เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
หลังจากที่ผมได้ไปพบปะสังสรรค์กับบรรดาผองเพื่อนในคลับรถเจ้าประจำของตัวเองเสร็จแล้ว ก็มีธุระต้องนัดเจอกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีลิ้นที่ค่อนข้างจะเรื่องมากอยู่ โดยมีโจทย์ว่าจะไปหาอะไรที่ไม่แหกกระเป๋า แต่”ไฮ”กว่าปกติเล็กน้อย
พอดีมีเพื่อนส่งเสียงตามสายมาว่า อยากลองกินร้านอิตาเลี่ยนเล็กๆร้านนึง ไม่ใกล้ไม่ไกล แถวนวมินทร์เลียบทางด่วนนี่ล่ะครับ
ซึ่ง เผอิญก็เป็นร้านที่ผมเคยพาคุณแม่ไปแวะหาของกินเมื่อวันแม่ที่ผ่านมานี่เอง และแม่ผมเค้าก็คิดว่าร้านนี้อร่อยใช้ได้ มีของเด็ดหลายอย่าง ก็เลยคอนเฟิร์มกับเพื่อนให้ไปร้านนี้ซะเลย
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/p2007_08_25-27_%20063.jpg)
ปาป้าปอนด์
ชื่อร้านอาจจะฟังดูแปลกๆนะครับ
แต่ เจ้าของร้านคือตาปอนด์ ชยพล หลีระพันธ์นั้น ก็เคยเป็นเพื่อนร่วมคลาสผมสมัยซัมเมอร์ที่ออสเตรเลียมาก่อน และน้องสาวของปอนด์ก็เป็นรุ่นน้องอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนสมัยเป็นนักศึกษา ทั้งสองคนทำอาหารเก่งทั้งนั้น
เหมือนคุณแม่มัลลิการ์ ที่เปิดแฟรนไชส์เย็นตาโฟมัลลิการ์ กับร้าน มล.เติบสมัยก่อนล่ะครับ คนรุ่นลูก มาทำกิจการเป็นร้านอาหารอิตาเลียน ตั้งอยู่ในรั้วของสถานที่ที่ชื่อ”คุ้มสตางค์” อยู่แถบสุคนธสวัสดิ์ มาจากเกษตร ตรงมาตลอดจนถึงแยกสุดท้ายก่อนถึง Immortal Boat กับ Yes Indeed ก็เลี้ยวซ้าย ตรงเข้าไปไม่นานร้านจะอยู่ขวามือ ตรงข้ามปั๊มบางจาก
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp1.jpg)
ที่นี่เป็นร้านแบบฟรีสไตล์ขนาดเล็กๆใช้ ระบบสั่งที่เคาน์เตอร์ จ่ายตังแล้วไปนั่งรอ ตัวร้านตกแต่งได้ดี ช่วงหลังทุ่มนึงไปคนจะน้อยมาก(เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาคุ้มสตางค์นั้นจะไปร้าน เย็นตาโฟมัลลิการ์กันหมด) และ
ทำให้บริเวณระเบียงร้านที่เป็นเก้าอี้ขาว นั้น โล่งสนิท บรรยากาศจะไม่เหมือนไปกินข้าวตามร้านอาหาร แต่จะเหมือนไปกินข้าวเย็นที่บ้านคนรวยๆมากกว่า
เมนูเด็ดของร้านที่ขึ้นชื่อ ในกรณีที่นึกอะไรไม่ออกนะครับ ก็ลองเมนูเหล่านี้ดู
– พิซซ่าหน้าคั่วกลิ้ง (เผ็ดมาก)
– พิซซ่าหน้าพาร์มาแฮม
– สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม
สำหรับเครื่องดื่ม จะมีพวกเป๊บซี่ และอิตาเลี่ยนโซดา (แนะนำให้ลองอิตาเลียนโซดาสับปะรด ชื่นใจดี)
ข้อเสียก็คือรู้สึกว่าร้านเค้าจะไม่มีเบียร์ขายนะ แต่ไม่รู้ว่าร้านเย็นตาโฟมัลลิการ์จะมีขายหรือเปล่า อาจจะขอให้เค้ายกมาให้ก็ได้ถ้าเขามีให้นะครับ
เอ้าถ้าคิดไม่ออกว่าจะจัด Set เมนูกันยังไง ก็ลองมาดูตัวอย่างที่ผมและเพื่อนสั่งกันดีกว่านะครับ
เรียกน้ำย่อย
เฟรนช์ฟรายส์ขนาดค่อนข้างใหญ่ ที่เป็นมันฝรั่งรสชาติกำลังดี แท่งมันๆ ทอดแล้วไม่เหี่ยวก่อนวัยอันควร จิ้มซอสได้ทั้ง
ชีสซอสมันๆ และชิลลี่ซอสถั่วแดงใหญ่ เปร้ยวนิด เผ็ดหน่อย
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp6e.jpg)
และสำหรับคนที่ชอบทานผัก แนะนำให้ลอง ซีซาร์สลัด ใส่ไก่
น้ำสลัดซีซาร์รสชาติโอเคเลย แต่ถ้าใครชอบน้ำสลัดมันๆปากและเบคอนชิ้นใหญ่ๆ อันนี้ไม่ใช่สไตล์นั้น ถ้าชอบแบบนั้น ฟู้ดเซลลาร์เซ็นทรัลลาดพร้าวจะเหมาะกว่าครับ
ผักเคี้ยว ง่าย ไม่ได้แช่ฟอร์มาลีนมา จานใหญ่โต ผู้ใหญ่ 5 คน โซ้ยกัน 5นาทีหมดจาน จนต้องมีเบิ้ลอีกจานในรอบสอง (รอบหลังนี่พ่อครัวเพิ่มผักกะไก่ให้ด้วยแหละ)
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp5.jpg)
สปาเก็ตตี้คาร์บูเรเตอร์ เอ้ย! คาร์โบนาร่า
ของธรรมดาๆหากินที่ไหนก็ได้ สำหรับร้านนี้ ขอบอกว่ารสชาติยังไม่ถึงกับกินแล้วขึ้นสวรรค์ได้เลย
ค่อนข้างจะธรรมดา เพราะธรรมชาติของคาร์โบนาร่าไม่ได้มีรสที่จัดจ้านนัก แต่มีความละมุนของครีมซอส
และการลวกเส้นที่พอดี ไม่แข็ง และไม่อ่อนเกินไป ให้ 8เต็ม10
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp8.jpg)
ถ้าหากว่าคาร์โบนาร่ารสชาติจืดชืดเกินไป ก็ลองฟิวชั่นยอดนิยมอย่างสปาเก็ตตี้ปลาเค็มเป็นไงครับ
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp3.jpg)
ถ้าเลือกได้จานเดียวระหว่าง คาร์โบนาร่ากลับปลาเค็ม แนะนำให้สั่งสปาเก็ตตี้ปลาเค็มดีกว่า เพราะรสชาติมีความเค็มอยู่ในตัว
ผสานกับความมันพอดีๆของน้ำมันมะกอก และกลิ่นเครื่องเทศหอมที่น่าเย้ายวนใจมากกว่าคาร์โบนาร่า
