รุ่งสางของวันจันทร์ ที่ 19 ตุลาคม 2009…

บรรยากาศบนเครื่องบิน Boeing 777 นั้น แม้ผมยังสนุกอยู่กับเกม ในระบบของ
JEN (JAL Entertainment Network) อยู่บ้าง แต่ด้วยความง่วง ผมก็เผลอหลับไป
ด้วยความอ่อนเพลีย

ราวๆ ตี 4 เศษๆ กลิ่นอาหารลอยมาเตะจมูก ปลุกให้ผมตื่นมาพบกับ ข้าวต้มหมูสับ
หมี่เย็น และอะไรอีกก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่า ความหิว ทำให้ผมจัดการพามันไปเที่ยวในกระเพาะ
ของผมเรียบร้อยในที่สุด

รุ่งเช้า 6.20 น. ของ วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2009
กัปตันทานาเบะ นำเครื่องบิน Boeing 777 เที่ยวบินที่ JL738 ลงแตะพื้นรันเวย์
ของสนามบิน Chubu Centrair จนเรียบร้อย และอย่างนุ่มนวล

อากาศที่นาโกยาวันที่ผมไปนี่ แจ่มใสมากครับ มีแดดออกเป็นปกติ อากาศเย็นกำลังสบาย
อุณหภูมิตอนช่วงเช้าราวๆ 15 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิตอนกลางวันอยู่ราวๆ 19-20 องศาเซลเซียส
ตัวผมเองถึงจะผอมๆแบบนี้ แต่สวมเสื้อแค่สองชั้นเองนะ ไม่หนาวมากจนสั่นแหง็กๆ มากเกินไป
ผมล่ะชอบอากาศแบบนี้จริงๆเลย

สนามบินที่นี่ จัดทำ เคาน์เตอร์ บริการด่านตรวจคนเข้าเมือง
ใกล้กับประตูทางเข้าเครื่องบิน  ทันทีที่เดินออกจาก Gate เครื่องบินปุ๊บ
ก็ถึงด่าน ตม. ปั๊บ เรียกว่า ประหยัดเวลาไปได้เยอะ

ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จแล้ว ก็ไปรับกระเป๋า ยังระบบสายพานลำเลียง
สนามบินแห่งนี้ มีสายพานลำเลียง ที่มีระบบเซ็นเซอร์
หากมีกระเป๋าใด หมุนเวียนบนสายพาน ตัดหน้ากระเป๋า ที่กำลังจะถูกลำเลียง
ขึ้นมายังสายพาน เซ็นเซอร์จะสั่งสายพานให้หยุดการทำงาน
ป้องกันความเสียหายของกระเป๋าผู้โดยสาร ระบบดีๆ อย่างนี้
อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นบน สนามบินสุวรรณภูมิของบ้านเรา

สำหรับพี่จิมแล้ว นี่ถือเป็นครั้งที่ 4 ของพี่เขา ที่เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่น
แต่สำหรับผม นี่คือครั้งแรก ในการมาเหยียบดินแดนอาทิตย์อุทัย ไม่สิ ต้องบอกว่า
เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางออกนอกประเทศด้วยเช่นกัน

ทริปเหิรฟ้าสู่ญี่ป่นครั้งนี้ ถือเป็นทริปที่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นได้จริง
เพียงเพราะพี่จิม ไปบ่นๆ ไว้ในเว็บบอร์ด ของ Headlightmag.com ว่า ปีนี้ สงสัย
อาจจะไม่มีใคร เชิญชวนพี่เขาไปชมโตเกียวมอเตอร์โชว์ เหมือนปีก่อนๆ

แต่แล้วจู่ๆ ในช่วงหัวค่ำวันหนึ่ง ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่จิมว่า มีผู้ใหญ่ใจดี กลุ่มหนึ่ง
ยินดีเป็นสปอนเซอร์ พาเราไปดูงานแสดงรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกนี้ ฟรีๆ
และที่ยิ่งดีใจกว่านั้นคือ พี่จิม โทรศัพท์มาชวนผมด้วย และบังเอิญว่า ผมว่าง ตรงกับ
ทริปนี้พอดี

ผู้ใหญ่ใจดีกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่ในวงการรถยนต์ครับ แต่เป็น หนึ่งในคุณผู้อ่าน
ของเว็บไซต์เราอยู่แล้วนั่นเอง! (งานนี้ คุณผู้อ่านอุปการะพวกเราได้สุดยอดมากครับ)

ท่านแรกก็คือ  พี่เอ วนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ 
ตำแหน่งในนามบัตรบอกว่า เป็น Chairman
ของ บริษัท TOA Paint (Thailand) จำกัด

เอ่อ..แชร์แมน นี่ คนทำเก้าอี้ หรือเปล่าครับ? (^_^)

อีก 2 ท่านจากทาง TOA ก็คือ พี่วิชา เจ็งเจริญ
ท่านนี้ ก็ ถือว่าเป็น โปรด้านญี่ปุ่น มากๆ ในฐานะที่เคยเรียนอยู่ในญี่ปุ่น
นานถึง 6 ปี เลยกลายเป็นไกด์กิติมศักดิ์ ประจำทริป เป็นผู้จัดแจงจัดการทุกอย่าง
ให้เรียบร้อย และสมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า พี่เค้าเป็นคน “ขี้เกียจอธิบาย
ทำเองให้เสร็จสรรพไปเลยดีกว่า”

แน่ละ ขนาด เดินเรื่องขอ วีซ่า เข้าญี่ปุ่นให้พวกเรา ยังใช้เวลาแค่ 3 วันเท่านั้น!

(ซึ่งเหมาะกับ คนประเภทต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 จึงจะเข้าใจ อย่างพวกเรา เป็นอันมาก ฮ่าๆๆ)

และ พี่ ชลธี คชา ผู้จัดการทั่วไป ของบริษัทฯ พี่จิมบอกว่า เห็นหน้าครั้งแรกแล้ว ตกใจ
ออกแนวประหวั่นพรั่นพรึง เพราะหน้าตาของพี่เค้า เหมือนอริเก่า เหลือเกิน
แต่กลับกลายเป็นว่า พี่ชลธี ตัวจริง ไนซ์มาก! ทำให้ทั้งทริป พวกเรากับพี่ชลธี
ก็เลยเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ กันอย่างลั่นล้า สนุกสนานกันตั้งแต่ต้นจนจบ

ที่มาที่ไปของทริปนี้ เรื่องของเรื่องก็คือ โดยปกติแล้วทาง TOA มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นดี
กับทาง ITOCHU บริษัท Trading Company ที่มีขนาดใหญ่ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น
(โปรดนึกถึงบริษัทจำพวก Mitsui, Mitsubishi , Sumitomo , โตโชกุ อะไรทำนองนั้น)
ปีนี้ ทางญี่ปุ่น เลยติดต่อมาถามทาง TOA ว่า สนใจจะไปดู Tokyo Motor Show
กันไหม มีโควต้าให้ 5 ท่าน

ทางพี่ๆทั้ง 3 ที่ได้เอ่ยชื่อไปข้างบน ก็เลยเอาเข้าที่ประชุมกัน มองหน้ากันไปมา
แล้วต่างก็คิดออกมาว่า “ถ้าให้พวกเราไปกันเอง 5 คนมันก็ได้หนะแหละ แต่ไปดูแล้ว
ก็เดินดูงานกัน งูๆปลาๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่ ถ้าหากให้คนอย่างคุณจิมมี่ไป
น่าจะได้เรื่องได้ราวเยอะมาก เพราะเอากลับมาเขียนรีวิวได้ยาวเฟื้อยมากกว่า ก็เลย
น่าจะให้คุณจิมมี่มาด้วย จะดีกว่า”

นั่นเป็นเหตุผล ที่ผมได้ยินมากับหูว่าเป็นอย่างนั้นครับ และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้
ทาง TOA อนุเคราะห์ โควต้า มาให้เราถึง 2 คน ด้วยกัน ซึ่งต้องขอขอบพระคุณ
ในความกรุณาครั้งนี้เป็นอย่างมากครับ

เพราะเป็นทริปที่สุดยอด เหนือจินตนาการ ของทั้งผม และพี่จิมมี่ไปเลย

และเป็นทริปที่นอกจากจะสนุก เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับพวกเราได้เป็นอย่างดีแล้ว
ยังเป็นทริปที่ช่วยให้พี่จิม ได้มีโอกาส ออกกำลังกาย ลดความอ้วนกันอีกด้วย
เพราะทริปนี้ เดินกันขาลากกกกกก สุดๆ (แต่เมื่อดูจากปริมาณของกิน ที่พี่จิม กินกลับเข้าไป
ไม่ต้องทาย ก็รู้ว่า น้ำหนักพี่เค้าหนะ ไม่ลงง่ายๆหรอก หึ!)

