วันนี้ ตลาดเมืองไทยเริ่มได้ใช้เทคโนโลยี SkyActiv จาก Mazda อย่างเต็มขั้นเหมือนกับตลาดโลกเรียบร้อยแล้ว และอีกไม่
นานนักพวกเราก็จะได้สัมผัส All New Mazda 3 เจเนเรชั่นที่ 3 ที่ติดตั้งเทคโนโลยี SkyActiv ทั้งคันอย่างแน่นอนเช่นกัน
ถึงแม้ตอนนี้ Mazda กำลังประสบความสำเร็จในการบุกเบิกเทคโนโลยี SkyActiv แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พัฒนาเทคโนโลยีของ
ตนเองให้ก้าวล้ำมากยิ่งกว่านี้

แผนการครั้งสำคัญของ Mazda ที่จะทำให้ทุกคนตื่นตะลึงก็คือพวกเขาได้เตรียมพร้อมในการพัฒนาเทคโนโลยี SkyActiv
เจเนเรชั่นที่ 2 โดยให้สัญญาว่าจะต้องประหยัดน้ำมันมากกว่า SkyActiv รุ่นปัจจุบันมากถึง 30% ภายในปี 2020 ซึ่งยุค
นั้นก็จะเริ่มเป็นยุคเทคโนโลยียานยนต์ก้าวล้ำกว่าที่หลายคนคาดคิด

2014 01 06 Mazda

Mitsuo Hitomi ผู้บริหารในส่วนฝ่ายพัฒนาระบบส่งกำลัง เปิดเผยว่า ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินเจเนเรชั่นใหม่
จะเรียกว่า SkyActiv 2 ซึ่งยังคงพัฒนาขึ้นบนรากฐานเครื่องยนต์สันดาปเช่นเคย สาเหตุที่ต้องพัฒนา SkyActiv 2 ก็เพราะ
มาตรฐานการรักษาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานในยุโรปมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ในปี 2020 รถทุกคันจะต้องปล่อย
ไอเสีย CO2 ไม่เกิน 95 กรัมต่อกิโลเมตร และปี 2025 จะต้องปล่อยค่าไอเสีย CO2 ไม่เกิน 65 กรัมต่อกิโลเมตร

จุดเปลี่ยนสำคัญของเครื่องยนต์ SkyActiv 2 คือการปรับกำลังอัดจากเดิมอยู่ที่ 14.0 ต่อ 1 ก็จะเพิ่มเป็น 18.0 ต่อ 1
เพื่อให้มีการเผาไหม้ที่หมดจดยิ่งกว่าจึงส่งผลให้ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น

แรงกดดันสำคัญที่ทำให้ Mazda ต้องเร่งปรับตัวขนานหนักก็เพราะว่าแบรนด์ Mazda เป็นแบรนด์เล็กที่จำเป็นต้องต่อกร
กับคู่แข่งยักษ์ใหญ่กว่า ครั้นจะไปตามกระแส Hybrid กับเขาคงจะยาก Mazda จึงต้องเล่นกลยุทธ์ทดลองพัฒนาสิ่งใหม่
ๆ และสามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันจากการต่อยอดเครื่องยนต์สันดาปภายใน

แต่ใช่ว่า Mazda จะละเลยตัวช่วยระบบไฟฟ้าทั้งหลาย วันนี้ Mazda จึงติดตั้งระบบ idle stop และระบบเก็บพลังงาน
จลน์และระบบ Hybrid บางส่วนที่ขอยืมเทคโนโลยีจาก Toyota มาใช้

Mitsuo Hitomi ยืนยันว่าเทคโนโลยี SkyActiv 2 จะช่วยให้ Mazda ทำรถเข้ากฏเกณฑ์มาตรฐานได้ยาวถึงปี 2025 กัน
เลยทีเดียว

หลักการสำคัญคือการลดความผันผวนของความร้อนในห้องเผาไหม้เพื่อลดการสูญเสียพลังไปกับการระบายอากาศและ
ระบายความร้อนทำให้พละกำลังที่ได้ส่งลงล้อแบบเต็ม ๆ และจะติดตั้งเทคโนโลยี HCCI (homogeneous charge
compression ignition) เทคโนโลยีที่ช่วยบีบอัดอากาศและเชื้อเพลิงภายใต้แรงดันและอุณหภูมิสูงจนจุดระเบิดด้วย
ตัวเองไม่ต้องใช้หัวเทียนซึ่งเป็นหลักการเดียวกับเครื่องยนต์ดีเซล ผลลัพธ์คือการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบและลดก๊าซ
ไนโตรเจนลงอีกด้วย

ส่วนระบบเกียร์ Mazda ยังคงเลือกเกียร์อัตโนมัติทอร์คอนเวอร์เตอร์ดั้งเดิมเพราะมันมีประสิทธิภาพที่ดีพอกับเครื่องยนต์นี้
ได้

นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามองอย่างยิ่งและน่าจะยืนหยัดภายใต้กระแส Hybrid ที่เริ่มมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันในระยะ
กลางนี้

ที่มา : Automotive News