BMW Thailand สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายสูงสุดในปี 2554 โดยมียอดขายเพิ่มมากขึ้นกว่า 20%
เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ในปี 2011 ยอดขายบีเอ็มดับเบิลยูอยู่ที่ 3,858 คัน และเมื่อรวมยอดขายมินิ
ทั้งหมด 385 คัน ทำให้ยอดขายรวมของ BMW Group Thailand สร้างสถิติใหม่มาอยู่ที่ 4,243 คัน
เพิ่มขึ้น +24% เมื่อเทียบกับยอดขายโดยรวมในปี 2553

มร. แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน BMW Group Thailand กล่าวว่า “ในปี 2011 ที่ผ่านมา BMW Group
ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการทำสถิติยอดขายสูงสุดนับแต่ก่อตั้ง BMW Group Thailand มาตั้งแต่
ปี 1997 โดยได้สร้างสถิติยอดขายรวมสำหรับบีเอ็มดับเบิลยูและมินิที่ 4,243 คัน ขยายตัวถึง +24% เมื่อ
เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งของความสำเร็จมาจากบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 5 ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า
50% และมีสัดส่วนในการขายเติบโตขึ้นมาโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถือเป็นความสำเร็จที่สอดคล้อง
กับสถิติใหม่ที่ BMW Group ทั่วโลก ทำได้กว่า 1.6 ล้าน คัน ภายใต้แบรนด์ BMW, MINI และรถยนต์หรู
 Rolls-Royce ซึ่งเพิ่มขึ้น +14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า”

“ทั้งนี้หากวิเคราะห์จากเหตุการณ์สำคัญในปี 2011 ซึ่งมีผลกระทบในช่วงไตรมาสสุดท้ายจากเหตุการณ์
น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จะเห็นได้ว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นเสมือนดัชนีที่ชี้วัดความเชื่อมั่น
ของผู้บริโภคที่มีต่อ BMW และ MINI เราเชื่อว่าในปัจจุบันนี้ ลูกค้าทุกท่านให้ความใส่ใจในเรื่องความ
คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะในด้านการประหยัดพลังงานและค่าบำรุงรักษา ด้วยเทคโนโลยี BMW
EfficientDynamics และโปรแกรมการบำรุงรักษารถยนต์ ที่เราเป็นผู้นำมาโดยตลอดสำหรับโปรแกรม
BSI BMW Services Inclusive ซึ่งสร้างความสบายใจให้กับลูกค้าว่า รถยนต์ BMW ของลูกค้าทุกท่าน
จะได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลา 5 ปี / 100,000 กิโลเมตรและด้วย ‘Cost of Ownership’
ที่ต่ำที่สุด ในทำนองเดียวกัน รถยนต์ MINI ก็มาพร้อมกับโปรแกรมบำรุงรักษาและซ่อมแซม MSI MINI
Services Inclusive ระยะเวลา 3 ปี / 50,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ทิศทางในการวัดระดับความพึงพอใจของลูกค้า
ก็ดีขึ้นตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งดัชนีความพอใจในด้านการขายและการบริการหลังการขาย สอดคล้อง
กับยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดียวกัน”

ปี 2012 วางแผนนำเสนอรถยนต์ใหม่ ที่มาพร้อมนวัตกรรมอันล้ำสมัย
พร้อมยกระดับด้านการบริการเพื่อความพึงพอใจสูงสุดสำหรับลูกค้า

เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านรถยนต์พรีเมี่ยมในเมืองไทยในปีนี้
จะมีการเปิดตัว BMW 5 Series พร้อมเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo ใหม่
โดยเปิดตัว 2 รุ่นใหม่พร้อมกัน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ผ่านมา ดังนี้

BMW 5 Series พร้อมเครื่องยนต์ TwinPower Turbo ใหม่ มาพร้อมกันทั้ง BMW 520i และ 528i Sport

BMW 520i
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 184 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,500 รอบ
ประหยัดน้ำมันด้วยอัตราเฉลี่ย 15.6 กม./ลิตรด้วยเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo ใหม่

