ในที่สุดสิงห์สำอางทะเลทรายนามว่า Touareg (อ่านว่า ทู อา เร็ก)ก็ได้ฤกษ์ผลัดโฉมให้เชยชมกันเสียทีหลังจากเปิดตัวครั้งแรกในโลกปี 2002 นับนิ้วแล้วมีอายุตลาด 8 ปีเต็ม ความพิเศษของรถในโครงการ SUV ระดับบนของ Volkswagen คือเป็นความร่วมมือระหว่างเครือญาติ Prosche และ Audi ในการพัฒนางานวิศวกรรมสำหรับ SUV กลุ่มนี้

 
 

รวม ๆ ชื่อของ Touareg ก็ทำให้ Volkswagen ประสบความสำเร็จในแง่ของการริเริ่มพัฒนา SUV ในตลาดยุโรปอย่างจริงจัง ซึ่งสมัยนั้นรถ SUV ที่มาจากค่ายรถยุโรปนั้นน้อยเอามาก ๆ จนน่าประหลาดใจแต่นั่นตลาดรถประเภทนี้ยังไม่ค่อยบูมมากนัก แต่ก็มีข้อดีดังกล่าวคือมันเติบโตอย่างมั่นคง ดีกว่ามาเร็วและท้ายที่สุดก็ดับเร็ว

Volkswagen Touareg โฉม Modlechange รุ่นปี 2010 ก็เป็นผลผลิตล่าสุดจากประสบการณ์การพัฒนา SUV มาแล้วถึง 2 รุ่น คือ Touareg โฉมแรกและน้องเล็ก Tiguan

 

หากดูรูปโฉมแค่แว้บเดียวบางคนอาจจะตัดสินว่านี่มัน Minorchange นี่นา อย่ามาหลอกลวงซะให้ยาก ผมจะบอกเลยว่าหากสังเกตเส้นสายรถทั้งคันจริงนี่ล่ะคือ Modelchange และต้องอย่าลืมว่าแนวทางการดีไซน์ของ Volkswagen แม้อาจจะอนุรักษ์นิยมในเส้นสายไม่กล้าฉีกมากนักแต่ความเรียบง่ายก็ดูมีพลังและสวยเด่นได้เช่นกัน โดยเฉพาะกระจังหน้า Volkswagen Design DNA ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

มิติ Touareg มีความยาว 4.80 เมตรเพิ่มขึ้น 4.3 เซนติเมตร แต่เตี้ยลง 2 เซนติเมตรเหลือ 1.72 เมตร ฐานล้อก็ยาวเพิ่มขึ้นเป็น 2.9 เมตร

 
 

ตัวรถดูใหญ่ขึ้นแต่น้ำหนักมันกลับเบาลง!! เป็นเรื่องจริงครับ Touareg ใหม่น้ำหนักเบาลง 208 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับ Touareg รุ่นแรก

การออกแบบห้องโดยสารยกระดับจาก Touareg รุ่นก่อนด้วยการเพิ่มความหรูหราและใช้วัสดุที่มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากจะหรูขึ้นแล้วยังเพิ่มความกว้างขวางของห้องโดยสารด้วยการเพิ่มเนื้อที่เลกรูมบริเวณห้องโดยสารตอนหลัง แถมพนักพิงตอนหลังก็ปรับเอนนอนได้ 160 องศาอีกด้วย

 
 

Touareg ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสมฐานะ ได้แก่ ระบบป้องกันหลงป่าด้วย GPS Navigator พร้อมจอสัมผัส 8 นิ้วหรือเลือกชุดเครื่องเสียงซีดี 6 แผ่นพร้อมจอสัมผัส 6.5 นิ้ว

ขนาดห้องสัมภาระเมื่อไม่ได้พับเบาะจะมีขนาด 580 ลิตรหากพับเบาะก็จะมีเนื้อที่ 1,642 ลิตร

 
 

ขุมพลังของ Volkswagen Touareg ใหม่มีเครื่องยนต์ Hybrid ให้เลือกด้วยครับ ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน V6 TSI (Press Release ต้นฉบับไม่ระบุความจุกระบอกสูบ) ฉีดเชื้อเพลิงตรง 333 แรงม้า (PS) จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 47 แรงม้า (PS) เมื่อประสานพละกำลังกันก็จะได้ 380 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 58.58 กิโลกรัมเมตร

พละกำลังของเครื่อง Hybrid สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุด อัตราสิ้นเปลือง 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่า CO2 ที่ 193 กรัมต่อกิโลเมตร นอกจากนี้คุณยังสามารถขับรถในโหมด EV ใช้พลังไฟฟ้าอย่างเดียวก็สามารถวิ่งไปได้ไกลถึง 50 กิโลเมตร

 
 

เครื่องยนต์ Hybrid ลูกนี้จะมาแทนที่เครื่องยนต์ V8 บางประเทศในแถบยุโรปและในทวีปอเมริกาด้วย ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน V10 และ V12 นั้นไม่ต้องพูดถึงเลยครับ Volkswagen จัดการเก็บเข้ากรุหมดเรียบร้อยแล้ว

แต่ใช่ว่า Volkswagen จะทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ลงคอเพียงแต่ปรับปรุงประสิทธิภาพให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เท่านั้นเอง ดังต่อไปนี้

เครื่องยนต์เบนซินบล๊อก V6 3.6 ลิตร FSI ให้กำลัง 280 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 36.36 กิโลกรัมเมตร อัตราสิ้นเปลือง 9.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ประหยัดกว่าเครื่องรุ่นเดิมถึง 2.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ค่าไอเสีย CO2 ที่ 236 กรัมต่อกิโลเมตร

นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์ดีเซล TDI อีก 2 รุ่นได้แก่ เครื่องบล๊อก V6 TDI  (ไม่ระบุขนาดเครื่องยนต์) 240 แรงม้า (PS) แรงบิด 55.55 กิโลกรัมเมตร ประหยัดน้ำมันเพียง 7.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 195 กรัมต่อกิโลเมตร

และอีกเครื่องยนต์หนึ่งคือ V8 TDI 4.2 ลิตร 340 แรงม้า (PS) แรงบิดมหาศาลถึง 80.00 กิโลกรัมเมตร อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 9.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 239 กรัมต่อกิโลเมตร

 
 

กำหนดวางจำหน่ายรวดเร็วทันใจภายในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าน่าจะไปอวดโฉมในงาน Geneva Motorshow นี้