 2 เรื่อง รวด

– ประเด็นแรก คือ การประกาศออกสู่ตลาดจริง ของ รถบรรทุก Hino PROFIA (โปร-เฟีย) Z FCV ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่ใช้ขุมพลัง Fuel Cell ระดับผลิตออกจำหน่ายจริง Mass Production แบบแรกของญี่ปุ่น ซึ่งช่วยส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน และการสร้างสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน ที่ผสานรวมการใช้งานจริงตามแบบรถบรรทุกสำหรับงานหนักเข้ากับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Hino เพิ่งประกาศเปิดตัวรถบรรทุกรุ่นนี้เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 และพร้อมออกสู่ตลาดจริง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา

– ประเด็นที่ 2 ก็คือ การนำเทคโนโลยี การขับขี่อัตโนมัติ Autonomous Drive L4 (ระดับ 4) มาใช้กับรถบรรทุกคันนี้ พร้อมกับการวิ่งบนช่องทางพิเศษสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติบนทางด่วน ซึ่งระบบดังกล่าว ถูกจัดแสดงเป็นครั้งแรกในงานนี้

Hino S’ELEGA 2026 Model Year (World Premier)

รถบัสท่องเที่ยวขนาดใหญ่ Hino Selega (เซ-เล-ก้า) รุ่นปรับเปลี่ยนงานออกแบบใหม่ ครั้งแรกในรอบ 20 ปี! สะท้อนถึงความงามที่ใช้งานได้จริง Selega ใหม่ ถูกยกระดับทั้งการขับขี่ ความประหยัดน้ำมัน จากการปรับปรุงเกียร์ AMT (Automated Manual Transmission) แถมยังมาพร้อมอุปกรณ์ความปลอดภัยระดับสูงสุดในญี่ปุ่น  อีกทั้งภายในห้องโดยสารยังได้รับการใส่ใจอย่างพิถีพิถัน  เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับนักเดินทาง ระดับพรีเมียม ที่ต้องการความหรูหรา และความเงียบสงบ ในการเดินทาง มีกำหนดเปิดตัวประมาณช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2026

Hino DUTRO Z EV 2026 Model Year (World Premier)

รถบรรทุก Hino Dutro Z EV ขุมพลังไฟฟ้าล้วน สำหรับงานบรรทุกเบา (Light-Duty) ซึ่งใช้งานง่ายและปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นกลางนี้ ถูกนำมาใช้ในไมล์สุดท้ายของการส่งมอบ โดยมียอดขายมากกว่า 1,600 คันนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมิถุนายน 2022 แม้ว่าพื้นรถที่ต่ำเป็นพิเศษและพื้นที่ทางเดินของรถบรรทุกตระกูลนี้ จะช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ และคุณสามารถขับรถบรรทุกรุ่นนี้ได้ด้วยใบขับขี่ธรรมดา แต่รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในช่วงฤดูร้อนปี 2026 จะสะท้อนเสียงของผู้ขับขี่จริงมากขึ้น ด้วยความจุแบตเตอรี่ที่มากขึ้นเพื่อเพิ่มระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ภายในงาน Hino จะนำเสนอ รูปแบบการจัดวางสัมภาระที่หลากหลาย สำหรับการใช้พื้นที่เก็บของในรถบรรทุกอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น รวมทั้งระบบชาร์จไฟอัตโนมัติใต้พื้นด้วย CUBE-LINX

นอกจากรุ่นมาตรฐานแล้ว Hino ยังนำ DUTRO Z EV ไปตกแต่งเป็น Mobile Office เคลื่อนที่ เราจะจัดแสดงสำนักงานเคลื่อนที่ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้พื้นที่เก็บสัมภาระต่ำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ทุกคนสามารถขับขี่รถยนต์คันนี้ได้ด้วยใบขับขี่ทั่วไป แม้จะมีขนาดกะทัดรัด แต่ภายในก็ยังมีความสูงที่ช่วยให้คุณเข้าออกระหว่างที่นั่งคนขับและห้องได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นห้องควบคุม กิจการต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานกลางแจ้งหรือรับมือกับภัยพิบัติ โดยนำไปจัดแสดงในพื้นที่ของ Tokyo Future Tour 2035 (West Hall 2)

Hino RANGER 2026 Model Year (World Premier)

หลายคนอาจจะยังจำโฆษณาชุด “เสี่ย Hino ทั้งเมือง” ได้ วันนี้ รถบรรทุกขนาดกลาง ตระกูล Ranger รุ่นปรับโฉม Minorchange ซึงถูกพัฒนาขึ้น ต่อยอดจากจุดแข็ง QDR (Quality : คุณภาพ Durability : ความทนทาน และ Reliability : ความน่าเชื่อถือ) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และผสานรวมคุณลักษณะด้านความปลอดภัยล่าสุดเพื่อรองรับการใช้งานที่ปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้น พร้อมแล้วที่จะออกสู่ตลาดญี่ปุ่นในปี 2026

Hino Ranger DAKAR Rally

Hino เป็นผู้ผลิตรถบรรทุกรายแรกที่เข้าร่วมการแข่งขัน Dakar Rally มาตั้งแต่ปี 1991 และในการแข่งขันล่าสุดในช่วงต้นปี 2025 รถบรรทุกของ Hino สามารถแล่นได้ครบระยะทางเป็นปีที่ 34 ติดต่อกัน ณ สถานที่จัดงาน จะมีการจัดแสดงรถยนต์ที่เข้าร่วมการแข่งขันดาการ์แรลลี่ในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากรถบรรทุกขนาดกลาง Hino Ranger เพื่อให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์ Little Monster แห่งทะเลทราย ผ่านการขับขี่ ถ่ายภาพ และอื่นๆ

นอกจากนี้ รถแข่งที่เข้าร่วมการแข่งขัน Dakar Rally ในปี 2018 จะถูกนำไปขับแสดงโชว์ในงานช่วงวันที่ 1 และ 2 พฤศจิกายน ถือเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะได้เห็นการขับขี่จริงของรถแข่งคันนี้ในประเทศญี่ปุ่น

ไม่เพียงแค่จัดแสดงรถบรรทุกรุ่นใหม่ๆ แต่ Hino ยังมีบริษัท Solution IT ของตนเอง ชื่อ Hino Computer System มาออกบูธร่วมด้วย โดยนำเสนอเทคโนโลยี Ride Vision ระบบ XR ล้ำสมัยที่สามารถติดตั้งได้กับรถยนต์หลากหลายรุ่น และ Brain100 Studio ณ บริเวณบูธ 102 East อาคาร Hall 7

——————————————-

HONDA

Honda Motor จัดงานแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่ภายในงาน Japan Mobility Show 2025 โดยมี Toshihiro Mibe ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ เปิดวิสัยทัศน์ของ Honda ในยุคแห่งการเคลื่อนที่แห่งอนาคต โดยบูธของ Honda ในปีนี้จัดแสดงนวัตกรรมการเดินทางครอบคลุมทั้ง ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และอวกาศ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสและทดลองขับจริง พร้อมตอกย้ำเจตนารมณ์ของแบรนด์ที่มุ่งทำให้ความฝันกลายเป็นจริง ผ่านเทคโนโลยีการเคลื่อนที่ที่สร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลก

CR-V e:HEV RS BLACK EDITION

Honda เปิดตัว CR-V e:HEV รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการประกอบจากโรงงานที่จังหวัดปราจีนบุรี ประเทศไทยเรานี่เอง โดยรถรุ่นใหม่นี้มีกำหนดวางจำหน่ายในญี่ปุ่นภายในช่วงฤดูหนาวปี 2025 นี้ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 30 ปีแห่งความสำเร็จของ Honda CR-V หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในปี 1995 และนับจนถึงปัจจุบันครบรอบ 30 ปี มียอดขายสะสมทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านคัน และกลายเป็นหนึ่งในรุ่นสำคัญระดับโลกของฮอนด้าที่ได้รับความนิยมในกว่า 150 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก CR-V ยังคงรักษาจุดเด่นด้านความอเนกประสงค์ การขับขี่สบาย และคุณภาพระดับพรีเมียม จนเป็นหนึ่งในรถยนต์ SUV ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดของฮอนด้า

CR-V รุ่นที่ 6 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในตลาดอเมริกาเหนือเมื่อปี 2022 ก่อนขยายสู่ยุโรป จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่น ๆ ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากลูกค้าทั่วโลก จุดเด่นของรุ่นใหม่นี้คือระบบขับเคลื่อน e:HEV ที่พัฒนาขึ้นใหม่พร้อมมอเตอร์กำลังสูง

CR-V e:HEV RS BLACK EDITION ซึ่งออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดญี่ปุ่น โดยผสานความหรูหราและความสปอร์ตเข้าด้วยกัน ผ่านการตกแต่งด้วยโทนสีดำรอบคันทั้งภายนอกและภายใน เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ความพรีเมียมที่แฝงไว้ด้วยพลังแบบ SUV รุ่นเรือธง มาพร้อมสีเทาพิเศษ Slate grey pearl เสริมด้วยการออกแบบภายนอกที่เฉียบคม โคมไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์ใหม่ และกระจังหน้าทรงสปอร์ตเพื่อให้ภาพลักษณ์ของ SUV ระดับโลกดูหรูหราและทรงพลังยิ่งขึ้น พร้อมระบบความปลอดภัย Blind Spot Monitoring พร้อมด้วย Cross Traffic Monitor เปลี่ยนคันเกียร์เป็นแบบกดปุ่ม e-Shifter พร้อมระบบปลดล๊อคเกียร์ P เพื่อจอดขวาง

Honda 0 α (Alpha)

Mibe กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญของ Honda ในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ทั้งในผลิตภัณฑ์และกิจกรรมขององค์กรภายในปี 2050 โดย Honda เชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของขุมพลังไฟฟ้าจะยังคงเดินหน้าต่อไปในระยะยาว แม้ตลาดยังคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านก็ตาม

Honda 0 SALOON Prototype และ 0 SUV Prototype

ในปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในตระกูล Honda 0 Series ที่พัฒนาขึ้นจากแนวคิด “Thin, Light, and Wise” หรือ “บาง เบา และชาญฉลาด” เพื่อพลิกนิยามใหม่ของรถ EV ที่มักถูกมองว่าหนาและหนัก โดยรถต้นแบบ Honda 0 SALOON และ Honda 0 SUV ต่างใช้งานวิศวกรรมพื้นฐานเฉพาะสำหรับรถไฟฟ้า มอบพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางในขณะที่ยังคงรูปลักษณ์สปอร์ตแบบรถหรูระดับเรือธง

ในงานนี้ Honda ได้เผยโฉม Honda 0 α (Alpha) Prototype อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของโลก รถ SUV ขุมพลังไฟฟ้าล้วนขนาดกลางที่ผสานดีไซน์เรียบหรูตามเอกลักษณ์ของตระกูล 0 Series เข้ากับบุคลิกแข็งแกร่งของรถอเนกประสงค์ ตัวถังได้รับการออกแบบให้เพรียวบางแต่ยังคงระยะความสูงจากพื้นถนนที่เหมาะสมกับการเป็น SUV ส่งผลให้ภายในโปร่งโล่งและนั่งสบาย โดยรุ่นผลิตจริงของ Honda 0 α มีกำหนดวางจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่ปี 2027 โดยเน้นตลาดหลักในญี่ปุ่นและอินเดีย

Honda Super-ONE Prototype

Super-ONE Prototype ใช้งานวิศวกรรมพื้นฐานน้ำหนักเบาที่พัฒนามาจากตระกูล N Series ให้การควบคุมที่คล่องตัวและขับสนุก ขณะเดียวกันยังมาพร้อมบังโคลนซุ้มล้อที่ขยายออกซ้ายขวาเพิ่มความกว้างของฐานล้อ ช่วยให้การทรงตัวมั่นคงและให้ลุคสปอร์ตทรงพลังยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อม BOOST Mode โหมดขับขี่พิเศษที่เพิ่มกำลังขับและปลดล็อกสมรรถนะสูงสุดของระบบขับเคลื่อน พร้อมระบบควบคุมเสียงจำลอง Active Sound Control และการจำลองการเปลี่ยนเกียร์เสมือนจริง Virtual Step-Shift Control ที่ช่วยสร้างอารมณ์และสัมผัสการขับขี่แบบรถสปอร์ตเครื่องยนต์เบนซินอย่างสมจริง

ภายในห้องโดยสารเน้นสร้างบรรยากาศความตื่นเต้นก่อนเริ่มขับขี่ ด้วยเบาะนั่งคู่หน้าสปอร์ตทรงพิเศษที่โอบรับร่างกายและผ้าหุ้มเบาะสีน้ำเงินแบบไม่สมมาตรเพิ่มความสนุกทางสายตา ชวนให้คิดถึงรถสปอร์ตรุ่นล่าสุดของค่ายอย่าง Prelude แผงหน้าปัดแนวนอนช่วยลดสิ่งรบกวนสายตา เพื่อให้ผู้ขับโฟกัสกับถนนได้อย่างเต็มที่

ไฮไลท์อยู่ที่ BOOST Mode ที่ยกระดับความเร้าใจในการขับขี่ โดยจะเพิ่มกำลังขับเคลื่อนสูงสุดพร้อมอัตราเร่งที่ฉับไว เมื่อเปิดใช้งาน โดยระบบจะเชื่อมการทำงานระหว่าง Virtual Step-Shift Control (7 จังหวะ) กับ Active Sound Control เพื่อสร้างเสียงเครื่องยนต์จำลองที่ตอบสนองต่อการกดคันเร่งและการขับขี่ ทำให้ผู้ขับรู้สึกเหมือนกำลังควบคุมรถสปอร์ตพลังสูงอย่างแท้จริง พร้อมเอฟเฟกต์พิเศษอย่างหน้าจอมาตรวัดแบบสามช่อง (Triple Meter Display) และแสงไฟภายในห้องโดยสารที่เปลี่ยนสีตามโหมดการขับขี่ กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งการมองเห็น การได้ยิน และแรงสั่นสะเทือน ถ่ายทอดความสุขในการขับขี่แบบใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าในสไตล์ Honda อย่างเต็มรูปแบบ

