ในปัจจุบัน องค์ความรู้ ด้าน อากาศ พลศาสตร์ นั้น ส่วนใหญ่ ต้องอาศัยการศึกษาและประสบการณ์จากการ
พัฒนารถแข่งต่างๆ ซึ่งนอกจากจะใช้เวลาแล้ว การนำมาประยุกต์ใช้ในรถยนต์ที่ผลิตออกมาขายได้อย่างมี
ประสิทธิผลนั้น ยังทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากข้อมูลจากแล็บทดลองส่วนมากสามารถทดสอบได้เพียงขณะที่
รถอยู่นิ่ง แต่ในความเป็นจริงรถยนต์ถูกใช้บนท้องถนนร่วมกับรถคันอื่น และบนผิวถนนและมุมความ
ลาดชันต่างๆกัน ซึ่งความรู้ส่วนนี้ต้องอาศัยการทดสอบจากรถจริงในสนามทดสอบ ซึ่งทำให้การปรับปรุง
จุดเล็กๆในการออกแบบต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณมาก

 

ด้วยเหตุนี้ BMW Group จึงตัดสินใจสร้างศูนย์ทดสอบอากาศพลศาสตร์ Aerodynamic Test Center  
ที่ทันสมัยที่สุดในโลกด้วยงบประมาณ 170 ล้านยูโร (ประมาณ 8,500 ล้านบาท) ตั้งอยู่ในมิวนิค 

 

บนอาคารขนาดความสูง 5 ชั้นตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 6.2 เอเคอร์ (ประมาณ 16 ไร่) จะเป็นที่ทำงาน
แห่งใหม่สำหรับผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร และนักวิทยาศาตร์ด้านเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์กว่า 500 คน
ที่เคยทำงานอยู่ในสถานที่ต่างๆ รอบเมืองมิวนิค ซึ่งบางแห่งต้องเดินทางกว่า 20 กิโลเมตรเพื่อมา
ประชุมร่วมกัน การลดระยะทางนี้จะทำงานประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นอย่างมาก อีกทั้ง
กระบวนการทำงานที่ยืดหยุ่นจะช่วยให้ความรู้ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆได้อย่าง
มีประโยชน์มากขึ้นด้วย 

 

Aerodynamic Test Center จัดได้ว่าเป็นศูนย์ทดสอบอากาศพลศาสตร์ที่ทันสมัยและมีศักยภาพสูงที่สุด
ในโลกยานยนต์วันนี้ ประกอบด้วยอุโมงค์ลมไฮเทคและถนนจำลองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อุโมงค์ลม
และถนนจำลองนี้สามารถจำลองและวิเคราะห์การไหลของอากาศของรถในสถานการณ์การขับขี่จริง
บนท้องถนน กระบวนการนี้ยังสามารถจำลองแบบพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังสามารถจำลอง
สถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น การไหลของอากาศที่เป็นผลจากรถคันหนึ่งสู่รถอีกคัน ซึ่งทำให้สามารถ
เข้าใจได้ถึงความสัมพันธ์ด้านอากาศพลศาสตร์กับการขับเคลื่อนได้อย่างไม่เคยทำได้มาก่อน

 

ศูนย์แห่งนี้มีศักยภาพในการจำลองสถานการณ์เสมือนการใช้งานบนท้องถนนจริง เช่นที่ความเร็วต่างๆ
ความลาดชัน และความโค้งของถนน รวมถึงปฏิกิริยาต่างๆของตัวถังเมื่ออยู่บนถนนที่มีผิว ความลาดเอียง
และความโค้ง ที่ต่างๆกันไป ความสามารถดังกล่าวของ Aerodynamic Test Center จะช่วยให้ความรู้ด้าน
อากาศพลศาสตร์ สามารถใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นกระบวนการ โดยไม่ต้องรอ
ให้ถึงขั้นตอนที่ตัองผลิต รถจริงออกมา อีกทั้งการปรับเปลี่ยนแก้ไขก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิผล

 

ซึ่งแตกต่างสิ่งที่ทำกันทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ในปัจจุบันการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเดียวกันนี้ จะต้อง
นำรถจริงมาวิ่งบนสนามทดสอบ ซึ่งเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้ายสำหรับการพัฒนารถยนต์ ซึ่งใน
หลายกรณีแล้ว ข้อมูลที่ได้เรียนรู้มานั้นกลับไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ เพราะว่าการปรับเปลี่ยน
รูปแบบหรือสัดส่วนของรถ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในจุดเล็กๆอาจจะไม่คุ้มทุนในการเปลี่ยนแปลง

 

