พักหลังมานี้ ผมได้มีโอกาสทดลองขับ รถยนต์ซึ่งมี 2 บุคลิก หลายรุ่น แม้จะยังแค่นับด้วยมือได้
เพียงข้างเดียว แต่ทุกคัน มักจะมีบุคลิกหลัก เป็นพื้นฐาน ถ้าไม่ใช่รถสปอร์ต ก็จะเป็นรถยนต์
สำหรับนักบริหารกันไปเลย บุคลิกที่เพิ่มเข้ามานั้น ส่วนใหญ่มักเกิดจากการทำโปรแกรมการ
ขับขี่ เอาไว้ให้สามารถขับแบบใกล้เคียงรถสปอร์ตได้ อีกนิดหน่อย เป็นหลัก น่าเสียดายอยู่ว่า
รถยนต์เหล่านั้น มักมีค่าตัวระดับแพงกว่า 2.4 ล้านบาทขึ้นไปทั้งสิ้น เกินกว่าที่คนทั่วไปจะเอื้อมถึง

วันนี้ รถยนต์ที่ผสมผสาน 2 บุคลิก บนพื้นฐานเดียวกัน เริ่มมีราคาลดลงมาบ้างแล้ว เริ่มเข้าใกล้
ระดับที่คนทั่วไป น่าจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น…แม้จะยังอยู่ในระดับแพงกว่า 2 ล้านบาท แต่ก็ต้องถือว่า
น่าสนใจมากพอที่เราควรทำรีวิวขึ้นมาให้คุณได้อ่านกัน

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ ทดลองขับแบบสั้นๆ First Impression ก็ตามทีเถอะ

ก่อนหน้านี้สัก 2 สัปดาห์

กำลังอาบน้ำช่วงเย็นอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็เข้ามา ปลายสายเป็นพี่สาวร่างใหญ่ใจดีมีนามว่า “พี่แข”
ส่งเสียงมาบอกว่า ชวนมาลองขับ CT200h ใหม่กัน นั่นฟังดูน่าจะทำให้ผมแปลกใจอยู่นิดหน่อย

ปกติ ทาง Toyota รู้ดีอยู่แล้วว่า ผมเองไม่ค่อยชอบออกงาน ไปลองขับกับขบวนสื่อมวลชนด้วยกัน
เท่าใดนัก ด้วยเหตุผลที่ว่า การแหกขี้ตาตื่นเช้า มานัดพบรวมตัวกันกับพี่ๆคนอื่นเขา ทั้งที่เพิ่งนอน
มาได้ 3 ชั่วโมง คือสิ่งที่ผมอาจรับไม่ไหว ไม่ต้องอื่นไกล ขนาดตาโบ้ต PR หนุ่มเท่ เด็กแนว จอม
กวนบาทา แห่ง Toyota ก็มักรู้เรื่องนี้ดี ถึงขั้นที่ถ้าจำเป็นต้องโ?รหาผม ช่วง 10 โมง คำถามแรกที่
เจ้าตัว จะถามกับผมก่อนเลยคือ…”มึงตื่นหรือยังเนี่ย?”

ถ้าผมตอบว่า “ยัง” โบ็ตก็จะวางสายไป แต่มักไม่ค่อยมีเหตุการณ์ที่ว่าเกิดขึ้น เพราะแทบทุกครั้ง ผมมักจะ
บอกว่า “คุยได้ ๆ มาเลย” แล้วก็เข้าเรื่องงานเรื่องการที่จะต้องคุยกัน แต่ถ้าเช้าไหน ผมตื่นเช้ากว่าปกติ
เมื่อสิ้นคำถาม “มึงตืนแล้วหรือยังเนี่ย?” หากรู้ว่า ผมตาสว่างแล้ว โบ็ตก็จะสวนกลับมาแบบ ง่ายๆ สั้นๆ
เรียบๆ Simple But ฮา ว่า “ขอต้อนรับสู่โลกยามเช้า”….อึ้มม นะ….ไอ้บ้าโบ็ต.ตตตตตตตตตตตตตตตต…!!

แต่คราวนี้ พี่แขโทรศัพท์ติดต่อมาเอง เพราะอยากให้ผมทำรีวิวของ CT200h ในแบบที่ผมเป็นผมอย่างนี้
ให้คุณๆได้อ่านกันเนี่ยแหละ เพราะถ้าจะรอให้รถทดลองขับ เสร็จสิ้นภาระกิจ บอกได้เลยว่า ไม่รู้เมื่อไหร่
เพราะ คิวยาวมากกกกกก ปกติ Lexus จะไม่ค่อยติดต่อให้มาร่วมทริปทดลองขับ แสดงว่า มันจะเป็นไปได้
สูงมากๆว่า ผมอาจจะพลาดโอกาสลองขับรถรุ่นนี้ แบบชวดแล้วชวดเลยยาวๆ

ดังนั้น เช้าวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2011 แม้เวลานัดจะอยู่ที่ 11 โมง หน้าโรงแรม เรเนซองส์ ย่านชิดลม
แต่ผมก็เลือกจะตื่นให้เช้า แล้วรีบบึ่งมาที่จุดนัดหมายก่อนใคร ใช่สิครับ โอกาสจะถ่ายรูปรถ หน้าโรงแรม
หรืออาคารสถานที่สวยๆในกรุงเทพฯ แบบนี้ มันหาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมยังคงใช้เวลาช่วงรุ่งสางของเช้าวันที่ 4 มีนาคม นั่งปั่นบทความนี้ให้คุณๆ
ได้อ่านกัน เพราะผมมองเห็นแล้วว่า มีคุณผู้อ่านจำนวนไม่น้อยเลย ที่อยากรู้ว่า Premium Compact
Hatchback 2 บุคลิก คันนี้ มีอะไรดีๆมากพอให้พวกเขา ยอมจ่ายเงิน 2,190,000 – 2,650,000 บาท
แลกกับการได้เป็นเจ้าของ รถยนต์คันเล็กที่สุด และเป็นรุ่นแรกสำหรับการเริ่มต้นสัมผัสประสบการณ์
แห่งการขับขี่ในแบบที่ Toyota เตรียมไว้ให้เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะรถยนต์ในแบรนด์ Lexus เท่านั้น หรือเปล่า?

