งาน Detroit Autoshow ปีนี้ก็ถือเป็นปีที่ค่ายรถหลายค่ายเริ่มจะจัดเต็มกันมากขึ้น เพราะตอนนี้ค่ายรถส่วนใหญ่เริ่มมี
สภาพคล่องทางการเงินมากขึ้นรวมทั้งมีความมั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากกว่าอดีต (แม้ว่าตอนนี้จะไม่เรียกว่า
ดีก็ตาม) บางค่ายพอหวนกลับมาจัดงานนี้อีกครั้งก็ถือโอกาสจัดเต็มกับบูธตัวเองเสียหน่อย ยกตัวอย่างบูธ Nissan ที่จะ
ออกมาแนวล้ำสมัยและยังปล่อยกลิ่นให้ผู้เข้าร่วมชมเคลิบเคลิ้มได้, บูธ Toyota ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีการออกแบบที่ดู
เร้าอารมณ์เพื่อต้อนรับรถต้นแบบรุ่นใหม่ เป็นต้น
![detroit2013](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/detroit2013.jpg)
ในงานมีการจัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่และรถต้นแบบมากถึง 59 คันซึ่งมีไฮไลต์สำคัญคือรถต้นแบบโปรโตไทป์ที่สามารถ
ทำนายอนาคตของรถตลาดที่จะเปิดตัวในไม่ช้านี้ได้ โดยส่วนตัวไฮไลต์สำคัญของเราจะเน้นไปที่บูธ Toyota เพราะเขาได้
อวดโฉมรถต้นแบบว่าที่ Corolla ตัวต่อไปให้ได้ชมกันแล้วซึ่งถือเป็นรถคันเดียวในงานที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดเมืองไทย
มากที่สุด
Acura
![acura1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/acura1.jpg)
![acura2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/acura2.jpg)
![acura3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/acura3.jpg)
Acura MDX Prototype ดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับ RDX ไม่น้อยเลยโดยยึดหลักแนวคิดการออกแบบ Aero Sculpture ที่มี
แนวทางไปสู่บุคลิคอันชาญฉลาด, กะทัดรัดและดูพรีเมี่ยม มาพร้อมเอกลักษณ์ใหม่ด้วยไฟหน้าที่เรียกกันว่า Jewel Eye
เปล่งประกายอัญมณีศรีสยามกันเลยทีเดียว
ไฮไลต์เด่นคงหนีไม่พ้น Acura NSX Conceptที่คาดว่าหากเปิดตลาดนอกอเมริกาเหนือก็คงจะใช้ชื่อ Honda NSX ที่
คุ้นเคยกันดีก็ถือเป็นการสิ้นสุดการคอยกันเสียที รถต้นแบบคันนี้ถือเป็นรถที่ใกล้เคียงกับคันจริงมากที่สุดซึ่งพวกเรา
สามารถสัมผัสสุดยอดรถสปอร์ตคันนี้ได้
![acura4](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/acura4.jpg)
![acura5](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/acura5.jpg)
![acura6](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/acura6.jpg)
การออกแบบตัวถังภายนอกก็เติมแต่งรายละเอียดความล้ำที่สามารถสัมผัสได้ และที่น่าสนใจคือการออกแบบภายในห้อง
โดยสารให้มีความรู้สึกถึงพลังงานที่ถ่ายทอดพลังงานจากมนุษย์สู่เครื่องจักร ฟังดูแล้วลึกล้ำจนเราคาดไม่ถึงเลย
สำหรับงานวิศวกรรมของตัวรถรุ่นขายจริง คาดว่า Acura จะนำเอาระบบขับเคลื่อน SH-AWD มาใช้กับ NSX ใหม่ เพื่อ
ให้การควบคุมเฉียบคมรับกับสมรรถนะตัวรถที่สูง เพราะตัวเครื่องยนต์เองจะเป็นการใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 ความจุ
3.5 ลิตร ผนวกเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูกบนเพลาล้อหลัง ทำให้มีกำลังรวมสูงถึง 400 แรงม้า และจะสร้างอัตราเร่ง
0-100 กม./ชม.ด้วยเวลาต่ำกว่า 5 วินาที เลยทีเดียว
BMW
![bmw1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/bmw1.jpg)
ในที่สุด BMW ก็ได้ปล่อย Concept 4-Series Coupe กันเสียทีหลังจากที่ทุกคนยังข้องใจว่าตกลง 3-Series Coupe จะ
ยังอยู่ไหม? คำตอบที่ได้รับคือ “ยังอยู่” แต่มาในชื่อเสียงเรียงนามใหม่เป็นเลขคู่เสียด้วย เพราะ BMW ตั้งใจแยกอนุกรมรุ่น
รถแนวสปอร์ต/เปิดประทุนอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างที่เห็นชัดคือ 6-Series ที่ถือว่าเป็นรถที่อยู่ในพื้นฐานงานวิศวกรรม
ร่วมกับ 5-Series เป็นอย่างมาก
ดังนั้น โครงสร้างตัวถังหลัก ๆ ของ Concept 4-Series Coupe จึงสามารถใช้ร่วมกับ 3-Series ได้ ส่วนหน้าตาของรถคัน
นี้ก็จะดูแตกต่างจาก 3-Series เล็กน้อย อีกทั้งก็ยังมีเส้นสายที่ดูลึกมากกว่าด้วยซึ่งดูเผิน ๆ มันก็ดูมีหน้าตาที่คล้าย
3-Series GT ไม่น้อยทีเดียว ส่วนดีไซน์ครึ่งคันหลังก็ได้รับอิทธิพลจาก 6-Series Coupe เป็นอย่างมาก
![bmw2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/bmw2.jpg)
![bmw3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/bmw3.jpg)
เครื่องยนต์กลไกยังไม่เปิดเผยอะไรมากนัก แต่เมื่อเราพิจารณาแพ็คเกจรถโดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นตระกูล
4-Series ได้อย่างสวยงามซึ่งเราก็แอบสงสัยเล่น ๆ ว่ารถคันนี้จะทำตลาดได้ดีในกลุ่มชนชาวจีนหรือญี่ปุ่นที่ยึดถือเลข 4
เป็นสรณะหรือไม่?