BMW 520i มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา
พร้อมด้วยเทคโนโลยีอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP 8 จังหวะ อัตราเร่ง
 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 8.0 วินาที อีกทั้งยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 15.6 กิโลเมตร/ลิตร
และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 149 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU มา
พร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานเช่นฟังก์ชั่น Auto Start-Stop ฟังก์ชั่นระบบ Driving Experience Control ที่สามารถ
ให้ผู้ขับขี่เลือกโหมดในการขับขี่ได้ทั้งแบบ Comfort, Sport และ Eco Pro ได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้การขับขี่
เหมาะสมกับสภาพของท้องถนนและความต้องการของผู้ขับขี่ได้มากที่สุด

BMW 528i และ 528i Sport
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 218 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,800 รอบ
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.9 วินาที และประหยัดน้ำมันด้วยอัตราเฉลี่ย 15.4 กิโลเมตร/ลิตร

BMW 528i มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP
8 จังหวะ และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 152 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU
ส่วน BMW 528i Sport ได้รับการตกแต่งด้วยชุดแต่ง M Sport Package ที่มาพร้อมกับล้อ M Alloy Wheel Double
Spoke 18” พร้อมยาง Run Flat นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่นระบบ Integral Active Steering ช่วยกำหนด
การบังคับเลี้ยวให้แม่นยำและกระชับวงเลี้ยวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้น ฟังก์ชั่นระบบ Driving Experience Control
สามารถให้ผู้ขับขี่เลือกโหมดในการขับขี่ได้ทั้งแบบ Eco Pro, Comfort, Sport และ Sport + รวมทั้งระบบ BMW
Navigation พร้อม TV Function บนหน้าจอขนาด 10.2” พร้อมด้วยระบบไฮไฟสเตอริโอและลำโพง 12 ตัว
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อออนไลน์ผ่าน BMW Apps ด้วยระบบ BMW ConnectedDrive เพื่อใช้งาน
Facebook, Twitter และ Web Radio ได้จากหน้าจอ โดยรับสัญญาณผ่าน สัญญาณ GPRS / 3G ของ iPhone

BMW ActiveHybrid 5 เปิดตัวเทคโนโลยีแอคทีฟไฮบริดสำหรับบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศไทย เป็นครั้งแรก
พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่สร้างกำลังสูงสุด 340 แรงม้า และแรงบิด
โดยรวมสูงสุดที่ 450 นิวตัน-เมตร พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Intelligent Energy Management ได้รับรางวัล
ชนะเลิศจากการประกวด International Engine of the Year Award 2011 ที่จัดขึ้นที่เมืองสตุ๊ตการ์ต ประเทศ
เยอรมนี BMW ActiveHybrid 5 ได้นำเอาเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาดความจุ 3.0 ลิตร พร้อม
ด้วยเทคโนโลยีระบบอัดอากาศ TwinPower Turbo ที่ทำงานร่วมกับระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC
และระบบฉีดน้ำมัน HPI High Precision Injection นี้ มาทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียม-
อิออน ช่วยสร้างอัตราการเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.9 วินาที และการใช้งาน
ในโหมด zero emission ด้วยการทำงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ก็สามารถทำความเร็วได้ถึง 60
กิโลเมตร/ชั่วโมง และระยะทางสูงสุด 4 กิโลเมตร

BMW ActiveHybrid 5 มาพร้อมระบบ BMW EfficientDynamics ที่นำพลังงานที่สูญเสียขณะเบรก แปรรูป
กลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าสะสมไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อเป็นการลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์และเพื่อเพิ่ม
ความประหยัดน้ำมันมากขึ้น นอกจากนี้ BMW ActiveHybrid 5 ได้พัฒนาเทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนโหมด
ของการใช้พลังงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า
Intelligent Energy Management ซึ่งเป็นการทำงานโดยใช้ข้อมูลจากระบบ Navigation มาเพื่อคำนวณเส้นทาง
ล่วงหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่กำหนดให้สอดคล้องกับการชาร์จไฟฟ้าเข้าไว้ในแบตเตอรี่ ระบบนี้จะมี
อยู่ในรถยนต์รุ่นที่จำหน่ายในเมืองไทยด้วย

นอกจากนี้ BMW ActiveHybrid 5 ยังมาพร้อมระบบ BMW Head-Up Display เพื่อการแสดงผลที่ชัดเจนและ
อ่านได้ง่าย โดยที่ผู้ขัยขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนมามองที่หน้าปัดรถยนต์ ข้อมูลที่สำคัญ เช่นความเร็ว ระดับ
น้ำมัน หรือแม้แต่เส้นทางที่ปรากฏจาก BMW Navigation จะได้รับการถ่ายทอดลงตามระดับสายตาของผู้ขับขี่
เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยสูงสุด

