ผมยืนอยู่ริมรั้วรอบขอบสนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต พัทยา  (Bira International Circuit Pattaya)
ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายอันร้อนอบอ้าว ร้อนตับแล่บ ร้อนตับแตก จนชวนให้นึกเล่นๆ ขึ้นมาว่า มันคง
จะดีไม่น้อย ถ้ามี ใครสักคนมายืนกางร่มให้…มองไปมองมา ใบหน้าของ “นิชคุณ” พรีเซ็นเตอร์ รถคันเล็ก
ที่ผมจะลองขับในวันนี้ ก็ลอยเข้ามาในสมอง ฝั่งซ้าย เพียงแวบเดียว สมองฝั่งขวา รีบเหยียบเบรกตัวโก่งชนิด
ABS ยังไม่ทันได้ทำงานเลยว่า “ฝันไปเหอะ…”

“จิมเอ้ย เจ้านี่บังอาจมาก ปกติ ระดับอย่าง เจ้าคุณ เขาต้องมีคนคอยกางร่มให้ นี่เอ็งบังอาจคิดจะให้ เจ้าคุณ
เขามากางร่มให้เอ็ง เดี๋ยวก็ได้โดนแฟนคลับเขาสวดยับกลางพันทิบเละตุ้มเป๊ะหรอก! แล้วปริมาณแฟนคลับ
ที่จะเล่นงานเอ็ง เยอะแค่ไหน วันไปงานเปิดตัว รถเล็กรุ่นใหม่ ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว (20 มีนาคม 2012) ที่
ผ่านมา เอ็งก็น่าจะรู้ดีนี่หว่า กองทัพแฟนคลับที่เห็นนั่น เขามากันแค่บางส่วนเท่านั้นนะโว้ย! และแค่นั้น
ก็เยอะพอที่จะทำให้เข้าใจผิดได้แล้วว่า ตกลงนี่ เอ็งอยู่ในงานเปิดตัวรถใหม่ หรืองานคอนเสิร์ตนักร้อง
Boy Band จากเกาหลีกันแน่? เลยนะเฟ้ย!” สมองฝั่งขวา ส่งเสียงเอ็ดตะโรดังก้องในโสตประสาทของผม

คิดได้ดังนั้น ผมก็รีบส่ายหัว ละทิ้งความคิด แล้วก็หันกลับมายังผู้ใหญ่ทั้ง 2 ท่าน ที่กำลังพูดคุยอยู่ตรงหน้า
ทั้งคุณวิกรานต์ อมาตยกุล (พี่เบิร์ท) ผู้อำนวยการ สำนักการตลาด บริษัท Mitsubishi Motors (Thailand)
และ คุณจาตุรนต์ โกมลมิศร์ (พี่เต้) รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท Grand Prix Internatonal 
และรองประธานจัดงาน Bangkok International Motor Show ซึ่งผมก็แอบแปลกใจพี่เต้นิดหน่อย เพราะ 
ระหว่างที่เราคุยกันไป มือของพี่เต้ ก็แอบ แกะสีที่พ่นอยู่บนเสาโครงเหล็กที่ร่อนออกมาเป็นแผ่นๆ ออก ฮากันเลยทีเดียว

ผมกับ ตาแพน Commander CHENG! เราสองคน ขับรถมาไกล ถึงยังสนามพีระฯ ในวันนี้ ก็เพราะมีภาระกิจ
ต้องมาทดลองขับ รถยนต์รุ่นเล็ก คันใหม่ ที่นิชคุณ เป็นพรีเซ็นเตอร์นั่นละครับ เสียงจากชาวอินเตอร์เน็ต
จำนวนไม่น้อย โพสต์บอกเราว่า “นิชคุณ ช่วยให้รถ ดูดีขึ้น” (ซึ่งผมก็เห็นด้วยแหละ ว่าเป็นเรื่องจริง)

แต่ผมว่า หน้าตาของผมก็น่าจะทำให้รถคันนี้ดูดีได้บ้างเหมือนกัน อย่างรูปข้างบนนี้เป็นต้น อิอิ

(“แหวะ! – พูดมาได้ ไม่ดูสารร่างตัวเองเล้ยยย อ้วนยังกะเป็นหมีควายขนาดนั้น” ลงชื่อ The Coup Channel Team)

เอาละ จะอย่างไรก็ตาม แม้รถคันนี้ จะมีพรีเซ็นเตอร์ มาช่วยให้มันดูดีขึ้น แต่ลำพังแล้ว ตัวของมันเองจะมี
คุณงามความดีมากพอไปงัดข้อสู้กับเจ้าตลาดอย่าง Nissan March สู้กับผู้ท้าชิงเจ้าใหม่ อย่าง Suzuki Swift
และ เหนือกว่า เจ้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาติดล้อ อย่าง Honda Brio หรือไม่? รีวิวฉบับย่อ “รีวิวแรกในโลก”
ของ Mirage ใหม่ ข้างล่างนี้ น่าจะทำให้คุณพอเห็นภาพรวมคร่าวๆ ของรถคันใหม่รุ่นนี้ ได้มากโขอยู่

ว่าแต่ ทำไมเขาต้องใช้ชื่อ Mirage กันละ?
มันแปลจากภาษาอังกฤษว่า “ภาพลวงตา” นี่หว่า?

สำหรับชื่อรุ่นว่า “มิราจ” มาจากคำภาษาอังกฤษ MIRAGE ซึ่งเป็นชื่อที่ Mitsubishi เคยใช้สำหรับรถยนต์นั่ง
ขนาดเล็กที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงการประหยัดทรัพยากร พลังงาน พื้นที่ใช้สอย และประสิทธิภาพ
ของรถซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม 1978 และได้รับความนิยมอย่างสูง ต่อมา Mirage
ถูกจับรวมเข้ากับตระกูล Lancer เพื่อให้ทั้ง 2 รุ่น สามารถใช้ชิ้นส่วนตัวถังร่วมกันได้ และกลายเป็นรถยนต์
พิกัดตัวถัง Compact หรือ C-Segment เต็มตัว สร้างรายได้ และยอดขายให้กับ Mitsubishi อย่างมาก ทั่วโลก

แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ในญี่ปุ่น ชื่อ MIRAGE จึงถูกปลดออกจากทำเนียบรุ่นรถยนต์ของ
Mitsubishi Motors สำหรับตลาดแดนปลาดิบ ไปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2000 อันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ
การเปิดตัว Lancer Cedia เป็นครั้งแรก พอดี เนื่องจากตลาดรถยนต์ Hatchback ท้ายตัด ระดับ C-Segment
มียอดขายซบเซา ซึมกระทือต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ 3 ระลอก ที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญ ตลอดช่วง
ทศวรรษ 1990 (ฟองสบู่แตกในปี 1992 แผ่นดินไหวใหญ่ใน Kobe ปี 1995 และผลต่อเนื่องจากวิกฤติการณ์
ต้มยำกุ้งในเมืองไทย เดือนกรกฎาคม 1997)

การนำชื่อ Mirage กลับมาอีกครั้ง ในคราวนี้ ก็เพราะว่า แนวคิดในการสร้างรถยนต์ Sub-Compact Hatchback
พิกัดขนาดตัวถังกลุ่ม B-Segment คันนี้ คือต้องการสืบทอดคุณสมบัติเด่นของ Mirage รุ่นแรก ทั้งในด้านของ
สมรรถนะ ความประหยัดน้ำมันและฟังก์ชั่นการใช้งานครบครันที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ในรถยนต์ขนาดเล็ก นั่นเอง

