(Video Clip version of this First Impression Review is now available at the end of this article)
(วีดีโอ คลิป ทดลองขับ ของรถคันนี้ เลื่อนลงไป อยู่ด้านล่างสุดของบทความนี้ )

19 พฤศจิกายน 2025
18.20 น.

เครื่องบิน Airbus 350 ของ สายการบินไทย เที่ยวบิน TG 645 ออกเดินทางจาก สุวรรณภูมิ มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยาน Melbourne ประเทศ Australia

ดูเหมือนว่าช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 2024 จนถึง ปี 2025 นี้ ผมมีโอกาสมาเยือนดินแดน Down Under ต่อเนื่องกันถึง 3 ครั้ง เริ่มจากช่วงเดือนธันวาคม 2024 ที่ไปร่วมงาน Hyundai N Festival กับน้องๆและคุณผู้อ่านเว็บของเรา จากนั้นก็ถึงคิวของ การไปเยือน นคร Melbourne ช่วงวันที่ 2-5 เมษายน 2025 เพื่อร่วมงานฉลอง Ford Australia ครบรอบ100 ปี เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา

ในงานวันนั้น Ford ใช้โอกาสดังกล่าว เผยโฉม Ranger SUPER DUTY รถกระบะน้องใหม่ล่าสุดจากตระกูล Next Gen Ranger ที่ พวกเขาตั้งใจพัฒนาขึ้น โดยใช้ฐานการผลิต ณ โรงงาน Auto Alliance Thailand จังหวัดระยอง ส่งออกมาทำตลาดใน Australia , New Zealand , South Africa รวมทั้งขายในประเทศไทย ของเราเองด้วย

ตามกำหนด และกฎหมายอันเคร่งครัดของ Australia รถยนต์รุ่นใดก็ตาม ที่มีแผนจะทำตลาดที่นั่น ต้องมีการเผยโฉมให้สาธารณชนรับทราบล่วงหน้า คร่าวๆ ก่อน อย่างน้อย 6 เดือน ทั้งเพื่อการเตรียมตัวนำรถเข้าทดสอบให้ผ่านมาตรฐานมลพิษ รวมทั้งมาตรฐานด้านความปลอดเภัย Australian New Car Assesment Program หรือ ANCAP อันเข้มงวดไม่แพ้ การทดสอบการชนของ EuroNCAP ของสหภาพยุโรป หรือ NHTSA ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา

วันเวลาผ่านไป ไวปานกามนิตหนุ่ม

เช้าวันที่ 23 กันยายน 2025 ทีมประชาสัมพันธ์ของ Ford ก็ส่งเทียบเชิญผม ไปร่วมทดลองขับ Ranger Super Duty กันเสียที แน่นอนว่า ยังคงต้องเป็นที่ Australia ตามเคย แต่คราวนี้ เราต้องบินกันในช่วงหัวค่ำ เพื่อจะเดินทางไปถึงสนามบิน Melbourne ตอนเช้าวันที่ 20 กันยายน 2025

นั่นหมายความว่า ตัวรถ น่าจะพร้อมแล้วสำหรับการประเดิมเปิดตัวทำตลาด ใน Australia ก่อน เป็นแห่งแรกในโลก ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาปล่อย ข้อมูล Embargo ร่วมกัน) จากนั้น จึงจะเป็นคิวของ New Zealand และตามด้วยการเปิดตัว ใน ประเทศไทย ของเรา ประมาณช่วงก่อนงาน Bangkok International Motor Show ที่จะถูกจัดขึ้น ในปลายเดือน มีนาคม 2026 ที่จะถึงนี้

ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่เรา ในฐานะ สื่อมวลชนกลุ่มแรกในโลก จะได้มีโอกาสสัมผัสกับ การปรับปรุงและยกระดับขีดความสามารถและศักยภาพสมรรถนะของ Ranger ให้เหนือชั้นขึ้นกว่าเดิม

20 พฤศจิกายน 2025
7.30 น. ตามเวลา Australia (เร็วกว่าเมืองไทย 4 ชั่วโมง)

เมื่อถึงสนามบิน Melbourne ทันทีที่เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และด่านศุลกากร ที่เหมือนจะง่ายดาย แต่เข้มงวดมากกับ งานด้าน Bio Security เพื่อรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ เพราะรัฐบาล Australia ไม่อนุญาตให้นำอาหาร พืช ผัก ผลไม้ หรือแม้แต่น้ำดื่ม เข้าประเทศ โดยไม่ผ่านการแจ้งเจ้าหน้าที่ เนื่องจากต้องการป้องกันการปลอมปนกับสิ่งแวดล้อมในประเทศ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวสูง เราก็ออกมาเจอกับ รถตู้ Taxi ซึ่งทาง Organizer ผู้จัดงานว่าจ้างมาต้อนรับ และขนกระเป๋าเดินทางของพวกเราไปไว้บนรถพ่วง ตามปกติของ ชาว Australia / New Zealand ก่อนจะพาเรา เดินทางออกนอกเมืองไปไกลอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จนถึงที่พักของเรา Mitchelton Winery & Hotel ที่เมือง Nagambie รัฐ Victoria (Address : 470 Mitchellstown Rd., Nagambie VIC 3608)

เที่ยงตรง คุณ Carl ซึ่งเป็น เอเจนซี PR ที่ทำงานร่วมกับ Ford Australia พาเราขึ้นรถตู้ Ford Tourneo เพื่อเข้าไปกินมื้อเที่ยงในเมือง Nagambie เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับรถตู้รุ่นนี้ ซึ่งนำเข้ามาจากยุโรป อัดแน่นด้วย Option ที่ต้องเบิ่งตาดูให้ชัดๆว่า ให้ลูกค้ากันมาแบบนี้จริงเหรอเนี่ย ทั้งชุดมาตรวัดแบบเดียวกับ Ranger / Everest รุ่น Next Gen ปัจจุบัน ไปจนถึง หลังคากระจก Panoramic Glass Roof และชุดเครื่องเสียง Bang and Olufsen!!!

คุณ Carl เขาขับรถไวเอาเรื่องเหมือนกัน ถนนสวนกันสองเลน ทางเข้าโรงแรม เป็นถนนสาธารณะ แต่ไม่มีรถแล่นผ่านไปมาเลย พี่แกก็เลยเหยียบให้เราดูกันที่ 126 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า Ford ทำรถตู้โดยสารคันใหญ่ เท่า Mercedes-Benz Vito แต่ช่วงล่าง ติดแน่น สะเทือนเบาๆ แต่ดีกว่า Vito ชัดเจน ให้สัมผัสคล้ายกับนั่งบน Everest แต่ช่วงล่างซับแรงสะเทือนดีกว่าและกระชับกว่ากันนิดนึง

เดี๋ยวๆๆๆๆๆ เราหยุด เรื่องของ Tourneo ที่ยังไงๆก็คงไม่มาเมืองไทยแน่ๆ ไว้แค่นี้ก่อนนะ เค้าให้เรามารีวิว Ranger SUPER DUTY ไม่ได้มารีวิวรถตู้!!

เมือง Nagambie (อ่านว่า นา-แกม-บี้) แห่งนี้ เป็นเมืองขนาดเล็ก อยู่ห่างจากโรงแรมที่เราพักด้วยการเดินทางโดยรถยนต์เพียง 9 นาที และมีทะเลสาบ Nagambie อยู่กลางเมือง เราโชคดี มาเจอ ร้านอาหารไทย เพียงแห่งเดียวในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ชื่อว่า ThaiByTheLake.com.au ซึ่งมี “พี่แตงกวา” เป็นเจ้าของ ร่วมก้บ Chef สุภาพสตรี อีกท่านหนึ่ง พี่แตงกว่า เป็นคนไทย ที่มาเรียน ดร. ที่ Sydney และทำงานที่นั่น 20 ปี ก่อนจะย้ายมาทำร้านอาหารไทย อยู่ที่เมืองเล็กๆ เงียบๆสงบๆ แห่งนี้ ได้ 6 ปี แม้จะเติบโตมาจากแถวซอยเสือใหญ่ ในกระงเทพฯ แต่พี่แตงกวา ก็ฝันอยากจะเกษียณชีวิตที่นี่ ถึงขั้นลงทุนซื้อที่ดินและปลูกบ้านไว้แล้วเสร็จสรรพ!

แม้จะไม่คิดฝันว่า มื้อแรกใน Australia ของเรารอบนี้ จะเป็นอาหารไทย แต่ก็บอกเลยว่า ต่อให้มีการปรับรสมือเอาใจชาว Ausie ที่เน้นกินอาหารติดรสหวานหน่อยๆ แต่ภาพรวม ก็ยังเหมือนกับร้านอาหารไทย ที่เน้นต้อนรับแขกชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ คือดีงามมากๆ

เรากลับไปรอที่โรงแรม Mitchelton ฟังบรรยายการพัฒนาตัวรถ ทั้งหมด ก่อนจะขึ้นไปรับประทานอาหารเย็น กันบนภัตตาคารหอคอย ด้านบนสุด (ภาพด้านบน รูปที่ 5 ฝั่งขวา) ก่อนจะลงมาพักผ่อน เข้านอน เพื่อเตรียมตัวรับความสนุกในวันถัดไป

21 พฤศจิกายน 2025

เช้าวันรุ่งขึ้น ทาง Ford จัดให้ผม เดินทาง ร่วมกับ คุณ Tra-gul Lintamitr หรือ น้อง Birth จาก Website : www.MassAutoCar.com ซึ่งถือว่า เป็นโอกาสอันดีมาก เพราะเรา ซึ่งเป็นมนุษย์ ตรงไปตรงมา พูดคุยเฮฮา ปากคอเรียกแขกกันทั้งสองคน นั้น เรายังไม่เคยจับคู่เป็น Buddy ในทริปต่างประเทศด้วยกันแบบนี้มาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรก!