![bmw4](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/bmw4.jpg)
ในงานนี้ก็จะมีการอวดโฉมของ Z4 Facelift โดยจุดหลักของการปรับโฉมครั้งนี้ อยู่ที่การพยายามขยายตลาดให้ทุกคน
เอื้อมถึงรถยนต์โรดสเตอร์รุ่นนี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยการเปิดตัวรุ่นล่างสุด รุ่นใหม่ ในรหัส Z4 sDrive18i ซึ่งจะใช้เครื่องยนต์ใหม่
แบบเบนซิน 4 สูบเรียง TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตรพร้อมกำลัง 154 แรงม้า และแรงบิด 240 นิวตัน-เมตร โดย
สามารถเชื่อมต่อกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะได้ ซึ่งจะมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน
เวลาเพียง 7.9 วินาที (ด้วยเกียร์ธรรมดา) และ 8.1 วินาที (ด้วยเกียร์อัตโนมัติ) พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.7
กม./ลิตร
![bmw5](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/bmw5.jpg)
แต่สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา จะไม่ได้รับรุ่น sDrive18i ไปจำหน่าย เพราะยังคงยืนยันใช้รุ่น sDrive28i พร้อมเครื่องยนต์
เบนซิน 4 สูบ TwinPower Turbo 2.0 ลิตร 240 แรงม้า และ sDrive35i ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร
300 แรงม้า และรุ่น sDrive35is 335 แรงม้า ไปจำหน่ายเช่นเคย เพราะจะถูกใจกับรสนิยมชาวมะกันมากกว่า
ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรับโฉมเล็กน้อยนั้น มีเพียงการเปลี่ยนโคมไฟหน้า ที่ยังคงใช้ดีไซน์โคมแบบเดิม แต่เปลี่ยน
รายละเอียดไฟ LED ภายในโคมใหม่ เข้าธีมการออกแบบของ BMW ยุคใหม่ได้ดีขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนงานออกแบบกาบ
ครีบระบายความร้อนบริเวณเหนือซุ้มล้อหน้าใหม่ พร้อมเปลี่ยนลายล้ออัลลอยทั้งแบบ 17 และ 18 นิ้วใหม่ด้วยเช่นกัน
Cadillac
![cadillac1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/cadillac1.jpg)
![cadillac2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/cadillac2.jpg)
Cadillac สร้างความฮือฮาให้แก่ตลาดด้วยการแนะนำตัว ELR รถสปอร์ตคูเป้ทรงเสน่ห์ที่มีเครื่องเคราเดียวกับ Chevrolet
Volt เมื่อได้ยินแบบนี้ก็กลายเป็นรถพรีเมี่ยมที่มีจุดเด่นมากพอดู ดีไซน์โดยรวมได้รับอิทธิพลจากรถต้นแบบ Converj
Concept ที่เคยอวดโฉมในปี 2009 มีสัดส่วนตัวรถที่ดูเร้าใจมากกว่า Cadillac ในอดีต ภายในห้องโดยสารเมื่อเราเห็น
จากภาพก็อึ้งไปเล็กน้อยเพราะมันดูเทียบชั้นกับคู่แข่ง Big Name จากทั่วสารทิศได้เลย แถมยังไม่ดูอเมริกันจ๋าเหมือนใน
อดีตเสียด้วย
![cadillac3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/cadillac3.jpg)
Cadillac ELR ถูกสร้างขึ้นบนแพลทฟอร์มขับเคลื่อนล้อหน้าตามสมัยนิยมพร้อมทั้งยกขุมพลังจาก Chevrolet Volt มา
ทั้งหมดมีพละกำลัง 207 แรงม้า พร้อมกับแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเบาลงเล็กน้อย
Chevrolet
![chevy1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/chevy1.jpg)
ปีนี้บูธเด่นที่สุดในงานคงหนีไม่พ้น รถสำหรับชาว Gangster อย่าง All New Chevrolet Corvette Stingray C7 ถือเป็น
Corvette ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในด้านงานดีไซน์ 2014 Corvette Stingray มาพร้อมกับการปรับปรุงฝากระโปรงหน้า
ให้ยาวขึ้น ดุกร้าวขึ้น พร้อมช่องดักอากาศเพื่อระบายความร้อนเครื่องยนต์ โดยมีการนำเอาวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ในการผลิต
โคมไฟหน้ามีการนำเอาไฟ LED มาพร้อมกับไฟใหญ่แบบ HID Xenon นอกจากนี้บริเวณซุ้มล้อหน้ายังมีการใส่ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ หลังคา
แบบถอดเก็บได้ด้านท้ายมาพร้อมการเติบโตด้านงานดีไซน์อย่างเต็มที่ ด้วยการเพิ่มเหลี่ยมสันให้ดูโฉบเฉี่ยว แต่ยังคง
เอกลักษณ์ในแบบ Corvette เอาไว้ โดยมาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังในตัว ท่อไอเสียแบบ 4 ท่อ และไฟท้ายที่เป็นการ
ผสมผสานระหว่าง Camero รุ่นปัจจุบันและ Corvette รุ่นเดิม
![chevy2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/chevy2.jpg)
ภายในห้องโดยสาร ยังได้รับการปรับปรุงงานดีไซน์เช่นกัน ด้วยการหยิบเอาวัสดุคุณภาพสูงมาใช้ในทุกรายละเอียด ให้สม
กับการเป็นห้องโดยสารของรถยนต์สปอร์ตระดับสูงจาก Chevrolet เห็นได้ชัดจากการนำเอาวัสดุหนังอย่างดีมาหุ้มเบาะ
และนำคาร์บอน ไฟเบอร์ รวมถึงอะลูมิเนียมมาตกแต่งในบริเวณต่างๆ พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์แบบหน้าจอสัมผัสขนาด
8 นิ้ว นอกจากนี้ผู้ซื้อยังสามารถปรับแต่งวัสดุโครงสร้างเบาะให้เป็นแม็กนีเซียม เพื่อการซัพพอร์ตร่างกายระหว่างการขับ
ด้วยความเร็วสูงที่ดียิ่งขึ้น
ด้านงานวิศวกรรมของตัวรถ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ 2014 Corvette มีความแตกต่างจากรุ่นเดิม ด้วยการใช้เฟรมแชสซีส์
วัสดุอะลูมิเนียมแบบใหม่ กระจายน้ำหนักหน้า-หลังแบบ 50/50 ช่วยทำให้รถยนต์ทรงตัวได้แม่นยำมากขึ้น ส่วนแผงใต้ท้อง
รถประตูคู่หน้า และซุ้มล้อหลัง มีการนำเอาวัสดุ ‘carbon-nano’ เทคโนโลยีใหม่มาใช้
![chevy3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/chevy3.jpg)
ส่วนในรุ่นแพคเกจตกแต่งพิเศษ Z51 จะมีการติดตั้งระบบ Limited-Slip Differential แบบไฟฟ้ามาใช้ และปรับแต่ง