คือทันทีที่เรามาถึงสนามบิน Chubu Centrair เราก็ต่อรถไฟ เข้าตัวเมือง Nagoya
ขบวนรถที่เราใช้บริการกันนั้น เป็นรถหรูเอาเรื่อง ชื่อว่า “มิวสกาย” ชื่อเต็มก็คือ
The Airport Rapid Limited Express “u-SKY” ( u =  MU อ่านว่า มิว นั่นเอง)
ถือเป็นขบวนรถด่วน ที่ใช้เวลาเร็วที่สุดในการนำผู้โดยสาร จาก ท่าอากาศยาน Centrair
ไปถึงใจกลางเมือง Nagoya จังหวัด Aichi

เป็นรถไฟของบริษัท MEITETSU หรือบริษัท Nagoya Railroad Co.,ltd.

โดยปกติแล้ว MEITETSU เป็นบริษัทรถไฟเอกชน แห่งนึ่ง ที่ให้บริการรถไฟ
หลากหลายขบวน ในอาณาเขตบริเวณ ตั้งแต่จังหวัด Aichi (เมืองของ Toyota)
ถึงจังหวัด Gifu โดยมีการต่อรากแผ่ขยายเส้นทางบางส่วนออกไปเป็น รากต้นไม้
รวมระยะทางทั้งหมดของระบบ 445.4 กิโลเมตร

ดูแผนที่ได้ที่นี่ www.meitetsu.co.jp/english/route/index.html

เราใช้เวลารอไม่นานนัก รถไฟขบวนที่เราจะขึ้น ก็มาถึง และประตูก็เปิดออก เต็มไปด้วยผู้คนที่จะต้องขึ้นเครื่องบิน เดินทางมาถึง

รถไฟขบวนนี้ ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Poly Carbonate นอกจากจะมีพื้นที่้
ด้านหลังสุดของแต่ละโบกี้ ให้เราได้วางสัมภาระจำพวกกระเป๋าเดินทาง
ขนาดใหญ่ได้มากถึง 10 ใบ ในแต่ละตู้โบกี้ด้วยแล้ว

เบาะที่นั่ง ยังสามารถ ปรับให้กลับหลังหัน ได้เองด้วยระบบไฟฟ้าอีกต่างหาก 
แถมยังมีห้องน้ำ ที่ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับคนพิการ ที่นั่งรถเข็นไว้เสร็จสรรพ
และนี่คือบรรยากาศ ภายในขบวนรถครับ….

รายละเอียดของตัวรถ ดูได้ที่นี่
www.meitetsu.co.jp/english/airport-access/express/index.html

เราเริ่มออกเดินทาง จากสนามบิน ซึ่งแล่นบนสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสนามบินกับแผ่นดินใหญ่

บรรยากาศ สองข้างทาง มีบ้านเรือนผู้คนรายล้อมอยู่ แออัด แต่เป็นสัดส่วน
สลับกับพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม ท่อโลหะระโยงระยาง เยอะแยะมากมาย
พอกันกับไซต์งานก่อสร้างโรงงานใหม่ ที่ยังมีให้เห็นเป็นระยะๆ ญี่ปุ่น
เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่จำกัด ทำให้วัฒนธรรมของผู้คน เคยชินกับ
การอยู่ในพื้นที่แคบๆ เล็กๆ และใช้ทุกตารางเซ็นติเมตร ให้เกิดประโยชน์
มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไม่เว้นแม้แต่…ที่จอดกจักรยาน ที่เห็นอยู่นี้ สมัยก่อน เราอาจจะเคยเห็น
ที่จอดรถแบบ 2 ชั้น มีลิฟต์ไฟฟ้าขึ้นลง แต่เดี๋ยวนี้ ที่จอดจักรยาน เขาก็ทำออกมา
นานแล้ว เช่นกัน เพียงแต่ จะไม่ค่อยเห็นใน โตเกียว เท่าใดนัก

และนี่ก็คือ หนึ่งในผู้ที่ทำให้ ผมกับพี่จิม มาถึงญี่ปุ่นในครั้งนี้ครับ พี่เอ นั่นเอง

ไปลงกันที่ สถานี MEITETSU NAGOYA STATION แล้วเดินเชื่อมต่อตามทางเดิน
มายัง ด้านหน้าของ สถานีรถไฟ NAGOYA STATION อันเป็นสถานีขนาดใหญ่โตที่สุด
ใจกลางเมือง Nagoya แห่งจังหวัด Aichi

ความใหญ่โตนั้น จัดเป็นสถานีรถไฟที่มีพื้นที่ต่อชั้น ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีพื้นที่
มากถึง 446,000 ตารางเมตร เป็นสถานี ที่มีสำนักงานของบริษัทรถไฟ JR Central
และบริษัทลูกในเครืออีกหลายสิบบริษัทตั้งอยู่ รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม
Nagoya Marriot ASSOCIA อีกด้วย ปกติส่วนใหญ่ ถ้าจะมาพักแบบเอาความสะดวกสบาย
แบบไม่เน้นงบประมาณ ในนาโกยา ก็มาพักที่นี่ จะดีที่สุด

พี่จิมเค้าสงสัยว่า ทำไม JR มันมีเยอะนักนะ เดี๋ยวก็มี JR Central JR East อะไรก็ไม่รู้
พี่เขาก็เลยไปค้นคว้ามาให้อ่านกันเพิ่มเติม ทั้งจากแหล่งต่างๆ รวมทั้ง ใน Wikipedia
ได้ความว่า ในสมัยอดีต กิจการรถไฟในญี่ปุ่น เดิม ตั้งแต่เปิดเส้นทางรถไฟสาย
Tokyo – Yokohama ในวันที่ 12 มิถุนายน 1872 นั้น เป็นกิจการในรูปบริษัท แห่งชาติ
ภายใต้การควบคุมของ สถาบันรถไฟ ของญี่ปุ่น

จนกระทั่ง มีพระราชบัญญัติกิจการรถไฟในปี 1906 ให้โอนกิจการรถไฟ เข้าเป็น
กิจการของรัฐ ในวันที่ 1 ตุลาคม 1907 บริษัทเดิม เลยกลายมาเป็น การรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น
หรือ Japanese Government Railways: JGR

ต่อมา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ผู้นำทางทหารสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามารักษาความสงบ
หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ก็สั่งให้ ยุบการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น JGR แล้วตั้งเป็นบริษัท ใหม่ขึ้นมา
ใช้ชื่อว่า Nippon Kokuyo Tetsudo หรือ บริษัท Japanese National Railways หรือรถไฟแห่งชาติ JNR

แม้เป็นกิจการของรัฐ แต่ในช่วงแรก ก็ทำกำไรดีขึ้นมาก จนมีเงินมากพอจะสร้างรถไฟความเร็วสูง
ชินคังเซ็น (Shinkansen) จนเสร็จสมบูรณ์ เปิดให้บริการเมื่อ 1 ตุลาคม 1964 ถึงกระนั้น จากความพยายาม
ที่จะขยายรถไฟหัวกระสุนที่ว่านี้ ไปให้ทั่วมากที่สุด ก็ยิ่งทำให้ JNR มีหนี้เพิ่มขึ้นเยอะมาก เพราะต้อง
กู้เงินมาสร้าง นั่นเอง

