ถ้านึกถึงสเปน (Spain) คุณจะนึกถึงอะไร?

ทีมฟุตบอล Real Madrid ? สวรรค์นักท่องเที่ยวขาแดนซ์ บนเกาะ Ibiza ? เขต Catalanya ที่กำลังประท้วงขอแยกตัวออกมาเป็นอิสระ ? รถยนต์ยี่ห้อ SEAT ?

ไม่ว่าคุณจะนึกถึงอะไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว ตอนนี้ นึกอยู่อย่างเดียว…

เมื่อไหร่จะถึงกันเนี่ย! นั่งแกร่วอยู่บนสายการบิน Swiss Air LX181 จากสุวรรณภูมิ 11 ชั่วโมง นานขนาดที่ว่า ดูหนังจบไป 3 เรื่องรวด ท้องเสียเข้าห้องน้ำไป 2 รอบ ยังบินไม่ถึงสักที! แถมนอนก็ไม่หลับ ตามด้วยการต่อเครื่อง LX1950 ที่สนามบิน Zurich อีก 1 ชั่วโมง 35 นาที พอขึ้นเครื่อง Airbus A321 ได้ ก็ตกหลุมอากาศ ซะถี่ยิบ จนเพลียหมดสภาพ กว่าจะถึงสนามบิน Barcelona อันตระการตา ก็เป็นเวลาร้างผู้คน คือ 5 ทุ่มครึ่ง ตามเวลาท้องถิ่น กว่าจะเช็คอินเข้าพักที่โรงแรม Almanac Barcelona ได้ ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน…ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับ 6 โมงเช้า ตามเวลาในไทย…

เป็นไงครับ มาเป็นชุดเลยเนาะ…

สเปน…ผมไม่เคยมาครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาเยือนดินแดนกระทิงดุ แห่งนี้ ก็เจอการเดินทางอันแสนเพลียขนาดนี้

แต่เอาเถอะครับ ถึงจะเพลียขนาดไหน ผมยอม! เพราะเหตุผลในการถ่อสังขารมายังดินแดนทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของยุโรป อยู่เหนือโปรตุเกส (ที่เพิ่งไปเยือนมาเมื่อเดือนก่อน) ก็เพราะ รถยนต์ตราดาว รุ่นใหม่เอี่ยมอ่อง ที่คุณเห็นอยู่นี้นั่นแหละครับ

เข้าใจถูกแล้วครับ Mercedes-Benz (Thailand) ส่งผม กับ สื่อมวลชนจากประเทศไทย อีก 8 คน มาไกลถึง Barcelona เมืองหลวงของประเทศสเปน เพื่อสัมผัสกับ The New Mercedes-Benz CLS และ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC Coupé ร่วมกับ สื่อมวลชนอีกกว่า 320 ราย ทั่วโลก ที่ทะยอยเดินทางมาร่วมลองขับทั้งก่อนหน้า และ หลังจากคณะของเรา

งานนี้ Mercedes-Benz เยอรมนี เตรียมรถยนต์ทดลองขับไว้ 4 รุ่น จำนวนถึง 30 คัน ให้เราได้ลองขับกันในบรรยากาศ ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ปนหนาวสั่น อุณหภูมิ 5-6 องศาเซลเซียส บนเส้นทางจากสนามบิน Barcelona Airport – El Serrat del Figaró – Hotel Almanac – Casa del Mar, Garraf

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดว่า จะต้องเจอรายการนำเที่ยว เมือง Barcelona เหมือนเช่นที่คุณเคยคาดหวังจาก บทความทดลองขับรถยนต์ในต่างประเทศของ Headlightmag ต้องขอบอกว่า คราวนี้ ไม่มีแม้แต่โอกาสได้เดินเที่ยวชมเมืองเลย เพราะแค่ตื่นนอนจากโรงแรม กินอาหารเช้า ก็ปาเข้าไป 10 โมงแล้ว รถตู้ Viano Shuttle Bus ของ Mercedes-Benz เขามารอรับเราตอน 11 โมงกว่า กลับไปยังสนามบิน Barcelona อีกครั้ง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการบรีฟข้อมูล เส้นทาง รับกุญแจ และปล่อยตัวรถทดลองขับทั้ง 30 คัน มีเส้นทางให้เลือกตามระบบ Navigation System 2 รูปแบบ ตามแต่จะอยากขับทริปยาวหรือสั้น

ช่วงแรกของทริป คุณกอล์ฟ พิสันต์ จากเว็บไซต์ Autostation เป็นผู้ขับมือแรก ระหว่างทาง เจอเส้นทาง ทั้งบนทางด่วน (ใช้ตัวอ่านสัญญาณ เก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ เหมือน Easy Pass เมืองไทย และ โปรตุเกส เป๊ะ!) ขับขึ้นภูเขา เจอหมอกหนาทึบชนิด ” มองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย ”

พอไปถึง El Serrat del Figaró ก็ขับย้อนกลับเข้าเมือง มายังโรงแรมที่พัก Hotel Almanac รับประทานมื้อค่ำ ร่วมพูดคุยกับวิศวกร ส่วนวันที่ 2 ก็ปล่อยตัว จากโรงแรมที่พักในเมือง ขับออกจากตัวเมือง ขึ้นทางด่วนแล้วลัดเลาะไปตามถนนไหล่เขา เพื่อไปยัง Casa del Mar, Garraf  ก่อนจะนั่งรถตู้ Shuttle Bus Viano กลับไปขึ้นเครื่องบิน ที่ Barcelona Airport ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน

นี่แหละครับ ทริปยุโรป ไม่ง่ายครับ ภายใน 1 วันครึ่ง คุณต้องเก็บทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดเท่าที่ทำได้ ต้องเดินทางไกลๆ ไม่มีเวลาได้พักผ่อนใดๆทั้งสิ้น เพราะตามนโยบายการดูแลสื่อมวลชน ของทั้ง Mercedes-Benz (และ BMW ก็ด้วย) คือ จัดโปรแกรมมาแค่ 1 วันครึ่ง บางทริป ลงจากเครื่องบินปุ๊บ ขับเลยทันที ถึงที่หมาย นอนค้าง คืนเดียว พอ ขับเสร็จ ส่งกลับประเทศทันที!

อีกทั้งคราวนี้ มีเรื่องที่ผมจะต้องบอกกับคุณผู้อ่านไว้ก่อน ก็คือ..

1. เนื่องจากสภาพอากาศในวันที่เราทดลองขับกัน ค่อนข้างเลวร้าย มีหมอกปกคลุมขนาดหนัก ระดับที่มองทางข้างหน้าไม่เห็นเลย ในบางช่วงขณะขับขึ้นเขา รวมทั้งมีฝนโปรยปรายลงมา พอวันที่ 2 หาโลเกชันถ่ายรูปแทบไม่ได้เลย ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจใช้ภาพถ่ายภายนอกทั้งหมด ของรูปรถคันจริง จากคุณ Dirk ทีมงานจาก Daimler AG. ส่วนภาพถ่ายรถภายนอกขณะกำลังแล่น บางส่วน มาจากสื่อมวลชนไทยท่านหนึ่ง ที่ร่วมทริปในครั้งนี้ แต่ไม่ประสงค์ออกนาม

2. CLS รุ่นที่เราจะได้ลองขับกันในงานนี้ ” จะแตกต่างจากรุ่นย่อยที่จะเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยครับ “

อ้าว? แล้วเขาให้มาขับทำไมละเนี่ย?