ตัวรถมีความยาว 3,710 มิลลิเมตร กว้าง 1,665 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร
(เท่า Honda Fit / Jazz) อาจมีเส้นสายไม่โดนสายตาผู้คนทั่วไปเท่าใดนัก มันดูจืดชืด เสมอตัว แต่เหตุผล
ทั้งหมดที่ทำให้รถคันนี้ถูกออกแบบมาอย่างนี้ เพราะทีมออกแบบ และทีมวิศวกรของ Mitsubishi Motors
จะต้องหาทางออกแบบ Mirage ใหม่ให้เน้นในเรื่องการไหลผ่านของอากาศ ตามหลัก อากาศพลศาสตร์
ให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ จนมีค่า Cd ต่ำเพียง Cd : 0.29 เท่านั้น ถือว่าลู่ลมที่สุดในบรรดา ECO Car
แบบ Hatchback ทั้ง 4 รุ่นในตลาดเมืองไทยตอนนี้ และนั่นเลยทำให้ เส้นสายต้องเล่นกับความลู่ลม
เป็นหลักอย่างที่เห็นอยู่นี้

ที่สำคัญ การใช้โครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง และใช้ถังน้ำมันที่มีความจุแค่ 35 ลิตร ทำให้น้ำหนัก
ตัวรถเปล่าๆ ของ Mirage เบาเพียง 830 – 870 กิโลกรัม เบากว่าคู่แข่งตัวฉกาจในพิกัดเดียวกัน อย่าง Nissan
March, Honda Brio และ Suzuki Swift ร่วม 100 กิโลกรัม ซึ่งมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และการขับขี่

การเปิดประตูเข้าไปในรถนั้น หากเป็นรุ่นย่อยอื่นๆ (ยกเว้นตัวท็อป GLS Limited ) จะใช้กุญแจพร้อม
บิดเปิดประตู และติดเครื่องยนต์ ส่วนรุ่น GLX จะใช้กุญแจแบบมีสวิชต์รีโมทสั่งปลดและล็อกรถได้ในตัว

แต่ในรุ่น ท็อป GLS Limited จะใช้กุญแจรีโมทแบบ KOS จาก Lancer EX 2.0 GT ที่ช่วยให้สามารถล็อก
หรือปลดล็อก ประตู และฝากระโปรงท้าย รวมไปถึงสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์ได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้กุญแจ
การติดเครื่องยนต์ ใช้วิธีกดปุ่ม Push Start ซึ่งมีสัมผัสในการกดที่ดีใช้ได้เลย

การเข้า – ออก จากประตูคู่หน้า ถือว่าทำได้ในระดับพอประมาณ พอกันกับรถยนต์ญี่ปุ่นในยุค 1990 – 2000
คือ ไม่ได้มีช่องทางเข้าใหญ่โต แต่ก็ขึ้นไปนั่งได้สะดวกพอประมาณ สรีระใหญ่ไม่เกินหุ่นอย่างผมหนะ
ไม่มีปัญหาเลย แต่ถ้าใหญ่โตอย่าง ตาแพน Commander CHENG! อาจต้องใช้ความระมัดระวังนิดนึง

เบาะนั่งคู่หน้า ดีไซน์ คล้ายกับ เบาะคู่หน้าของ MINI Cooper รุ่นปัจจุบันอยู่เหมือนกัน แต่ ฟองน้ำที่ใช้
ขึ้นรูปกับโครงสร้างเบาะ นิ่มกว่ามาก อันที่จริง มันนิ่มพอๆ กันกับ March และมีโครงสร้างเบาะค่อนข้าง
เล็กอยู่ ถ้าเป็นคุณสุภาพสตรี ผมว่า น่าจะชอบเบาะนั่งแบบนี้ เพราะเมื่อต้องขับขี่จริง มันก็เป็นเบาะที่
นั่งได้ ไม่เลวเลย ออกจะดีกว่า Brio และ March ด้วยซ้ำ (แต่เบาะของ Swift ก็ดีกว่า) เสียดายว่า ไม่มี
ที่วางแขนตรงกลางมาให้ แอย่างว่าครับ ยังไม่มี ECO car Hatchback คันไหนในตลาด แถมที่พักแขน
มาให้เลยสักคันนี่หว่า?

ส่วนตำแหน่งวางแขน บนแผงประตูด้านข้างนั้น แค่อยู่ในระดับที่พอวางได้ ถ้าช่วงต้นแขน ยาวกว่านี้
อีกนิดนึง จะวางได้กำลังดีเลย สำหรับผม ผมมองว่า ขอปรับให้สูงขึ้นอีกสัก 1 มิลลิเมตร ก็น่าจะวาง
แขน ได้สบายกว่านี้พอดีเป๊ะ

คุณอาจจะรู้สึกว่า แผงบังแดดด้านหน้า อยู่ใกล้ระดับสายตาไปหน่อย ไม่แปลกครับ Honda City ใหม่
คันที่บ้านผม ก็เป็นอย่างนี้ เป็นผลมาจากการออกแบบแนวหลังคา ให้ลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์
มันเลยจำเป็นต้องมีแนวหลังคาแบบนี้ จนทำให้ การติดตั้งแผงบังแดดอยู่ใกล้สายตาอย่างที่เป็น แต่
ถาพรวม ก็ไม่ได้บดบังทัศนวิสัยแต่อย่างใด

ส่วนการเข้า – ออก จากประตูคู่หลังนั้น ถึงแม้จะพยายามออกแบบให้มีช่องประตูที่กว้าง และสูงที่สุดเท่าที่
พอจะทำได้แล้ว แต่ยังมองว่า  ช่องทางเข้า เล็กไปนิดนึงอยู่ดี เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เอาละ ช่องทางเข้าของ
Brio เล็กสุด แต่ Mirage เอง ก็ใหญ่กว่ากันแค่นิดหน่อย เท่านั้น การวางแขน บนแผงประตูด้านข้าง ถือว่า
พอจะวางได้ แต่ ไม่ดีนัก เนื่องจาก ตำแหน่งพื้นที่วางแขน สั้นไปหน่อย แถมไม่มีมือจับเหนือบานประตู
บรอิเวณเพดานหลังคา อีกด้วย นี่กะจะให้เหมือนกับ Mazda 2 และ Ford Fiesta กันเลยหรือยังไงเนี่ย?

เบาะหลัง ถูกติดตั้งในตำแหน่ง ต่ำกว่า รถยนต์ในยุคปัจจุบันทั่วไป จนชวนให้นึกถึง ตำแหน่งเบาะหลังของ
Toyota Soluna รุ่นแรก แต่ เหตุผลของประเด็นนี้ ก็คือ ในเมื่อ จำเป็นต้องทำหลังคาให้ลาดลง เพื่อให้ลู่ลม
มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น พื้นที่เหนือศีรษะ ก็ต้องถูกเฉือนออกไปด้วย ดังนั้น หากต้องการรักษา
พื้นที่เหนือศีรษะเอาไว้ ก็ต้อง ใช้วิธีติดตั้งเบาะรองนั่งด้านหลัง ในตำแหน่งเตี้ยลง  ผู้โดยสารที่นั่งด้านหลัง
อาจต้องนั่งชันขาสักหน่อย แต่ก็แลกมากับพื้นที่เหนือศีรษะ ซึ่งยังพอมีเหลือบ้าง สำหรับ ชายวัย 30 ปี
เช่นผม

