จากสถิติในปี 2024 มีรายงานว่ามีรถยนต์ถูกโจรกรรมในสหรัฐฯ เป็นจำนวนกว่า 850,000 คัน สร้างความเสียหายให้กับเจ้าของรถยนต์และบริษัทประกันภัยเป็นมูลค่า 8,000 ล้าน USD (ราว 251,000 ล้านบาท) และหนึ่งในรุ่นยอดนิยมขวัญใจอาชญากรคือ Ford F-150 ที่มียอดถูกโจรกรรมเกือบ 5,000 คันในช่วงครึ่งแรกของปี Ford จึงเปิดตัวระบบ Start Inhibit เพื่อมารับมือกับปัญหานี้ โดยนำมาติดตั้งเป็นครั้งแรกใน Ford F-150 รุ่นปี 2024

ต่อมาในปี 2025 มีการนำระบบ Start Inhibit มาติดตั้งใน Ford F-250 เพิ่มด้วย เพราะทั้งสองรุ่นนี้ต่างตกเป็นเป้าหมายของการโจรกรรมรถยนต์ ส่วนเงื่อนไขการให้บริการจะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน 1 ปีแรกหลังซื้อ ก่อนที่จะคิดค่าบริการเดือนละ 7.99 USD (ราว 250 บาท) ต่อเดือน สำหรับเงื่อนไขการทำงานคือ ผู้ใช้งานต้องมีระบบ FordPass พร้อมทั้งเปิดใช้งานด้วย ถึงจะสามารถสั่งการดับเครื่องยนต์จากระยะไกลได้ แม้อาชญากรจะทำกุญแจ copy หรือขโมยกุญแจตัวจริงไปได้

 

ระบบ Start Inhibit ของ Ford จะแจ้งเตือนผู้ใช้งาน เมื่อมีการเข้าถึงตัวรถโดยไม่ได้รับอนุญาต ตรวจจับได้ทั้งการเปิดปิดประตู และการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย เพื่อให้รับมือทัน แต่ถ้ารถยนต์ถูกโจรกรรมไปแล้ว และผู้ใช้งานกดยืนยัน ความน่าสนใจของระบบคือการเชื่อมต่อกับศูนย์กลางของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะทำการแจ้งความพร้อมกับระบุตำแหน่งของรถยนต์ จากนั้นจะสั่งดับเครื่องยนต์ พร้อมทั้งนำพาเจ้าหน้าที่ ไปยังจุดสุดท้ายที่รถยนต์จอดอยู่

มีการระบุด้วยว่าการระบุตำแหน่งจากระบบ Start Inhibit ไม่ได้มีแค่ตัวส่งสัญญาณ GPS ที่อาจถูกถอดทิ้งได้หากหัวขโมยรู้ทัน แต่ระบบยังสามารถส่งสัญญาณได้จาก software ภายในรถยนต์รวมไปถึงส่วนควบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลากจูง, ไดชาร์จ และ อื่นๆ ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ใช้งานต้องแลกกับการใช้ระบบนี้ นอกจากเสียค่าบริการคืออาจเสียความเป็นส่วนตัวบ้าง เพราะตำแหน่ง GPS รถยนต์และสถานะการขับขี่ จะเข้าถึงโดยระบบตลอดเวลา

 

ที่มา: carscoops