“คนบ่นไม่ได้ซื้อ คนซื้อไม่ได้บ่น” ประโยคนี้น่าจะตรงกับของคนนอกผู้ดูอย่างห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ หลังเปิดตัวรถอีโคคาร์คันแรกที่ถือว่าเป็น Talk Of The Town ในประเทศไทยไปแล้ว 2 สัปดาห์ว่ามันสมควรจะมีชะตากรรมเช่นไร จะสุข ทุกข์ หรือเศร้าเสียใจไปกับความล้มเหลวของมันดี? เพราะสองเสียงกองเชียร์ และกองแช่งมีพอ ๆ กันทั้งคู่

ทันทีที่เปิดตัว Nissan March ในวันที่ 12 มีนาคม 2010 กระแสชื่นชมในอินเตอร์เน็ตที่หลาย ๆ คนที่เคยมีกลับกลายเป็นกระแสผิดหวังค่อนข้างมากจากราคาที่ดู”แพง”กว่าที่หลายคนตั้งใจไว้ หลายคนเฝ้ารอติดตามและเสพข่าวสารอย่างต่อเนื่องก่อนรถจะถึงเวลาประกอบเสียอีก และยิ่งยุคอินเตอร์เน็ตที่มีข้อมูลเข้าถึงได้ง่ายมาก ทำให้มีการตั้งความหวังด้านราคากันเกิดขึ้นว่าน่าจะมีราคาที่ต่ำ เพราะสิทธิภาษีอีโคคาร์ 17% น่าจะทำให้รถถูกกว่าตลาดรถ 1.5 ลิตรที่เสียภาษี 25% มาก นี่ก็เป็นฉนวนของความผิดหวังในหลาย ๆ ฝ่าย

 
 
 

ประเด็นสำคัญที่มีการถกเถียงกันคือราคา Nissan March รุ่นท๊อปที่มีราคา 537,000 บาท ทำให้หลายคนไม่อาจรับราคานี้เพราะหลายคนนำไปเปรียบเทียบกับรถขนาด 1.5 ลิตรรุ่นล่างสุดเกียร์ธรรมดาซึ่งหลายคนที่คาดหวังราคาต่ำกว่านี้ก็ไม่แปรพักตร์รถ 1.5 ลิตรที่พวกเขาหมายปอง แต่พวกเขาไม่ได้เปรียบเทียบ Nissan March รุ่นท๊อปกับรถขนาด 1.5 ลิตรรุ่นท๊อปแต่อย่างใด การเปรียบเทียบครั้งนี้อาจจะดูไม่ยุติธรรม แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าในแนวทางของลูกค้าเป็นหลัก (ผู้เขียนลองนึกเหตุการณ์ว่าถ้ารุ่นท๊อปราคา 5 แสนถ้วนหรือ 5 แสนนิด  ๆ เหตุการณ์น่าเป็นตรงกันข้าม)

เพียงแต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้รุนแรงเหมือนกรณี Nissan Tiida เปิดตัวในวันที่ 30 มิถุนายน 2006 ที่ผิดพลาดทั้งตำแหน่งการตลาดและราคาในสายตาของลูกค้าแทบทั้งประเทศจนยากที่จะลืมเลือนได้ว่าครั้งหนึ่ง Nissan ไม่เคยนึกถึงความต้องการลูกค้าคนไทยและดีลเลอร์อย่างแท้จริง และปัจจุบันก็ยังคงเป็นอยู่  แม้พยายามจะปรับปรุงขึ้นในหลาย ๆ ส่วนก็ตาม

แต่กลายเป็นว่าผู้ที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอีโคคาร์ตั้งแต่ต้น หรือกลุ่มลูกค้าทั่วไป หรือกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ต หรือกลุ่มลูกค้าที่ได้เห็นและสัมผัสรถคันจริง กลับกลายเป็นกระแสหลักของ Nissan March อีโคคาร์คันแรกแทนกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถรับราคารถคันนี้ได้