เอ๋า! ก็ Mercedes-Benz Thailand เขาอยากให้เราได้ทำความรู้จักกับตัวรถกันก่อนไง เครื่องยนต์ และ เทคโนโลยีต่างๆ ก็ท่วมคัน พอสมเหตุผลแก่การเรียนรู้เลยละ

แล้ว รุ่นที่จะมาขายในบ้านเรา เป็นรุ่นไหน ? เปิดตัวเมื่อไหร่ ?

อยากรู้แล้วละสิครับ? ง่ายๆ แค่ลากนิ้วเลื่อนลงไปอ่านข้างล่างนี้ต่อไปเลย เฉลยไว้หมดแล้ว!

Mercedes-Benz CLS เป็นรถยนต์ Coupe 4 ประตู ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ (Premium Mid-size 4 Door Coupe) บานประตูแบบไร้เสากรอบ (Frameless Doors) ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่ออุดช่องว่างทางการตลาด ตรงกลาง ระหว่าง รถยนต์ครอบครัวขนาดกลางยอดนิยมอย่าง E-Class และ Saloon ระดับหรูเพื่อผู้บริหารอย่าง S-Class สำหรับกลุ่มลูกค้า ที่มองหาความแตกต่าง อยากได้ความหรูหรากว่า E-Class แต่เน้นขับเอง และ ไม่ต้องการรถคันยาวเฟื้อยเท่า S-Class

CLS รุ่นแรก รหัส C219 เปิดตัวครั้งแรก ในฐานะรถยนต์ต้นแบบ Vision CLS 2003 ในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2003 ก่อนที่เวอร์ชันขายจริง จะเผยโฉมออกมาในปี 2004 และ เริ่มทำตลาดจริง ปี 2005 จากนั้นเปิดตัวในเมืองไทยหลังจากนั้นไม่นานนัก ส่วนรุ่นที่ 2 รหัสรุ่นนับถอยหลังเป็น C218 เผยโฉมครั้งแรกในฐานะรถยนต์ต้นแบบ Mercedes-Benz F800 ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2009 ก่อนที่เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะถูกเปิดตัวในงาน Paris Motor Show เดือนกันยายน 2010 และเริ่มทำตลาดจริงในยุโรป เดือนมกราคม 2011

นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2004 CLS ก็สร้างนิยามของรถยนต์ Coupe ระดับ Executive Size ขึ้นมาใหม่ จากการเป็นรถยนต์ 4 ประตู Coupe ระดับ Premium รุ่นแรกในตลาด CLS มียอดขายสะสมจนถึงวันนี้ อยูี่ที่ 375,000 คัน มากพอที่จะทำให้คู่แข่งหลายราย พากันสร้างรถยนต์ลักษณะคล้ายกันนี้ออกมาขายบ้าง และ ตัวเลขดังกล่าวนี้ ก็มากพอจะให้ผู้บริหารของ Daimler AG. ตัดสินใจเปิดไฟเขียว ให้มีโครงการพัฒนา รุ่นต่อไป

CLS ใหม่ รหัสรุ่น C257 ถือเป็นรุ่นที่ 3 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง (Platform) แบบ MRA (Modular Rear Architecture) แบบเดียวกับของ E-Class โดยทั้งสองรุ่นจะมีความยาวฐานล้อเท่ากัน แต่จะมีความยาวตัวถังต่างกัน

Mercedes-Benz เผยโฉม CLS ใหม่เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2017 ก่อนจะส่งข้ามทะเลไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในงาน North American International Auto Show (NAIAS) หรือ Detroit Auto Show เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2018 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ

CLS ใหม่ มีขนาดตัวถังยาว 4,988 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,422 – 1,435 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,939 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับ CLS รุ่นเดิม ซึ่งมีความยาว 4,937 มิลลิเมตร กว้าง 1,881 มิลลิเมตร สูง 1,418 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,874 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า รถรุ่นใหม่ ยาวขึ้น 55 มิลลิเมตร กว้างขึ้นแค่ 9 มิลลิเมตร สูงขึ้นตั้งแต่ 2 – 17 มิลลิเมตร ตามแต่ละรุ่นย่อย แต่ฐานล้อยาวขึ้น 65 มิลลิเมตร

มองจากภายนอก ดูราวกับว่า CLS ใหม่ น่าจะลู่ลมกว่า E-Class แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd = 0.26 ซึ่งด้อยกว่า E-Class W213 รุ่นล่าสุด เนื่องจาก CLS ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักกดท้ายมากที่สุด โดยต้องไม่พึ่งพาสปอยเลอร์หลัง หากติดตั้ง Aero Part เข้าไปมากเกินงาม อาจทำให้ เสน่ห์ของเส้นสาย ถูกบั่นทอนลงไปอย่างน่าเสียดาย

หลายคนอาจมองว่า รูปลักษณ์ภายนอก ของ CLS ใหม่ ไม่สวย เท่ารุ่นเก่า ผมเองตอนแรกก็คิดเช่นนั้น จนกระทั่งได้เห็นคันจริง จึงได้เข้าใจว่า บางครั้ง ภาพโปรโมท ที่สำนักงานใหญ่เผยแพร่ออกมา อาจจะถ่ายไม่สวยเท่ารถคันจริง นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเลือกสีโปรโมท การเลือกภาพถ่ายชุดแรกในการโปรโมท ซึ่งรวมถึงการเลือกโลเกชันในการบันทึกภาพ มีความสำคัญอย่างโคตรๆ ในการสร้างความประทับใจเมื่อแรกเห็นแก่สาธารณชน

จุดเด่นของงานออกแบบภายนอกบนเรือนร่างของ CLS ใหม่ มีทั้ง กระจังหน้าแบบ Diamond-pattern grille ที่มีเส้นตัดแบ่งเส้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ Mercedes-Benz ตัวถัง Coupe พร้อมเส้นสายที่ดูกว้างและมีลักษณะทอดตัวลงไปที่พื้น คล้ายกับลักษณะของรถสปอร์ต Mercedes-AMG GT