เราเริ่มออกเดินทาง ด้วย Ranger SUPER DUTY จาก โรงแรมและไร่ไวน์ Mitchelton ขับไปตามทางหลวงสาย M39 แล้วเลี้ยวโค้งขวาขึ้นสะพาน ข้ามมายังทางหลวงสาย M31 เพื่อมาถึงสถานที่จัดกิจกรรม ที่ Ford เตรียมไว้ เป็นเต๊นท์ใหญ่โต มโหฬาร ที่ Eagle Ridge Event Park , (Address : 210 Tallarook-Pyalong Rd. Tallarook VIC , 3659)

ภายในพื้นที่จัดกิจกรรมนี้ เราจะพบกับการจัดแสดง Ranger SUPER DUTY ในแทบจะทุกรูปแบบ แถมยังได้ทดลองขับขึ้นภูเขา บนสภาพทางสำหรับใช้ในกิจกรรมฝึกขับ Off-Road ของจริง ทดลองการขับรถพ่วงลากจูง เป็นครั้งแรกในชีวิต รับประทานอาหารเที่ยง และทดลองการขับขี่ ตามสถานีต่างๆ รวม 3-4 สถานที

เมื่อเสร็จสิ้นทุกสถานีแล้ว เราก็ออกเดินทางไกล ขับ Ranger SUPER DUTY กันไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ครึ่ง ลัดเลาะไปตามเส้นทางแบบสวนกัน 2 เลน จนถึงที่พัก และสถานที่รับประทานอาหารค่ำของเราในคืนที่ 2 นั่นคือโรงแรมในเครือกลุ่ม ACCOR ชื่อ Peppers Marysville (Address : 32/34 Murchison St, Marysville VIC 3779)

เช้าวันที่ 2 เราออกเดินทางจากโรงแรม Peppers Marysville เดินทางกันยาวๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง ครึ่ง ลัดเลาะไปตามเส้นทางไหล่เขา แบบสวนกัน 2 เลน คล้ายกับทางภาคเหนือของไทย จนกระทั่งถึง ภูเขา ที่บรรดานักนิยม Off-Road ท้องถิ่น ชาว Aussie รู้จักคุ้นเคย และมักมาลองขับรถ Off-Road ที่นี่กันเป็นประจำ นั่นคือ Newmans Track (Address : off Eildon-Jamieson Rd. Kevington VIC 3723) เพื่อทดลอง Ranger SUPER DUTY ในสภาพเส้นทางที่โหด และต้องไต่เนินชันๆ ไปจนถึง โขดหินตามธรรมชาติ เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถ และตัวของเราเองว่า ไหวแค่ไหน

เราปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของภูเขาลูกนี้ ชื่อ Mt.Terrible Hut มีกระท่อม ทีชาว Off-Road ท้องถิ่น ร่วมกับดีลเลอร์ ARB ในท้องถิ่น เขาร่วมกันสร้างขึ้น หลังจากที่กระท่อมแห่งนี้ เคยเจอไฟไหม้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ช่วงปี 2012 ก่อนจะไต่ลงมาถึงจุด Poletti Track แล้วขับลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เรียกว่า Snake Edwards Divide Track, เขต Knockwood ก่อนจะมาพักกิน แซนด์วิช เป็นมื้อเที่ยง ที่จุดตั้งแคมป์ ท่องเที่ยว Flour Bag Reserve, Mansfield-Woods Point Rd. เมือง Kevington VIC 3723

หลังจากนั้น เป็นช่วงขากลับ เราแวะเข้าเมืองเล้กๆแห่งหนึ่งระหว่างทาง กินกาแฟสักแก้ว แล้วก็ขับรถกันยาวๆ มุ่งหน้ากลับมายังสถานที่จัดงาน ณ Eagle Ridge Event Park เพื่อนั่งรถบัส ที่มารับเรา และนักข่าวจาก New Zealand กลับไปยังสนามบิน Melbourne เพื่อแยกย้ายกลับประเทศใครประเทศมัน โดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริป ลงแต่เพียงเท่านี้

เอาละ หลังจากอารัมภบท ด้วยวิธี เล่าเรื่องการเดินทาง (แบบย่อๆ) มาตั้งนาน ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะมาทำความรู้จักของ Ford Ranger SUPER DUTY ให้มากขึ้นไปอีก รายละเอียดทุกอย่าง อยู่ข้างล่างนี้…

อันที่จริงแล้ว ชื่อ SUPER DUTY นั้น เริ่มปรากฎในพงศาวดารของ Ford เป็นครั้งแรก ในปี 1958 เมื่อ Ford นำชื่อดังกล่าวมาใช้เรียก เครื่องยนต์ V8 สำหรับรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ กลุ่ม F-Series และต่อมาชื่อ Super Duty ก็ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นชื่อเรียกสำหรับรุ่นย่อยของรถกระบะรุ่นต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่ในช่วงแรก ๆ เป็นเพียงการนำรถรุ่นปกติมา Upgrade อุปกรณ์ และสมรรถนะตามปกติ เท่านั้น

ต่อมา ในช่วงปี 1997 – 1999 ทีมการตลาด ของ Ford North America ตัดสินใจสร้างความแตกต่าง ในตระกูลรถกระบะพิกัด Full Size Truck ให้ชัดเจน ยิ่งขึ้น  โดย Ford ได้แยก Ford F-series ออกเป็น 2 รูปแบบ ให้เหมาะสมตามรูปแบบการใช้งานของลูกค้าที่แตกต่างกันชัดเจน ได้แก่

  • F-150 เป็นรถกระบะที่มีการขับขี่ ใกล้เคียงยนต์นั่ง มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายหลายประการเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าให้มาซื้อ F-150 เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป
  • Ford Super Duty ได้แก่ F-250 และ F-350 ถูกแยกออกมาเป็นกลุ่มรถกระบะเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ โดยจะถูกสร้างขึ้นภายใต้พื้นฐานโครงสร้างตัวถัง และ เฟรมแชสซีส์ ที่แตกต่างจาก F150 รุ่นปกติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรทุก หรืองานลากจูงหนัก ๆ สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ

Ford F-Series Super Duty คันแรก คลอดออกจากสายการผลิต เมื่อวันที่ 5 มกราคม 1998 โดยแยกเป็นตระกูล F-250 Pickup-Truck รวมทั้ง F-350 Pickup-Truck และ Chassis-Cab ก่อนที่รุ่น F-450 และ F-550 Chassis Cab จะตามออกมาในภายหลัง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา Ford F-Series Super Duty ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลรถกระบะ F-Series ที่ยังคงทำรายได้และผลกำไรให้กับ Ford Motor Company มาอย่างต่อเนื่อง แถมยังรักษาแชมป์อันดับ 1 ในตารางรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกา มาหลายสิบปีติดต่อกัน และมีการเปลี่ยนโฉมใหม่มาแล้ว จวบจนปัจจุบัน  มากถึง 5 Generation! ส่วนรุ่นปัจจุบัน Model Year 2026 ขนาดเครื่องยนต์ สูงสุด คือ 7.3 ลิตร ราคา ก็เป็นไปตามที่เห็นในภาพข้างบนนี้

สำหรับตลาดในกลุ่ม Mid-Size Pickup Truck หลังการเปิดตัว Ranger รุ่นปัจจุบันไปได้สักระยะ การวิจัยตลาด ทำให้ Ford ได้ค้นพบว่า ลูกค้าที่อุดหนุน Ranger นั้น นอกจากจะมีผู้ที่ซื้อไปขับขี่ใช้งานเป็นรถกระบะประจำบ้าน และทำงานกับครอบครัว ไปจนถึงกลุ่มลูกค้า สำหรับงานขนส่งเชิงพาณิชย์ แล้ว ยังมีลูกค้ากลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีความต้องการเฉพาะตัวที่แตกต่าง ไปจากลูกค้า Ranger ปกติ

ลูกค้าเหล่านี้ ต้องการ ยานพาหนะ ที่ ทรทรหด รองรับงานหนักสมบุกสมบันได้ทุกรูปแบบ มีสมรรถนะทั้งบนถนนลาดยาง On-Road และ Off-Road ที่พาพวกเขาพ้นทุกอุปสรรคบนเส้นทางได้อย่างมั่นใจ มีขีดความสามารถในการฉุดลาก ที่สูงขึ้น มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมให้พวกเขาใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่เอามาประดับโบรชัวร์ยั่วใจตอนซื้อ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการความหรูหรา แต่ต้องมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จำเป็นพร้อมสรรพ รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ทั้งอุปกรณ์สื่อสาร หรืออุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ เต็มเปี่ยมด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัย ให้การขับขี่ที่สบายเพียงพอที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำงาน และการใช้ชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ แถมยังต้องมีความสะดวกในการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เพื่อรองรับการทำงานเฉพาะด้านของพวกเขา อย่างง่ายดาย และเสร็จสรรพ ตั้งแต่วันออกรถที่โชว์รูม ไม่ต้องเอาไปตกแต่งต่อเพิ่มเติมด้วยตัวเอง รวมทั้งคาดหวังประสบการณ์ด้านบริการหลังการขายที่ช่วยให้อุ่นใจได้ตลอดเวลาที่ครอบครองหรือเป็นเจ้าของรถ

ลูกค้าเหล่านี้ พวกเขาทำอาชีพ หลากหลาย ตั้งแต่ เกษตรกรเจ้าของ Farm ปศุสัตว์ หน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณูปโภค เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ในเหมืองแร่ ช่างเทคนิคด้านโครงสร้างพื้นฐาน วิศวกรโทรคมนาคม ฯลฯ และมักต้องการรถกระบะแบบนี้ ทั้งไปใช้งานส่วนตัว หรือ เป็นลูกค้ากลุ่มองค์กร ที่ต้องการรถกระบะใช้งานเป็น Fleet ใหญ่