นั่นเป็นเพราะส่วนต่างภาษีเพียงแค่ 8% ไม่อาจจะตั้งราคาได้ต่ำกว่ารถ 1.5 ลิตร ได้มากกว่า 2 แสนบาทได้เลย ลูกค้าหลายคนก็เข้าใจว่ารถไม่สามารถทำราคาได้ต่ำมากนักแต่อย่างน้อยก็ต่ำกว่ารถขนาด 1.5 ลิตรอยู่ดี และเท่าที่สัมผัสในงานเปิดตัวรถรุ่นนี้ในศูนย์การค้าชื่อดังย่านราชดำริก็พบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของรถคันนี้กลับมองว่า Nissan March มีราคาถูกดี(ในความคิดของลูกค้าบางกลุ่ม ซึ่งบางคนก็อาจจะคิดไม่เหมือนกัน) เมื่อเทียบกับรถขนาด 1.5 ลิตร

และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Nissan March สามารถพลิกกระแสบวกกลับขึ้นมาได้ก็เพราะลูกค้าได้เห็นรถคันจริงก็พบว่า Nissan March มิติตัวถังที่มีขนาดเท่ากับรถขนาด 1.5 ลิตรในท้องตลาด ซึ่งลูกค้าบางกลุ่มคิดเสมอมาว่าอีโคคาร์จะต้องเป็นรถที่มีขนาดเท่ากับพวกเคคาร์ในญี่ปุ่น หรือขนาดเดียวกับ Daihatsu Mira รถขายดีในสมัยก่อน ในเมื่อขนาดตัวถังไม่เล็กอย่างที่คิด ขณะที่สมรรถนะก็ไม่ได้ย่ำแย่มากนัก ก็ทำให้ลูกค้าหลายคนยอมรับกันได้

บรรทัดนี้ผมคงจะสรุปไว้แล้วล่ะครับว่ารถอีโคคาร์ ที่เตรียมทำตลาดต่อจาก Nissan นับต่อจากนี้ไปคงไม่อาจทำราคาได้ต่ำกว่านี้มากนัก หากรถที่เตรียมทำตลาดมีมาตรฐานพอ ๆ กับ Nissan March หรือดีกว่า เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถลดต้นทุนในระดับเดียวกับรถ Tata Nano ไปเลย

และผมก็ไม่อาจจะสรุปได้อีโคคาร์ในปัจจุบันจะเป็นรถราคาถูกหรือรถราคาแพง ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของผู้อ่านและลูกค้าแล้วกันครับ

 
 

เอาล่ะกองเชียร์และกองแช่ง Nissan March คงอยากจะรู้แล้วใช่ไหมครับว่าจะมีชะตากรรมเช่นไร อันที่จริงอ่านดูหัวข้อแล้วกองแช่งน่าจะมีผิดหวังเล็กน้อยเพราะทางพีอาร์ Nissan Motor Thailand ส่งข่าวสายฟ้าแลบ (แอบแปลกใจ) แจ้งยอดจอง Nissan March หลังเปิดตัว 2 สัปดาห์ก็กวาดยอดจองไปถึง 5,000 กว่าคันซึ่งถือว่าเกินกว่าเป้าหมายประจำเดือนและเป้าหมายตั้งต้นเอาไว้ นั่นก็แสดงว่ากลุ่มลูกค้าที่คิดจะซื้ออีโคคาร์ในเมืองไทยนั้นมีมากมายเช่นกัน

และถือเป็นยอดจองที่แรงใช้ได้สำหรับรถยนต์ยุคปัจจุบันเมื่อเทียบกับการเปิดตัว

Honda Jazz ในปี 2008 ที่มียอดจอง 5,000 คันภายใน 1เดือนกับอีก 2 สัปดาห์
Honda City เปิดตัวปี 2008 ที่กวาดยอดจอง 8,000 คันใน 1 เดือน
และ Mazda 2 Hatchback ที่เพิ่งเปิดตัวไปในเดือนพฤศจิกายน 2009 ที่กวาดยอดจอง 2,000 คันภายใน 1 สัปดาห์

คุณประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส การตลาดและขาย Nissan Motor Thailand ได้ให้ความเห็นว่า “การเปิดตัว Nissan March ใหม่ ประสบผลสำเร็จเกินความคาดหมาย March ใหม่ได้ช่วยให้Nissan ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมากในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากเปิดตัว รถรุ่นนี้ได้รับการตอบรับอย่างมาก และโดดเด่นจากรถระดับเดียวกันอย่างชัดเจนทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพ”