ชุดไฟหน้า เป็นแบบ  MULTIBEAM LED มาพร้อม ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) กับ ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System) โดยรูปทรงของไฟหน้าที่ดูราบเรียบไปกับตัวถังยังได้รับการออกแบบให้มีเหลี่ยมมุมสอดรับกับเส้นสายบริเวณกระจังหน้า ด้านข้างตัวรถเสริมความสง่า ด้วยลายเส้นที่อยู่สูงและลากเป็นวงโค้งตลอดคันรถ เสริมด้วย เส้นสายที่ดูมีมัดกล้าม บริเวณตัวถังเหนือล้อคู่หลัง ซึ่งค่อยๆ ทอดต่ำลง ผสานเข้ากับฝากระโปรงหลังที่มีลักษณะราบเรียบลู่ลงจรดเปลือกกันชนหลัง  ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดต่อเนื่องมาตั้งแต่ CLS รุ่นแรก ส่วนชุดไฟท้าย เป็นแบบ LED พร้อมเทคโนโลยี Fibre Optic

นอกจากนี้ CLS ใหม่ ยังมาพร้อมกับหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด – ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า – หลัง และสเกิร์ตดีไซน์สปอร์ตจาก AMG, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรก, ล้ออัลลอยสปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19″ เป็น Option ให้ลูกค้า (ทั่วโลก) ได้เลือกติดตั้งอีกด้วย…(ส่วนเวอร์ชันไทย ทั้งหมดนี้ มาเต็มๆครบๆ ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม!)

ส่วนรุ่น AMG CLS 53 4MATIC+ จะมีการตกแต่งเพิ่มเติมดังนี้

  • กระจังหน้าแบบ Twin Louvre Grill ตกแต่งด้วยสีเงินและโครเมียม ซึ่งเดิมที สงวนไว้ให้บรรดา AMG ขุมพลัง V8 เท่านั้น
  • กระจังหน้าแบบ ฺBlack Grill Pattern
  • สเกิร์ตหน้า แบบ Front Apron A-Wing Design
  • ช่องรับอากาศที่เปลือกกันชนหน้า มีแถบโครเมียม 2 ชั้น เพิ่มเข้ามา
  • ใต้เปลือกกันชนหน้า มีลิ้นล่าง เพื่มช่วยคุมอากาศที่ไหลผ่านใต้ท้องรถ
  • สเกิร์ตข้าง ของ AMG
  • กระจกมองข้าง ติดตั้งบนบานประตู
  • ลิ้นสเกิร์ตล่าง Rear apron พร้อมครีบรีดอากาศ Diffuser
  • ปลายท่อไอเสียแบบ Twin Pipe ทั้ง 2 ฝั่ง รวม 4 ท่อ
  • สปอยเลร์หลังแบบหางเป็ด Carbon Fibre
  • ล้ออัลลอย ลาย 5 ก้าน ขนาด 8.0 J x 19 (หน้า), 9.0 x 19 (หลัง)
  • ยางขนาด 245/40 R 19 (หน้า), 275/35 R 19 (หลัง)

จุดขายสำคัญของ CLS ใหม่ อยู่ที่การโยกย้ายเทคโนโลยีต่างๆ จาก S-Class รุ่นล่าสุด มาติดตั้งลงในรถรุ่นใหม่นี้ เรื่มกันด้วย ระบบกุญแจยังคงเป็นแบบ KEYLESS-GO พร้อม HAND-FREE ACCESS เหมือนกับ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า ยังคงเลวร้ายอยู่ดี ผมต้องก้ม และ มุดตัวลงนั่งด้วยความระมัดระวัง ช่องทางเข้า – ออก ทั้งอึดอัด และ คับแคบ ไม่ว่ายังไง หัวของผมก็จะต้องโขกกับขอบหลังคาด้านบนอยู่ดี ใครซื้อ CLS มาใช้ ควรเป็นคนตัวผอม และ ต้องทำใจ เพราะรถรุ่นนี้ ทั้ง 3 Generetion ก็จะถูกออกแบบให้มีแนวกรอบกระจก ที่บีบแคบ ส่งผลให้ต้องทำขอบหลังคาเตี้ยลงมาคลุมอย่างที่เห็น มันเป็นสไตล์ของ CLS มาตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว

แผงประตูด้านข้าง ออกแบบให้มีพนักวางแขน ที่วางได้สบาย ประดับตกแต่งได้สวยงาม แบบเดียวกับ E-Class มีช่องวางของด้านล่างขนาดใหญ่ และ วางขวดน้ำ หรือแก้วกาแฟขนาดใหญ่ได้สบายๆ

ในเมื่อเรามีโอกาสลองขับเพียงรุ่นเดียว คือ AMG CLS 53 ซึ่งมีเบาะคู่หน้า ที่ถูกออกแบบมาให้แตกต่างไปจาก CLS รุ่นอื่นๆ ดังนั้นคราวนี้เราจึงขอโฟกัสไปที่ตัวเบาะนั่งของรุ่น AMG CLS 53 เพียงอย่างเดียว

เบาะนั่ง ของทุกรุ่น ปรับระดับ สูง – ต่ำ เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง และ ปรับเอน ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ตั้งหน่ยความจำตำแหน่งเบาะ 3 ตำแหน่ง ให้มาครบทั้งฝั่งคนขับ และ ผู้โดยสารด้านซ้าย ใช้วัสดุหุ้มเบาะ และ ฝีเข็ม ในตำแหน่งตรงกับเบาะที่นั่งตอนหน้าถูกจัดวางให้เหมือนกันทุกประการ

พนักศีรษะ เป็นก้อนแข็งแต่หุ้มฟองน้ำไว้หนาประมาณนึง สบายหัวดี นอกจากจะปรับระดับสูง-ต่ำด้วยไฟฟ้าได้แล้ว ยังสามารถปรับระดับการดันได้ตามใจชอบ จากแบบไม่ดันเลย ดันน้อย ดันมาก และ ดันทุรัง ซึ่งชอบมากกกก และนี่คือข้อดีที่ ดูเหมือนว่า BMW M5 ใหม่ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่า (เฉพาะประเด็นนี้)​

พนักพิงหลังแตกต่าง และ ทำได้ดีกว่า E-Class จนอยากจะถามว่า ทำไมไม่เอาพนักพิงแบบนี้ มาใช้กับ E-Class ตั้งแต่แรก(วะ)​ เพราะรองรับแผ่นหลังได้เต็มพื้นที่ รถทดลองขับคันสีดำ ไม่มีตัวปรับดันหลังมาให้ แต่คันสีขาว กลับมี สามารถปรับดันหลังมากหรือน้อย รวมทั้งตำแหน่งการดัน สูง – ต่ำ ได้ โดยสวิตช์จะอยู่ที่ฐานข้างเบาะรองนั่ง เหมือน Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ

ส่วนปีกเบาะด้านข้างมีขนาดใหญ่ โอบกระชับร่างตั้งแต่ท่อนล่าง จนถึงหัวไหล่ มาพร้อมลูกเล่นพิเศษ ที่ยกมาจาก S-Class W222 นั่นคือ ปีกข้างของเบาะคนขับ จะกางออกในขณะคุณกำลังหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถ เพื่อเพิ่มการรองรับสรีระขณะเข้าโค้งได้ดีขึ้น เช่น ถ้ากำลังเข้าโค้งซ้าย ปีกข้างของเบาะคนขับฝั่งขวาจะพองตัวขึ้นมารองรับ แต่ถ้าเข้าโค้งขวา ปีกซ้ายของเบาะ จะกางตัวขึ้นมา เมื่อกลับเข้าสู่ทางตรง ปีกเบาะ ฝั่งที่ทำงานอยู่ ก็จะคลายลม ลดการพองตัวลงไปเอง รั้งคนขับในตำแหน่งที่้เหมาะสมมากที่สุด

