จุดเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้เรานัดเจอกันที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งย่านพระราม 2 เมื่อเรามาถึงสถานที่นัดหมายก็ได้จอดรถสักพักให้ยางรถยนต์เย็นตัวลง เพื่อที่เราจะเช็คลมยางของรถทั้ง 2 คันให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ค่าโรงงานแนะนำ ลมยางล้อด้านหน้า 33 และล้อด้านหลัง 32

 

น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เบนซิน แก๊สโซฮอล์ 95 เติมน้ำมันเต็มถังและหัวจ่ายน้ำมันตัด 2 ครั้ง และตั้งค่ารีเซ็ต Trip Meter B  = 0  น้ำหนักบรรทุกรวมผู้โดยสาร 2 คน และสัมภาระประมาณ 250 กิโลกรัม และอุณภูมิของเครื่องปรับอากาศตั้งไว้ที่ 25 องศา 

 

เส้นทางที่เราใช้ในการเดินทางจะเริ่มต้นที่ถนนพระราม 2 มุ่งหน้าสมุทรสาคร และเพชรบุรี ความเร็วที่ใช้ในการเดินทางในครั้งนี้ เราจะใช้ความเร็วตามที่กฏหมายกำหนดแต่จะไม่เกิน 110 km/h ซึ่งในแต่ละเส้นทางจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับการกำหนดความเร็วของถนนเส้นนั้น และระยะการเดินทางในวันนี้อยู่ที่ 823 กิโลเมตร จุดหมายปลายทางคือจังหวัดพัทลุง

 

เมื่อเริ่มต้นออกเดินทางสิ่งแรกที่เราสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากรุ่น SK คืออัตราเร่งช่วงออกตัวที่ตอบสนองดีขึ้นไม่ต้องกดคันเร่งเยอะ ทำให้รอบเครื่องยนต์ไม่สูง และพอความเร็วเริ่มสูงขึ้นเสียงที่เข้ามาภายในห้องโดยสารก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด การเก็บเสียงจากห้องเครื่อง พื้นห้องโดยสาร กระจกทุกบาน รวมทั้งประตูและฝาท้าย ทำได้เงียบขึ้นมากจากรุ่นเดิม ทัศนวิสัยการมองเห็นจากทุกตำแหน่งที่นั่งโดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่มองเห็นดีมากๆ มองเห็นทุกอย่างชัดเจน สุดท้ายคืออุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ หากคุณผู้อ่านใช้รุ่น SK อยู่จะพบว่าการปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 25 องศาจะรู้สึกไม่ค่อยเย็นถูกใจคนไทยสักเท่าไร แต่พอเป็นรุ่นใหม่ SL เมื่อเราตั่งอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาจะรู้สึกถึงความเย็นที่มากกว่าในช่วงเวลาที่ขับขี่ตอนกลางวันที่แดดประเทศไทยช่างร้อนแรง จบการเดินทางวันแรกน้ำมันในถังยังเหลือวิ่งได้อีกประมาณ 240 กิโลเมตร 

 

วันที่ 2 ของการเดินทางวันนี้เราออกเดินทางกันตั่งแต่เช้าจากจังหวัดพัทลุง ตัวเลขบนหน้าจอของรถบอกว่าเราได้วิ่งผ่าน 900 กิโลเมตรเป็นที่เรียบร้อย น้ำมันในถังที่เหลือยังวิ่งได้อีก 150 กิโลเมตร เราเลยลองเปลี่ยนจุดหมายปลายของเราจากปั้มน้ำมันแถวๆ ปาดังเบซาร์ ไปเป็นด่านพรมแดนสะเดา จังหวัดสงขลาแทน เพราะว่าจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เราตั้งไว้สัก 960 กิโลเมตร 

 