The new BMW 3 Series มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับทุกรสนิยม ทั้ง Sport Line, Modern Line และ Luxury Line

BMW 3 Series ใหม่ มีมิติตัวถังยาว 4,624 มม. (+93 มม. จากรุ่นก่อนหน้า), ฐานล้อ 2,810 มม. (+50 มม. จากรุ่นก่อน)
พร้อมแทร็คล้อหน้าที่กว้างขึ้น +37 มม.  และ + 47 มม. ในล้อคู่หลัง ในขณะที่ความสูงอยู่ที่ 1,429 มม. (+8 มม. จาก
รุ่นก่อนหน้า) ซึ่งนอกจากจะเป็นสัดส่วนที่ให้คาร์แรกเตอร์ความสปอร์ตปราดเปรียวแล้ว ยังเพิ่มความสะดวกสบาย
ของห้องโดยสารที่กว้างขึ้นด้วย เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และปราดเปรียว

ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ รุ่นล่าสุดที่รองรับการทำงานของระบบ Auto Start/Stop สตาร์ท/และดับเครื่องยนต์เอง
โดยอัตโนมัติตามจังหวะการหยุดรถ พร้อมปุ่มควบคุมการขับขี่ที่เพิ่มโหมด ECO PRO มาให้ โดยระบบ ECU บริหาร
เครื่องยนต์จะปรับจังหวะการทำงานเครื่องยนต์และการเปลี่ยนเกียร์ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพลังงาน
ภายในรถยนต์ เช่น ระบบปรับอากาศ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันในอยู่ในระดับสูงสุด โดยเฉพาะ
สำหรับการเดินทางไกลที่ต้องการความผ่อนคลาย ในลักษณะการขับแบบกินลมชมวิวไปเรื่อยๆไม่ใดต้องรีบเร่ง ระบบ
นี้ยังมีการแสดงผลผ่านหน้าจอเพื่อให้ผู้ขับได้ตระหนักถึงพลังงานที่ตนช่วยประหยัดระหว่างการเดินทางด้วย

นอกเหนือจากนี้แล้ว เทคโนโลยี BMW ConnectedDrive ยังช่วยให้การเชื่อมต่อบนโลกอินเตอร์เน็ท เป็นไปได้อย่าง
ง่ายดาย ด้วยฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อสัญญาณมือถือไอโฟนเข้ากับระบบข้อมูลของรถยนต์ เพื่อการเชื่อมต่อโปรแกรมต่างๆ
ได้จากหน้าจอออนบอร์ดมอนิเตอร์ในรถ เช่นโปรแกรมเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และปฏิทินนัดหมายพร้อมหมายเลขโทรศํพท์
ติดต่อที่แสดงผลข้อมูลบนหน้าจอรถยนต์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อกับโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค
ได้อย่างไม่พลาดการติดต่อ โดยที่ฟังก์ชั่นการอ่านคำอัตโนมัติ ก็จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกฟังข้อความที่ได้รับ โดย
ไม่จำเป็นต้องละสายตาจากถนนมาเพื่ออ่านข้อความนั้นๆ

การออกแบบภายใน สะท้อนบุคลิกความเป็นรถสปอร์ต พร้อมกับเน้นความหรูหราและสะดวกสบาย อีกทั้งยังเสริมด้วย
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ถูกจัดอย่างได้อย่างลงตัวมีรสนิยม ที่นั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกออกแบบอย่างถูกต้อ
งตามหลักสรีระศาสตร์เพื่อความสบายและผ่อนคลายทั้งการขับในเมืองและทางไกล ในขณะเดียวกันก็ตกแต่งด้วยวัสดุ
คุณภาพเยี่ยม เปี่ยมด้วยความปราณีต และใช้โทนสีที่สะท้อนถึงความหรูหราได้เป็นอย่างดี

BMW 3-Series ใหม่ มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งภายในและภายนอกที่มีให้เลือกถึง 3 คาแรกเตอร์
1. Sport Line
ไตคู่หน้าสีดำพร้อมกรอบข้างสีเงินในภายนอก และเส้นตัดสีแดงบนหนังสีดำในห้องผู้โดยสาร สร้างความรู้สึกสปอร์ต
แบบตระกูลรถแข่งที่แฝงความสุขุมไว้ได้อย่างลงตัว ล้ออัลลอยลายพิเศษ เฉพาะสำหรับสปอร์ตไลน์ ให้ความคล่องตัว
และคล่องแคล่วในทุกการขับขี่

