ก่อนจะเริ่มต้นเดินทางกันต่อ อยากจะขอขอบคุณทุกท่านมาๆครับ ที่ติดตามอ่าน
บทความท่องเที่ยวญี่ปุ่นของผม รวมทั้ง เพื่อนสมัยเรียนที่ทักทายมาด้วย หลังจาก
บทความตอนแรกถูกเผยแพร่ออกไป

ความเดิมจากตอนที่แล้ว หลังจากเราเดินอ้อมโลกมาซะไกล จนเหนื่อยพอเป็นพิธี
ในที่สุด เรามาถึงบริเวณด้านหน้าของปราสาทนาโกยาแล้วครับ

มาถึงด้านหน้าแล้ว ก็ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันไว้ ตามธรรมเนียมนักท่องเที่ยว
กันสักหน่อย พี่ชลธี ยังยิ้มได้ สบายอยู่ เดินแค่นี้ ชิลๆ
แต่โปรดดูสีหน้าของ พี่ เอ ให้ดีนะครับ นั่นนะ ทำท่าจะไม่ไหวอยู่แล้วนะนั่น
สงสัยพี่เอ คงนึกในใจ “มันไม่มีทางเดินลัดไปกว่านี้แล้วหรือไงฮะ? คุณวิชาๆๆๆ”

อิอิ

ซุ้มประตูทางเข้า เมื่อมองสะท้อนแสงแดดยามบ่ายนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความงดงาม และความยาวนานของประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่

ก่อนจะเดินเข้าไป ก็ต้องซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทกันก่อน
ราคาคนละ 500 เยน ก็ตกราวๆ 185 บาท ต่อหัว ครับ

และตรงทางเข้าด้านหน้านี้ ก็มีหุ่นจำลองของ เจ้าหญิงฮารุตั้งแสดงอยู่ทางด้านซ้ายมือครับ

เจ้าหญิงฮารุเป็นภรรยาของ โทคุกาวา โยชินาโอะ ผู้ซึ่งเป็นขุนนางลำดับชั้นแรกของ
Owari Domain  (โอวาริ เป็นระบอบการปกครองแบบศักดินาของญี่ปุ่นสมัยโบราณในยุคเอโดะ)
เดิมเป็นลูกสาวของ อาซาโนะ โยชินากะ ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองวาคายามา ในจังหวัดไคอิ
และต่อมาเจ้าหญิงฮารุก็ได้แต่งงานกับโยชินาโอะในปี 1615 ครับ

พอเข้าซุ้มประตูใหญ่มาแล้ว มองมาทางขวา ก็จะเจอกับมุมประชาสัมพันธ์
สำหรับ สอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ มีห้องน้ำ ตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติครับ
แวะเข้าห้องน้ำซักครู่แล้วเราก็เดินเข้าไปกันต่อ

หลังจากเดินลัดเลาะมาตามทางเดิน ก็มาถึงตัวปราสาท กันแล้ว

แสงยามบ่าย ตัดกับขอบหลังคาสีเขียวของตัวปราสาท ดูสวยดีครับ

บริเวณฐานปราสาท รายล้อมรอบด้วยคู ที่ขุดเอาไว้ ป้องกันการบุกเข้ามาโจมตีของข้าศึกได้โดยง่าย

ดูเหมือน การสร้างพื้นที่น้ำ ล้อมรอบ ปราการสำคัญทางยุทธศาสตร์โบราณนั้น มีด้วยกันทุกชาติเผ่าพันธ์ ไม่เว้นแม้แต่เมืองไทย

ในระหว่างที่เราไปเยี่ยมชมกันนั้น ทางปราสาท กำลังก่อสร้าง
Hommaru Palace ขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการขอรับบริจาค ระดมทุน เพื่อจัดสร้าง โครงหลังคา
ครอบตัวประสาทเดิม

และแน่นอน เราก็ต้องเดินไปยังตัวปราสาท ผ่านเส้นทาง ที่ทำขึ้นมาให้เดินอ้อมกันเล่นๆ
เพื่อหลบหลีก พื้นที่การก่อสร้าง ปราสาท Hommaru แหงละ คงไม่มีใครเดินทะลุเข้าไป
ในเขตก่อสร้างกันหรอกนะครับ

ปราสาทนาโกยา ได้ถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งของ โทคุกาวา อิเอยาสึ ผู้ที่ทำให้ญี่ปุ่น
สามารถรวมชาติกันได้เป็นปึกแผ่น มาจนถึงทุกวันนี้ โดยปราสาทได้สร้างแล้วเสร็จ
เมื่อปี ค.ศ.1612 จนกระทั่งมาถึงยุคการปฏิรูปเมจิ ซึ่งเป็นยุคที่จักรพรรดิเมจิมหาราช
ได้ทำการรื้อฟื้นอำนาจการปกครองของจักรพรรดิขึ้นมา

ปราสาทนาโกยา เป็นที่พำนักของ ต้นตะกูล โอวาริ ในครอบครัว โตกุกาวา
ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่เก่าแก่ที่สุด จากทั้งหมด 3 ตะกูล

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนพฤษภาคม 1945 ปราสาท นาโกยาได้รับความเสียหาย
จากการทิ้งระเบิดของเครื่องบินจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ แต่ทว่า หอคอยทั้งสามหอ
ประตูทั้งสามด้าน และภาพเขียนต่างๆที่อยู่ในปราสาท ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก 

ดังนั้น ในเวลาต่อมา ตัวปราสาท จึงได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตัวอาคารเป็นคอนกรีต แบบปัจจุบัน
โดยคงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบเดิมของปราสาทเอาไว้ ส่วนภาพเขียนภายใน
ที่ไม่ได้รับความเสียหาย ก็ถูกส่งไปเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี

สัญลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเมืองนาโกยา ก็คือ Kinshachi หรือ Golden Dolphins
หรือปลามังกรนั่นเองครับ (ถ้าแปลตามภาษาอังกฤษมันคือปลาโลมาทองคำ แต่ผมดูยังไง
ก็ไม่เห็นจะเป็นปลาโลมาซะทีแฮะ) เจ้าปลามังกรที่ว่านี่ ได้ถูกนำไปติดไว้บนแนวสันหลังคา
ของปราสาทนาโกยาตั้งแต่สมัยเริ่มสร้างครั้ง แรก แต่พอมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ปลามังกรที่ว่าก็ถูก ทำลายจากการทิ้งระเบิดเช่นกันครับ แต่ต่อมาก็ได้มีการสร้างแบบจำลอง
ขนาดเท่าของเดิมขึ้นมา แล้วนำไปไว้บนยอดปราสาทเช่นเดิมครับ

ตัวปราสาท นาโกยา มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยที่เราจะเริ่มเดินตั้งแต่ชั้น 7 ลงมาที่ชั้น 1 ครับ
เดินตามแรงโน้มถ่วงโลกนี่ล่ะ จะได้ไม่เหนื่อย และ แน่นอน เราจะเดินขึ้นลิฟต์ กัน

จนขึ้นมาที่ชั้นบนสุดของตัวปราสาทครับ เป็นชั้นที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีมาก อีกแห่ง ของเมืองนาโกยาครับ
ชั้นบนนี่ มีร้านขายของที่ระลึกด้วย ผมก็เลยสอยปลามังกรมาฝากคุณแม่หนึ่งตัว

ถ้าใครอยากจะเห็น ทิวทัศน์ของ เมืองนาโกยา ที่ไกลออกไปกว่าสายตาจะมองเห็น
ขอแนะนำ…กล้องส่องทางไกล หยอดเหรียญ 100 เยน ใช้ดูทิวทัศน์รอบๆของนาโกยาครับ

และนี่คือ ทิวทัศน์ด้านบนของเมืองนาโกยา ครับ ลองทายสิ 2 รูปบนกับล่างนี้ต่างกันตรงไหน?

เฉลย…ต่างกันที่ หัวนก หันต่างกัน…แค่นั้นเลย

(แล้วพี่จิม จะเอามาลงซ้ำทำไมวะเนี่ย?)

อีกด้านหนึ่ง ของตัวปราสาท จากทิศที่เราเดินอ้อมโลกเข้ามา (จำตึกโรงพยาบาลฝั่งขวามือได้ไหมครับ นั่นละ จุดที่เราลงรถเมล์กัน)

และนี่ก็เป็นอีกฝากหนึ่งที่เหลือ…

ภายในตัวอาคาร เราเดินลงมาจากชั้น 7 มาอยู่ที่ชั้น 6 ซึ่งจัดแสดงแบบจำลองโครงสร้างตัวปราสาท ที่ทำขึ้นมาใหม่

แล้วก็มีเครื่องเล่นให้ลองเล่นกัน เป็นแบบจำลองของการลากหินในสมัยก่อน
ที่การก่อสร้างยังใช้แรงงานคนในการฉุดลากหินขนาดต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างครับ
แต่ตัวผมไม่ได้เล่นหรอกนะ แค่เห็นเค้าลากกันก็พอละ เดี๋ยวแขนหลุด ฮ่าๆๆๆๆ

นอกจากนี้ยังมีภาพวาดจำลองบรรยากาศในเมืองนาโกยา สมัยโบราณครับ
ความยาวของภาพนี้ ยาวกว่า ฝาบ้านของเราๆท่านๆ ไปมากโข

แล้วก็ยังมีอาวุธปืนยาว ในสมัยโบราณ ไม่นานเท่าไหร่จากปัจจุบัน จัดแสดงด้วย

 

รวมถึง…นี่เลยครับ โซ่ แส้ กุญแจมือ ครบสูตรเลยเนอะ

จริงไม่ใช่หรอกครับ ที่เห็นในภาพข้างล่างนี้ ด้านล่างสุดเป็นนกหวีด
ด้านบนนั้นเป็นกุญแจมือ ส่วนทางขวาเป็นกระบอง

ส่วนรูปข้างล่างนี้ เป็น หมวกของทหารที่ใช้ในการออกรบ
ฝั่งขวามือนั้น เหมือน ดาร์ธ เวเดอร์ ใน Star Wars ไหมครับ?

ถ้าคิดว่ารูปข้างบนหนะ เหมือนแล้ว ดูรูปข้างล่างนี้
ผมว่าเหมือนกว่าอีก มากันครบเซ็ตเลย!

นี่ เป็นชุดเกราะสมัยโบราณ ผมเองก็ไปยืนจ้องดูชุดอยู่เหมือนกันนะ
แต่ตอนที่จ้องเนี่ย ดันไปจ้องตรงส่วนที่เป็นหน้า นึกอยู่ในใจเหมือนกัน
เกิดมีใครโผล่หน้า แฮ่! ใส่นี่ สงสัยคงหัวใจวายตรงนั้นแน่นอน

 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงสภาพบ้านเรือนร้านรวง จำลอง
ครัวเรือน และอาหารการกิน ในนาโกยา ยุคสมัยโบราณ ให้ชมกันอีกด้วย…
อย่าง เรือนนี้ เป็นเรือนขายตำรับตำรา

ที่ตั้งอยู่ข้างกันนั้น เป็นบ้านคน ญี่ปุ่น ขนาดเล็กๆ ครับ

แต่รูปข้างล่างนี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องเท่าไหร่นะ….
อุตส่าห์ ให้พี่เอ ช่วยถ่ายให้….