Honda Micro EV

Honda ยังเปิดตัวรถต้นแบบที่น่ารักและเรียบง่ายรุ่นล่าสุดรุ่น Micro EV ถึงแม้ Honda จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคหรือขนาดตัวถังของ Micro EV แต่จากภาพรวมแล้ว รถต้นแบบคันนี้มีสัดส่วนเล็กกระทัดรัดแบบ Micro car ใกล้เคียงกันกับ Citroën Ami ที่วางจำหน่ายในยุโรป โดดเด่นด้วยตัวถังทรงเหลี่ยมพร้อมซุ้มล้อหนาแน่นตกแต่งด้วยลายตะแกรงที่มุมทั้งสี่ ขณะที่ด้านหน้ามาพร้อมไฟหน้าทรงกลมคู่ ที่ยื่นออกจากตัวรถ พร้อมส่วนโค้งตรงกลางคล้ายฝากระโปรงขนาดเล็ก ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเป็นที่เก็บยางอะไหล่ขนาดจิ๋ว

ภายในห้องโดยสารของ Micro EV เน้นความเรียบง่ายตามสไตล์รถต้นแบบ มีเบาะนั่งแบบยาวแถวเดียว พาดขวางเต็มห้องโดยสาร ส่วนแผงประตูตกแต่งด้วยวัสดุลายตะแกรงแบบเดียวกับซุ้มล้อ ด้านหน้าติดตั้งพวงมาลัยทรง yoke แทนพวงมาลัยกลมแบบปกติ โดยมีพื้นที่ให้ติดตั้งโทรศัพท์ไว้ตรงกลางพวงมาลัย ทำหน้าที่แสดงข้อมูลแทนจอมาตรวัด ส่วนคอนโซลหน้าถูกออกแบบให้เป็นชั้นวางของพร้อมช่องใส่แก้วน้ำทั้งสองฝั่ง และมี จอแสดงผลสำหรับระบบนำทาง ติดอยู่ด้านหลัง

Honda ยังไม่ยืนยันว่าจะนำ Micro EV เข้าสู่สายการผลิตหรือไม่ แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าโมเดลนี้อาจพัฒนาเป็นรถไฟฟ้าขนาดจิ๋วสำหรับการใช้งานในเมืองในอนาคต โดยมีแนวโน้มสูงว่าจะทำตลาดใน ญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีความนิยมรถขนาดเล็กมากกว่าอเมริกาเหนือ Micro EV จึงถือเป็นการกลับมาของแนวคิด รถเล็กที่มอบรอยยิ้ม ในแบบที่ Honda เคยสร้างชื่อไว้ในอดีต

A wide variety of mobility products and technologies for land, sea, skies and outer space

ปิดท้ายด้วยการตอกย้ำแนวคิดภายใต้สโลแกนระดับโลกของ Honda นั่นคือ The Power of Dreams – How We Move You ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณของพนักงาน Honda ทั่วโลกที่พร้อมเดินหน้าท้าทายสิ่งใหม่ด้วยความฝันและความหลงใหล เพื่อสร้างคุณค่าเฉพาะตัวในโลกแห่งการเคลื่อนที่ยุคใหม่ ภายในบูธของ Honda  ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสนวัตกรรมแห่งอนาคตผ่านผลิตภัณฑ์เคลื่อนที่ทุกรูปแบบ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า จักรยานยนต์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางอากาศและอวกาศ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของอนาคตที่ Honda มุ่งสร้างให้เกิดขึ้นจริง

——————————————-

HYUNDAI

อันที่จริง Hyundai เคยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นมาแล้วครั้งแรก เมื่อปี 2001 แต่ก็เคยถอนตัวออกไปเมื่อปี 2009 อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป Hyundai จึงตัดสินใจลองเสี่ยงดวง กลับมาเปิดบริาัทใหม่ บุกตลาดในญี่ปุ่นเองอีกครั้ง เมือปี 2022 เริ่มต้นด้วยการนำรถยนต์ไฟฟ้า IONIQ 5 มาชิมลางตลาดไปก่อน แล้วค่อยเริ่มสร้างกระแสด้วยการเปิดตัว IONIQ 5N ที่สร้างความฮือฮา ด้วยการนำ Drift King เทพเจ้าสายดริฟท์ อย่าง Keichi Tsuchiya มาช่วยปรับปรุงรถให้เป็นเวอร์ชันพิเศษอีกด้วย แถมยังจับมือกับ Toyota ไปจัดงานแนะนำแบรนด์ GR กับ N ร่วมกัน ในเกาหลีใต้ ก็ทำมาแล้ว

งาน Japan Mobility Show ปีนี้ นอกเหนือจากบรรดารถยนต์รุ่นที่จำหน่ายในญี่ปุ่นอยู่ก่อนหน้านี้ ทั้ง IONIQ 5 , IONIQ 5N ตระกูล Sub-Compact SUV รุ่น KONA ทุกขุมพลัง และ Inster น้องเล็กมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน รวมทั้ง Inster Cross แล้ว Hyundai ยังเลือกเปิดตัว Hyundai NEXO ยานยนต์ซึ่งออกแบบมาให้ใช้ขุมพลัง Hydrogen ล้วนเพียงอย่างเดียว Generaion ล่าสุด ในตลาดญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก อีกด้วย

Hyundai พัฒนา เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Hydrogen มาตั้งแต่ ปี 1998 แม้จะผ่านวิกฤติการณ์โลกต่างๆนาๆ มากมายที่มีผลกระทบกับโครงการเป็นระยะๆ แต่ Hyundai ก็ไม่ย่อท้อ ถึงขั้น ผลิตรถยนต์รุ่น NEXO ออกจำหน่ายในฐานะรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง Hydrogen ล้วน แบบแรกที่มีการผลิตขายครั้งละมากๆ (Mass Production)

Hyundai NEXO

Nexo รุ่นล่าสุด เปิดตัวมาตั้งแต่ งาน Seoul Motor Show เมื่อเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา และถูกนำมาเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก NEXO Generation 2 เป็น Compact SUV รุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาสานต่อแผนพัฒนารถยนต์พลังงาน Hydrogen และเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ของค่าย ที่ได้รับการรังสรรค์งานออกแบบภายนอก ด้วยแนวคิด The Art of Steel ต่อยอดจากรถยนต์ต้นแบบ Initium FCEV Concept

ตัวรถมีขนาดดังนี้

  • ความยาว 4,750 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,865 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,673 มิลลิเมตร (รวมราวหลังคา)
  • ความยาวฐานล้อ 2,790 มิลลิเมตร

แนวคิดการออกแบบ Art of Steel เป็นการทำให้ดีไซน์ตัวรถดูแข็งแรงด้วยพื้นผิวตัวถังที่ราบเรียบเป็นผืนเดียวกันในแต่ละส่วน สร้างความโดดเด่นด้านหน้าและด้านหลังด้วยชุดไฟ LED 4 จุดที่เรียกว่า HTWO หรือ H2 ซึ่งเป็นดีไซน์ที่สงวนไว้สำหรับรถยนต์ Hyundai ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน Hydrogen เท่านั้น

ภายในห้องโดยสารเน้นออกแบบให้คนขับและผู้โดยสารรู้สึกราวกับนั่งอยู่ที่บ้าน มีการใช้ฟองน้ำหนานุ่มเข้ามาประดับตามจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซลหน้า แผงด้านข้างประตู และเบาะนั่ง เสริมความเรียบง่ายด้วยหน้าจอแบบโค้ง ขนาด 12.3 + 12.3 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลจากกล้องมองภาพด้านข้าง พื้นที่ใช้สอยภายในถูกออกแบบให้เน้นความกว้างขวาง เมื่อพับเบาะนั่งด้านหลังให้ราบไปกับพื้น จะได้ความจุพื้นที่ 1,719 ลิตร ใกล้เคียง SUV ขนาดกลาง

ขุมพลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร อาศัยพลังงานที่สร้างขึ้นโดย Hydrogen Fuel Stack กักเก็บในแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 2.64 kWh มีระบบจ่ายไฟฟ้าสู่ภายนอก V2L พร้อมเพิ่มขนาดถังบรรจุ Hydrogen จาก 6.33 กิโลกรัม เป็น 6.69 กิโลกรัม หรือ 162.6 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD

ชุดเซลล์เชื้อเพลิงใน Nexo FCEV รุ่นใหม่ ได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นที่อุณหภูมิต่ำ มีประสิทธิภาพของเซลล์เชื้อเพลิงที่สม่ำเสมอ และมีฟังก์ชั่น Wake Up ป้องกันการแข็งตัวของ Fuel Stack ทำให้ระยะทางการขับขี่คงที่ แม้เผชิญกับอุณหภูมิภายนอกที่ลดต่ำลง อีกทั้งยังช่วยให้การสตาร์ทที่อุณหภูมิต่ำง่ายขึ้นอีกด้วย

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน มีดังนี้

  • อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.8 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 179 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อ Hydrogen เต็มถัง มากกว่า 700 กิโลเมตร

Hyundai’s xEVs

Hyundai Mobility Japan ยังแบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็นอีกสองโซน โดนธีมถัดไปคือ ‘Daring Moves for EVs’ ทางเลือกสู่อนาคตที่ดีกว่า พร้อมเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน โดยในพื้นที่ส่วนนี้จะมีทัพ EV จาก Hyundai ให้สัมผัสกันอย่างครบถ้วน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนทั้ง Inster Cross เพื่อการใช้งานในเมือง, Kona EV สำหรับครอบครัว, IONIQ 5 ซึ่งเป็นเรือธงของค่าย ที่พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ให้คุณทุกวัน และยังมีตัวแรงอย่าง IONIQ 5 N ด้วย

สำหรับธีมสุดท้ายของบูธ Hyundai Mobility Japan คือ ‘Daring Moves for Imagination’ ที่จะมาก้าวข้ามขอบเขตของงานออกแบบยานยนต์ กับรถยนต์ต้นแบบ Insteroid ที่เป็นการนำ Inster มาพลิกดีไซน์ใหม่ทั้งหมดจนเกิดเป็นรถยนต์ต้นแบบ ที่ผสานอารมณ์และจินตนาการเข้าด้วยกัน โดยรถยนต์ต้นแบบจากฝันคันนี้สะท้อนให้เห็นถึง การปลุกเร้าประสาทสัมผัส, ความสปอร์ต และ วัสดุเพื่อความยั่งยืน

——————————————-

ISUZU / UD Trucks

หลังจาก Isuzu เข้าถือหุ้นและควบรวมกิจการของ UD Trucks (อดีต Nissan Diesels) มาอยู่ร่วมใต้ชายคาแล้ว พวกเขาก็ ตกลงออกบูธ จัดแสดง รถบรรทุก และเทคโนโลยีการขนส่งในอนาคตรูปแบบใหม่ๆ บนพื้นที่เดียวกัน ร่วมกัน มาตั้งแต่งาน Japan Mobility Show เมื่อปี 2023

ในปีนี้ Isuzu และ UD Trucks มาใน Theme “Move the World, Envision a Colorful Future.” ซึ่งสอดคล้องกับสโลแกนของ ทั้ง 2 บริษัท ที่ว่า “Move the World – for You” บูธนี้มุ่งถ่ายทอด พลังที่แท้จริงของการขนส่ง พร้อมผสานจิตวิญญาณของแนวคิดหลักของงาน เข้ากับการมอบ “โอกาสพิเศษในการสำรวจอนาคตแห่งการขับเคลื่อน” เชิญชวนผู้เข้าชมบูธมาสำรวจอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมนำเสนอ Solution การขับเคลื่อนและการขนส่งอันหลากหลายเพื่อโลกที่ดีกว่า

Hi-Light ในบูธ นั้น หลักๆอยู่ที่ การนำเสนอ รูปแบบการขนส่ง ด้วยยานพาหนะต้นแบบแห่งอนาคต รูปแบบใหม่ อย่าง Vertical Core Cycle Concept รวมทั้ง ต้นแบบของรถประจำทางในอนาคต และการเปิดตัวครั้งแรกในโลกของตระกูลรถบรรทุกขนาดกลาง และใหญ่ Isuzu GIGA รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change

ISUZU VCCC (Vertical Core Cycle Concept) World Premier

รถบรรทุกรูปแบบใหม่ ทรงสูง เพื่อการขนส่งสินค้า เข้าสู่มือผู้บริโภคได้ง่าย และสะดวกต่อการเข้าถึงตัวเมืองมากขึ้น สามารถออกแบบ ดัดแปลง และจัดเรียง ส่วนประกอบของตัวรถ หัวลาก หรือกล่องบรรทุกสิ่งของขึ้นใหม่ได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการที่แตกต่างกัน อย่างยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูง ในลักษณะ Modular Platform ยกระดับอิสระภาพในการขนส่งให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกทั้งยังสนับสนุนวิถีชีวิตที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม

ISUZU GIGA Full Model Change

GIGA คือรถบรรทุกขนาดกลาง และขนาดใหญ่ สำหรับงานหนัก ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกและภายในห้องโดยสาร ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษ นอกจากนี้ ยังถูกยกระดับด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย รวมถึงระบบเบรกก่อนการชนเมื่อเลี้ยว ระบบเบรกป้องกันการติดขัดขณะเลี้ยวซ้าย ระบบป้องกันการชนด้านข้าง และระบบแจ้งเตือนล้อหลุดล่วงหน้า การปรับปรุงด้านความปลอดภัยเหล่านี้ช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ขับขี่