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มองว่า รถกระบะ Full Size Truck อย่าง Ford F-150 มีขนาดใหญ่เกินไป และมีราคาแพงเกินเอื้อม ดังนั้น พวกเขาอยากได้ทุกความต้องการเหล่านี้ รวมไว้ใน รถกระบะขนาดกลาง Mid Size Truck อย่าง Ranger ในราคาที่ยังพอจับต้องได้

ทั้งหมดนี่ ทำให้ทีมวิศวกรของ Ford ที่ Dearborn Michigan สหรัฐอเมริกา ทำงานร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Ford ที่ Melbourne Australia ศึกษาหาความเป็นไปได้ และร่วมด้วยช่วยกัน ปรับปรุง Ranger รุ่นปัจจุบัน เพื่อแตกหน่อออกยอดรุ่นย่อยใหม่ ให้รองรับการใช้งานของลูกค้ากลุ่มนี้ โดยเฉพาะ อาจจะไม่ถึงขั้น Heavy Duty โหดๆ แต่ก็ถือว่า เหนือชั้นกว่า Ranger ปกติทั่วไป จนเห็นความแตกต่างชัดเจน

ดังนั้น คราวนี้จึงถือว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ Ford นำชื่อ Super Duty มาใช้กับตระกูลรถกระบะขนาดกลาง Mid-Size Pickup Truck อย่าง Ranger เพื่อแตกขยาย สายพันธ์ให้รองรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเฉพาะ มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เมื่อการพัฒนา เดินทางมาถึงจุดที่ รายละเอียดทางเทคนิคต่างๆ ลงตัวแล้ว Ford Motor Company จึงถือฤกษ์ประกาศสู่สาธารณชน เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2024 ตามเวลาของประเทศ Australia ด้วยการปล่อย Teaser ของFord Ranger Super Duty โดยเผยว่ารถกระบะรุ่นย่อยใหม่นี้ ได้รับการพัฒนา ร่วมกับกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ และจะเป็นรถกระบะขนาดกลางที่เกิดมาเพื่อทำในสิ่งที่รถกระบะขนาดกลางรุ่นอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ โดยมีกำหนดออกสู่ตลาดในปี 2026

จุดเด่นสำคัญของ Ford Ranger SUPER DUTY ก็คือ เป็นรถกระบะ ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาให้มีสมรรถนะเพิ่มขึ้นทั้งด้านมวลรวมของรถ หรือน้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุก (Gross Vehicle Mass – GVM) น้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุกและลากจูง (Gross Combined Mass – GCM) รวมถึงความสามารถในการลากจูง และสมรรถนะ Off-Road ที่สูงขึ้น โดยมีการปรับปรุงพื้นฐานงานวิศวกรรมใหม่ โดยสรุป ได้แก่

  • ปรับปรุงโครงสร้างแชสชีส์ใหม่
  • ปรับปรุงช่วงล่างใหม่
  • ปรับปรุงเพลาขับ และดุมล้อใหม่
  • ปรับปรุงระบบห้ามล้อใหม่
  • ปรับปรุงรายละเอียดระบบส่งกำลัง (Super Duty Powertrain)
  • ปรับงานออกแบบรอบคันสไตล์ ดีไซน์เฉพาะ Super Duty
  • เพิ่มความจุถังน้ำมันเป็น 130 ลิตร เพื่อเพิ่มระยะทางแล่นได้ไกลถึง 1.000 กิโลเมตร! ในการเติมน้ำมันถังเดียว
  • ปรับปรุงระบบดูดอากาศให้รองรับการลุยน้ำที่สูงขึ้น

จากการ Upgrade ดังกล่าว ทำให้ความสามารถในการบรรทุกและลากจูงของ Ranger SUPER DUTY เหนือกว่า Ranger ทั่วไป จนเทียบชั้นได้กับรถกระบะ Full Size Truck อย่าง Ford F-150 เลยทีเดียว เพราะ…

  • รองรับการลากจูงสูงสุด 4,500 กิโลกรัม (เมื่อติดตั้งเบรกที่รถพ่วง) เท่ากับ Ford F-150!!
  • น้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุก (GVM) สูงสุดถึง 4,500 กิโลกรัม เท่ากับ Ford F-150!!
  • น้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุกและลากจูง (GCM) สูงสุด 8,000 กิโลกรัม

ด้วยความเปลี่ยนแปลงหลายประการข้างต้น จึงเห็นได้ว่า “Ford Ranger Super Duty ไม่ใช่รถกระบะโมดิฟายแบบปกติ แต่คือการโมดิฟาย ทั้งความสามารถในการลากจูง ไปจนถึงสมรรถนะด้าน Off-Road เพื่อรองรับการลุยงานหนัก และลุยไปในพื้นที่โหดๆ จากโรงงานแต่แรกโดยเฉพาะ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ Workhorse เพียวๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกลุ่มลูกค้า อย่างแท้จริง

ก่อนออกสู่ตลาด Ford Ranger SUPER DUTY ได้ผ่านการทดสอบอันหฤโหดหลากหลายรุปแบบ โดยเฉพาะ การทดสอบที่บนน้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุกสูงสุด ในสนามทดสอบ Silver Creek Track ซึ่งไม่เคยถูกใช้ในการทดสอบ Ford Ranger มาก่อนเลย การทดสอบก็ประกอบไปด้วยการทดสอบลุยน้ำด้วยความเร็วในน้ำลึก ทดสอบรถยนต์เมื่อมีโคลนสะสมอยู่ที่ตัวรถกว่า 600 กิโลกรัม ตลอดจนการทดสอบความอึดถึกทนแบบอื่น ๆ เช่นการลากจูง ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยไม่หยุดพัก ด้วยระบบการควบคุมแบบ Autono,ous (สำหรับใช้ในสนามทดสอบรถเท่านั้น)

แน่นอนว่า Ford Ranger SUPER DUTY ทุกคัน จะถูกประกอบขึ้นจากโรงงาน AAT (Auto Alliance Thailand) ที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และจะถูกส่งลงเรือไปยัง ท่าเรือ Melbourne ที่ Australia

Double Cab 4 Door “Cab-Chassis” (With Flat Bed)

********** มิติตัวถัง / Dimensions **********

Ranger SUPER DUTY จะมีให้เลือก 4 รูปแบบตัวถัง ดังนี้

  • Double Cab 4 ประตู กระบะมาตรฐาน XLT (เตรียมจำหน่ายในประเทศไทย)
  • Double Cab 4 ประตู Cab-Chassis กระบะ Flat Deck (ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย)
  • Extended Cab / Super Cab / Open Cab “Cab-Chassis” กระบะ Flat Deck (ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย) 
  • Single Cab 2 ประตู “Cab-Chassis” กระบะ Flat Deck (เตรียมจำหน่ายในประเทศไทย)

ทั้ง 4 ตัวถัง มีขนาดตัวถังภายนอก แทบจะเรียบกได้ว่า เท่าๆกันหมด แม้จะมีบางรายการที่มีตัวเลขแตกต่างกัน แต่ก็ไม่มาก แค่เพียงนิดเดียว รายละเอียด มีดังนี้

  • ความยาวทั้งคัน (รวมหัวลาก) 5,644 มิลลิเมตร
  • กว้าง 2,197 มิลลิเมตร
  • สูง 1,977 – 1,985 มิลลิเมตร (ความสูงถึงเสาอากาศ)
  • ระยะฐานล้อยาว (Wheelbase) 3,270 มิลลิเมตร
  • ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) 1,710 มิลลิเมตร
  • ความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track) 1,710 มิลลิเมตร
  • ระยะห่างจากดุมล้อหน้าถึงปลายกันชนหน้า (Front Overhang) 945 มิลลิเมตร
  • ระยะห่างจากดุมหลังหน้าถึงปลายกันชนหลัง (Rear Overhang) 1,255 มิลลิเมตร
  • ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 295 – 299 มิลลิเมตร
  • มุมไต่ (Approach Angle) 36.1 – 36.3 องศา ตามแต่ละรุ่นย่อย
  • มุมจาก (Departure Angle) 28.6 – 29.3 องศา ตามแต่ละรุ่นย่อย
  • มุมคร่อม (Ramp Breakover Angle) 26.3 – 26.9 องศา ตามแต่ละรุ่นย่อย
  • ลุยน้ำได้ลึกสุด 85 เซ็นติเมตร / 850 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ 5 เซ็นติเมตร / 50 มิลลิเมตร)
  • ถังน้ำมัน เพิ่มขนาดขึ้นเป็น 130 ลิตร! รองรับการเดินทางไกลได้ถึง 1,000 กิโลเมตร!!

