ผู้นำตลาดรถยนต์ระดับหรูของเมืองไทย เตรียมขนสารพัดรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มาอวดโฉม บนเวทีงาน
Bangkok International Motor Show 2011 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23 มีนาคม – 4 เมษายน มากถึง 20 กว่าคัน
ในจำนวนนี้ เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 5 รุ่นรวด แถมยังมีการปรับรูปลักษณ์ของบูธครั้งใหญ่ รวมทั้งยังฉลอง
ครบรอบ 125 ปีของแบรน์ Mercedes-Benz และการถือกำเนิดรถยนต์บนโลก ด้วยการนำรถยนต์ 3 ล้อ
คันแรกในโลกที่สร้างโดย Carl Benz มาอวดโฉมในเมืองไทยอีกครั้งด้วย

รถยนต์รุ่นแรกที่จะเป็นไฮไลต์ของค่ายดาวสามแฉก ในปีนี้ คือการเปิดตัวเวอร์ชันพวงมาลัยขวา ครั้งแรก
ในโลกของ SLK 3rd Generation ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวใน Geneva Motor Show ต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา
สดๆร้อนๆ

SLK เปิดตัวครั้งแรกในปี 1996 ในฐานะการกลับมาของ รถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็ก 190 SL ซึ่งเค
โด่งังในช่วงยุคทศวรรษ 1950 – 1960 หลังจากนั้น ด้วยความนิยม เป็นอย่างดีในตลาดโลกทำให้จนถึง
ตอนนี้ เจเนอเรชันที่ 3 ก็พร้อมออกสู่ตลาดโลก และรวมทั้งเมืองไทยแล้ว

SLK ใหม่มีตัวถังยาว 4,139 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,301 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,430
มิลลิเมตร จุดเด่นของรถรุ่นใหม่ มีทั้งการถอดแบบเส้นสายตัวถัง มาจากรถสปอร์ต SLS AMG รวมทั้ง
ยังเป็นครั้งแรกที่นำหลังคามาให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ ทั้งแบบพื้นฐาน หลังคาแข็งพับได้ Vario Roof สีเดียว
กับตัวถังรถ  หรือเลือกออพชัน หลังา Vario แบบ Panorama Glass roof พร้อมกระจกสีเข้ม หรือหลังคา
แบบใหม่ล่าสุด MAGIC SKY CONTROL สามารถเปลี่ยนสีกระจกได้เพียงการกดปุ่มครั้งเดียว ทำให้
สามารถรับแสงแดดด้านนอกได้แม้อากาศจะหนาวเย็น หรือเมื่อแสงแดดจ้าเกินไป ก็สามารถปรับกระจก
ให้เป็นสีเข้มลง เพื่อป้องกันแสงแดดไม่ให้เข้ามาด้านในตัวรถได้เช่นกัน (ไม่ได้ติดตั้งในรถคันที่แสดง
ในงาน)

และถ้าเมื่อใดที่เปิดประทุน ก็จะมีแผงกันลมด้านหลังแบบใหม่ ระบบ AIRGUIDE เป็นแผ่นพลาสติก
ที่ติดอยู่ทางด้านหลังของโรลบาร์ด้านหลังของตัวรถ ซึ่งสามารถปรับและเลื่อนมาตรงกลางรถยนต์ได้
อย่างสะดวก เมื่อเกิดลมแรง

เครื่องยนต์ ของ SLK350 BlueEFFICIENCY Sport AMG เป็นแบบเบนซิน บล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว
3,498 ซีซี พร้อมหัวฉีดรุ่นใหม่ 306 แรงม้า และแรงบิด 349.8 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/
ชั่วโมง เพียง 5.6 วินาที (ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.) อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 7.1 ลิตร / 100 กิโลเมตร
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 167 กรัม / กิโลเมตร ใช้ระบบกันสะเทือนแบบ Dynamic Handling  โดย
จะปรับการทำงานแบบต่อเนื่องอัตโนมัติ และควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยัง
เพิ่มความแม่นยำด้วยระบบพวงมาลัย Direct-Steer และระบบเบรคแบบ Torque Vectoring Brakes
เพื่อประสิทธิภาพในการหยุดรถเป็นไปได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ในช่วงแรก SLK 350 BlueEFFICIENCY Sports AMG  อันเป็นร่นท็อป จะติดป้ายราคาที่  7,399,000 บาท    
ถ้าคิดว่าสูงไปหน่อย รอช่วงครึ่งหลังของปี รุ่นเครื่องยนต์ที่เล็กกว่านี้ จะตามเข้ามา และค่าตัวก็จะถูกลง
ยิ่งกว่านี้ คาดว่า น่าจะลดลงไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคา SLK รุ่นปัจจุบัน

