อันความมึน เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน โดยเฉพาะกับวัย 3 ทศวรรษที่ความร่วงโรยของสังขาร
เริ่มส่อเค้าให้เห็นกันบ้างแล้ว มันเป็นวัยที่คุณเริ่มบ้าพลังกับกิจกรรมน้อยลง แต่บ้าพลังความคิดมากขึ้น
คุณเริ่มถามถึงตารางเที่ยวน้อยลง แต่ถามหาความมั่นคงในชีวิตกับไตรกลีเซอร์ไรน์และคอเลสเตอรอลมากขึ้น

เห้ย..นอกเรื่องไปเยอะแล้วครับ เรากลับมามึนๆกันต่อเหอะ

ความมึนเกิดได้จากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือความสับสน งงงวย ไม่เข้าใจในบางสิ่ง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว Nissan
นั้นเป็นค่ายที่นำพาความมึนมาให้ผมหลายต่อหลายครั้ง นี่ไม่ใช่จะตำหนินะ แต่เป็นเพราะการพัฒนารถยนต์ของ
พวกเขารวมถึงวิธีการสื่อสารทางการตลาด มักทำให้ผมงงงวยไปพักใหญ่ก่อนที่จะเข้าใจว่า “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

อย่าง Tiida นั้น ผมยิงคำถามไปยัง J!MMY ตั้งแต่ช่วงเปิดตัวว่าตกลงนี่มันเป็นคู่แข่ง Jazz หรือว่าคู่แข่ง Civic
คำตอบก็คือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง นั่นคือมึนดอกที่ 1 เพราะตกลงไม่รู้ว่านี่ฉันกำลังจะควักเงินซื้อรถไซส์ไหน พิกัดไหน
จนกระทั่งต้องไปสัมผัสกับมันเอาเองแล้วจึงพอสรุปได้ว่า มันคือ Segment B+ ที่นั่งสบายสู้ Civic ได้แต่ลำตัวแคบ
ใกล้เคียง B-Segment แต่มีเครื่องยนต์ที่กระเดียดไปทาง C-Segment เอ้า..ยังไม่หายมึน ต่อมาเมื่อมีการเปิดตัว
Nissan March ผมได้ยินมาว่ามันจะเป็น Eco-car ซึ่งเป็นรถที่ “ตีตั๋วเด็ก” มองสเป็คแล้วเหมือนเป็นรถ Segment
ต่ำลงมาจาก B-Segment อีกขั้น แล้วผมก็ต้องมาทำความเข้าใจว่าที่จริงแล้วมันน่าจะถือเป็น B-Segment
ที่ยัดเครื่อง 1.2 ลิตรและทำตัวให้เป็นไปตามเงื่อนไข Eco-car ของรัฐบาล และไม่ใช่พิกัดจิ๋วตัวจริงอย่าง
Honda Brio ที่ตามมาในภายหลัง นี่คือมึนดอกที่ 2

ส่วน Almera นั้น ทันทีที่เปิดตัว ณ เมืองจีน ผมฟันโต๊ะพังเลยว่าไอ้เจ้านี่มันต้องเป็น B-Segment แน่นอน
เพราะดูจากขนาดตัวแล้วสูสีดู๋ดี๋กับ B-Segment บ้านเราเลย แม้ว่าพอมาถึงเมืองไทยมันจะถูกจับยัด
เครื่องยนต์กลไกของ Nissan March ก็ตาม …แล้วพอผมไปอ่านบททดสอบของ MotorTrend ในวันหนึ่ง
ก็ไปพบว่าเจ้ารถรุ่นนี้นั้น ในอเมริกาเขาเรียกมันว่า Nissan Versa Sedan แถมยัดเครื่อง 1.6 ลิตร!!

เดี๋ยวก่อน..Versa Sedan รุ่นที่แล้ว มันก็คือ Tiida Latio บ้านเรานี่หว่า แล้ว Tiida ก็จัดเป็นรถ Segment B+
แล้ว Almera ก็ถือเป็น B-Segment ดังนั้นทำไมถึงคิดเอา B-Segment ไปขายแทนที่รถ B+ เอ..หรือว่า
ที่จริงแล้วมันคือรถ Segment B+ ที่จับยัดเครื่องยนต์ Eco-car ขายในบ้านเรา???!!??

โอ้ย!! งงแทบเขวี้ยงไหปลาร้าแตก!!

แต่เอาเถอะครับ ไม่ว่าการวางตำแหน่งการตลาดสำหรับรถยนต์ที่จะขายในเมืองไทยของ Nissan จะซับซ้อน
จนอยากจะบอกว่าดราม่าเอย จงเลิกซับซ้อนได้แล้ว ขนาดไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มันจะเป็นรถที่เข้ามา
สร้างความสำเร็จให้กับ Nissan อีกครั้งหรือไม่ โดยที่เราไม่ต้องไปเอาคำว่า Segment มาคลุมหัวให้คลุมเครือ
ดูกันตรงนี้! แบบนี้! เทียบกับเงินที่จ่าย มองดูรถที่ได้ มันจะเป็นอย่างไร!

แล้วผมก็ได้โอกาสสัมผัสมันเป็นครั้งแรกในวันนี้ ด้วยความอนุเคราะห์จากคุณป๊อก พิสิฐ แห่งโชว์รูม Nissan
Krungthai รามอินทรา ซึ่งได้ให้โอกาสผมลองขับในแบบหอมปากหอมคอ จนพอที่จะนำมาเล่าให้คุณผู้อ่าน
ที่กำลังรอเขวี้ยงเงินจอง เข้าโชว์รูมแบบไปแหล่มิไปแหล่อยู่ ได้มีข้อมูลช่วยในการตัดสินใจเบื้องต้น

เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

Welcome to the new definition of Eco-car!!