2 Modern Line
วัสดุในโทนสีอลูมิเนียมของโมเดิร์นไลน์ ผนวกกับสีตกแต่งภายในห้องโดยสารในโทนสีน้ำตาลออยสเตอร์อ่อนๆ
ช่วยเพิ่มคาแรกเตอร์ที่เปรียบเสมือนประติมากรรมชิ้นเอกที่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นของห้องโดยสาร ที่เพิ่มมิติใน
ด้านต่างๆ

3.Luzury Line
ภายในของลักชัวรี่ไลน์ ในส่วนของวงแหวนรอบช่องแอร์ และในชิ้นส่วนต่างๆของปุมควบคุมบนแดชบอร์ด ได้รับ
การตกแต่งด้วยโครมสีเงินวาว รวมไปถึงขอบกระจกด้านข้าง ที่ให้ความรู้สึกหรูหราและคลาสสิค

ในช่วงแรกของการเปิดตัวในเมืองไทย จะมีเฉพาะรุ่น BMW 320d CBU นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน มาพร้อมกับ BMW
TwinPower Turbo 4 สูบแถวเรียง ความจุ 2.0 ลิตร ที่สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 184 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที และ
แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,750 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ อัตราเร่งจาก 0-100
กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 7.6 วินาที มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 22.2 กิโลเมตร/ลิตร และอัตราการคายไอเสีย
คาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ย 118 กรัม/กิโลเมตร (ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU)

MINI Roadster สปอร์ต 2 ที่นั่งแบบเปิดประทุน เพื่อความเร้าใจในแบบมินิ

สมาชิกใหม่ล่าสุดอันดับที่ 6 ของมินิ มาเพื่อกำหนดนิยามของโรดสเตอร์ได้ตามแบบฉบับของมินิ ด้วยโรลบาร์ที่เป็น
มันวาวหลังแนวที่นั่ง และระบบสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ ที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อความเร็วไต่ระดับถึง 80 กิโลเมตร/
ชั่วโมง และจะพับเก็บเข้าที่เมื่อความเร็วลดระดับลงที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มินิโรดสเตอร์ เป็นรถที่มีคาแร็คเตอร์
เฉพาะตัวในสไตล์มินิที่ไม่เหมือนใคร

เครื่องยนต์ของ MINI Cooper S Roadster ได้มีการผนวกรวมระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo และระบบแปรผันวาล์ว
VALVETRONIC เข้าไว้ด้วยกัน เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo ใช้หลักการแบ่งทางเดินไอเสียเป็น 2 ช่อง
โดยทั้งสองช่องจะทำงานสอดประสานกัน สร้างแรงดันของไอเสียให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ เพื่อป้อน
เป็นพลังงานขับเคลื่อนใบพัดของระบบเทอร์โบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ Twin-Scroll Turbo จึงเป็นระบบเทอร์โบ
เดี่ยวที่สามารถให้กำลังอัดอากาศสูงและต่อเนื่องเสมือนกับใช้ระบบเทอร์โบคู่ ซึ่งนอกจากจะมีขนาดกะทัดรัดซึ่งเป็นปัจจัย
สำคัญสำหรับรถขนาดเล็กอย่างมินิแล้ว ยังเป็นการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะในเรื่องของระบบหล่อเย็นของเทอร์โ
บอีกด้วย ส่วนระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ซึ่งมีความสามารถกำหนดระยะเปิด-ปิดและระยะเวลาการ
เปิดวาล์วอากาศได้แปรผันต่อเนื่องตลอดทุกช่วงรอบตามความต้องการของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถป้อนอากาศเข้าสู่
เครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การทำงานของทั้งสองระบบดังกล่าวอย่างควบคู่กัน จะส่งผลให้เครื่องยนต์
สามารถผลิตกำลังตอบสนองความต้องการในทุกรูปแบบการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

MINI Cooper S Roadster มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงสุด ที่ระดับ
184 แรงม้า (HP) นี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.2 วินาที และสามารถทำอัตรา
การประหยัดน้ำมันเฉลี่ยได้ที่ 15.2 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำเพียง 153
กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