พี่จิมเค้าให้ชื่อรูปนี้ว่า “วิวัฒนาการของป้ายทางออกฉุกเฉิน”

ช่างอุบาทว์จริงจริ๊งงงงงง ทำไปได้นะนั่น……

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดง โครงสร้างจำลอง การปลูกสร้างอาคารบ้านเรือน และการวางโครงหลังคา ในสมัยก่อน

มีการจัดแสดงห้องพัก ในสมัยโบราณ ของบุคคลสำคัญ ในตัวปราสาท

รวมทั้งการจัดแสดงอาหารการกิน ในสมัยโบราณ

พี่เอ ถามด้วยความงุนงงว่า “เอ่อ มันต่างจากไอ้ที่กินๆกันปัจจุบันตรงไหนครับเนี่ย? ผมยังดูไม่ออกเลย”

เห็รูปข้างบนนี้แล้ว เริ่มรู้สึกว่า ข้าวหมูทงคัตสึที่พึ่งกินมา มันละลายหายไปในกระเพาะหมดแล้ว

ส่วนรูปนี้ คือ บริเวณครัว ในสมัยโบราณ สีดำๆ ฝั่งซ้ายมือนั่นคือ เตาโบราณ นะครับ ใช้ฟืนในการประกอบอาหาร

ส่วนนี่ เป็นห้องทำงาน หรือห้องอ่านหนังสือ ในสมัยก่อน จะมีหนังสือต่างๆ เก็บเอาไว้ ในระดับไม่สูงมากนัก

แล้วเราก็เดินลงมาถึงชั้นล่างสุด ซึ่งจัดแสดงโรงภาพยนตร์ 3 มิติ ไว้ แต่ด้วยเวลาอันจำกัด เราจึงไม่ได้เข้าไปชมครับ 

พื้นที่นี้ จัดแสดง แบบบ้านโบราณ ในสมัยอดีต ของเมืองนาโกยา จำลองเอาไว้ให้ชมกัน

พี่จิมบอกว่า อยากขนกลับมาบ้านจังเลย… (-_-‘) 

นอกจากจะจำลองแบบบ้านให้ดูแล้ว ยังมีพิมพ์เขียว มาจัดแสดงให้ดูควบคู่กันไปเลย

และไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการจำลองแผนผังเมืองนาโกยา ในสมัยโบราณ ให้ชมกันอีกด้วย จะเห็นว่ามีการจัดวางผังเมืองไว้อย่างเป็นระเบียบ

เอาเข้าจริงๆ เมืองนาโกยา สมัยก่อน ก็มีขนาดไม่ใหญ่โจนัก เมื่อเทียบกับในสมัยนี้แหะ..

ปราสาท นาโกยา นี้ แม้ว่าเป็นปราสาท ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ตามพิมพ์เขียวแต่ ก็มีความพยายามในการรักษาบรรยากาศดั้งเดิมเอาไว้

สังเกตได้จาก โครงไม้ที่เห็นอยู่นี้  ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ดูสวยงาม เมื่อสะท้อนกับแสงแดดยามบ่าย

ก็

เดินลงมา ก็เหนื่อยและ หิวกระหาย พี่จิม เดินตรงรี่ไปยัง
ตู้กดขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ หลังจากที่พี่ท่านเพ่งอยู่นานพอดู
เพราะไม่รู้จะเอาอะไรดี เห็นว่ามี น้ำอัดลมยี่ห้อ Dr.Pepper อยู่
ด้วยความอยากรู้ว่า ทำไม มันถึงขายไม่ค่อยดีในอเมริกา 
ก็เลยลองหยอดเหรียญ กดออกมามาชันสูตรกัน

ดูๆไปแล้ว ตอนแรก ด้านหน้ากระป๋องของ Dr.Pepper มันก็โอเคอยู่หรอก

แต่ดูด้านหลังกระป๋องสิครับ…คนออกแบบเขาจบ ด้าน Packaging Design มาจริงหรือเปล่าเนี่ย?
ทำไมมันดู เต็มไปด้วย ฟันแหลมๆ รั้วลวดหนาม ทิ่มไปทิ่มมาแบบนั้นกันเนี่ย? มันจะกัดนิ้วคนดื่มเข้าไปไหมหว่า?

แถมรสชาติหนะ…ตอนแรก ผมก็ว่าจะขอลองสักหน่อย
แต่พี่จิม ลองจิบเข้าไปดู…เท่านั้นแหละ ก็ทำหน้าอย่างที่เห็น…
ผมก็เปลี่ยนใจแทบจะทันที พี่จิมบอกว่า รสชาติ เหมือนยาแก้ไอของเด็ก

ดังนั้น….สถานที่สุดท้าย ที่มันควรจะไปอยู่ (โดยด่วน) ก็คือ…ถังขยะ!

(ไม่พอใจแล้วก็ทิ้ง ตัวอย่างไม่ดีนะครับ กินทิ้งกินขว้างแบบนี้ ไม่ดีๆ)

หลังจากเดินชม Nagoya Castle กันจนหมดเปลือกแล้ว ก็ถึงเวลากลับ
คราวนี้ เราเดินออกมายังอีกทางออกหนึ่ง ซึ่งใกล้กับสี่แยกแรกที่เราเดินข้ามถนนมา
ตั้งเยอะ ทำให้ ย่นระยะเวลา และระยะทาง ไปได้มากโข เล่นเอา พี่วิชา
โดนชาวคณะ แซวตลอดทาง ว่า พาหลง ก็บอกมาตรงๆ ก็ได้ๆๆๆๆ

แต่แน่นอน ครับ มือชั้นนี้แล้ว พี่วิชา มีหรือจะยอมรับกันง่ายๆ
ปฏิเสธเป็นพัลวัน ขำกันแทบงอหายทั้งก๊วนเลยทีเดียว

เราแอบเก็บภาพ Volkswagen Beetle ที่บังเอิญไปเจอ มาฝากกันครับ พวงมาลัยซ้าย
ปรับสภาพมาอย่างดีแบบนี้ หายากมากแล้ว พี่จิมบอกว่า ตั้งแต่มาญี่ปุ่น 4 ครั้ง
เพิ่งเห็น โฟล์กเต่า คันนี้ก็คันแรกนั่นแหละ!

