ยังไม่ทันที่ ปรากฎการณ์ยอดขายถล่มทะลาย จากรุ่นตัวถังแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ที่ขายดีแซงหน้า
Toyota Yaris และเจ้าตลาดอย่าง Honda Jazz จะจางหายไป Mazda Sales Thailand ก็พร้อมแล้ว
ที่จะปล่อยพลรบตัวเด็ด เปิดศึกในกลุมตลาด B0Segment หรือ Sub-Compact Sedan 1.5 ลิตร
ท้าชน Toyota Vios Honda City และ Chevrolet Aveo ด้วยเวอร์ชัน ซีดาน 4 ประตู ขอ Mazda 2
ที่เพิ่งมีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ช่วงเที่ยงของวันที่ 16 มีนาคม 2010 ที่ผ่านมา
หลังจาก เจอกระแสการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้ต้องเลื่อนวันเปิดตัวจาก 15 มีนาคม
ออกมาอีก 1 วัน อย่างที่เห็น

จอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากความสำเร็จอย่าง
ถ้วมท้นในการเปิดตัวรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 รุ่นแฮ็ชแบค 5 ประตู เมื่อเดือนกลางพฤศจิกายน 2552
ที่ผ่านมา ส่งผลให้มาสด้ามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่าง
ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สร้างความประหลาดใจให้กับมาสด้า ประเทศไทย ผู้จำหน่ายมาสด้า
บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น รวมทั้งมาสด้าจากทั่วโลก ตลอดจนคู่แข่งของมาสด้าที่กำลังจับตามองเรา
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะยังคงทำงานกับผู้จำหน่ายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้โครงการและ
การดำเนินการต่างๆของเราสมบูรณ์แบบ เพื่อที่จะรับประกันถึงความสำเร็จของเราในปีนี้
นอกเหนือจากความสำเร็จด้านยอดขายแล้ว อีกสิ่งที่มาสด้าเน้นความสำคัญมาโดยตลอด
นั่นคือการขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานเพื่อให้ครบ 130 แห่ง ภายใต้
รูปลักษณ์ใหม่ MCI เพื่อรองรับการบริการที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการสร้างความพึงพอใจสูงสุด
ให้กับลูกค้าทั้งด้านการขาย อะไหล่ และบริการ รวมทั้งการยกระดับแบรนด์มาสด้า
ให้ขึ้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์เมืองไทย

จอห์น เรย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับตลาดรถยนต์มาสด้าในปี 2553 นี้ มาสด้าตั้งเป้ายอดขายปีนี้
สูงถึง 35,000 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 164 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมาสด้า2 ซีดาน
และรุ่นแฮ็ชแบค 5 ประตู จะยังคงเป็นโปรดักซ์ลีดเดอร์สำหรับการทำตลาดในปีนี้ โดยทั้ง 2 รุ่น
ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้อยู่ที่ประมาณ 24,000 คัน และที่สำคัญรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3
จะยังคงรักษาความร้อนแรงต่อไป ประมาณ 5,000 คัน ส่วนรถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 ใหม่
คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6,000 คัน และรถพรีเมี่ยมคาร์คือ New Mazda CX-9 และ New  MX-5
อีกประมาณ 78 คัน ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดที่ได้รับ ขณะนี้มีลูกค้าแบล็คออเดอร์อยู่เกือบ 2,000 คัน 

รูปลักษณ์ภายนอก เป็นการนำครึ่งคันหน้าของ ตัวถังแฮตช์แบ็ก มาออกแบบต่อเนื่อง โดยเน้น
ความลงตัว แต่ยังต้องคงแนวเส้นสายบอันโฉบเฉี่ยวเอาไว้ ซึ่งเป็นการยาก หากมองจากในภาพ
อาจดูเหมือนไม่สวย แต่ถ้ามองจากรถคันจริง จะดูลงตัวกว่ากันเยอะมาก

ภายในห้องโดยสารของ Mazda 2 Sedan เลือตกแต่งในโทนสีเบจ เพื่อเพิ่มความโปร่งสบาย
ไม่อึดอัด มีการออกแบบให้เบาะนั่งด้านหลังกว้างขวาง สะดวกสบายเหนือกว่ารถซีดานทั่วๆ ไป
และสามารถเลือกปรับพับเบาะได้ ในอัตราส่วน 60:40 เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเก็บสิ่งของขนาดใหญ่
เช่นเดียวกับในรุ่น 5 ประตู การเข้าออก ใช้ระบบกุญแจอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry and Start System)
ที่ให้ความสะดวกสบายในการเปิด-ปิด และสตาร์ทรถโดยไม่ใช้กุญแจ วิทยุ CD-MP3 6 แผ่น พร้อม
ช่องเชื่อมอุปกรณ์เสริม AUX สำหรับเชื่อมต่อเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาต่างๆ เข้ากับระบบเครื่องเสียงของรถ