Toyota ตั้งใจสร้าง Lexus CT200h ขึ้นมาให้เป็น รถยนต์นั่งระดับ Premium Compact Hatchback 5 ประตู
วางขุมพลัง Hybrid เป็นรุ่นแรกในโลก พวกเขาเลือกเปิดตัวในตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรปกันก่อน เมื่อ
ปีที่แล้ว ก่อนที่ Toyota Motor Thailand จะสั่งนำเข้ารถยนต์รุ่นนี้ มาเอาใจไฮโซคนโสด ที่มีแนววิถีคิดและ
การใช้ชีวิตแตกต่างจากคนอื่น เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011  

เหตุที่ Toyota สร้างรถยนต์รุ่นนี้ ให้พะแบรนด์ Lexus นั้น สรุปให้สั้นๆ ก็มีเพียงแค่ 2 สาเหตุหลักๆ

– ตลาด Premium Compact Hatchback ที่มีคู่แข่งอย่าง Audi A3 ,BMW 1-Series ฯลฯ นั้น แม้เพิ่งจะ
เริ่มเกิดขึ้นช่วง ปลายทศวรรษ 1990 จู่ๆ ก็เกิดมียอดขายพุ่งสูงขึ้นจนน่าติดตามต่ออย่างใกล้ชิด
Toyota เองก็อยากจะเข้าไปร่วมแย่งชิงลูกค้ากลุ่มนี้จากผู้ผลิตชาวยุโรปด้วย

– อีกประการหนึ่งก็คือ ในเมื่อ Lexus ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกาแล้ว ก็ถึงเวลาจะขยาย
ฐานลูกค้าไปยังกลุ่มยุโรปบ้าง ที่ผ่านมา Toyota พยายามเอาแบรนด์ Lexus ไปเปิดตลาดยุโรป กี่ครั้ง
ต่อกี่ครั้ง กี่หนต่อกี่หน พยายามเริ่มต้นจาก การนำ LS400 รุ่นแรก ไปขายในอังกฤษ ก็แล้ว ส่ง SUV
Toyota Harrier รุ่นแรก ไปเปิดตลาดในชื่อ Lexus RX ก็แล้ว หรือต่อให้ทำ Premium Compact Sedan
เพื่อแข่งกับ Audi A4, BMW 3-Series , Mercedes-Benz C-Class แต่ก็ยังได้ลูกค้าใหม่มาแค่ส่วนหนึ่ง

เมื่อนำ 2 สาเหตุนี้ มาคิดรวมกัน ก็จะได้คำตอบว่า ถ้าอยากบุกตลาดรถยนต์ Premium ให้คนยุโรปยอมรับ
ในแบรนด์ Lexus ก็ต้องทำรถยนต์ออกมาอีกรุ่นหนึ่ง เพื่อเป็นรุ่นเริ่มต้น Entry Level ที่เอาไว้ต้อนรับ
ลูกค้าชาวยุโรป ซึ่งชื่นชอบรถยนต์ Hatchback ขนาดเล็ก แต่ต้องมีคุณสมบัติด้านการขับขี่ ที่ต้องไม่แพ้
คู่แข่งในยุโรปทั้งหมดที่เอ่ยชื่อมา

แต่…ในเมื่อการบุกตลาดยุโรปนั้น สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ กำแพงภาษีสำหรับรถยนต์
ขนาดเครื่องยนต์เกิน 2,000 ซีซี ของบางประเทศในยุโรป สูงมากๆ ส่งผลให้ราคาขายปลีกของรถยนต์
กลุ่มนี้ แพงมากๆ จนทำให้ลูกค้ารสนิยมวิไลทั้งหลายเข้าถึงรถยนต์ Premium คุณภาพดี ลำบากมาก ดังนั้น
ถ้ารถยนต์รุ่นใหม่คันนี้

นั่นคือสาเหตุที่ Osamu Sadakata ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็น Chief Engineer ของโครงการพัฒนา รถยนต์
Premim Compact Hatchback คันนี้ เลือกที่จะใช้เครื่องยนต์ HYBRID 1.8 ลิตร ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นให้ใช้กับ
Prius ในตอนแรก มาใช้เป็นขุมพลังของ CT200h อีกรุ่นหนึ่ง เพราะนอกจากมีพิกัดเครื่องยนต์ ไม่เกิน
ข้อกำหนด้านภาษีของบางประเทศแล้ว ยังให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งาน อีกทั้งยังจะได้ชื่อว่า เป็น
ผู้นำในการสร้างรถยนต์ขุมพลัง HYBIRD ในสายตาลูกค้าชาวยุโรป เพียงแต่ว่า ต้องปรับลดอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงลง ไปพร้อมๆกับ ลดมลพิษจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากไอเสีย ลงไปกว่าเดิมให้มากที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้

ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ CT200h อย่างที่เห็นนี่แหละครับ

CT200h มีขนาดตัวถังยาว 4,320 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,440 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร
น้ำหนักตัวรถเปล่าอยู่ที่ 1,410 – 1,465 กิโลกรัม แต่น้ำหนักสุทธิ รวมการบรรทุกทั้งหมดแล้ว จะอยู่ที่ 1,845 กิโลกรัม

เส้นสายภายนอกดูแปลกตาไปจากรถยนต์ท้ายตัด Hatchback ทั่วไปสักหน่อย จุดเด่นของงานออกแบบอยู่ที่ แนว
เสาหลังคาด้านหลัง บริเวณ C-Pillar ที่เรียกว่า Slingshot เสา C ทีคั่นกลาง มีขนาดใหญ่ และหนา ส่วนแนวกระจก
หน้าต่างด้านหลัง เชื่อมต่อกับกระจกฝาประโปรงหลัง กระจังหน้า แบบ Spindle-shaped ได้รับแรงบันดาลใจใน
การออกแบบจาก รูปแบบของกระแสลมที่ปะทะขณะรถแล่น มีไฟหน้าแบบ LED พร้อมทั้งระบบปรับระดับสูง-ต่ำ
อัตโนมัติ ระบบไฟ LED ส่องสว่างตอนกลางวัน Daytime-Running Light และมีที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้าอัตโนมัติ

ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd 0.29 ซึ่งนอกจากจะได้มาเพราะการออกแบบพื้นผิวตัวรถ ให้
เล่นับกระแสลม ที่ไหลไปทางด้านหลังของรถแล้ว ยังรวมถึงการนำวัสดุมาปิดใต้ท้องรถหลายๆชิ้น อีกทั้งยังมี
การออกแบบให้ตำแหน่งนั่งของคนขับ อยู่ใกล้กับจุดศูนย์ถ่วงของรถ (Center of Gravity) มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
(คือ จุดศูนย์ถ่วง ของรถรุ่นนี้ จะอยู่แนวระนาบเดียวกันกับ จุด Hip Point หรือ บั้นเอวของคนขับ แต่ค่อนมาทาง
ข้างหน้านิดเดียว แถวๆ หัวเข่าผู้ขับขี่) เพื่อช่วยลดการเอียงตัวของรถขณะเข้าโค้ง และเพิ่มความรู็สึก “มั่นใจในการ
เข้าโค้งว่าอยู่หมัด” ให้กับผู้ขับขี่