นอกจากนี้ ยังมีรถบรรทุกพื้นต่ำสามเพลารุ่นพิเศษของ Isuzu ที่มีน้ำหนักบรรทุกรวม (GVW) 25 ตัน ซึ่งเป็นรถบรรทุกรุ่นเดียวในญี่ปุ่นที่นำเสนอรถบรรทุกประเภทนี้ ในปัจจุบัน ด้วยความจุบรรทุกสูงและพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้มากขึ้นในทุกการเดินทาง ส่งผลให้การขนส่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ISUZU ERGA EV Autonomous BUS 

รถบัสประจำทางอัตโนมัติคันนี้ ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ต่อยอด มาจาก ERGA EV รถบัสประจำทาง BEV (Battery Electric Vehicle) แบบพื้นเรียบคันแรกของญี่ปุ่น โดยมีการติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ ไร้คนขับ ให้การเดินทางที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพ ด้วยเทคโนโลยีการควบคุมขั้นสูง ที่ผสานรวมเข้ากับตัวรถ ซึ่งประสานงานส่วนประกอบต่างๆ และจดจำสภาพแวดล้อมโดยใช้เซ็นเซอร์หลากหลายประเภท เช่น กล้อง LiDAR และเรดาร์คลื่นมิลลิเมตร ด้วยการทำงาน
ที่เงียบ และการเร่ง/ลดความเร็ว ที่ราบรื่น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ BEV รถบัสคันนี้จึงมอบความสะดวกสบายและความมั่นใจให้กับผู้โดยสาร ตัวรถยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และมีแผนจะนำไปทดลองใช้งานจริงในอนาคตอันใกล้นี้

ISUZU ELF EV Garbage Truck

รถบรรทุก 6 ล้อ ขนาดเล็ก คันนี้พัฒนาต่อยอดจาก รถบรรทุก ELF EV รุ่น Light-Duty  มาพร้อมชุดจ่ายไฟ (PTO) ไฟฟ้า (Power Take-Off) ลิขสิทธิ์เฉพาะของ Isuzu ซึ่งจ่ายพลังงานจากแหล่งพลังงานของรถ เช่น เครื่องยนต์หรือแบตเตอรี่ ไปยังอุปกรณ์เสริมต่างๆ ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นกว่าการใช้เครื่องยนต์ Diesel ใน ELF รุ่นปกติ รถบรรทุกคันนี้จึงให้การทำงานที่เงียบ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซCarbon Di-oxide ได้อย่างมาก ส่งผลให้สภาพแวดล้อมในเมืองสะอาดขึ้น สมกับเป็นรถบรรทุกขนาดเล็ก ที่พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างสังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)

ISUZU MULTI-FUEL ENGINE

Isuzu มองว่า เพื่อให้รถยนต์เพื่อการพาณิชย์บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ดังนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องลงหลักปักฐานกับขุมพลัง ไฟฟ้าล้วน EV อย่างเดียว ดังนั้น แนวทางแบบหลายเส้นทาง (Multi-Pathway) เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากขนาดและการใช้งานของรถยนต์มีความหลากหลาย

เครื่องยนต์ Multi-Fuel มีส่วนประกอบสำคัญ เช่น เสื้อสูบและเพลาข้อเหวี่ยง เหมือนกับเครื่องยนต์ Diesel ทั่วไป เพียงแค่ปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ เช่น ระบบจุดระเบิดและหัวฉีดเชื้อเพลิงตามประเภทของเชื้อเพลิง เครื่องยนต์ก็สามารถรองรับเชื้อเพลิงที่เข้ากันได้ ตั้งแต่ ก๊าซธรรมชาติ ไฮโดรเจน เชื้อเพลิงชีวภาพ ไปจนถึง เชื้อเพลิงสังเคราะห์ อย่าง E-FUEL เท่ากับว่า นอกจากการใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนแล้ว Isuzu ยังนำเสนอเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internatl Combustion Engine) รุ่นใหม่ที่ใช้งานง่ายและประหยัดต้นทุนเพื่อมุ่งสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)

ไม่เพียงเท่านั้น พื้นที่ของ Isuzu ยังมีการจัดแสดง รถกระบะ ISUZU D-MAX EV จากประเทศไทย ที่เพิ่งเปิดตัวออกสู่ตลาดโลกเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา และยังอยู่ในระหว่างการเตรียมแผน ประกอบเวอร์ชันไทย เพื่อเตรียมเปิดตัวในปี 2026 รวมทั้ง ยังมี การจัดแสดงร่วม ในพื้นที่ Mobile Cutural ด้วยการนำรถยนต์รุ่นดังในอดีต ทั้ง Isuzu Gemini และ Isuzu VehiCross จาก Isuzu Museum ที่ Fujiwara Plant มาอวดโฉมในงานด้วย

ขณะที่ฝั่งของ UD Trucks นั้น ในโอกาสที่ครบรอบ 90 ปี ของแบรนด์ จึงมีการเปิดตัวรถบรรทุกหัวลากขนาดใหญ่ รุ่น Quester รุ่นปี 2026 และ Quon อันเป็น 2 ศรีพี่น้อง จาก UD Trucks ซึ่งถูกพัฒนาร่วมกันในยุคที่ UD Trucks ยังอยู่กับ VOLVO Trucks ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

UD Trucks Quester 2026 Model Year (World Premier / Reference Exibit)

รถบรรทุกสำหรับงานหนักคันนี้ ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดเกิดใหม่ และเป็นไปตามข้อกำหนดการปล่อยมลพิษ EURO 6 ของสหภาพยุโรป โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ขนาด 11 ลิตร และระบบเกียร์อัตโนมัติ ESCOT-E 12 สปีด ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ช่วยเพิ่มระยะเวลาการใช้งานของรถ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งระยะไกล ให้การขับขี่ที่สะดวกสบาย เป็นมิตรต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม

UD Trucks Quon GW 6×4 

รถบรรทุกสำหรับงานหนักคันนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ GH13 ขนาด 13 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์ หรือ 530 แรงม้า (PS) / แรงบิดสูงสุด 2,601 นิวตันเมตร เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ ESCOT-VII ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ 12 สปีด และระบบพวงมาลัย UD Active Steering เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ นอกจากดิสก์เบรกแบบเต็มล้อแล้ว ระบบหน่วงไฮดรอลิกความจุสูง ยังให้พลังเบรกที่ยอดเยี่ยมเพื่อการหยุดรถที่มั่นคงและเชื่อถือได้ รถบรรทุกแทรกเตอร์ สำหรับงานหนักคันนี้ ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้คนและสินค้าเป็นอันดับแรก นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลอง UD Trucks ครบรอบ 90 ปี

——————————————-

MAZDA

Mazda Motor Corporation เผยโฉมยนตรกรรมยานยนต์ต้นแบบ Vision Model จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ MAZDA VISION X-COUPE และ MAZDA VISION X-COMPACT ในการแถลงข่าวรอบสื่อมวลชนที่งาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่งยานยนต์ต้นแบบทั้งสองรุ่นได้รับการถ่ายทอดแนวคิด  The Joy of Driving Fuels a Sustainable Tomorrow หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ความสุขในการขับขี่ คือพลังขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืน เพราะในปี 2035 โลกจะเต็มไปด้วย นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ที่ก้าวหน้ามากมาย Mazda มุ่งมั่นที่จะสร้างโลกที่อุดมสมบูรณ์ ผสานสังคมที่ยั่งยืนเข้ากับประสบการณ์อันน่าประทับใจผ่านความสุขในการขับขี่ ควบคู่ไปกับการตอบสนองต่อความหลงใหลในรถยนต์และการขับขี่ของผู้คน รวมถึงความปรารถนาที่จะเพลิดเพลินกับการขับขี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Mazda VISION X-COUPE

รถต้นแบบ MAZDA VISION X-COUPE คือยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ ที่ถ่ายทอดแนวทางการออกแบบตามแนวคิด KODO-Soul of Motion ที่ได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้น โดยมาพร้อมระบบ Plug-in hybrid (PHEV) ที่ผสานกับเครื่องยนต์โรตารี่เทอร์โบแบบ 2 โรเตอร์ เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ โดยรถยนต์รุ่นนี้ให้พละกำลังสูงสุด 510 แรงม้า (PS) และมีระยะทางการขับขี่ที่ 160 กิโลเมตร เมื่อขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ จะทำให้รถรุ่นนี้มีระยะทางการขับขี่ได้สูงสุดถึง 800 กิโลเมตร

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผสานกับพลังงานเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ได้จากสาหร่ายขนาดเล็ก (Microalgae) และ เทคโนโลยีการดักจับ CO2 ของ Mazda ในชั้นบรรยากาศ ที่เรียกว่า Mazda Mobile Carbon Capture จะทำให้ยิ่งขับมากขึ้น จะยิ่งเป็นการช่วยลดปริมาณ CO2 ในชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย

Mazda VISION X-COMPACT

VISION X-COMPACT เป็นยนตรกรรม Hatchback ขนาดเล็กที่เหมาะกับชีวิตคนเมือง ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับความรู้สึกเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งขึ้นระหว่างคนกับรถ ด้วยการผสมผสานระหว่างโมเดล Digital ที่จำลองระบบการรับรู้ของมนุษย์ กับ AI เข้าไว้ด้วยกัน เปรียบเสมือนเป็นเพื่อนที่รู้ใจ สามารถสื่อสารกับผู้ขับขี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังช่วยแนะนำเส้นทางให้กับผู้ขับขี่ สิ่งเหล่านี้ แสดงถึงความมุ่งพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะแห่งโลกอนาคตของMazda  ที่รถยนต์และผู้ขับขี่สอดประสานเชื่อมโยงกันทางด้านอารมณ์ความรู้สึก เสมือนกับความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและจริงใจ

Mazda CX-5

ยิ่งไปกว่านั้น Mazda ยังได้นำยนตรกรรม ALL-NEW MAZDA CX-5 (รุ่นสเปกยุโรป) มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน โดยมาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด โคโดะ ดีไซน์ และปรัชญาการขับขี่ Jinba Ittai (ความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ) เอกลักษณ์ด้านสมรรถนะการขับขี่ของ Mazda ที่ได้รับการยกระดับไปอีกขั้น โดยรถยนต์รุ่นนี้แสดงออกถึงวิวัฒนาการของรถยนต์ที่ขายดีที่สุดกว่า 4.5 ล้านคัน ทั่วโลก ในแต่ละภูมิภาค กว่า 100 ประเทศ รถรุ่นใหม่ล่าสุดที่นำมาจัดแสดงนี้ได้รับการออกแบบด้วย MAZDA E/E ARCHITECTURE+ ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้าแบบใหม่ และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic architecture) เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น

Masahiro Moro ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท Mazda Motor Corporation กล่าวว่า ธีม The Joy of Driving Fuels a Sustainable Tomorrow ไม่ได้ถ่ายทอดเพียงแค่สปริตของ Mazda เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการมุ่งสู่อนาคต เพราะ Mazda เชื่อว่า ความสุขในการขับขี่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคมและโลกของเรา เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอันเป็นพันธกิจที่เรามีร่วมกัน Mazda จะยังคงตอบสนองต่อความปรารถนาของผู้คนที่รักในรถยนต์ และชื่นชอบในการขับขี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Mazda จะยังคงส่งมอบ ความสุขในการขับขี่ ผ่านคุณค่าหลักของเราในการให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความสุขในการใช้ชีวิต ด้วยประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำให้กับชีวิตประจำวันของลูกค้า Mazda ทุกคน


Mercedes-Benz

Mercedes-Benz ไม่พลาดที่จะร่วมมหกรรมนี้ พร้อมขนทัพยนตรกรรมเข้าร่วมงานครบทั้งรถยนต์ต้นแบบ และผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ สำหรับแนวคิดของบูธคือ ‘Feel The Mercedes’ ให้ผู้เยี่ยมชมงานได้สัมผัสถึง Mercedes ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด สำหรับรายละเอียดรถยนต์ที่นำไปจัดแสดงในงาน มีดังต่อไปนี้

Mercedes-Benz CONCEPT AMG GT XX

รถยนต์ต้นแบบ CONCEPT AMG GT XX เปิดตัวเป็นครั้งแรกของเอเชียที่งานนี้ และเป็นการวางรากฐานให้กับรถยนต์ไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นถัดไป โดยสร้างขึ้นบนงานวิศวกรรมแบบ AMG Electric Architecture (AMG.EA) และเพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมหลายรายการ Mercedes-Benz สรรสร้างทุกอย่างขึ้นภายใต้รากเหง้าของ AMG ซึ่งให้คุณค่าเรื่องความทะเยอทะยาน ที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด จินตนาการ และ ความชาญฉลาดแบบเดิม

Mercedes-Benz Electric CLA

The all-new electric CLA เปิดตัวเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่งานนี้ โดยนี่ถือเป็นรถยนต์ที่ชาญฉลาดที่สุดของค่ายดาวสามแฉกในปัจจุบัน เพราะใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Mercedes-Benz Operating System (MB.OS) ซึ่ง Mercedes-Benz พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด พร้อมปูทางสู่อนาคตของการขับขี่ ที่มีเทคโนโลยีอันชาญฉลาดอีกระดับ