พอถึงปี 1987 กิจการรถไฟญี่ปุ่น ก็ขาดทุนมหาศาล บักโกรกด้วยหนี้สูงถึง 25 ล้านล้านเยน!!
(ไม่ต้องแปลงหรอกครับ ว่าเงินไทยหนะเท่าไหร่ เห็นตัวเลขแล้วปวดตับแทน) ดังนั้น รัฐสภาญี่ปุ่น
เลยสั่งยุบกิจการเดิมทิ้งซะ แล้วแตกออกมาเป็นบริษัทใหม่ ที่ชื่อว่า JR Group หรือ กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น
ซึ่งมีทั้งหมด 7 บริษัทหลัก อันประกอบด้วย JR Hokkaido ดูแลรถไฟในเขตภาคเหนือ รวมทั้ง ฮอกไกโดทั้งหมด
JR East ดูแลพื้นที่ถัดลงมา ซึ่งเรียกว่า ภาคตะวันออก JR Central ดูแลรถไฟในภาคกลางทั้งหมด รวมทั้ง
รถไฟชินคังเซ็น สาย Tokaido ในเขตคันโตะ และคันไซ JR West ดูแลรถไฟ ในเขตคิวชู และ
รถไฟชินคังเซ็น สาย Sanyo ต่อมา JR Shikoku ดูแลในเขต ล่างของญี่ปุ่น คือ ชิโงะกุ และล่างสุด
JR Kyushu ดูแลระบบรถไฟทั้งหมด ในภาคใต้สุดของญี่ปุ่น และอาจรวมถึง เกาะ โอกินาวา ด้วย
ท้ายสุด คือบริษัท JR ขนส่ง ดูแลการขนส่งพัสดุต่างๆ ทั่วประเทศ

ถ้านึกภาพไม่ออก เปิดดูนี่เลย th.wikipedia.org/wiki/กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น

วุ่นวายดีไหมครับ แต่ยังไงๆ ผมว่า วุ่นวายไม่เท่ากับปัญหาภายในของการรถไฟแห่งประเทศไทย
บ้านเราเองนี่ละครับ คิดดูเอาแล้วกันว่า หลายสิบปีก่อน เราเปรียบเทียบรถไฟของเรากับญี่ปุ่น
กับลอนดอน แต่ตอนนี้ เราเปรียบเทียบรถไฟบ้านเราเองว่า ดีกว่ามาเลเซีย และอินเดีย มันหมายความว่า
อย่างไรกันครับ ก็หมายความว่า การรถไฟของบ้านเรา มันมีแต่ย่ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าสักที
เพราะปัญหาภายในของเราเองนั่นแหละ!

เอ ไถลไปนอกเรื่องได้ไกลจัง กลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า

และแล้ว เราก็มาถึงสถานี  NAGOYA Station 

 และข้างล่างนี่ ก็คือทัศนียภาพโดยรอบ

KAGOME นั่นคือ ชื่อยี่ห้อ ซอสมะเขือเทศ รายแรกของญี่ปุ่นนะครับ
ออกจำหน่ายมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 และเครื่องหมายการค้าที่เห็นนี้ ใช้มาตั้งแต่
ค.ศ. 1983 ถ้าอยากรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย
บางร้าน ก็ใช้ซอสมะเขือเทศยี่ห้อนี้ครับ

สถานีแห่งนี้ มี McDonalds มาเปิดให้บริการด้วย
คนญี่ปุนจะออกเสียง แม็คโดนัลด์ ได้ปวดตับมากเลย….
เขาอ่านของเขาว่า “มัก คุ โด นา รุ โดะ” !! (-_-)

และที่นี่ ก็มีร้านจำหน่ายเครื่องไฟฟ้า และโทรศัพท์ กล้อง อุปกรณ์ IT ต่างๆ
อย่าง บิ๊กคาเมรา ซึ่งที่ถูก ต้องเขียนว่า Bic Camera สาขานาโกยา ซะด้วย
พี่จิมบอกว่า ห้างใหญ่ ไม่แพ้ในโตเกียว กันเลยทีเดียว
เดี๋ยวคืนนี้มาเดินสำรวจตลาดกันดีกว่า…อิอิ

พอมองรูปข้างล่าง…เอ๊ะ Nissan Tiida Latio ที่นี่เขาก็ใช้ทำแท็กซี่เหมือนกันแหะ

และซอยที่เห็นข้างหน้า ในรูปนี้นั่นละครับ คือทางเดินของเรา ไปยังโรงแรมที่พัก…ครับ เดินลากกระเป๋าไปกันทั้ง 5 คนเนี่ยแหละ!

 

ตรงนี้ มีช่องจอดจักรยานเอาไว้ ถัดไปเป็นหมู่รถแท็กซี่ ที่เตรียมให้บริการกัน มักเป็น Toyota Crown Comfort กับ Nissan Cedric รุ่นเก่า เป็นส่วนใหญ่

ตึกนี้ มีจอวีดีโอ ให้ดูด้วย เหมือนในโตเกียว ไม่มีผิด

ด้านหลังของเรา เป็นโรงแรม Marriot Nagoya ASSOCIA ตั้งอยู่บนตึกสูงเหนือสถานีนาโกยา
มีขนาด 774 ห้อง (15 ห้อง Suite 423 ห้องมาตรฐาน 328 ห้องแบบ Deluxe
6 ห้องแบบ Premier 1 ห้องแบบญี่ปุ่นแท้ และ 1 ห้องแบบตะวันตก ขนาดพื้นที่
เฉลี่ยต่อห้องอยู่ที่ 37 ตารางเมตร

เปล่าหรอกครับ ทริปนี้ เราไม่ได้พักกันที่นี่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เท่ากับว่า
มาครั้งนี้ เราก็เห็นญ่ปุ่นไม่ครบถ้วนในแบบที่เป็นจริงๆ

แต่ที่เจ๋งสุดยอดยิ่งกว่านั้น ก็คือที่พักของเรา ในทริปนี้ โรงแรมเล็กๆ 5 ชั้น
ซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ห่างจากสถานีรถไฟ Nagoya เพียงแค่เดินไปเรื่อยๆสบายๆ
3 ไฟแดงเท่านั้น

เราออกเดินข้ามถนน ตรงมาเรื่อยๆ มาหยุดที่ สี่แยก ไฟแดงที่ 1

 

เอ๋ นั่น Toyota Vios นี่?….

ไม่ใช่ๆๆ มันคือ Toyota Belta ต่างหาก
วีออส ที่ญี่ปุ่น ขายในชื่อ เบลต้า และมีแต่เครื่อง 1.3 ลิตร
ไม่มี 1.5 ลิตร แต่อย่างใด

แล้วมันรุ่นเดียวกันหรือเปล่าละ?

สี่แยกไฟแดงนี้ มีร้าน คอนวิเนียนสโตล์ที่ชื่อ MINISTOP
เป็นที่พึ่งพาของหมู่เฮา ยามค่ำคืนได้ดีเช่นเคย ทั้งถ่าน และอุปกรณ์ต่างๆ
ที่จำเป็น น้ำดื่ม และอื่นๆอีกมากมาย

คอนวิเนียนสโตล์ ของญี่ปุ่นนั้น ขาย หนังสือด้วย
และมีครบแม้กระทั่งหนังสือการ์ตูนโป๊!

แต่ มีไม่เยอะหรอก ครับ และสำหรับใน Nagoya
ถ้าอยากจะหาหนังสือการ์ตูนทุกแนวจริงๆ
โดยเฉพาะหนังสือการ์ตูนโป๊ แนว ชายรักชาย
ชายหญิง หรือจะแบบไหนก็ตามแต่…
ดูที่รูปสี่แยกไฟแดงแรก ข้างบนนี้ คุณจะเห็นชื่อร้าน
KAC SHOP นั่นละครับ ร้านนั้นเลย!! (แอบแวะไปสำรวจมาแล้ว อิอิ)

คนญี่ปุ่นปกติมักจะหยุดรถให้คนข้ามถนนกันเป็นเรื่องปกติครับ ถ้าคุณข้ามตามสัญญาณไฟเขียวนะ

ที่จอดรถจักรยานสาธารณะในนาโกยา นั้น
พบได้เป็นเรื่องปกติครับ และส่วนใหญ่ จักรยานแม่บ้านจะขายดี
มากที่สุด รองลงมาที่เห็นคือ จักรยาน ที่พะแบรนด์ รถยนต์อเมริกัน
เช่น Chevrolet HUMMER อะไรพวกนี้ ก็มีเหมือนกัน และราคาคันละ
ไม่กี่พันบาทไทยเท่านั้นเอง ที่นี่ ผู้คนใช้จักรยานกันเยอะครับ

บรรยากาศยามเช้าของตัวเมือง Nagoya นั้น สงบมากๆ แทบไม่มีเสียงใดๆให้ได้ยินมากมายเลย

 

เดินต่อมาอีกบล็อก เป็น ไฟแดงที่ 2 มองไปทางซ้ายจะเห็นที่จอดรถให้เช่า
ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่มักพบได้ เป็นเรื่องปกติของทุกเมืองย่อยในญี่ปุ่น

ค่าเช่าที่จอดรถในเขตตัวเมืองนาโกยานั้น จะถูกกว่าในโตเกียวอยู่นิดหน่อยครับ

เอ่อ…พี่ครับ แม้จะเป็นทางม้าลาย แต่พี่ตัดหน้าแท็กซี่อย่างนี้เลยเนี่ยนะ? อย่าเลียนแบบคนไทยสิครับพี่!