ทันทีที่เปิดประตู คุณจะพบบรรยากาศห้องโดยสารในแบบ Lexus เพียงแต่สัมผัสจากบานประตูนั้น
อาจชวนให้นึกถึงเสียงของมือเปิดประตู ที่คุณอาจค้นเคยในความใส กังวาน กลวงๆ มาแล้วจาก
Toyota รุ่นปกติทั่วไปคันอื่นๆ ที่เคยเจอมา

แผงประตูคู่หน้า วางแขนได้เฉพาะ บานประตูฝั่งขวา ที่ปรับตำแหน่งเบาะรองนั่งลงต่ำสุดเท่านั้น
เพราะแผงประตูฝั่งซ้ายนั้น ไม่สามาถวางแขนได้ ถึงจะมีช่องใส่ของขนาดเล็ก พร้อม ช่องใส่ขวดน้ำ
ขนาดเล็กมาให้ก็ตามแต่

ภายในห้องโดยสาร มีให้เลือก 3 โทนสี คือสีงาช้าง Ivory สีขาว Water White และสีดำ Black ขึ้นอยู่กับว่า
คุณจะเลือกสีตัวถัง สีอะไร เบาะนั่งทั้งด้านหน้า และหลัง บุด้วยหนังเนื้อเนียน Smooth Perforated Leather

เบาะนั่งคู่หน้า โอบกระชับลำตัวกำลังดี พนักพิงศีรษะประเสริฐใช้ได้ พนักพิงหลัง รองรับแผ่นหลังได้
กลำลังดี เบาะรองนั่งก็ยาวจนถึงหัวเข่า สำหรับคนสูง 170 เซ็นติเมตรอย่างผมแล้ว ไม่มีปัญหาเท่าใดนัก
เช่นเดียวกันกับพื้นที่วางขา และพื้นที่เหนือศีรษะ ซึ่งแม้ว่ารถจะดูเหมือนเล็ก แต่พื้นที่ความสบายสำหรับ
ผู้โดยสารแถวหน้าแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

เบาะหน้าฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย ยังคงปรับเลื่อนตำแหน่งด้วยระบบอัตโนมือ แต่ในฝั่งคนขับ จะมีระบบ
ปรับตำแหน่งด้วยสวิชต์ไฟฟ้า 8 ทิศทาง แถมมีระบบสวิชต์ไฟฟ้า ดันหลัง มาให้อีกด้วย ตำแหน่งการวางแขน
บนฝาปิดกล่องคอนโซลกลาง ทำได้ดี วางแขนได้ สบายๆ อีกทั้งยังมีระบบหน่วยความจำ ตั้งตำแหน่งเบาะ
และกระจกมองข้าง รวม 3 ตำแหน่ง มาให้ที่แผงประตูั่งคนขับอีกด้วย

เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ Pretensioner & Load Limiter

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ครึ่งคันหน้า จะถูกออกแบบอย่างลงตัวกำลังดี แต่ด้วยข้อจำกัดของการออกแบบ
ทั้งการจัดวางตำแหน่งของ ตำแหน่งเบาะนั่ง อันถูกเบียดบังมาจากรูปแบบระบบกันสะเทือน ซึ่งถูก
ออกแลลและพัฒนาให้ใช้กับรถรุ่นนี้ได้เพียงรุ่นเดียว โดยเฉพาะ! จำกัดนี้ ก็มากพอแล้ว ที่จะทำให้
การเข้าออกจากประตูคู่หลังนั้น ทำได้ค่อนข้างยากลำบากกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกันนี้ทั่วๆไป
ซึ่งเมื่อเทียบกับ BMW 120i แบบ 5 ประตู ที่ผมเคยทำรีวิวไปเมื่อช่วงปี 2006 – 2007 นั้น พื้นที่สำหรับ
การก้าวขา เข้า – ออก จากตัวรถ ถึงจะพอกันกับ 120i แต่ พื้นที่สำหรับการเอาศีรษะ ก้มและย่อเข้าไป
ในรถนั้น มีน้อยกว่ากันพอสมควรเลยทีเดียว ถือว่าการเข้าออก จากเบาะหลังของ CT200h นั้น
ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณผู้อ่านก็จะต้องทำใจนะครับว่า พื้นที่โดยสารหลังของ CT200h นั้นค่อนข้างอึดอัด
และคับแคบ ยิ่งกว่ารถยนต์คู่แข่งในพิกัดดียวกัน แม้ว่าพนักพิงหลังของชุดเบาะ จะออกแบบมาได้ดี
แต่ไม่มีที่วางแขนแบบพับเก็บได้มาให้ ในรถคันที่เราทดลองขับ ส่วนเบาะรองนั่ง ก็มีขนาดพอรับได้
แต่ที่ค่อนข้างแย่ ก็คือพื้นที่วางขา ซึ่งแทบจะไม่มีเลย อยากจะบอกว่า แทบไม่ต่างอะไรกับพื้นที่วางขา
ของ Mazda 3 หรือ Toyota Yaris เลยเสียด้วยซ้ำ! ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะนั้น ก็ยังมีไม่มากพอ จาก
เหตุผลของการออกแบบให้แนวหลังคา โค้ง และลาดลงไล่ไปทางด้านหลังของตัวรถ ส่วนที่วางแขน
บนแผงประตู ก็ยัง เตี้ยไปนิดนึง ไม่เยอะนัก อย่างน้อย ก็ยังดีที่มีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน
ISOFIX มาให้ ส่วนเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ เบาะนั่งด้านหลัง ยังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระ
ด้านหลัง แต่ด้วยเหตุที่ แบ็ตเตอรี ติดตั้งอยู่ด้านหลัง ของเบาะหลัง วางเอาไว้บนระบบกันสะเทือนหลัง
ทำให้พื้นห้องเก็บสัมภาระ จึงต้องสูงเกินกว่าที่เคยพบมาในรถยนต์ประเภทคล้ายคลึงกันทั่วๆไป คันอื่นๆ