+ ดีไซน์ภายนอกและมิติตัวถัง

ในขณะที่ March มีหน้าตาที่ออกจะขี้เล่นและสดใสในแบบที่คุณมักจะพบได้จากเด็กมัธยมปลายน่ารักๆ
ตามหนังสือ iCE เจ้า Almera นี้มาด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สวยหรือเปล่า? ก็แล้วแต่คุณจะคิด
แต่ผมมองว่ามันมีความเซ็กซี่โผล่ออกมามากกว่า Tiida Latio ซึ่งความรู้สึกนี้อาจเป็นผลมาจากการเล่น
เส้นสายในส่วนซีกครึ่งหลังของตัวรถให้มีความลาดเทและโค้งมน รูปทรงของกระจกประตูหลังมีส่วนทำให้
ตัวรถมีลักษณะเหมือนหยดน้ำหรือเมล็ดอัลมอนด์ที่วิ่งกลับหลัง คนที่นิยมความดุดันและบึกบึนอาจไม่ชอบ
ดีไซน์ลักษณะนี้ แต่ Eco-car คันไหนเหรอที่ดูบึกบึนดุดัน??

ส่วนด้านหน้า นับได้ว่าเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างจาก March อย่างเห็นได้ชัดที่สุด เพราะใน March นั้น
ความกลมของอวัยวะและช่องรูต่างๆทำให้รถดูอ่อนวัย กระปรี้กระเปร่า แต่สำหรับ Almera นั้น กระจังหน้า
ที่เป็นเส้นค่อนข้างคม มีการตกแต่งแซมด้วยโครเมียมเพื่อสร้างความหรูหรา รวมถึงไฟหน้าขนาดไม่ค่อยเล็ก
ที่ดูเหมือนจะเอาเส้นสายจาก Sunny NEO ไปสนธิกับความกลมของ March แล้วออกมาเป็นทรงเมล็ดแตงโม
ถ้าถามว่าสวยไหม..ในความเห็นผม ส่วนหน้านี่ล่ะ คือสิ่งที่ทีมดีไซน์ของ Nissan ทำออกมาได้ลงตัวที่สุด
ในความเห็นส่วนตัว (ส่วนตัวจริงๆนะ) ของผม ซีกหน้าน่ะ โอเคแล้ว ลงตัวและเหมาะกับกลุ่มตลาดเป้าหมาย
ของรถคันนี้อย่างที่สุด แต่ซีกหลังนั้นผมกลับคิดว่ามันดูพับเพียบเรียบร้อยเกินไป มีสิ่งเดียวที่ทำให้มันดูท้าทาย
คือไฟท้ายที่โค้งและพาดยาวไปตามเส้นท้ายรถ ซึ่งดูเหมือนยังไม่ประสานความสวยเข้ากับส่วนบั้นท้ายทั้งหมด
ได้ลงตัวนัก

ถ้าให้อธิบายสั้นๆถึงรูปทรงของ Almera ก็คือ “เซ็กซี่ อ่อนวัยกว่า Latio แต่เป็นผู้ใหญ่กว่า March มาก”

แต่ผมจะไม่พูดนะครับว่า แหมทำไมทีมดีไซน์เก่งจัง ทำรถเล็กๆที่มีพื้นฐานมาจาก V-Platform ให้ดูใหญ่โต
เกือบจะไปกินโต๊ะรถ C-Segment ได้ขนาดนั้น เพราะความจริงก็คือ Nissan Almera ไม่ใช่รถที่เล็กเลย!

ขนาดมิติตัวรถ ของ Almera นั้นยาว 4,425 มิลลิเมตร. กว้าง 1,695 มิลลิเมนตร. สูง 1,500 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ฟังดูอาจไม่รู้สึกอะไรมากนักจนกระทั่ง ผมลองกางสเป็คของ Nissan
Tiida Latio 4 ประตู ออกมา เพื่อเปรียบเทียบกัน ซึ่ง Latio นั้น…หืม..? ยาว 4,450 มิลลิเมตร กว้าง
1,695 มิลลิเมตร สูง 1,535 มิลลิเมตร

นั่นก็แปลว่าไอ้เจ้าอีโคคาร์พันธุ์มึนคันนี้ สั้นกว่าพี่ชายของมันแค่ 1 แมลงภู่ และเตี้ยกว่าแค่ 1 แมลงทับ
ในขณะที่ความกว้างนั้นเท่ากัน ส่วนระยะความยาวฐานล้อ ก็มีตัวเลข 2,600 ม.ม.เท่ากันเด๊ะ! ถ้าเห็นแบบนี้
ก็คงไม่แปลกใจถ้าผมจะบอกว่าที่อเมริกาเขาเอารถ V Platform บอดี้ 4 ประตูนี้ไปทำตลาดแทน
Versa Sedan (Latio ในอเมริกา)เดิม..คงเห็นภาพแล้วใช่หรือไม่ว่ามันไม่ได้เป็นรถกระเป๋าเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้น ใครที่เมิน Almera ด้วยเหตุผลว่ามันเป็นรถเล็ก..มันผู้นั้นคงขับ Hummer ไปซื้อของที่ศรีวรจักร
เป็นกิจวัตรปกตินะจ๊ะ อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเล็กแล้ว กว้างกว่านี้นิด ยาวกว่านี้หน่อย ใหญ่เท่า C-Segment
แล้วเหอะ!