เบาะรองนั่ง ยกมาจาก E-Class ค่อนข้างสั้น บางกว่าพี่น้องร่วมตระกูลรุ่นอื่นๆในยุคเดียวกันนี้ แต่โอบกระชับก้นได้ดี เสียดายว่าไม่สามารถปรับยืดระยะเข้า – ออกได้

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง ก็เป็นเช่นเดียวกับบานประตูคู่หน้า คือต้องทำใจว่า ด้วยการออกแบบรถเก๋งในสไตล์นี้ ทำให้แนวขอบหลังคาด้านบน จะต้องหนา และ คลุมลงมาถึงขอบช่องประตู ดังนั้น ต่อให้คุณจะตัวสูง หรือเตี้ย ถ้าไม่ก้มหัวเยอะมากๆ ตอนหย่อนก้นลงไปนั่งบนเบาะหลัง ยังไงๆ หัวก็จะชนขอบหลังคาอยู่ดี

แผงประตูด้านข้าง มีพนักวางแขนออกแบบต่อเนื่องเป็นมือจับดึงประตูปิดเข้ามา พอวางท่อนแขนได้ ในระดับหนึ่ง การเลือกใช้วัสดุที่ดี ย่อมให้สัมผัสพื้นผิวที่ดีงามสมราคา ด้านล่างของแผงประตู มีช่องใส่ของขนาดเล็ก พอจะวางขวดน้ำขนาด 7 บาทได้ขวดเดียว

เบาะหลัง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เพราะ CLS รุ่นก่อนๆ ถูกออกแบบให้เป็นรถเก๋ง 4 ที่นั่ง แปลว่า เบาะหลังจะนั่งได้แค่ 2 คนเท่านั้น พร้อมช่องวางของตรงกลาง แต่ CLS รุ่นใหม่ล่าสุด คราวนี้ เบาะรองนั่ง ถูกปรับปรุงให้สามารถนั่งได้ 3 คน เป็นครั้งแรกของตระกูลนี้ เหมือนรถเก๋งทั่วๆไปกันเสียที แม้ว่าตำแหน่งกลางจะดูเหมือนเบาะสำหรับเด็กก็ตามที

พนักศีรษะ มาเป็นหมอนก้อนใหญ่ แต่นุ่มสบายกำลังดี ไม่ดันศีรษะ ตัวพนักพิงหลังมาในสไตล์ ” แน่นแต่นุ่มหน่อยๆ ” เหมือนพิงหลังอยู่บนพื้นผิวเกือบจะเรียบ แต่แท้จริงแล้ว โอบสรีระผู้ใหญ่ เบาๆ พอใช้งานได้ พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ มีช่องใส่ของพร้อมฝาปิด และ ช่องวางแก้วน้ำ พับเก็บได้ 2 ตำแหน่ง ซึ่งวางแขนได้สบายพอดี เช่นเดียวกับแผงประตูด้านข้าง

เบาะรองนั่งด้านหลัง สั้น เป็นหลุมเว้าลงไป นั่งแล้วกระชับบั้นท้ายดีก็จริงอยู่ ราวกับช่วยล็อกตัวคุณไม่ให้โยนไปข้างหน้ามากนักเวลาเบรกกระทันหัน ส่วนพื้นที่วางขา ถือว่าเยอะขึ้นกว่า รถรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลมาจากการขยายระยะฐานล้อให้ยาวขึ้นเล็กน้อย

แต่จุดที่ต้องทำใจ เพราะยังไงๆ ทีมออกแบบก็ยังคงตั้งใจให้มันเป็นแบบรถรุ่นเดิม นั่นคือ เพดานหลังคาที่เตี้ย หากเป็นรุ่นไม่มี หลังคา Sunroof ไฟฟ้า คนตัวสูง 170 เซ็นติเมตร อย่างผม นั่งแล้ว ศีรษะจะแค่เฉี่ยวกับเพดานพอดี แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ติดตั้ง Sunroof หัวผมจะติดหลังคาทันที ทำใจครับ ฝรั่งเขาออกแบบมาอย่างนี้ เน้นการนั่งเพียง 2 คน กับผู้โดยสารตัวไม่สูงมากบนเบาะหลัง เป็นหลัก

เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุดด้านหลัง เป็นแบบ Pre-Tensioner & Load Limiter เหมือนเช่นด้านหน้า พร้อมจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX

เบาะหลังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง โดย เปิดยกฝาท้ายขึ้นมา จะเจอคันโยกอยู่เหนือช่องทางเข้า – ออกสัมภาระ ทั้งฝั่งซ้าย และ ขวา

ฝาท้าย เปิดด้วยระบบกลอนไฟฟ้า มีกล้องมองหลังซ่อนอยู่ในโลโก้ตราดาว ยกขึ้นมาเองได้เมื่อ​เข้าเกียร์ถอยหลัง และ ตำแหน่งนั้น เป็นมือจับเปิดฝาท้ายในตัว มีระบบเตะใต้กันชนหลัง เพื่อสั่งเปิด -​ปิด ฝาท้ายได้ หรือจะกดสวิตช์ สั่งปิดฝาลงมา ก็ได้เช่นกันห้องเก็บของด้านหลัง มีความจุ 520 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี เอาเข้าจริง มันมีขนาดใหญ่โตเบ้อเร่อเบ้อร่าเอาเรื่องเลยละ ยัดคุณ Pan Paitoonpong ของเว็บเรา ได้สบายๆ แถมด้วยน้องในทีมอีกสัก 1 คน ด้วยซ้ำ!