ระบบหล่อเย็นเฟืองท้ายและระบบส่งกำลังใหม่ พร้อมทั้งมีการติดตั้งชุดบอดี้คิท ที่จะทำให้ตัวรถลู่ลมมากขึ้น ทรงตัวได้
ดียิ่งขึ้นในย่านความเร็วสูง
![chevy4](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/chevy4.jpg)
ขุมพลังก็ได้รับการเปลี่ยนเช่นกัน ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 ความจุ 6.2 ลิตร LT1 ขึ้นมาใหม่ มีการนำเอา
เทคโนโลยีหัวฉีดเชื้อเพลิงตรงและระบบแปรผันวาล์วต่อเนื่องมาใช้ โดยมีอัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 11.5:1 ส่งผลให้สร้าง
กำลังได้ 450 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 608 นิวตัน-เมตร และด้วยการทุ่มเทการพัฒนาจนทำให้ 2014 Corvette
Stingray มีน้ำหนักที่เบาขึ้น อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จึงทำได้ในเวลาที่ต่ำกว่า 4 วินาทีเลยทีเดียว
2014 Corvette Stingray จะออกจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เรียกได้ว่าเป็นการประกาศการกลับมาของตำนาน
รถยนต์สปอร์ตจากฟากอเมริกาที่ทำได้น่าสนใจมากทีเดียว
Ford
![ford1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/ford1.jpg)
บูธในปีนี้จะดูแปลกและแตกต่างจากค่ายอื่นมากที่สุดเพราะ Ford ได้แนะนำรถต้นแบบ Atlas Concept (ชื่อแอบคล้าย
รถบรรทุกเล็กจา Nissan ) ว่าที่ F-150 ตัวต่อไป งานดีไซน์โดยรวมยังคงความเป็นอเมริกัน 100% (เพราะรถรุ่นนี้ต้องขาย
ในอเมริกาที่เดียว) ดังนั้นงานออกแบบของรถต้นแบบคันนี้จึงไม่ปรากฏในรถกระบะ Ford ในระดับโลกแน่นอน
Ford Atlas Concept จะเป็นรถต้นแบบที่สะท้อนถึงรถกระบะที่มีขีดความสามารถในการบรรทุกสูงแต่ยังชาญฉลาดและ
ประหยัดเป็นยอดได้อีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือการแนะนำขุมพลัง Ecoboost เจเนเรชั่นใหม่ที่ติดตั้งเทคโนโลยี Auto Start-
Stop ในตัวซึ่งประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องยนต์ที่มีซีซีมากกว่าถึง 20% และลดค่าไอเสีย CO2 ราว 15%
![ford2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/ford2.jpg)
พร้อมกันนี้ Ford ก็ได้ภูมิใจนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยทำให้ประหยัดน้ำมันที่อัดแน่นราวกับรถเก๋ง
รุ่นไฮเทคเลยทีเดียวได้แก่ ระบบ Active Grille Shutters กระจังหน้าสามารถเปิด-ปิดอัตโนมัติซึ่งจะเปิดกระจังเฉพาะ
เวลาจำเป็นเท่านั้นซึ่งเป็นระบบเดียวที่อยู่ใน Ford Focus ใหม่, ระบบ Active Wheel Shutters ล้ออัลลอยที่สามารถ
เปิดปิดช่องลอดลมได้, แอร์แดมหน้าสามารถกระดกขึ้นได้เพื่อปรับทิศทางลมให้เหมาะสมกับการขับขี่ เป็นต้น
Honda
![honda1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/honda1.jpg)
ปีนี้ยังไม่มีรถใหม่มาอวดโฉมแต่ Honda ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ที่จะครองความเป็นผู้นำรถยนต์นั่งขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกา
ด้วยการเปิดเผยโฉม Honda Urban SUV Concept ซึ่งจะเป็น B-SUV คันใหม่ล่าสุด และที่สำคัญถือเป็นการปลุกตลาด
B-SUV ครั้งที่ 2 ในชีวิตของ Honda หลังจากที่ประสบความล้มเหลวกับ HR-V รุ่นแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
![honda2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/honda2.jpg)
คุณสมบัติหลักของ Honda Urban SUV Concept นอกจากจะเป็นรถที่มีความสวยงามโฉบเฉี่ยวแล้วแต่ยังเป็นรถที่
ประหยัดเป็นยอดและยังมีการขับขี่ที่สนุกสนานอีกด้วยภายใต้ขนาดตัวถังที่ยาว 4,300 มม. (จนเราแอบสงสัยว่าตำแหน่ง
การตลาดในระดับโลกนี้น่าจะก้ำกึ่งกับ Nissan Juke และ Qashqai หรือในระดับเดียวกับ Mitsubishi ASX นั่นเอง)
อย่างไรก็ตาม Honda Urban SUV Concept ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ Global Small Platform ร่วมกับ Honda
Jazz และ City พร้อมชูจุดขายถังน้ำมันอยู่กึ่งกลางตัวถังจนทำให้จัดการพับเบาะได้อิสระเหมือนกับ Honda Jazz
(Honda เรียก Magic Seat)
![honda3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/honda3.jpg)
กำหนดการของการเปิดตัว Honda Urban SUV Concept เวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริงจะมีขึ้นในช่วงปลายปี 2013 ที่
ประเทศญี่ปุ่น และจะทำตลาดในอเมริกาเหนือในปี 2014 โดย Honda คาดหวังว่ารถคันนี้จะเป็น 1 ใน 3 ตระกูลรถเล็กที่
สามารถทำยอดขายมากถึง 1.6 ล้านคันภายในปี 2016
ส่วนบ้านเราก็ต้องลุ้นกันเพราะมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จำหน่ายในไทย
Hyundai
![hyundai1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/hyundai1.jpg)
Hyundai HCD-14 Genesis Concept ถูกออกแบบด้วยแนวคิดใหม่ล่าสุด fluidic-precision อันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่
จะได้พบเห็นในรถยนต์รุ่นใหม่ในอนาคตซึ่งมีความเฉียบคมและแข็งแรงในรายละเอียด (ไม่ชดช้อยเหมือนแนวคิด Fluid
Sculpture) เริ่มจากกระจังหน้าทรงใหม่พร้อมบานเกล็ดแบบใหม่, เส้นสายตัวรถดูเรียบง่ายไม่มีเส้นสันบ่าฉวัดเฉวียน เป็น
ต้น
จุดเด่นที่น่าสนใจคือ Hyundai ได้ฉีกภาพลักษณ์ให้ว่าที่ Genesis ตัวต่อไปกลายมาเป็นรถแนวซีดานคูเป้แทนที่จะมาเป็น
ซีดานหรูธรรมดา ๆ (คงเพราะว่าตลาดนี้น่าสนใจและสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ได้ดีกว่า) มีจุดเด่นการออกแบบตรงบาน
