นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2006 Toyota Motor Thailand ได้ทำตลาด รถยนต์ Sub-Compact Hatchback
บนพื้นตัวถัง NBC-Platform อย่า Toyota Yaris ในบ้านเรา มานานถึง 6 ปี และวันนี้ น่าจะเป็นโอกาส
สุดท้าย ที่ Toyota จะปรับโฉมกระตุ้นตลาดครั้งใหญ่ ให้กับ น้องสาวคันเล็กของตน กันอีกครั้ง ก่อนที่
จะยุติการทำตลาดกันไป ในอีก 2 ปี ภายใต้สโลแกน My Best Buddy สปอร์ตคู่ใจ ไปไหนไปกัน!

การปรับโฉม Minorchange ในครั้งนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่า การนำชิ้นส่วนตกแต่งภายนอก จาก Yaris
เวอร์ชันญี่ปุ่น รุ่นท็อป (Toyota Vitz RS รุ่นปี 2008) มาตกแต่งเสริมหล่อกันเข้าไป เรียกว่า Toyota Yaris
 RS เกียร์อัตโนมัติ และถือเป็นรุ่นท็อปสำหรับ Yaris เวอร์ชันไทย ในคราวนี้ มากันครบทั้งกันชนหน้า
และกันชนหลัง ใหม่ สไตล์ RS พร้อมแผงทับทิม หรือ Reflector ทั้ง 2 ข้าง กระจังหน้าลายใหม่ ดีไซน์
แบบรังผึ้ง รับกับฝากระโปรงหน้าอย่างลงตัว แปะสัญลักษณ์ รุ่น RS ที่กระจังหน้า บ่งบอกถึงที่มาของ
งานออกแบบ (เฉพาะในรุ่น RS A/T) เปลี่ยนโคมไฟหน้าใหม่ แบบรมดำ เพิ่มความดุดัน (เฉพาะรุ่น
RS A/T) เพิ่มไฟตัดหมอกหน้า ส่องสว่าง เพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ (เฉพาะในรุ่น RS A/T และ G A/T)
ทุกรุ่นเปลี่ยนมาใช้โคมไฟหลังดีไซน์ใหม่ กับไฟแบบ LED และท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ปิดท้ายด้วย ล้ออัลลอยใหม่ ลาย 6 ก้านขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 195/50R 16 (เฉพาะรุ่น RS A/T)

ภายในห้องโดยสาร ถูกตกแต่งเพิ่มเติมเล็กน้อย ตามแต่ละรุ่นย่อยกันไป ทั้งพวงมาลัยพาวเวอร์
ไฟฟ้า (EPS) หุ้มหนัง 3 ก้าน ทรงสปอร์ต พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ที่ชวน
ให้นึกถึงพวงมาลัยของ Toyota Auris กับ Toyota iQ ในเมืองนอกขึ้นมาชะมัด (มีเฉพาะในรุ่น
RS A/T และรุ่น G A/T)

นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่น DVD หน้าจอสัมผัส ขนาด 5.8 นิ้ว พร้อมช่องต่ออุปกรณ์ AUX, USB และ
SD Card (เฉพาะในรุ่น RS A/T และ G A/T) ผ้าเบาะลายสปอร์ตใหม่ (เฉพาะรุ่น RS A/T) ขณะที่
ทุกรุ่นจะมี เบาะนั่งด้านหลังปรับพับแยกส่วน แบบ 60 : 40 ปรับเปลี่ยนพื้นที่โดยสาร เพื่อรองรับ
สัมภาระ ที่บรรจุเข้ามาผ่านทาง พื้นที่อเนกประสงค์เก็บสัมภาระด้านหลัง ปรับเพิ่มความจุของ
อีก 48 ลิตร

ขุมพลังยังคงเป็นเครื่องยนต์ รหัส 1 NZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว VVT-i และหัวฉีด EFI เหมือนเดิม กำลังสูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เบนซิน Octane 91 ได้ และ
รองรับเบนซิน แบบ แก็สโซฮอลล์ E20 ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วย ด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super ECT
แบบ Gate Type ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบ
ทอร์ชั่นบีม โดยรุ่น RS A/T จะติดตั้ง ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต (โช้คอัพ และสปริงปรับแต่ง
ให้แข็งกว่าปกติ เป็นพิเศษ เฉพาะในรุ่น RS A/T)