ข้อมูลที่สามารถเรียนรู้จากการทดสอบใน Aerodynamic Test Center นี้เปรียบได้กับความรู้ที่ได้
จากการเข้าร่วมการแข่งขันรถต่างๆเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเรียกได้ว่าจะมีประโยชน์อย่างมากที่สามารถ
นำรถโมเดลมาทดสอบบนถนนจำลองที่เลื่อนได้ แทนที่จะนำรถจริงมาวิ่งในสนามทดสอบ ข้อมูลต่างๆ
ที่ได้จากการทดสอบจะถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนารถยนต์ตั้งแต่ต้นกระบวนการ 

 

ด้วยศักยภาพในการให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นกระบวนการพัฒนารถ Aerodynamic Test Center
จะเป็นหัวใจสำคัญของเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการพัฒนารถยนต์ในอนาคต ซึ่งกระบวนการใหม่นี้
นอกจากเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการออกแบบรถให้มีอากาศพลศาสตร์
ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังเป็นการประหยัดงบประมาณในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในอนาคตอีกด้วย

 

สำหรับ Aerodynamic Test Center นั้นนอกจากจะมีอุปกรณ์ทดสอบและอุโมงค์ลมสุดไฮเทคแล้ว
ขั้นตอนรายระเอียดในการทำงาน รวมถึงการสื่อสารและกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของวิศวกรและ
นักวิทยาศาสตร์ ยังได้ถูกคิดขึ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน เริ่มจากสถานที่ตั้งของที่อยู่ติดกับ FIZ Research
& Innovation Center ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงหน่วยออกแบบของรถยนต์ของ
BMW Group ทำให้กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยีและรถยนต์รุ่นต่างๆเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆทั้งด้านการออกแบบ ด้านการออกแบบระบบวิศวกรรม ด้านเครื่องยนต์
รวมถึงด้านอากาศพลศาสตร์ จะรวมศูนย์อยู่ในที่แห่งเดียวกัน

 

นอกจากศูนย์ศึกษาอากาศพลศาสตร์ Aerodynamic Test Center จะช่วยให้วิศวกรสามารถนำข้อมูล
และความรู้ด้านอากาศพลศาสตร์มาเป็นข้อมูลในการพัฒนารถยนต์ตั้นแต่ตอนต้นของกระบวนการ
อย่างๆไม่เคยทำได้มาก่อนแล้ว ยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลของอากาศพลศาสตร์ที่เกี่ยวกับ
เสถียรภาพและการเกาะถนนของรถในสถานการณ์ต่างๆได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์
ที่ซับซ้อนเพื่อศึกษาผลของการไหลของอากาศระหว่างรถสองคันขณะเร่งแซงต่อเสถียรภาพและการ
เกาะถนน ซึ่งข้อมูลความรู้ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับวิศวกรที่จะพัฒนารถยนต์ให้มี
ความปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น  

 

สำหรับ BMW Group ปรัชญา EfficientDynamics นั้นเป็นมากกว่าเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ว่า
อยู่ในหัวใจของการทำงานทุกขั้นตอนของการทำงาน ตั้งแต่การประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิต การ
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดการใช้ทรัพยากรทั้งในส่วนของพลังงานและน้ำ จนถึงสภาพแวดล้อมการทำงาน
และสุขภาพของพนักงาน ปัจจัยองค์ประกอบต่างๆนี้ ได้ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปเป็น “World’s Most
Sustainable Car Maker” จากการจัดอันดับของ Dow Jones Index

‘รถยนต์สมรรถนะสูง ประหยัดน้ำมัน มลพิษต่ำ’ คือ เป้าหมายหลักของปรัชญา EfficientDynamics ณ
วันนี้ BMW Group ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ผลิตที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกของรถยนต์พรีเมียม
ล้ำหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่นอกจากโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่แล้ว ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ช่วย
ประหยัดน้ำมันและคายมลพิษต่ำ เมื่อเปรียบเทียบสถิติระหว่างปีค.ศ. 2008 กับค.ศ. 2006 จะเห็นว่ารถยนต์
BMW สามารถประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นและคายไอเสียน้อยลงถึง 16% และรถยนต์ MINI สามารถทำ
อัตราดังกล่าวได้ถึง 20% อัตราการพัฒนาในด้านการประหยัดน้ำมันและคายไอเสียของทั้งสองแบรนด์นั้น
ดีกว่าผู้ผลิตรถยนต์พรีเมืยมอันดับที่ 2 มากกว่าสองเท่า

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆสู่โลกแห่งยานยนต์ BMW Group
ยังพร้อมเสมอที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำนี้ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสู่อนาคต

 

 

————————————-///———————————-