 

ขามา เราใช้บริการรถประจำทาง คราวนี้ ขากลับ เราเปลี่ยนบรรยากาศ
เป็นนินจาดำลงดินกันบ้าง เราเดินลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ชื่อ Shiyaku Sho (City Hall)
(Prefectural Office)

ซึ่งสถานีนี้ จะสามารถออกไปพบได้ทั้ง โรงละคร โนะ อันเป็นศิลปะการแสดงโบราณ
อันสวยงามขึ้นชื่อที่สุดอีกประการหนึ่งของญี่ปุ่น ยิมเนเซียม หรือศูนย์กีฬา ประจำจังหวัด Aichi
การประปาของญี่ปุ่น และสำนักงานเพื่อการเกษตร แห่งเขต โตไก

บรรยากาศอย่างนี้ ถ้าเป็นในบ้านเรา ก็นึกถึงรถไฟใต้ดิน MRT นั่นละครับ
จะว่าไป ก็ถือเป็นครั้งแรกของผมที่ได้ใช้บริการรถไฟท้องถิ่น
รถไฟใน นาโกยา นั้น มีการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างจังหวัด
รวมทั้ง รถไฟ ที่ให้บริการในตัวเมือง และเชื่อมรอบเมือง อีกนิดหน่อย

พอจะต้องซื้อตั๋ว เอาแล้วไง แผนที่รถไฟ ยุบยับไปหมด
พี่จิมบอกว่า นี่ยังไม่เท่าโตเกียว แต่ก็มึนงงพอกันเลยแหะ แล้วเราจะไปกันยังไงละเนี่ย
จุดหมายของเราคือสถานีรถไฟ Nagoya Station ที่เดิม นั่นเอง

เครื่องขายตั๋วรถไฟอัตโนมัติที่นี่ ไม่เหมือนกับในโตเกียว
แม้จะมีภาษาอังกฤษบอกที่ป้ายข้างบน แต่ ที่เครื่องหนะไม่มี
ดังนั้น ลำบากหน่อยนะครับ แต่ไม่ยากเกินความสามารถคนไทย
โดยเฉพาะพี่วิชาหรอก เซียนญี่ปุ่นมาเองขนาดนี้

จากจุดที่เรายืนอยู่นี้ กลับไปยังสถานี Nagoya Station
ค่าตั๋ว หัวละ 230 เยน ครับ ซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เราก็ต้องเดินผ่านเข้าไป
ยังเครื่องบันทึกเวลา เอาไว้อย่างที่เห็น สังเกตไหมครับว่า ไม่มี
แถบสามเหลี่ยมกั้นเหมือนของบ้านเรา ที่นี่ยังมีช่องทางสำหรับ
คนพิการนั่งรถเข็นด้วย ตรงนี้ก็เหมือนบ้านเราแหะ

ซื้อตั๋วเสร็จ ก็ลงเดินมายังชานชาลา ใต้ดิน ซึ่ง..เต็มไปด้วย สาวๆในชุดนักเรียน..

คุณผู้อ่าน อาจจะสงสัยว่า ไหนละ สาวๆในชุดนักเรียน เปล่าครับ ต้องฝั่งนี้ต่างหาก…

 

แล้วรถไฟขบวนที่เราจะเดินทางไป ก็มาถึง สงสัยเหมือนกันว่า พี่คนซ้ายสุดในรูปนี่ จะทำหน้าดุไปไหนหนอ

บนรถไฟแต่ละขบวนในญี่ปุ่นนี่ จะมีที่นั่งเรียกว่า Priority Seat ครับ ถ้าดูตามรูปข้างล่างนี้ ก็จะเป็นที่นั่ง
สำหรับ คนแก่ คนท้อง (ตรงนี้พี่จิม ได้นั่งแน่ๆ) ผู้หญิง ที่มากับลูกเล็กๆ คนที่ต้องใช้ไม้ค้ำพยุงช่วย
และสุดท้าย คนเป็นโรคหัวใจครับ

แต่รูปสุดท้ายนี่ พี่ชลธีบอกว่า สำหรับคนอกหักต่างหาก เห็นป่าว?
รูปหัวใจอันเบ้อเร่อ แถมทำท่าไอคอกแคกอีกต่างหาก

คิดได้ไงครับพี่ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ขบวนฝั่งตรงข้าม ที่แล่นสวนกันไป ก็มีคนเยอะ ในระดับพอกันกับ รถไฟฟ้า BTS บ้านเราเลยครับ

และป้ายบอกเส้นทางข้างบนนั้น เดี๋ยวนี้ แสดงภาษาอังกฤษแล้ว ดังนั้น คนไทยอย่างเรา ไม่ต้องกลัวหลงแล้วละ

เรายังต้องมาต่อรถไฟกันอีกขบวนหนึ่งครับ ก่อนจะถึงจุดหมาย ก็ต้องเดินลงบันไดไปอีกชั้นหนึ่ง

มาขึ้นรถไฟสายสีแสด ที่เพิ่งจะแล่นมาถึงกันพอดี…

ขึ้นรถไฟได้ก็หาที่นั่งกันเลยครับ เพราะเดินกันมาเหนื่อยมาก
ดูหน้าพี่เอกับพี่จิมสิครับ เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยเลยนั่น แทบจะหมดสภาพกันเลย
เดินกันแทบจะตลอดทั้งวันเลย วันนี้ แล้วยังจะต้องมีอีก 4 วัน ที่จะต้องเดินเยอะ
มากขนาดนี้แทบทุกวัน
แต่ดีครับ ให้พี่จิม เขาได้ออกกำลังกายซะบ้าง เดินเยอะๆ ไขมันจะได้เบิร์นเยอะๆ

นั่งกันอีกไม่ถึง 2 สถานี เราก็มาถึง สถานี Nagoya Station…

พอเดินออกจากขบวนรถได้ ก็ เห็นคนทำงาน เขาเดินกันจ้ำอ้าวๆๆ วิ่งกันไปขึ้นบันไดเลื่อน…เราก็ต้องเดินตามเขาไปนั่นละครับ