พอไฟแดงที่ 3 ก็เลี้ยวขวาเดินเข้าซอย มองไปทางซ้าย ต้นๆซอย ก็เจอได้ง่ายดาย

เดินเข้ามาปุ๊บ ก็เจอรถขยะ กำลังทำงานอยู่เลย ระบบการจัดเก็บขยะที่นี่
เขาจะมีถังเอาไว้สำหรับแยกขยะ ประเภทเผาไหม้ได้ ระเภทขวดพาสติก
หรือ กระป๋องโลหะ รวมทั้งขยะมีพิษ แยกเอาไว้เป็นสัดส่วนครับ เพื่อให้ง่าย
ต่อการจัดเก็บและนำไปกำจัด หรือ นำไปผ่านกระบวนการ Recycle นำกลับมาใช้ใหม่

ในที่สุด เราก็มาถึงที่พัก ในค่ำคืนแรกของเรา คือโรงแรม Nagoya Katei Miyoshi Hotel
ซึ่งเป็นโรงแรมแบบ Ryokan (เรียวคัง) ถ้าถามว่าที่พักแบบนี้ มันเป็นยังไง
แตกต่างจากแบบอื่นอย่างไร อ่านต่อได้เลยครับ

ที่พักแบบ Ryokan คือ ที่พักแบบญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ พื้นห้องจะปูด้วยเสื่อตาตามิ
มีห้องอาบน้ำรวม และถ้าหากเราได้ไปพักโรงแรมแบบนี้ จะ พบว่าแขกในโรงแรม จะใส่ชุดยูคาตะ
เดินไปมาอยู่ในพื้นที่ของโรงแรมได้ครับ

และ เมื่อเราเข้าไปดูห้องกันแล้ว ขอบอกว่า ตื่นเต้นตกตะลึงตึงตึงตึง ไปเลย

ต้องยอมรับเลยว่า พี่วิชาของเรา เจ๋งจริงๆ ที่ว่าเจ๋งหนะ ก็เพราะว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะเสาะหา
ที่พักในลักษณะนี้ คือ มีทั้งบรรยากาศแบบ บ้านๆของญี่ปุ่น ผนวกกับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
สำหรับชีวิตในสมัยใหม่ เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างดี แถม ทางพี่วิชา เพิ่งคอนเฟิร์มที่พักให้พวกเรากัน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง

พี่ผู้หญิงคนนี้ เคยไปเที่ยวเชียงใหม่มาแล้วนะครับ ตอนแรกเธอหวั่นว่า ในกลุ่มเราจะพูดญี่ปุ่นกันไม่ได้เลย

เดาว่าเธอคงโล่งอกไปเยอะ เมื่อเจอ ภาษาญี่ปุ่นสไตล์พี่วิชา… 

จากตอนแรก ที่ตั้งใจจะให้นอนกันห้องเดียว 5 คน ไปๆมาๆ สุดท้าย ก็ขยาย รวม 3 ห้อง
พี่เอ แยกไปหนึ่งห้อง พี่ชลธีกับพี่วิชา ก็เข้าไปคนละห้อง ผมกับพี่จิม ก็นอนห้องเดียวกัน

ห้องเลขที่ 503…ซึ่งมีสภาพ อย่างที่เห็น….

ผมกับพี่จิม แทบจะกรี๊ดสนั่นกันเลย (แต่ไม่ได้ทำแบบนั้นให้เสียลุคส์ แหะๆ)
นี่ละ ห้องพักแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ในแบบที่เราอยากจะมาพักกันเลย แม้ว่าจะเป็น
แนวประยุกต์ก็ตาม ห้องแบบเสื่อตาตามิ มีเครื่องปรับอากาศให้ มีตู้เก็บเสื้อผ้า
และตู้เก็บฟูกที่นอนหมอนผ้าห่ม อยู่ด้านหลัง มีโต๊ะตรงกลาง สำหรับไว้นั่งทำงาน
หรือดูทีวี มีกาน้ำร้อนให้ชงชาดื่มกัน

โทรทัศน์ในห้อง เป็น Sharp รุ่นเก่า แต่มีเครื่องเล่นเกม Famicom ในตัว!
มีเครื่องเล่น Video แบบเก่าให้ใช้งานกัน ส่วนรู สำหรับใส่เหรียญ ที่ตู้วางทีวี
มีไว้ทำไม พวกเราก็ยังคงสงสัยอยู่ แต่ไม่รู้จะถามใครจริงๆ ครับ

แต่ เห็นคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะซื้อ ทีวี ของ Sharp กัน มากกว่า Sony ซะอีก

มีโต๊ะเครื่องแป้งแบบเก่า บานระจกเป็นแบบฝาพับได้
มีถาดวางเสื้อคลุมยูกาตะ ซึ่งตอนนี้ เขายังไม่ได้นำมาวางให้

ห้องพักในญี่ปุ่นนั้น คุณจะเก็บของอะไรเอาไว้ก็ได้ครับ จะปล่อยทิ้งไว้
อย่างไรก็ได้ คนญี่ปุ่นจะไม่มายุ่งอะไรกับข้าวของของคุณ นอกเสียจากว่า
จะช่วยจัดวาง ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ถ้าเป็นของส่วนตัวของคุณ
คุณทิ้งไว้ตรงไหน พวกเขาจะปล่อยมันไว้อย่างนั้น ไม่ไปยุ่งเลย
ดังนั้น ไม่ต้องกลัวเรื่องขโมยขโจร ถ้ามาพักที่โรงแรมต่างๆ ในญี่ปุ่นครับ

มุมมองจากหน้าต่างห้องพักด้านซ้าย เห็นไหมครับว่า ที่พักของเรา ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Nagoya เท่าใดเลย 

มองมาทางหน้าตรง ก็เป็นอพาร์ตเมนท์ ให้เช่า ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้เช่า เป็นพนักงานบริษัท มาเช่าไว้พักผ่อนอยู่อาศัยกันเยอะ

และนี่คือมุมมองฝั่งขวา อยากจะบอกว่า บรรยากาศตอนที่ยืนอยู่นี้ เย็นสบาย แต่เงียบสนิทมาก ไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินกันเลย!

มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกราม้านช่องกันทั้งนั้นเลยแหะ ต้นไม้ไปไหนกันหมดหนอ?

ส่วนนี่เป็นอีกห้องหนึ่งที่ติดกันกับห้องที่เราพัก

แม้ว่าในห้องพัก จะมีห้องน้ำ อ่างอาบน้ำสแตนเลส และชักโครกพร้อมระบบฉีดตูดอัตโนมัติมาให้…

แต่ ไหนๆก็ไหนๆ ขอขึ้นไปดู ห้องอาบน้ำรวม ด้านบนสุด ชั้น 6 ของอาคารหน่อยดีกว่า…

ดูทางเข้าแล้ว เป็นยังไงครับ…

นี่คือ สภาพภายในห้องที่ ตอนแรกเราว่าจะได้ใช้บริการ แต่ต่อมา
เขากลับให้เราได้ใช้อีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกันข้างๆ แทน

ห้องนี้ เอาไว้แช่น้ำร้อน ในฤดูหนาว แช่กันได้หลายคนครับ เป็นแบบ Indoor

 หรือถ้าใครชอบประสบการณ์แบบ Outdoor ที่นี่็มีเตรียมไว้ให้! (อ่างน้ำร้อนนะครับ อย่าคิดเป็นอื่น)

อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็มาแต่งตัว กันที่มุมนี้

มีเครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอลให้ใช้ด้วย มีถาดวางผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้าส่วนตัวของแต่ละคนให้ต่างหากครับ

และนี่เป็นบ่อน้ำพุร้อน อีกแห่งหนึ่ง ใกล้ๆกัน

 ก่อนจะลงบ่อน้ำพุร้อน ต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อยก่อนที่มุมนี้ มีแชมพู สบู่เหลว ของ KOSE เตรียมไว้ให้อย่างดี!