ชิ้นปลาเค็มฉีกมาไม่ใหญ่นัก ต้องตักให้พอดีคำกับเส้นพาสต้า และใบกระเพรา รวมเป็นคำเดียวแล้วจับยัดเข้าปากไปเลย รสชาติที่ได้จะถูกคอกับทั้งผู้นิยมอาหารไทย และผู้ที่คลั่งไคล้อาหารฝรั่ง แต่ฝรั่งตัวจริงอาจจะยังเสียวๆอยู่ที่จะกินนะครับ
เสียอย่างเดียว ปริมาณมันน้อยไปหน่อย ถ้ากินคนเดียวก็โอเค แต่กินห้าคน มันหมดเร็วมาก ได้กินกันคนละจึ้กสองจึ้กก็เกลี้ยงละ
ลาซันญ่าผักโขม
ครีมซอสที่ใช้ราดจะเกือบเหมือนกับของสปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่าครับ น่าจะเป็นเมนูโปรดของคนชอบอาหารสไตล์จืด แต่หอมมันกลิ่นออกเนยๆ
จานนี้ไม่รู้จะวิจารณ์ยังไง เพราะพอลงถึงโต๊ะปั๊บ ผมจิกมาได้แค่เสี้ยวเดียว นอกนั้นหมีตัวอื่นๆฟาดไปซะเยอะ สรุปได้แค่ว่ารสชาติไม่แย่กว่าที่ไหนที่ผมเคยกินมาละกัน แต่ไม่กล้าให้คะแนนเยอะ เพราะกินไปแค่คำเดียว
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp4.jpg)
เบอร์เกอร์เนื้อเซอร์ลอยน์ เพิ่มชีส..อันนี้ของโปรดผมเลยครับ
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp9.jpg)
สำหรับจานนี้ขอตินิดนึงตรงที่ไซส์ของเบอร์เกอร์นั้นเล็กมาก ในราคานี้ถ้าไปซื้อMcdonaldกินคงได้ชีสเบอร์เกอร์สัก3อันเห็นจะได้แถมบางวันเนื้อก้อนเล็ก บางวันเนื้อก้อนใหญ่ อยากให้มีมาตรฐานเดียวกันคือทำให้มันใหญ่ให้หมดเลย!
เพราะอะไรน่ะหรือ ก็ตัวเนื้อวัวที่ใช้ทำเบอร์เกอร์น่ะแหละตัวการ ถ้าใครเคยกินเบอร์เกอร์ชนิดทำกินเองหลังบ้านฝรั่งจะเข้าใจความต่างระหว่าง เนื้อบด ที่เอามาอัดเป็นแผ่น กับเนื้อแผ่น ที่ได้จากการเอาแป้งมาใส่วิญญาณเนื้อลงไป รสชาติเวลากัดแล้วเคี้ยว จะมีความร่วนของเนื้อมากกว่าและเวลาเคี้ยวหนักๆเข้า น้ำเกรวี่ในเนื้อจะแทรกซึมออกมา หวานปากอร่อยลิ้นโดยไม่ต้องใช้แม็กกี้กระแทกปากเพิ่มรส
จานนี้ชอบ แต่อยากให้ชิ้นเนื้อโตกว่านี้สัก20% จะเป็นพระคุณมากๆ
ส่วนจานหลักอีกจานที่ทุกคนบนโต๊ะไม่มีใครปฏิเสธก็คือ พิซซ่าพาร์มาแฮม
พิซซ่าที่นี่จะไม่มีหนาหนุ่ม บางกรอบ ขอบชีส เพราะมันมีแค่แบบเดียว คือแป้งบางสูตรดั้งเดิมที่ตรงขอบจะกรอบเหมือนขนมปังกรอบ แป้งตรงกลางด้านบนนุ่ม และด้านล่างกรอบ จะไม่หนักและอิ่มท้องเท่าไหร่ แต่ก็กินแล้วท้องไม่อืดเพราะแป้งสุกนอกถึงใน โปะด้วยพาร์มาแฮม ซึ่งไม่ใช่บางกอกแฮมตราหมูตัวเดียว หรือแฮมในแซนด์วิช แต่เป็นแฮมที่มีเนื้อนุ่มคล้ายเนื้อปลา ออกรสเค็มฝานบางๆแล้วจัดเรียงไว้บนถาดแป้งพิซซ่า