หากเป็นใน โตเกียว เราต้องยืนบนบันไดเลื่อนชิดซ้าย หลีกทางให้คนที่เขารีบ แซงไป

แต่พอเป็นนาโกยา บรรยากาศสบายๆ ผู้คนเลยไม่ซีเรียสเรื่องนี้มากเท่า โตเกียวครับ

บรรยากาศภายในสถานีตอนช่วงเวลา 5 โมง เย็นนี่ คนเริ่มเยอะแล้วครับ
เพราะเป็นเวลาเลิกงานด้วย พลุกพล่านใช้ได้เลย ภายในสถานีก็มีร้านขายของ
เยอะแยะมากมายครับ ระหว่างนั่น พี่เอและพี่ชลธีก็ขอตัวไปเดินเล่นที่ Bic Camera
ส่วนผม พี่วิชา และพี่จิม ก็ไปเดินเลือกหาเลือกซื้อซีดีเพลงญี่ปุ่นกันที่ร้าน shinseido
ซึ่งตั้งอยู่ชั้นบน ของห้าง Takeshimaya อันเป็นห้างสรรพสินค้า เก่าแก่
แต่มีสาขาในเมืองใหญ่ๆ ทั่วญี่ปุ่น โดยเฉพาะจะต้องเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟสำคัญๆ
ที่นาโกยา นี่ก็เช่นกันครับ
 
ตัวผมเองไม่ได้ซื้อซีดีเพลงหรอกครับ จะมีก็แต่พี่จิม นี่แหละ ที่ได้กลับมาหลายแผ่นอยู่เชียว
ตัวผมเองก็มี ซีดีเพลงญี่ปุ่นที่อยากได้เหมือนกันนะ แต่ให้พนักงานหาแล้ว ปรากฏว่าไม่มีขาย
น่าเสียดายมากๆเลย

หลังจากที่เราได้ไปเลือกหาเลือกซื้อซีดีเพลงกันแล้ว เราก็พากันขึ้นลิฟต์แก้ว
ขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของโรงแรม Marriot Nagoya ASSOCIA ซึ่งจะมีจุดชมวิวเมืองนาโกยาอีกจุดหนึ่งครับ

พอขึ้นลิฟต์มา นี่คือบรรยากาศ โถงด้านหน้าของโรงแรมครับ ผิดจากที่เราคิดไหมครับว่า
โถงทางเข้าของโรงแรม มันควรจะอยู่ชั้นล่าง แต่ ในเมื่อโรงแรมนี้ ส่วนใหญ่ เป็นโรงแรมที่
ผู้คนมักเดินทางมาถึงด้วยรถไฟ กันมากกว่า ดังนั้น ห้องโถงของโรงแรม ก็เลยตั้งไว้ซะชั้นบน
กึ่งกลางของตัวอาคารกันเลย

เมื่อผมขึ้นไปอยู่บนตึก JR Central แห่งนี้ จะเห็นวิวรอบๆของเมืองนาโกยาได้ชัดเจน
เอาจริงๆก็คือมองออกไปก็เกือบจะเห็นสนามบินนานาชาติ Chubu Centrair เลยครับ

จากมุมนี้ เราจะเห็นโรงแรม Meitetsu เจ้าของเดียวกับรถไฟจากสนามบิน ที่เรานั่งมาเมื่อเช้านั่นละ

ตรงกลางคือทางรถไฟสารพัด ที่จะมาเชื่อมต่อกับชุมทาง Nagoya Station และตึกสีขาว คือตึกของ บริษัทเดินรถไฟ JR Central อีกหลังหนึ่ง

มองจากด้านบน ก็จะเห็น อนุเสาวรีย์ ทรงเกลียวคลื่น กลางวงเวียน หน้าตึก Toyota Midland Square

และนี่ก็คือมุมด้านบน ของจุดที่สวยที่สุด และดูทันสมัยที่สุดในเมืองนาโกยา 

ตัวผมเอง ไม่เคยมาญี่ปุ่นมาก่อนครับ นี่เป็นครั้งแรกของผมเลยที่ได้ไป ส่วนเมืองนาโกยานั้น
ผมเองก็เคยได้ยินชื่อมานานแล้วเหมือนกัน มีสถานที่ที่มีชื่อเสียงก็คือปราสาทนาโกยา แล้วก็
เป็นเมืองที่เรียกได้ว่าเป็น เมืองต่างจังหวัดของญี่ปุ่น นี่คือสิ่งที่ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับเมืองนาโกยาครับ

แต่เมื่อผมมาถึงจริงๆ ได้มาเห็นกับตาของตัวเองแล้ว ครั้งแรกที่ผมเห็นก็นึกในใจว่า
โอ้โห นี่ขนาดเป็นเมืองต่างจังหวัดของญี่ปุ่นนะนี่ ยังเจริญขนาดนี้เลย แล้วถ้าเป็นโตเกียวล่ะ จะขนาดไหน

บรรยากาศเดียวกันเมื่อเราเห็นตอนเช้า ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รถ Taxi เยอะยังไง ก็เยอะอย่างนั้น

แล้วก็มี Toyota Allion เป็น Taxi มาให้เห็นอีก 1 คัน…

รถคันนี้ ขนาดพอกับ Altis บ้านเรา แต่ ตำแหน่งการตลาดเท่า Corona / Carina ที่เลิกขายไปแล้วครับ

 

ร้าน Bic Camera เริ่มเปิดไฟ สว่างไสว เดี๋ยวคืนนี้ เจอกัน ขอเข้าไปเดินดูกล้อง กับมือถือหน่อยเถอะ…

มุมนี้ พี่จิม เขาถ่ายมาครับ เห็นว่าสวยดี เลยถ่ายอยู่มุมตึกนั่นละ แล้วก็ช้อนกล้องขึ้นไป

เอาละ เดินกันมาจนเหนื่อยทั้งวันแล้ว ขอกลับไปพักขาพักน่อง ที่โรงแรมก่อนดีกว่า นี่แค่ 5 โมงเย็นของที่นั่นเอง ก็ใกล้มืดแล้วครับ