Mercedes-Benz electric GLC

เปิดตัวเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่งานนี้ โดยมาพร้อมกับกระจังหน้าเรืองแสงเป็นครั้งแรก แม้จะมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับกระจังหน้าแบบดั้งเดิม ผสานดีไซน์แบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีที่มีแต่ในรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น จนกลายเป็นบทพิสูจน์ว่า Mercedes-Benz ยุคใหม่สามารถนำนวัตกรรม มาบรรจบกับประเพนีเดิมได้

Mercedes-Benz Vision V

Mercedes-Benz Vision V เปิดตัวเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่งานนี้ โดยรถยนต์ต้นแบบเป็นสัญลักษณ์อนาคตของรถตู้จาก Mercedes-Benz ที่ผสานความหรูหราเข้ากับประสบการณ์ของการมีพื้นที่กว้างขวาง ในรูปแบบของห้องเลาจน์ส่วนตัว โดยมาพร้อมกับงานวิศวกรรมแบบ Van Electric Architecture (VAN.EA) ซึ่งจะเริ่มการผลิตจริงในปี 2026 และเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของรถตู้จาก Mercedes-Benz

Mercedes-Maybach SL Monogram Series

Mercedes-Maybach SL Monogram Series เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนแบบ Roadster ที่หรูหราอย่างแท้จริง ผสมผสานความงามวิจิตรศิลป์ เข้ากับความเงียบและพละกำลังมหาศาล มอบประสบการณ์การขับขี่ขณะที่เปิดหลังคา ด้วยที่สุดของปรัชญาจาก Maybach

Mercedes-AMG GT 63 PRO 4MATIC+ Coupé

Mercedes-AMG GT 63 PRO 4MATIC+ Coupé มาพร้อมกับอัตราเร่งที่เหลือล้น พร้อมดีไซน์ที่โดดเด่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรีดอากาศและการระบายความร้อน นำไปสู่อีกระดับของความพึงพอใจ ในการขับขี่บนสนามแข่ง

Mercedes-AMG G 63 (Facelift)

Mercedes-AMG G 63 (ISG) เป็นผลงานการสรรสร้างโดย MANUFAKTUR เพื่อให้เป็น G-Class ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก โดยทุกรายละเอียดจากภายนอกจรดภายใน ล้วนสะท้อนถึงความหรูหราที่หาใครเทียบไม่ได้ ผ่านสีสัน, วัสดุ และ ความละเอียดลออในการสร้างสรรค์

——————————————-

MITSUBISHI MOTORS

Mitsubishi Motors Corporation (Mitsubishi Motors) เปิดตัว Mitsubishi Elevance Concept รถ SUV ขุมพลังไฟฟ้าเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกในโลกที่งาน Japan Mobility Show 2025 พร้อมนำเสนอไลน์อัพรุ่นอื่นๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับรถแต่ละรุ่นของค่ายเพื่อรองรับการผจญภัยไปกับยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ทั้ง Delica D:5 (Prototype) มินิแวนอเนกประสงค์ที่พัฒนาให้สมรรถนะดีขึ้นทั้งด้านการบังคับควบคุมและการทรงตัวบนถนน และ Delica Mini รถ Kei-car ประตูสไลด์ยกสูง ที่เปิดจำหน่ายในญี่ปุ่นวันนี้ หลังจากเปิดตัวไปก่อนหน้าในเดือนสิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา

Mitsubishi Elevance Concept

ภายนอกของ Mitsubishi Elevance Concept ถ่ายทอดแนวคิด Luxe Adventurer ด้วยสัดส่วนตัวถังที่ต่อเนื่องและเส้นสายกล้ามเนื้อด้านล่างที่ชัดเจนกว่าที่เคย สะท้อนภาพลักษณ์รถ SUV อนาคตที่ผสมผสานความสง่างามและความแข็งแกร่ง เส้นสายหลังคาแบบ Capsule-style และโครงสร้างตัวถังแบบ Rib-bone frame ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความปลอดภัยสูงสุด เส้นสายตัวรถจากไฟหน้าไปจนถึงไฟท้ายสร้างความต่อเนื่องและดูปราดเปรียวยิ่งขึ้น ขณะที่ดีไซน์กระจังหน้าที่ประยุกต์จาก Dynamic Shield ของ Mitsubishi Motors ผสมผสานกับโครงสร้าง Honeycomb ให้ความรู้สึกทั้งหรูหราและทรงพลัง

ภายในมาพร้อมฟีเจอร์ AI Co-Driver ที่ช่วยแนะนำจุดหมายปลายทางเฉพาะบุคคลตามไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ สร้างประสบการณ์การเดินทางที่ปรับแต่งได้ด้วยเทคโนโลยี AI และภายในห้องโดยสารแบบ Shell-type Seamless Design ให้ความรู้สึกหรูหราและปลอดภัยไปพร้อมกัน พร้อมหน้าจอขนาดใหญ่แบบยาวเต็มคอนโซลสำหรับมุมมองรอบด้าน และเบาะหนังคุณภาพสูงแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง

Mitsubishi Elevance Concept มาพร้อมระบบ PHEV ที่ใช้เครื่องยนต์ประหยัดพลังงานและรองรับเชื้อเพลิงคาร์บอนเป็นกลาง ทำงานเงียบและสะอาดในชีวิตประจำวัน พร้อมแบตเตอรี่ความจุสูงสำหรับการเดินทางไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์จไฟ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quad-Motor 4WD และ ด้วยเทคโนโลยี Super-All Wheel Control (S-AWC) ของ Mitsubishi Motors ที่ถูกปรับปรุงใหม่ ช่วยกระจายแรงบิดและควบคุมแรงยึดเกาะที่แต่ละล้ออย่างแม่นยำ เพิ่มความมั่นใจทั้งบนถนนในเมืองและเส้นทางออฟโรด ระบบช่วงล่างแบบ Intelligent Suspension ที่สามารถปรับความหนืดของโช้คอัพแต่ละล้ออัตโนมัติ ลดอาการโยนตัวของรถและรักษาสมดุล เพิ่มความนุ่มนวลและปลอดภัยในการขับขี่ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการผจญภัยแบบ Glamping ร่วมกับเทรลเลอร์ได้

และที่คือต้นแบบของ All NEW Mitsubishi Pajero ใหม่ ที่จะเปืดตัวในไทย World Premier ปี 2026 นี้ !!!

Mitsubishi Delica D:5 (Prototype)

Delica D:5 ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Enhanced All-Around MPV ผสานความสะดวกสบายแบบมินิแวนกับความสามารถในการขับขี่แบบ SUV โดยติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC เจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมปรับปรุงโหมดขับขี่ให้เหมาะกับทุกสภาพถนน เพิ่มความมั่นคงและการทรงตัวของรถ ด้านดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยกระจังหน้าและกันชนใหม่ เพิ่มความแข็งแกร่งและหรูหรา ขณะที่ภายในตกแต่งด้วยวัสดุโลหะที่ให้ความรู้สึกเหมือนอุปกรณ์ Outdoor พร้อมหน้าจอ Digital ที่ทันสมัย ช่วยต่อลมหายใจให้กับ Minivan ทรงกล่อง สายลุยที่ไร้คู่แข่งโดยตรงมาเป็นเวลานานกว่า 18 ปี

Mitsubishi Delica Mini

Delica Mini เป็นซูเปอร์ไฮท์วากอน Kei-car ที่สืบทอดชื่อ Delica มินิแวน ผสานความกว้างของห้องโดยสารกับสมรรถนะขับขี่อันทรงพลัง ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นและเป็นมิตรต่อสายตา ภายในมีความล้ำสมัย พร้อมปรับปรุงการควบคุมและความสะดวกสบายด้วยโหมดขับขี่ใหม่ 5 โหมด ให้ความคล่องตัวและความเพลิดเพลินทั้งในเมืองและกิจกรรมกลางแจ้ง

——————————————-

NISSAN

ขณะที่ Toyota กับ Honda ทุ่มสุดตัว ขนรถยนต์ต้นแบบ มาอวดโฉมกันอย่างคับคั่ง แต่บูธ Nissan กลับอยู่แต่ในโลกของความเป็นจริง มีแต่เพียงการนำกองทัพรถยนต์รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวออกสู่ตลาดโลกแล้ว มาอวดโฉม และหยั่งเชิง ปฏิ กิริยา ของผู้คน ไปจนถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 2-3 รุ่น โดยไร้ซึ่งเงาของรถยนต์ต้นแบบ ไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่คันเดียว! ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงสภาพภายในบริษัทที่กำลังอยู่ในระหว่าง การแก้ปัญหา เพื่อฟื้นฟูยอดขาย และความเชื่อมั่นจากคนทั่วโลกให้กลับคืนมา

ภายใต้แผน Re:Nissan บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างแรงบันดาลใจผ่านนวัตกรรม เทคโนโลยีอัจฉริยะและประสบการณ์การขับขี่ที่มีเอกลักษณ์ สำหรับตลาดญี่ปุ่น แนวทางนี้หมายถึงการฟื้นฟูรถรุ่นหลัก แล้วจึงค่อยนำไปสู่การขยายตลาดกลุ่มใหม่ และการสร้างรถ Core model ของแบรนด์ ที่เชื่อมโยงความรู้สึกของลูกค้าเข้ากับจิตวิญญาณของ Nissan อย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษาความยิ่งใหญ่แบบเดิมไว้ ขณะเดียวกันก็ก้าวสู่ยุคแห่งนวัตกรรมที่ยั่งยืนในอนาคต

ก่อนหน้างานจะเริ่มไม่กี่วัน Ivan Espinoza CEO ลูกหม้อ Nissan คนล่าสุด เพิ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนญี่ปุ่นไปว่า อยากนำตำนานรถสปอร์ตขนาดกลางขับเคลื่อนล้อหลังอย่าง Nissan SILVIA กลับคืนมา แต่เท่าที่ดูแล้ว มันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เขาตั้งใจ

Nissan Elgrand (World Premier)

นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1997 Elgrand คือผู้บุกเบิกตลาดมินิแวนหรูของญี่ปุ่น ด้วยชื่อเสียงด้านความกว้างขวาง ความหรูหรา และความนุ่มนวลในการขับขี่ เจเนอเรชันที่ 4 รุ่นใหม่นี้พัฒนาไปอีกขั้นด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า e-POWER เจเนอเรชันที่ 3 และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า e-4ORCE รุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อมอบการทรงตัวและความเงียบที่เหนือระดับ มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยขับ ProPILOT และ ProPILOT 2.0 ที่รองรับการขับขี่แบบ Hands-free บนทางหลวง และช่วยลดความเหนื่อยล้าในการเดินทางระยะไกล คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนปี 2026

คุณสมบัติเด่นของ Elgrand ใหม่ มีดังต่อไปนี้

ดีไซน์ภายนอกออกแบบตามคอนเซปต์ The Private MAGLEV (Linear Motor Car)” สื่อถึงความรวดเร็ว นุ่มนวล และเงียบในสไตล์ล้ำสมัย โดดเด่นด้วยกระจังหน้า Kumiko ลวดลายละเอียดและลายเส้นด้านข้างสื่อถึง “ma” (space) และ “sei” (precision) ของงานฝีมือญี่ปุ่น ล้อแม็กลายพิเศษเสริมความประณีต

ห้องโดยสารระดับเลานจ์ส่วนตัว ปรับตำแหน่งติดตั้งเบาะนั่งให้สูงขึ้น มาพร้อมมุมมองโปร่งโล่งสบายยิ่งขึ้น เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังและลายไม้ TailorFit™ พร้อมลวดลาย Kumiko บนแผงประตู มาพร้อมหน้าจอคู่ขนาด 14.3 นิ้ว และระบบเครื่องเสียงจาก BOSE® จำนวน 22 ลำโพง สร้างบรรยากาศหรูหราเสมือนโรงภาพยนตร์ เสริมบรรยากาศด้วยไฟ Ambient light ปรับได้สูงสุด 64 สี ครอบคลุมตั้งแต่แผงหน้าปัดถึงประตู

พลังขับเคลื่อน e-POWER เจเนอเรชัน 3 ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส ZR15DDTe ใหม่ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของค่าย ทำให้มีประสิทธิภาพทางความร้อนสูงสุดถึง 42% พร้อมชุด 5-in-1 e-POWER ที่รวมมอเตอร์ เจนเนอเรเตอร์ อินเวอร์เตอร์ รีดิวเซอร์ และชุดเกียร์เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ให้สมรรถนะเงียบและประหยัดน้ำมันสู

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ e-4ORCE พัฒนาใหม่ สามารถควบคุมแรงบิดล้อทั้ง 4 ข้างได้อย่างสมดุล ลดอาการส่ายตัวขณะออกตัว/เร่ง/เบรก และปรับแรงบิดล้อหลังในโค้งเพื่อการขับขี่มั่นคง

Intelligent Dynamic Suspension ที่สามารถปรับค่าการหน่วงแต่ละล้ออัตโนมัติตามสถานการณ์การขับ พร้อม 6 โหมดขับขี่ปรับ e-POWER, e-4ORCE และช่วงล่าง เพื่อความสะดวกสบายและประสิทธิภาพสูงสุด

ข่าวดี ก็คือ ลูกค้าชาวไทย จะมีโอกาสได้เป็นเจ้าของ ELGRAND ใหม่ อย่างแน่นอน ในรูปแบบของรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น ขุมพลัง E-Power คาดว่าจะมีกำหนดเปิดตัวในเมืองไทย ในช่วงก่อนสิ้นปี 2026 ! แต่อย่าคาดหวังว่า มันจะขายดี เพราะตลาดรถตู้ระดับหรูในเมืองไทยตอนนี้ การแข่งขันดุเดือดมากจากทั้งเจ้าตลาดอย่าง Toyota Alphard / Vellfire หรือบรรดารถตู้ขุมพลังไฟฟ้า จากเมืองจีน