แต่ถึงกระนั้น ในฐานะของผู้โดยสารตอนหลัง ผมเชื่อว่า หลายคนคงแอบอิจฉาพื้นที่ห้องเก็บของ
ด้านหลังรถกับเขาบ้างละ ไม่มาก็น้อย เพราะได้รับการจัดสรรโควต้าพื้นที่ในรถ ไปได้เยอะ เผลอๆ
จะเยอะกว่าพื้นที่ภาพรวมของเบาะหลังเสียด้วยซ้ำ  แน่นอนว่า มันสามารถใส่ของได้เยอะกว่า
BMW 120i หรือ Audi A3 ใหม่ (นับรวมถึง S3 MTM ที่เราลองขับกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว)เสียด้วยซ้ำ
ฝากระโปรงหลัง เปิด-ปิดได้ ด้วยกลอนไฟฟ้า มีช็อกอัพไฮโดรลิก ค้ำไว้ 2 ต้น ทั้งฝั่งซ้าย และขวา
พื้นห้องเก็บของ สามารถยกขึ้นได้ เพื่อจะพบกั ช่องใส่ของอเนกประสงค์ทำจาก โฟมรีไซเคิล
สหรับใครที่คิดจะซื้ออาหารทะเลสดๆ มาปิ้ง ย่าง กินกันเอง แต่ไม่อยาให้มีกลิ่นคาว เข้ามาในรถ
แถมยังมี แผงม่านบังสัมภาระด้านหลังมาให้จากโรงงานอีกด้วย

แผงหน้าปัด มีหน้าตาชวนให้นึกถึง แผงหน้าปัดของ BMW 1-Series กันอยู่ไม่น้อย แต่แน่นอนว่า Lexus
ออกแบบมาได้เอาใจคนชอบขับรถมากกว่า และทำออกมาได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์มากกว่า (เฉพาะ
ตำแหน่งคนขับและเบาะคู่หน้าเท่านั้นนะ อย่านับรวมเบาะหลังเชียวละ!)

ด้วยความที่รถคันนี้ มีของเล่นมากมายก่ายกอง ไม่แพ้ Lexus รุ่นพี่หลายๆรุ่น หากเขียนถึงทั้งหมด
ผมจะไม่เหลืออะไรมาเล่าให้คุณฟัง ในบทความ Full Review กันอีก จึงเลือกที่จะขอคัดเอามาเล่า
ให้อ่านกันแค่ อุปกรณ์เด่นๆ ยั่วน้ำลายให้กระเซ็นกันเล่นๆ ก่อนเป็นพอ

ไม่ว่าจะเป็นชุดมาตรวัดเป็นแบบเรืองแสง Optitron (เดี๋ยวค่อยอธิบายความแตกต่างที่โดดเด่นเหนือกว่า
รถคันอื่น ในอีก ไม่กี่ย่อหน้า ข้างล่าง)

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนังสังเคราะห์ จับกระชับมือ หนังมีพื้นผิวละเมียดละไม แต่อาจไม่เหมาะ
กับคนที่มีเหงื่อออกที่มือบ่อยๆ เพราะหนังหุ้มพวงมาลัย อาจเสื่อมสภาพได้เร็วในไม่กี่ปีที่ใช้งาน มาพร้อม
สวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง กับระบบสื่อสารไร้สาย และมีก้านสวิชต์ระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ
Cruise Control โผล่มาให้ใช้งานกัน ทุกรุ่น 

คันเกียร์ มาแนวเดียวกับ Prius คือเป็นเพียงแค่สวิชต์สำหรับกระดิกนิ้ว สั่งว่า จะให้ระบบส่งกำลังทำงานใน
โหมดไหน ทั้ง P เกียร์จอด R เกียร์ถอยหลัง N เกียร์ว่าง D เกียร์ขับเคลื่อน B เกียร์ต่ำเหมือนกับ Prius
และ Camry HYBRID ข้างกันนั้น มีสวิชต์ สำหรับเลือกโปรแกรมการขับขี่ ทั้ง EV Mode , ECO Mode
(หมุนุ่มไปทางซ้าย) Normal Mode (กดปุ่มหมุนใหญ่ๆ) และ Power Mode (หมุนปุ่มมาทางขวา) ซึ่ง
รายละเอียดของโปรแกรมการขับขี่เหล่านี้ จะถูกอธิบายให้ละเอียดอีกครั้ง ในอีกไม่กี่ย่อหน้าข้างล่าง

อ้อ CT200h นั้นจะเหมือนกับ Prius อยู่เรื่องหนึ่งคือ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ที่จะต้องผ่านมาตรฐาน
ระดับโลก ทำให้ไม่สมารถเข้าเกียร์ N แล้วจอดรถขวางทางชาวบ้านได้ นั่นหมายความว่า คุณควรหาที่จอดรถ
ในช่องจอดให้เรียบร้อย และทำตัวให้มันเหมือนมนุษย์มนาอารยสากลผู้เจริญแล้วทั้งหลาย ที่ควรจะเลิกนิสัย
จอดรถแปะหน้าชาวบ้าน ให้เขาเข็นกันเสียที (ผมพูดได้เต็มปาก เพราะผมไม่เคยจอดรถแบบ Pararail Parking
ขวางหน้ารถคนอื่นแบบนั้นเลยสักครั้งเดียว)

อีกทั้งยังมีการติดตั้ง ระบบนำทางอัจฉริยะ Lexus Navigation System ทำงานโดยแสดงแผนที่แบบ DVD
และ บอกเส้นทางด้วยระบบเสียง เพื่อการนำทางที่ถูกต้องและแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถค้นหาเส้นทาง
แถมยัง ซูมตำแหน่งของสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรายแรกในประเทศไทย ทื่แสดงข้อมูล
การจราจรในเขตกรุงเทพมหานครแบบ Real-time โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลกองบังคับกา
รตำรวจจราจร ทำงานร่วมกับ ชุดควบคุมบริเวณคอนโซลกลาง รูปทรงแบบเม๊าส์ คอมพิวเตอร์ ทำให้
การควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยแสดงผลผ่าน หน้าจอแบบ Electro-Multi
Vision (EMV) เพียงแต่ว่า รีโมทเมาส์ ดังกล่าวนั้น น่าจะถนัดกับคนที่ขับรถในยุโรป หรือสหรัฐฯ
ซึ่งเป็นพวงมาลัยซ้าย มากกว่า เพราะ เมื่อมาอยู่ในเมืองไทย กับรถพวงมาลัยขวาแล้ว คุณควรหัดใช้งาน
เมาส์ ที่คอมพิวเตอร์ของคุณด้วยมือซ้าย ให้คล่องสักหน่อยเสียก่อนที่จะมาใช้งานเมาส์รีโมท ใน CT200h

ชุดเครื่องเสียงแบบ Lexus Premium Sound 6 ลำโพง ยกเว้นรุ่นท็อป พร้อมที่จะมี Moon Roof มาให้
จะเป็นรุ่นเดียว ที่มี 10 ลำโพง มช่องเสียบ USB มาให้อีกด้วย นอกเหนือากเครื่องเล่น CD พร้อม
CD-Changer ในตัว คุณภาพเสียงเท่าที่ฟังกันคร่าวๆ ถือว่าเสียงดีสมกับเป็น Lexus เหมือนเคย
ส่วนเครื่องปรับอากาศเป็นแบบ Digital แยกฝั่งได้ ซ้าย – ขวา มีมาให้ครบทุกรุ่น