18.30 น. หลังจากเอา CD เพลง และข้าวของต่างๆ ที่ซื้อมา ขึ้นไปเก็บในห้องพักแล้ว
เราลงลิฟต์ ไปยังชั้น 4 ของตัวโรงแรมกัน…นี่ขนาดว่าเป็นอาคารเล็กๆ แต่ลิฟต์นี่
จะดูไฮโซได้อีก จอแสดงตำแหน่งของแต่ละชั้นในตัวอาคาร เป็นหน้าจอ LCD

แถมแต่ละปุ่มกด ยังมีตัวเลข และสัญลักษณ์ เปิด-ปิดประตูลิฟต์ ที่นูนออกมา
เพื่อช่วยเหลือ ผู้พิการทางสายตา ลิฟต์ในอาคารรุ่นใหม่ๆหลายแห่งของบ้านเรา
เริ่มมีการเตรียมการในลักษณะนี้กันบ้างแล้ว

เหตุที่ต้องลงมายังชั้น 4 กัน ก็เพราะว่า จะมารับประทานอาหารค่ำกันที่ห้อง Banquet นี่
ซึ่งทางโรงแรม จัดเตรียมอาหารมื้อเย็นสุดอลังการเอาไว้ต้อนรับเราอย่างดี ให้เราได้กินกัน
ท่ามกลางบรรยากาศ ค่ำคืนอันมืดเกือบจะมิด ของใจกลางเมืองนาโกยา

หันไปมองนอกหน้าต่าง อย่างมากสุดที่เราจะได้เห็นแสงไฟ ก็มาจาก อาคาร
JR Central นั่นละครับ

อาหารเย็นในค่ำคืนนี้ อลังการ อย่างที่บอกไว้จริงๆล่ะครับ เพราะว่า อาหารแต่ละชุด
ที่ คุณป้าแม่บ้านชาวญี่ปุ่น ยกมาเสิร์ฟนี่ ดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่กินกันจนท้องแทบแตก
มีทั้งหมด 5 อย่าง รวมของหวานด้วย

ตรงๆคือ มาตอนแรก ผมก็ไม่นึกว่าจะเท่าไหร่

แต่พอมันเยอะขนาด พี่จิมยังบอกว่า อิ่มแน่นเลย
แล้วท้องเล็กๆ อย่างผม จะเหลือเรอะ?

เริ่มต้นประเดิมกันด้วย ชุดปลาดิบ ซูชิ หั่นมาในขนาดพอดีคำ

เนื้อหรือหมูสด ใส่น้ำซุบ พร้อมเส้นหมี่เล็กๆ และเต้าหู้ กับผักเครื่องเคียงอกนิดหน่อย ตั้งบนหม้อไฟแบนๆเล็กๆ
ขนาดสำหรับ 1 คน พอดีๆ ถ้าเป็นเนื้อ จะสุกเร็วกว่า เนื้อหมู สักหน่อย พี่จิมบอกว่า เนื้อที่เขาเตรียมมานั้น
นุ่มกำลังดี ส่วนเนื้อหมู รสชาติก็โอเคครับ

ตามด้วยหมี่เย็น ไม่สิ จริงๆเป็นหมี่เส้นแบนในแบบพื้นเมืองของนาโกยาแท้ๆเลย ต่างหาก
เวลากิน ก็ต้องเอาพวกหอมซอยที่เห็นด้านบนขวามือนั่นละครับ เทใส่ลงในซอสถ้วยทางซ้ายบน
แล้วคีบหมี่เย็น ลงไปคลุกๆ ในนั้น ซดเข้าปากไป

แล้วก็มี ปลาปักเป้าทอด ปลาปักเป้านี่ ไม่ต้องกลัวนะครับว่าจะยังมีพิษอยู่
เพราะเค้าเอาเส้นพิษออกไปแล้ว และไว้ใจคนญี่ปุ่นได้ครับว่าทำสะอาดแน่นอน
อันนี้พี่วิชาให้ข้อมูลมาอีกที ทานคู่กับ เห็ดในถ้วย อย่างที่เห็น

และสุดท้าย ของหวานครับ เป็น ทีรามิซุ กล้วย
พี่จิมบอกว่า มันหวานๆ ดีครับ ออกแนวเกือบจะเลี่ยนนิดๆ

ส่วนผมหรอครับ ทานเกือบหมดนะ มีบางอย่างที่กินไม่หมด
เพราะว่าเอาจริงๆ มันเยอะมากกกก

หลังมื้อค่ำในคืนนั้น…เราออกจากที่พัก เดินไปดูร้านรวงต่างๆ ในสถานีรถไฟ Nagoya
เพราะไหนๆมาทั้งที ก็ควรจะออกไปชมสีสันของตัวเมืองยามค่ำคืนกันบ้าง
หลังจากที่เห็นเมืองในแสงอาทิตย์มาทั้งวันแล้ว

เราเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Nagoya เพราะพี่ชลธี บอกว่า จะไปซื้อ เสื้อผ้า
ที่ร้าน UNIQLO (อ่านว่ายู-นิ-คโล) ร้านนี้ พี่ชลธีบอกว่า เป็นเครือข่ายร้านเสื้อผ้าญี่ปุ่น
ซึ่งสร้างแบรนด์ขึ้นมา ตลอด สิบกว่าปีมานี้ เพื่อหวังจะตีตลาด แบรนด์เสื้อผ้าราคาถูก
จากจีน ฮ่องกง โดยเฉพาะแบรนด์อย่าง GIORDANO ที่ดังในฮ่องกง มากว่า 20 ปีแล้ว
และก็มีขายในเมืองไทย แต่จุดขาย ของแบรนด์ยูนิโคลนี้ อยู่ที่ การออกแบบ ในสไตล์ญี่ปุ่น
ใช้เนื้อผ้าที่ดี แต่ทำราคาได้ถูกมาก