Nissan Patrol

นอกจาก Elgrand แล้ว Nissan ยังเตรียมนำ Patrol SUV รุ่นเรือธงกลับมาทำตลาดญี่ปุ่นในปี 2027 หลังห่างหายไปกว่า 18 ปีนับจากรุ่น Safari รุ่นสุดท้าย การกลับมาครั้งนี้ตอกย้ำจุดยืนของ Nissan ในฐานะผู้นำแห่งรถ SUV สมรรถนะสูงที่ผสานความแกร่ง ความหรูหรา และเทคโนโลยีขั้นสูงไว้ด้วยกัน Patrol พร้อมตอบสนองทุกสภาพถนนและความต้องการของผู้ขับขี่ที่หลงใหลการผจญภัย ทั้งบนทางออฟโรดและการเดินทางในเมือง

Nissan Ariya Minorchange (World Premier)

ในขณะเดียวกัน Nissan ได้เปิดตัว Ariya EV รุ่นปรับโฉมใหม่ เตรียมเปิดตัวในญี่ปุ่นภายในปี 2025 นี้ มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่ปรับให้เรียบหรูยิ่งขึ้น ระบบ Infotainment ขับเคลื่อนด้วย Google ฟังก์ชัน Vehicle-to-Load (V2L) และช่วงล่างที่พัฒนาใหม่เพื่อความสบายสูงสุด ทั้งหมดนี้ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อ สะดวกสบาย และสนุกสนานตามวิสัยทัศน์ Intelligent Mobility ของ Nissan พร้อมสนับสนุนความยั่งยืนด้วยการจัดการพลังงานและลดการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าหลัก เพื่อความยั่งยืนที่ดีกว่า

Nissan Leaf (Japan Premier)

Leaf รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการเวอร์ชั่นตลาดญี่ปุ่น หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในยุโรปและอเมริกาเหนือเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยรุ่นใหม่นี้ยังคงยึดดีไซน์และเทคโนโลยีระดับโลกเอาไว้ แต่เพิ่มรายละเอียดเฉพาะตลาดญี่ปุ่น รวมถึงการเพิ่มรุ่นตกแต่งสปอร์ตสไตล์พรีเมี่ยมอย่าง Autech ตามแบบฉบับ Nissan ยุคใหม่

ในช่วงเปิดตัว Leaf รุ่นญี่ปุ่นจะจำหน่ายเฉพาะรุ่น B7 แบ่งเป็น 2 เกรดคือ X และ G ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 355 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 78 kWh ที่ให้ระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 702 กม. ตามมาตรฐานญี่ปุ่น WLTC (เทียบกับ WLTP ของยุโรปได้ 604 กม. และ EPA ของสหรัฐฯได้ 488 กม.) รุ่น Autech ใช้ระบบขับเคลื่อนเดียวกัน ไม่มีการเพิ่มแรงม้าหรือปรับแต่งช่วงล่างเพิ่มเติม

Nissan Roox Full Model Change

Roox รุ่นใหม่นี้ยังคงเป็นผลงานที่พัฒนาโดย NMKV บริษัทลูกที่ Nissan และ Mitsubishi Motors ร่วมทุนกันภายใต้ความร่วมมือของพันธมิตร จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบภายในที่โปร่งโล่ง และหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วแบบอินทิเกรต ที่ช่วยสร้างบรรยากาศเหมือนห้องนั่งเล่นส่วนตัว ให้ผู้ขับและผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลายแม้ในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ

NISSAN X-TRAIL Minorchange & X-TRAIL ROCK CREEK 

X-Trail Rock Creek ออกแบบให้ตัวรถมาพร้อมการแต่งที่แตกต่างจากรุ่นปกติ โดยเริ่มที่กระจังหน้าชิ้นใหม่ที่ตกแต่งด้วยสีแดง Lava red พร้อมทำสีกระจังหน้ารมดำ โดดเด่นด้วยโลโก้ Nissan ตกแต่งด้วยสีแดงเช่นเดียวกัน พร้อมด้วยการติดตั้งป้ายบ่งบอกชื่อรุ่นไว้ที่ประตูคู่หน้า ROCK CREEK สีดำเงา พร้อมโลโก้สี Lava red เช่นเดียวกับคำว่า AWD ที่บริเวณด้านหลัง นอกจากนี้ยังเสริมประโยชน์ใช้สอยด้วยราวหลังคาขนาดใหญ่ที่มาพร้อมคานขวางเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้ ตัวอย่างเช่นตัวจับยึดเรือแคนูในแนวตั้ง

NISSAN SKYLINE 400 R Limited (World Premier)

นี่คือ Skyline ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 และยังคงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ Nissan ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลกมายาวนานกว่า 60 ปี สำหรับการอัปเกรดล่าสุดนี้ Nissan ได้เพิ่มสีตัวถังใหม่ สีน้ำเงิน Wangan Blue ซึ่งเป็นเฉดสีน้ำเงินพิเศษที่สงวนไว้เฉพาะสำหรับรถสปอร์ตระดับสูงของแบรนด์เท่านั้น สีดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจจากบรรยากาศของทางด่วน Wangan Highway ที่เป็นถนนในตำนานของวัฒนธรรมยานยนต์ญี่ปุ่น และชื่อคุ้นหูสำหรับแฟนๆมังงะ

รุ่นพิเศษ 400R Limited นี้ ได้รับการสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Skyline 400R ตัวแรง โดยมุ่งเน้นเพิ่มเอกลักษณ์ด้านดีไซน์และการควบคุมในระดับที่เหนือกว่า ภายนอกโดดเด่นด้วยสปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์เฉพาะรุ่น และฝาครอบกระจกมองข้างวัสดุคาร์บอน ที่ช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มภาพลักษณ์ความสปอร์ตอย่างชัดเจน

บริเวณด้านท้ายมี ตราสัญลักษณ์ 400R Limited ที่สะท้อนความพิเศษของรุ่น รวมถึง ป้ายหมายเลขลำดับการผลิต (Serial Number Plate) สำหรับระบุความเป็นเจ้าของเฉพาะคัน ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วย แผงคอนโซลกลางลายคาร์บอน (Carbon Finisher) ที่เพิ่มบรรยากาศแบบรถแข่งให้กับภายใน พร้อมตราสัญลักษณ์ 400R Limited บนแผงคอนโซลหน้า

——————————————-

SUBARU

แนวคิดของบูธ Subaru ในปีนี้ คือ “Driving the Subaru Difference” ด้วยปรัชญาการผลิตที่คำนึงถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง Subaru จึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและรถยนต์ของพวกเขา อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบ “ความเพลิดเพลินและความอุ่นใจ” ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตของลูกค้าเสมอ เพื่อสานต่อความเป็นแบรนด์ “ที่แตกต่าง” ให้กับลูกค้า Subaru จะสานต่อรากฐาน “ความเพลิดเพลินและความอุ่นใจ” นี้ เพื่อยกระดับประสบการณ์สองรูปแบบ ได้แก่ Performance Scene ที่สะท้อนถึงความสนุกสนานในการขับขี่ และ Adventure Scene ที่ถ่ายทอดความตื่นเต้นเร้าใจของการผจญภัย เรามุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์และความรู้สึกผูกพันกับลูกค้าผ่านสองรูปแบบนี้

บูธในงาน Japan Mobility Show ปีนี้จะแบ่งพื้นที่ จัดแสดง 2 กลุ่มรถยนต์ ที่ Subaru ทำตลาดเป็นหลักอยู่ มีทั้งพื้นที่สำหรับการแสดง Performance Scene สำหรับการ เปิดตัว ระดับ World Premier ของรถยนต์ต้นแบบ STI สองรุ่นและพื้นที่สำหรับการแสดง Adventure Scene ด้วยรถยนต์รุ่น Wilderness ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อเน้นย้ำถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ Subaru

ตั้งข้อสังเกตว่า งานในครั้งนี้ พื้นที่ของบูธ Subaru ที่เคยตกแต่งอย่างอลังการงานสร้าง ด้วยสารพัดระบบ Hydraulic และจอ Multi-Vision LED ขนาดยักษ์ ในงานครั้งก่อนๆ กลับกลายสภาพเป็นเพียงพื้นที่จัดแสดงธรรมดาๆ เรียบง่าย ไม่หวือหวา และเน้นให้มีบรรยากาศรายล้อมสอดคล้องไปกับรูปแบบของตัวรถยนต์ที่นำมาจัดแสดง

SUBARU Performance E-STi Concept (World Premier)

รถยนต์ต้นแบบ Sport Coupe พลังไฟฟ้า (BEV) ที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการพัฒนา รถสปอร์ตจ BRZ ในยุคต่อไป เส้นสายตัวรถ ถูกออกแบบโดยนำงานออกแบบเส้นสายอันโฉบเฉี่ยว ที่สะท้อนถึง Brand Heritage ที่มีมายาวนาน ผสานกับหลักอากาศพลศาสตร์ และการใช้งานจริง โดยยังคงไว้ซึ่ง ห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบาย เอื้ออำนวยต่อผู้ขับขี่ อีกทั้งยัง ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย เพื่อให้รถยนต์ต้นแบบคันนี้ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นและเร้าใจ

SUBARU Performance B-STi Concept (World Premier)

Next Generation ของ รถยนต์ Sport Sedan ต้นแบบ เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ WRX Sedan โดดเด่นด้วยการผสมผสานสมรรถนะขั้นสูง พละกำลังจาก เครื่องยนต์สูบนอน BOXER 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical AWD และประโยชน์ใช้สอยอย่างลงตัว อันเป็นคุณสมบัติที่อยู่ในรถยนต์ Subaru รุ่นใหม่ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

SUBARU TRAILSEEKER (Japan Premier)

Trailseeker ใหม่ เป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ระดับโลกของ Subaru ซึ่งเป็นเวอร์ชันฝาแฝด ของ Toyota bZ4X ตัวถัง Station Wagon ยกสูง ผสานรวมการควบคุมการขับขี่ที่แม่นยำอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ BEV เข้ากับความสะดวกสบายในการใช้งานของรถยนต์ครอสโอเวอร์อเนกประสงค์ได้อย่างยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวันและการเดินทางที่ท้าทาย

SUBARU FORESTER WILDERNESS Prototype (Japan Premier)

งานนี้จะเป็นครั้งแรก สำหรับการเผยโฉม Forester รุ่นตกแต่งพิเศษ ที่พัฒนาต่อยอดจาก SUV Forester รุ่นขายดี อันดับ 2 ของ Subaru โดดเด่นด้วยกันชนหน้าและหลังที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซุ้มล้อที่ขยายใหญ่ขึ้น และไฟตัดหมอก LED สุดพิเศษ รถต้นแบบ Wilderness ต่อยอดคุณค่าของ Forester ในฐานะรถ SUV แบบดั้งเดิม ด้วยการเพิ่มองค์ประกอบใหม่ๆ เข้าไป ซึ่งรวมถึงดีไซน์ที่แข็งแกร่ง ทนทาน และสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรด จากระบบ X-Mode

SUBARU OUTBACK WILDERNESS Prototype (Japan Premier)

ขณะเดียวกัน งานนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าชาวญี่ปุ่น จะได้พบกับตัวจริงของ Outback Generation ใหม่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นแยกต่างหาก ออกมาจาก ตระกูล Legacy ที่เพิ่งจะยุติการผลิตไปเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 ทีผ่านมา ในรูปแบบของเวอร์ชันตกแต่งพิเศษ Wilderness ซึ่งยังคงยึดแนวคิดการออกแบบของ Outback ที่ว่า “มอบไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายให้กับลูกค้าอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ” พร้อมทั้งปรับปรุงสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดและฟังก์ชันการใช้งานให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับกิจกรรมกลางแจ้งอันกว้างใหญ่ ยกระดับคุณลักษณะอันแข็งแกร่งและทรหดของรุ่นนี้ไปอีกขั้น

SUBARU GL Family Huckster 1983

นอกจากนี้ เรายังจะได้พบกับ รถแข่งในตำนาน ที่ฟื้นคืนชีพโดยฝ่าย Motor Sport ของ Subaru of America Inc. พัฒนาต่อยอดจาก Subaru GL Wagon ปี 1983 (หรือ Subaru LEONE Station Wagon ในญี่ปุ่น) ซึ่งถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่ แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นเร้าใจ อันเหนือกาลเวลา

——————————————-

SUZUKI

Suzuki Motor ประเทศญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตรถยนต์ที่เข้าร่วมงาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 2025 โดยในพื้นที่จัดแสดงของ Suzuki จะมาในธีมของ ‘By Your Side’ หรือ ‘เคียงข้างคุณ’ ซึ่งเป็นสโลแกนล่าสุดที่ประกาศไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำหรับรายละเอียดโดยสังเขปของยานพาหนะ 4 ล้อ และสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจจากงานนี้ มีดังต่อไปนี้

Suzuki Vision e-Sky

Suzuki Vision e-Sky มาพร้อมกับมิติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง : 3,395 x 1,475 x 1,625 มิลลิเมตร โดยนี่คือรถยนต์ต้นแบบที่จะได้รับการพัฒนาต่อจนออกจำหน่ายจริง ในปีงบประมาณ 2026 ซึ่งจะมาพร้อมกับขุมพลังไฟฟ้า EV ขับขี่ได้ไกลสุดมากกว่า 270 กิโลเมตร ภายนอกมีขนาดกะทัดรัดพร้อมดีไซน์เรียบง่าย ทั้งไฟหน้าและไฟท้ายมีเอกลักษณ์แบ่งแถบไฟ LED ออกเป็น 3 ขีด จัดวางในรูปตัวอักษร C ทั้งยังตกแต่งเสาหลังคา C-Pillar เป็นพิเศษให้ดูแปลกตา