Extended Cab / Super Cab / Open Cab “Cab-Chassis” (with Flat Bed)

***** ภายนอก / Exterior *****

รูปลักษณ์ภายนอก ถูกปรับปรุงใหม่เล็กน้อย โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิด “Ultimate Tough” เน้นงานออกแบบและการตกแต่งที่มีความแกร่งเป็นพิเศษเพื่อสื่อถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นของตัวรถ

บริเวณด้านหน้ารถ มาพร้อมกับฝากระโปรงหน้า ดีไซน์ใหม่ พร้อมการประทับตัวอักษรประจำรุ่น “SUPER DUTY” ขึ้นรูปไว้บนขอบฝากระโปรงหน้า ถัดลงมาเป็นกระจังหน้า ลายใหม่ สีดำด้าน มีการออกแบบรายละเอียดภายในให้แตกต่างจากรุ่นปกติ เพื่อเพิ่มความดุดัน และเพื่อให้มีช่องเปิดรับอากาศที่ใหญ่ขึ้น ส่วนชุดไฟหน้า เป็นแบบ LED Multi reflector พร้อมกับ ไฟส่องสว่างในเวลากลางวันแบบ LED รูป C-Clamp ซึ่งยังคงได้แรงบันดาลใจมากจากเครื่องมือช่าง ตามเดิม

ถัดลงมาเป็นกันชนเหล็กแบบติดตั้งที่ Frame ของรถ (Frame-Mounted steel Bumper) พร้อมไฟตัดหมอกแบบLED และหูลากจูง 2 จุด

เมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นได้ว่าตัวรถจะสูงขึ้น แก้มข้างของรถ (Fender) ถูกขยายให้กว้างออกมา พร้อมกับเพิ่มโป่งซุ้มล้อสีดำด้าน ออกแบบมาเพื่อรองรับระยะห่างระหว่างช่วงล้อหน้า (Track) ที่เพิ่มขึ้น ติดตั้งเชื่อมต่อกับกันชนหน้า ซึ่งยังคงมีระยะ Tire Clearance เพียงพอ และให้การป้องกันพื้นผิวโลหะในสภาพการขับขี่ที่ทรหด

อุปกรณ์มาตรฐาน ประกอบไปด้วย เสาอากาศแบบสั้น สีดำ ติดตั้งบนหลังคา ส่วนขอบกระจกหน้าต่าง มือจับประตู กระจกมองข้าง ล้วนตกแต่งด้วยสีดำด้าน โดยตัวบานกระจก จะมีความสูงมากขึ้น ตามข้อกำหนดรถประเภท NB1 ในกฎหมายของ Australia มาพร้อมพร้อมไฟส่องสว่างข้างตัวรถ และระบบไล่ฝ้าที่กระจกข้าง ตัวกระจกมองข้างนั้น นอกจากจะปรับและพับด้วยไฟฟ้าได้แล้ว ยังสามารถยืดขยายให้ยาวขึ้น เพื่อรองรับการมองเห็นรถพ่วงลากจูงด้นหลังอีกด้วย

ถัดมาเป็น ท่อ Snokle ลาย ‘SUPER DUTY’ จากโรงงาน นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Ranger SUPER DUTY สามารถลุยน้ำได้สูงสุดถึง 850 มิลลิเมตร

กระบะหลังมีให้เลือกแบบกระพื้นเรียบหรือกระบะปกติ ซุ้มล้อตกแต่งสีดำด้านตั้งไฟเลี้ยวแบบสว่างพิเศษ ถัดลงมาเป็นบันไดข้าง

Single Cab “Cab-Chassis” (Flat Bed) รุ่นนี้ จะมีจำหน่ายในประเทศไทย

เมื่อมองจากด้านหลังของตัวรถ รูปลักษณหน้าตาของบั้นท้าย ก็จะขึ้นอยู่กับประเภทของกระบะที่ลูกค้าเลือก หากเป็นกระบะแบบพื้นเรียบ Flat Deck / Flat Bed  สิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ โครงเหล็กและตะแกรงเหล็ก บริเวณกระจกบังลมด้านหลัง ขอบกระบะสามารถเปิดกางออกได้จากทุกมุม มีตรา SUPER DUTY บนฝากระบะท้าย ไฟเบรกเป็นแบบ Halogen หลอดไส้สี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดา

กันชน ทำจากเหล็ก พร้อมหูลากจูง 2 ตำแหน่งที่ฝั่งซ้าย-ขวา ติดตั้ง เซ็นเซอร์กะระยะ ขณะถอยหลังเข้าจอด กล้องมองภาพด้านหลัง (แสดงผลบนหน้าจอ Monitor กลางภายในรถ ได้ชัดเจนมาก!) และระบบตรวจจับรถยนต์ในมุมอับสายตา ที่รองรับการเชื่อมต่อเทรลเลอร์ลากจูง (Blindspot Detection with and without trailers)

จุดกึงกลางของกันชนเหล็กด้านหลัง เป็นขอเกี่ยวยึดหัวลาก ที่รองรับน้ำหน้กลากจูงรถเทรลเลอร์พ่วงหลังได้ถึง 4,500 กก. อีก 1 จุด มาพร้อมกับระบบ Smart Hitch ที่จะทำให้ผู้ขับขี่ทราบน้ำหนักของสิ่งลากจูงโดยจะแสดงผลที่หน้าจอMonitor ตรงกลาง และมาพร้อมระบบอัจฉริยะที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถติดตั้งสิ่งลากจูงให้ถูกต้อง โดยจะแสดงขั้นตอนการติดตั้งแบบเป็นขั้นตอน

Double Cab 4 Door XLT (Available in Australia & Thailand : Mid 2026)

ส่วนรุ่นสุดท้ายที่จะเปิดตัวตามออกมาใน Australia และจะมีจำหน่ายเป็นรุ่นหลักสำหรับประเทศไทย คือ Double Cab 4 ประตู XLT ซึ่งจะมีรูปลักษณ์ด้านหน้า และการตกแต่งต่างๆ เหมือนกับรุ่น Double Cab 4 ประตู กระบะเรียบ เพียงแต่ว่า ความแตกต่างสำคัญจะอยู่ที่ กระบะด้านท้าย จะเปลี่ยนมาเป็นแบบมาตรฐาน พร้อมกับชุดไฟท้ายแบบเต็ม เช่นเดียวกับ Ranger Wildtrak , Stormtrak , Wolftrak

อย่างไรก็ตาม รุ่นกระบะแบบปกติยังไม่ได้วางจำหน่ายและเปิดสเปกแต่ประการใด เราคงต้องรอให้ถึงวันที่ 2 ธันวาคม 2025 รายละเอียดทางเทคนิคต่างๆน่าจะถูกประกาศพร้อมกันทางสื่อมวลชน Australia / New Zealand ในวันนั้น

Ranger SUPER DUTY ทุกรุ่น จะถูกติดตั้ง กระทะล้อ เหล็ก ขนาด 18 นิ้ว ส่วนรุ่น XLT จะมาพร้อมล้ออัลลอย รมดำ ขนาด 18 นิ้ว ทั้งคู่ ใช้น็อตล้อ แบบ 8 รู พร้อมฝาครอบดุมล้อ เพื่อความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ สวมด้วยยาง General Grabber All-Terrain LT ขนาด 275/70 R18 ติดตั้งยื่นออกมามากกว่ารุ่นปกติ เนื่องจากระยะความกว้างช่วงล้อถูกขยายออกมาให้กว้างขึ้นกว่า Ranger รุ่นมาตรฐาน

********** ภายในห้องโดยสาร / Interior**********

ระบบกลอนประตู เป็นรีโมทคอนโทรล Smart Keyless Entry พร้อมกุญแจ Wave key แบบฝั่งไว้ด้านในตัวรีโมท เมื่อพกกุญแจเดินเข้าใกล้รถ สามารถดึงเปิดประตูได้เลยทันที หากต้องการสั่งล็อกประตู ก็เพียงแค่ใช้นิ้วสัมผัสที่ ร่องสี่เหลี่ยมบนมือจับ หรือจะกดปุ่มล็อก – ปลดล็อก ที่กุญแจรีโมท ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer และสัญญาณกันขโมย (Security Alarm System) ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานจากโรงงานด้วย

การเข้า – ออกจาก บานประตูคู่หน้า ยังคงทำได้สะดวกสบายดี จากขนาดของช่องประตูที่ใหญ่โต และเสาหลังคาคู่หน้า มีมุมเอียงที่เหมาะสม บันไดข้างมีขนาดใหญ่ ความกว้างเหมาะกับการวางเท้าได้พอดี อีกทั้งยังใช้วัสดุแบบสาก คล้ายกับบันไดข้างของ RAPTOR ทำให้การยืน หรือเหยียบขึ้นไปนั่ง ค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร อีกทั้งยังมี มือจับสำหรับ โหนยกตัว ติดตั้งบริเวณเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar มาให้ทุกรุ่นทุกคัน ยิ่งเพิ่มความสะดวกในการก้าวขึ้น – ลง จากรถมากขึ้นไปอีก เพียงแต่ว่า ด้วยความสูงที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณอาจต้องออกแรงยกตัวขึ้นเยอะกว่า Ranger / Everest รุ่นปกติ นิดนึง

งานออกแบบภายในโดยรวม จะมีความคล้ายคลึงกับ Ranger รุ่นปกติ แต่จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยจะมุ่งเน้นการใช้วัสดุที่มีความทนทานมากขึ้น พื้นห้องโดยสารหุ้มด้วย Vinyl ลดทอนความหรูหราลงมา แต่ยังมีผ้ายางรองพื้นเอาไว้มาให้จากโรงงาน

เบาะนั่งคู่หน้าของทุกรุ่น ใช่วัสดุที่ เป็นเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้า ลายใหม่ ฝั่งคนขับปรับด้วยมือได้ 8 ทิศทาง (เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ปรับพนักพิงหลัง เอน-ตั้งชัน ยกเบาะรองนั่งขึ้น – ลง และ ยกตัวเบาะขึ้น – ลง) ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสาร จะปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง (เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ปรับพนักพิงหลัง เอน-ตั้งชัน)

เบาะนั่งคู่หน้า ยังคงให้ความสบายพอดีๆ ไม่ได้ต่างจาก Ranger รุ่นปกติ การใช้ผ้าหุ้มเบาะ อาจทำให้มีสิ่งสกปรก หรือมีฝุ่นจับได้อยู่บ้าง แต่ตัวผ้า ทำความสะอาดง่าย จึงไม่ค่อยน่ากังวลนัก เพียงแต่ว่า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ และผ่อนแรงปะทะ Pre-tensioner & Load Limiter ไม่สามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้ ซึ่งเราอยากจะบอกกับผู้ผลิตทุกรายว่า อย่างกในประเด็นนี้เลย ช่วยใส่มาให้เสียทีเถอะ!