BMW Motorrad

BMW K1600 GT เจ้าของรางวัล “International Bike of the Year 2011”

BMW K 1600 GT ได้รับรางวัล “International Bike of the Year 2011” จากการประกวดโดยนิตยสารมอเตอร์ไซค์ของ
เบลเยี่ยม ในงานบรัซเซลมอเตอร์โชว์ ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง  ความจุ 1,649 ซีซี สามารถผลิตกำลังสูงสุด 160
แรงม้าที่ 7,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตรที่ 5,250 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบ Helical Synchromesh
6 สปีด ซึ่งทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างมีพลังที่ต่อเนื่องและเรียบเนียน ซึ่งเป็นคาร์แรกเตอร์ที่สำคัญของมอเตอร์ไซค์
ประเภททัวร์ริ่งที่เน้นการวิ่งทางไกล  ความเหนือชั้นอีกประการอยู่ที่เทคโนโลยี Lightweight Engineering โดยเครื่องยนต์
6 สูบของ BMW K 1600 GT นี้มีน้ำหนักเพียง 102.6 กิโลกรัม ซึ่งจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดใน
คลาสเครื่องยนต์ > 1,000 ซีซี และที่สำคัญ นอกจากน้ำหนักเบาแล้ว เครื่องยนต์นี้ยังมีความแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน ซึ่ง
เป็นผลมาจากความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของวิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยู ยกตัวอย่างเช่น แคมชาร์ฟและกระเดื่องวาล์ว
น้ำหนักเบาที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมอย่างเหนือชั้นและผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบาพิเศษ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบ
ให้มีความสมดุลในตัวเอง จึงไม่ต้องอาศัย Balance Shaft ในการสร้างสมดุลให้กับเครื่องยนต์ เพื่อช่วยลดชิ้นส่วนที่เกินจำเป็น

BMW K 1600 GT มาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูล Multi-Controller สุดไฮเทค โดยแสดงผลผ่านจอมอนิเตอร์แบบ Color
TFT ขนาด 5.7 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่ระหว่างมาตรวัดความเร็วและวัดรอบ ซึ่งนอกจากจะสามารถแสดงข้อมูลจากระบบ On-board
Computer ต่างๆ แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมสั่งการระบบ Infotainment ที่ได้ประยุกต์ใช้ระบบดังกล่าวในมอเตอร์ไซค์
BMW K 1600 GT พร้อมเทคโนโลยีอันทันสมัย เช่นระบบ แทร็คชั่นคอนโทรล ระบบควบคุมช่วงล่างอิเล็คโทรนิค ระบบ
ไฟหน้าปรับตามการเลี้ยว (Adaptive Headlight) และระบบ ABS เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยสูงสุด

BMW S 1000 RR รหัสความแรงที่มาพร้อมให้สัมผัสบนสังเวียนทางเรียบ

ด้วยการออกแบบเพื่อความเป็นสปอร์ตและการขับขี่ที่ว่องไว บนคอนเซ็ปต์มอเตอร์ไซค์แบบซุเปอร์ไบค์ BMW S 1000 RR
ไม่ทำให้แฟนทางเรียบผิดหวังด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 1,000 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ และระบบวาล์วพิเศษที่ผลิต
จากวัสดุไทเทเนียม บนตัวถังเฟรมอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับมอเตอร์ไซค์แข่ง นอกจากนั้น BMW
S 1000 RR ยังได้รับการติดตั้งระบบเสริมความปลอดภัยต่างๆ เช่น Race ABS และระบบรักษาเสถียรภาพ DTC Dynamic
Traction Control ที่สามารถปรับเลือกโหมดการขับให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานได้ เช่น โหมด Rain สำหรับถนนเปียก
โหมด Sport สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต โหมด Race สำหรับการแข่งขัน และ โหมด Slick สำหรับใช้ในสนามแข่งและ
ใส่ยางแบบสลิ๊ค  

BMW S 1000 RR สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 193 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 112 นิวตัน-เมตรที่ 9,750 รอบและมีอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรภายใน 2.9 วินาที

การเปิดตัวรถยนต์ทั้งหมดทุกรุ่นเหล่านี้ จะมีขึ้นอีกครั้งเป็นทางการ ในงาน Bangkok International Motor Show
วันที่ 28 มีนาคม 2012 ที่ Challenger Hall IMPACT เมืองทองธานี

————————————-///————————————–