เก็บข้าวของแล้ว ก็ควรจะออกไปหามื้อเช้าใส่ท้องกันสักหน่อย หิ้วท้องมาก็นานแล้ว ข้าวต้มหมู บนเครื่องบิน ป่านนี้คงย่อยหมดแล้ว

เราออกมาตั้งต้นกันที่หน้าโรงแรม เพื่อจะเดินออกไปเลี้ยวซ้ายที่สี่แยก ครับ

จากนั้น เราก็เดินมุ่งหน้าตรงไปตามทาง ที่เดินกันมาตั้งแต่แรกนั่นแหละ (รถคันสีขาวฝั่งซ้ายในรูป? Mitsubishi i ไงครับ)

เดินกันมาจนถึง ห้าง Bic Camera ทางฝั่งซ้าย และสถานีรถไฟ Nagoya อยู่ตรงหน้า

เราก็เดินลงบันไดเลื่อน ไปยังศูนย์กลางค้า รอบสถานีรถไฟใต้ดินนั่นละครับ

เราตระเวณหาของกินกันอยู่หลายร้านมาก ทว่า แต่ละร้าน ยังไม่เปิดบริการบ้างละ
หรือถ้าเปิดแล้ว ก็ไม่ตรงคอนเซพท์เราบ้างละ เพราะงานนี้  พวกเราตั้งใจจะกินกันแต่
อาหารญี่ปุ่น กันให้เบื่อไปข้างนึงเลยทีเดียว 

เดินวนไปวนมา ดูเหมือนจะมีร้านราเม็งร้านนี้ละครับ ที่ดูเข้าท่าที่สุดในยามนี้

ร้านนี้ เน้นขายราเม็ง ด้วยเส้นที่ทำขึ้นในสไตล์ ราเม็งนาโกยา
แถมมีเมนูมื้อเช้า เป็นข้าวให้อีกด้วย ราคาแค่ 600 เยนเท่านั้นเอง
เราก็เลย เดินเข้าร้านนี้กัน

บรรยากาศในร้าน พี่จิมเขาถ่ายมาได้ไม่มากครับ
เก็บมาได้แค่มุมมองากทางเข้าร้าน ฝั่งซ้ายมือจะเป็นโต๊ะนั่งกินคนเดียว
กับครัว แบบมาตรฐานของร้านญี่ปุ่นอย่างที่เห็นนั่นเอง

มาแล้ว มื้อเช้าของเรา เป็นข้าวเปล่ามา 1 ถ้วย ไข่ดิบแบบผ่านความร้อนพอจะสุก
(เขาเรียกว่าอะไรหว่า) 1 ฟอง ผักรูปแบบต่างๆ และ ซุปมิโซะ 1 ถ้วย

ของพี่เอนั้น เป็นบะหมี่ราเม็งน้ำ เป็นเส้น Kishimen
และมี Tenmusu มาให้ “Ten” ก็ย่อมาจาก tempura ส่วน “musu” ก็คือ “musubi”
และว่า ช้าวปั้นก้อนกลมๆ Tenmusu คือ ข้าวปั้นนั่นละครับ แต่มี กุ้งเทมปุระเล็กๆ
แปะมาให้ด้านบน มัดเอาไว้ด้วยสาหร่าย

ส่วนชามของพี่จิมนั้น เล่นชามหลักชามแนะนำของร้านเลย เป็น Kishimen เหมือนกัน
แต่มีกุ้งเท็มปุระมาให้ด้วยตัวนึง และมี Tenmusu มาให้เช่นเดียวกัน

 Kishimen นั้น เป็นเส้นราเม็ง แบบนาโกยา จะแบน
และเหนียวนุ่มกว่า เส้นราเม็งในแถบอื่นๆของญี่ปุ่น ครับ

รสชาติร้านนี้ ถือว่า อร่อยโอเค พอประมาณ เปิดไฟเขียวให้ผ่านการอนุมัติลงกระเพาะได้ครับ

พออิ่มกำลังดี เราก็เดินออกจากสถานีรถไฟ Nagoya กลับไปที่โรงแรม ไปพักผ่อนให้สบายสักนิดกันก่อน

จะว่าไป พอเดินออกมาจากสถานีรถไฟที่ผู้คนแสนจะพลุกพล่าน แล้วก็เดินไปตามทางเพื่อไปโรงแรมนั้น
บรรยากาศคนละเรื่องกันเลยครับ ระหว่างที่อยู่ในสถานีนั้น คนจะเยอะและจอแจ เสียงผู้คนคุยกันดังหึ่งๆ
ประหนึ่งว่าเป็นฝูงผึ้งงานกำลังออกหากินอย่างนั้นแหละครับ
กระนั้น พี่ชลธี บอกว่า ผู้คนยังไม่ดูรีบเร่งเท่าโตเกียว ยังเดินกันเรื่อยๆสบายๆอยู่ และบรรยากาศน่าอยู่กว่าโตเกียวครับ

แต่พอเดินออกมาจากสถานีรถไฟไปยังที่พักนั้น บริเวณถนนที่เดินไปนี่ เงียบมากเลยครับ ราวกับอยู่
คนละเมืองอย่างนั้นแหละ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่า เงียบมากๆครับ จะมีเพียงก็แต่รถที่วิ่งผ่านไปมา

หลังจากถึงโรงแรมเราก็พักผ่อนเอาแรงกันสักหน่อยก่อนครับ เพราะนั่งเครื่องบินมาตั้ง 6 ชั่วโมง
ตัวผมเอง จะหลับก็ไม่ได้หลับ พอกำลังจะหลับมันก็ตื่นขึ้นมาครับ ก็แหงละ เจ้าอ้วนคนที่นั่งข้างๆผมนี่
แกหลับสนิทครับ หลับจนกรนเลยแหละ ผมก็เลย เอ้อๆ ไม่หลับก็ได้ นั่งมองอะไรไปเรื่อยแล้วกัน

จนกระทั่ง ช่วง 11 โมงนั่นละครับ เราก็เลยนัดเจอกันอีกรอบ เตรียมจะเริ่มต้นทริปกัน
เดินลัดออกไปยังซอยที่ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงแรมพอดี เดินกลับไปยังสถานีรถไฟ Nagoya กันอีกครั้ง

ระหว่างเดินไป ก็เจอรถหายาก เลยถ่ายเก็บมาให้ดูครับ Lincoln Town Car
คันนี้ ดูเหมือนว่าจะมีวิ่งอยู่ในเมืองไทยด้วยแหะ

ส่วน ที่จอดรถตรงนี้ ก็มีรถแบบบ้านๆที่ คนญี่ปุ่นมักซื้อมาใช้กัน
แน่นอน คันซ้ายมือก็คือ Toyota Corolla AXIO พี่น้องกับ Altis บ้านเรา
นั่นแหละครับ แต่เป็นรุ่นตัวถังแคบกว่าบ้านเรา กว้างไม่เกิน 1.7 เมตร
เครื่องยนต์ ก็ 1.5 และ 1.8 ลิตร ส่วนคันอื่นๆ ที่จะมีแปลกไปหน่อย คือ
รถกระบะ Nissan BigM Frontier ที่โน่นเค้าเรียกชื่อ Datsun ไปเลยหนะครับ
นอกนั้น ก็ Toyota Town Ace Truck หรือจะเป็น Lite Ace Truck ก็ตามแต่
Toyota Fun CarGo และ Subaru Legacy รุ่นที่คุณสามารถหาข้อมูลได้
ในบทความของพี่แพน ในหน้าแรกของเว็บเรานั่นเองครับ

นอกจากจะมีที่จอดรถแบบพื้นราบแล้ว ยังมีการสร้างอาคารจอดรถกันหลายแห่งอีกด้วย
โดย รถจะเลี้ยวเข้าไปจอด ยังจานหมุน Turnrable แบบเดียวกับที่เขาเอาไว้โชว์รถ
ในงานมอเตอร์โชว์นั่นละครับ เจ้าของ ก็จะขับรถ เข้าไปเก็บยังที่จอดรถแบบลิฟต์
ระบบสายพาน แล้วก็เดินออกมา ระบบจะจัดเก็บรถขึ้นไปเอง โดยอัตโนมัติ

ถ้านึกไม่ออกว่าข้างในเป็นอย่างไร พี่จิมบอกว่า ให้นึกถึงระบบ “ชิงช้าสวรรค์” เอาไว้ครับ

แล้วเราก็เดินกลับมาถึงยังสถานีรถไฟ Nagoya Station อีกครั้ง…

แล้วเราก็เดินลงไปยัง ESCA Shopping Avenue กันอีกครั้ง

แม้จะยังพึ่งกินราเม็งกันไม่กี่ชั่วโมงก่อน แต่พี่วิชา พาเรามาร้านนี้ ด้วยอารมณ์ Proudly Present!!