เบาะหลังขึ้นอยู่กับว่าเป็นตัวถังแบบไหน หากเป็นรุ่น 4 ประตูก็จะได้เบาะหลังแบบเต็มชิ้น พร้อมจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX ส่วนรุ่น Open Cab สำหรับตลาด Australia ก็จะได้เบาะหลังที่เล็กลงมา และจะไม่มีจุดยึดเบาะเด็ก เนื่องจาก Ford มองว่า เป็นตำแหน่งนั่งที่ไม่ปลอดภัยพอสำหรับการโดยสารของเด็ก และมีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับการติดตั้งเบาะนิรภัย ส่วนรุ่น Single Cab ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเบาะหลัง เพราะ ไม่มีมาให้แน่ๆ

แผงหน้าปัด ของทุกรุ่น ทุกตัวถัง เหมือนกันหมด ยังคงเป็นแผงหน้าปัดที่ถูกออกแบบตามแนวคิด Coast-to-Coast เหมือน Ranger รุ่นปกติ ติดตั้งหน้าจอความบันเทิงระบบสัมผัส (Multi-touch Screen) ขนาด 12 นิ้ว พร้อม ชุดมาตรวัด TFT แบบสี ขนาด 8 นิ้ว

ความแตกต่างของแผงหน้าปัด รุ่น SUPER DUTY ที่แตกต่างจากรุ่นปกติ อยู่ที่แผงตกแต่งหุ้มหนังพร้อมตะเข็บด้ายที่ส่วนบนของแดชบอร์ดหายไป รวมทั้งมีการเพิ่มช่องเก็บของ Glove Compartment Box มา 2 จุด บนและล่าง โดยที่ช่องเก็บของด้านบน เป็นฝาพลาสติกธรรมดา ประทับตรา SUPER DUTY เอาไว้ นอกจากนี้ ยังเพิ่มจุดติดตั้งอุปกรณ์เสริมมาให้บริเวณระหว่าง Compartment Box มา 2 จุด บนและล่าง ทำให้ไม่จำเป็นต้องเจาะรถเพิ่ม

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หน้าตาเหมือนเดิม หุ้มด้วยหนัง สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง ทั้งสูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างจากลำตัว สวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายใช้สำหรับปรับหน้าจอชุดมาตรวัด รับสาย-วางสายโทรศัพท์ และเลื่อนเพลงหรือคลื่นวิทยุ ฝั่งขวาใช้สำหรับควบคุมการทำงานของระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติ พร้อมสวิตช์ปรับระยะห่างจากรถคันข้างหน้าได้ 4 ระดับ มีสวิตช์เปิด-ปิดระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน สวิตช์สั่งงานเสียง และสวิตช์เพิ่ม-ลดเสียง

ก้านสวิตช์ควบคุมที่คอพวงมาลัย ของฝั่งขวาเป็นสวิตช์ ควบคุมการเปิด – ปิดไฟเลี้ยว ชุดไฟหน้าแบบเปิด – ปิดอัตโนมัติ และส่วนฝั่งขวาเป็นสวิตช์ควบคุมใบปัดน้ำฝน

ชุดมาตรวัดเป็นหน้าจอ Full Digital แบบสี ขนาด 8 นิ้ว เท่ารุ่น Ranger Wildtrak ซึ่งจะเล็กกว่าของ Raptor และ Everest รุ่นย่อย Titanium+

หน้าจอกลางเป็นระบบสัมผัส SYNC Screen ขนาด 12 นิ้ว แบ่งการแสดงผลออกเป็น 2 ส่วนหลัก ด้านล่างซึ่งกินพื้นราวๆ 30% สำหรับแสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกปรับอุณหภูมิอิสระ ซ้าย-ขวา ฮีตเตอร์ ปรับรูปแบบการกระจายลม ปรับอุณหภูมิ หรือพัดลม ได้จากการกดปุ่มบนหน้าจอและสวิตช์ที่แยกออกมาอยู่ด้านล่างของจอ ด้านบนสำหรับแสดงข้อมูลตัวรถ ระบบความบันเทิง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา มาพร้อมระบบสั่งงาน SYNC 4 รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย นอกจากนี้หน้าจอกลางยังสามารถแสดงผลข้อมูลของระบบ OBS ที่จะแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหนักของชุดลากจูง จากการตรวจจับค่าของเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ที่ช่วงล่าง เพื่อไม้ให้น้ำหนักเกิน

ด้านหน้าสุดของแผงคอนโซลกลาง เป็นแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือไร้สาย Wireless Charging พร้อมช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบ USB Type A และ Type C ถัดมาอีกนิดเป็นคันเกียร์ไฟฟ้า (E-Shift) ต่างจากรุ่น Wildtrak ที่จะเป็นคันเกียร์แบบธรรมดา การวาง Layout ตำแหน่งเกียร์ต่างๆ คล้ายกันกับ Raptor

ข้างคันเกียร์เป็นช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ถัดมาด้านหลังเป็นสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า สวิตช์ปรับระบบขับเคลื่อน และระบบ Terrain Management

ฝั่งซ้ายของลำตัวคนขับ จะเป็นกล่องเก็บของที่เชื่อมต่อจากคอนโซลกลาง ด้านบนเป็นฝาปิดแบบบุฟองน้ำ หุ้มหนังสีดำ เดินตะเข็บด้าย ทำหน้าที่เป็นพนักวางแขนตรงกลางสำหรับเบาะนั่งคู่หน้า สามารถยกเปิดขึ้น เมื่อเปิดขึ้น จะพบกับพื้นที่เก็บของด้านใน ขนาดใหญ่เหมือนเดิม

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม / Technical Information **********

เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง รวมทั้งระบบขับเคลื่อน ของ Ranger SUPER DUTY ในทุกประเทศที่ทำตลาด จะมีเพียงแบบเดียว เท่านั้น วางลงในทุกตัวถัง ทุกรุ่นย่อย เท่าเทียมกันทั้งหมด

เครื่องยนต์ เป็นแบบ Diesel V6 (ทำมุม 60 องศา) DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 2,993 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร (Power Stroke) ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct-injection ผ่านราง Common-rail กำลังอัด 16.0 : 1 ลำดับการจุดระเบิด : 1 – 4 – 2 – 5 – 3 – 6 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger

กำลังสูงสุด 154 กิโลวัตต์ หรือ 209 แรงม้า (PS) ที่ 3,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (61.14 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที มาตรฐานไอเสีย Euro 6

เมื่อเปรียบเทียบกับ Ford Ranger V6 รุ่นปกติ จะพบว่า เครื่องยนต์ของ Ranger Super Duty จะมีแรงม้าน้อยกว่ารุ่นปกติ ลดลงจากเดิมซึ่งอยู่ที่ 184 กิโลวัตต์ หรือ 250 แรงม้า ส่วน (PS) Ranger Super Duty จะมีพละกำลังสูงสุด 154 กิโลวัตต์ หรือ 209 แรงม้า (PS) ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก Ranger Super Duty ถูกจัดให้เป็นรถยนต์ในกลุ่ม N2 ของทางสหภาพยุโรป (EU)  ซึ่งเป็นรถยนต์ประเภทที่มีน้ำหนักมวลรวมสูงสุดมากกว่า 3.5 ตัน แต่ไม่เกิน 12 ตัน ทำให้ Ranger Super Duty จะต้องตกอยู่ภายใต้ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม Heavy Duty EUVI และมีการเพิ่มระบบ AdBlue เข้ามา

เมื่อมีการปรับจูนให้รถเป็นไปตามมาตรฐานด้านมลพิษ ย่อมต้องมีการติดตั้งระบบ DPF (Diesel Particular Filter) สำหรับการเผาเขม่าไอเสียเพื่อลดมลพิษจากเครื่องยนต์ Diesel อย่างไรก็ตาม การเผาเขม่าไอเสียจะทำให้บริเวณใต้ท้องรถมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายในสภาพแวดลอมบางประเภท เช่น เมื่อขับรถแล่นบนทุ่งหญ้า ดังนั้น Ranger Super Duty จึงมาพร้อมกับระบบที่สามารถเลื่อนกระบวนการเผาไหม้เขม่าไอเสียได้ของ DPF ได้ และเปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่เลือกเวลาที่เหมาะสมในการเผาเขม่าไอเสียได้เอง เช่นขณะขับรถบนทางหลวงระหว่างเมือง

กระนั้นแล้ว แม้แรงม้าลดลง แต่ระบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ก็ได้รับการ Upgrade อีกหลายประการ อาทิ แท่นเครื่องได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของรถ Heavy Duty ปรับจูนเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังใหม่เพื่อให้ใช้แรงบิดของเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและเพื่อให้เป็นรถยนต์รุ่นที่มีแรงบิดมากกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน ตลอดจนมีการพัฒนาระบบระบายความร้อน ให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 25% จาก 800 w ใน Ranger V6 รุ่นปกติเป็น 1000 w ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับการลากจูง

นอกจากนี้ เพลาขับทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (Driveshaft) หัวเพลาขับหน้า (CV Joint) เฟืองท้าย (Differential) ตลอดจนลูกปืนเพลา (Axle Bearing) ยังถูกเปลี่ยนใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แถมยังต้องติดตั้งถังน้ำมันขนาดใหญ่โตกว่าเดิม เป็นขนาด 130 ลิตร ติดตั้งคู่กับถัง AdBlue บริเวณด้านซ้ายของตัวรถ ก่อนถึงล้อหลังฝั่งซ้าย