ในภาพรวม ด้วยองค์ประกอบตามที่ได้กล่าวมานั้น ทำให้ Almera สลัดเอาความน่ารักน่าหยิกของ March ทิ้งไป
เกือบหมด ตอนนี้มันกลายเป็นรถที่สื่อให้เห็นถึงคนวัยจบปริญญาตรี หน้าคุณยังดูเด็กอยู่ แต่คุณต้องแต่งตัว
ให้ดูดี สุภาพ และสร้างความน่าเชื่อถือสำหรับการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานบริษัทแรกในชีวิตของคุณ

+ ภายในห้องโดยสาร

จริงหรือไม่! Almera นั่งสบายกว่า March อีก?

จริง! แต่.. อ่านให้จบก่อน

เบาะนั่งคู่หน้ามีรูปแบบที่เหมือนกันกับที่พบใน Nissan March ดังนั้นจึงพูดได้ว่าหากเอาคนไซส์
ปกติกึ่งอ้วน (ไม่สิ มันไม่กึ่งแล้ว) อย่าง J!MMY มานั่ง จะพบว่ามันมีความสบายให้พอสมควรโดยที่
ตัวเบาะจะไม่ค่อยโอบรัดเอวหรือสีข้างมากเท่าไหร่ และเบาะรองนั่งก็สั้นไปเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
ส่วนมนุษย์กาสรไซส์อย่างกระผมนาย Commander CHENG ขอบอกเลยว่าส่วนพนักพิงหลังกับหัวน่ะ
ทำได้ค่อนข้างดีแล้วล่ะ จะให้ผมนั่งกรุงเทพ-เชียงใหม่ก็ไม่มีปัญหา แต่เบาะรองนั่งอยากให้ยื่นยาว
ออกมามากกว่านี้ แม้แต่สักนิ้วครึ่งก็จะทำให้ซัพพอร์ทส่วนขาดีขึ้นมาก ซึ่งหากเทียบกับเบาะใหญ่ๆ
อย่างของ Nissan Tiida Latio ผมพบว่าความสบายในแผ่นหลังนั้นใกล้เคียงกัน แต่เบาะรองก้น
Tiida จะมีขนาดใหญ่เบ้อเริ่มกว่า

พื้นที่เหนือศรีษะนั้นเป็นไปตามคาด มันโล่งโปร่งให้คนสูง 183 ซ.ม.อย่างผมโยกตัวโย่ขึ้นโย่ลงได้
สบาย ไม่รู้สึกอึดอัดแต่ประการใด ส่วนพื้นที่วางขาในแนวยาว ยิ่งไม่ใช่ปัญหาเลย ส่วนในแนวขวาง
เมื่อลองพยายามนั่งแหกขาดู ผมคิดว่ามันก็ใกล้เคียงกันกับ March ด้อยกว่า Tiida Latio แต่ก็ดีกว่า
Ford Focus TDCi อยุ่นืดหน่อยก็แล้วกัน

เข็มขัดนิรภัย สำหรับผู้โดยสารและผู้ขับขี่ ด้านหน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด แต่ปรับระดับ สูง-ต่ำ ไม่ได้
ซึ่ง J!MMY เคยพบมาแล้วใน March พอมาถึง Almera ก็ยังเป็นเช่นเดิม จริงอยู่ว่ารถยุโรปอย่าง Volvo
หรือ BMW บางรุ่นก็ปรับระยะเข็มขัดนิรภัยให้สูง-ต่ำไม่ได้ แต่..ถ้ามีมาสักนิดก็จะดีนะครับ

ตรงกลางรถ ไม่มีพนักเท้าแขน เช่นเคย แบบเดียวกันกับ March ซึ่ง J!MMY เองก็เคยบอกไว้ว่า
หากเป็น March รุ่นที่ส่งออกจะมีมาให้ ผมคิดว่าถ้าจะกรุณาใส่มาให้หน่อยก็จะเป็นการดี ถึงแม้พื้นที่
ตรงระหว่างเบาะนั่งคู่หน้ามันจะไม่ได้เยอะอะไรนัก แต่บางครั้งเวลาขับรถไกลๆ แขนซ้ายกับศอกซ้าย
มัน “เหงา” นะ อยากให้มีพนักเท้าแขนใจดีมาคอยโอบรับมันบ้าง 

เบาะนั่งด้านหลัง จุดนี้ล่ะถือว่าเป็นความต่างที่ทำให้ Almera มีเบาะหลังที่ผมชื่นชอบมากกว่า March

เอาจุดดีก่อนนะ..

ถึงแม้ว่าเบาะส่วนรองก้นจะมีลักษณะที่ดูแล้วเหมือนกัน และให้ความรู้สึกที่เหมือนกัน แต่การที่ Almera
มีพนักพิงศรีษะที่สามารถปรับระดับได้นั้นทำให้เวลานั่งแล้วสามารถ “เงนกบาล” ลงไปได้เต็มๆ ซึ่ง
ในกรณีนี้หากเป็น March ผมต้องเลือกเอาว่าจะพักหัว แล้วเลื่อนตัวทะแล่ดแป้ดลงไปข้างล่างเพื่อ
ให้หัวสามารถดันกับพนักพิงได้ หรือจะเอาตัวรอดโดยการนั่งขาเข้าที่ หลังตรง แล้วใช้พลังปราณ
ต้นคอในการประคองศรีษะเอา แถม Almera ยังใจดีให้ที่เท้าแขนเบาะหลัง ซึ่งพอกางออกมาก็
กลายเป็นที่วางแก้วได้อีกต่างหาก

ยิ่งได้พบกับพื้นที่วางขาอันยาวเหยียด ซึ่งเป็นผลบุญมาจากระยะฐานล้อที่ยาว 2,600 ม.ม. เท่า Tiida
ยิ่งทำให้รู้สึกว่าหากจำเป็นต้องนั่งเบาะหลัง Almera จะสามารถรองรับบั้นท้ายและบอดี้ขนาดน้องๆ
รถถังอย่างผมได้ดีกว่า March มาก เรียกได้ว่าพื้นที่วางขา ไม่ใช่ปัญหา แต่กลายเป็นจุดขายที่เด่น
ที่สุดจุดหนึ่งเลยก็ว่าได้

ทีนี้จุดที่ยังไม่ค่อยดีบ้าง..