อย่างช่วงที่เราไปถึง UNIQLO ออกภาพยนตร์โฆษณาทาง ทีวี 3 เรื่องรวด ไม่มีอะไรมากไปกว่า
ให้นายแบบ นางแบบ ซึ่งเป็นคนธรรมดา เป็น Spacialist ด้านต่างๆ เช่น นักกีฬา หรือ นักจัดดอกไม้
มาใส่เสื้อ แจ็คเก็ต ราคาตัวละ แค่ 1,000 เยน หรือ 370 บาท โดยประมาณเท่านั้น!! ถูกสุดๆ
และคุณภาพก็ดีสมราคาด้วย

ได้ยินมาว่า แบรนด์นี้ กำลังจะเข้ามาตีตลาดเมืองไทย ภายใต้การดูแลของกลุ่มเซ็นทรัล
ซึ่งไม่แน่ใจ่า เท็จริงประการใดนะครับ แต่ถ้าเข้ามาได้จริง ทำราคาดีๆ ได้ เชื่อว่า
ดังแน่ๆครับ

ตอนที่ไปถึงร้านนั่นก็สองทุ่มสิบห้าแล้วครับ ร้านปิดสองทุ่มครึ่ง เอาล่ะสิ นาทีทอง 15 นาทีสุดท้าย
เราใช้เวลาอยู่ในร้านนี้ กันก่อนร้านจะปิดบริการในวันนั้น รีบเลือก รีบลอง คว้ากันติดมือมาคนละตัวสองตัว
มีเสื้อใส่จนถึงวันกลับ แถมต่อเนื่องไปถึง ฤดูหนาวในบ้านเรา ที่ไม่ค่อยจะหนาวเท่าไหร่นัก อีกด้วย

เหลืออีกอย่างนึงที่พี่ชลธีตั้งใจว่าจะไปซื้อให้ได้ก็คือ โคลลอน ขนาดใหญ่ แบบที่หากันได้ไม่ง่ายนัก

ปกติ พี่จิม เขาเป็นแฟนประจำ ขนม โคลลอน ของ กูลิโกะ อยู่แล้ว
(และต้องเป็นไส้ครีมเท่านั้น)  มาคราวนี้ เห็นแล้ว ได้แต่มองตามด้วยความเสียดาย
บิ๊กกุ โคลลอน (Big Collon) นั้น บรรจุภัณฑ์ มาเป็นทรงกระบอก ขนาดใหญ่โต
ขนาดตีหัวหมา ฟาดหัวคน จน (กระบอก) แตกได้ แต่ พอเดินเข้าไปจะซื้อในร้าน Kiosk
ยัยพนักงานขายก็ดันบอกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ร้านปิดแล้วค่ะ!

หมดกันเลย ทั้งพี่ชลธี และพี่จิม ก็อดซื้อด้วยประการฉะนี้ สาเหตุที่เราไม่ได้ซื้อ บิ๊กกุ โคลลอน
ก็เพราะว่า เรามีเวลากับร้านเสื้อผ้า ยูนิโคล กันนานไปนิดนึงนั่นเอง เลยได้แต่ถ่ายรูปเก็บมา
และฝากบอกด้วยว่า ใครจะไปญี่ปุ่นคราวหน้า โดยเฉพาะ Nagoya ฝากซื้อกลับมาให้ด้วย
จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ

ก่อนกลับโรงแรม เราเดินข้ามฝากลับมายัง ห้าง BIC Camera กัน เพราะคาดว่า
อยู่ในโตเกียว คงจะไม่มีเวลาได้เดินดูอะไรแบบนี้แน่ๆ ในร้านเต็มไปด้วย
อุปกรณ์ IT โทรทัศน์ เครื่องไฟฟ้า นานับประการมากมาย กล้องดิจิตอล
กล้องวีดีโอ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด จากสารพัดผู้ผลิต และผู้ให้บริการเครือข่าย

ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในญี่ปุ่นนั้น มี NTT DoCoMo เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุด
รองลงมา ก็คือ KDDI และ Softbank (รายหลังนี่ก็คือ กิจการ Vodaphone ที่เข้ามาในญี่ปุ่น
ได้เพียงแป๊บเดียว ก็รีบขายธุรกิจของตน ให้กับทาง Softbank กันดื้อๆเลย)

โทรศัพท์มือถือ ในญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่ เป็นแบบ ฝาพับ มีกล้องในตัว
นอกจากนี้ iPhone 3G ยังมีขายในญี่ป่นอีกด้วย ราคาเครื่อง ก็พอกันกับบ้านเรานั่นละครับ 

ระหว่างเดินกลับโรงแรมนั้น ท้องถนนในนาโกยา เงียบมาก ร้านรวงเปิดอยู่บ้าง
พอมีลูกค้า แต่ไม่เยอะนัก มักเป็นร้านนั่งดื่มกิน ที่ได้ลูกค้าประจำท้องถิ่น
และผู้คนแถวนั้น เป็นส่วนใหญ่

ถนนค่อนข้างเงียบสนิทมาก ถึงขนาดที่ว่า เดินลงไปบนผิวถนนกันได้เลย

เมื่อกลับถึงที่พัก ก็ได้เวลาอาบน้ำแล้วเข้านอน แต่สำหรับคืนนี้ ผมไม่ได้อาบน้ำแบบธรรมดาเหมือนที่เคยทำ 
เพราะเราจะปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยการ ลงไปแช่น้ำร้อนในอ่าง ก็ไหนๆมาพักที่พักแบบ Ryokan แล้วนี่นา
เอาซักหน่อยเถอะ ตอนแรก ผมนัดแนะกับพี่จิมว่า เดี๋ยวเราค่อยสลับกันไปนะ ผมไปก่อน พอเสร็จ
กลับมาที่ห้องแล้ว พี่จิมมี่ค่อยไปทีหลัง เพราะว่าจะต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดน่ะสิครับ ผมอายนะ
บอกตรงๆ ก็เลยสลับกันไปแล้วกัน แล้วโชคดีที่เวลานั้นไม่มีคนมาด้วย ก็เลยรู้สึกโล่งและสบายมากๆครับ
(ก็โล่งจริงๆนี่นา ไม่ได้ใส่อะไรเลย แหะๆ)