ไม่เพียงเท่านั้น ระบบดูดอากาศ Air intake และระบบไอเสีย Exhaust system ตลอดจนการติดตั้งของระบบอุปกรณ์ไฟฟ้า และการซีลต่าง ๆ ของ Ranger Super Duty ถูกปรับปรุงใหม่ อีกทั้งยังมีการติดตั้งท่อไอเสียแบบ Snorkel มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทำให้สามารถลุยน้ำได้สูงสุด 850 มิลลิเมตร ซึ่งอันที่จริงในระหว่างการทดสอบ Ford รถทดสอบก็ได้ผ่านการลุยน้ำที่สูงมากกว่า 850 มิลลิเมตร มาแล้ว

ขุมพลัง ดังกล่าว จะติดตั้งเชื่อมต่อเข้ากับ เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ และอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ ให้เหมาะสมกับการใช้งานหนัก เกียร์ลูกนี้ จะส่งกำลังลงสู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full Time มีรูปแบบการทำงานให้เลือก 3 Mode ดังนี้

  • 4A สำหรับการขับขี่ตามปกติ ใช้งานในเมือง ระบบจะปรับการถ่ายเทกำลังสู่ล้อ ทั้ง 4 อัตโนมัติ ตามสภาพถนน
  • 4H (4-High) สำหรับการขับขี่ บนพื้นขรุขระ หรือพื้นก้อนกรวด พื้นทรายแน่นๆ ที่ยังใช้ความเร็วได้อยู่
  • 4L (4-Low) สำหรับการปีนป่ายด้วยความเร็วต่ำ ไปตามอุปสรรคบนเส้นทางรูปแบบต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมี โปรแกรมการขับขี่ ให้เลือก มากถึง 7 รูปแบบ ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ดังนี้

  • NORMAL สำหรับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
  • ECO เน้นความประหยัดเชื้อเพลิง ในการขับขี่ทั่วไป
  • Tow / Haul ควบคุมกำลังเครื่องยนต์ สำหรับการลากจูงรถพ่วง เทรลเลอร์ ฯลฯ
  • Slippery สำหรับการขับขี่บนพื้นถนนเปียกลื่น
  • Mud / Ruts สำหรับการขับขี่ บนโคลน หรือดินเลน ที่เหนียวระดับหนังหมู
  • Sand สำหรับการขับขี่ บนพื้นทราย หรือ ทะเลทราย
  • Rock Crawl สำหรับการขับขี่ปีนป่ายไปตามโขดหินต่างๆ 

ระบบบังคับเลี้ยว / Steering Wheels

พวงมาลัย ยังคงเป็นแบบ Rack and pinion ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 6.8 เมตร ซึ่งเอาเข้าจริง ก็กว้างเป็นอ่าวไทยมากๆ

วิศวกรของ Ford เข้าใจดีว่านี่คือจุดอ่อน จึงติดตั้ง ระบบ Trail Control มาให้ ในกรณีขับขี่ไปบนเส้นทางสมบุกสมบัน หากต้องการเลี้ยวรถในมุมแคบๆ ให้เปิดโหมด ขับเคลื่อน 4 ล้อ แล้ว กดสวิตช์ บนหน้าจอฝั่งขวา ระบบจะล็อกล้อหลังด้านใน ไว้ให้ หากจะเลี้ยวซ้าย ระบบจะล็อกล้อหลังฝั่งซ้าย แต่ถ้าเลี้ยวขวาสุด ระบบจะล็อกล้อหลังฝั่งขวาให้ ช่วยเพิ่มความสะดวก ขณะเลี้ยวลัดเลาะ พารถปีนป่ายไปยังเส้นทางทุระกันดาร

ช่วงล่าง และ แชสซีส์
Chassis & Suspension

Ford Ranger Super Duty ใช้ Frame Chassis ที่ถูกเสริมความแข็งแรง ให้มากขึ้นกว่าเดิมในหลายจุด เพื่อรองรับการบรรทุกหนักและสมรรถนะของตัวรถ โดยการเพิ่มการใช้เหล็กแบบ High Strength Steel ตามโครงสร้างเพิ่มมากขึ้น ชุดช่วงล่างมีการเสริมแรงที่จุดเชื่อม Welding Spot เพื่อการบังคับควบคุมที่ดีขึ้น อีกทั้งยังมีการขยายช่วงล้อออกไปให้กว้างขึ้น เป็น 1,710 มิลลิเมตร และมีการยกความสูงของระยะห่างจากพื้นใต้ท้อง จนถึงพื้นถนน (Ground Clearance) ขึ้นอีกเป็น 297 – 299 มิลลิเมตร ตามแต่ละรุ่นย่อย

นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งแผงป้องกันที่ใต้ท้องรถ ทำจาก High Strength Steel (HSS) เพื่อป้องกันการกระแทกไปยังชิ้นส่วนสำคัญ เช่นเครื่องยนต์ ชุดเฟือง ระบบส่งกำลัง กรองน้ำมัน ถังน้ำมัน โดยที่แผงป้องกันนี้ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับน้ำหนักของ SUPER DUTY

ช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบอิสระปีกนก ปีกนกบนและล่าง วัสดุอะลูมิเนียม ส่วน ช่วงล่างด้านหลัง แบบแหนบ แผ่นซ้อน Leaf Spring 4 ชิ้น ปรับปรุงสำหรับ SUPER DUTY โดยเฉพาะ นั่นเท่ากับว่า ชิ้นส่วนหลายชิ้นใน SUPER DUTY อาจจะเบิกอะไหล่ไปใส่กับ Wildtrak หรือ RAPTOR ไม่ได้!

ระบบห้ามล้อ / Brake

ระบบเบรกยังคงเป็นแบบ หน้า-ดิสก์เบรก หลัง-ดรัมเบรก แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขนาดจานเบรกคู่หน้า ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เป็นขนาด 18 นิ้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเบรก และลดอาการ Fade และการปรับตั้งระบบเสริมแรงเบรกไฟฟ้า (Electric Brake Booster) เพื่อให้การตอบสนองเฉพาะตัวของรุ่น Heavy Duty

ส่วนตัวช่วยต่างๆ ยังคงมีมาให้ครบถ้วนตามมาตรฐานเช่นเดียวกับ Ford Ranger Next Gen รุ่นอื่นๆ ดังนี้

  • ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System)
  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution)
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC (Dynamic Stability Control)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control พร้อม Electric Brake Booster
  • ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA
  • ระบบลดความเสี่ยง จากการพลิกคว่ำ ROM
  • เบรกมือไฟฟ้า Electric Parking Brake

ส่วนระบบ ADAS (Adaptive Driving Assist System) นั้น  Ford จัดเต็ม และเผื่อรวมไปถึงการรติดตั้งเชื่อมต่อกับรถพ่วงด้านหลังให้เต็มพิกัดมากๆ ดังนี้

  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมระบบ Stop & Go
  • ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ พรอมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
  • ระบบตรวจจับรถในจุดอับสายตาขณะขับขี่ รองรับการตรวจจับจุดอับสายตาสำหรับรถพ่วง Blind Spot Information System
  • ระบบตรวจจับรถขณะออกจากช่องจอด Cross-Traffic Alert and Braking
  • ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
  • ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist
  • ระบบตรวจจับป้ายจราจร
  • ระบบช่วยจำกัดความเร็วอัจฉริยะ
  • กล้องมองรอบคัน 360 องศา
  • เซนเซอร์กะระยะจอดด้านหน้า
  • สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง
  • ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
  • ระบบสัญญาณกันขโมยแบบตรวจจับรอบคัน
  • ระบบล็อกประตูด้านหลังป้องกันเด็กเปิด
  • เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ทุกตำแหน่ง (ไม่สามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้เลย)
  • ระบบเบรกหลังการชน
  • ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitoring System)

สำหรับการเชื่อมต่อกับรถพ่วง ลากจูงนั้น Ford เตรียมความพร้อมให้ลูกค้าเสร็จสรรพ ด้วยคาน Rear Driver Assist Technology Bar หัวเกี่ยวรถลาก ที่มาพร้อมปลั๊กต่อเชื่อมพ่วงการทำงานกับระบบเบรกของรถพ่วง รวมทั้งไฟเบรกท้ายรถพ่วง และภาพจากกล้องมองหลัง นอกจากนี้ ที่พิเศษก็คือ มีระบบ On-Board Scale ให้ผู้ขับขี่ สามารถประมาณการน้ำหนักบรรทุก ของทั้งสัมภาระ สิ่งของ หรือน้ำหนักของรถพ่วงด้านหลัง ไปจนถึง ยังมีระบบช่วยถอยหลังเข้าจอด เพียงแค่เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วกดปุ่มวงกลมขนาดเล็ก บนสวิตช์หมุน ระบบ Terrain Management จากนั้น คุณสามารถใช้สวิตช์ดังกล่าว ควบคุมรถ หมุนว้าย หมุนขวา เหมือนรถบังคับวิทยุ ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ระบบจะช่วยหมุนพวงมาลัยรถให้คุณเอง!

นอกจากนี้ ตัวรถยังถูกออกแบบมาให้รองรับกับติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษจากผู้ผลิตที่ Ford ให้การรับรองมากมาย ตั้งแต่ตู้สำหรับรถดับเพลิง ตู้อุปกรณ์ปฐมพยาบาล โครงเหล็กรูปแบบต่างๆ ต่อพ่วงกับรถบ้าน หรือแม้กระทั่ง ตัวอย่างเช่น ถังน้ำ สำหรับล้างมือ พร้อมน้ำยาล้างมือ ทีมวิศวกร Ford บอกว่า เวลาที่คุณทำงาน นอกสถานที่เสร็จ ถ้ามือเลอะ ต้องการจะล้างมือ นี่คือคำตอบที่มีให้คุณสั่งติดตั้งได้จากโรงงาน!