ห้องโดยสารของ Suzuki Vision e-Sky ออกแบบมาให้ดูเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน โดดเด่นด้วยแดชบอร์ดแบบ Floating ช่วยให้ดูปลอดโปร่ง ทั้งยังมีประโยชน์ใช้สอย เพราะออกแบบให้ฝั่งผู้โดยสารหน้าเป็นถาดในตัว การตกแต่งดูสดใสด้วยโทนสีสว่าง และยังใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พวงมาลัยเป็นแบบสามก้านท้ายตัด ระบบลแสดงผลมีมาตรวัดดิจิตอลและหน้าจอสัมผัส ที่เชื่อมต่อเป็นแนวเดียวกัน

Suzuki e-EVERY CONCEPT

Suzuki e-EVERY CONCEPT มาพร้อมกับมิติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง : 3,395 x 1,475 x 1,890 มิลลิเมตร รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาร่วมกับ Toyota และ Daihatsu ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งยังขับขี่แบบไร้เสียงรบกวนและตอบสนองดี เบื้องต้น มีข้อมูลแค่ว่าขับขี่ได้ไกลสุดเป็นระยะทาง 200 กิโลเมตร รองรับการจ่ายกระแสไฟออกนอกรถ V2L และมีดีไซน์เฉพาะตัวโดยล้อไปกับ Suzuki EVERY รุ่นปัจจุบัน

Suzuki Fronx FFV Concept

Suzuki Fronx FFV Concept มาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่จะนำลูกค้าให้เข้าสู่อนาคตที่มีความสุขไปอีกก้าว โดยขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงเอทานอล ซึ่งเป็นหนทางจากหลายวิธีที่ Suzuki ใช้เป็นหนทางของการก้าวเข้าสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน โดย FFV ย่อมาจาก Flexible Fuel Vehicle หรือ ยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงได้หลายรูปแบบ โดย Suzuki มีเป้าหมายที่จะขยายการเป็นกลางทางคาร์บอน ในหลายตลาด

MOQBA 2

แม้จะมีหน้าตาเหมือนหุ่นยนต์สุนัขแต่ Suzuki นิยามให้ MOQBA 2 เป็นเป็นยานพาหนะสี่ล้อ ซึ่งรองรับการดัดแปลงตามความต้องการของลูกค้า โดยเป็นได้ทั้งจักรยาน หรือยานพาหนะเพื่อการขนส่ง โดยต่อยอดมาจาก MOQBA ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน Japan Mobility Show 2023

SUZU-RIDE2

SUZU-RIDE2 คือยานพาหนะที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานสำหรับทุกวัน ตอบโจทย์การใช้งานทั้งในชีวิตประจำวันและทางธุรกิจ ด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่และใช้งานง่าย รวมถึงขับขี่คล่องตัว พร้อมเติมเต็มความต้องการผู้ใช้งาน ให้มีความสนุกจากการเดินทาง

Senior Car 40th Anniversary Exhibition

Suzuki นำรถสามล้อและสี่ล้อไฟฟ้ามาจัดแสดงในงานด้วย โดยมีประวัติความเป็นมาว่าอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มานาน 40 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 1985 เป็นส่วนหนึ่งของการขนส่งเพื่อผู้สูงอายุ พร้อมมอบอิสระของการเคลื่อนไหวให้อยู่คู่ผู้ใช้งาน ในงานมีการจัดแสดงทั้ง ET11 (ภาพบน) ซึ่งเป็นยานพาหนะสำหรับผู้สูงอายุรุ่นแรก และรุ่นล่าสุดในชื่อ ET4DB (ภาพล่าง)

MITRA Concept

MITRA Concept ต้นแบบหุ่นยนต์ติดล้อขนาดเล็ก พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นฐานสำหรับนำไปประยุกต์กับหุ่นยนต์รูปแบบอื่น มาพร้อมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และระบบเคลื่อนที่อัตโนมัติ จึงสามารถนำไปใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรมไม่ใช่แค่ภาคขนส่ง แต่ยังรวมไปถึงการเกษตรและการตรวจตรา มีติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง : 960 x 610 x 420 มิลลิเมตร

Glydways

Glydways ต้นแบบยานพาหนะเพื่อการขนส่งสาธารณะ มีขนาดเทียบเท่ารถยนต์ขนาดเล็ก ขับขี่อัตโนมัติในช่องทางจราจรพิเศษ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งมวลชนโดย Suzuki มีส่วนร่วมในการพัฒนากับ Glydways ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ รวมไปถึงลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนน มีมิติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง : 4,100 x 1,460 x 2,200 มิลลิเมตร

——————————————-

TOYOTA / LEXUS / CENTURY 

ในยุคที่คำว่า Mobility ไม่ได้หมายถึงแค่รถยนต์อีกต่อไป แต่ยังรวมถึงทุกสิ่งที่ช่วยให้ผู้คนเคลื่อนไหวอย่างอิสระ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่นอย่าง Toyota Motor Corporation ยังคงเดินหน้าในเส้นทางนั้นอย่างมุ่งมั่น ภายใต้แนวคิด Mobility for All หรือ ยานพาหนะสำหรับทุกคน ทุกช่วงวัย และทุกวิถีชีวิต

ที่งาน Japan Mobility Show 2025 ณ Tokyo Big Sight ปีนี้ Toyota ขนทัพแนวคิดอนาคตเต็มพื้นที่บูธ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว Corolla Concept ที่ปูทางสู่ยุคใหม่ของตระกูลรถยอดนิยม 16 รุ่น (ยังไม่รวมแบรนด์อื่นๆ ภายใต้ชายคา Toyota อย่าง Daihatsu, Lexus รวมถึงแบรนด์ Ultra Luxury ใหม่ล่าสุด อย่าง Century) มีตั้งแต่รถตู้ไฟฟ้า หุ่นยนต์เดินสี่ขา ไปจนถึง ยานยนต์ส่วนบุคคล ที่ออกแบบให้ทุกคนเข้าถึงการเดินทางได้เท่าเทียมกัน

Toyota Corolla Concept

ชื่อ Corolla อยู่คู่ Toyota มานานกว่า 50 ปี และในครั้งนี้มันกลับมาอีกครั้งในฐานะต้นแบบของยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด “Uncompromising Design, Made Just for You” รถยนต์ต้นแบบคันนี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพียงร่างจำแลงของ Corolla รุ่นถัดไป แต่เพื่อเป็น กรอบแนวคิดใหม่ของทั้งตระกูล Corolla ที่จะเปิดทางให้ทีมวิศวกรสามารถพัฒนาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Sedan, Hatchback หรือแม้แต่ Crossover ขุมพลังไฟฟ้า

ตัวรถเน้นเส้นสายเรียบแต่ทรงพลัง เน้นสัดส่วนที่สมดุลระหว่างความสปอร์ตและความอเนกประสงค์ ด้านเทคโนโลยีโครงสร้างใหม่รองรับทั้ง เครื่องยนต์สันดาปล้วน, ขุมพลัง Hybrid และขุมพลังไฟฟ้า BEV อย่างยืดหยุ่น นั่นทำให้ Corolla Concept เปรียบเหมือน สมุดเปล่าเล่มใหม่ ของ Toyota ที่พร้อมให้วาดภาพอนาคตของรถยนต์โลกอีกครั้ง โดยคาดว่าเวอร์ชั่นผลิตจำหน่ายจริงของ Corolla รุ่นใหม่ จะออกสู่สายตาชาวโลกในอีก 1-2 ปีข้างหน้า และอาจประเดิมด้วยตัวถัง Sedan ก่อนตัวถังจะตามมา

Land Cruiser FJ & Land Hopper

ในอีกฟากหนึ่งของบูธ เสียงแฟลชจากสื่อทั่วโลกแทบไม่หยุดเมื่อผ้าใบคลุมตัวรถถูกเปิดออก เผยให้เห็นโฉมของ Land Cruiser FJ รถ SUV ทรงกล่องสี่เหลี่ยม บนพื้นฐานงานวิศวกรรมกระบะ Hilux ตระกูล IMV ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด Freedom & Joy สื่อถึงความ อิสระและความสนุก ของการใช้รถ Land Cruiser เพื่อขยายขอบเขตของตระกูลออกไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยยังคง DNA เดิมของ Land Cruiser ไว้ครบทั้ง ความทน ความอึด และขับลุยได้จริง แต่มาในขนาดและบุคลิกที่จับต้องง่ายขึ้น

ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ เครื่องยนต์รหัส 2TR-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,694 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.0 x 95.0 มิลลิเมตร (ห้องเผาไหม้แบบ Square) กำลังอัด 10.2 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด EFI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 246 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift ขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time 4WD มีโหมดการขับเคลื่อนแบบ Part-time 4WD เลือกปรับได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L พร้อมฟังก์ชั่นการขับขี่ เช่น ระบบล็อกเฟืองท้าย ระบบออกตัวด้วยเกียร์ 2 (2nd Start) ตลอดจนระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Decent Control

จุดขายอีกอย่างของ Land Cruiser FJ คือความสนุกในการ แต่งเล่น กันชนและชิ้นส่วนรอบคันถอดเปลี่ยนได้ง่าย โตโยต้าจะออกชุดแต่งหลายสไตล์ให้เลือกทั้งแนว Overland, Urban หรือ Adventure พร้อมอุปกรณ์เสริมอย่าง แผง MOLLE สำหรับติดตั้งอุปกรณ์กลางแจ้ง อีกทั้งยังมี Land Hopper ยานพาหนะไฟฟ้าส่วนบุคคล ที่ Toyota ตั้งใจให้ใช้ร่วมกับ FJ เพื่อพาคุณออกไป ขี่เล่นนอกทางหลัก ในทริปเดียวกันด้วย

Toyota Kago-Bo / Kayoibako / Kayoibako-L / Kayoibako-XL

หาก Corolla คืออนาคตของรถยนต์ทั่วไป และ FJ คือการตีความใหม่ของตำนาน Off-road รถต้นแบบทรงกล่องชื่อว่า Kayoibako ก็คือ ก้าวแรกของ Toyota ในการสร้างสังคมแห่งการเคลื่อนไหว ชื่อของมันมาจากคำว่า กล่องขนส่งหมุนเวียน ที่ใช้ในโรงงานญี่ปุ่น ซึ่ง Toyota นำแนวคิดนี้มาตีความใหม่ให้กลายเป็น กล่องที่เคลื่อนที่ได้ หรือ Moving Box พื้นที่พื้นฐานของสังคมยุคใหม่ที่ทุกคนสามารถใช้งานร่วมกันได้

ตัวรถเป็นเชิงพาณิชย์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (Modular Electric Van) ใช้โครงสร้างพื้นราบปรับเปลี่ยนได้อิสระ สามารถติดตั้งตู้สินค้า อุปกรณ์ทำงาน หรือชุดที่นั่งโดยสารได้ตามต้องการ
เหมาะทั้งกับธุรกิจส่งของรายย่อย, รถบริการในชุมชน หรือแม้แต่เป็นคาเฟ่เคลื่อนที่ก็ยังได้

ดีไซน์เรียบแต่แฝงพลัง ด้วยเส้นสายสี่เหลี่ยมคมชัด แถบไฟ LED เต็มแนวกว้างด้านหน้าทำหน้าที่ทั้งไฟส่องสว่างและจอแสดงข้อความโต้ตอบกับผู้คนบนท้องถนน สื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คน–เมือง–ยานยนต์ อย่างลงตัว

Toyota ยังขยายแนวคิดนี้ต่อยอดเป็น Kayoibako (Hiace Concept) 2 รุ่นใหม่ ได้แก่

  • Kayoibako-L  รุ่นขยายขนาดเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ เปลี่ยนพื้นที่ว่างให้กลายเป็นสำนักงานเคลื่อนที่หรือศูนย์บริการนอกสถานที่
  • Kayoibako-XL รุ่นใหญ่สุดที่ดัดแปลงเป็น คลินิกสุขภาพเคลื่อนที่ พร้อมระบบสื่อสารทางไกล (Telemedicine) เชื่อมต่อกับโรงพยาบาลท้องถิ่น

ทั้งหมดนี้ คือภาพสะท้อนของแนวคิด Mobility as Social Infrastructure หรือ การมองยานยนต์ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานของสังคม ไม่ใช่แค่พาหนะ

Toyota IMV Origin

Toyota ไม่ลืมรากเหง้าในภูมิภาคเอเชีย IMV Origin จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อย้ำว่าการผลิตรถในประเทศกำลังพัฒนา ก็สามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมได้ ตัวรถออกแบบให้เรียบง่าย ประกอบ ซ่อม และดัดแปลงได้เอง เน้นสร้างงานในท้องถิ่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบยั่งยืน พูดง่ายๆ คือ การคืนกำไรให้ชุมชนด้วยเทคโนโลยี นั่นเอง

Toyota Chibibo 

Chibibo ถูกพัฒนาภายใต้เป้าหมาย ทำให้โลจิสติกส์ในเมืองเล็กลงแต่ฉลาดขึ้น โครงสร้างแบบ 4 ขา (Quadruped) มอบความคล่องตัวสูงกว่า Robot Delivery ทั่วไป สามารถเดินบนทางลาดชันหรือพื้นขรุขระได้ AI ของมันใช้ระบบแผนที่แบบเรียลไทม์ (Real-time Mapping) ทำให้วิเคราะห์เส้นทางและอุปสรรคได้เองโดยไม่ต้องมีรางนำทาง

