Polestar แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเกรดพรีเมียมจากสวีเดน ประกาศปิดโชว์รูมจำหน่ายแห่งสุดท้ายในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้า L+Plaza ย่านเฉียนถาน มณฑลเซี่ยงไฮ้ โดยระบุว่าการยุติการดำเนินงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการปรับกลยุทธ์ธุรกิจในจีน เพื่อมุ่งเน้นไปที่การขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ทั้งนี้ Polestar ยืนยันว่าการปิดโชว์รูมจะไม่กระทบต่อบริการหลังการขายของลูกค้าปัจจุบัน

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางยอดขายที่ซบเซาอย่างหนักในตลาดจีน โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 Polestar มียอดขายเพียง 69 คัน ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2024 ที่ทำได้ 3,120 คัน ขณะที่ยอดขายในปีก่อนหน้าอยู่ที่ 1,100 คันในปี 2023 1,717 คันในปี 2022 และ 2,048 คันในปี 2021 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของแบรนด์ในการแข่งขันกับผู้ผลิตรถไฟฟ้าจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Polestar ได้รับเงินลงทุนเพิ่มทุนมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (6,494,100,000 บาท) จากบริษัท PSD Investment ซึ่งมี Li Shufu ผู้ก่อตั้ง Geely Holding เป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่ง โดยดีลดังกล่าวอยู่ในรูปแบบ Private Investment in Public Equity (PIPE) ทำให้ Polestar ออกหุ้นใหม่จำนวนประมาณ 190.5 ล้านหุ้น Class A American Depositary Shares (ADS) ในราคาหุ้นละ 1.05 เหรียญสหรัฐฯ หลังการลงทุน Li Shufu จะถือหุ้นรวมใน Polestar ประมาณ 66% ผ่าน PSD Investment และบริษัทลูกของ Geely ในสวีเดน

 

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า Polestar มีมูลค่าตลาดราว 21.7 พันล้านหยวน (ประมาณ 98,923,030,500 บาท) แต่มีภาระหนี้สูงถึง 51.2 พันล้านหยวน (ประมาณ 233,385,113,600 บาท) ซึ่งกลายเป็นความท้าทายสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต

สำหรับตลาดจีน ปัจจุบัน Polestar จำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ Polestar 2 Polestar 3 และ Polestar 4 ครอบคลุมช่วงราคาตั้งแต่ 299,800–798,000 หยวน (ประมาณ 1,366,579 – 3,637,525 บาท) ขณะที่ยอดขายทั่วโลกในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 44,900 คัน ลดลงราว 15% จากปี 2023 สะท้อนถึงความท้าทายที่แบรนด์ต้องเผชิญทั้งในจีนและตลาดโลก โดยภายหลังจากการปิดโชว์รูมในจีน Polestar จะยังคงดำเนินธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และเตรียมประกาศทิศทางตลาดในประเทศอีกครั้งในช่วงต่อไป

ที่มา: Carnewschina