***** Driving Impression / ความรู้สึกแรกหลังลองขับ *****

อัตราเร่ง จากขุมพลัง Diesel V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร ใน Super Duty อาจจะต้องทำใจ เพราะนอกจาก กำลังสูงสุดจะถูก Tune down ลงมา จาก 250 เหลือ 209 แรงม้า (PS) แล้ว อัตราทดเกียร์ กับเฟืองท้าย ยังเซ็ตมาให้รองรับกับงานบรรทุกและลางจูง เป็นหลัก ดังนั้น ใครที่อยากได้ความปรู๊ดปร๊าด ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยครับ งานนี้ น้องเค้าจะ ออกตัว และแร่งเซง อืดกว่าเดิมแน่นอน ดูจากการลองเร่งแซงช่วง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เนือยกว่า หนืดกว่า Ranger และ Everest รุ่นอื่นๆ ที่ใช้ขุมพลัง V6 Diesel เหมือนกัน อยู่เล็กน้อย

น่าเสียดายว่า ด้วยความเข้มงวดของการขับเป็นขบวนต่อเนื่องกันไป จากทีม Instructor ทำให้เราไม่มีโอกาส ทดลองหาอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือ 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาให้คุณได้รับรู้เตรียมใจกันไว้ก่อนเลย ประเด็นนี้ คงต้องติดค้างไว้ก่อน จนกว่าเราจะได้ลองนำเวอร์ชันไทย มาทำรีวิวกันอีกครั้งในปี 2026

การเก็บเสียงกระแสลมจากห้องโดยสาร ถือว่าทำได้ดีพอสมควร ไม่ได้แตกต่างจาก Ranger และ Everest รุ่นอื่นๆ มากนัก ในช่วงความเร็วต่ำกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังสามารถพูดคุยในรถันได้โดยไม่ต้องเร่งตะเบ็งเสียงเพิ่มขึ้น นี่พูดกันตรงๆว่า มันเงียบในระดับใกล้เคียงกับ Toyota Camry รุ่นใหม่เลยนะเออ!

แต่หลังจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป เสียงของกระแสลม ไหลผ่านบริเวณ กระจกมองข้างขนาดใหญ่ จะดังขึ้นมานิดๆ แม้จะไม่มากนัก แต่ก็ใกล้เคียงกับ Toyota Hilux Travo และ Toyota Camry รุ่นใหม่ (ซึ่งยังคงมีเสียงจากกระแสลมหมุนวนที่กระจกมองข้างอยู่พอสมควร) ส่วนความเร็วช่วงหลังจากนั้น พอจะเดาได้ว่า ไม่น่าแตกต่างจาก Ranger รุ่นปกติเท่าใดนัก

พวงมาลัย ผมคาดว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไร เพราะความเป็นจริง แร็คไฟฟ้าชุดนี้ ถูกเซ็ตและปรับจูนมาให้เหมาะสมกับการใช้งานกับ Ranger และ Everest Big Minorchange รอบแรกนี้ไปแล้ว มาตั้งแต่ ช่วง 2 ปีก่อน

ตามปกติแล้ว แร็คไฟฟ้า ชุดนี้ หากไปอยู่ใน Ranger หรือ Everest รุ่นย่อยไหนก็ตาม ที่ใช้ขุมพลัง Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร จะเป็น Turbo เดี่ยว หรือ Bi-Turbo ก็ตาม เมื่อเครื่องยนต์มีน้ำหนักเบา มาเจอกับล้อขนาด 17 หรือ 18 นิ้ว ที่สวมเข้ากับ ยางติดรถขนาดมาตรฐานเข้าไป จะให้สัมผัสที่ เบาหวิวในความเร็วต่ำ และแอบเบาไปหน่อย ในย่านความเร็วเดินทาง และต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถ ในย่านความเร็วสูงๆ

พอไปอยู่ใน Everest Platinum ซึ่งใช้ล้อขนาด 21 นิ้ว พร้อมกับเปลี่ยนมาเป็นขุมพลัง Diesel V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร กลายเป็นว่า น้ำหนักพวงมาลัย ลงตัวพอดี สำหรับคนที่ต้องการความ เบากำลังดีแต่ยังมั่นใจในการควบคุมรถ

ยิ่งเมื่อไปอยู่ใน Ranger Raptor ซึ่งใช้ยางและล้อขนาดใหญ่โต มีน้ำหนักมาก รุ่นเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Bi-Turbo จะยังมีน้ำหนักที่หนืดขึ้นมากกว่า Everest Platinum อีกนิดนึง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นขุมพลังเบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 397 แรงม้า (PS) ยิ่งกลายเป็นว่า พวงมาลัยจะหนืดขึ้น หนักขึ้นในความเร็วต่ำ หนักสุดในกลุ่ม แต่ยังตอบสนองดีงามมากๆ และกลายเป็น Combination ที่ลงตัวมากสุดสำหรับ Ranger / Everest ใน Generation นี้ โดย Feeling พวงมาลัยแบบ Raptor V6 นั้น คุณจะพบได้ใน Ranger MSRT เช่นเดียวกัน

แต่สำหรับ Ranger Super Duty นั้น เมื่อนำแร็คชุดเดียวกันมาใช้งาน ร่วมกับขุมพลัง Diesel V6 3.0 ลิตร พร้อมกับยาง General รุ่นใหม่ กลับกลายเป็นว่า น้ำหนักพวงมาลัยของ Super Duty จะแทรกตัวไปอยู่ตรงกลาง ระหว่าง Ranger รุ่นปกติ (รวมทั้ง Wildtrak Stromtrak) กับ Ranger Raptor โดยน้ำหนัก และความหนืด จะกระเดียดไปทาง Raptor รุ่น Diesel และใกล้เคียงกับ Ranger MSRT กับ Raptor V6 เบนซิน

กลายเป็นว่า การบังคับควบคุมรถ ทั้งบนทางราดยางมะตอย ไปจนถึง ทางสมบุกสมบัน ทำได้แม่นยำ ด้วยน้ำหนักและความหนืดของพวงมาลัยที่กำลังดี มีระยะฟรีนิดหน่อย อย่างเหมาะสมกับรูปแบบและความสูงของตัวรถ แถมยังให้ความมั่นใจ ในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง อีกด้วย (แต่ถ้าเจอกระแสลมมาปะทะด้านข้างแรงๆ รถก็อาจจะเป๋ได้นิดหน่อย เหมือนกันกับ Ranger / Everest รุ่นอื่นๆ (ยกเว้น Raptor V6 เบนซิน ตัวท็อป และ Ranger MSRT) นั่นแหละ

ไม่เพียงเท่านั้น ขณะปีนป่ายบนทาง Off-road อาการดีดดิ้นไปมาของพวงมาลัย กลับน้อยกว่า รถกระบะแบบเดิมๆที่ใช้ ชุดแร็คแบบ Hydraulic อย่างชัดเจน ทำให้การควบคุมรถผ่านอุปสรรคต่างๆ ทำได้ง่ายดายมากขึ้น ไม่ยากเย็นเหมือนแต่ก่อนเลย

ดังนั้น ผมมองว่า น้ำหนักพวงมาลัยของ Ranger Super Duty ลงตัวดีแล้ว ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนอะไรมากกว่านี้

ช่วงล่างของ SUPER DUTY นั้น ให้การขับขี่ที่สบาย บนทางเรียบ ต่อให้เข้าโค้งด้วยความเร็วระดับ 100 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือจะเป็นทางโค้งลัดเลาะตามไหล่เขา ด้วยความเร็ว 40 – 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ให้ความมั่นใจ ไปพร้อมกับความแม่นยำ สบาย และไม่เหนื่อยมากในการควบคุม พูดง่ายๆ คือ ช่วงล่าง แน่นขึ้นกับ Ranger Wildtrak ปกตินิดหน่อย แต่ด้านหลังไม่ได้สะเทือน เท่า Ranger T6 รุ่นปี 2012 กลับนั่งสบายแบบแน่นๆ พอสมควร แต่ถ้าเจอหลุมบ่อแบบขอบแหลม รถก็แข็งสะเทือนชัดเจนมากๆ

กระนั้น ก็น่าแปลกว่า เวลาปีนป่ายตามโขดหิน แรงกระแทกที่เกิดขึ้น กลับไม่มากเท่าบรรดา รถกระบะ 4×4 คันอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา มันเหมือนมีความพยายามดูดซับแรงกระแทก ให้ช่วงล่างมีสัมผัสที่ Firm แน่น แต่ยังแอบลดแรงสะเทือนให้ไม่เหนื่อยล้ามาก

ภาพรวมของช่วงล่าง ถือว่า แข็งมากสุดในบรรดา Ranger ทุกรุ่น คนละแนวทาง และแน่นกว่า RAPTOR นิดหน่อย แต่ยังเหลือบุคลิกการขับขี่ On-Road ที่ให้ความแม่นยำ มั่นใจ ไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของผมไปไกล

ระบบห้ามล้อ เป็นอีกการปรับปรุงหนึ่งที่ผมมองว่า ทำได้ดี น้ำหนักแป้นเบรก ในช่วงระยะเหยียบ 30% แรก หนืดขึ้นชัดเจน และ Linear ขึ้น ควบคุมการเบรกได้ตามใจสั่งมากขึ้น และมีระยะหยุดที่แอบดีขึ้นกว่า Ranger ทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในบ้านเรา

พูดกันตามตรง ขอเปลี่ยนจานเบรกชุดนี้ ไปใส่ ใน น้อง Raptor ได้ไหมงะ!? Please!