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย ไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิม
– ติดตั้ง ถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า มาให้ ครบทุกรุ่น (ยกเว้นรุ่น J)
– เข็มขัดนิรภัย ELR แบบ 3 จุด ทุกที่นั่ง พร้อมกลไกดึงกลับ และผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ
   (Pre-tensioner & Force Limiter) ในเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า (มีทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น J)
– เบาะนั่งแบบ WIL Concept ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชนด้านหลัง ลดอาการบาดเจ็บ
   บริเวณต้นคอ และแผ่นหลังตอนบน
– โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA ดูดซับแรงกระแทก แล้วกระจายทั่วทั้งคัน ลดความรุนแรงจากการชน
– ระบบเบรค ABS ที่ทำงานผสานกับระบบ EBD ปรับแรงดันน้ำมันเบรคแบบอิสระ 4 ล้อ แปรผัน
   ตามน้ำหนัก   ที่กดลงแต่ละล้อในขณะนั้นๆ (มีทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น J)
– กุญแจรีโมท Immobilizer ป้องกันกุญแจเลียนแบบ ไม่ให้สามารถสตาร์ทเครื่องได้ โดยระบบจะ
   ตรวจสอบ ID Code ของกุญแจว่าตรงกับที่บันทึกไว้ใน ECU หรือไม่ (มีทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น J)

ส่วนสีตัวถัง คราวนี้ มีให้เลือก ทั้งหมด 6 สี
– Super White II
– Silver Metallic
– Medium Silver Metallic  
– Super Red
– Grey Metallic            (สีใหม่)
– Attitude Black Mica  (สีใหม่)

ราคาขายปลีกของ Toyota Yaris Minorchange ใหม่ มีดังนี้

– รุ่น RS               A/T    เกียร์อัตโนมัติ    ราคา    734,000 บาท
– รุ่น G                 A/T    เกียร์อัตโนมัติ    ราคา    684,000 บาท
– รุ่น E                 A/T    เกียร์อัตโนมัติ    ราคา    644,000 บาท
– รุ่น E                 M/T    เกียร์ธรรมดา     ราคา    609,000 บาท
– รุ่น J                  A/T    เกียร์อัตโนมัติ    ราคา    589,000 บาท
– รุ่น J     มาตรฐาน  A/T    เกียร์อัตโนมัติ    ราคา    579,000 บาท
– รุ่น J     มาตรฐาน  M/T    เกียร์ธรรมดา     ราคา    544,000 บาท

ส่วนรายละเอียดของรุ่น J Grade มาตรฐาน ข้างบนนี้ เป็นรุ่นพื้นฐานรุ่นใหม่ มีอุปกรณ์มาให้เท่าที่
จำเป็น และมุ่งเน้นการฉกชิงลูกค้า จากแบรนด์ทางเลือก ทั้ง Mazda 2 หรือ Ford Fiesta 1.4 ลิตร กับ
รถยนต์ในกลุ่ม CO Car รุ่นท็อป ทั้ง Nissan March, Honda Brio, Suzuki Swift รุ่นท็อป และ Mitsubishi
Mirage รุ่นท็อป ซึ่งแม้ว่า 2 คันหลังสุด จะยังไม่เปิดตัวในวันปิดต้นฉบับ แต่เป็นที่คาดการณ์กันว่า
ค่าตัวไม่น่าจะหนีไปจากระดับราคา 550,000 บาท กันมากนัก

ดังนั้น ใครที่อยากจะเป็นเจ้าของ Yaris ใหม่ อาจต้องรีบกันนิดนึง เพราะ Yaris มีกำหนดจะหมด
อายุตลาดในช่วง ปลายปี 2013 – 2014 และจะไม่มีการนำ Yaris ใหม่ ที่เปิดตัวไปแล้วทั้งในญี่ปุ่น
กับยุโรป เมื่อปี 2009 มาทำตลาด ในบ้านเราอย่างแน่นอน เพราะ Toyota ตั้งใจพัฒนา รถยนต์
Hatchback ในพิกัด ECO Car เข้ามาทำตลาดแทน ในช่วงเวลาดังกล่าว

——————————–///——————————–