Aston Martin Works มีส่วนงานรับฟื้นฟู Aston Martin ในอดีตด้วย และเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2025 ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลของผลงานล่าสุดที่ใช้เวลานานกว่า 3 ปีกว่าจะสำเร็จกับ 1965 Aston Martin DB5 ของ Welshman John Williams โดยเขาได้เปิดเผยเรื่องความเป็นมาว่า เขาฝันที่จะได้ครอบครองรถยนต์รุ่นนี้ และเก็บหอมรอมริบจนกระทั่งเดือนกันยายน 1973 ที่เขามีอายุได้ 19 ปี เขาพบประกาศขายของรถยนต์คันนี้เข้าในราคา 900 ปอนด์ (ราว 38,000 บาท) หรือ 15,000 ปอนด์ (ราว 640,000 บาท) ในค่าเงินปัจจุบัน
Williams จึงเดินทางด้วยรถไฟเป็นเวลานานหลายชั่วโมงจาก North Wales ไปยัง London เพื่อไปดูรถคันจริง และเจรจาปิดการขายได้ ก่อนจะขับ Aston Martin DB5 คันนี้กลับบ้าน และใช้งานในชีวิตประจำวันตลอดสี่ปีถัดมา จนกระทั่งในปี 1977 ที่เขาต้องย้ายไปทำงานที่ตะวันออกกลาง เป็นเหตุให้เขาต้องจอด DB5 ทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน จนสภาพเริ่มทรุดโทรม ทั้งยังพบพานกุมารเปรตในละแวกใกล้เคียงมาเล่นบนรถ จนฝากระโปรงเสียหาย และท่อไอเสียร่วงลงมาทั้งชุดด้วย ในระหว่างนั้น เขายังได้รับข้อเสนอขอซื้อต่อหลายครั้ง
แม้ Williams จะทราบดีว่าเงินที่ได้จากการขาย Aston Martin DB5 ของเขาสามารถนำไปทำอะไรได้มากมาย แต่เขาปฏิเสธไม่ขาย เคราะห์ดีที่ Sue ภรรยาของเขาเข้าใจพร้อมกับพูดสนับสนุนว่า ‘ถ้าปล่อยไปก็ซื้อกลับมาใหม่ไม่ได้’ เมื่อเวลาผ่านไป Willaims ได้ตั้งเป้าหมายที่จะกลับมาขับรถยนต์คันนี้ให้ได้อีกครั้ง จนกระทั่งปี 2022 ที่เขาได้ส่ง DB5 ของเขาที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมกลับมาให้ Aston Martin Works บูรณะใหม่ทั้งหมด ซึ่งใช้เวลากว่า 2,500 ชั่วโมงในการพลิกซากศพให้เป็นนางฟ้า หรือเทียบเท่าเวลา 3 ปีเลย
Williams และภรรยาได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งผลงานแล้วเสร็จทั้งหมดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งเขาได้กล่าวว่า ‘เขารอมานานมากและเก็บเงินมาเป็นเวลานาน แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคุ้มเม็ดเงินทุกสตางค์’ ทั้งยังมีการประเมินด้วยว่าด้วยสเป็คและสภาพ ที่ได้รับการฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้ว Aston Martin DB5 ของเขาสามารถเปลี่ยนมือได้ด้วยมูลค่า 1,000,000 ปอนด์ หรือราว 42,721,000 บาท ทั้งนี้ ไม่มีการระบุว่าค่าบูรณะอยู่ที่เท่าใด
สาเหตุที่ Aston Martin DB5 ของ Williams อยู่ในระดับ ‘สมเด็จ’ เพราะเดิมทีมีการผลิต DB5 ขึ้นมาทั้งหมด 1,022 คัน ระหว่างปี 1963 – 1965 และมีเพียง 887 คันที่มาในตัวถัง Saloon แบบที่เห็น ที่สำคัญมีเพียง 39 คันเท่านั้นที่มาในสเปคสีเงิน Silver Birch แท้จากโรงงาน โดยนี่คือสีที่คนต้องการมากที่สุด พร้อมด้วยขุมพลัง Vantage ที่แรงกว่าพร้อมคาร์บูเรเตอร์ Weber และ เป็นรุ่นพวงมาลัยขวา ทั้งยังมีกระจกไฟฟ้า Sundym มาด้วย
ที่มา: Aston Martin