แผงหน้าปัด แน่นอนว่า สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามวงการรถยนต์มากนัก อาจตื่นตาตื่นใจกับความอลังการงานสร้าง แต่สำหรับแฟนพันธ์แท้ค่ายรถยนต์ตราดาว อาจไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นนัก เพราะงานออกแบบในภาพรวม แทบจะยกมาจาก E-Class W213 รุ่นปัจจุบัน กันแบบไม่ต้องเสียเวลาออกแบบใหม่ให้วุ่นวาย แอบน่าเสียดายว่า น่าจะสร้างความแตกต่างเพิ่มเติมได้มากกว่านี้

กระนั้น จุดสังเกตที่ทำให้ภายในของ CLS ใหม่ แตกต่างจาก E-Class W213 อยู่ที่ ลำโพงทวีตเตอร์ของชุดเครื่องเสียงจาก Burmester ซึ่งจากเดิมเป็นแบบวงกลม กลายเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน และ ช่องแอร์ ที่ยกมาจาก E-Class กันแบบไม่ต้องคิดมาก

วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสารมีทั้งพลาสติก Recycle โลหะ และ Carbon-Fibre ส่วนเบาะถูกออกแบบมาให้เป็นเอกลักษณ์ของ CLS-Class โดยเฉพาะ แตกต่างจาก E-Class แต่เพิ่มความพิเศษด้วยการติดตั้งไฟประดับที่ช่องแอร์ เพื่อเสริมความโดดเด่นและสวยงามมากยิ่งขึ้น แถมยังมีลูกเล่น เปลี่ยนสีเมื่อมีการปรับอุณหภูมิโดยการกระพริบเป็นเวลาสั้นๆ เป็นสีแดงเมื่อมีการปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น และ เป็นสีฟ้าเมื่อปรับอุณหภูมิให้เย็นลง ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังสามารถปรับแสงสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร และ ช่องแอร์ ได้มากสะใจถึง 64 สี !! เนรมิตบรรยากาศในรถยาค่ำคืน ให้ “ฟรุ้งฟริ้ง” ไม่ต่างจากผับบาร์ชั้นดีสำหรับชาวไฮโซ!

พวงมาลัยแบบ D-Cut ตัดขอบล่าง ตามสมัยนิยม วงพวงมาลัย มีขนาดใหญ่ หุ้มหนัง จับ Grip ได้กระชับมือ สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง คือ เข้า ออก ขึ้น ลง ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ด้านข้างคอพวงมาลัยฝั่งซ้าย มีชุดสวิตช์ควบตุมการทำงานระบบต่างๆ ด้วย TouchPad ทั้งฝั่งซ้ายและขวา

ข่าวดีของผู้บริโภคคือ หลังจากที่ มีเสียงตำหนิเรื่อง ก้านสวิตช์ ระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control และ ระบบควบคุมความเร็ว ไม่ให้ขับเร็วเกินค่าที่ตั้งใจไว้ Speed Limit Assist ซึ่งเคยอยู่บนก้านสวิตช์ด้านข้างคอพวงมาลัย ใกล้ไฟเลี้ยว จนก่อให้เกิดปัญหาการใช้งานผิดพลาด ผมเองก็เคยถึงขั้นด่าเละเทะในประเด็นนี้มาแล้ว คราวนี้ ทีมวิศวกร ตัดสินใจ เปลี่ยนมาติดตั้งสวิตช์ระบบดังกล่าว บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย โดยย้ายแผงสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และ ระบบโทรศัพท์ ไว้ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งขวา เสียที ไชโย!!!

ข่าวร้ายก็คือ การออกแบบแผงสวิตช์ดังกล่าวให้เป็นพลาสติกชุบโลหะ ทำให้เกิดปัญหาการสะท้อนกับแสงแดด แยงเข้าตาผู้ขับขี่ในยามเช้า หรือบ่ายแก่ๆ แทน (-_-‘)

ชุดมาตรวัด เป็นจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ต่อกัน 2 จอ, ใหญ่สะใจ ราวกับหน้าจอสำหรับนั่งดูราคาหุ้น แบ่งเป็น ชุดมาตรวัดแบบ Digital หลังพวงมาลัย ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลของแผงหน้าปัดได้ 3 แบบ ตามต้องการ เหมือนกับ E-Class และ S-Class Facelifted มีทั้งแบบ Classic กับ Sport ซึ่งจะมีมาตรวัดความเร็วและมาตรวัดรอบเครื่องยนต์มาให้ทั้งคู่ และ แบบ Progressive ซึ่งมีมาตรวัดขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง โดยมีมาตรวัดขนาดเล็ก ซ้อนอยู่ข้างใน หรือถ้าไม่ต้องการละสายตาจากถนน CLS ใหม่ ก็ยังมีระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ ทั้งความเร็ว สัญญาณเตือน และแผนที่นำทาง บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) มาให้

ส่วนหน้าจอมอนิเตอร์กลาง จะรับหน้าที่เป็นจอแสดงผลระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System หน้าจอปรับตั้งค่าระบบต่างๆในตัวรถ รวมทั้งเป็นหน้าจอให้ชุดเครื่องเสียงแบบ AUDIO 20 มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester®  Surround Sound System, ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ ทั้ง Bluetooth ,Apple Carplay & Android Auto ยังสามารถ เชื่อมต่อระบบ Mercedes me connect services โดยหน้าจอกลาง สามารถควบคุมสั่งงานได้ผ่านทาง แผง TouchPad และ สวิตช์มือหมุนพร้อมกดของระบบ COMAND บริเวณคอนโซลกลาง ส่วนเครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ  THERMATIC แบบ 2-Zone แยกฝั่งทั้งหน้าและหลัง

ช่วงแรกที่ออกสู่ตลาด CLS-Class ใหม่ จะมีให้เลือกด้วยกัน 4 รุ่นย่อย 4 ระดับความแรง จาก 2 ขุมพลังหลัก ซึ่งใช้ร่วมกันกับ E-Class W213 และ S-Class W222 รุ่นปัจจุบัน ดังนี้

CLS350d 4MATIC

เครื่องยนต์ รหัส OM656 Diesel 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 2,927 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail พ่วง Turbocharger และ Intercooler กำลังสูงสุด 286 แรงม้า (HP) ที่ 3,400 – 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร (61.14 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 5.7 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย UNECE Mode 5.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) 148 กรัม/กิโลเมตร

CLS400d 4MATIC

เครื่องยนต์ รหัส OM656 Diesel 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 2,927 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail พ่วง Turbocharger และ Intercooler กำลังสูงสุด 340 แรงม้า (HP) ที่ 3,600 – 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร (71.33 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 5.0 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย UNECE Mode 5.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร เท่ากันกับ CLS 350d 4MATICS ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) 148 กรัม/กิโลเมตร เท่ากับ CLS 350d 4MATICS

CLS450 4MATIC

เครื่องยนต์ เบนซิน 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 2,999 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 พละกำลัง 372 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร (50.95 กก.-ม.) ทำงานร่วมกับ EQ Boost Starter Generator 16 กิโลวัตต์ หรือ 22 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร (25.45 กก.-ม.) 48V Onboard เพื่อช่วยในเรื่องของอัตราเร่ง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic เชื่อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 4.8 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย UNECE Mode 7.5 ลิตร / 100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) 178 กรัม/กิโลเมตร

CLS 53 AMG 4MATICS+

เครื่องยนต์ เบนซิน 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 2,999 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 435 แรงม้า (HP) ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร (52.98 กก.-ม.) ที่รอบตั้งแต่ 1,800 – 5,800 รอบ/นาที พร้อมระบบ EQ Boost Assist ทำงานร่วมกับ EQ Boost Starter Generator ขนาด 16 กิโลวัตต์ หรือ 22 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร (25.45 กก.-ม.) 48V Onboard เพื่อช่วยในเรื่องของอัตราเร่ง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G เชื่อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบพิเศษ AMG Performance 4MATIC+ all-wheel drive พร้อมระบบกระจายแรงบิด fully variable torque distribution