เพราะพี่วิชา เปิดกางคู่มือท่องเที่ยวนาโกยาดู และร้านนี้ คู่มือที่ว่า แนะนำว่า มันคือสุดยอดที่สุดในนาโกยาแล้วละ ก็เลยพามาให้ได้ลองกัน

ชื่อร้านก็คือ Yabuton ของแท้สังเกตง่ายๆครับ มีรูป หมูซูโม่
ทำท่า ผีเสื้อสมุทร อยู่หน้าร้าน…

ส่วนคนใส่เสื้อสีดำนี่ พยายามทำท่าจะเลียนแบบ หมู หน้าร้าน ตัวที่ว่า
ได้ข่าวว่าคล้ายอยู่…

ร้านนี้ พวกเราถึงขั้นต้องเข้าคิวรอกันอยู่หน้าร้าน นานพอสมควร ถึงจะได้เข้าไปกินกัน

และทั่วทั้งสถานีรถไฟนาโกยา มีร้านนี้ร้านเดียว ที่จะต้องเข้าคิวกันหน้าร้านอย่างนี้ครับ

ทั้งที่ แต่ละเมนู ราคาค่อนข้างจะแพงมาก ถ้าเทียบกับระดับร้านอาหารทั่วไป ของญี่ปุ่น

ด้านหน้าก็เหมือนกับ ร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป ที่ต้องมีตู้โชว์ เมนูหน้าร้าน แต่ที่แปลกคือ เสื้อยืด แก้วน้ำข้างล่าง เกี่ยวอะไรกันละเนี่ย?

มองไปหน้าร้าน ดูเหมือนเขาจะมีของที่ระลึกทั้งหมดข้างบน กับน้ำซอสราดหมู สูตรสำเร็จ ขายเป็นกล่องอยู่หน้าร้านด้วย 

ร้านนี้ ชักจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดซะแล้ว…

บรรยากาศภายในร้าน มองมุมนี้ ก็เหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นยุคใหม่ๆ หลังปี 2000 ขึ้นมา โดยทั่วไป

แต่พอมองไปทางผนังร้าน ก็ต้องตกใจ โอ้โห มันอะไรกันเนี่ย!!
ร้านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆด้วยครับ เพราะเปิดสาขากันมาตั้งแต่ปี 1947 แล้ว
และมีการขยายสาขาไปเรื่อยๆ แถมยังมีการทำโครงการ คล้ายๆกับ
“แด่น้องผู้หิวโหย” ที่ประเทศกัมพูชา อีกด้วย!!!!! โว้วว ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย

จุดเด่นของ ทงคัตซึ เจ้านี้ พี่จิมบอกว่า ไม่ได้อยู่ที่การทำน้ำซอสราด
เพราะรสชาติ เมื่อกินเปล่าๆ ก็ยังธรรมดาแปลกๆ แต่พอรวมเข้ากับหมูทอดแล้ว
มันจะกลมกลืนสอดประสานเป็นเนื้อเดียวกันเลย ดังนั้น ส่วนหนึ่งอยู่ที่
กรรมวิธีการเลือกเนื้อหมู และการทอดหมูนั่นละครับ
พี่จิมถึงกับบอกว่า นี่คือ ข้าวหมูทอดทงคัตซึ ที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลย!!
มันละมุน ลงตัว กลมกล่อมอยู่ในช่องปากเรากันเลยทีเดียว!!

แต่พี่เอ ยังบอกว่า ทงคัตสึ เจ้านี้ ยังสู้ร้านในโตเกียว ร้านหนึ่ง
ที่คนญี่ปุ่นเคยพาไปกินเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้แหะ

ชักอยากรู้ซะแล้ว ว่าร้านนั้น อยู่ตรงไหนหนอ

ถ้าใครอยากจะมาลิ้มลองความอร่อยกันละก็
ร้านนี้ จะเปิดตั้งแต่ 11.00 น. รับออร์เดอร์สุดท้าย (Last Order)
เวลา 21.30 น. และร้านจะปิดตอน 4 ทุ่ม หรือ 22.00 น. นะครับ

เว็บไซต์ของร้านก็คือ www.yabuton.com เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ

แต่ถ้าใครอยู่ในโตเกียว อยากกินแบบนี้บ้าง เขาเพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ Ginza ครับ
อยู่ใกล้แยก Higashi Ginza ลองเข้าไปชมเว็บไซต์ได้ที่ ginza.yabuton.com

ถ้านักธุรกิจในไทยคนไหน ซื้อแฟรนไชส์ มาเปิดสาขาในบ้านเรา คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว! 

อิ่มกันแล้ว ก็เดินออกมา ยังด้านหน้าของ สถานีรถไฟ Nagoya
เดินมาเจอ รถ Taxi Nissan Bluebird Sylphy ดีเหมือนกัน ที่ได้เห็น
แท็กซี่ แบบแปลกๆบ้าง ไม่ใช่เห็นแต่ Toyota Crown Comfort กับ
Nissan Cedric กันอย่างเดียว

Taxi ใน Nagoya นี้ ราคาเริ่มต้น 2 กิโลเมตรแรก 670 เยน ครับ
ถือว่าถูกกว่าในโตเกียว ที่ล่าสุด ราคา เริ่มต้น 2 กิโลเมตรแรก
710 เยนกันแล้ว พี่จิมบอกว่า แพงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มาโตเกียวเลยจริงๆ

พอเดินออกมาแล้ว ก็จะพบกับ จุดที่สวยที่สุดของเมืองนาโกยากันละครับ…

ที่เห็นอยู่นี้ คือ ตึก Toyota Mainichi Building “Midland Square”
เป็นอาคาร ที่ Towa Real Estate และ หนังสือพิมพ์ Mainichi Shimbun
จับมือกันสร้างขึ้นมา (หนังสือพิมพ์ที่นั่นรวยขนาดนี้เลยเหรอ?)
ตึกนี้มีความสูง 247 เมตร มีความสูงทั้งหมด 40 ชั้น
เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2003 และเพิ่ง สร้างเสร็จเมื่อปี 2006 มานี้เอง
เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ สิ้นเดือนมนาคม 2007
และตอนนี้ ก็กลายเป็น อาคารที่สูงที่สุดใน Nagoya เรียบร้อยแล้ว

จุดเด่นของอาคารนี้อยู่ที่ การเป็นศูนย์การค้าชั้นเลิศที่สุด
รวมเอาร้านค้าแบรนด์ดังๆ ทั่วโลก กว่า 60 แบรนด์
และโรงภาพยนตร์ มากถึง 7 โรง มาอยู่ในอาคารเดียวกัน
ชั้นบนสุด เป็นจุดชมวิว ที่สูงที่สุด ของ Nagoya
ถ้าอยากจะขึ้นไปชม ละก็ แค่กดลิฟต์ ที่มีความจุ 66 คน
ใน 1 เที่ยว จะใช้เวลาขึ้นไปถึงจุดสูงสุด เพียงแค่ 40 วินาที เท่านั้น!!