ส่วนการลุย Off Road นั้น สารพัดตัวช่วยที่มีมาให้ ช่วยให้ผม สามารถผ่านอุปสรรคที่ยากมากได้อย่างง่ายดายเหลือเชื่อ แม้ว่าบางด่าน จะยาก ในระดับที่ว่า แม้แต่ Ranger WildTrak หรือ Ranger RAPTOR อาจจะผ่านไม่ได้เสียด้วยซ้ำก็ตาม

อัตราเร่ง ช่วง Walking Speed ที่ดี เมื่อรวมกับตัวช่วย ทั้งหลาย เช่นระบบ Terrain Management ระบบ ช่วยขับขี่ ลงทางลาดชัน ที่สามารถปรับเพิ่มและลดความเร็ว ได้จากสวิตช์ของระบบ Adaptive Cruise Control ทีละ 0.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยิ่งเพิ่มความละเอียด ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

รายละเอียดขณะขับ Off-Road แนะนำว่า เปิดดูใน Video Clip ท้ายบทความนี้ ช่วงท้ายของตัวคลิป จะพาคุณไปลองสถานการรณ์จริง และนั่นคือความรู้สึกจริงที่ได้ลองขับ ในทางวิบาก

********** สรุป (เบื้องต้น) / Conclusion **********
Ranger สายถึก ทน ลุยงานหนักโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับนายหัว เจ้าของฟาร์ม
คนทำงานมือโปร
และคนที่ซีเรียสกับ แรงบิดและพิกัดบรรทุก เพื่องานลากจูง
แต่ไม่ซีเรียสกับอัตราเร่ง 0-100 Km../h. และค่าน้ำมัน
เจอกันในเมืองไทย ต้นปี 2026 

Ford เป็นบริษัทที่ผมยอมรับอย่างหนึ่งว่า มีความเป็นสุนัขจิ้งจอง สูงมาก…

ฟังดูเหมือนว่า เจ้าเล่ห์จัง แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพราะจริงๆแล้ว Ford เป็นบริษัทที่มีสัญชาตญาณในการปรับตัวเร็ว และฉับไวที่สุดบริษัทหนึ่ง ในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายทั่วโลก เราต้องไม่ลืมว่า Ford คือ ผู้ผลิตรายแรก ที่ส่งสัญญาณว่า จะถอยหลังกลับมาตั้งหลักใหม่ ให้กับโครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV ล้วน ทั้งหมด เพราะพวกเขาได้กลิ่นว่า ตลาด EV ไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก หลังจากนั้น ก็เป็นอย่างที่เห็น ทุกบริษัททะยอยเหยียบเบรก โครงการเดินหน้าเข้าสู่การผลิต EV เต็มตัวกันหมด กลับมาพัฒนาขุมพลัง สันดาปล้วน และ Hybrid กันต่อไป

คราวนี้ก็เช่นกัน ในเมื่อผลวิจัยตลาดบอกว่า ยังมีความต้องการแอบแฝง ในบรรดาลูกค้ากลุ่มหนึ่งอยู่ Ford ซึ่งกำลังกุมขมับ เพราะมองหาทางอยู่ว่า จะสานต่อการทำตลาด Ranger ทั่วโลกอย่างไรดี ก็ดันไปเจอคำตอบที่ตนเองมองหาโดยบังเอิญ พวกเขาจึงนำ Ranger ที่เราคุ้นเคยกันดี มายกระดับทั้งโครงสร้าง Frame Chassis ไปจนถึง สมรรถนะในการฉุดลาก ปรับปรุงให้ตัวรถ ถึง ทน ลุย ได้หนักกว่าเดิม เพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มพิเศษ ที่ต้องการ Work Horse ที่ไว้ใจได้ ขับสบาย แต่ปลอดภัย และมั่นใจ เพื่อทุกการทำงานที่ไม่เผื่อพื้นที่ให้ความผิดพลาดใดๆในชีวิตทั้งสิ้น

ผลลัพธ์ที่ได้คือ แม้ว่า Ranger SUPER DUTY จะเป็๋น Work Horse แท้ๆ ที่เน้นความแข็งแกร่ง ทรหด บึกบันยิ่งกว่า Ranger ทุกรุ่นที่เคยมีมา แต่น่าแปลกว่า ยังคงความสบายในการขับขี่เอาไว้ บนทางเรียบ ได้ดีเกินความคาดหมาย แม้ว่า ช่วงล่างจะแน่นและติดแข็งสะเทือนประมาณหนึ่งเลยก็ตาม แต่กลับกลายเป็นว่า ผมไม่รู้สึกเหนื่อยล้าสะสมใดๆ เลยตลอดเวลาที่ใช้ขีวิตอยู่กับรถคันนี้

แน่นอนละครับ ในเมื่อมันถูกออกแบบมาให้เป็น รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ ดังนั้น อย่าคาดหวังอัตราเร่งแซง เลย ขนาดเหยียบเรียกอัตราเร่ง จาก 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังสัมผัสได้ว่า อืดกว่า Ranger รุ่น 2.0 Bi-Turbo ปกติ เสียด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเรื่องความประหยัดน้ำมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง การที่ Ford ถึงกับยอมเพิ่มขนาดถังน้ำมัน ให้ใหญ่โตขึ้น จาก 80 เป็น 130 ลิ ตร มันก็บอกอยู่เป็นนัยๆแล้วว่า อย่าคาดหวังอัตราสิ้นเปลืองที่ดีเลิศเลอใดๆเลย แค่สามารถพาคุณ กับข้าวของที่ต้องลากจูง เดินทางไกลได้ แตะ 1,000 กิโลเมตร นั่นก็บุญโขแล้ว!

ต้องไม่ลืมว่า นี่คือ Work Horse ช้ั้นดี ที่ฉุดลากได้ด้วยพิกัดน้ำหนักเดียวกับ Full Size Truck อย่าง Ford F-150 แต่ให้การขับขี่ที่ นิ่ง เนียน แน่นแข็ง แต่มั่นใจในทุกโค้ง ช่วงล่างไม่ดีดเด้งเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนรุ่น MSRT ถ้าคุณเข้าใจในโจทย์ที่รถคันนี้ถูกสร้างมา คุณก็จะรู้ได้เองว่า รถคันนี้ จะเหมาะกับคุณหรือไม่ เพราะต้องบอกกันตามตรงว่า Ranger SUPER DUTY อาจไม่ได้เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ทั่วไปทุกคน แต่มันจะเหมาะกับเจ้าของกิจการ ฟาร์มขนาดใหญ่ หรือ มืออาชีพ ที่ต้องการ ม้าศึกคู่กายที่ไว้ใจได้ ในทุกงานหนักของคุณ

ถ้าเปิดตัวในเมืองไทย ราคาขาย เท่าไหร่? แพงไหม?

ราคาจำหน่ายของ Ford Ranger SUPER DUTY ใน Australia ช่วงเปิดตัว ทั้ง 4 รุ่นย่อย มีดังนี้

• Single Cab Chassis – ตอนเดียว กระบะพื้นเรียบ ราคา 82,990 AUD
• Super Cab Chassis – ตอนครึ่ง กระบะพื้นเรียบ ราคา 86,490 AUD
• Double Cab Chassis – 4 ประตู กระบะพื้นเรียบ ราคา 89,990 AUD
• Double Cab pick-up – 4 ประตู กระบะปกติ (จะเปิดราคาในช่วงกลางปี 2026)

ถ้าแปลงเป็นเงินไทย เอา 21 คูณ เข้าไป (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2025 1 AUS Dollar = 21 THB)

คุณอาจจะมองว่าแพง แต่อย่าลืมว่า ตามปกติแล้ว รถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทย จะมีค่าตัวถูกกว่า Australia ประมาณ 100,000 – 200,000 บาท อันเป็นส่วนต่าง ทั้งจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าขนส่ง  ค่าประกันภัยทางทะเล และค่าธรรมเนียมด้านพิธีการศุลกากรต่างๆ แม้ว่าจะเสียภาษีนำเข้า 0% ตามข้อตกลงทางการค้า FTA (Free Trade Area) ระหว่าง ไทย กับ Australia ก็ตาม

ดังนั้น ค่าตัว ของ Ranger SUPER DUTY นั้น คาดว่า จะเหมือนกับตำแหน่งการตลาดของตัวรถเองนั่นแหละ คืออยู่ตรงกลาง ระหว่าง Ranger Wildtrak V6 และ Ranger RAPTOR เพียงแต่ว่า มีแนวโน้มที่เราจะได้เห็นราคาของ SUPER DUTY กระเดียดค่อนมาใกล้กับฝั่ง RAPTOR มากกว่า

อดใจรอกันอีกไม่นานครับ คาดว่า ราคาน่าจะถูกประกาศก่อนงาน…หรือไม่ก็…ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือน มีนาคม 2026 นี้ และเมื่อถึงเวลาหลังจากนั้น เราจะได้รู้กันเสียทีว่า เมื่อรถเวอร์ชันไทย มาอยู่ในมือผม ตัวเลขอัตราเร่ง กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จะเป็นอย่างไร และการขับขี่ บนถนนเมืองไทย จะให้สัมผัสที่แตกต่างจาก เวอร์ชัน Australia หรือไม่

หลังกลางปี 2026 ไป น่าจะได้พบกันอีกครั้งใน บทความ และ Video Clip : Full Review !

——————-///——————–

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
Ford Opearion Asia-Pacific
Ford Australia PTY.
Fords Sales (Thailand) Co.,Ltd.
เอื้อเฟื้อการเดินทาง และอำนวยความสะดวกอย่างดียิ่ง ในทริปนี้

เตรียมข้อมูล โดย Navarat Panutat

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
27 พฤศจิกายน 2025

Copyright (c) 2025 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
November 27th,2025

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!

——————————————–

——————————————–