Toyota ตั้งใจให้ Chibibo เป็น หุ่นยนต์ร่วมงานกับคน (Human Collaboration Robot) มากกว่าการทดแทนมนุษย์ เป็นภาพของเพื่อนร่วมงานที่ไม่เคยบ่น สำหรับโลจิสติกส์แห่งอนาคต

Toyota Walk Me

Walk Me ใช้ระบบขาแบบ Adaptive Suspension 4 จุด ที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (เหมือน Spot ของ Boston Dynamics) แต่ Toyota ปรับโทนให้เข้ากับมนุษย์ทั่วไปมากกว่า รูปลักษณ์ไม่ดุดัน แต่เป็นมิตรและมีโหมดช่วยทรงตัวอัตโนมัติ (Auto Balance Assist)

ผู้ใช้สามารถนั่งหรือยืนควบคุมได้ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้พิการที่ยังต้องการออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านด้วยตัวเอง แนวคิดทั้งหมดคือ Go Anywhere, Cool for Everyone! ทำให้การช่วยเหลือกลายเป็นสิ่งที่ดูเท่ ไม่ใช่สิ่งที่น่าสงสาร

Toyota Challenge Me 

Challenge Me คือยานยนต์ที่เปลี่ยนภาพของ Wheelchair ให้กลายเป็น Adventure Machine มันใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแรงบิดสูง แยกขับเคลื่อนแต่ละล้อ พร้อมระบบ Auto-Traction Control ที่ปรับแรงขับตามสภาพพื้น ช่วงล่างยืด-หดได้แบบอิสระ เพื่อให้ปีนเนินหรือขึ้นบันไดได้โดยไม่เสียสมดุล

ดีไซน์ภายนอกให้ความรู้สึกเหมือนเก้าอี้ลุยผสมกับ ATV เป็นสัญลักษณ์ของความท้าทายของผู้ใช้งาน ในเชิงสัญลักษณ์ Toyota ต้องการบอกว่า แม้ร่างกายจะจำกัด แต่เส้นทางชีวิตไม่จำเป็นต้องจำกัดตาม

Toyota Kids mobi 

ในอีกมุมของบูธ Toyota แสดงผลงานที่อบอุ่นหัวใจไม่แพ้กันอย่าง Toyota Kids mobi พาหนะส่วนบุคคลขนาดจิ๋วที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ตัวรถขับเคลื่อนด้วย AI ที่มอบทั้ง ความปลอดภัย และ การเรียนรู้ ไปพร้อมกัน เด็กๆ สามารถควบคุมทิศทางผ่านการเคลื่อนไหวร่างกาย และในเวลาเดียวกัน ระบบ UX Friend จะโต้ตอบผ่านเสียงและภาพ เพื่อกระตุ้นพัฒนาการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้ขับขี่ตัวน้อย มันคือการสอนให้เด็ก รักการเคลื่อนไหว อย่างปลอดภัยตั้งแต่ก้าวแรกในชีวิต

Toyota CYBER LOVE

อีกหนึ่งผลงานสุดแหวกแนวคือ CYBER LOVE ยานพาหนะที่ Toyota เรียกว่า เครื่องจักรนำทางโลก AR ด้วย AI ตัวรถถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อโลกจริงกับโลกเสมือน (Augmented Reality) อย่างสมบูรณ์แบบ มีจอแสดงผลแบบเต็มหน้าจอและฟังก์ชันขับเคลื่อนระยะไกล

ผู้ชมสามารถ ขึ้นไปขับในโลกเสมือนจริง เพื่อสำรวจคอนเซปต์คาร์ทั้งหมดของ Toyota ภายในงานได้ เหมือนการผจญภัยในจักรวาลแห่งเทคโนโลยีที่มีชีวิต CYBER LOVE จึงเปรียบเหมือน ประตูสู่โลกใหม่ของ Toyota ที่พาคนเข้ามาสัมผัสอนาคตรถยนต์ผ่านประสบการณ์แบบอินเทอร์แอกทีฟ

Toyota KB LIFTER

รถขนส่งไฟฟ้าขนาดเล็กที่ Toyota สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ การขนของที่ใครก็ทำได้ จุดเด่นคือไม่ต้องมีใบอนุญาตพิเศษในการขับขี่ ใช้งานง่ายแต่ทรงพลัง สามารถยกและลดสินค้าที่มีน้ำหนักได้สูงสุด 150 กิโลกรัม ด้วยระบบไฮดรอลิกไฟฟ้า เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้า หรือคลังสินค้าที่ต้องการย่นเวลาการขนส่งโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องจักรใหญ่

Toyota เรียกมันว่า Mobility Platform เพราะมันไม่ใช่แค่รถยก แต่คือเครื่องมือที่ทำให้ทุกคนจัดการโลจิสติกส์ได้เอง

Toyota coms-x 

ต่อเนื่องจากแนวคิด KB LIFTER คือ coms-x ยานยนต์ไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่พัฒนาเพื่อภารกิจ Last-mile Delivery โดยเฉพาะ ดีไซน์กะทัดรัด ขับขี่ง่าย ปลอดภัย และรองรับการปรับแต่งห้องบรรทุกได้ตามธุรกิจ ตั้งแต่ส่งอาหารจนถึงพัสดุขนาดกลาง

Toyota ตั้งใจให้ coms-x เป็น พันธมิตรธุรกิจที่ใครก็เข้าถึงได้ และเป็นสัญลักษณ์ของเศรษฐกิจชุมชนในยุคไร้มลพิษ

Toyota boost me 

จบด้วยผลงานที่สนุกที่สุดในบูธอย่าง boost me สปอร์ตโมบิลิตีไฟฟ้าที่ออกแบบให้ ทุกคนสามารถเล่นกีฬาได้เท่าเทียมกัน ด้วยโครงสร้างแฮนด์ฟรี ควบคุมทิศทางด้วยการเอียงตัว หมุนลำตัว หรือก้มเงยผ่านการใช้แกนกลางของร่างกาย สามารถปรับให้เข้ากับกีฬาหลากหลายประเภท เช่น สกี สเก็ต หรือบอร์ดจำลอง นี่ไม่ใช่แค่เครื่องเล่น แต่คือแนวคิดใหม่ของ Toyota ที่จะคืนความสนุกของการเคลื่อนไหวให้มนุษย์ทุกวัย

————————————-

LEXUS LS CONCEPT (World Premier)

Suprise สำคัญ ของบูธ Lexus อยู่ที่การ แนะนำ รถยนต์ต้นแบบ Lexus LS CONCEPT ซึ่งพลิกภาพลักษณ์จากเดิมไปโดยสิ้นเชิง จากการเป็นรถยนต์ Saloon หรู ผู้บุกเบิกแบรนด์ Lexus สู่การยอมรับในตลาดอเมริกาเหนือ เมื่อปี 1989 กลายร่างมาเป็น รถตู้ Minivan 6 ล้อ!!

เรื่องราวนี้ เริ่มต้นเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม 2024 ระหว่างที่ Akio Toyoda Chairman ของ Toyota นั่ง ส่ง Message คุย Chat กับ ประธาน Takeshi Watanabe ถึงอนาคตของ Lexus LS ซึ่งมียอดขายที่ลดลง ตามเทรนด์ความต้องการรถยนต์นั่ง Saloon ขนาดใหญ่ ที่เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดตลอดหลายปีที่ผ่านมา

Akio Toyoda บอกกับ Watanabe ว่า “ในฐานะที่ LS เป็นรถยนต์แบบ Cheuffeured Car (มีโชว์เฟอร์ ขับให้เจ้าของนั่ง) LS รุ่นต่อไป จะต้องเป็น เสาหลักสำคัญให้กับแบรนด์ Lexus ในรูปแบบที่ ไม่เคยมีใครจินตนาการคาดคิดมาก่อน ต้องไม่ลอกเลียนตามแบบใคร ดังนั้น มันจึงไม่ควรเป็น Sedan หรือ SUV หากแต่มันควรจะเป็น Premium Minivan แบบ 3 แถวที่นั่ง คันใหญ่รุ่นใหม่กันไปเลย! จริงอยู่ว่า Lexus มีรถตู้ LM ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องมาจาก Alphard / Vellfire อยู่แล้ว แต่รถตู้รุ่นใหม่นี้ จะก้าวข้ามทุกข้อจำกัดทางความคิดเดิมๆออกไปให้หมด!

“แรงบันดาลใจในการพัฒนารถตู้รุ่นนี้ มาจากทีมวิศวกรของ Toyota กลุ่มหนึ่ง ที่กำลังขมักเขม้น ทำ Lunar Cruiser ยานพาหนะสำหรับแล่นบนดวงจันทร์ รถคันดังกล่าวนี้ มี 6 ล้อ มันทำให้ผมคิดว่า Toyota 6 ล้อ ทำออกมาเพื่อแล่นบนดวงจันทร์ เท่านั้นหรือ? ทำไมเราไม่ลองทำ รถยนต์ 6 ล้อ ให้วิ่งได้บนพื้นโลกบ้างละ? แน่นอนว่า ส่วนตัวผม ให้คุณค่ากับความสนุกในการขับขี่ (Fun to Drive) แต่ ในตลาดต่างประเทศ ลูกค้าในกลุ่ม Premium ต้องการพื้นที่ห้องโดยสารที่โอ่โถงและกว้างขวางมากๆ ดังนั้น การออกแบบให้ล้อหลังทั้ง 4 ล้อ มีขนาดเล็กลง จะช่วยเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารให้สะดวกสบาย สำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง”

ผู้บริหารระดับสูงของ Toyota กล่าวในงานเปิดบูธว่า “ตอนนี้ที่เราให้ Century ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของความหรู Lexus จึงไม่ต้องถูกจำกัดด้วยคำว่า flagship sedan อีกต่อไป
มันสามารถทดลอง สร้างสรรค์ และเล่นกับความหมายของคำว่าหรูได้อย่างอิสระ”

ผลลัพธ์ของการปลดล็อกนี้เห็นได้ชัดที่งาน Japan Mobility Show 2025 Lexus นำเสนอแนวคิดใหม่ถึง 5 รุ่น ได้แก่ LS Concept, LS Coupe Concept, LS Micro Concept, Sport Concept และ Catamaran Concept ทั้งหมดไม่ได้มุ่งไปที่การเป็น Flagship Sedan แบบเดิม แต่จะกระจายไปทุกมิติของนิยามใหม่ ภายใต้แนวคิด “Luxury Space” ตั้งแต่ห้องโดยสารที่กลายเป็น Sanctuary สำหรับจิตใจ ไปจนถึงเรือคาตามารันที่ล่องอย่างเงียบสงบบนทะเลพลังงานแสงอาทิตย์

กล่าวอีกนัยหนึ่ง Lexus กำลังขยับจากผู้สร้างรถหรูไปสู่ ผู้สร้างพื้นที่หรูในทุกมิติของการเดินทาง เพราะเมื่อ Century รับบทเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ Lexus ก็กลายเป็นนักสำรวจที่มีอิสระเต็มที่ในการตีความคำว่า หรูหราใหม่อีกครั้ง ทั้งบนถนน ในน้ำ หรือแม้แต่ในโลกเสมือนจริง นั่นทำให้งาน Japan Mobility Show รอบนี้ เราได้เห็นการเปิดตัว ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดการสร้างรถใหม่ แต่ยังรวมถึงสิ่งอื่นๆ เช่น เรือคาตามารัน (LEXUS Catamaran), ยานพาหนะทางอากาศ (JOBY), community club (LEXUS Hub) หรือแม้กระทั่งบ้านหรู (LEXUS House) ด้วยเช่นกัน

Lexus LS Concept

Lexus เน้นว่า LS ตอนนี้ไม่ใช่แค่ Luxury Sedan หรือ Luxury SUV แต่คือ Luxury Space การเปิดประตูของรถรุ่นนี้ถูกอธิบายว่า “When that door opens you are teleported to a home away from home … a space to truly discover sanctuary.”