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/p2007_08_25-27_%20022.jpg)
อันนี้อร่อยครับ มา2ครั้ง ก็สั่ง2ครั้ง และไปครั้งหน้าก็จะสั่ง แฮมเค้า เค็มได้ใจและมีกลิ่นหอมรมควันกำลังดี น่าลอง
จานหลังอีกจานที่เป็นพิซซ่าเหมือนกัน และเป็นตระกูลรมควันเช่นกัน
แต่เปลี่ยนจากพาร์ม่าแฮมเป็นแซมม่อนรมควันแทน
สำหรับแซมม่อนพิซซ่านี้ เวลากิน จะมีรสชาติเปรี้ยวที่ได้มาจากลูกแคเปอร์ที่โรยหน้าเอาไว้
เพื่อช่วยเสริมกับรสเค็มของเนื้อปลา ในแง่ของรสชาตินั้นจะออกครบหลายรสกว่าพาร์ม่าแฮม แต่เนื้อปลาบนหน้า
มันค่อนข้างจะบางและน้อยไปหน่อย ทำนองว่ายังไม่ค่อยสะใจโก๋เท่าไหร่ครับผม ถ้าให้เลือกสั่งอย่างเดียว ผมยังชอบพาร์ม่ามากกว่า
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp10.jpg)
ส่วนอันนี้ เป็นจานเด็ดไม่เหมือนใครของทางร้าน และลงหนังสือพิมพ์ไปหลายที่
มันคือ พิซซ่าคั่วกลิ้ง
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/p2007_08_25-27_%20060.jpg)
ฟังดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้ เพราะคั่วกลิ้งเป็นอาหารพื้นเมืองที่เอาซี่โครงหมูอ่อนมาคลุกเครื่องเทศ
และพริกรสจัดแบบไทยๆ แต่มาเจอกับความจืดของแป้งพิซซ่าสไตล์ฝรั่ง จานนี้ไม่ได้ตั้งใจจะสั่งแต่แรก แต่มีคนอยากลอง
เลยจัดมาลองสัก 1 จาน
พอ ลองเข้าปากสักพัก..อุเม่โว้ย จะเผ็ดไปถึงไหนวะ คั่วกลิ้งนี่คือ..คืออะไร คือกินแล้วลงไปกลิ้งกับพื้นเลยหรือเปล่า มันเผ็ดสุดยอดเลยครับรับรองว่าฝรั่งกินแล้วยอมแพ้แน่ๆ ขนาดคนไทยผู้ชอบอาหารรสจัด5คนกินกันยังบอกว่าเผ็ดเลย
อร่อยไหม ..อร่อยครับ ถ้าเผ็ดน้อยลงกว่านี้อาจจะพูดว่าอร่อยได้เต็มปาก เพราะกว่าครึ่งของความอร่อยโดนความเผ็ดกลบหมด
รส ชาติประมาณไหน..ไม่แปลกจนฝืนคอครับ นึกรสชาติของไส้อั่วแบบเผ็ดมากๆ แล้วกินกับขนมปังแครกเกอร์เป็นยังไง อันนี้ดีกว่านั้น ลงตัวแบบเผ็ดๆ (น้ำตาไหลพราก)
จริงๆแล้วรายการอาหารคาวที่สั่ง ยังมีปีกไก่บาร์บีคิวอีกอย่างนึง จัดมาจานเล็กๆ 4 ชิ้น ขนาดเท่าปีกไก่ของเดอะ พิซซ่า
รสชาติเป็นยังไง ไม่รู้ครับ ไม่มีโอกาสได้ชิม
และรายการของหวาน
ตบท้ายด้วย เดวิลเค้กครับ
![](http://www.headlightmag.com/main/images/stories/pan01/Interview_Z_Man/ppp13.jpg)