ประเด็นนี้ จะแตกต่างไปจาก Swift เพราะหากคุณตัวสูงเกิน 175 เซ็นติเมตร ขึ้นไป เบาะหลังของ Swift
ซึ่งติดตั้งในตำแหน่งที่สูงกว่า แม้จะช่วยให้การเข้า – ออก สะดวกกว่าชัดเจน แต่ คนตัวสูง ร่างใหญ่มาก
อย่าง Commander CHENG! ของพวกเรา ก็ยังนั่งแล้ว หัวติดเพดาน…ขณะที่หัวของผม ไม่ติดเพดานขอ
Swift

ดังนั้น ใครที่คิดว่า จำเป็นต้องใช้งานเบาะหลังของรถยนต์ประเภทนี้บ่อยกว่าปกติแล้ว วันไปดูรถที่โชว์รูม
กรุณา พาสมาชิกในครอบครัว ที่น่าจะต้องนั่งบนเบาะหลังบ่อยๆ ไปลองนั่งดูก่อนครับ ว่าสอดคล้องกับ
สรีระของแต่ละคนหรือไม่ อย่างไร

นอกจากนี้ เบาะหลัง ยังสามารถแบ่งพับได้ ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิมพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
อีกด้วย (อย่าลืมว่า March และ Brio หากจะพับเบาะหลัง ต้องพับลงมาทั้งชุด

แผงหน้าปัด ออกแบบและจัดวางอย่างเรียบง่าย แต่ดูลงตัวกว่าทั้ง March กับ Brio ทุกอุปกรณ์ ควบคุม
และใช้งานไม่ยากเลย เสียดายแค่ว่า ไฟในห้องโดยสาร น้อยไปหน่อย ไม่สว่างเท่าที่ควร ไม่รู้จะ
เขียมอะไรกันนักกันหนาในเรื่องนี้ เพราะขนาดของ ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารนั้น มันเล็กๆ
ใกล้เคียงกับ ไฟส่องสว่างในห้องเครื่องยนต์ของ Tata Xenon เลยแหะ!!!!

ชุดมาตรวัด ออกแบบจนคล้ายกับมาตรวัดของ Mitsubishi L-200 Triton มีสัญญาณไฟ ECO สว่างขึ้น เมื่อ
ขับขี่และเหยียบคันเร่งแผ่วเบา อย่างประหยัด (จนได้โล่ห์จาก ท่านปลัด อบต.บางขี้เหนียว) แผงควบคุม
ตรงกลาง ใช้วัสดุแบบสีดำ Piano Black High-Gross เงางาม และดูดีมีราคา และสกุลรุนชาติ เอาเรื่อง

เครื่องปรับอากาศทุกรุ่น เป็นแบบสวิชต์มือบิด ใช้งานง่ายดาย แต่ในรุ่นท็อป GLS Limited มีเครื่องปรับ
อากาศ แบบอัตโนมัติ (Automatic Air-Condition) พร้อมสวิชต์และหน้าจอแบบ Digital มาให้ด้วย สวยงาม
ดูไฮโซขึ้นเยอะ

ด้านอุปกรณ์ความบันเทิง รุ่นถูกสุด GL ไม่มีเครื่องเสียงมาให้ มีแต่ช่องใส่วิทยุแบบ 2 DIN เปล่าๆ สำหรับ
ลูกค้าในต่างจังหวัดที่อยากจะซื้อรถเปล่าๆ ไปขับใช้งาน และลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น ที่อยากซื้อรถคันพื้นฐาน ไป
แต่งต่อ ในขณะที่รุ่น GLS และ GLX จะติดตั้ง วิทยุ AM/FM เครื่องเล่น CD /  MP3  มีช่อง AUX-in และ
ช่อง USB มาให้จากโรงงาน ติดตั้งอยู่ที่ลิ้นชักกล่องเก็บของด้านหน้า แต่ในรุ่น ท็อป GLS Limited ติดตั้ง
วิทยุ AM/FM เครื่องเล่น CD / MP3 / DVD (ดูแผ่นหนังได้ แต่ต้องจอดรถดับเครื่องยนต์เท่านั้น) จอภาพ
แบบ Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) ระบบนำทาง Navigator
System (เสียงของยายป้าในระบบนำทาง หลอนมาก!!!) และช่อง USB มาให้จากโรงงาน การปรับเสียง
ในรุ่น จอมอนิเตอร์ 7 นิ้ว ทำได้ค่อนข้างยุ่งยาก และคุณภาพเสียง จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ไม่ถึงกับดีนัก
หรือว่า เพราะ ผมปรับเครื่องเสียงในรถคันนี้ไม่เป็น?

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง ที่ Mitsubishi นำมาติดตั้งเอาไว้ใน Mirage ด้วย นั่นคือ ระบบควบคุมลูกเล่นไฟฟ้าต่างๆ
ภายในห้องโดยสาร ที่เรียกว่า ETACS ซึ่งเป็นลูกเล่นอีเล็กโทรนิคส์ ที่ถูกติดตั้งในรถยนต์ Mitsubishi รุ่นที่
ผลิตขายในเมืองไทย มาตั้งแต่สมัย Galant Sigma รุ่นปี 1984 แล้วมีการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และ
มีอยู่ใน Mitsubishi แทบทุกรุ่นที่ขายในบ้านเราแต่ ที่ผ่านมา กลับไม่ค่อยจะโฆษณาให้ผู้คนเขารับทราบ
สรรพคุณอย่างจริงจัง มากเกินไปกว่า การปรากฎข้อมูลบนแค็ตตาล็อก หรือเอกสารประชาสัมพันธ์ แล้วมัน
ก็ถูกลืมหายไป  มาคราวนี้แหละ ถึงได้เริ่มโฆษณาให้รับรู้ถึงรูหูของผู้บริโภคกันจริงจังเสียที เพราะลูกเล่น
เล็กๆน้อยๆ เหล่าเนี่ย ลูกค้าสุภาพสตรี ที่ไม่รู้จัก Mitsubishi มาก่อน จะชอบ!

ลูกเล่นที่ว่านี้ มีตั้งแต่
– กุญแจรีโมทพร้อมระบบควบคุมการพับและกางกระจกมองข้างอัตโนมัติ
– ไฟหน้าปิดได้เองโดยอัตโนมัติ โดยระบบจะตัดการทำงานของไฟหน้ารถโดยอัตโนมัติหลังจากดับเครื่องยนต์
   แล้วเปิดประตู ช่วยให้ไฟในแบตเตอรี่ไม่หมด
– ใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ ในกรณีที่ฝนตกหากผู้ขับเปิดที่ปัดน้ำฝนในตำแหน่งปัดเป็นจังหวะเมื่อ
   รถถึงความเร็วที่กำหนดที่ปัดน้ำฝนจะเปลี่ยนเป็นจังหวะที่ 1 โดยอัตโนมัติ และจะกลับมาที่ตำแหน่งปัดเป็น
   จังหวะเหมือนเดิมเมื่อความเร็วลดลงหรือหยุดรถ
– ใบปัดน้ำฝนหลังเปลี่ยนเป็นปัดต่อเนื่องในกรณีเปิดใบปัดน้ำฝนหลังในตำแหน่งปัดหยุด เมื่อผู้ขับเข้าเกียร์ใน
  ตำแหน่งเกียร์ R ใบปัดจะเปลี่ยนเป็นปัดต่อเนื่อง 2 ครั้งอัตโนมัติเพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้นในขณะขับถอยหลัง
– ระบบล็อคประตูซ้ำอัตโนมัติ โดยระบบจะสั่งล็อคประตูทุกบานโดยอัตโนมัติหากไม่มีการเปิดประตูภายใน 30 วินาที
  หลังจากกดปุ่มปลดล็อคประตูรีโมท
– ระบบสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน เพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเพียงเล็กน้อยสัญญาณไฟเลี้ยวและสัญญาณไฟเตือน
   บนหน้าปัดจะกระพริบ 3 ครั้ง (แบบรถยนต์ยุโรปชั้นดี)
– ระบบหน่วงเวลาปิดไฟในห้องโดยสารภายใน 15 วินาที เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบสัมภาระภายในรถ
– ระบบหน่วงเวลาเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้าหลังจากดับเครื่องยนต์ กระจกไฟฟ้ายังสามารถเปิด-ปิดได้ต่อไปอีกใน 30 วินาที