ในด้านทัศนวิสัยจากตำแหน่งคนขับ หากมองไปทางด้านหน้ารถ เมื่อปรับตำแหน่งเบาะนั่งต่ำสุดแล้ว
ยังมองเห็นรถคันข้างหน้า และทัศนียภาพด้านหน้าครบถ้วนอยู่ แม้่ว่าพื้นที่การมองเห็นบนกระจก
หน้ารถจะน้อยกว่ารถคันอื่นนิดหน่อย ก็ตาม ตำแหน่งของจอมอนิเตอร์ แบบพับเก็บได้ วางไว้อยู่ใน
ตำแหน่งที่ถูกต้อง

มองทางขวามือ เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillat ฝั่งขวา มีขนาดปานกลาง เหมือนจะดูว่าหนา แต่ไม่ได้บดบัง
การมองเห็นด้านข้างมากนัก อย่างที่เป็นห่วงในตอนแรก กระจกมองข้างมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จน
เกินไป อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของรถยนต์ในระดับนี้ทั่วไป แต่ด้วยการออกแบบให้มุมทั้ง 4 โค้งมน
ทำให้ลดความรู้สึกเชิงจิตวิทยาที่ทำให้เข้าใจไปเองว่า ระจกมองข้าง น่าจะเล็ก ลงไปได้

มองมาทางซ้าย เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ค่อนข้างดูหนาอยู่บ้างเหมือนกัน ในระหว่างการ
ทดลองขับ เบื้องต้น ยังไม่พบการกีดขวางทัศนวิสัย ในตอนเลี้ยวกลับรถแต่อย่างใด กระจกมองข้างเอง
ก็มีหน้าที่เช่นเดียวกัน แอบมีมุมหักเหแบบรถยุโรป ที่ปลายด้านนอกของตัวกระจกมองข้างมาให้
นอกจากนี้ กระจกมองหลัง และกระจกมองข้าง ยังเป็นแบบลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ แบบรถยุโรป
คู่แข่ง มาให้อีกด้วย

แต่ข้อเสียด้านทัศนวิสัย กลับอยู่ที่การมองเห็นด้านหลังรถจากตำแหนงคนขับ จะพบเลยว่า พื้นที่กระจก
หูช้าง โอเปร่า บนหน้าต่างประตู ถูกบดบังด้วยงานออกแบบ “อะไรก็ไม่รู้” หน้าตาเป็นก้อนพลาสติกแบบ
สามเหลี่ยม มาแปละเอาไว้ ซึ่งแทนที่จะเพิ่มความโปร่งสบายกว่านี้ให้ผู้ขับขี่ แต่กลับไม่มีประโยชน์ที่จะ
ใส่เข้ามาเลย หนำซ้ำ กระจกหน้าต่างบานสุดท้าย บริเวณเสาหลังคา C และ D-Pillar ที่เชื่อมต่อกับบาน
ประตูห้องเก็บสัมภาระ ก็โดนบดบังโดยพนัศีรษะของเบาะหลัง ไปง่ายๆ ดื้อๆ ดีแต่ว่า มีกล้องสำหรับช่วย
กะระยะขณะถอยหลังข้าจอด แสดงภาพผ่านจอมอนิเตอร์ EMV มาให้แล้วนะ ไมเช่นั้น สงสัยถอยรถ
เข้าจอดได้ลำบากแน่ๆ

ด้านขุมพลัง แม้จะยกมาจาก Toyota Prius ใหม่ ทั้งดุ้น แต่มีการปรับเซ็ตให้แตกต่างกัน บนพื้นฐานของ
เครื่องยนต์ รหัส 2ZR-FXE บล็อก 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle 1,798 ซีซี
พร้อมระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิค (EFI) และระบบปรับองศาวาล์วแปรผัน VVT-i (Variable Valve Timing-
intelligent) 98 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร หรือ 14.46 กก.-ม.ที่รอบตั้งแต่
2,800 – 4,400 รอบ/นาที จุดนี้ถือเป็นความแตกต่างจาก Prius อย่างชัดเจน เพราะมีการปรับปรุงให้แรงบิด
สูงสุด มาถึงในรอบที่ต่อเนื่อง ในลักษณะ Flat Torque (ลักษณะเหมือน การมีให้ใช้อย่างต่อเนื่อง และ
ค่อนข้างคงที่แบบเดียวกับแรงบิดที่พบได้ในเครื่องยนต์ของ Hilux Vigo และ Fortuner นั่นละครับ)

เครื่องยนต์ดังกล่าว เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ผ่านมอเตอร์ไฟฟ้า กระแสสลับ แบบแม่เหล็กถาวร
หรือ Premanant Magnet Type รุ่น 3JM ขนาด 650V กำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 207 นิวตันเมตร
โดยมีแบ็ตเตอรี Nickel Metal Hydride (Ni-Mh) ต่อเชื่อมแบบอนุกรม ขนาด 168 เซลส์ ความจุ 6.5 แอมแปร์
/ ชั่วโมง (3 ชั่วโมง) ระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (Electrically
Controlled Continuously Variable Transmission) เพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังของเครื่องยนต์ Hybrid
ได้อย่างลงตัวและให้การขับขี่ที่นุ่มนวล เมื่อรวมแล้ว ทำให้ระบบเครื่องยนต์ Lexus Hybrid Drive ใน CT200h
มีกำลังพอๆกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร คือ 134 แรงม้า (HP) หรือ 136 แรงม้า (PS) แต่มีค่า CO2 หรือ ก๊าซ
คาร์บอนไดอ็อกไซด์ในไอเสียต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน (94 กรัม / กิโลเมตร) แต่ยังให้อัตราเร่ง 0 – 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 10.3 วินาที (ตัวเลขจากโรงงาน)

จุดเด่นที่สำคัญคือ มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 4 รูปแบบ คือ Normal Mode อันเป็นโหมดการขับขี่แบบ
ปกติทั่วไป ส่วน ECO Mode เครื่องปรับอากาศจะถูกสั่งให้ทำงานลดความแรงของพัดลมแอร์ลง และ
EV Mode คือ ใช้แต่พลังงานไฟฟ้า ขับเคลื่อนรถไปข้างหน้าอย่างเดียว จนถึงความเร็วประมาณ
45 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบถึงจะให้เครื่องยนต์ เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันอีกแรง ใน 3 โหมดนี้ ชุดมาตรวัด
จะยังคงเรืองแสงเป็นสีฟ้าน้ำเงิน รักษ์โลก