ประตูท้ายที่ดูลาดยาวเป็นพิเศษและแนวขอบเสา C ก็จะเอนลาดยาวต่อเนื่องจรดฝากระโปรงท้าย
![hyundai2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/hyundai2.jpg)
ภายในห้องโดยสารก็จะถูกออกแบบในแบบอสมมาตร เน้นออกแบบรายละเอียดเอาใจผู้ขับขี่เป็นหลักโดยยึดหลักรูปแบบ
ของฟอร์มแผงคอนโซลหน้าในแบบลูกคลื่นซ้อนสองชั้น
รถต้นแบบคันนี้ก็ติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยีการติดตามกริยาของผู้ขับขี่เพื่อสามารถสั่งงานการใช้อุปกรณ์
ภายในรถยนต์ได้โดยไม่ต้องไปสัมผัสกับปุ่มอะไรเลย ที่สามารถจดจำท่าทางด้วยเซนเซอร์ 3 มิติและสายตาของผู้ขับขี่ได้
![hyundai3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/hyundai3.jpg)
ไฮไลต์สุดท้าย Hyundai ติดตั้งขุมพลัง Tau V8 5.0 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงตรงพร้อมวาล์วแปรผัน D-CVVT ให้ประสิทธิภาพที่
ยอดเยี่ยม, ประหยัดและมลพิษต่ำ
All New Hyundai Genesis คาดว่าจะเปิดตัวในระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือนนี้
Infiniti
![infiniti1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/infiniti1.jpg)
![infiniti2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/infiniti2.jpg)
Infiniti ขอจัดการรีแบรนด์ดิ้งชื่อรุ่นใหม่ด้วยการใช้รหัส Q นำหน้าแล้วตามด้วยรหัสตัวเลขที่บ่งบอกถึงลำดับหรือเซกเมนต์
นั้น ๆ โดยเปิดตัวรุ่นแรกคือ Q50 ซึ่งก็คือ G-Series Sedan ดั้งเดิมนั่นเอง ดีไซน์โดยรวมได้รับอิทธิพลจาก Etheria
Concept ค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะด้านหน้าที่มีใบหน้าดุดัน, มีเส้นตัวถังที่เฉียบคม รับกับเส้นตัวถังที่อยู่ด้านท้าย, กรอบ
กระจกประตูหลักจะมีเว้า ๆ แหว่ง ๆ ที่ดูเป็นเอกลักษณ์ใหม่
![infiniti3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/infiniti3.jpg)
มิติตัวถังก็ใหญ่ขึ้นทุกมิติ มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานแค่ 0.26 ดีไซน์ภายในห้องโดยสารแลดูคล้ายของเดิมมากแต่ก็
ปรับปรุงให้มีความประณีตมากขึ้น ล้ำสมัยด้วยการติดตั้งหน้าจอสัมผัสกลางที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ภายในรถได้ ส่วน
เครื่องยนต์กลไกนั้นก็ยกมาจากของเดิมคือเครื่อง VQ37VHR 3.7 ลิตรปรับปรุงให้แรงขึ้นเป็น 328 แรงม้า ส่วนรุ่น Hybrid
ก็จะยกขุมพลังจาก M35h Sedan
Jeep
![jeep1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/jeep1.jpg)
Jeep เปิดตัว Grand Cherokee รุ่นปรับปรุงใหม่ที่มีดีไซน์สุ่มเสี่ยงต่อการวิจารณ์เป็นอย่างมากเพราะมันถูกออกแบบให้ดู
ล้ำสมัยขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะดวงไฟหน้าที่มีลูกเล่นตามยุคสมัยและยังมีทรงโคมไฟที่ไม่ได้ดูแข็งทื่อเหมือนสมัยก่อน
แต่ยังดีที่ Jeep ยังคงรักษาเอกลักษณ์กระจังหน้าแนวตั้ง 7 ช่องเอาไว้ (ก็แน่ล่ะว่า Chrysler ได้จดสิทธิบัตรกระจังหน้า
แบบนี้ไปแล้ว)
![jeep2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/jeep2.jpg)
![jeep3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/jeep3.jpg)
ภายในห้องโดยสารก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ราวกับว่ายกทีมออกแบบ Fiat มาช่วยขัดเกลาให้ดูน่าใช้มากขึ้น
โดยเฉพาะแผงแดชบอร์ดกลางที่ถูกรื้อและออกแบบใหม่หมด รวมไปถึงออกแบบชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารบางชิ้นให้ดูดี
ขึ้นและกรุวัสดุที่ดูมีราคาค่างวดมากขึ้น
ไฮไลต์สำคัญคือการแนะนำรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล EcoDiesel V6 3.0 ลิตร 240 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะคาดว่า
รุ่นนี้จะขายดีในหมู่ผู้ใช้เอสยูวีเพราะน่าจะประหยัดน้ำมันกกว่าเครื่องเบนซิน ส่วนเครื่องเบนซินบล๊อก V6 3.6 ลิตรและ V8
5.7 ลิตรก็จะได้เกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ 8 จังหวะ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันสุดแรง SRT ติดตั้งเครื่องยนต์ Hemi V8 6.4 ลิตร
ให้เลือกอีกด้วย
Kia
![kia1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/kia1.jpg)
Kia Cadenza/K7 โฉมปัจจุบันเปิดตัวในปี 2009 ซึ่งปีนั้นถือเป็นยุคที่ Kia กำลังเปลี่ยนถ่ายงานออกแบบยุคเก่าไปสู่ยุค
ใหม่พอดี ในห้วงเวลานั้น Kia ก็ต้อง ๆ ค่อยเปลี่ยนถ่ายงานออกแบบทีละน้อยไปก่อน จนกระทั่งปี 2010 เป็นต้นไป Kia ก็
เริ่มก้าวเข้าไปสู่งานออกแบบแนวคิดใหม่ทั้งหมด ดังที่เราเห็นได้จาก Kia Optima ใหม่ ดังนั้นรถยนต์รุ่นปัจจุบันที่เปิดตัว
ก่อนปี 2010 ก็คงต้องได้รับการปรับปรุงหน้าตาในแบบ Kia ยุคใหม่ที่แท้จริง
ล่าสุด Kia ได้เปิดเผยโฉม Cadenza/K7 Minorchange ที่ปรับโฉมภาพลักษณ์ใหม่ในแบบ Kia ยุคใหม่ (แต่ดีไซน์
โครงสร้างตัวถังยังอยู่ในยุค Kia ระหว่างปี 2008-2009) ดีไซน์ด้านหน้าดูคล้ายกับ Kia Quaris/K9 เป็นอย่างมาก รวม
ไปถึงลายล้ออัลลอยก็แทบจะเคาะพิมพ์เดียวกันเลย ส่วนบั้นท้ายก็ได้เปลี่ยนรายละเอียดไฟท้ายใหม่
![kia2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/kia2.jpg)
เครื่องยนต์กลไกก็ยังคงไม่ปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก เริ่มจากเครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร 290 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 338 นิวตัน
เมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 230
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Lexus
![lexus1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/lexus1.jpg)
ในที่สุดเราก็ได้เห็น Lexus IS โฉมใหม่เสียทีซึ่งมันมีรูปลักษณ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากรถต้นแบบ Lexus LF-CC
ด้านหน้าสร้างความโดดเด่นมาก ด้วยกระจังหน้า Spindle Grille ที่มีผสานความโฉบเฉี่ยวและความโค้งมน มีมิติ อีกทั้ง
รายละเอียดโคมไฟหน้ายังมาในรูปแบบใหม่ ด้วยการออกแบบเล่นกับสายตา จนดูเหมือนไฟ LED Daytime Running
Light เป็นส่วนหนึ่งของโคมไฟหน้าแต่ในความเป็นจริง กลับแยกส่วนกันชัดเจน
ด้านข้างของตัวถัง มาพร้อมกับเส้นไหล่รถที่ชัดเจนขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบัน พร้อมสเกิร์ตด้านข้างตวัดขึ้น เข้าหาโคมไฟท้าย
และพิเศษเฉพาะในรุ่น F Sport จะมีกระจังหน้าที่ได้รับการออกแบบพิเศษ
![lexus2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/lexus2.jpg)
ส่วนภายในห้องโดยสาร เป็นการผสานกลิ่นอายรุ่นพี่ของค่ายทั้งสิ้น ทั้งจาก LS, GS รวมไปถึง LF-A ส่งผลให้ห้องโดยสาร
มีคุณภาพงานออกแบบและการใช้วัสดุที่ดียิ่งขึ้น เช่นรายละเอียดการนำเอานาฬิกาอนาล็อกมาใช้ การนำเอาสวิตช์ระบบ
สัมผัสมาใช้ควบคุมระบบปรับอากาศ และคอนโซลหน้า-กลาง ถูกตกแต่งด้วยวัสดุเมทัลลิกให้ความรู้สึกสปอร์ต หรูหรา
และทันสมัยในคราวเดียวกัน
Lexus กล่าวว่า IS รุ่นใหม่ มีระยะฐานล้อหน้า-หลังที่ยาวขึ้น ส่งผลให้มีเนื้อที่วางขาและพื้นที่ผู้โดยสารตอนหลังที่กว้างขึ้น
โดยจะเป็นรถยนต์พรีเมี่ยมคอมแพคท์ที่มีพื้นที่หัวเข่าที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ การตกแต่งภายในของเวอร์ชัน F Sport ยังเป็นการตกแต่งแบบพิเศษเช่นเดียวกับภายนอก เช่น การเปลี่ยน
แป้นเบรก-คันเร่งให้เป็นวัสดุอะลูมิเนียม การพยายามตกแต่งภายในให้มีรูปแบบ 3 มิติ และการหุ้มหนังฉลุบนพวงมาลัย
และหัวเกียร์พร้อมกับโทนสีภายในใหม่ คือสีแดง Rioja Red
![lexus4](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/lexus4.jpg)
![lexus5](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/lexus5.jpg)
แต่ด้านงานวิศวกรรมเครื่องยนต์ กลับสร้างความประหลาดใจไม่น้อย เพราะไร้เงาเครื่องยนต์พร้อมเทอร์โบเหมือนที่มี
กระแสข่าวหลุดออกมาก่อนหน้านี้ และยังคงเลือกใช้วิธีปรับจูนขุมพลังเดิมๆของตน ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 2.5
ลิตรที่จะถูกปรับให้มีกำลังอย่างน้อย 200 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร ที่จะมีกำลังประมาณ 300 แรงม้า
สิ่งที่เพิ่มใหม่เข้ามา คือการเปิดตัวขุมพลังไฮบริดเป็นครั้งแรกของ Lexus IS ด้วยรหัส IS 300h โดยจะเป็นการหยิบ
เอาเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร เชื่อมต่อเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า จนสร้างพลังได้ 240 แรงม้า ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่า
เป็นการนำเอาขุมพลังของ Toyota Camry Hybrid มาปรับจูนใหม่เพื่อเพิ่มกำลังหรือไม่
Lincoln
![lincoln1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/lincoln1.jpg)
ในงาน Detroit Autoshow 2013 ค่าย Lincoln แบรนด์รถหรูในเครือ Ford Motor ก็ได้แนะนำรถต้นแบบครอสโอเวอร์
คันใหม่ในชื่อ Lincoln MKC Concept ซึ่งทางค่ายบอกว่าถือเป็นครอสโอเวอร์ที่มีขนาดเล็กสุดในค่าย และคาดว่าเราจะ
ได้เห็นรถคันนี้วิ่งแล่นในตลาดอเมริกาเหนือภายในไม่เกิน 1 ปีนี้
Lincoln เปิดเผยว่าการส่ง MKC Concept ถือเป็นรถรุ่นใหม่ล่าสุด 1 ใน 4 รุ่นที่พัฒนาตามกลยุทธ์หลักของ Lincoln ที่
มุ่งเน้นไปยังเซกเมนต์ที่เติบโตรวดเร็วแทนที่จะพัฒนารถเพื่อมาแข่งขันในสมรภูมิเลือดเหมือนแต่ก่อน และน่าจะทำให้
แบรนด์ Lincoln สามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดอย่างรวดเร็ว
Lincoln ได้สำรวจว่าตลาดรถยนต์อเนกประสงค์หรูขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกามีการเติบโตมากถึง 60% ในปี 2012 และ
เติบโตขึ้นมากถึง 200% เมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ดังนั้น MKC Concept ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ดี
![lincoln2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/lincoln2.jpg)
ดีไซน์ภายนอกของ Lincoln MKC Concept จะเน้นความสวยงามและดูมีรากเหง้าความเป็น Lincoln เป็นหลัก ดีไซน์มี
ความปราดเปรียว มีเส้นสันบ่าที่คมชัดที่ออกแบบให้สามารถดูได้สองมุมมอง เมื่อมองด้านข้างตัวรถก็จะมีความสะอาดตา
เรียบง่าย แต่ถ้ามองมุมเฉียงก็จะเห็นเส้นสันนูนรถแบบ 3 มิติ
บั้นท้ายแปลกตาด้วยฝากระโปรงท้ายที่มีขนาดและเนื้อที่กว้างมาก จนทำให้ต้องออกแบบไฟท้ายอยู่ในบานประตูท้าย
ทั้งหมด นอกจากจะทำให้ตัวรถดูมีระดับแต่ยังช่วยเพิ่มความอเนกประสงค์ได้อีกด้วย
![lincoln3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/lincoln3.jpg)
ภายในห้องโดยสารก็ชูจุดเด่นด้วยวัสดุหลากหลายชนิดบุในหลาย ๆ จุดและยังคัดเลือกสีสรรที่ดูแล้วสบายตามีความ
อบอุ่นและดูหรูหราในแบบ Lincoln ยุคใหม่