พื้นที่เหนือศรีษะ เป็นไปตามคาด ก็เล่นทำหลังคาเสียลาดขนาดนั้น แถมทราบกันอยู่ว่าหลังคา
เตี้ยกว่า Laito อยู่เยอะ ดังนั้นหากผมคิดจะนั่งหลังตรงพิงเบาะเต็ม ผมจะต้องเอียงหัว มิเช่นนั้น
ศรีษะจะชนเพดานครับ วิธีไม่ให้ศรีษะชนเพดานก็คือต้องยอมไถลตัวลงมานิดหน่อย ให้เหลือ
เนื้อที่บนหัวประมาณ4-5 ซ.ม. แล้วจะได้ตำแหน่งที่ค่อนข้างพอดี สบายหลังพอ สบายก้นพอ
และหัวไม่โขกเพดานรถ มันไม่ได้สบายแฮอย่าง Latio แต่ถ้าให้เลือก ผมก็ยังคิดว่ามันสบายกว่า
March อยู่ดี 

ถ้านึกไม่ออกว่าฟีลลิ่งประมาณไหน ..บอกได้ว่าประมาณ Teana J31 โฉมแรกครับ
ถ้าคุณสูงไม่เกิน 170 ซ.ม. อาจจะนั่งได้โดยไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกินนั้น ก็ต้องไถลก้นเอา

คำพูดโดยสรุปสำหรับพื้นที่ภายใน “ข้างหน้าสบายเท่า March ข้างหลังสบายกว่ามาก และเป็น
อีโคคาร์ที่มีห้องโดยสารใหญ่ที่สุดแล้วในประเทศไทยขณะนี้ แต่มี Headroom อาจไม่เหมาะกับคนสูง”

+ หน้าปัดและอุปกรณ์

รู้น่าว่าพี่น้องกัน แต่มีอะไรที่ต่างจาก March?

ไม่ต้องมาเล่นเกมจับผิดภาพกันหรอกครับ ความต่างระหว่าง Almera กับ March นั้นสามารถเห็นได้
ตั้งแต่แรกเปิดประตูกันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าถ้านำรุ่นท้อป มาเทียบกับรุ่นท้อปล่ะก็ ลำพังแค่แผงประตู
ก็ต่างกันแล้ว ส่วนที่เป็นพนักเท้าแขนมีการเล่นความโค้งพอให้รู้ว่าฉันถูกออกแบบขึ้นมาหลังจาก
March นะจะบอกให้ แซมด้วยวัสดุพลาสติกสีเงินให้ดูมีความหรูหราขึ้นมา มือจับเปิดประตู
เป็นทรงเดียวกับ March แต่เปลี่ยนวัสดุจากพลาสติกมาเป็นโครเมียมเงาวาววับ! งานนี้แม้แต่
รถใหญ่กว่ายังค้อนขวับเลย

มาที่พวงมาลัย Nissan Almera ในรุ่นสูงจะมีปุ่มมัลติฟังก์ชั่นสำหรับการควบคุมชุดเครื่องเสียง
มาให้ที่ก้านพวงมาลัยด้านซ้าย ซึ่ง March จะไม่มีมาให้ หน้าปัดของ March จะมีมาตรวัดความเร็ว
ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางและมาตรวัดรอบขนาดเล็กอยู่ทางซ้าย ส่วน Almera นั้นจะมีมาตรวัดสองอย่าง
ที่ขนาดเท่ากัน และเป็นมาตรวัดเรืองแสง Fine Vision Meter  ส่วนตรงกลางนั้นจะเป็นจอ
มาตรวัดอัจฉริยะ ซึ่งแจ้งข้อมูลอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเตือนระยะเวลาตรวจเช็ค และระยะทางที่
วิ่งได้ด้วยน้ำมันที่เหลือในถัง อุณหภูมิภายนอกรถ และมีมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้! Yes!

ปรายชายตาเมียงมามองด้านซ้ายก็จะพบว่าคอนโซลกลางของ Almera กับ March นั้นไม่เหมือนกัน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ยกมาจาก March ก็คือสวิทช์ชุดควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติทรงกลม
ส่วนช่องปรับอากาศนั้นเปลี่ยนจากทรงกลมบานเปิดมาใช้ช่องสี่เหลี่ยมเหมือนรถยนต์นั่งทั่วไปแทน
ชุดเครื่องเสียงติดรถมานั้น คุ้นๆว่าจะเหมือนกับที่เราเคยพบมาก่อนใน Tiida Minorchange
ซึ่งสามารถเล่นแผ่น MP3 ได้ และมีช่องเสียบ AUX มาให้ที่ด้านหน้าเครื่อง แต่ไม่มีรูสำหรับเสียบ USB
ลักษณะของฟรอนท์ยูนิตนี้จะเป็นแบบ 2DIN ธรรมดา ไม่ใช่เครื่องเสียงที่เป็นหน้ากากขึ้นรูปเข้ากับ
คอนโซลแบบที่ March ใช้ ถึงแม้จะดูไม่ล้ำยุค แต่เมื่อถึงคราวโบนัสออกอยากยกจอ 2DIN DVD ใส่
ก็ไม่ต้องไปแปลงเปลิงหน้ากากคอนโซลให้เสียเวลา

