ถึงเวลาเปิดผ้าคลุมกันเสียทีกับสุดยอดสปอร์ตเรือธงของค่ายสามห่วง ภายใต้แบรนด์สมรรถนะสูงอย่าง GR เมื่อเวลา 9.00 น. (เวลาท้องถิ่นประเทศไทย) เช้าวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2568 Toyota Motor ได้แถลงข่าวเปิดตัว GR GT ที่ถ่ายทอด DNA จากสนามแข่ง โดยฝีมือของทีมงาน Toyota Gazoo Racing อย่างแท้จริง การพัฒนารถที่มี มอริโซะ (Akio Toyoda) เป็นหัวหอกในการกำกับทิศทาง พร้อมรวมทีมทดสอบที่ประกอบด้วยนักแข่งอาชีพอย่าง Tatsuya Kataoka Hiroaki Ishiura และ Naoya Gamou ตลอดจน gentleman driver Daisuke Toyoda มาร่วมให้ข้อเสนออย่างใกล้ชิด ทุกขั้นตอนถูกออกแบบให้มุ่งเน้นประสบการณ์ของคนขับเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างรถที่ให้ความรู้สึกรถกับคนเป็นหนึ่งเดียวแบบที่รถซูเปอร์สปอร์ตควรเป็น นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นตัวแข่ง GR GT3 ซึ่งเป็นรถแข่งที่พัฒนาต่อจาก GR GT ที่ใช้แนวทางเดียวกันเพื่อถ่ายทอด DNA การแข่งขันลงสู่รถทั้งสองรุ่นอย่างเต็มรูปแบบ
ในฐานะรถเรือธงที่สืบทอดจิตวิญญาณจากสปอร์ตในตำนานอย่าง Toyota 2000GT และ Lexus LFA หนึ่งในเป้าหมายหลักของโปรเจกต์ GR GT คือการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนารถระดับสูงไปยังทีมวิศวกรรุ่นใหม่ ตลอดจนการพัฒนาที่มีการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ของทีมที่เคยสร้าง LFA ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีเทคโนโลยีล้ำยุค กับการนำเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ระบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง หรือซอฟต์แวร์จำลองการขับขี่ระดับมืออาชีพ เพื่อสร้างรถที่กล้าท้าทายแนวคิดเดิมของ Toyota อย่างสิ้นเชิง
GR GT ถูกนิยามให้เป็น “รถแข่งที่ถูกกฎหมายในเวอร์ชั่นรถถนน” นับตั้งแต่เริ่มออกแบบและพัฒนา โดยยึดหลัก Driver First ไม่ใช่แค่ความเร็วหรือพละกำลัง แต่ต้องขับง่าย ควบคุมได้อย่างแม่นยำ และตอบสนองตามที่ผู้ขับต้องการทันที ตัวรถจึงมาพร้อมระบบ Hybrid ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 4.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ที่พัฒนาขึ้นใหม่ จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ทั้งเครื่องยนต์และเกียร์ติดตั้งตามแนวยาวอยู่หลังเพลาล้อคู่หน้า ให้พละกำลังรวม 650 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดทะลุ 850 นิวตัน-เมตร โดยยังคงให้สมดุลการถ่ายเทน้ำหนักหน้า-หลังที่ดีเยี่ยม พร้อมการจัดการความร้อน การตอบสนองคันเร่งและเสียงเครื่องยนต์สไตล์รถแข่งเป็นส่วนสำคัญที่ถูกพัฒนาอย่างพิถีพิถัน
และเพื่อให้ได้ศูนย์ถ่วงต่ำที่สุด วิศวกรเริ่มจากการกำหนดตำแหน่งของผู้ขับก่อนแล้วค่อยออกแบบตัวรถตาม ซึ่งเป็นวิธีที่รถแข่งมักใช้ ตัวเครื่องยนต์ V8 แบบ dry sump ถูกติดตั้งให้ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พร้อมย้ายชุดเกียร์และทรานส์แอกเซิลไปไว้ด้านหลังเพื่อปรับสมดุลน้ำหนัก ทั้งหมดนี้ทำให้ศูนย์ถ่วงของผู้ขับและของรถอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกันมากที่สุด ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างรถกับคนขับเวลาเข้าโค้งที่ความเร็วสูง
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการใช้ตัวถังโครงสร้างอะลูมิเนียมทั้งคัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Toyota ใช้ในรถโปรดักชัน การออกแบบนี้ช่วยลดน้ำหนักได้มากในขณะที่เพิ่มความแข็งแรงบิดตัวของโครงสร้างให้สูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ CFRP และพลาสติกเฉพาะจุดเพื่อลดน้ำหนักโดยไม่ลดความทนทาน โครงสร้างลักษณะนี้ทำให้ GR GT มีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมสำหรับการปรับจูนให้ตอบสนองเฉียบคมและมีความนิ่งแม้ในสถานการณ์ขับขี่สุดขีดจำกัด
การออกแบบภายนอกของ GR GT ใช้วิธี “Aerodynamics First” ซึ่งต่างจากรถทั่วไปที่เริ่มจากดีไซน์แล้วค่อยปรับอากาศพลศาสตร์ทีหลัง นักออกแบบและวิศวกรอากาศพลศาสตร์ทำงานร่วมกันตั้งแต่วันแรก เพื่อกำหนดรูปทรงที่เหมาะสมกับการระบายความร้อนและลดแรงต้านลมมากที่สุด ทั้งยังต้องรองรับความเร็วระดับ 320 กม./ชม. หรือสูงกว่า การพัฒนานี้ทำให้ดีไซน์ของ GR GT ไม่ได้สวยเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกสร้างเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกความเร็ว
ห้องโดยสารของ GR GT ถูกออกแบบโดยยึดหลัก Functional Cockpit เน้นตำแหน่งนั่งขับ มุมมองทัศนวิสัย และการเข้าถึงปุ่มควบคุมให้สะดวกรวดเร็วที่สุด องค์ประกอบต่าง ๆ ถูกจัดวางให้สอดคล้องกับสรีรศาสตร์ของผู้ขับระดับมืออาชีพ และยังรองรับผู้ขับทั่วไปในชีวิตประจำวันด้วย จอแสดงผลต่าง ๆ ถูกกำหนดขนาดและตำแหน่งผ่านกระบวนการทดลองมากมายเพื่อให้มองเห็นได้ง่ายแม้ขณะขับแบบใช้เวลารอบสนามเป็นตัวตัดสิน
ระบบขับเคลื่อนของ GR GT ได้รับการออกแบบร่วมกับโปรแกรมจำลองการขับขี่ระดับเดียวกับรถแข่งคลาส LMP1 ช่วยให้ทีมงานทดสอบพฤติกรรมเครื่องยนต์ ชุดเกียร์และมอเตอร์ส่งกำลังและระบบ Hybrid ก่อนทดลองจริง บวกกับการทดสอบในสนามจริงอย่างฟูจิและนือร์เบอร์กริง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบส่งกำลังตอบสนองทันใจและทนทานต่อการใช้แบบสมบุกสมบัน เป้าหมายคือทำให้ GR GT เป็นรถที่ให้ความตื่นเต้นระดับรถแข่ง แต่ยังขับได้ง่ายและมั่นใจบนถนนทั่วไป
ที่มา: Toyota