เครื่องยนต์ สำหรับ Mirage เวอร์ชันไทย และตลาดส่วนใหญ่ทั่วโลก จะเป็นเครื่องยนต์รหัส 3A92
เป็นรหัสที่ออกจะแปลกไปสักหน่อย..แน่ละครับ นี่เป็นเครื่องยนต์ บล็อก 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว
1,193 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ที่หัวแคมชาฟต์ฝั่งวาล์วไอดี MIVEC

ตัวเลขกำลังสูงสุดจากในแค็ตตาล็อก อยู่ที่ 78 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด อยู่ที่
100 นิวตันเมตร หรือ 10.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที

ดูตัวเลขแล้วจะเห็นว่า แรงม้า จะด้อยกว่า Nissan March แค่เพียง 1 ตัวเท่านั้น แม้จะถือว่าเป็น
ตัวเลขแรงม้า ที่ต่ำที่สุดในตลาดก็ตาม แต่การมีแรงบิดสูงสุดเท่ากับ March พอดีๆ ก็พอจะช่วย
ให้ผม ใจชื้นขึ้นมาว่า..เอาน่า หวังว่า อย่างน้อย อัตราเร่งก็ น่าจะพอๆ กับ March บ้างแหละ!
ดังนั้น อย่าเพิ่งไปดูถูกเรื่องพละกำลัง จนกว่าจะอ่านถึงบรรทัดสุดท้ายของบทความนี้!

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT พร้อมระบบสมองกลควบคุม INVECS-II
ซึ่งดูเหมือนว่า อาจเป็นเกียร์จาก Jatco ลูกเดียวกันกับทั้ง Nissan March และ Sizuki Swift
คันเกียร์เป็นแบบขั้นบันได ดูหรู ดูดี ไฮโซขึ้นมาพอสมควร

รวมทั้งยังมีเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะให้เลือกอีกด้วย เพียงแต่ว่า คันเกียร์ จะมี Shift Feeling
หรือสัมผัสในการเข้าเกียร์ เป็นรอง Mazda 2 แน่ๆ แต่ ยังดีกว่า Nissan March มากกกกกก

ขณะเดียวกัน แป้นคลัชต์ ในรุ่นเกียร์ธรรมดา มีระยะการเหยียบ Travel ส้ั้น เมื่อเทียบกับ
รถยนต์เกียร์ธรรมดาคันอื่นๆ แต่จุดตัดต่อกำลัง (Friction Point) สั้น ซึ่งแป้นคลัชต์แบบนี้
ใครที่ขับรถในเมืองบ่อยๆ น่าจะชื่นชอบ เพราะไม่ต้องออกแรงเหยียบมาก และระยะจาก
เริ่มเหยียบแป้น จนสุดแป้น สั้น อาจจะทำให้บางคนที่ไม่ชินกับแป้นคลัชต์แบบนี้ ต้อง
เลี้ยงคลัชต์นิดนึง แต่ถ้าคุ้นเคยแล้ว จะไม่มีปัญหา

ทีนี้ ได้เวลามาดูสมรรถนะกันแล้ว เพราะสิ่งเดียวที่ผมมองว่า หลายๆคนน่าจะอยากรู้ คือ
บุคลิกการขับขี่จริง ว่าจะดี หรือด้อยกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่างไร มากน้อยแค่ไหน

ผมกับ Commander CHENG! เริ่มต้นด้วยรุ่นท็อป เกียร์อัตโนมัติ CVT กันก่อน ทันที่
ที่เริ่มออกตัว คันเร่งไฟฟ้า ก็ทำงานได้ดี ไม่หน่วง ไม่ช้า ไวกำลังดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป
เข้าโค้งซ้ายแรก เป็นตัว U แถมปลายโค้ง ยังต้องส่งขึ้นเนินต่อ หากคุรออกจากโค้งแล้ว
เหยียบคันเร่งเต็มตีน จะพบว่า จากวามเร็วหน้าโค้ง 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง  Mirage CVT
จะไต่ขึ้นไปยัง 80 -90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ไวกว่า Nissan March ในโค้งเดียวกัน และ
ช่วงความเร็วดังกล่าว เท่ากัน นิดหน่อย ไม่ถึงกับมาก แต่สัมผัสได้ว่าต่างกันอยู่

ผมลองจับเวลา หาอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาเล่นๆ ไม่เป็นทางการ 1 ครั้งในช่วง
ทางตรง หน้า Pit Stop ผมขับคนเดียว จับเวลาคนเดียว รุ่น CVT ตัวท็อป รถคันสีฟ้าที่คุณเห็น
ในรูปคันนี้ละครับ น้ำมันที่เติมใส่รถมา น่าจะเป็น แก็สโซฮอลล์ 91 จาก Shell เช่นเดียวกับ
รถคันอื่นๆ ใน Fleet Testdrive ครั้งนี้ แถมช่วงทางตรงดังกล่าว ยังเป็นช่วง ขึ้นเนินเล็กๆด้วย

ตัวเลขออกมาที่ 14.99 วินาที….ไม่เลวแหะ มีแนวโน้มว่าอาจจะเร็วกว่า March CVT นิดนึง
ถ้าจับเวลากันตามมาตรฐานของ Headlightmag.com เรา คือ จับเวลาตอนกลางคืน เปิดแอร์
นั่ง 2 คน (ผมกับ เจ้ากล้วย BnN The Coup Channel)

แต่ พอเรากระโดดขึ้นนั่งขับรุ่นเกียร์ธรรมดา แม้จะไม่ค่อยโปรดปรานกับ คันเกียร์ และ
แป้นคลัชต์มากนัก แต่อัตราเร่งที่ขึ้นเร็วกว่าอย่างชัดเจน การตอบสนองที่ต่อเนื่องของ
เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย น่าสังเกตว่า ช่วง ความเร็ว
60 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะขึ้นได้เร็วและต่อเนื่องกว่า ใน Brio ที่เราเคยลองขับกัน
อยู่นิดหน่อย ยิ่งในช่วงโค้งตัว U แรก หลังหลุดจากทางตรง บริเวณจุดสตาร์ตของสนาม
พีระฯ จะเป็นโค้ง และขึ้นเนิน เรี่ยวแรงจากเครื่องยนต์ แทบไม่ต้องไปห่วงเลย เพราะ
ยังคงมีแรงบิดส่งตรงสู่ล้อคู่หน้า อย่างต่อเนื่อง ไม่อืดอาด ไม่เนือย และทำได้ดีสมตัว
ของมันเลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า ลำพังเครื่องยนต์เองนั้น ไม่มีปัญหาเรื่องเรี่ยวแรง

และยิ่งถ้าจะต้องเร่งความเร็วในช่วงเดินทางลอยตัวแล้ว ช่วงจะต้องเร่งจาก 80 – 120
กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น กลับกลายเป็นว่า Mirage มีแนวโน้มว่าจะใช้เวลาน้อยกว่า March
และ Brio อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ เรื่องนี้ ต้องขอเก็บไว้พิสูจน์อีกครั้งใน Full Review