มันคือเค้กปิศาจ ..ปิศาจแคลอรี่ครับ เพราะระหว่างชั้นของเนื้อเค้กฟูฟ่องนั้นเป็นที่อยู่ของชอคโกแล็ตเหลวข้น ที่พอแข็งตัวแล้ว
จะแทรกตัวหนาๆอยู่ระหว่างชั้นเค้ก ขนาดคนไม่ชอบกินเค้ก ยังห้ามใจไม่อยู่ต้องลองสักคำ
ตอน แรกผมให้คนเสิร์ฟยกมา2ชิ้น ทุกคนบนโต๊ะเห็นความหนาของเค้ก 1ชิ้นที่ประกอบด้วยชั้นเค้กและชอคโกแล็ต12ชั้นแล้ว ก็บอกกันว่างานนี้มีห่อกลับบ้าน
10นาทีผ่านไป 2ชิ้นนั่นก็หมด ไม่เหลือกลับบ้านแม้แต่นิดเดียว
รสชาติของเค้กปิศาจนี่..อธิบายไม่ได้นอกจากจะบอกแค่ว่า มันเป็นโค-ตะ-ระ เค้กชอคโกแล็ตที่จริงจังและจริงใจมาก
ก็คือคุณรู้ว่ามันเป็นชอคโกแล็ต ชอคโกแล็ตดีๆรสชาติยังไง คุณคาดหวังไว้ มันก็จะเป็นเช่นนั้น หรือดีกว่า ในความเห็นส่วนตัวผมเค้กชอคโกแลตที่นี่มีส่วนผสมของชอคโกแลตที่เข้มข้น และให้รสชาติดีที่สุด น่าจะเป็นอันดับต้นๆของประเทศนี้เลยทีเดียวจึงไม่แปลกใจที่นี่จะเป็นของกินที่พาร้านให้มีชื่อเสียงได้
เอาเป็นว่าแม้แต่คุณแม่ของผมซึ่งไม่กิน และไม่ชอบช็อคโกแล็ตเอาเสียเลย พอได้ชิมไปคำนึง อีกสิบนาทีต่อมาก็หายไปครึ่งชิ้นแล้วครับ
และเมื่อถึงเวลาเช็คบิล
หลังจากที่สั่งกันมาทั้งหมด
รวมบิลเสร็จประมาณ 1,500บาทกว่าๆ (ลดแล้ว 10%)
สรุปแล้ว คนละ 300บาท–350บาท ความอิ่มที่ได้อยู่ในระดับกำลังพอดี ถ้ามีคนละ500 สงสัยคงพุงกางกลับบ้าน
ฉะนั้น เราก็ได้ที่กินอีกที่นึงสำหรับการนั่งชิลล์กันในหมู่ 3-5 คน โดยอาจจะไม่มีเบียร์ให้สั่ง
บรรยากาศโดยรวม เงียบ และเป็นส่วนตัวมาก เหมาะกับคู่รักมาเดต หรือเพื่อนมานั่งปรับทุกข์กัน เพราะไม่ต้องตะโกนคุยเลย
อาหารหลายอย่างอร่อย โดยมีบางอย่างที่งั้นๆ และเด็ดที่พิซซ่าพาร์ม่า พิซซ่าคั่วกลิ้ง(เผ็ดสุดๆ) และของหวานเดวิลเค้ก
ดังนั้นจึงเป็น1 ในสถานที่ชิลล์สำหรับวันเสาร์เย็นๆผ่อนคลายสำหรับผมไปโดยปริยาย
ขอเตือนนักชิมไว้อย่างนึงว่าร้านนี้เปิดแต่วัน แต่ปิดหัวค่ำนะครับ การจะเดินทางไปลิ้มลองรสของเขานั้นก็ควรจะไปไม่เกิน 6.30มื้อเย็นจะดีที่สุด เพราะหลังจากนั้นทรัพยากรในครัวอาจมีไม่พอสำหรับอาหารบางประเภทครับ
อยากรู้ว่าอร่อยจริงหรือไม่ คุณก็ต้องลองพาเพื่อนไปชิมดู แต่อย่าพาคนกำลังลดความอ้วนไปกิน ไม่งั้นบาปนี้จะหนายิ่งนัก