นอกจากนี้ Lincoln ยังเคลมอีกว่า Lincoln MKC Concept ถือเป็นรถที่มีความสมดุลทุกจุด ได้แก่ มีบุคลิคที่อบอุ่น,
สะดวกสบาย, อุปกรณ์มาตรฐานครบครัน และมีคุณภาพการขับขี่,การบังคับ, ระบบเบรคในระดับสุดยอด
คาดว่าอเมริกันชนน่าจะได้เป็นเจ้าของ Lincoln MKC Concept ในเวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริงเร็ว ๆ นี้
Maserati
![maserati1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/maserati1.jpg)
หลังจากเห็นภาพแอบถ่าย ภาพรถโปรโตไทป์ รวมไปจนถึงภาพจดสิทธิบัตรกันบ่อยครั้ง วันนี้ Maserati ค่ายรถยนต์
สปอร์ตจากอิตาลี พร้อมแล้วที่จะเปิดตัว 2014 Quattroporte โฉมที่ 6 ของสปอร์ตซาลูนประจำค่าย หลังจากขายรุ่นที่ 5
มานานถึง 8 ปีเต็ม โดยจะพร้อมเผยโฉมสู่สายตาสาธารณชนในงาน 2013 Detroit Motor Show เดือนมกราคมปีหน้า
ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรก
ด้านรูปลักษณ์ภายนอก ถือว่าเป็นการพัฒนาจากรุ่นปัจจุบันอย่างลงตัว โดยผสมผสานกลิ่นอายของ Quattroporte รุ่น
แรกในยุค60s มากขึ้น โดยรุ่นโฉมใหม่จะมีความยาวมากกว่ารุ่นปัจจุบัน ที่ 5200 มม. เพื่อขยายพื้นที่วางขาสำหรับ
ผู้โดยสารตอนหลังแต่มีน้ำหนักตัวรถเบาลง 50 กก. จนมาอยู่ที่ระดับ 1,940 กก. เนื่องมาจากการใช้วัสดุอะลุมิเนียมในตัว
รถมากขึ้น
![maserati2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/maserati2.jpg)
เส้นสายงานออกแบบภายนอก นอกจากจะมีการนำสไตล์ลิ่งแบบดั้งเดิมของ Maserati มาใช้มากขึ้นแล้ว ทีมออกแบบยัง
ได้ใส่เส้นสายและทรวดทรงที่ทำให้ Quattroporte รุ่นใหม่ ดูแข็งแรงและมีมัดกล้ามมากขึ้น ในขณะที่ห้องโดยสารภายใน
ถูกพัฒนาให้เพิ่มระดับความหรูหรา และมีการนำหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่มาติดตั้งในบริเวณคอนโซลกลางเป็นครั้งแรก
![maserati3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/maserati3.jpg)
ด้านงานวิศวกรรมของตัวรถ นอกจากจะถูกสร้างขึ้นบนแชสซีส์โมโนค็อกแบบใหม่แล้ว 2014 Maserati Quattroporte
ยังใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลักเช่นเคย โดยเวอร์ชันขับเคลื่อน 4 ล้อจะเปิดตัวตามมาในปี 2015 ด้านขุมพลังเป็น
การนำเอาเครื่องยนต์เบนซิน V8 จากค่ายเฟอร์รารี่มาใช้ โดยเครื่องยนต์บล็อกนี้เป็นการปรับจูนและพัฒนาขึ้นจาก
เครื่องยนต์ 4.7 ลิตร จากรุ่นปัจจุบัน เชื่อมต่อกำลังเข้ากับเกียร์อัตโนมัติจาก ZF ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขแรงม้าและ
แรงบิดสูงสุดออกมา แต่คาดว่าเครื่องยนต์จะมีพละกำลังมากขึ้น แต่จิบน้ำมันน้อยลง ตามเทรนด์การพัฒนาเครื่องยนต์ใน
ยุคนี้ นอกจากนี้แล้ว Maserati ยังเตรียมเปิดตัวขุมพลังพร้อมระบบอัดอากาศทั้งซูเปอร์ชาร์จและเทอร์โบ ซึ่งจะมาพร้อม
ทั้งแบบ V6 และ V8 ในขณะที่ขุมพลังดีเซล มีการคาดการณ์ว่าจะถูกเปิดตัวตามออกมาเช่นกัน
2014 Maserati Quattroporte พร้อมออกจำหน่ายในปี 2014 ซึ่งถ้าหากเศรษฐีชาวไทยคนไหนสนใจครอบครองยาน
ยนต์สปอร์ตซาลูนคันนี้ น่าจะจับจองได้อย่างเป็นทางการช่วงปลายปี 2014 ครับ
Mercedes-Benz
![mb1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/mb1.jpg)
หลังจากซุ่มสังเกตตลาดพรีเมี่ยมคอมแพคท์มาเป็นเวลานาน Mercedes-Benz จึงปล่อยไพ่ใบสำคัญ ลงตลาดก่อนใคร
ตั้งแต่ต้นปีด้วย 2014 Mercedes-Benz CLA-Class การเปิดตัวรถยนต์คอมแพคท์ซีดาน 4 ประตูครั้งแรกจากค่ายดาว
สามแฉก แต่ฉีกแนวให้แตกต่าง ด้วยการมาในสไตล์คูเป้ 4 ประตู เดินตามความสำเร็จของ CLS-Class
หลังจากพรีวิวด้วยรถต้นแบบ Concept Style Coupe ไปเมื่อปีกลาย เมื่อเป็นเวอร์ชันขายจริง ก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่น
ต้นแบบมากนัก ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมโลโก้ 3 แฉกขนาดเขื่อง เด่นกลางกระจังหน้า พร้อมเส้นแนว
หลังคาที่ลาดเทสร้างความสะดุดตาและความโฉบเฉี่ยว จบที่ด้านท้ายซึ่งมาพร้อมความสปอร์ตและเส้นสายอ่อนช้อยของ
โคมไฟท้าย เสริมภาพลักษณ์สปอร์ตให้เด่นยิ่งขึ้นด้วยท่อไอเสียแบบคู่
และด้วยการออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยวในสไตล์รถยนต์คูเป้ พร้อมกับการพัฒนาอย่างหนักในด้านวิศวกรรม ส่งผลให้
CLA-Class มีความลู่ลมอย่างมาก ด้วยตัวเลขสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ที่ต่ำเพียง 0.23 เท่านั้น ส่งผลให้เป็น
รถยนต์ขายจริงของ Mercedes-Benz ที่มีความลู่ลมมากที่สุดเท่าที่แบรนด์นี้เคยผลิตขายมา
![mb2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/mb2.jpg)
ในเมื่อรูปลักษณ์ครึ่งคันหน้ามีการใช้ร่วมกับ A-Class รุ่นใหม่ ภายในห้องโดยสารจึงเป็นการนำเอาแผงคอนโซลหน้ามา
จาก A-Class ล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่องแอร์ทรงกลม หน้าจอแสดงผลระบบ COMAND ขนาด 5.8 นิ้ว พร้อมระบบ
เชื่อมต่อ mbrace2 เข้ากับแอพพลิเคชั่นและบริการต่างๆ ในส่วนของอุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีครบทั้งหลังคาซันรูฟ
แบบ Panorama ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกส่วน ระบบอุ่นเบาะนั่งคูหน้า และระบบเครื่องเสียงพรีเมี่ยมจาก
harman/kardon พร้อมระบบความปลอดภัยเพียบพร้อม ทั้งระบบ ATTENTION ASSIST และ COLLISTION
PREVENTION ASSIST with Adaptive Brake Assist ที่จะช่วยหยุดรถหากตรวจจับว่าจะเกิดการพุ่งชนด้วยความเร็ว
ต่ำกว่า 7 กม./ชม.