และ นอกจากนี้ ตั้งแต่ชั้น 17 ถึง 40 จะเป็นพื้นที่ของ
พนักงาน Toyota ทั้งหมด ถึง 3,000 คน จาก 45 บริษัทในเครือ
ที่ย้ายสำนักงานมาจาก โตเกียว รวมทั้ยังมีโชว์รูมเล็กๆของ Toyota และ Lexus ในนี้อีกด้วย 

รายละเอียดตัวตึก เข้าไปดูได้ที่นี่

www.midland-square.jp/index.html

ส่วนโชว์รูมของ Toyota และ Lexus เราไม่ได้ไปเยี่ยมชม ดังนั้น แวะเข้าไปดูได้เองที่นี่

www.toyota.co.jp/showroom_midlandsquare/index.html

มองไปทางซ้ายมือของอีกฝั่งถนน ก็เป็นอาคารสำนักงานหน้าตามาตรฐาน ริมวงเวียนขนาดใหญ่ในตัวเมืองญี่ปุ่นนี่ละครับ

ด้านข้างฝั่งซ้ายมือจุดที่ผมยืนอยู่ เป็นห้างสรรพสินค้า Termina 

ด้านหลังของเราก็เป็นอาคารแฝด JR Central และ โรงแรม Associa นั่นละครับ

ส่วนฝั่งขวามือ ก็เป็นอย่างที่เห็น ซ้ายมือของรูปบน เชื่อมต่อกับตึก Toyota คือ ห้าง Midland Square นั่นเอง

แล้วเราก็โชคดีที่ได้เห็น Honda Beat รถ K-Car เปิดประทุน เครื่องยนต์วางกลางแบบ MR ที่เลิกทำขายไปตั้งแต่ 1993 แล้ว

ขณะที่อีกฝากหนึ่งของถนน รถพยาบาล Nissan Paramedic
ที่เอาครึ่งคันหน้าของ Elgrand ตัวเก่ามาต่อสวมเข้าไป
กับบั้นท้ายของ Nissan Urvan ก็วิ่งผ่านไป แถมยังเปิดหวอลั่นสนั่นหวั่นไหว

ได้ยินว่า รถพยาบาลที่นี่ วื่งกันค่อนข้างบ่อย เพราะว่า ผู้คนส่วนใหญ่
ทำประกันชีวิตกันเยอะ ก็เลยเรียกใช้กันง่าย ไม่ค่อยเหมือนเมืองไทย

และนี่ก็เป็นอีกทัศนียภาพ เมื่อเดินกลับลงมาจากบันไดขึ้นห้าง Takashimaya และอาคาร JR Central

ด้านบนของตึก Toyota Midland Square รูปนี้ พี่จิมถ่ายครับ

เอาละ ตอนนี้ เราจะเดินย้อนกลับขึ้นไปด้านบนกัน แล้วเลี้ยวขวา

เพื่อไปเจอ….เอ่อ พี่ครับ โซ้ยกันตรงนี้เลยเหรอครับพี่…..

เป่านะครับ เราไม่ได้ตั้งใจจะเจอ ตี๋ญี่ปุ่นโซ้ยมื้อเที่ยงตะกี้กี้นี้ แต่เราจะพามาที่ท่ารถประจำทาง ซึ่งตั้งอยู่บนห้าง Termina

เราจะมาขึ้นรถประจำทาง ไปดูปราสาทนาโกยา (Nagoya Castle) กัน ต่างหาก

รถประจำทางที่เราไปใช้บริการนี่ เค้าจะมีท่าสำหรับจอดรถประจำทางโดยเฉพาะครับ
แล้วก็จะกำหนดเป็นแต่ละสายๆไป ว่าสายนี้ไปที่ไหน อะไรก็ว่ากันไป

ทางเดินยังเป็นสีเขียวแบบดั้งเดิมโบราณ แต่มีทางเดินสำหรับผู้พิการทางสายตาสีเหลืองให้เห็นโดยทั่วไปครับ

กลับหลังหันจากฝั่งที่เราเดินมาเจอภาพทางลงข้างบน ก็จะเห็น พี่เอ ยืนกอดอก วัดส่วนสูงกับตู้ขายเครื่องดื่มของ Coca Cola อย่างนี้

รถประจำทางที่นี่ส่วนใหญ่ เป็นรุ่น พื้นเตี้ย คล้ายรถเมล์จากจีน ในบ้านเรานั่นละครับ แต่ที่ญี่ปุ่นมีมานานมากแล้ว

ทุกคันเป็นรถปรับอากาศทั้งหมด เวลาเดินขึ้น ลง ก็ต้องต่อแถวเข้าคิวกัน ใคร แซง นี่มีอันโดนด่าเละแน่ๆ

รถประจำทาง จะพาวนลงจากท่ารถ ผ่านไปยังตึกจอดรถ ของห้างนั่นเอง…

มาหยุดที่ทางออก และต้องเลี้ยวขวา ไปทางวงเวียนข้างบนที่เราถ่ายรูปให้เห็นกันนั่นละครับ

ส่วนรถคันนี้ Toyota iSt รุ่นแรก (ตกรุ่นไปนานแล้ว) เครื่องยนต์กลไก 1.5 ลิตร ก็ใช้ร่วมกับ Yaris และ Vios บ้านเรานั่นละครับ

บรรยากาศภายในรถประจำทางของเมือง Nagoya มีที่นั่งสำหรับผู้พิการให้ด้วย

จะว่าไป ก็ไม่ถึงกับต่างจากในกรุงเทพฯนักแหะ แต่ดูดีกว่ากันพอสมควร สะอาดสะอ้านดีกว่า

พอขึ้นรถได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกรถ คนขับก็จะพูดแนะนำตัวว่า เค้าชื่ออะไร
วันนี้จะมาให้บริการแก่ผู้โดยสารนะครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจเลือกใช้บริการ
รถประจำทางนะครับ อะไรประมาณนี้

อันนี้พี่วิชาเค้าแปลให้ฟังนะครับ ผมเองก็ฟังไม่ออกหรอก เอาจริงๆคือ
มาญี่ปุ่นทริปนี้ ก็ได้ พี่วิชานี่ล่ะครับ ที่เป็นไกด์และเป็นล่ามไปด้วยในตัว วีไอพีจริงๆเลย

รูปนี้จะเรียกว่าเป็นเด็กแว๊นญี่ปุ่นได้หรือเปล่าเนี่ย..อิอิ สีรถ กับสีเสื้อ ตัดกันอย่างรุนแรง

รถที่ผมเห็นส่วนใหญ่ในเมืองนาโกยานี้นี่ จะเป็นรถประเภท เคคาร์ซะเยอะครับ แล้วก็จะมีรถประเภทอื่นๆ
พวกเอสยูวี รถมินิแวนก็มีครับ หรือจะเป็นรถเก๋งขนาดคอมแพคท์หรือมิดไซส์ก็มีครับ แต่ที่ผมเห็นแล้วงงเลย
ก็คือ Lexus LS460 ที่นี่วิ่งกันเยอะใช้ได้เลยครับ อย่างว่า ราคารถบ้านเค้าถูกนี่นา มาบ้านเราราคาทะลุไปนู่นเลย 10 ล้าน

ตรงมาสักพัก เราเลี้ยวซ้ายที่แยกนี้ เพื่อมุ่งหน้าต่อไป ยังจุดหมายของเรา ตรงอย่างเดียวครับ

ระหว่างเดินทาง พี่จิม เค้าเริ่มรู้สึกว่า มาญี่ปุ่นคราวนี้
พฤติกรรมการใช้รถของคนญี่ปุ่น เริ่มเปลี่ยนไป
คือ เราจะเห็น Toyota PRIUS รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ Hybrid มากขึ้น

แต่….เดี๋ยว… นี่เราเพิ่งถ่ายคันแรกไป คันที่ 2 ก็โผล่มาให้เห็น…

แล้วก็คันนี้อีก….ถ้า ในเวลา 10 วินาที เราเจอ Prius รุ่นเก่า รวดเดียว 3 คันเลยนี่
ต้องถือว่า มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา บนท้องถนนญี่ปุ่นแล้วละ!
เพราะในอดีต เราจะเห็น Toyota Corolla หรือไม่ก็ Suzuki Wagon R
กันเยอะมากๆ แต่ทำไมงวดนี้ รายหลังหนะยังอยู่ แต่รายแรก หรือ โคโรลล่าหนะ
น้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเลย!