เกือบลืมบอกไปว่า Nissan Almera รุ่นสูงๆจะมีกระจกมองข้างที่ปรับด้วยไฟฟ้า และกดปุ่มให้พับเก็บได้
หลายคนอาจไม่สน แต่ผมเชื่อว่าประเดี๋ยวแฟนประจำเว็บ headlightmag.com ก็ต้องถามแน่นอน
ในกรณีนี้ Nissan รอดพ้นการโดนกัดโดยผมไปแบบไม่ต้องสืบ

+ Driving Impression

จริงหรือไม่ ตัวรถที่โตกว่าทำให้การขับขี่แย่ลง?

ไม่จริง ถ้าขับแบบปกติ แต่จริง ถ้าซัดไม่เลี้ยง!

ในการขับขี่บนถนนที่เต็มไปด้วยรอยต่อตามมาตรฐานบ้านเรา ผมกลับพบว่า Almera มีการซับแรง
กระแทก และเก็บอาการดีดดิ้นของช่วงล่างได้ดีกว่า Nissan March เล็กน้อยด้วยซ้ำไป ซึ่งสาเหตุ
อาจไม่ได้มาจากน้ำหนักตัวรถ (ซึ่งต่างกันแค่ 62 ก.ก.) แต่มาจากการที่ Almera นั้นได้ยางติดรถ
แบบแก้มหนา 185/65 ซึ่งเท่ากันกับ Tiida Latio และหนากว่ายาง 175/60 ที่ติดมากับ March
ทำให้การวิ่งผ่านถนนที่ขรุขระมีการส่งผ่านความสะเทือนมาให้รู้สึกได้น้อยกว่า

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม ซึ่งก็เป็น
รูปแบบเดียวกับของ March เพียงแต่ว่าด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ผมยังไม่สามารถสืบรายละเอียด
ได้ว่าสปริงและโช้คอัพเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ใน March เด๊ะเลยหรือว่ามีการปรับแต่งค่าความหนืด
ให้เหมาะกับตัวรถที่เปลี่ยนไป ที่ทราบมาก็เพียงแค่ว่ามุมแคสเตอร์ของช่วงล่างมีความแตกต่าง
กันกับ March ซึ่งอาจส่งผลในการขับขี่บ้างเช่นกัน

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมระบบผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ลักษณะการตอบสนองยังคง
เหมือนกับที่ March เป็น แต่มีความหน่วงมือมากกว่าเล็กน้อยซึ่งคาดว่าเป็นเพราะหน้ายางที่กว้างกว่า
แต่ลักษณะโดยรวมคือเน้นไปที่การผ่อนน้ำหนักการหมุนพวงมาลัยจนเบาหวิว แม้กระทั่งสุภาพสตรี
ตัวเล็กๆก็ยังสามารถเอานิ้วควงกลับรถได้อย่างสบายอารมณ์

แต่ถ้าเป็นกระทาชายนายบ้าพลังอย่างผม ก็คิดว่าถ้าวิ่งเกิน 100 แล้วพวงมาลัยน่าจะหนืดกว่านี้หน่อย
น้ำหนักในปัจจุบัน ผมมองว่ามันเบาไปหรือเปล่า? ขนาดของ Tiida คันที่ผมขับอยู่ประจำนี่ก็คิดว่าเบาแล้ว
Almera นี่เบายิ่งกว่า มันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนไม่ค่อยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรถเท่าไหร่
ก็คงต้องทำความเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายหลักเกิน 90% ของ Almera ไม่ใช่กลุ่มคนบ้าพลังและความแรง

ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถแบบธรรมดาๆ หรือขับเร็วเป็นเส้นตรงๆ ไม่ใช่พวกชิงตะขาบกลับชาติ
มาเกิด ปาดซ้ายขวาๆขวาๆซ้ายๆขวาๆขึ้นๆลงๆ X Y X X ผมคิดว่าคุณสามารถอยู่กับรถคันนี้ได้อย่าง
สบายอารมณ์ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงอารมณ์ดีทั้งหลายน่าจะชอบในความสบายแบบนี้จนต้องขอเตือนว่า
ถ้าเกิดวันดีคืนดีต้องไปขับรถคันอื่น อย่าลืมเผื่อแรงแขนเอาไว้เยอะๆนะจ๊ะ

ลองเลี้ยวรถขึ้นทางด่วนไปดูความมั่นคงและการขับขี่ที่ความเร็วสูงกันบ้างดีกว่า ถึงแม้ผมจะบอกว่า
กลุ่มเป้าหมายหลักของ Almera ไม่ใช่พวกบ้าพลัง แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เราควรลองมาให้พวกท่านได้ทราบ
เพราะต่อให้ใจเย็นใจดีกันแค่ไหน ผมเชื่อเหลือเกินว่าพอทางโล่ง พวกท่านก็กดกัน 120-140-160 กัน
ใช่ไหมล่ะ?

ลองใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นดู 80-90..ผมวิ่งผ่านคุณป้าในรถ Camry ที่กำลังขับไปโทรไป..ช่างเขา Almera
ค่อยๆเพิ่มความเร็วอย่างช้าๆไปสู่ความเร็วระดับถูกกฏหมายที่ 110ก.ม./ช.ม. ..สบายอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา
ไหนลองหักพวงมาลัยเปลี่ยนเลนเร็วๆดูซิ ..โอ้ว..นี่มันพี่น้องกับ March เลยนี่หว่า อาการยวบยาบ
มีมาให้เห็นเหมือนกันเด๊ะ ในกรณีของ Almera นั้นท้ายจะออกอาการเหวี่ยงมากกว่านิดหน่อย

ดังนั้นผมก็เดาไม่ผิด หากคุณพยายามไม่เล่นตลกกับพวงมาลัย ประคองตรงไว้ หรือเปลี่ยนเลนแบบ
ค่อยเป็นค่อยไป Nissan Almera สามารถวิ่งด้วยความเร็ว 140-150 แบบตรงๆได้โดยที่คนขับไม่รู้สึก
เครียดจนเหงื่อตกกีบ ตัวรถยังคงวิ่งตรงแหน่วเหมือนแมววิ่งพุ่งเข้าตะปบเหยื่อประมาณนั้น
เป็นอันว่าอีกครั้ง ที่รถ Eco car ไม่ได้หมายความถึงรถกระเป๋าที่วิ่ง 140 แล้วต้องเกร็ง กลัว มั่วกันจน
เหงื่อทะเล็ด

แต่ต้องย้ำให้ระลึกกันอยู่เสมอว่านี่ไม่ใช่รถสปอร์ตซีดาน หากคุณทะลึ่งสาวพวงมาลัยเล่นที่ความเร็วสูง
คุณจะพบว่าตัวรถยวบไปยวบมา เมื่อรวมกับพวงมาลัยไฟฟ้าที่ค่อนข้างจะตอบสนองอย่างเบาและยาน
มันจะทำให้ความมั่นใจของคุณลดลง ซึ่งในบทบู๊ลักษณะนี้ ผมยืนยันว่า City 1.5, Tiida Latio หรือ
Mazda 2 Sedan สามารถสร้างความมั่นใจให้คุณได้มากกว่าครับ

หันมาดูทางด้านเครื่องยนต์และการตอบสนองกันบ้างดีกว่า

ถ้าคุณลองอ่านสเป็คเครื่องยนต์ ก็จะยกมือทาบอกแล้วบอกว่า มันแทบไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจาก March
เอาเสียเลยจริงๆ เพราะเล่นยกชุดมากันหมดแทบจะทั้งยวง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ รหัส HR12DE บล็อก 3 สูบ
DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 หัวฉีด MPI
Multi-Point Injection ควบคุมด้วยกล่องอีเล็กโทรนิคส์ ECCS 32 Bit ระบบขับวาล์ว ใช้โซ่ตอนเดียว เรียงลำดับ
การจุดระเบิด 1 – 2 – 3 แถมยังมีระบบแปรผันวาล์ว CVTC (Continuously Valve-Timing Control)

กำลังสูงสุด 79 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.8 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที
ขับเคลื่อนล้อหน้า มีให้เลือกครบทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ซึ่ง
ก็ยังเป็นเกียร์ แบบเดียวกันกับ March อีกนั่นแหละ! แม้แต่อัตราทดเฟืองท้ายหรืออัตราทดเกียร์ก็เท่ากัน

จริงหรือไม่ อัตราเร่งของ Almera อืดกว่า March?

มีแนวโน้มว่าจะจริง

ลำพังน้ำหนักต่างกันแค่ 62 ก.ก. มันไม่ได้มากมายอะไรเลย นึกภาพว่าคุณไปช้อปปิ้งกับแฟนคุณ
พอขากลับ คุณเชิญคุณเธอลง เอาข้าวของที่เธอขนมาจากเอ็มโพเรี่ยมลง เหลือตัวคุณคนเดียว
คุณรู้สึกว่ารถวิ่งเร็วขึ้นแค่ไหนล่ะครับ? นิดหน่อยเท่านั้นเอง

สาเหตุมันไม่ได้เกิดจากน้ำหนัก 62 ก.ก.เท่านั้น แต่มันเป็นผลรวมกันกับล้อและยางที่มีขนาดโตขึ้น หลายคน
อาจไม่ทราบว่าล้อและยางนั้นสร้างภาระในการทำอัตราเร่งได้ด้วย 1. แรงเสียดทานของหน้ายาง
2. ความหนักของล้อและยาง และ 3. คือเส้นรอบวงของมัน ซึ่งในกรณีนี้ ล้อและยางของ Almera
แม้จะใช้ล้อขอบ 15 นิ้วเหมือนกัน แต่ยางของ Almera มีขนาดโตกว่า

แล้วมันต่างกันมากไหม? ตอบได้เลยว่าไม่หรอกครับ ถ้าไม่มีนาฬิกาเอามาวัด คุณอาจไม่รู้สึกต่างกัน
จะมีก็แค่เพียงช่วงออกตัวที่ดูเหมือนว่า March จะกระโจนออกเร็วกว่า แต่พอความเร็วเริ่มอยู่ตัว
ที่ 40 ก.ม./ช.ม.ขึ้นไปก็จับด้วยความรู้สึกแทบไม่ได้แล้ว ต้องใช้นาฬิกาจับเอา

เรายังไม่ได้มีการทดลองจับอัตราเร่งอย่างเป็นทางการ แต่ผมสามารถบอกได้ว่า
March ที่นั่งน้ำหนักบรรทุก 5 คน สามารถเร่งจาก 80-120 ได้ภายใน 16.33 วินาที
ส่วน Almera ที่นั่งน้ำหนักบรรทุกเท่า 4 คน สามารถทำอัตราเร่งย่านเดียวกันได้ภายใน 16.53 วินาที
แต่ถ้าเกิดกดปุ่มสปอร์ตที่คันเกียร์เพื่อส่งรอบเครื่องไปรอไว้ก่อนเร่ง เวลาที่ได้จะลดลงเหลือ
14.93 วินาที แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าจุดที่ทำการลองวัดนั้นมันไม่ใช่จุดที่เราใช้กันเป็นประจำ
ดังนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเมื่อเราได้รถมาทำฟูลรีวิวในที่สุด

แต่ถ้าให้สรุป ณ วินาทีนี้ หลังจากลองขับ ลองจับเวลากันเล่นๆ ใช่ มันช้ากว่า March

 

จริงหรือไม่ Almera มี idle stop ที่ทำงานคนละแบบกับ March?