ด้านงานวิศวกรรมของรถยนต์คันนี้ ยังคงใช้แพลตฟอร์ม MFA เช่นเดียวกันกับ A-Class และ B-Class นั่นหมายความว่า
ยังคงเลือกใช้ระบบช่วงล่างแบบแมคเฟอร์สันสตรัทสำหรับล้อคู่หน้า และช่วงล่างแบบมัลติลิงค์ในล้อคู่หลัง พร้อมกับการ
ใช้ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า และมีการติดตั้งซับเฟรมแบบยืดหยุ่นสำหรับล้อคู่หลัง ช่วยให้มีการขับขี่ที่สนุกและ
มั่นใจยิ่งขึ้น
![mb3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/mb3.jpg)
ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้ใน CLA-Class เบื้องต้นจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จ
210 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 349 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่แบบ 7 จังหวะ เช่นเดียวกับใน A-Class
2014 Mercedes-Benz CLA-Class จะออกจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายนนี้ ส่วนในภูมิภาคอื่น
ยังไม่มีการประกาศออกมา สำหรับประเทศไทย อาจต้องรอให้ A-Class ใหม่ส่งมอบถึงมือลูกค้าให้ทันกันก่อน ก่อนที่จะส่ง
CLA-Class เข้ามาทำตลาด
Nissan
![nissan1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/nissan1.jpg)
ปีนี้ Nissan ได้เข้ามาจัดบูธในงานนี้อีกครั้งและยังนำเสนอรถต้นแบบ Nissan Resonance Concept ซึ่งถือเป็นการตอก
ย้ำในสิ่งที่ Nissan ถนัดถนี่ที่สุด ณ ตอนนี้ เพราะ Nissan เริ่มถนัดและมีประสบการณ์ในการพัฒนารถครอสโอเวอร์เอสยูวี
จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งที่ Nissan ไม่ได้เป็นผู้นำในตลาดนี้หรือเป็นผู้มาก่อนในตลาดนี้แต่อย่างใด
Francois Bancon ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ Nissan Motor กล่าวว่า เมื่อพวก
เขาเริ่มกำหนดแนวคิดของงานออกแบบ Nissan Resonance Concept พวกเขาก็ได้แรงบันดาลใจจากความล้ำหน้า
ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมไปถึงนวัตกรรมในด้านวัสดุ อีกทั้งพวกเขาก็อยากจะแสดงออกถึงนวัตกรรมในอนาคต
งานออกแบบของ Nissan Resonance Concept จะให้ความรู้สึกร่วมทั้งความโฉบเฉี่ยวที่ลื่นไหล (ฟังเผิน ๆ นึกว่า
Hyundai) และเส้นสายอันเฉียบคม ดังนั้นรถคันนี้จึงดูปราดเปรียวสะท้อนถึงน้ำหนักที่เบาคล่องตัว แต่ก็ให้ความรู้สึก
ปลอดภัยคุ้มครองคนภายในรถได้
![nissan2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/nissan2.jpg)
ด้านหน้ามาแปลกแหวกแนวกว่ารถครอสโอเวอร์จากแบรนด์ Nissan ในปัจจุบัน ด้วยกระจังทรงตัว V ที่ดูเผิน ๆ คล้ายตัว
U มีเส้นสายลากยาวจากกระจังหน้าต่อเนื่องไปบนฝากระโปรงหน้าและต่อเนื่องยาวไปจรดเส้นสายด้านข้าง, ไฟหน้าจะมา
ทรงแบบบูมเมอแรงคล้าย ๆ กับ 370Z
จุดเด่นของงานออกแบบคือการใช้เทคนิคการออกแบบแผงหลังคาให้ดูมีเหมือนกับเป็นหลังคาที่ดูลอยได้และมีการ
ออกแบบที่ดูเหมือนกับซ่อนเสา D เอาไว้แบบไม่เห็นเนื้อเหล็กเลย
ภายในห้องโดยสารก็จะออกแบบมาแนว VIP Lounge ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นห้องชั้นหนึ่งและดูไฮเทค การจัดวาง,
การเลือกใช้วัสดุและสีจะออกแนวอบอุ่น แลดูสบายตาพร้อมติดตั้งหน้าจอสัมผัสสั่งการใช้งานในรถ ส่วนบรรยากาศภายใน
รถจะดูโล่งโปร่งสบายด้วยหลังคากระจกรอบคัน
ขุมพลังจะติดตั้งระบบ Hybrid ชนิด 1 มอเตอร์ 2 คลัทช์ตัดต่อกำลัง ส่วนรายละเอียดที่ชัดเจนนั้นเราก็ไม่ทราบเลย รู้แค่
เพียงว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาดเล็กพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่กักเก็บไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนจับคู่
กับเกียร์ XtronicCVT ลูกใหม่
![nissan4](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/nissan4.jpg)
Nissan ไม่ได้บอกว่า Nissan Resonance Concept จะกลายร่างเป็นครอสโอเวอร์รุ่นไหน แต่บอกได้ว่าแนวทางการ
ออกแบบอาจจะมีให้เห็นในรถครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ซึ่ง Nissan จะพยายามฉีกงานออกแบบไปว่ารถแนวนี้ไม่ได้มีเพียงแค่รถ
ทรง 2 กล่องทื่อ ๆ เท่านั้น แต่จะต้องเป็นรถที่มีงานดีไซน์ที่เป็นแฟชั่นและดูเป็นทางเลือกใหม่ซึ่งรถครอสโอเวอร์เอสยูวีของ
Nissan จะต้องเป็นในแนวทางนั้น
![nissan5](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/nissan5.jpg)
Nissan Versa Note ฟังชื่อแล้วหลายคนคงจะประหลาด จริง ๆ แล้วมันก็คือ Nissan Note โฉมใหม่ที่เพิ่งตัวในญี่ปุ่นช่วง
ปลายปีที่แล้ว เพียงแต่ชื่อ Versa ในสหรัฐอเมริกาค่อนข้างจะแข็งแกร่ง Nissan ก็เลยต้องอาศัยมุขห้อยชื่อ Note ไว้ด้าน
ท้ายเสียหน่อย
Nissan Versa Note จะเกิดมาเพื่อแทนที่ Versa Hatchback โฉมเก่า (ร่างเดียวกับ Tiida โฉมแรก) ดังนั้นนี่คือการปรับ
ตำแหน่งการตลาดอันน่าสับสนในอดีตให้เข้าร่องเข้ารอยกันเสียที มิใช่นำรถ C-Segment ในหลายประเทศมาทำเป็นรถ