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 4.5 วินาที Top Speed Electronically Lock ไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าสั่งติดตั้ง AMG Driver’s Package โรงงานก็จะปลดล็อกให้ไต่ไปถึง 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย UNECE Mode 8.4 ลิตร / 100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) 200 กรัม/กิโลเมตร

*** เวอร์ชันไทย ช่วงแรก เครื่องยนต์ไม่เหมือนเมืองนอก! ***

อย่างไรก็ตาม CLS เวอร์ชันไทย ที่จะถูกสั่งเข้ามาเปิดตลาดกันอย่างฉับไว ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ จะเป็นรุ่นย่อยใหม่ CLS 300d AMG Premium

CLS 300d AMG Premium

วางเครื่องยนต์รหัส Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี พ่วง Twin Turbocharger และ Intercooler กำลังสูงสุด 245 แรงม้า (HP) ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร (50.95 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่ด้านหลังพวงมาลัย (Steering – wheel Gearshift Paddles) ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

CLS ใหม่ ทุกรุ่น จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

  1.  5.35
  2.  3.24
  3.  2.25
  4.  1.64
  5.  1.21
  6.  1.00
  7.  0.86
  8.  0.72
  9.  0.60

Reverse (R)  4.80
อัตราทดเฟืองท้าย รุ่น CLS 350d 4MATICS และ CLS 400d 4MATICS อยู่ที่ 2.47 ส่วน CLS 450 4MATICS อยู่ที่ 2.82 แต่ Mercedes-Benz ไม่ได้แจ้งตัวเลขอัตราทดเฟืองท้ายของรุ่น AMG CLS 53 4MATICS+ มาให้เลย

ทั้งเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ทำงานร่วมกับ โปรแรมการขับขี่ DYNAMIC SELECT ที่มีให้เลือกถึง 5 โหมด ดังนี้

  • ECO เน้นการขับขี่ประหยัดน้ำมัน โดยลดความไวของคันเร่งไฟฟ้าลง และเซ็ตเครื่องปรับอากาศไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส
  • COMFORT โปรแกรมปกติ เสำหรับขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวัน คันเร่งจะหน่วงลดลงจาก ECO แต่ไม่ไวเท่า Sport
  • SPORT พวงมาลัยหนืดขึ้นนิดหน่อย ปรับคันเร่งไฟฟ้าให้ไวขึ้น อาจลดเกียร์ 1 จังหวะ เพื่อลากรอบเครื่องยนต์ช่วงเร่งแซง และช่วงล่างจะแข็งขึ้นอีกระดับหนึ่ง
  • SPORT+ คันเร่งไฟฟ้าไวเท่า Sport แต่ เกียร์จะเปลี่ยนช้าลง และตัดเปลี่ยนลงรวดเดียว 1-2 จังหวะ ให้ผู้ขับขี่ลากรอบเครื่องยนต์เอง เอาใจขาซิ่งโดเฉพาะ ช็อกอัพแข็งขึ้นจนดิบระดับตึงตัง แต่ยังไม่แข็งจนสะเทือนเลื่อนลั่น แค่เพียงใกล้เคียงกับ A45 AMG
  • INDIVIDUAL เลือกปรับการตอบสนอง ของพวงมาลัย และคันเร่ง ได้ตามต้องการ สามารถบันทึกค้างไว้ในระบบได้

นอกเหนือจาก ออพชันมากมายท่วมคันรถแล้ว อีกจุดขายสำคัญของ CLS ใหม่ คือ การยกบรรดาระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัยต่างๆ จาก S-Class ใหม่ มาให้ลูกค้าได้เลือกสั่งติดตั้งกันตามใจชอบ มีทั้ง

  • ระบบ Active Distance Control Distronic
  • ระบบ Active Steering Assist
  • ระบบ Active Speed Limit Assist
  • ระบบ Active Brake Assist with Cross traffic function
  • ระบบ Evasive Steering Assist
  • ระบบ Active Blind Spot Assist
  • ระบบ Active Lane Keeping Assist
  • ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน PRESAFE Plus ถุงลมนิรภัย 8 ใบ ฯลฯ

*** คำถามที่หลายคนสงสัย : การขับขี่ ต่างจาก E-Class และ CLS รุ่นเดิม ไหม ? อย่างไร? ***

เรามาเริ่มต้นจากตัวเลขกันก่อน

ผมกับคุณกอล์ฟ Autostation ทดลองขับเวลากัน โดยใช้ทางด่วนของสเปน ตามเท่าที่สภาพการจราจรมีจังหวะให้ลองกดนาฬิกาเล่นๆ แค่เพียง 1-2 ครั้ง เท่านั้น น้ำหนักผม 107 กิโลกรัม คุณกอล์ฟ 95 กิโลกรัม อุณหภูมิขณะจับเวลา อยูที่ 12 องศาเซลเซียส และปรับโปรแกรมเป็นโหมด Comfort ตามมาตรฐานสำหรับการจับเวลาบรรดา Mercedes-Benz ทุกรุ่นก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้

อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 5.23 วินาที
อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 4.22 วินาที

อัตราเร่ง แรงแน่นอน แทบไม่ต้องถามไถ่ แถมมาไวทันใจ ไวตามสั่ง แรงดึงไม่ถึงขั้นหลังติดเบาะแบบ A45 AMG และ CLA 45 AMG แต่สัมผัสได้ว่า ดึงสุภาพกว่า 2 ศรีพี่น้อง นี่ชัดเจน ถ้าถามว่ามันดึงแค่ไหน และไต่ความเร็วขึ้นไปได้เร็วแค่ไหน ผมมองว่า ดึงประมาณ ครึ่งหนึ่งของ AMG GT S ที่ผมเคยลองขับ คือ ดึงแบบ เหมือนผู้ใหญ่กำลังโกรธ แต่ควบคุมอารมณ์ไว้ประมาณหนึ่ง ส่วนการไต่ความเร็วขึ้นไป ฉับไวทันใจในระดับ ใกล้เคียงกับ AMG GT S เลยละ

สำหรับคนทั่วไปขับรถบ้านๆ เจอแรงดึงเจ้าหมอนี่เข้าไป คงกรี๊ดสลบ และรีบบอกให้ถอนคันเร่งโดยด่วน สำหรับวัยรุ่นที่เคยขับรถแรงมา น่าจะกรี๊ดลั่นรถ ถ้าถามคนชอบขับรเร็วอย่างผม เฮ้ย! มันบังคับควบคุมง่ายดาย ได้ดังใจกว่าที่คิดนะ ไม่ดุร้ายเท่าไหร่เลย แต่ถ้าคุณเป็น สายซิ่ง ตีนโหด ระดับที่กระทืบคันเร่งจมมิดรถ SuperCar อย่างต่อเนื่อง (พูดง่ายๆ คือ มหาเศรษฐีอารมณ์ดิบค่อนข้างซาดิสม์) อาจยังรู้สึกว่า ไม่คณาเท้าขวาเท่าใดนัก เชื่อว่า ถ้าได้ขุมพลังแรงกว่านี้ รหัสโหดกว่า ระดับ 63 หรือ 68 น่าจะพึงพอใจกว่า