โดย Nissan อ้างว่าตนเองเตรียมพร้อมทุกด้านทั้งในการวางแผนการตลาด การปรับปรุงการดำเนินงานและภาพลักษณ์ใหม่ของโชว์รูม ผู้จำหน่าย รวมไปถึงด้านพนักงานขายที่ได้รับการอบรมมาเป็นพิเศษ ประกอบกับแผนการที่จะดำเนินการส่งมอบรถยนต์นิสสันมาร์ชใหม่ให้แก่ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และตรงต่อเวลา แต่ยังคง รักษาระดับมาตรฐานคุณภาพของ Nissan March ทุกคัน

ถึงแม้จะมีหลักรับประกันว่ามีการเตรียมพร้อมหมดแล้วแต่สิ่งที่เห็นในขณะนี้คือ ความไม่พร้อม โดยเฉพาะความไม่พร้อมในด้านการผลิตซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก ถ้าเทียบกับสมัยก่อน Nissan มักจะมีปัญหาด้านการตลาดหรือปัญหาด้านมาตรฐานงานบริการเสียกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย

เหตุของเรื่องก็คือ Nissan Motor Thailand ต้องการให้ทางบริษัทแม่เร่งเปิดตัว Nissan March เจเนเรชั่นที่ 4 วางจำหน่ายครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยเพื่อให้รถยนต์รุ่นนี้กอบกู้แบรนด์ Nissan ให้กลับมาอยู่ในหัวจิตหัวใจคนไทยอีกครั้งถึงโดนว่าก็ต้องยอม นั่นหมายความว่า Nissan จะต้องเปิดตัวก่อนกำหนดการณ์จริงถึง 3 เดือน เพราะตามแผนกำหนด Jatco ซัพพลายเออร์เกียร์จะต้องส่งเกียร์ CVT ลูกใหม่ให้กับโรงงานที่ไทย อินเดีย และจีน ภายในพฤษภาคมนี้เพื่อประกอบส่งมอบในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ทำให้ลูกค้าชาวไทยต้องรอรับรถเกียร์ CVT นานถึงเดือนมิถุนายน

 
 

ประการที่สองกำลังการผลิตโรงงานที่ กม.22 ไม่อาจจะป้อนความต้องการได้ทั้งในและนอกประเทศได้ในระยะสั้น ทั้ง ๆ ที่โครงการรถยนต์ V-Platform ทุกโรงงานจะต้องประกอบถึงปีละ 2 แสนคัน และศักยภาพโรงงาน กม.22 ที่มีกำลังผลิต 2 แสนคันต่อปี แค่ผลิตรถ Nissan ทุกรุ่นรวม March รุ่นใหม่ไปแล้วก็แทบเต็มสายพานผลิต 2 แสนคันต่อปีแล้ว ดังนั้นหากจะผลิตรถยนต์รุ่นต่อไปในปีหน้าก็ไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าจะตอบสนองความต้องการได้ทัน ซึ่งมีทางเดียวคือบริษัทแม่ต้องลงทุนขยายโรงงานเพิ่มนั่นเอง นั่นก็หมายความว่า Nissan กำลังจะฉายหนังซ้ำเรื่องเดียวกับ Mazda ในเรื่องของกำลังการผลิตที่โรงงานในฟิลิปปินส์ไม่สามารถผลิต Mazda 3 เพียงพอต่อความต้องการทั่วอาเซียนเอาเสียเลยจนต้องมาสร้างโรงงานใหม่ในไทย

ดังนั้นถ้าปีนี้จะได้ยอดถึง 2 หมื่นอาจไม่แปลก แต่ลูกค้าจะต้องคอยกันนานจนอาจจะลืมไปว่าเคยจองกันอยู่ และหนำซ้ำยังได้ยินว่าข่าวว่าญี่ปุ่นขอ Volume รถจากโรงงานในไทยอีกด้วย ถ้าคิดจะขยับขยายโรงงานหรือลงทุนเพิ่มเสียหน่อยในอนาคตก็คงไม่แปลกใจนัก

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่ยอดจอง Nissan March ก็พอจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตลาดรถอีโคคาร์ในอนาคตน่าจะสดใสตามใจฝันของรัฐบาลยุคขิงแก่และยุคพ่อรูปหล่อได้นะครับ