ด้านการดีไซน์ มีล้อ 6 ล้อ (six wheels) เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในและเข้าถึงได้ง่าย แม้รายละเอียดขุมพลังยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่หลายสื่อคาดว่าเป็นแพลตฟอร์มไฟฟ้า หรือ Hybrid เพื่อรองรับโครงสร้างใหญ่และความเป็นรถระดับหรูสุด

Lexus LS Coupe Concept

Lexus ตั้งคอนเซ็ปต์ภายใต้ชื่อ Discover Duality ให้ความรู้สึกของการมี 2 บุคลิกในรถเดียว ทั้งความสปอร์ตและความหรู

แม้จะใช้คำว่า Coupe แต่ภาพของรถถูกอธิบายว่า เป็น SUV หรือรถ 2-box ที่มีความล้ำมากกว่า คูเป้แบบดั้งเดิม ภายในห้องโดยสารที่แสดงรายละเอียดด้านความล้ำ เช่น หลังคากระจก Panoramic Glass Roof เบาะนั่งสไตล์ Luxry พื้นห้องโดยสารแบบเรียบ ตลอดจนอุปกรณ์ควบคุม ที่สะท้อนถึงความล้ำอนาคต แบบรถไฟฟ้าหรือ Hybrid อย่างชัดเจน

Lexus Sport Concept

เน้นแนวคิด Complete Immersion ประสบการณ์ที่กระตุ้นทุกประสาทสัมผัส ไม่ใช่แค่การขับขี่ ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยพวงมาลัยแบบ yoke และหน้าจอโค้งสามส่วน (curved digital display) ซึ่งมุ่งเน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง ด้านดีไซน์ภายนอกนั้น กระจังหน้า โครงสร้าง ล้อ และไฟ LED ถูกออกแบบให้ดูสปอร์ตอย่างมาก

Lexus LS Micro Concept

เป็นรถขนาดเล็กมาก (micro EV) ออกแบบให้ใช้ในเมืองโดยเฉพาะ มีสัดส่วนที่คล่องตัวสำหรับซอยแคบและพื้นที่จราจรแออัด ห้องโดยสารถูกออกแบบให้เหมือนแคปซูลส่วนตัว (luxury pod) เน้นความเงียบ สงบ และเป็นส่วนตัวสําหรับผู้ขับหรือผู้โดยสารคนเดียว พื้นที่ภายนอกมีดีไซน์ล้ำ เช่น ผนังกระจกสูง ล้อขนาดเล็ก/ฝาครอบล้อ (wheel fairings) ไฟ LED ทรงเฉียบ และเส้นสายเรียบหรู การควบคุมใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (self-driving) เป็นไปได้สูง หรือมีระบบช่วยเหลือผู้ขับอย่างมาก เพื่อให้ผู้ใช้ “หยุดคิดเรื่องการขับ” และ “เริ่มคิดเรื่องการใช้ชีวิต” แทน

LS Micro Concept สะท้อนถึงว่าผู้ผลิตหรูอย่าง Lexus กำลังขยายขอบเขตของคำว่ารถยนต์หรู ไปสู่ยานยนต์หรูสำหรับชีวิตเมือง ไม่เพียงแค่บนถนนหลักแต่ยังในซอยแคบและพื้นที่ในเมืองหนาแน่น นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมพื้นที่ โมบิลิตีส่วนบุคคล (personal mobility) ที่อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งเสาหลักในยุคหลังรถยนต์แบบดั้งเดิม

————————————-

CENTURY Brand Launch & CENTURY COUPE CONCEPT (World Premier)

สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว Toyota Century ถือเป็นอัครยานยนต์ ขนาดใหญ่ ที่หรูหราสูงสุด เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อปี 1967 โดยแตกหน่อ ออกมาจาก Toyota CROWN Eight (8 สูบ) ในยุคสมัยนั้น หลังจากผ่านกาลเวลามาหลายสิบปี วันนี้ Century ได้รับการยอมรับอย่างสูง ทั้งในญี่ปุ่น และตลาดส่งออกบางแห่ง อย่างประเทศจีน ซึ่งเพิ่งจะมีการนำ Century SUV ไปทดลองจำหน่าย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของ Century ที่ผ่านมาคือ การผูกยึดติดอยู่กับชื่อ ของ Toyota และทำให้เกิดความงุนงงของผู้คนว่า อะไรที่หรูกว่ากัน ระหว่าง Century และ Lexus ดังนั้น เมื่อเห็นช่องทางเป็นไปได้ที่แบรนด์นี้จะเติบโตกว่านี้ Akio Toyoda เลยตัดสินใจ แยก CENTURY ออกมาเป็นแบรนด์ใหม่ และวางตำแหน่งทางการตลาดให้เหนือกว่า Lexus เสียเลย!

จากจิตวิญญาณนั้น เขาและผู้มีอุดมการณ์เดียวกันได้เริ่มต้นภารกิจอันยิ่งใหญ่ และในปี 1938 หนึ่งปีหลังการก่อตั้ง Toyota ชายผู้ผลิกประวัติศาสตร์รถยนต์นั่งของ Toyota ไปตลอดกาล Kenya Nakamura หัวหน้าวิศวกรคนแรกของ Toyota ผู้มีคำขวัญประจำใจว่า To be like no other หรือ เป็นหนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใคร แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนา Century ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งด้านวิศวกรรม การผลิต และการจำหน่าย การพัฒนาเริ่มต้นในปี 1963 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 18 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนตั้งคำถามว่า “Toyota ที่ไม่มีประวัติศาสตร์และชื่อเสียง จะสร้างรถหรูระดับโลกได้อย่างไร?” แต่ Nakamura ไม่เคยย่อท้อ เขาเชื่อว่า “เราจะสร้างรถหรูแนวใหม่ที่ไม่เหมือนใคร”

Nakamura จึงเดินหน้าอย่างกล้าหาญ นำเทคโนโลยีล้ำยุคมาผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น ตั้งแต่การใช้ลวดลายสลักโลหะจากยุคเอโดะบนตรา Phoenix ไปจนถึงผ้าทอ Nishijin-ori สำหรับเบาะนั่ง เพื่อให้ Century เป็นผลงานที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง รถรุ่นต้นแบบนี้ได้กลายเป็นรถประจำตำแหน่งของ Shoichiro Toyoda บุตรชายของ Kiichiro และเขายังคงใช้มันต่อเนื่องในรุ่นที่สองและสาม พร้อมให้คำแนะนำกับทีมวิศวกรอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสถียรภาพในทางตรง หรือกระแสลมด้านข้างในความเร็วสูง ทุกคำแนะนำล้วนสะท้อนความรักและความภาคภูมิใจที่มีต่อ Century รถที่เขาทุ่มเทให้มากที่สุด

เหตุผลที่ Shoichiro และ Nakamura ทำเช่นนั้น Akio เชื่อว่าเป็นเพราะพวกเขามีไฟแห่งอุดมการณ์เดียวกับ Kiichiro ผู้ก่อตั้งสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นเพียงสามเดือนหลังสงครามจบลง เขากล่าวว่า “ผมต้องการสร้างชาติที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมยานยนต์ สู่สังคมประชาธิปไตยที่รุ่งเรือง” คำพูดนี้ยังคงก้องอยู่ในใจของ Akio มาโดยตลอด

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Nakamura และ Shoichiro ร่วมมือกันสร้างรถที่สะท้อนความภาคภูมิใจในความเป็นญี่ปุ่น รถที่ใช้ฝีมือและศิลปะของญี่ปุ่นเป็นตัวแทนวัฒนธรรมของชาติบนเวทีโลก และ Century ก็เกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่นั้น สัญลักษณ์แห่ง Pride of Japan กว่า 5 ทศวรรษต่อมา แม้ยุค Japan as No.1 จะผ่านพ้นไปและญี่ปุ่นเผชิญ 3 ทศวรรษที่หายไป แต่สิ่งที่ยังไม่เคยสูญหายคือจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ Monozukuri ความอ่อนโยนในจิตใจ และพลังแห่งวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่งดงาม อาหารชั้นเลิศ ศิลปะแอนิเมชัน ดนตรี กีฬา และการต้อนรับด้วยหัวใจ สิ่งเหล่านี้คือเสน่ห์ของญี่ปุ่นที่ยังเปล่งประกาย

และนี่คือเหตุผลที่ Akio เชื่อว่าวันนี้ เราจำเป็นต้องมี Century อีกครั้ง เพราะ Century ไม่ใช่เพียงชื่อของรถยนต์ แต่คือความตั้งใจสร้างอนาคตอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ตรานกฟีนิกซ์ที่ประดับอยู่หมายถึงตำนานนกที่ปรากฏเฉพาะเมื่อโลกสงบสุข เช่นเดียวกับที่ชื่อ Century ถูกตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงครบรอบ 100 ปีแห่งยุคเมจิ และการเกิดของ Sakichi Toyoda ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Toyota

********** สรุป / Conclusion **********

ในปีนี้ บรรยากาศของงานยังคงอบอวลด้วยพลังแห่ง ความเป็นญี่ปุ่น ที่ผสมระหว่างความจริงจังและจินตนาการอย่างลงตัว ตั้งแต่โถงทางเข้า จนถึงส่วนลึกของฮอลล์ที่เต็มไปด้วยแนวคิดของยานยนต์แห่งอนาคต ทุกค่ายต่างพยายามแสดงให้เห็นว่า คำว่า Mobility นั้น ไม่ได้หมายถึงเพียงรถยนต์ที่ใช้บนถนนเท่านั้น แต่รวมถึงทุกสิ่งที่พามนุษย์เคลื่อนที่ได้—ไม่ว่าจะเป็นโดรนขนส่ง ผู้ช่วยหุ่นยนต์ หรือแม้แต่ยานพาหนะส่วนตัวที่สามารถเปลี่ยนรูปได้ตามโอกาสใช้งาน

Toyota และ Lexus ยังคงรับบทเป็นผู้นำทางความคิดเช่นเคย ปีนี้พวกเขาเน้นนำเสนอวิสัยทัศน์ SDV (Software-Defined Vehicle) ที่เน้นให้รถยนต์กลายเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เคลื่อนที่ พัฒนาได้ต่อเนื่องเหมือนสมาร์ตโฟน ขณะเดียวกันฝั่ง Lexus ก็ขยายแนวคิด หรูนอกกรอบ (Luxury Beyond Boundaries) สู่การใช้ชีวิตบนบก ในน้ำ และในอากาศ ตั้งแต่ Lexus Catamaran ไปจนถึง LEXUS Hub และ Joby Air Taxi ที่ร่วมกันวาดภาพการเดินทางแห่งอนาคตอย่างครบวงจร

Honda ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ด้วยการนำรถต้นแบบ 0 Alpha มาโชว์ตัวจริงเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น เสริมทัพ o SUV และ 0 Saloon เตรียมผลิตจำหน่ายจริงปี 2027 บนพื้นฐานงานวิศวกรรม Next-gen พร้อมยืนยันทิศทางของแบรนด์ที่จะกลับสู่ความสนุกในการขับขี่อีกครั้ง ส่วน Nissan ก็ยังเน้นเทคโนโลยี e-POWER และ e-4ORCE เป็นหัวใจหลัก พร้อมเปิดผ้าคลุม Elgrand รุ่นใหม่  ซึ่งได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่แบบ Big Change ! ทั้งภายนอก – ภายใน บนพื้นฐานของรุ่นเดิม อีกทั้งยังเป็นรุ่นแรกของค่ายที่จะมาพร้อมขุมพลัง e-POWER เจเนอเรชั่นที่ 3

Mazda, Subaru และ Mitsubishi ต่างก็ขนของเด็ดมาเสริมสีสัน ตั้งแต่ Mazda ICONIC SP ที่เรียกเสียงฮือฮาด้วยสัดส่วนและเสียงโรตารี่ในแบบใหม่ ไปจนถึง Subaru Air Mobility ที่โชว์ความเป็นไปได้ของการบินในยานพาหนะส่วนบุคคล และ Mitsubishi ที่หันมาขยายแนวคิดการเดินทางพลังงานสะอาดในระดับอุตสาหกรรมขนส่ง

นอกจากรถและยานพาหนะต้นแบบ Tokyo Future Tour 2035 คือโซนที่สะท้อนถึงหัวใจของงานในยุคใหม่ ภายในนั้นจำลองเมืองหลวงของญี่ปุ่นในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่ระบบขนส่งทุกอย่างถูกเชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด รถยนต์สามารถสื่อสารกับโครงสร้างพื้นฐาน เมืองรู้ว่ารถแต่ละคันต้องการอะไร และผู้คนสามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องพกบัตรหรือกุญแจแม้แต่ใบเดียว

อีกหนึ่งพื้นที่ที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันคือ Out of KidZania ซึ่ง JAMA จับมือกับ KidZania Japan เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ลองเปลี่ยนยาง ถอดเครื่อง หรือทำงานในสถานีชาร์จไฟฟ้าจำลอง เพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสโลกยานยนต์แบบลงมือจริง จุดประสงค์คือปลูกฝังความฝันและความเข้าใจต่อการเดินทางในอนาคตตั้งแต่เยาว์วัย เพราะในสายตาของญี่ปุ่น Mobility ไม่ใช่เพียงการขยับตัวของเครื่องจักร แต่คือการขยับจิตใจของผู้คนไปพร้อมกัน

เมื่อมองย้อนกลับไปถึงปี 1954 ที่ Yutaka Katayama หรือ Mr. K ชวนเพื่อนพ้องวงการยานยนต์มาร่วมกันจัดงานครั้งแรก ณ สวน Hibiya Park ในโตเกียว มีเพียง 267 คันมาจัดแสดง และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแค่ 17 คันเท่านั้น ใครเลยจะคิดว่า ความพยายามเล็กๆ ในวันนั้น จะกลายเป็นหนึ่งในงานแสดงยานยนต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน

67 ปีผ่านไป งานในวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับรถยนต์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์ของชาติที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และเป็นกระจกสะท้อนว่า ญี่ปุ่นยังคงมีพลังที่จะนิยามอนาคตของการเดินทาง ในแบบที่ไม่เหมือนใคร

Japan Mobility Show 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน ณ ศูนย์ประชุม Tokyo Big Sight โดยมีวันสื่อมวลชน 29–30 ตุลาคม เหมือนเช่นเคย และถึงแม้เวลาจะหมุนผ่านไปกี่ทศวรรษ สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน คือ จิตวิญญาณของการเคลื่อนไหว ที่ชาวญี่ปุ่นตั้งใจส่งต่อผ่านทุกล้อ ทุกแรงบันดาลใจ และทุกเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว Mobility ของญี่ปุ่น…ไม่ใช่แค่การพาเราไปถึงจุดหมาย แต่คือการพาเราออกเดินทางไปหาความฝันอีกครั้ง เหมือนเช่นวันที่งานนี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 60 ปีก่อน

———————-///———————-

การเดินทางครั้งนี้ Headlightmag เรา ออกค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าที่พักเอง ทั้งหมด
ไม่ได้มีการสปอนเซอร์ ใดๆ ทั้งสิ้น (เขียนแปะเอาไว้ เผื่อพวกงี่เง่า โลกมืด เตรียมจ้องด่า จะได้รู้เอาไว้)

Special Thanks to :

บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
สำหรับการเชิญเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ ต่างๆ ของทั้ง 2 แบรนด์ 
ให้ไปเข้าร่วมในระหว่างที่พำนักในญี่ปุ่น ด้วย ในครั้งนี้

J!MMY / QCXLoft / Mark Pongswang / Sank Ritthiphon