B-Segment ในสหรัฐอเมริกา
![nissan6](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/nissan6.jpg)
ดีไซน์ภายนอกก็เหมือนกับ Note เวอร์ชันญี่ปุ่นทุกประการ ยกเว้นภายในห้องโดยสารที่ยกแผงแดชบอร์ดจาก Versa
Sedan มาทั้งดุ้นและยังยกพวงมาลัยสามก้านจาก Nissan Sentra/Sylphy มาใช้ด้วยก็เรียกว่าไม่ทิ้งแนวคิดการลด
ต้นทุนแบบตัดแปะตามสไตล์ Nissan ยุคใหม่
จุดเด่นของ Nissan Versa Note มีเนื้อที่ห้องโดยสารหลังกว้างขวางเกินคาดและยังติดตั้งออพชั่นพิเศษ Around View
Monitor รอบคันด้วย
Toyota
![toyota1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/toyota1.jpg)
บูธที่มีคนรุมมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นบูธ Toyota เพราะ Toyota ได้อวดโฉมรถต้นแบบ Corolla Furia Concept บ่งบอก
ถึงทิศทาง Corolla โฉมใหม่นั่นเอง
Toyota Corolla Furia Concept คือรถต้นแบบที่ถูกออกแบบมาสำหรับทุกคนที่คาดหวัง Corolla ใหม่จะมีดีไซน์น่าตื่น
ตาตื่นใจและถือเป็นหนึ่งในรุ่นสำคัญที่จะแสดงออกถึงงานออกแบบที่แปลกไปจากเดิม
Bill Fay รองประธานกลุ่มและผู้จัดการทั่วไป Toyota Motor อเมริกา ยืนยันว่ารถต้นแบบคันนี้จะบ่งชี้ถึงการออกแบบรถ
คอมแพคท์ในอนาคตอย่างแน่นอน มันเป็นการผสมผสานระหว่างงานออกแบบอันน่าทึ่งและเทคโนโลยีล้ำสมัยจนน่าจะทำ
ให้ผู้คนตกตะลึงในรถคันนี้ได้
![toyota2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/toyota2.jpg)
รถต้นแบบคันนี้ถูกออกแบบด้วยแนวคิด Iconic Dynamism มีเส้นสายที่ง่าย ๆ แต่ก็สามารถทำให้รถดูมีความมั่นใจ, เด็ด
เดี่ยวและเป็นที่จดจำได้ ก็แน่นอนว่าในเมื่อมันรูปโฉมที่ดูเร้าใจมากขึ้นก็ทำให้รถคันนี้สามารถเจาะกลุ่มคนวัยรุ่นหนุ่มสาว
ได้มากขึ้น
สัดส่วนของตัวรถจะเน้นความยาวของฐานล้อให้ชิดมุมตัวรถจนเหลือเนื้อที่โอเวอร์แฮงค์น้อยก็ทำให้ตัวรถดูเร้าอารมณ์, ดู
มั่นคงและปราดเปรียวเป็นอย่างมาก
![toyota3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/toyota3.jpg)
ด้านหน้าดู Aggressive เอามาก ๆ ด้วยสไตล์ Keen Look พร้อมไฟ LED ส่วนบั้นท้ายก็ดูแปลกตาไปจาก Corolla
แบบเดิม ๆ
รายละเอียดเบื้องต้นก็มีแค่มิติตัวถังเท่านั้น ตัวรถยาว 4,620 มม. กว้าง 1,805 มม. สูง 1,425 มม. ฐานล้อยาว 2,700
มม. ประกบกับล้ออัลลอย 19 นิ้ว
กำหนดการเปิดตัว All New Toyota Corolla น่าจะมีขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ ส่วนเมืองไทยก็รอคอยกันได้เลยในช่วงสิ้นปีนี้
Volkswagen
Volkswagen เดินหน้ารุกหนักตลาดรถยนต์ทวีปอเมริกาเหนืออีกครั้ง ด้วยการเร่งพัฒนารถยนต์ SUV 7 ที่นั่ง เพื่อตอบ
โจทย์ตลาดกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่งหลังจากปล่อยภาพทีเซอร์ออกมาวันก่อนไปแล้ว ก็ได้ถึงเวลาเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบตัว
เป็นๆออกมาในงาน 2013 North America International Auto Show ที่กำลังจัดขึ้นอยู่ ในชื่อ Volkswagen
CrossBlue Concept
![vw1](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/vw1.jpg)
แม้จำนวนที่นั่งจะมากกว่า Touareg ถึง 2 ที่นั่ง แต่รถยนต์คันนี้ จะถูกวางตำแหน่งให้คั่นกลางระหว่าง Volkswagen
Tiguan และ Touareg และถูกออกแบบขึ้นสำหรับทำตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาโดยเฉพาะ รถยนต์คันนี้
จึงใช้นำเอาแพลตฟอร์ม MQB มาใช้ในการพัฒนา โดยมีมิติตัวถังยาว 4,986 มม. กว้าง 2,014 มม. และสูง 1,732 มม.
มีการวางตำแหน่งที่นั่งรูปแบบ 2+3+2 ในรุ่นจำหน่ายจริง (ในเวอร์ชันต้นแบบนี้จะใช้รูปแบบ 2+2+2)
![vw2](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/vw2.jpg)
Volkswagen CrossBlue Concept ใช้ขุมพลังไฮบริด แต่เป็นการจับเอาเครื่องยนต์ดีเซลแบบสะอาด TDI Clean
Diesel กำลัง 190 แรงม้า พ่วงเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้ากำลัง 54 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง 114 แรงม้า ทำ
ให้เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฟฟ้า และใช้ระบบส่งกำลังคลัทช์คู่ DSG เพื่อถ่ายทอดสู่ล้อทั้ง 4 อันเป็นรูปแบบ
ขับเคลื่อนเดียวกันกับที่เคยพบมาแล้วใน Volkswagen Cross Coupe Concept ช่วยสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน
เวลาเพียง 7.2 วินาที
![vw3](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/MotorShow/Detroit2013/vw3.jpg)
ด้วยการนำเอามอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้ถึง 2 ลูก ทำให้ต้องมีการนำเอาแบตเตอรี่แบบ Li-ion ขนาดกำลัง 9.8 kWh มาใช้ โดย
เมื่อชาร์จให้เต็มแล้ว สามารถขับเคลื่อนในโหมดมอเตอร์ไฟฟ้าได้ 22 กม. และช่วยให้รถยนต์สามารถใช้โหมดไฮบริดได้
ไกลถึง1,064 กม.) โดยรถคันนี้สามารถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลแบบสารซัลเฟอร์ต่ำได้อีกด้วย