พอเราได้เปลี่ยนเส้นทางจากหลัก AH2 บริเวณแยกคลองหวะ มุ่งหน้าสู่ ถนน กาญจนวนิช ตรงเข้าสู่ด่านพรมแดนสะเดา เริ่มขับรถเข้าสู่เขตเมือง รถก็เริ่มมากขึ้น ถนนก็เริ่มแคบลง ทางแยกต่างๆ ก็มีไฟแดงรถติดตลอดทาง อัตราสิ้นเปลืองที่โชว์บนหน้าจอของรถก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น เมื่อเราขับรถมาจนถึงบริเวรหน้าด่านพรมแดนสะเดา ระยะทางที่เราวิ่งมาแล้ว 964.3  กิโลเมตร เหลือระยะทางที่วิ่งได้อีก 80 กิโลเมตร เราเลยตัดสินใจขับรถย้อนกลับขึ้นไปที่ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ เพื่อไปเติมน้ำมันระยะทางประมาณ 29 กิโลเมตร

 

แต่พอมองตัวเลขระยะทางที่เหลือที่น้ำมันรถเราจะวิ่งได้ทำให้เรายังพอมีลุ้นที่จะได้ตัวเลข 1,000 กิโลเมตร เราจึงตัดสินใจเชื่อมันในตัวเลขที่รถแสดงระยะทางที่เหลือ ขับรถออกนอกเส้นทางเข้าสู่ถนนชนบทที่ 2 ข้างทางมีแต่ป่ายางพารา ขับลัดเลาะชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ จนได้ตัวเลขระยะทาง 1,000 กิโลเมตรเรียบร้อย แต่ไหนๆ เราก็ยังเชื่อมั่นในการคำนวนระยะทางของตัวรถ และเส้นทางที่เราต้องขับกลับไปเติมน้ำมันก็ยังเหลืออีกประมาณนึง เลยขอลองทำตัวเลขเก็บไว้ให้ไม่เหมือนใคร ตัวเลขสุดท้ายที่ 1,010 กิโลเมตร

 

การทดลองขับของเราครั้งนี้จบลงที่การเติมน้ำมันรถกลับเพื่อคำนวนอัตราสิ้นเปลืองซึ่งก็อาจเป็นอีกตัวเลขที่ทุกคนอยากทราบเพราะ New Subaru FORESTER รุ่น SL เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ใหม่ รหัส FB25 เบนซิน 4 สูบนอน BOXER DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.5 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ Lineartronic CVT 8 Speed ขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive แต่ขนาดถังน้ำมันยังเท่าเดิมที่ 63 ลิตร 

การคำนวนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เราจะใช้ระยะทางหารด้วยจำนวนน้ำมันที่เติมกลับจนหัวจ่ายตัด 2 ครั้ง 

คันที่ 1 ระยะทางวิ่งไป 1,010.5 กิโลเมตร เติมน้ำมันกลับไปจำนวน 56.70 ลิตร 

อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.82 กิโลเมตร/ลิตร

คันที่ 2 ระยะทางวิ่งไป 1,010.4 กิโลเมตร เติมน้ำมันกลับไปจำนวน 57.18 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.67 กิโลเมตร/ลิตร

รับชมคลิปสรุปการเดินทางได้ที่นี่

 

 

บทสรุปการเดินทาง หากคุณผู้อ่านเกิดความสงสัยว่าทำใมทีม Headlightmag เราถึงนำรถไปขับถึง 2 คัน คำตอบคือ เราอยากให้เห็นค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมการขับรถที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทีมงาน เพราะความเคยชินของคนที่ขับรถเครื่องยนต์ไฮบริด และคนที่ขับรถเครื่องยนต์ N/A จะมีการใช้คันเร่ง และเบรกของรถยนต์ที่ต่างกัน หากใช้คันเร่งตอนต้นช่วงออกตัวหรือช่วงเร่งแซงเยอะจะส่งผลให้รอบเครื่องยนต์สูง ทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงตามไปด้วย แต่ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ของ New Subaru FORESTER (SL) มีอัตราเร่งตอนต้นที่ดีขึ้น รอบเครื่องยนต์จึงไม่สูงมาก จึงไม่ต้องกดคันเร่งช่วงออกตัวเยอะ ถ้าดูตัวเลขที่หน้าจอกลางจะขึ้นไม่เกิน 30%  

ขอขอบคุณ บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ที่สนับสนุนรถยนต์ที่ใช้ในการเดินทาง