ด้านรายละเอียดวิศวกรรมต่างๆ ยังคงไม่แตกต่างไปจาก Mazda 2 Hatchback แต่อย่างใด โดยขุมพลัง
มีให้ใช้กันเพียงแบบเดียว ในตระกูล MZR เป็นเครื่องยนต์ เป็นรหัสรุ่น ZY บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,498 ซีซี ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.0 x 78.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว S-VT (Sequential Valve Tming) และระบบวาล์วควบคุมการไหลเวียนของไอดี TSCV
(Tumble Swirl Control Value) กำลังสูงสุด 103 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
135 นิวตันเมตร (13.75 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที มีทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ
ตามเดิม รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงออกเทน 91 ขึ้นไป หรือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 และ E20

พวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า EPAS (Electric Power Assistance Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 4.9 เมตร 
ช่วงล่างถูกออกแบบให้ยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นใจและนุ่มนวลระบบความปลอดภัยรอบคันด้วยโครงสร้าง
ตัวถังนิรภัยแบบ TRIPLE H ที่ให้ความแข็งแกร่งทนทานสูง โครงรถผลิตจากเหล็กกล้าชนิดพิเศษ Ultra High
Tensile Steel) ที่น้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง เหนียวทนทานกว่าเหล็กทั่วไป คุณสมบัติรับและส่งถ่ายแรงกระแทกใ
ห้กระจายไปทั่วคัน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารภายใน เสริมด้วยถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า พร้อมระบบเบรก
ABS ทั้ง 4 ล้อ และ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก ทำให้ระยะเบรกสั้นลง ทั้ง 2 อย่างนี้ ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น

ราคาขาย ที่ประกาศแล้วอย่างเป็นทางการ

รุ่น Groove  M/T  เกียร์ธรรมดา  ราคาจำหน่าย 535,000 บาท
รุ่น Groove   A/T  เกียร์อัตโนมัติ  ราคาจำหน่าย 564,000 บาท
รุ่น Spirit S   A/T  เกียร์อัตโนมัติ  ราคาจำหน่าย 615,000 บาท
รุ่น Maxx     A/T  เกียร์อัตโนมัติ   ราคาจำหน่าย 675,000 บาท

คุณสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
กล่าวว่า สำหรับมาสด้า2 ซีดาน ใหม่ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่วางไว้คือ จะแตกต่างจากรุ่นแฮ็ชแบค 5 ประตู
คือจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หรือโตขึ้นกว่าเดิม แต่ยังเป็นคนหนุ่ม-สาว ที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่โดดเด่น
มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และไม่ชอบตามใคร  เป็นกลุ่มนิสิต-นักศึกษา และผู้ที่มีชีวิตหน้าที่การงานที่มั่นคง
เป็นผู้บริหารไฟแรง  หรือผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ มีกิจการส่วนตัว ส่วนการสื่อสารภาพลักษณ์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
อย่างรวดเร็วชัดเจน ซึ่งเรายังคงใช้ “เป้” อารักษ์ อมรศุภศิริ ซึ่งเป็นศิลปิน นักแสดงหนุ่มที่กำลังฮ็อตฮิตที่สุด
ในยุคนี้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งเป้จะมีอีกหนึ่งบุคลิกภาพที่จะสะท้อนตัวตนของมาสด้า2 ซีดาน ใหม่
ได้อย่างชัดเจน และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว โดยถ่ายทอดผ่านทางภาพยนตร์โฆษณา
ความยาว 30 วินาที นอกจากนี้มาสด้ายังโหมโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร สื่อป้าย และสื่อออนไลน์
โดยเน้นสร้างกระแสจากกรุงเทพฯ เป็นหลัก และตามหัวเมืองหลักๆ ในต่างจังหวัด และเตรียมลงพื้นที่
จัดกิจกรรมการตลาดเพื่อเปิดตัวรถอย่างเต็มที่ทั่วประเทศ

รถคันจริง มีให้ทดลองขับกันแล้ว ณ โชว์รูม Mazda ทั่วประเทศ ใครสนใจก็ไปทดลองขับ
และจับจองเป็นเจ้าของกันได้ ณ บัดนาว

————————————-///——————————————–