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS
รัศมีวงเลี้ยว 4.4 เมตร ซึ่ง Mitsubishi เคลมว่า มีวงเลี้ยวแคบสุดในตลาด (เพราะ March
และ Brio มีรัศมีวงเลี้ยวที่ 4.5 เมตร)

มันก็แคบจริงๆ ครับ แคบได้บ้าบอเวอร์ๆ! ในช่องทางเดินรถแคบๆ ที่ ทางทีมงานของ
Grand Prix เขาจัดไว้ ให้กว้างพอแค่ Mirage 1 คัน จะแล่นช้าๆ ตรงเข้าไปได้ พอถึงช่วง
ปลายทาง ก็ทำจุดเลี้ยวกลับซึ่งคุณต้องหมุนพวงมาลัยจนสุดเท่านั้น จึงจะเลี้ยวผ่านมาได้

คนกลัวที่แคบ เป็นอันมาก อย่างตาแพน Commander CHENG! ยังพารถเลี้ยวผ่าน แนว
กรวยไพลอนริมขอบทางเหล่านั้นมาได้สบายๆ โดยที่กรวยไม่ล้มเลย วงเลี้ยวแคบจริงจัง
เลยนะเนี่ย!

ส่วนการตอบสนองของพวงมาลัย ในภาพรวมนั้น ถ้าเคลื่อนรถด้วยความเร็วต่ำๆ ขับคลานๆ
แน่ละพวงมาลัยจะเบามือ บังคับเลี้ยวง่าย แต่ สัมผัสอาจเหมือนไม่มีชีวิตชีวานิดนึง จนกระทั่ง
คุณพาเจ้า Mirage เข้าโค้ง นั่นละครับ ถึงจะเริ่มเห็นความ แม่นยำในการบังคับเลี้ยว ที่เพิ่มขึ้น
ต้องการให้รถเลี้ยวแค่ไหน ก็หมุนพวงมาลัยเพิ่มไปเท่านั้น

ต้องยอมรับความจริงกันว่า พวงมาลัยอาจจะไม่ได้ เฉียบคมในการควบคุมอย่างที่ Honda Brio
เขาเป็น แต่สิ่งที่ทำให้พวงมาลัยของ Mirage เหนือกว่าคือ การหน่วงให้หนืดขึ้น เมื่อความเร็ว
ของรถสูงขึ้น นี่คือสิ่งที่พวงมาลัยของ Brio ขาดหายไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนพวงมาลัยของ
March กับ Almera ไม่ต้องพูดถึงครับ มัน Lifeless ตามแบบฉบับของมันเองอยู่แล้ว แต่ถ้า
เปรียบเทียบกับพวงมาลัยของ Swift แล้วละก็ แน่นอนว่าประเด็นนี้ ต้องยกให้ Swift เขาจริงๆ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม อันเป็น
รูปแบบมาตรฐาน สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กขับเคลื่อนล้อหน้าทั่วไป ในช่วงขับคลานๆ
ก็ไม่ได้มีอะไรให้ผมเกิดข้อสงสัย มันทำงานได้นุ่มนวล

แต่พอเริ่มขับรถ เข้าไปวิ่งบนแทร็ค เท่านั้นแหละ บุคลิกในการเข้าโค้งนั้น แอบทำให้ผม
กับตาแพน ประหลาดใจนิดหน่อย…เพราะเรา 2 คน ต่างคิดเห็นตรงกันว่า มันชวนให้นึก
ได้ ถึง บุคลิกของช่วงล่าง ใน Mitsubishi Lancer Cedia!

กล่าวคือ เมื่อคุณเข้าโค้ง หักเลี้ยงพวงมาลัยไปแค่ไหน Mirage จะพยายามเลี้ยวไปให้คุณ
แค่นั้น แล้วก็จะเริ่มค่อยๆ บานออกจากโค้งทีละนิดๆ

แต่ถ้าในขณะเข้าโค้ง ลองหักเลี้ยวไปที่พวงมาลัยมากขึ้น แทนที่รถจะมีอาการหน้าดื้อ จาก
ยางติดรถ Bridgestone ECOPIA EP150A ที่แทบจะปลิ้นออกมาจากกระทะล้อแล้วนั้น ทว่า
กลับตรงกันข้าม พวงมาลัยยังสามารถบังคับให้ล้อคู่หน้าเลี้ยวเพิ่มมากขึ้นได้อีก และนั่นยิ่ง
ทำให้หน้ารถของ Mirage ซึ่งบานออก สามารถดึงกลับมาให้จิกเข้าโค้งเพิ่มได้มากขึ้นเกือบ
ตามสั่งเลยทีเดียว!

ในระหว่างนั้น บั้นท้ายอาจจะพยายามเบนออก แต่ด้วยความยืดหยุ่นของแก้มยาง มีส่วนช่วย
รั้งดึงให้บั้นท้าย ยังอยู่ในการควบคุม ทำให้ตัวรถยังคงอยู่ในโค้งได้อย่างสบายๆ

ยิ่งถ้าในช่วงขับขี่แบบ สลาลอม สลับฟันปลา ซ้าย ขวา ซิกแซก ไปตามกรวยพลาสติกด้วยแล้ว
Mirage จะให้การควบคุมที่ต่อเนื่อง ถ่ายเทน้ำหนักมาอย่างต่อเนื่อง มั่นใจกว่า และเมื่อถึงช่วง
ปลายๆ ของ กรวยไพลอนแล้ว รถก็ยังคงถ่ายน้ำหนักจากซ้าย – ไป ขวา – กลับไปซ้าย ได้อย่าง
แม่นยำ ในขณะที่ Maerch จะเริ่มออกอาการหน้าย้วยให้เห็นในช่วงปลายๆ ก่อนหมดช่วง
ไพลอน และเริ่มเลี้ยวไม่เข้า คุณจะเริ่มเห็นอาการนี้ชัดขึ้น เมื่อใช้ความเร็ว 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในพื้นที่ สลาลอม

Mirage เผยบุคลิกช่วงล่างของตนออกมาให้เราเห็นว่า มันเป็นช่วงล่างในแนวนุ่ม แบบที่ผม
เคยเรียกช่วงล่างของ Hyundai Elantra ใหม่ไปแล้ว ว่า Marshmallow Suspension แต่ในโค้ง
มันแอบมีบุคลิกของ lancer Cedia โผล่มาให้นึกถึงอยู่ คือ เข้าโค้งได้จิกเกือบจะตามสั่ง แต่
เมื่อจิกในระดับหนึ่ง บั้นท้าย ก็จะพยายามปัดออก ทว่า ก็เป็นไปได้ยาก เพราะแก้มยางเอง
ก็พยามดึงรั้งเอาไว้อยู่

ตาแพน Commander CHENG! ของเรา สรุปความจากย่อหน้าข้างบนที่ผมเขียนมาเสียยืดยาว
เอาไว้ ให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายๆ ดังนี้

” ถ้าอยู่ในโค้ง อาการของ Mirage จะบอกว่า “มึงแน่ใจนะว่า มึงจะเล่น ถ้ามึงเอา กูก็เอาด้วย”
ถ้าเป็น Brio อาการของรถจะบอกว่า ” ลุยแหลกเว้ยยย” แต่พอจวนตัว กูก็ทิ้งมึงเลยนะ
ถ้าเป็น March อาการของรถจะบอกว่า “อย่าเลย เธอ อย่า อย่า โอ้ว อ้า อู้ววววว” (ก่อนที่จะ
ทะแล็ด แพร่ด แพร่ด แพร่ด แพร่ด เพราะอาการเลี้ยวแล้วไม่ค่อยจะยอมเข้าโค้ง – J!MMY)