จริง!

เพราะใน Nissan March นั้น การจะทำให้ระบบ Idle stop ทำงานได้นั้น คุณจะต้องปิดการทำงาน
ของคอมเพรสเซอร์แอร์ และต้องจอดบนพื้นราบ และยังมีเงื่อนไขอื่นๆอีกซึ่งบอกได้เลยว่า
ถ้าไม่ใช่กรุงเทพมีแอร์ติดทั้งเมือง จ้างให้คนเมืองอย่างพวกเราคงไม่ได้ใช้

แต่ใน Almera ระบบ Idle Stop นี้จะมีบทบาทได้แสดงหน้าเวทีมากขึ้น ไม่ต้องกดปุ่ม A/C Off แล้ว
แค่ขับมาจอดรถนิ่งๆสักพัก รถก็จะดับเครื่องเอง และวิธีการที่จะทำให้เครื่องติดขึ้นมาใหม่นั้น
มีได้ 4 วิธี คือ 1) ถอนเท้าจากแป้นเบรก หรือ 2) ในกรณีที่เข้าเกียร์ว่างไว้ก็ให้เปลี่ยนเกียร์
มาเข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง หรือ 3) ขยับพวงมาลัยไฟฟ้าเพียงเล็กน้อย ระบบกล่องคอนโทรล
จะสั่งการให้เครื่องยนต์ติดขึ้นอีกครั้ง

หรือ..ถ้ามันผ่านไป 3 นาทีแล้วคุณไม่ทำอะไรเลย เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นเองโดยอัตโนมัติครับ

ถ้าหากเป็นคนขี้รำคาญ กลัวว่ามัวแต่ดับๆสตาร์ทๆเครื่องแล้วจะทำให้ออกตัวไม่ทันชาวบ้านหรือ
กลัวโดนบีบแตรไล่ ก็สามารถปิดการทำงานของระบบได้ ลองมองไปที่แผงคอนโซลด้านขวาของ
พวงมาลัย จะมีปุ่มเขียนว่า “Auto OFF” นั่นล่ะครับ กดลงไปเลย แล้วระบบ Idle Stop จะถูกปลด
การทำงานออก ขับไปก็จะเหมือนรถยนต์เครื่องเบนซินทั่วไป

+ สรุป: มันคือ March กลับมาใหม่ ในตัวถัง Sedan เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น หรูขึ้น

Nissan Almera นั้นมีความโชคดีตรงที่ March ได้กรุยทางและทำความเข้าใจระหว่างลูกค้าเป้าหมาย
และความเป็นอีโคคาร์เอาไว้ได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว คำถามหลายข้อที่เคยพาให้จิตใจเป็นกังวล
ก่อนควักเงินซื้ออีโคคาร์ ไม่ว่าจะเป็น…

“เครื่องพันสอง วิ่งไหวเร้อออ(เสียงสูงแกมดูถูก)” เอ่อ มันก็วิ่งไม่เท่าพันห้าของพี่หรอก แต่วิ่งได้
170 ละกัน และ 0-100 ก็ช้ากว่า Cefiro A33 2.0 ลิตรของป๊าพี่นิดเดียวอ่ะ พอไหวมะพี่?

“รถกระป๋อง วิ่งสวนรถบรรทุกแล้วยวบ ขับแบบนี้ไม่เหนื่อยเร้อ (เสียงสูงขึ้นอีก)”
อืม..ก็แล้วแต่พี่จะคิด ถ้าไม่ได้ขับเป็นฟอร์มูล่าวัน มันก็วิ่ง 140-150 นิ่งๆได้นะ แค่นั้นจ่าก็ด่าถึง
พ่อถึงแม่แล้ว

นี่คือสองคำถามที่ March จัดการตอบให้เสร็จไปแล้ว

ดังนั้นยังมีอีกคำถามหนึ่ง ซึ่งสารภาพมาเหอะว่าน้ากับอาของพวกเราน่ะชอบพูดกัน
“รถมันคันเล็ก มันไม่มีท้ายด้วยนะ เดี๋ยวชนท้ายทีภัยก็ถึงตัวหรอก”

ข้อนี้ล่ะที่ Nissan March และ Honda Brio มักจะต้องก้มหน้ารับฟังไป เพราะแม้จะมีการนำเอา
ผลการทดสอบชนมายืนยันอย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า “ความยึดติด” มันยังฝังใจพวกเรา
หลายคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวก Gen-Y ทั้งหลายน่าจะทราบดีว่าการพยายามชักจูงคนอื่น
ให้เลิกยึดติดในความเชื่อน่ะ มันน่าหงุดหงิดขนาดไหน

และในจังหวะนั้นล่ะ Nissan Almera ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาบอกว่า “เดี๋ยวโว้ย เดี๋ยวๆๆ มาแล้วๆ”
“นี่ไง ฉันนี่ไง อีโคคาร์ที่ตัวไม่เล็ก แถมมีท้ายยาวด้วยเอ้า”

นับว่าเข้ามาได้จังหวะเหมาะ แต่ก็ยังเหลือคำถามอีกว่า “แล้วทำไมลูกค้าอย่างฉันจะต้องเลือกเธอ?”