พอขึ้นไปถึงห้องพัก พี่วิชาก็เดินมาหา บอกว่า เดี๋ยวพี่พาไปที่ห้องอาบน้ำรวมข้างบนนะ
แต่ผมก็บอกว่า

“พี่แค่บอกอย่างเดียวพอนะ ผมขออาบคนเดียวแล้วกัน อาย 555”

พี่ วิชาก็บอกว่า โอเคไม่เป็นเดี๋ยวพี่บอกให้แล้วกันว่าต้องทำยังไงบ้าง
เพราะว่าพี่เขาเองก็อาบแล้ว ก็เลยขึ้นไปดูข้างบนกันครับว่ามีวิธีการอย่างไร

ห้องอาบน้ำรวมด้านบนนั้น จะมีตะกร้าวางไว้บนชั้น ให้เราถอดชุดยูคาตะ
และผ้าเช็ดตัววางเอาไว้ในตะกร้า แล้วก็จะมีผ้าขนหนูผืนเล็กๆให้หนึ่งผืน
ไว้ปิด “ตรงนั้น” นั่นแหละครับ แต่ในกรณีนี้เนื่องจากว่าไม่มีคนแล้ว ผมก็เลย
ไม่ปิดแล้วกัน ปล่อยให้มันโล่งโจ้งโทงเทงแบบนั้นนั่นแหละ

แล้วก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ เพื่ออาบน้ำถูสบู่ สระผม ชำระร่างกาย ซึ่งพี่วิชาบอกว่า
ให้อาบน้ำโดยเปิดน้ำให้ร้อนที่สุดเท่าที่จะอาบได้ เพื่อที่จะได้เป็นการปรับตัว
ให้ชินกับน้ำร้อนก่อนที่จะลงไปแช่น้ำครับ หลังจากอาบเสร็จ ก็ลงไปแช่น้ำ
ในบ่อด้านหลัง เลยครับ

โดยจะเป็นบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ เหมือนอ่างเลี้ยงปลาคาร์ฟ แต่จะมีกระจก
กั้นไว้เป็นสองส่วน ทั้งส่วนของในห้อง แล้วก็จะเป็นส่วนที่อยู่ที่ระเบียงด้านนอก
(Open Air) นั่นเองล่ะครับ แต่ถ้าจะไปแช่ส่วนด้านนอกก็ไม่ต้องกลัวว่า จะมีคน
ที่อยู่ตึกฝั่งตรงข้ามจะแอบส่องกล้องมามองเห็น เพราะว่าที่โรงแรมเค้ามีกำแพง
เป็นไม้กั้นอย่างดี ป้องกันสายตาจากคนภายนอกแอบมองได้

ตอนที่ก้าวขาลงไป ร้อนมากๆครับ แต่พอค่อยๆหย่อนตัวลงไปจนหมดทั้งตัวแล้ว
ก็รู้สึกได้ว่า การแช่น้ำร้อนนี่สบายมากๆ ทำให้เลือดสูบฉีดดีขึ้น ไปเลี้ยงทั่วร่างกาย

ผมก็ลองแช่ทั้งสองอย่างนะครับ แช่ส่วนที่เป็นด้านนอกห้องก็ให้ความรู้สึกที่แปลกไปอีกแบบ
ถ้าจะกล่าวกันง่ายๆก็เหมือนกับแช่น้ำในอ่างอาบน้ำที่ตั้งอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้านนั่นเองครับ

หลังจากที่แช่น้ำร้อนเสร็จ ผมพบว่าหัวใจผมเต้นเร็วและแรงขึ้นกว่าปกตินะ ไม่ทราบว่า
ใครเคยมีประสบการณ์แช่บ่อน้ำร้อนของญี่ปุ่น ช่วยมาแถลงให้ฟังหน่อยครับ ว่าที่เค้าว่า
เลือดมันจะสูบฉีดดีขึ้น ก็คือหลังจากที่แช่น้ำร้อนเสร็จใช่หรือไม่ครับ เพราะตอนแรกผมก็นึกในใจว่า
เอ…..นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมหัวใจมันเต้นเร็วและแรงขึ้นแฮะ แต่มาคิดดูอีกที ไม่เป็นอะไรหรอก
แค่เป็นอาการปกติเท่านั้นเอง

หลังจากแช่น้ำเสร็จแล้วก็กลับห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมตัวเข้านอนครับ

ขอลองใส่ชุดยูคาตะดูหน่อยดีกว่า อยากจะรู้ว่า ออกมาเป็นยังไง…

เป็นไงครับ นี่ผ่านไปแค่วันแรก วันเดียว ยังต้องแบ่งออกมาเป็น 2 ตอนกันอย่างนี้

ตอนต่อไป ผมจะพาคุณผู้อ่าน นั่งรถไฟ Shinkansen ในขณะที่พี่จิม จะพาไปชมพิพิธภัณฑ์
Suzuki Plaza Reishinkan
รวมทั้ง พานั่งรถไฟ Shinkansen อีกรอบ เข้าโตเกียว พาไปชม
Super Autobacs Tokyo Bay และ Mega Web ของ Toyota ในลำดับต่อไป

โปรดคอยติดตามอ่านกันนะครับ ยังมีอีก 3 ตอน

———————————————————————

Spacial Thanks :
ขอขอบคุณ :

บริษัท TOA Paint (ประเทศไทย) จำกัด

โดย คุณ วนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ (พี่เอ)
ประธานกรรมการบริหาร

คุณวิชา เจ็งเจริญ
Senior Manager
Automotive Bussiness Department

และ คุณชลธี คชา
ผู้จัดการทั่วไป

———————————————————————–

ชยากร บุญมา (BnN : BaNaNa)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมดเป็นผลงานของผู้เขียน และ J!MMY
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
24 พฤศจิกายน 2009

Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 24th,2009 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ ครับ