จะว่าไป ก็สอดคล้องกับรายงานยอดขายรถยนต์ในญี่ปุ่น ที่พี่ HOMY DEMIO
ทำบทความให้เราอ่านกันทุกเดือน นั่นเลยว่า ตอนนี้ ยอดขายของ Corolla
มันเริ่มลดน้อยถอยลงไปจากเดิมเยอะมาก จนล่าสุด หล่นลงไปอยู่ในอันดับที่ 15
จากตารางรถยนต์ขายดี Top 30 อย่างแทบไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบ 30 ปี

เหตุผลมันก็ไม่มีอะไรมากครับ ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่น ลดภาษีเป็นพิเศษ
ให้กับผู้ที่ซื้อรถยนต์ ประหยัดพลังงาน หรือ รถยนต์ Hybrid ทำให้โครงสร้าง
ของภาษี รถยนต์ แบบ Kei-Jidosya หรือ K-Car (เครื่องยนต์ไม่เกิน
660 ซีซี ไม่เกิน 64 แรงม้า กว้างไม่เกิน 1,475 มิลลิเมตร
ภาษีรถยนต์ประเภท 5 Number  หรือเครื่องยนต์ไม่เกิน 2.0 ลิตร ไม่เกิน 200 แรงม้า
กว้างไม่เกิน 1.7 เมตร และภาษีรถยนต์ประเภท 3 Number หรือรถยนต์มาตรฐาน
ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าทั้ง 2 ประเภทข้างต้นทั้งหมด มันผิดเพี้ยนไปเยอะแยะ
กระจุยกระจายเลยทีเดียว กลายเป็นว่า รถบางรุ่น แม้ว่าขนาดจะเกินพิกัด
แต่ก็จะได้สิทธิพิเศษ การลดหน่อยภาษี ที่เกี่ยวข้องจากรัฐบาล
ผลก็คือ เสียภาษีถูกกว่า รถยนต์ตัวถังเดียวกัน เครื่องยนต์เดียวกัน
แต่ต่างระบบขับเคลื่อน และระบบส่งกำลัง เท่านั้นเอง!

เมื่อรถประจำทาง มาถึง อาคารที่ทำการ -ข้างบนนี้ หรือเรียกง่ายๆว่า
ศาลาว่าการจังหวัด Aichi (Aichi Prefectural Government Main Building)

และ Nagoya Shiyako Sho หรือ Nagoya City Hall นั่นหมายถึงว่า เรามาถึง
จุดหมายของเราแล้ว ป้ายรถประจำทาง อยู่ข้างหน้านี่เอง

ค่ารถเมล์ คนละ 200 เยน มากัน 5 คน ก็ 1,000 เยน ครับ
หยอดเงินลงบนช่องด้านบน หรือ ถ้ามีบัตรโดยสารรายเดือน
ก็เสียบบัตรที่ช่อง สีเหลือง นั่นละครับ รับเงินทอน ก็รอที่ ช่องสีดำๆ
ที่ยื่นออกมานั่นละครับ เป็นระบบ ขึ้นก่อน จ่ายทีหลัง

ลงจากรถเมล์ ออกจะงุนงงเล็กน้อย เพราะเล่นทำป้ายรถเมล์กัน
บนเกาะกลางสี่แยกเลยทีเดียว! คุ้นๆว่า รูปแบบนี้ มันควรจะมาอยู่
บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ในกรุงเทพฯ บ้านเรามาตั้งน่านแล้วนี่หว่า
แล้วทำไมยังไม่มีกันสักทีละเนี่ย?

และนี่คือ อาคาร Nagoya Shiyako Sho หรือ Nagoya City Hall

หันหลังกลับไป นี่คือป้ายรถเมล์ ที่เราเพิ่งเดินลงมา

และนี่คือรถประจำทางที่เราใช้บริการ เขียนข้างรถไว้ว่า Nonstop Bus ถ้า Nonstop จริง แล้วจะมาหยุดปล่อยเราลงที่นี่ทำไมหว่า?

(อ้าว อีนี่ก็เข้าใจถามเนอะ ถ้ามันไม่หยุด แล้วแกจะเดินลงจากรถมาได้ยังไง หา?)

สี่แยกอันกว้างใหญ่ มองไปทางซ้าย คือพื้นที่ของปราสาทนาโกยา

มองไปทางขวา ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่หน้าตาดูคล้ายๆ โรงพยาบาลหนะครับ แฮ่ๆๆ

ทีนี้ เราก็คงต้องเดินข้ามถนนกันละ
เพิ่งสังเกตเห็นว่า ในรูปนี้ มีรถรุ่นหายากในญี่ปุ่น (แต่หาง่ายชะมัดในเมืองไทย)
จอดติดไฟแดงอยู่ด้วย…คันสีน้ำเงินนั่นละครับ Toyota Hilux Xtra Cab 4×4

พอข้ามถนนได้ ก็เลี้ยวซ้าย เดินลัดเลาะไปตามทาง ตามหลังคุณลุงกับคุณป้า 2 คน
ซึ่งพอเดินไปเรื่อยๆ สักพัก ทั้ง 2 คนนี้ หายหัวไปไหนก็ไม่รู้

เราเริ่มขำ และเริ่มแซว พี่วิชาแล้วละ “เอ๊ะ สงสัยพี่วิชา พามาหลงแล้วม้างงงง”
โปรดสังเกตดู ท่าเดินพี่เอ…ที่เริ่มเปลี่ยนไป….(รูปนี้พี่จิมถ่ายนะครับ ผมไม่เกี่ยว อิอิ)

เดินไปเรื่อยๆ เสียงรถอะไรหว่า แผดเสียงสำเนียงแว่วจนเริ่มดังกระทบแก้วหู

โธ่เอ้ย Ferrari 355 Spyder หนะเอง…เร่งเครื่องซะดังอย่างกับจะรีบไปไหน

เราก็เริ่มแซวกันเลย เฮ้ย! แบบนี้ ตำรวจนาโกยา หายไปไหนกันหมด

ในที่สุด ความพายามของเรา ก็ ประสบผลสำเร็จ….
แค่เดินเลี้ยวขวาจากแยกข้างหน้าเข้าไป
เราก็มาถึงแล้ว……..ปราสาม นาโกยา (Nagoya Castle)

ถึงตรงนี้ คงต้องขอเก็บเรื่องราว ของทริปในวันแรกที่ผมและพี่จิม อยู่ในเมือง นาโกยา
กันไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ เพราะรูปที่ พี่จิม เตรียมเอาไว้นั้น มันมากถึง 258 รูป
ขืนโพสต์ตูมเดียว มีหวังคุณผู้อ่าน คงโหลดไป อ่านไป หลับไป ลุกตื่นขึ้นมาด่าไป
ว่า ทำไมมันเยอะแยะมากมายขนาดนี้วุ้ย

ตอนต่อไป จะพาไปเที่ยวชมภายในปราสาท นาโกยา รวมทั้ง มื้อเย็นสุดอลังการ
และสีสันเล็กๆน้อยๆ ยามค่ำคืน ในตัวเมืองนาโกยา ก่อนที่พี่จิม จะพาไปชมพิพิธภัณฑ์
Suzuki Plaza Reishinkan รวมทั้ง พานั่งรถไฟ Shinkansen เข้าโตเกียว พาไปชม
Super Autobacs Tokyo Bay และ Mega Web  2 สถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย
เมื่อไปเยือนโตเกียว ในลำดับต่อไป

โปรดคอยติดตามอ่านครับ

———————————————————————

Spacial Thanks :
ขอขอบคุณ :

บริษัท TOA Paint (ประเทศไทย) จำกัด

โดย คุณ วนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ (พี่เอ)
ประธานกรรมการบริหาร

คุณวิชา เจ็งเจริญ
Senior Manager
Automotive Bussiness Department

และ คุณชลธี คชา
ผู้จัดการทั่วไป

———————————————————————–

ชยากร บุญมา (BnN : BaNaNa)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมดเป็นผลงานของผู้เขียน และ J!MMY
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
4 พฤศจิกายน 2009

Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 4th,2009 

 

แสดงความคิดเห็น เชิญคลิ๊กได้ ที่นี่ครับ