เห็นภาพเลยไหมครับ?
แพนเอ้ย! ช่างเป็น สุนทรียสัมผัสแห่งความเสื่อม เลยจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ระบบเบรก เป็นแบบมาตรฐานของรถยนต์ ECO Car ทุกรุ่นในเมืองไทย คือ ดิสก์เบรกคู่หน้า ดรัมเบรกคู่หลัง
แต่มีระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD มาให้ครบทุกรุ่น
ยกเว้นแค่รุ่นล่างสุด GL รุ่นเดียว

การชะลอรถ จากระดับความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหลือ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ดีสมตัว ดังที่
เท้าของคุณต้องการ ส่วนการชะลอรถจนถึงจุดหยุดนิ่ง ในช่วงความเร็วต่ำๆ ก็ Smooth ดี ไม่มีอะไร
ให้เป็นห่วง อย่างน้อย ก็ในช่วงนี้

จุดเด่นสำคัญของ Mirage ก็คือ โครงสร้างตัวถัง ถูกออกแบบให้น้ำหนักเบาที่สุด แต่เสริมความแข็งแกร่ง
ด้วยเหล็กที่ทนแรงกดอัดบีบอัดได้ สูงสุดถึง 980 เมกกะปาสคาล ในบริเวณพื้นตัวถังบางจุด ขณะเดียวกัน
โครงสร้างบริเวณเสาหลังคาคู่หน้า ใช้เหล็กที่ทนแรงบีบอัดได้ถึง 590 เมกกะปาสคาล ทั้งที่คู่แข่งบางคัน
ใช้เหล็กที่ทนแรงกดได้สูงสุด แค่เพียง 400 กว่าๆ เมกะปาสคาล เท่านั้น ซึ่ง Mitsubishi Motors เคลมว่า
ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน ต่างๆ ได้สบายๆ  

และแน่นอน ผลพลอยได้ มันก็เลยเถิดมาถึงเรื่องความประหยัดน้ำมันด้วย!

ว่าแต่ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะทำได้ดีแค่ไหน?

ย้อนกลับไปยังช่วงค่ำ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2012 ที่ผ่านมา

ทีมของ Mitsubishi Motors Thailand โทรมาบอกว่า อยากจะทำการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ
เจ้าเปี๊ยก Mirage ใหม่ ในรูปแบบการใช้งานจริง และพวกเขาก็เลือกแล้วว่า “จะทำการทดลอง โดยยึดวิธี
การทดลอง ตามมาตรฐานของ J!MMY และ Headlightmag.com ของเรา!!” คือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน…เติมน้ำมันเบนซิน 95 และต้องเติมแบกรอกเขย่ารถจนแน่นถัง ทั้งขาไป – กลับ

ผมก็เลย บอกไปว่า รู้เส้นทางขับขี่หรือเปล่า? ถ้าไม่ก็จะบอกเส้นทางให้ ทาง MMTh บอกว่า “แต่ พี่ยัง
ไม่อาจให้จิมมี่ ลองขับรถรุ่นนี้ได้นะ เพราะนายญี่ปุ่นยังไม่อนุญาต”

ผมก็ตอบว่า “ตกลง ไม่มีปัญหา เพราะผมแค่ อยากรู้ เหมือนกับคุณผู้อ่าน นั่นละครับว่า Mirage จะทำ
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชืิ้อเพลิงได้แค่ไหน? ครั้งนี้ ขอเป็นสักขีพยานอยู่ห่างๆ พอ”

เหตุผลก็เพราะ ต้องการจะให้การทดลองครั้งนี้ เป็นการทดลองที่พวกเขาทำกันเอง แต่ยึดมาตรฐาน
ของเว็บเรา เป็นหลัก

การเติมน้ำมันนั้น ใช้วิธี เขย่า จนเอ่อขึ้นมาถึงปากคอถัง เหมือนกับที่เว็บเราทำเป๊ะ จากปากคำของ
น้องเด็กปั้ม ทั้ง 2 คน ที่ผมฝากให้สังเกตช่วยดูด้วย ตอนเติมน้ำมันและเขย่ารถ

น้ำมันที่ใช้ ก็เป็น เบนซิน 95 Techron จาก Caltex ไม่ใช่ แก็สโซฮอลล์ ทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วเป็นไป
ตามวิธีที่เราทำ ทั้งสิ้น แม้แต่ปั้มน้ำมัน ก็เป็นปั้มเดียวกัน และหัวจ่ายเดียวกันกับที่เราใช้ในการทำรีวิว!

ถามว่าทำไม Mitsubishi Motor ถึงเลือกใช้มาตรฐานการทดสอบอัตราสิ้นเปลือง ผมมีส่วนได้ส่วนเสีย
กับทาง Mitsubishi Motor หรือเปล่า?

ตอบเลยว่า ไม่มี และ ผมดีใจนะ ที่บริษัทรถยนต์ เลือกใช้มาตรฐานการทดลองของเรา ในการทดลอง
ของเขา ดังนั้น เพื่อคุมรูปแบบการทดลอง ให้เหมือนกับสิ่งที่ผมทำมากที่สุด

เส้นทางที่เจ้า Mirage คันน้อยทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเริ่มจากขึ้นทางด่วนพระราม 6 ขับไปจนถึง
ปลายด่านทางด่วน สายเชียงราก ที่บางปะอิน เหมือนกับที่เว็บของเราทำการทดลองตามปกติ เป๊ะ
แล้วย้อนกลับมา ลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วย้อนกลับเข้าไปที่ปั้ม Caltex แห่งเดิม
(พงศ์สวัสดิ์บริการ) กลับไปเติมน้ำมันที่หัวจ่ายเดิม

และนี่คือตัวเลชที่ได้

รุ่น เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
ระยะทางบนมาตรวัด  91.9 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 3.60 ลิตร
ผมบอกให้เติมเพิ่มอีก 0.55 ลิตร จนเต็มเอ่อ
รวมแล้ว เติมกลับเข้าไป 4.15 ลิตร
ดังนั้น คำนวนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ได้ 22.16 กิโลเมตร/ลิตร!!!!!

รุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT ตัวท็อป มี Navigation System และสีขาวมุก
ระยะทางบนมาตรวัด  91.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 3.85 ลิตร
ผมบอกให้เติมเพิ่มอีก 0.58 ลิตร จนเต็มเอ่อ
รวมแล้ว เติมกลับเข้าไป 4.43 ลิตร
ดังนั้น คำนวนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ได้ 20.72 กิโลเมตร/ลิตร!!!!!

ถ้ามองจากตัวเลขคร่าวๆ บอกได้เลยว่า ตอนนี้ MIRAGE จะกลายเป็นรถยนต์นั่งประกอบ
ในประเทศไทย ที่ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ “ประหยัดน้ำมันมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
ตามมาตรฐานของ เว็บเรา คือ วิ่ง 110 ขึ้นทางด่วน เปิดแอร์ นั่ง 2 คน และเติมน้ำมันเบนซิน 95 “

แสดงว่า ตัวเลข อัตราสิ้นเปลือง 22 กิโลเมตร/ลิตร ตามมาตรฐานของ สหประชาชาติ UNECE
ที่ Mitsubishi ตั้งใจเคลมไว้ มันดันทำได้ ในชีวิตจริง ในการขับขี่ทางไกลจริงๆด้วยแหละ!!