สมมติว่าโยนงบลงมา 600,000 บาทถ้วน (และไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องนโยบายรถคันแรก ซึ่งถก
กันจนนมยานเป็นยายทองประศรีในวรรณคดีไปแล้ว)
มีรถอะไรบ้างที่น่าสนใจในกลุ่มรถ “มีท้าย”
และเป็นเกียร์อัตโนมัติ?

Nissan Tiida Latio 1.6B A/T – ถือว่ารอวันตกรุ่นแล้วในขณะนี้ ราคาค่าตัวอยู่ที่ 594,000 บาท และ
คุณจะไม่ได้ถุงลมนิรภัยเลยสักลูก ไม่มี ABS ไม่มีล้ออัลลอยหรือแม้กระทั่งวิทยุ แต่คุณจะได้
รถที่ห้องโดยสารโอ่โถงสุด นั่งสบายที่สุดทั้งเบาะหน้าและหลัง เครื่องยนต์ตอบสนองดี ช่วงล่าง
ที่นุ่มพอให้ผู้ใหญ่นั่ง และเปรี้ยวเท้าได้แม่นกว่าที่หลายคนคิดละกัน

Honda City 1.5S A/T – ด้วยราคา 599,000 บาท คุณได้ของเล่นติดรถเช่นเครื่องเสียงเสียบ USB ได้
มีช่อง AUX และปรับเสียงตามความเร็วรถด้วย มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า มี ABS และกุญแจ Immobilizer
มีเครื่องยนต์และเกียร์ที่สมรรถณะดีอันดับต้นๆในกลุ่ม ช่วงล่างยังติดสะเทือนนิดๆแต่ขับได้มั่นใจ
พวงมาลัยตอบสนองดี แต่มีภายในที่ไม่กว้างขวางสบายเท่าไหร่นัก

Mazda 2 Groove A/T – ค่าตัวอยู่ที่ 574,000 บาท โดยที่มีถุงลมคู่หน้าและ ABS มาให้เช่นกัน
มีช่วงล่างที่ขับแล้วรู้สึกว่านี่ล่ะ ลงตัวสุดสำหรับประเทศไทย ไม่สะเทือนเกินเหตุ และให้ความมั่นใจ
ได้ไม่แพ้ใคร อัตราเร่งนั้นยังสู้เพื่อนๆที่มีความจุเครื่องยนต์เท่ากันไม่ได้ แต่ยังอยู่ในข่ายที่ใช้
ขับวิ่งทางไกลได้แบบไม่ต้องลุ้นเหงื่อตก

Toyota Vios 1.5 J A/T (ABS) – 564,000 บาท แลกกับรถยอดนิยมที่ช่วงล่างกระเดียดไปทางนุ่ม
มากกว่าโมเดลเก่าที่ผ่านมา การทรงตัวและการขับขี่อาจไม่นับว่าเป็นจุดเด่น แต่เครื่องยนต์ของมัน
มีความยืดหยุ่นสูง ขับง่าย ศูนย์หาง่ายขายต่อราคาดี มี ABS มาให้แน่ล่ะ แต่ไม่มีถุงลมนิรภัย
และการจัดพื้นภายในไม่ถือว่าโดดเด่นกว่าเพื่อนแต่อย่างใด

แล้ว Almera ล่ะ?

แน่นอนมันก็มีห้องโดยสารที่ใกล้เคียงเกือบไปเท่า Tiida Latio และน่าจะ
ไม่ใช่รถที่เน้นอัตราเร่งแน่ล่ะ แล้วก็ไม่ได้เน้นความสนุกสนานจากการขับขี่เลย แต่ในราคาค่าตัว
รุ่น 1.2 VL ตัวท้อปสุดที่ดูเหมือนว่าเท่ากันกับรถ 1.5 ลิตรที่ผมยกตัวอย่างข้างบนนี้ คุณอาจจะมอง
ว่ามันแพง เพราะได้เครื่อง 1.2 ลิตร แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่ารายการอุปกรณ์ติดรถมากมายตั้งแต่
จออัจฉริยะ ไปจนถึงเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบ Push Start กุญแจอัจฉริยะ และระบบ
Idle Stop นั้นมีมาให้แบบครบและจบในคันเดียว หรือก็คือแลกความแรงไป ได้ความหรูมา
และได้ความประหยัดมา ในราคาที่แพงกว่ากันนิดหน่อย ลองไปเอารถ 1.5 ลิตรที่มีของเล่น
ติดรถมากเท่า Almera 1.2VL มาเทียบราคาตรงๆสิครับ จะเห็นภาพความถูกแพงที่แท้จริง

ดังนั้นตรงนี้จึงช่วยให้สามารถตอบคำถามได้เลยว่ารถคันไหนคือคันแรกที่คุณควรไปลองขับก่อน
เพราะรถที่ยกตัวอย่างมานั้น ต่างเอาข้อดีกันไปคนละสองสามข้อ เลือกให้ตรงใจ
จะแรง จะใหญ่ จะขับมั่นใจ จะใช้ยาว หรือเน้นหรูและประหยัด?

ทางเลือก เป็นของคุณครับ!

——————————–//———————————–

ขอขอบคุณ
บริษัท Nissan Krungthai จำกัด สาขารามอินทรา
เอื้อเฟื้อ และอำนวยความสะดวกเรื่องรถทดลองขับอย่างดียิ่ง

Commander CHENG!
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
7 ตุลาคม 2011

Copyright (c) 2011 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 7th,2011