การเก็บเสียงในช่วงความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ดีสมราคา แน่นอนว่า เสียงเครื่องยนต์ 6 สูบ อันไพเราะเสนาะโสด แทรกตัวผ่านเข้ามาสร้างความรื่นรมณ์แก่ผู้ขับขี่ ได้บันเทิงเริงจิต แถมยังมีเสียง “ปรึ๊บๆ” ตอนถอนเท้า และ เกียร์ลดตำแหน่งลงมา ให้ผมได้ชื่นชอบอีกด้วย

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า การตอบสนองในภาพรวม คล้ายคลึงกับพวงมาลัยของ E-Class ใหม่มากๆ แต่แอบคมขึ้นกว่ากันกระจึ๋งนึง ทั้งในโหมด Comfort ที่เน้นความเบา แต่ไม่ถึงกับหวิว (เพราะน้ำหนักของล้อและยางช่วยถ่วงไว้) กับโหมด Sport ที่พวงมาลัยจะหนืดขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่ผมถือว่ากำลังดีมากๆ ช่วยให้การบังคับควบคุม เป็นไปได้ดังใจต้องการมากขึ้น อัตราทดเซ็ตมากำลังดี ไม่เนือยเกินไปเหมือนพวงมาลัยของ Mercedes-Benz ในยุคโบราณกาล นี่เป็น Mercedes-Benz อีกรุ่น ที่เซ็ตพวงมาลัยมาได้ ดีขึ้นเยอะ จนผมเลิกบ่นในประเด็นนี้กันไปเลย

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็แบบ 4-Link พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ 5-Link พร้อมเหล็กกันโคลง CLS รุ่นมาตรฐาน ทั้ง 3 รุ่นย่อย จะใช้ช็อกอัพแก้ส ปกติทั่วๆไป แต่สำหรับ AMG CLS 53 4MATIC+ จะเปลี่ยนมาใช้ ช็อกอัพอากาศ Air spring แบบ Air Matic ซึ่งสามารถปรับความแข็งอ่อนได้ 3 ระดับ ตามโปรแกรมการขับขี่

หากเป็นโหมด Comfort แน่นอนครับ ไม่ว่าจะคลานในเมือง จนไปเจอเนินสะดุดหรือลูกระนาด หรือบนทางด่วน คุณจะพบความนุ่มสบาย อันเป็นมาตรฐานของ Mercedes-Benz ที่หลายๆคนยังจดจำ และ ชื่นชอบ เกือบจะเท่า แต่แข็งขึ้น และ กระชับขึ้นจากล้อ และ ยาง

ส่วนโหมด Sport เอาเข้าจริง ผมกลับชื่นชอบการเซ็ตชวงล่างของโหมดนี้มากๆ มันไม่แข็งตึงตังแบบไร้สาระ แต่แข็งอย่างมีเหตุผล เวลาเจอเนินสะดุดลูกระนาด หรือหลุมบ่อ ช็อคอัพทำหน้าที่ดูดซับแรงสะเทือนอย่างดี คงเหลือไว้แต่ความแข็งในระดับที่ไว้คอยย้ำเตือนคนขับว่า รถที่คุณขับอยู่นี้ เป็นรถเก๋งแนว Sport GT นะ และแค่นั้น! นี่คือช่วงล่างแบบที่ผมคาดหวังและอยากเห็นจาก Mercedes-Benz ยุคใหม่ๆ มานานแล้ว และไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาพบเจอใน AMG CLS 53 ใหม่นี้!

แต่ถ้าเป็นโหมด Sport+ ความตึงตังในลักษณะของช็อกอัพที่ยาว แต่มีระยะยุบตัวสั้น ก็จะทำใหคุณรู้สึกได้ว่า มันแข็งแบบ Mercedes-AMG ในยุคย้อนกลับไป 3 ปี ก่อนหน้านี้ มันเหมาะกับการเข้าโค้งลึกๆ มันมีอาการสะเทือนเพิ่มข้นเวลาแล่นบนทางด่วน หรือ พื้นผิวขรุขระ

การเข้าโค้งลัดเลาะคดเคี้ยวไปตามถนนไหล่เขา อันสูงชัน แถมยังเปียกลื่นจากหิมะที่เพิ่งละลาย ซึ่งอันตรายเอาเรื่อง บอกเลยว่า หายห่วง ต่อให้เข้าเกิน Limit ไปเล็กน้อย ระบบสารพัดตัวช่วยต่างๆ และ ระบบขับเคลื่อน 4MATIC+ ก็ช่วยดึงให้รถกลับมาอยู่บน Track ตามต้องการได้ง่ายดาย บุคลิกการเข้าโค้ง กระชับขึ้นกว่า CLS รุ่นเดิม รวมทั้ง คล่องแคล่วใกล้เคียงกับน้องเล็กอย่าง C-Class มากขึ้น เพียงแต่ยังคงมีนิสัยแบบรถเก๋งที่มีลำตัวยาว จะให้คล่องเท่า C-Class เป๊ะ ก็คงต้องถือว่า ทำได้ดีเกินคาดไปนิดหน่อย

การทรงตัวในย่านความเร็วสูงตั้งแต่ 120 จนถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ก่อนทีจะรีบเบรกอ่างรวดเร็ว เพื่อกลับลงมาขับตามกฎหมายของสเปน ที่ให้ขับกันไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ภาพรวมทำได้ดีมาก แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ที่มีกระแสลมปะทะด้านข้างจากอ่าวบาร์เซโลนา มาเป็นลูกๆ หน้ารถ กดจิกจนนิ่งกำลังดี พอกันกับ AMG GT S รุ่นปี 2015 ในช่วงไม่เกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง เช่นเดียวกัน

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยมาตรฐาน ทั้งระบบควบคุมการเสถียรภาพ และ การทรงตัว ESP (Electronic Stability Program) ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรคกระทันหัน ABS (Anti-Lock Brake System) ระบกระจายแรงดันน้ำมันเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรกฉุกเฉิน Break Assist ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control) ระบบคอยเตือนแรงดันลมยาง CLS ระบบควบคุมความเร็ว Speed Limit Assist ระบบบังคับ​รถ​กลับไป​ยัง​ช่อง​ทางเดิน​รถ​ของ​ตนเอง (LKA)