แต่ในรูปแบบสุดท้าย คือ Sport Mode เลือกใช้เมื่อใด คอมพิวเตอร์จะสั่งให้ลิ้นเร่งหรือลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า
(ทำงานเชื่อมกับคันเร่ง ในการจ่ายน้ำมันเข้าห้องเผาไหม้) ทำงานไวขึ้น เพิ่มการจ่ายไฟจากแบ็ตเตอรี
ที่ระดับ 500 Volt เป็น 650 Volt ในทันที รวมทั้งจะปรับการทำงานของพวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พีเนียน
พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronic Power Steering) ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC
(Vehicle Stability Control) และระบบ ป้องกันล้อหมุนฟรีตอนออกตัว TRC (Traction Control) ให้
ตอบสนองในอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างออกไป นอกจากนี้ มาตรวัด จะเปลี่ยนเป็นสีแดง แถมมาตรวัด
Eco meter ฝั่งซ้ายของมาตรวัดความเร็ว จะเปลี่ยนสภาพเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์แทน 

ประเด็นแรก ที่หลายคนคงอยากจะรู้กันคือ “ถ้าในเมื่อ เครื่องยนต์มันก็เหมือนกันกับ Prius ใหม่เป๊ะ
แล้วอัตราเร่ง และพละกำลังในช่วงเร่งแซง จะแตกต่างจาก Prius ไปได้อย่างไร? แล้วแรงม้า แรงบิดที่มี
จะเพียงพอกับการใช้งานบนถนนในเมืองไทยหรือเปล่า?”

ถ้าคุณขับอยู่ในโหมด EV (ใช้พลังไฟฟ้าล้วนๆ ในการขับเคลื่อน ทำความเร็วสูงสุดได้แถวๆ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
หรือเกินกว่านั้นไปได้อีกนิดหน่อย ไม่มากนัก และไม่แน่นอนด้วย ขึ้นอยู่กับสภาพถนน และปริมาณไฟฟ้าใน
แบ็ตเตอรี) ไปจนถึง ECO Mode ที่เน้นความประหยัดเป็นหลัก สำหรับการขับแบบเรื่อยเปื่อย หรือ Normal Mode
อันเป็นการขับขี่แบบธรรมดา ผมบอกคุณได้เลยตรงนี้ว่า “มันไม่ต่างกันหรอก”

แต่ความแตกต่างอย่างแท้จริงหนะ มันอยู่ที่ Sport Mode ต่างหาก เพราะมันไม่ใช่แค่การเพิ่มความรู้สึกในการ
ตอบสนองคันเร่งที่ไวขึ้นเพียงนิดเดียว หากแต่มันต่างกันมากกว่านั้นอีกนิดหน่อย เพราะเพียงแค่หมุนสวิชต์
เลือกโหมดการขับมาทางขวา มาตรวัดจะเปลี่ยนจากสีฟ้า เป็นแดง เข็มมาตรวัด ECO Mode กลายเป็น มาตรวัด
รอบเครื่องยนต์ การตอบสนองคันเร่ง ก็จะไวขึ้นกว่าโหดอื่นๆนิดหน่อย ทำให้การเรียกอัตราเร่งมาใช้งาน
ในช่วงออกตัวจากสี่แยก หรือการเร่งแซงในภาวะคับขัน ทำได้คล่องแคล่ว ว่องไว และทันใจกว่า Prius จน
สังเกตได้ชัดเจน อีกทั้งยังผสานการทำงานของพวงมาลัยให้ตอบสนองไวขึ้น ปรับการทำงานของระบบ VSC
กับ TRC เสริมเข้ามาด้วย ทำให้ คุณสามารถขับ CT200h ออกต่างจังหวัด ได้อย่างสนุกขึ้น

ส่วนพละกำลังทั้งหมดหนะ มันเพียงพอหรือไม่? บอกเลยครับ ว่า เพียงพอ กับนิสัยการขับรถของคนทั่วไป
แรงเกินความคาดหวังของคนส่วนใหญ่ไปนิดเดียว สำหรับส่วนตัวผมแล้ว ถือว่า แรงในแบบที่ผม พึงพอใจ
เพราะเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กับระบบ HYBRID มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะฉุดลากตัวรถ ซึ่งมีน้ำหนักสุทธิประมาณ
1.8 ตัน พุ่งไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน Sport Mode อยู่ที่ 8.72 วินาที ได้ขนาดนี้
ผมก็ถือว่า ทำผลงานได้ไม่เลวเลยแล้วละ ตัวเลขนี้ ได้มาจากการที่ผมลองจับเวลา บนทางยกระดับบรมราชนนี
สั้นๆ ครั้งเดียว มีผมเป็นผู้ขับขี่ และมี พี่อทิติ แห่งรายการวิทยุ Car All Style กับ น้องพลอย PR ของ Toyota
นั่งไปในรถ รวมแล้ว 3 คน

ส่วน ตัวเลข Top Speed หรือความเร็วสูงสุด ผมทำให้ดูแล้วนะครับ ทำเพียงแค่ครั้งเดียว เหยียบแช่ยาวๆ เมื่อถึง
ความเร็วสูงสุด ผมเหยียบแช่ไปอีก 10 วินาทีโดยประมาณ เพื่อให้แน่ใจว่าเข็มความเร็วไม่ไหลขึ้นต่อเนื่องไป
จากนี้แล้ว และตัวเลขจากมาตรวัดอยู่ที่ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ระดับ 5,200 รอบ/นาที เป็นตัวเลข
จากมาตรวัด นั่นหมายความว่า ตัวเลขจริงอาจอยู่แถวๆ ตั้งแต่ 180 – 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดังนั้น ถือว่าเราได้ลอง
ให้คุณเรียบร้อยแล้วนะครับ จะได้ไม่ต้องไปลองกันเองให้เป็นที่เสียวไส้กับเพื่อนผู้ร่วมใช้เส้นทางคนอื่นๆ ซึ่ง
เราเองไม่สนับสนุนให้คุณทำแบบเดียวกับเราอยู่แล้ว มาแต่ไหนแต่ไร โปรดรับทราบไว้ด้วยครับ

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ อยากได้รถแรง บ้าพลังเป็นลัทธิ พละกำลังขง CT200h อาจยังไม่สะใจพวกตีนผี
ที่ชอบขับรถเร็วๆ แรงๆ เท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่ชอบเอา Fortuner กับ Vigo ไล่จี้ตูดคนอื่น บน
ทางหลวงแผ่นดินต่างๆมากมาย ไม่รู้ว่าจะบ้าพลังกันไปถึงไหนนั้น บอกได้ทันทีเลยว่า พละกำลังของ CT200h
อาจจะยังไม่ถึงกับทันใจคุณเท่าใดนัก วิธการที่จะรู้ว่าพละกำลังมันเพียงพอหรือไม่ ให้ลองหา Prius รุ่นมาตรฐาน
มาทดลองเร่ง แบบที่คุณใช้งานจริงในชีวิตประจำวันดู เดี๋ยวก็จะรู้เองว่า คุณเหมาะกับ CT200h หรือไม่?