ส่วนอีกรุ่นหนึ่งที่จะใช้เครื่องยนต์เดียวกันกับ SLK 350 ก็คือ CLS350 BlueEFFICIENCY รถยนต์นั่ง
ขนาดกลาง ที่มาพร้อมรูปโฉมแบบ Sedan กึ่ง Coupe 4 ประตู ด้วยการตอบรับจากตาดทั่วโลกมากถึง
170,000 คัน นับตั้งแต่เผยโฉมครั้งแรกเมื่อปี 2003 และออกสู่ตลาดครั้งแรก เมื่อปี 2004 ทำให้ Daimler AG
ตัดสินใจ พัฒนาเจเนอเรชันที่ 2 ออกสู่ตลาดอย่างที่เห็นอยู่นี้

The new CLS 350 รถยนต์คูเป้สี่ประตูโฉมใหม่ที่ได้รับการออกแบบทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน
ใหม่หมดจดของรุ่นที่สอง ด้านหน้าได้รับการออกแบบพิเศษให้ปราดเปรียวขึ้น พร้อมกระจังหน้ารูปตัว
V-shaped ลายเส้นนูนโค้งเว้าด้านข้างมีมิติและสวยสะดุดตาเน้นย้ำความปราดเปรียวเด่นชัดมากขึ้น ด้าน
ท้ายโค้งมนให้ความสปอร์ต พร้อมไฟท้ายแบบ LED ประสิทธิภาพสูง

CLS ใหม่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3,498 ซีซี บล็อกเดียวกัน กับ SLK 350 ใหม่
กำลังสูงสุด 225 กิโลวัตต์ / 306 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แต่เพิ่มแรงบิดสูงสุดเป็น 370 นิวตันเมตร ที่
3,500 -5,250 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 6.1 วินาที และความเร็วสูงสุด
250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่ารุ่นก่อนถึง 25% ทั้งจากการออกแบบตัวถังลู่ลมและ
น้ำหนักเบา เพื่อประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ใส่เทคโนโลยี BlueEFFICIENCY เข้าไป นอกจากนี้
CLS ใหม่ ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Mercees-Benz ที่ใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุทำประตูแทนเหล็ก ซึ่ง
ทำให้มีน้ำหนักเบาขึ้นถึงกว่า 24 กิโลกรัม นอกจากนั้นอะลูมิเนียมยังถูกใช้เป็นวัสดุสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ
เช่น กระโปรงหน้า สปอยเลอร์หน้า กระโปรงหลัง ชั้นวางของ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพื่อความเบาของ
น้ำหนักรถโดยรวมอีกด้วย การออกแบบอย่างชาญฉลาดทำให้ CLS รุ่นใหม่กลับมีความลู่ลมที่ดีกว่ารุ่นก่อน
ถึง 13 % โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Cd) เพียง 0.26  เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังใช้ระบบพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า Electromechanic
เพื่อการควบคุมแม่นยำอีกระดับ ระบบกันสะเทือนปรับปรุงมาจกา E-Class เพื่อให้คล่องแคล่ว แม่นยำ
และเกาะถนนดี ผู้ขับขี่สามารถบังคับรถได้อย่างใจนึก พร้อมโปรแกรมการควบคุมรถให้เลือกมากมาย
เพื่อความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ทุกช่วงเวลา

ระบบกันสะเทือนหน้าหน้าของ CLS รุ่นใหม่ แบบทรีลิงค์ (three-link) ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถรุ่นนี้
พร้อมระบบกันสะเทือนหลัง แบบมัลติลิงค์ที่ปรับให้เข้ากับตำแหน่งล้อของ CLS รุ่นใหม่นี้โดยเฉพาะ ทำงาน
ร่วมกับพวงมาลัยไฟฟ้าทำให้การบังคับรถแม่นยำมากขึ้น

ราคาขายยงไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยการเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ไม่ม
ซอกแซก จึงคาดว่า ค่าตัวน่าจะแตะเลยเลข 8 ล้านกว่าบาทไปพอสมควร แน่นอนว่า คงต้องรอรุ่นเครื่องยนต์
ความจุกระบอกสูบต่ำกว่านี้ จึงจะมีค่าตัวที่ถูกยั่วใจเศรษฐีไทย ซึ่งก็คงต้องรอหลังจากนี้อีกไม่นานนัก

ส่วนคันต่อไปนั้น คือ CL500 New Generation ที่เพิ่งเปิดตัวไป เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตามติดมาด้วย
G55 AMG เวอร์ชันแรงสุดกู่ ของสุดยอดรถยนต์ตรวจการพันธ์แท้ ที่ท้าทายทุกสภาพเส้นทางอย่างแท้จริง
เมื่อ Mercedes-AMG นำรุ่นนี้มาโมดิฟายเป็น G 55 AMG จึงให้พละกำลังพร้อมความแรงระดับ AMG ที่
ดุดันขึ้นแต่ยังแฝงรูปลักษณ์สไตล์คลาสสิก ด้วยเครื่องยนต์ V8 DOHC 32 วาล์ว 5.5 ลิตร พร้อม Supercharge
แรงสะใจถึง 373 กิโลวัตต์/ 507 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุดที่ 700 นิวตันเมตร มี อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใน 5.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 210 กิโ,เมตร/ชั่วโมง นอกจากนี้ยังเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัย
ต่างๆ ครบครัน

และท้ายสุดคือ รถตู้ Vito Monirchange รุ่นใหม่ล่าสุด โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์ภายในและภายนอก ตอบสนอง
การใช้งานได้อย่างหลากหลายและลงตัว ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล แถวเรียง 4 สูบ 2,148 ซีซี ขุมพลังTurbo Intercooler
110 กิโลวัตต์/ 150 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุดที่ 330 นิวตันเมตรที่ 1,800 – 2,400 รอบ/นาที อัตราเร่ง
จาก 0 – 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 12.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง. อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย
เพียง 8.1 ลิตร / 100 กิโลเมตร พรั่งพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยตามมาตรฐานเมอร์เซเดส-เบนซ์

นอกจากนี้ยังมี S-Class รุ่น S 300 L และ S 350 CDI BlueEFFICIENCY L รวมถึง Niche models อาทิรุ่น
E 250 CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE Estate, E 250CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE
Cabriolet, E 250CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE Coupe, R 300 CDI 4MATIC Executive with
Panoramic glass sunroof และ ML 300 CDI BlueEFFICIENCY Premium Edition  

ไม่เพียงแต่สุดยอดยนตรกรรมใหม่ล่าสุดที่จะได้ชมพร้อมกันครั้งแรกในงานนี้เท่านั้น แต่ในฐานะผู้นำแห่ง
นวัตกรรมยานยนต์ที่ทุกๆ ปีจะมีผู้ชมเฝ้าติดตามการแสดงใหม่ๆ จาก Mercees-Benz ด้วยเช่นกัน เพื่อสร้าง
สีสันและดึงดูดความสนใจจากทั้งสื่อมวลชนและผู้เข้าชมงาน สำหรับในปีนี้ถือเป็นปีพิเศษฉลอง 125 ปีแห่ง
นวัตกรรม Mercedes-Benz การจัดแสดงโชว์ภายในบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์จะโดดเด่นเป็นพิเศษอีกครั้ง และ
ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเสมือนจริง Augmented Reality หรือ AR  4 มิติ
มาใช้ในการแสดงโชว์ชุดพิเศษ “The world without an innovator” เพื่อถ่ายทอดตำนานแห่งความสำเร็จแห่ง
นวัตกรรมยานยนต์ ในฐานะผู้บุกเบิกโลกแห่งยนตรกรรม และความเป็นผู้นำเทคโนโลยีชั้นนำของโลกไว้
อย่างตระการตา และประทับใจผู้ชมมากที่สุด

ไปดูของจริง กันได้ในงาน Bangkok International Motor Show 25 มีนาคม – 4 เมษายน นี้ ที่ Challenger Hall
IMPACT เมืองทองธานี

—————————————-///————————————–