ระบบเบรกเซ็ตมาดี แป้นเบรกมีระยะเหยียบปานกลาง เกือบจะลึก แต่ดูดเท้า แตะเบาๆในช่วงความเร็วต่ำ รถก็จะชะลอจนหยุดนิ่งให้ ต่อให้เบรกจากความเร็วสูงก็ทำได้อย่างมั่นใจ หน่วงความเร็วได้ดีมากๆ และ นุ่มนวล ตามสไตล์ Mercedes-Benz ยุคใหม่ สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน มันคือเบรกที่ประเสริฐ ในสไตล์เดียวกับ E-Class W213 แต่ดีกว่ากันนิดนึง

ถ้าให้ขับรถคันนี้ในกรุงเทพมหานคร แน่นอนว่าผมคงเลือกโหมด Individual ไว้ โดยเซตพวงมาลัยเป็นแบบ Sport เซ็ตเครื่องยนต์ตอบสนองแบบ Comfort หรือ Sport ตามความจำเป็นในการใช้งาน เอาไว้เร่งให้มีเสียง “ปรี๊บๆ” จากท่อไอเสีย และเซ็ตช่วงล่าง ไว้ในโหมด Sport ให้แข็งขึ้นกว่าปกติเป็นระดับ 2 ก็พอ ไม่ต้องดิบจนแข็งตึงตังขนาด Sport+

********** สรุป **********
1 ใน Mercedes-Benz ที่ผมชอบ

สารภาพว่า ในอดีต ผมไม่ประทับใจ CLS เอาเสียเลย ผมสงสัยมาตลอดว่า Mercedes-Benz จะทำรถยนต์แบบนี้ออกมาขายกันทำไม จริงอยูว่ามีกลุ่มลูกค้า กว่า 70% ที่ตัดสินใจซื้อ CLS เพราะมองแค่ว่า มันมีระดับชั้นเหนือกว่า E-Class ส่วนอีก 30% เดาว่ามันน่าจะขับดีกว่า E-Class ทั้งที่จริงๆ แล้ว ความแตกต่างระหว่าง E-Class W212 กับ CLS รุ่นที่ 2 (C218) มันไม่ได้มากมายอย่างที่คิดเลย แค่ว่า ขับแล้วนุ่มแบบเรือข้ามฟากเจ้าพระยา ในวันที่คลื่นไม่แรงนัก มากกว่ากันหน่อย ก็แค่นั้น

ถ้าจะให้คำจำกัดความ CLS 250d รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็น CLS รุ่นเดียวที่ผมเคยลองขับช่วงสั้นๆ ว่า เป็น ” E-Class ลูกปลาวาฬ ที่เน้นขับนุ่มๆสบาย แต่นั่งหลังแล้วหัวติดเพดาน ”

และ ถ้าให้คำจำกัดความ E-Class ใหม่ W213 ว่า เป็น ” C-Class ที่ไปเข้าคอร์สเพาะกายจนตัวโตขึ้น ” (เพราะคล่องแคล่วขึ้น และมีบุคลิกกระเดียดไปทาง C-Class ยิ่งกว่า E-Class เดิม

ผมคงให้คำนิยาม CLS ใหม่ว่า ” E-Class ที่ยาวขึ้น สปอร์ตขึ้น แต่ผสมผสานความนุ่มกำลังดี ไว้จนกลมกล่อมขึ้น ชวนให้นึกถึง C-Class รุ่นปัจจุบัน W205 ไซส์บ้านบึ้ม! ”

เพราะอะไร?

เพราะผมชอบ C-Class ใหม่ W205 ในแง่การผสมผสานการบังคับควบคุมรถในภาพรวม ที่ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม (แต่ผมโคตรไม่ชอบขุมพลัง Plug-in Hybrid อันจุกจิก ของมัน) ขณะเดียวกัน สิ่งที่ผมคาดหวังจะเห็นจาก E-Class W213 ก็คือ บุคลิกความเป็น E-Class สำหรับผู้ใหญ่ อันเป็นจุดขายของ รถรุ่นนี้ ได้หายไปอย่างน่าเสียดาย จากการเปลี่ยนไปใช้พื้นตัวถัง MRA Platform ที่เป็น Modular เดียวกับ C-Class

CLS ใหม่ เป็นการนำเอา 2 บุคลิกทั้งฝั่งที่ผมรัก และ คาดหวังดังกล่าว มาผสมผสานไว้ด้วยกัน ได้ดี จนออกมาสร้างความประหลาดใจเล็กๆให้ผมได้เลยว่า จากรถที่ผมเคยไม่ชอบ และหาเหตุผลที่จะชอบไม่ได้ กลายเป็นรถรุ่นใหม่ที่สร้างความประทับใจให้ผมอย่างไม่น่าเชื่อ

นี่แหละ คือรูปแบบของรถยนต์แนว High Performance Car ยุคใหม่ ที่โลกอยากเห็นและอยากให้มันเป็น ทั้งความแรง การบังคับควบคุมที่ง่ายดายขึ้น แต่แน่นไปด้วยความปลอดภัยจากสารพัดตัวช่วยอีเล็กโทรนิคส์ท่วมคัน เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ให้กับคนที่มีประสบการณ์ในการขับรถยนต์แตกต่างกัน มันอาจจะทำให้พวกขาซิ่ง ที่ชอบความดิบ อาจจะร้องเหยียดจากอีโก้ของตนเอง แต่ช่วยไม่ได้ครับ โลกมันเดินมาในแนวทางนี้สักพักหนึ่งแล้วละ

เพียงแต่ว่า รุ่นที่ผมประทับใจ ดันเป็นรุ่น Top of the Line อย่าง AMG CLS 53 4MATIC+ ซึ่งแม้จะดูมีหวังจะได้เห็น Mercedes-Benz (Thailand) สั่งเข้ามาขายในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ยังดูห่างไกลจากความจริงอีกนานพอดู

พอหันกลับมายังตลาดบ้านเรา กลายเป็นว่า Mercedes-Benz จะสั่งนำเข้า CLS 300d AMG Premium มาเปิดตลาดในบ้านเราเป็นประเดิมก่อน ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ ซึ่งต้องทำใจว่า ความแรงและความน่าประทับใจต่างๆ อาจถูกลดทอนลงไปพอสมควร เพราะเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร เวอร์ชันใหม่ รายละเอียดเบื้องต้น น้อง Moo Cnoe รวบรวมไว้ให้แล้ว ที่นี่ CLICK HERE

คำถามก็คือ มันจะถูกลดทอนลงไปมากน้อยแค่ไหน และลูกค้าทั่วไปจะยอมรับได้หรือไม่

มีนาคมนี้ รู้กัน!

——————-///—————-

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

– ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Daimler AG. จำกัด และ บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อและอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทางในครั้งนี้

– Moo Cnoe และ Kantapong Somchana
สำหรับการเตรียมข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถ (บางส่วน)
—————————————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และภาพถ่ายทั้งหมด
โดยผู้เขียน และผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายจากผู้ผลิต ในบทความนี้ เป็นของ Daimler AG.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
3 มีนาคม 2018

J!MMY
Copyright (c) 2018
Text and Some Pictures
Some on-Location Pictures is Copyright of Daimler AG.
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
March 3rd,2018

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!