แต่ผมก็แอบหวัง CT200h น่าจะให้อัตราเร่งได้ดียิ่งกว่านี้อีก ถ้ามีรุ่นย่อยใหม่ จำพวก CT240h วางเครื่องยนต์ และ
ขุมพลังเดียวกันกับ Camry HYBRID ที่แรงเกินหน้าและประหยัดเกินตาจะเชื่อ ขนาดนั้น

ประเด็นต่อมาคือ การทำงานสอดประสานร่วมกันของทั้งระบบบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน ระบบห้ามล้อ
และโครงสร้างตัวถัง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ เหนือความคาดหมายของผมไปนิดหน่อย

สิ่งที่ผมชื่นชอบมากที่สุด คือ พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronics Power
Steering) ที่ถูกปรับเซ็ตมาให้มีทั้งน้ำหนักที่ต้องใช้ในการหมุนพวงมาลัย กับความแม่นยำ ฉับไว ที่ดีที่สุด
เท่าที่ผมเคยเจอมาในรถยนต์จาก Toyota เป็นพวงมาลัยที่ให้การตอบสนองต่อการสั่งการในแบบที่ผม
อยากจะได้จาก Toyota / Lexus มานานแล้ว พวงมาลัยของ CT200h แสดงให้เราเห็นว่า ถ้าพวกเขาจะ
ปรับตั้งค่าต่างๆของพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ให้เหมาะสม และเอาใจนักขับอย่างแท้จริง พวกเขา
ก็จะทำออกมาได้อย่างดิบดี ไม่แพ้พวงมาลัยของ Volkswagen Golf GTi กันเลยทีเดียว!!

ฝากถึง ทีมวิศวกรที่ทำ Corolla รุนต่อไปสักหน่อยเถอะ รู้อยู่ว่า เป็นคนละทีมกับกลุ่มวิศวกรที่พัฒนา CT200h
แต่ผมอยากได้พวงมาลัย “แบบนี้” หรือ “น้ำหนักเบากว่านี้นิดหน่อย (เพราะต้องเอาใจตลาดส่วนใหญ่) ทว่า
ตอบสนองเหมือนกันเปี๊ยบกับ CT200h อย่างนี้ ใน Sport Version ของ Corolla รุ่นต่อไปที่จะมีกำหนดคลอด
ออกสู่ตลาดราวๆปี 2012 – 2013 นี่เป็นอีกสิ่งที่น่าจะสร้างความตื่นตาตื่นใจ จนทำให้ลูกค้าวัยรุ่น หรือ พวก
Young At Heart ทั้งหลาย หันกลับมามอง Corolla ใหม่ ได้อีกครั้งแน่ๆ ขอแค่คุณกล้าใส่พวงมาลัยแบบนี้ให้
Corolla Altis Sport Version ก็พอ

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ปีกนกแบบ L-Arm ส่วนด้านหลังเป็นแบบปีกนกคู่ Double
Wishbone แบบมี Trailing Arm ช็อกอัพแก้ส ทั้งหน้า-หลัง จุดเด่นที่ทำให้ CT200h แตกต่างจาก Lexus รุ่นอื่นๆ
คือ การติดตั้ง เหล็กค้ำช็อกอัพ มาให้ทั้งหน้า-หลัง ซึ่งแตกต่างไปจากเหล็กค้ำช็อกอัพทั่วไป ตรงที่มีระบบยืดตัว
และหดตัวในแนวนอน ซึ่งพัฒนาร่วมกับ YAMAHA (ครับ อ่านไม่ผิดหรอก เจ้าของเดียวกันกับรถจักรยานยนต์
รุ่น Fino และเปียโนไฟฟ้า Clavinova นั่นแหละ!) เพื่อช่วยลดการบิดตัวของจุดยึดเบ้าช็อกอัพ และรักษาการทรงตัว
ของรถในขณะเข้าโค้ง ซึ่งเมื่อร่วมงานกับพวงมาลัยไฟฟ้า ที่เซ็ตมาได้ดีมากๆ แล้ว ทำให้การขับขี่ทางไกล สนุกขึ้น
อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ช่วงล่างจะค่อนข้างหนึบ และติดไปในแนวแข็ง ถ้าขับขี่ในเมือง คุณอาจจะสัมผัสได้ถึงความสะเทือน
ที่คล้ายคลึงกับช่วงล่างของ BMW 3-Series มีความตึงตังให้เห็น แต่ก็แอบสัมผัสได้ถึงความพยายามที่ช่วงล่างจะซับ
แรงสะเทือนจากพื้นถนนมาให้คุณ ในแบบที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป กระนั้น สำหรับคนที่ชอบรถแนวนุ่มๆ คุณอาจ
จำเป็นต้องขอทดลองขับดูก่อนว่า ความแข็งขนาดนี้ คุณรับได้ไหม? แม้จะไม่ถึงกับแข็งมากเท่า BMW 330i ตัว
ก่อน Minorchange ทว่า ก็ต้องถือกันตามตรงว่าช่วงล่างแข็งอยู่เหมือนกันนะ

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้า เส้นผ่าศูนย์กลาง 255 มิลลิเมตร ส่วนคู่หลังมีขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 279 มิลลิเมตร เชื่อมต่อทั้งระบบ Re-Generative Brake เพื่อนำพลังงานจากการเบรก
ไปสร้างเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งกลับไปเก็บสะสมในแบ็ตเตอรี พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-
Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) และระบบ
เพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist

บอกได้เลยว่า แป้นเบรกนั้น มีน้ำหนักมากกว่า Toyota กับ Lexus รุ่นอื่นๆที่เคยเจอมาพอสมควร แต่การ
ตอบสนองค่อนข้างไว ถึงจะตื้น แต่ว่าเมื่อเหยียบแป้นเบรกลงไป รถจะหน่วงความเร็วลงมาค่อนข้างไว
และสัมผัสได้ถึงอาการหน่วงความเร็วชัดเจน เหมือนเช่นรถยนต์ Hybrid คันอื่นๆของ Toyota ที่ผมเคย
ลองขับมา แต่ชัดเจนว่า ถ้าคุณเหยียบแค่ไหน ระบบเบรกจะทำงานให้คุณเพียงเท่าที่คุณต้องการ อาจจะ
มากกว่านั้นนิดนึง แต่ถือว่า มั่นใจได้แน่ๆ เป็น Lexus อีกรุ่นหนึ่ง ที่ผมจะไม่ปริปากบ่นเรื่องการทำงาน
ของระบบเบรกเลย

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
Premium Compact Hatchback สำหรับสาวโสดนักบริหาร ชอบคิดต่าง and the gang!