ดังนั้น ขนาดของถังน้ำมัน ที่มีมาให้เพียง 35 ลิตร ผมว่า นั่นไม่น่าจะเป็นปัญหาหรือจุดด้อย
แต่อย่างใดอีกต่อไปแล้วละ!!

ถามว่า ผมเชื่อไหม?
ตอบเลยว่า “เชื่อว่าทำได้จริง แต่ยังไม่เชื่อสนิทใจ!”

ต่อให้ผมจะอึ้งกับตัวเลขนี้ แต่ผมยังไม่เชื่อสนิทใจ
ไม่ต้องกลัว ผมยังอยากจะทำการทดลองอัตราสิ้นเปลืองแบบนี้
ด้วยตัวเอง อีกครั้ง เมื่อ ทาง MMTh จะส่งรถมาให้ผมทำรีวิวจริง

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ถึงจะขับแล้วด้อยกว่า Swift แต่ ก็เจ๋งกว่า March และ Brio ไปเลย!
โดยเฉพาะความคุ้มราคา และความประหยัดน้ำมันระดับพระเจ้าจอร์จ!  (คือ เหนือกว่าเทพ นั่นเอง)

พี่เบิร์ท วิกรานต์ อมาตยกุล คลายความกังวลลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผมเริ่มออกความเห็น หลังจาก
ได้ลองขับ Mirage ใหม่ หลายๆรอบสนาม ต่อเนื่อง ทั้งเกียร์อัตโนมัติ CVT และเกียร์ธรรมดา

เป็นความกังวลอันเกิดจาก ความมุมานะทำงาน ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่จะงัดข้อ โต้แย้ง และ
พยายามจะให้คนไทย ได้ใช้รถยนต์ “ถูกและดี…” (เอ่อ…นั่นมันชื่อร้านอาหารใน FoodLand
นี่หว่า?) เท่าที่จะเป็นไปได้

คนทำบริษัทรถยนต์ ทุกคน กลัวกันทั้งนั้นละครับ กลัวที่สุด ก็ตอนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่นั่นละ
กลัวกระแสเสียงตอบรับจากมหาชน ว่าจะดีหรือจะเลวร้ายแค่ไหน เพราะถ้าลูกค้าชอบ ก็สบายใจ
ยิ่งกว่า ยกภูเขาไฟฟูจิ ออกจากอก แต่ถ้าผลออกมา โดนด่าโดนสับเละเทะ มันก็จะหนักอกยิ่งกว่า
แบกเทือกเขาตะนาวศรี แถมด้วยภูเขาเอเวอร์เรสต์ ภูเขาไฟพินาตุโบ มากองรวมกันบนหน้าอก!

ความหนักอกของพี่เบิร์ท พี่ซัน พี่แตน ตาโอ๊ค และทุกๆคนในทีม Mitsubishi Motors Thailand
ตอนนี้ น่าจะเบาบางลงไปมากแล้ว เพราะได้รู้ว่า เจ้าเปี๊ยกคันเล็ก ที่ทุกๆคน ต้องมานั่งปวดกบาล
กับมันตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ในวันนี้ มีจุดขายที่เหนือกว่าคู่แข่งทุกคันในตลาด รวมทั้งรถยนต์
รุ่นใหม่ที่หลายๆคน แอบกังวลกัน ก็คือ Suzuki Swift อีกด้วย

พูดกันตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อม ถ้าจะมองในประเด็นของ วัสดุที่ใช้ คุณภาพในการขับขี่ ที่ดีเยี่ยม
ขนาดของตัวรถ ความสบายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะส่วนครึ่งคันหน้า ยังไงๆ ทั้ง Mirage March
และ Brio ไม่มีใครสู้ Swift ได้หรอกครับ นี่พูดกันแบบว่า ไม่ได้อวยให้ Suzuki นะ เพราะ แทบจะ
ทุกคนที่สงสัยในคำพูดของผม พอได้สัมผัส Swift คันจริง ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ผมพูดมา “มันคือความจริง
อันยากจะเถียงและหักล้างเหลือเกิน”

ข้อนี้ คนของ Mitsubishi Motors เอง ก็รับรู้ และทำใจเอาไว้แล้วละ!

แต่ Mirage เอง ก็มีความเจ๋งพอตัว เมื่อเทียบกับระดับราคา ชนิดที่ Swift เอง ก็ยังให้ไม่ได้
ในบางสิ่ง เช่นเดียวกัน!

จุดเด่นที่ทำให้ Mirage สามารถ ยืนหยัด งัดข้อกับ Swift ได้สบายๆ และพิฆาต March กับ Brio ไปได้
แบบไม่ต้องกังวลใดๆทั้งสิ้น อยู่ที่ การลดน้ำหนักโครงสร้างตัวถัง และใช้เหล็กที่มีความแข็งแกร่งขึ้น
นี่ละครับ คือ ประเด็นสำคัญ

เพราะเหตุผลนี่แหละ ทำให้ Mirage จะประหยัดน้ำมันกว่าใครเขาทั้งปวง ตัวเลข 22 กิโลเมตร/ลิตร
ที่โฆษณากัน มันไม่เพียงแค่ทำได้ จากในห้อง Lab ตามมาตรฐาน UNECE หนะสิ เพราะ Mirage
ทำอัตราสิ้นเปลืองนี้ได้จริง ในการทดลอง Internal Test ของ Mitsubishi Motors โดยใช้มาตรฐาน
การทดลองของ Headlightmag.com เรา คือ วิ่ง 110 เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เติมเบนซิน 95 และเขย่ารถ
ตอนเติมน้ำมันด้วย ขนาดที่ว่า พวกเขา ไปลองเติม แก็สโซฮอลล์ 91 ของ Shell กันมา ก็ยังอุตส่าห์
ทำได้ 23 และ 25 กิโลเมตร/ลิตร!! เฮ้ยยย ขับกันยังไงวะนั่น!!

ที่สำคัญ การขับขี่ในภาพรวมแล้ว ถือว่าดีกว่า March และ Brio ยิ่งพอต้องเล่นกับรถหนักข้อกว่าปกติ
อาการของตัวรถ มันก็ฟ้องออกมาอย่างเด่นชัดเลยว่า Mirage มีบุคลิกการขับขี่ ที่แอบจะทำให้คุณสนุก
ได้เหมือนกัน ถ้าอยู่ในแทร็คสนาม มันต้องการแค่ ช็อกอัพเจ๋งๆ สักต้น ยางล้อหน้ากว้าง และการ
ปรับจูน หรือโมดิฟายเพิมเติม จากเครื่องยนต์เดิม ถ้ามันติด Turbocharger ได้ เราอาจเตรียมได้เห็น
“Mirage One Make Race” ก็เป็นไปได้เลย! เพราะลำพัง โครงสร้างตัวถังออกแบบมาดีอยู่แล้ว แต่
ถ้าเพิ่มจุดยึด Welding Sport บริเวณโครงสร้างเสาหลังคากลางคันรถ อีกสักหน่อย ก็พอจะลงแข่ง
แบบขำขำ ได้แล้ว! (แต่ถ้าคิดจะลงแข่งจริงจังกว่านี้ จะให้ดี เสริม Roll Bar ทั้งคันด้วยจะยิ่งดีใหญ่)

ณ เวลานี้ Mirage Swift และ Brio คือรถยนต์ขนาดเล็ก ที่มี Potential ในการนำไปปรับปรุงตกแต่ง
และโมดิฟายเพิ่มเติม เพื่อลงแข่งในสนาม ได้เยอะอยู่