พาดหัวชื่อบทความรีวิวในคราวนี้ มันไม่ได้มาจากแค่สโลแกน Devilish Angel ที่ฝ่ายการตลาดของ Lexus
Group Department ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในงานสื่อสารการตลาดของรถรุ่นนี้เท่านั้น หากแต่ มันเกิดขึ้นจากการ
ที่ผม ประเมินบุคลิกของตัวรถผ่านมุมมองของตัวเอง หลังจากได้ทดลองขับ ทั้งในเมือง และบนเส้นทาง
ออกต่างจังหวัด รวมทั้งได้นั่งคุยกับพี่ป๊อก จากฝ่าย Lexus Group เมื่อลงจากรถแล้ว

ยอมรับกันตรงๆว่า ก่อนที่ผมจะก้าวเข้าไปนั่งขับรถคันนี้ ผมไม่ได้คาดหวังได้ว่า Toyota จะทำรถออกมา
เอาใจทั้งคนชอบขับรถ อย่างผม ได้ดีกว่าที่คิด ขนาดนี้

หลังลองขับ CT200h แล้ว ผมเกิดความคิดว่า อันที่จริง Toyota จะทำรถออกมาให้ขับสนุก และขับดี เทียบเท่า
รถยุโรปเลย ก็ย่อมทำได้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่ผ่านมา มัวไปเสียเวลาหลงงมโข่งอยู่ที่ไหนกัน ไม่ว่าการบังคับ
เลี้ยวของพวงมาลัย ที่ต้องมีน้ำหนักกำลังดี และให้สัมผัสแบบรถสปอร์ต เช่นเดียวกับช่วงล่างที่มาในแนว แข็ง
ไปนิดนึง แม้จะใส่ล้อ 16 นิ้วแล้วก็ตาม ระบบเบรกที่ถือว่าทำได้ดีมากกว่าที่คิด และโครงสร้างตัวถังนิรภัย พร้อม
อุปกรณ์ระดับเทคโนโลยีขั้นสูง อีกมากมาย ที่ยัดทะนานลงไปใส่ในรถยนต์ Premium Compact Hatchback
คันเล็กๆ เพียงคันเดียว

แต่ต่อให้ CT200h จะทำผลงานในด้านดังกล่าว ได้ดีเกินความคาดหมายไปนิดหน่อย แต่ก็หาใช่ว่าจะปราศจาก
ข้อเสียใดๆ เลย เพราะแม้ว่า พละกำลังเครื่องยนต์จาก Prius นั้น จะแรงเพียงพอต่อการใช้งานของทั้งคนยุโรป
และคนไทย แต่เชื่อว่า น่าจะยังมีอีกไม่น้อย ที่คาดหวังความแรงระดับ Camry HYBRID ในรถคันนี้ ซึ่งน่าจะ
ยากเกินเป็นไปได้

ขณะเดียวกัน ห้องโดยสารในภาพรวม ต่อให้จะพยายามทำออกมาให้ดูหรูหราในแบบร่วมสมัยแค่ไหนก็ตาม
แต่มันลงตัวใช้ได้เฉพาะแค่พื้นที่คนขับกับผู้โดยสารด้านหน้าเท่านั้น เพราะพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลัง ออกจะ
คับแคบไปหน่อยสำหรับครอบครัว 4 คน แต่น่าจะลงตัวกว่าสำหรับกลุ่มสาวโสดวิธีคิดต่างจากคนอื่นเขา ซึ่งมัก
เดินทางไปไหนมาไหนตามลำพัง หรืออย่างมากสุด ก็กับเพื่อนสนิทอีกแค่คน 2 คน

ถ้าถามว่ารถคันนี้ จะเหมาะกับใคร?

ดูเหมือนว่า จะเหมาะกับบรรดา Hi-so Girl Gang ไม่ว่าจะวัยรุ่นสาว หรือจะเป็นวัย 35 ไม่เกิน 40 ปี ที่มีความคิด
ของตัวเอง มีวิธีคิดและมองโลกในมุมที่ต่าง มองว่าอยากได้รถยนต์ระดับ Premium แต่ไม่อยากจ่ายแพงถึงขั้น
ไปเล่น รถอย่าง C-Class หรือ 3-Series กระนั้น ก็ยังต้องการสมรรถนะในด้านการควบคุมรถที่ ไม่แพ้รถยนต์
ทั้ง 2 รุ่นที่ผมเอ่ยชื่อมา อีกทั้งยังต้อง คิดและคำนึงถึงการมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน ทั้งลดมลพิษ
จากท่อไอเสีย และลดการใช้พลังงานฟอสซิล อย่างน้ำมัน

ถ้าคุณ ผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าข้างบนนี้ คุณอาจจะตั้งคำถาม
ต่อไปว่า “แล้ว CT200h น่าซื้อหามาขับ มากน้อยแค่ไหน เมื่อคิดถึงค่าตัวเริ่มต้น 2,190,000 – 2,690,000 บาท?”

ผมอยากบอกว่า แม้จะมีคำตอบอยู่ในใจกันแล้ว แต่อย่าได้เพิ่งด่วนสรุปมากไปกว่านี้ เพราะเรายังขาดตัวเลข
สมรรถนะ ที่ได้มาจากการหาค่าเฉลี่ย และที่สำคัญที่สุดก็คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อันเป็นอีกหนึ่งจุดขาย
สำคัญของรถยนต์ Premium Compact Hatchback ขุมพัง HYBRID คันนี้

ดังนั้น ถ้าจะให้ครบสูตร เราก็คงต้องติดต่อยืมรถจากทาง Toyota / Lexus มาทำบทความ Full Review กันอีกครั้ง…
ซึ่งต้องเรียนให้ทราบกันตรงนี้เลยว่า…

ยังไม่รู้ ว่าเมื่อไหร่ รถทดลองขับทั้ง 6 คันของรถรุ่นนี้จะมีคิวว่าง…?  (จริงๆนะ)
————————————–///—————————————-

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และทีม Lexus Group Department
บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆเป็นอย่างดียิ่ง

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
4 มีนาคม 2011

Copyright (c) 2011 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
March 4th,2011  

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่