เอาละ นั่นคือ โลกของกลุ่มมอเตอร์สปอร์ต อย่าง Commander CHENG! หรือตาแพนของเราเขา
โปรดปราน ตอนนี้ ลองกลับมาดูโลกความจริงของลูกค้าที่ไม่ได้รักความแรง แค่เพียงอยากได้ความ
ประหยัดจากรถยนต์ที่ตนกำลังจะซื้อกันบ้าง

ในตอนแรก Swift ดูเหมือนจะได้เปรียบกว่า ในเรื่องตัวรถทั้งคัน ที่จนถึงวันนี้ ผมก็ยังยืนยันว่ามัน
“เป็น ECO Car ที่ดีที่สุดในตลาดอยู่ดี ไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ พอ Suzuki เปิดราคาของ Swift ใหม่ ออกมา กระแสของผู้บริโภค ก็เริ่มหันมามอง Mirage ใหม่
พร้อมกันไปด้วย แม้ว่าหน้าตา อาจจะ ดูจืดๆ ไม่มีอะไร เหมือนคนออกแบบ เขาซัด นมเมจิ รสจืด
เป็นมื้อเช้า มาตลอดช่วงเวลาทำโครงการสร้างรถยนต์รุ่นนี้ แต่ด้วยความคุ้มค่า ของอุปกรณ์ที่ให้มา
มีระบบ ETACS มาให้ (แถมยังมีผู้คนอีกมากที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร) บวกกับความประหยัดน้ำมัน
ขึ้นพระเจ้าจอร์จ! แถมค่าตัว ก็ถูกกว่า ชัดเจน เมื่อรวมสิทธิประโยชน์ส่วนลดต่างๆ ทำให้ในช่วง
เปิดตัวนั้น รุ่นถูกสุด จากราคาตั้ง 380,000 บาท สามารถ ถูกลงไปจนเหลือราคาขายจริง แค่เพียง
315,000 บาท เท่านั้น!! ทำให้ Mirage กลายเป็นรถยนต์ที่มีความน่าสนใจขึ้นมา เคียงบ่าเคียงไหล่
กับ Swift ในทันที!

ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็คงจะขอทำนายแนวโน้มของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในตลาด ECO Car ของ
เมืองไทย ว่าจะเป็นไปในทิศทางต่อไปนี้

1. กลุ่มลูกค้าที่จะซื้อ Mirage มากที่สุด น่าจะเป็นกลุ่มผู้หญิง หรือกลุ่มที่มองหาความคุ้มค่าจากรถยนต์
ขนาดเล็ก ซึ่งใช้งานในเมือง และขับออกต่างจังหวัด กลับบ้าน ไปหาครอบครัว เพราะด้วยราคา เทียบ
กับข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้มา รวมทั้ง ความประหยัดน้ำมัน ที่มีแนวโน้มว่า จะเลิศเลอเพอร์เฟกต์
เอกอุเป็นที่สุด เหนือกว่ารถยนต์ประกอบในประเทศรุ่นใดทั้งปวงที่เคยมีขายกันมาในเมืองไทย ยิ่ง
มีแคมเปญส่งเสริมการขาย ออกมาในช่วงแรก บวกกับ ความพยายามจะปิดช่องโหว่ต่างๆ อันเสี่ยงต่อ
การโดนลูกค้าด่า เหมือนในสมัย Lancer EX ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ทั้งหมดนี้จะช่วยกระตุ้น
ให้ ผู้บริโภค ตัดสินใจซื้อ Mirage ง่ายขึ้น อย่าแปลกใจว่า งาน Motor Show เดือนมีนาคมนี้ ยอดจอง
ของ Mirage อาจทำค่ายใหญ่ อ้าปากเหวอ เอาได้ง่ายๆ

2. March อาจได้รับผลกระทบจากลูกค้าที่ยังตัดสินใจไม่ถูก ไปบ้าง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์
Nissan ที่ตอนนี้ ยังถือว่า ได้รับความเชื่อถือสะสม จากลูกค้า เหนือกว่า Mitsubishi อยู่พอสมควร น่าจะ
ช่วยประคับประคอง March ต่อไปได้อีกสักระยะ จนกว่าจะถึงการปรับโฉม Minorchange ที่จะเกิดขึ้น
ในช่วงปี 2013 แต่อย่างไรก็ตาม Almera ก็จะยังขายดีที่สุดเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง จนกว่า Honda
Suzuki และ  Mitsubishi จะพร้อมส่ง ECO Car Sedan ของตน ลงทำศึก ในช่วงปี 2013 – 2014

3. Swift จะครองใจลูกค้าในกลุ่ม ผู้ชาย หรือกลุ่มที่สนใจสมรรถนะการขับขี่ และใช้ความชอบ ส่วนตัว
เป็นเหตุผลในการตัดสินใจหลัก คนกลุ่มนี้ ราคาจะไม่ถึงกับมีความสำคัญมากนัก ซื้อเพราะชอบใน
งานออกแบบ สมรรถนะการขับขี่ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อาจจะอยู่ในระดับพอกันกับ Brio หรือ
ดีกว่ากันไม่มากนัก

4. Brio อาจจะตายสนิท ตอกตะปูปิดฝาโลงกันเลยทีเดียว และจะมีเฉพาะลูกค้าที่ภักดีในแบรนด์
Honda รวมทั้ง ชอบในความคล่องตัว และความเบาของรถ มุดง่าย มุดสนุก (แต่อย่าเล่นโค้งหนักๆ
จนแตะ Limit ของตัวรถเชียวนะ) น่าจะยังอุดหนุน Brio อยู่บ้าง ผมเชื่อว่า เวลานี้ คนของ Honda
ส่วนใหญ่ ยอมรับชะตากรรมของรถรุ่นนี้ไปแล้ว คงต้องรอแก้มือกันอีกครั้งกับ Sedan ECO Car
รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในช่วงปี 2014 นั่นละครับ

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ผมคิดว่า หลังจาก เราได้ลองขับ Mirage ผมเริ่มสงสัยในศักยภาพบางอย่าง
ของเครื่องยนต์ ที่อาจซุกซ่อนอยู่ เพราะการจับเวลาในสนาม พีระฯ คร่าวๆ ของ ผู้การแพน เผย
ให้เราเห็นตัวเลขบางอย่าง ที่อาจทำให้แนวคิดของผู้คน เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง…

จะเชื่อไหม ถ้าตัวเลขอัตราเร่ง ของ Mirage อาจดีกว่า March?
จะเชื่อไหมว่า ในรุ่นเกียร์รรมดา Mirage แรงกว่า Brio?
และจะเชื่อไหม เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ประหยัดบ้าระห่ำ ถึง 20 – 22 กิโลเมตร/ลิตร?

อย่าเพิ่งเชื่อครับ…!

นอกจากคุณควรไปลองขับเองแล้ว ก็ควรจะรออ่านใน Full Review อีกครั้งดีกว่า….

1-2 เดือนนี้ คงจะได้อ่านกันแล้วละ!

———————————///———————————-

ขอขอบคุณ
คุณวิกรานต์ อมาตยกุล (พี่เบิร์ท)
ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการขาย

คุณผกามาศ ผดุงศิลป์ (พี่แตน)
ผู้ชำนาญการอาวุโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์

คุณรณภูมิ อยู่ภิรมย์ (พี่ซัน)
รองผู้อำนวยการฝ่าย Product Planning

คุณศุภศักดิ์ ดุละลัมพะ (พี่โอ๊ค)
ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมการตลาด

บริษัท Mitsubishi Motors (Thailand) จำกัด

สำหรับการอำนวยความสะดวก และความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
22 มีนาคม 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part
or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 22nd,2011

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click here!