30….สามสิบ

30 เป็นเลขที่มักจะวนเวียนเข้ามาในหัวของผมเสมอเมื่อใดก็ตามที่จะต้องเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับรถ
ของ Nissan ขนาดว่าครั้งที่แล้วที่ผมเขียน First Impression Nissan Almera อารมณ์ของเลข “30” ก็วิ่ง
เข้ามาในสมองในขณะนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ครั้งนี้ผมไม่ได้มาพร้อมกับความมึน แต่มาพร้อมกับ
ความคิดบางอย่างที่เริ่มต้นจากตัวเลขนี้ ..30 เป็นเลขที่คนโสดหลายคนมักจะกลัว หากเป็นผู้ชายก็
มักจะคิดเฉยๆว่าทำไมป่านนี้เรายังไม่มีแฟนสักคนวะ ในขณะที่ฝ่ายหญิงเขามักไม่ค่อยคิดแต่..คุณๆ
ผู้ชายก็เข้าใจกันใช่หรือไม่ว่าเมื่อผู้หญิงบอกว่า “ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” มันหมายความจริงๆว่ากระไร
ก็เหมือนกับคำว่า “ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก” กับ “ฉันอยู่คนเดียวได้” และ “แล้วแต่เธอละกัน”

หลายคนมักมองตัวเลข 30 ว่าเป็นเลขที่น่ากลัว อย่างที่นิทานเรื่องกำหนดชีวิตเคยเล่าเอาไว้ว่ามนุษย์นั้น
จะใช้ชีวิต 30 ปีแรกในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่สุขภาพใจกายและจิตแข็งแรง ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีพลัง..
จากนั้นเขาก็จะเข้าสู่ 18 ปีต่อมาที่เป็นของ “ลา” อยู่กับการทำงานหนัก ถูกเตะถูกถีบสารพัด แต่ไม่มีใคร
เห็นความดีความงามของเขา จากนั้นก็จะเข้าสู่ 12 ปีของสุนัขที่มักมีงานหลักเป็นการเฝ้าบ้านหรือนั่งบ่น
อยู่ตามมุมห้อง ก่อนที่จะจบด้วย 8 ปีของลิง ซึ่งเขาจะกลายเป็นตัวตลกสำหรับเด็กๆ

แต่ในมุมกลับกัน 30 นั้นน่าจะเป็นเลขที่มงคลสำหรับคนหลายคน บางคนหลงทางมาทั้งชีวิตก็กลับตัวและ
ค้นหาตัวเองจนเจอในอายุ 30 บางคนก็พบว่า 30 เป็นวัยที่แม้จะงานหนัก แต่ก็ยังมีแรงสู้เหลือเฟือและก็ยังมี
เงินใช้เหลือเฟือ ทำงานหนักแต่ก็เที่ยวและเล่นแบบจัดหนักยิ่งกว่าได้ ผู้หญิงบางคน แม้มีแฟนมาตั้งแต่เด็กๆ
แต่กลับพบคนรักที่เป็นรักถาวร เมื่ออายุเลย 30  อย่าสงสัยว่าผมไปรู้มาได้ไง ก็พักหลังๆนี้ผมมักตามทวิตเตอร์
ของBangkokmathchingเป็นประจำ ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านบางคนก็ตาม แค่ไม่ได้พูด..เท่านั้นเอง

เข้าใจว่า 30 นั้นอาจเป็นจุดนัดพบของความสวย ความเซ็กซี่ ความมีเสน่ห์ ความเฉลียวฉลาด พัฒนาการ
ของตรรกะความคิด ความอดทน ความสร้างสรรค์ พวกมันทั้งหมดนัดมาเจอกันที่ 4 แยกนี้แล้วตกลงกันว่า
เราจะสร้างสมดุลย์ระหว่างกันอย่างเท่าเทียมกันในจุดนี้

ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่นำเรามายังคุณชมพู่ อารยา เอ้ย! Nissan Sylphy อันเป็นประเด็นหลักของเราในวันนี้
วันที่รถคันนี้ เปิดตัวครั้งแรกสู่ตลาดเมืองไทย วันที่ 30 สิงหาคม 2012….

นั่นไง หนีไม่พ้น เลข 30 เลยจริงๆ!

Nissan Sylphy โฉมปัจจุบันเปิดตัวที่ปักกิ่งมอเตอร์โชว์ในช่วงกลางปี 2012 นี้เอง จากนั้นไม่นาน โลกไซเบอร์
ของประเทศไทยก็โรมประโคมข่าว รวมถึงการแชร์ภาพ Spyshot รถวิ่งทดสอบในประเทศไทย (ซึ่งชั้นก็อยาก
ถามเหมือนกันว่าเธอจะใส่เสื้อใส่ผ้าอำพรางไปทำไมในเมื่อตัวตนของเธอน่ะชั้นนั้นเห็นจากเมืองจีนมาหมดแล้ว)
หลายคนที่กำลังจะกำเงินไปซื้อรถ C-Segment รุ่นอื่นในตลาดก็เลยถูกตรึงให้หยุดอยู่ตรงนั้นก่อนด้วยคำว่า
“รอดู Sylphy” อารมณ์เหมือนกับวินาทีที่คุณตัดสินใจแล้วว่าจะหักดิบแล้วครองโสดไปตลอดชีวิตแล้วมีเพื่อน
สนิทมาเกาะไหล่กระซิบว่า “มึงยังไม่เจอคนนี้..เพื่อนกูเอง..มึงชอบแน่”

และไอ้ “เพื่อนกูเอง” ของเพื่อนคุณรายนี้..ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างออกมาต่างๆจากตัวเขามากมาย
ซึ่งคุณอาจจะได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วเช่น

1. ชอบแต่งตัวดูภูมิฐาน พูดตรงๆก็คือแต่งตัวแก่กว่าเพื่อนร่วมรุ่นนั่นแหละ
2. หรูเริด และอาจจะมีเซอร์ไพรส์ (ซึ่งก็เกาหัวกันแกร่กๆ..อะไรฟระเซอร์ไพรส์)
3. ชอบกั๊กของในบางที..ของบางอย่างน่าจะมีก็ดันไม่มีซะงั้น
4. ตัวแอบใหญ่ ข้างในใจกว้าง

เหล่านี้เป็นต้น

ดังนั้น ในเมื่อเดทคนนี้ถูกเชื้อเชิญมาให้เจอกันแล้ว เราก็มาดูกันดีกว่าว่าจะเป็นอย่างไร

+ ดีไซน์ภายนอกและมิติตัวถัง
จากกระแสรอบ “โลก” ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าวัยรุ่นส่วนมากจะเห็นแล้วปล่อยผ่านไปดูเจ้าอื่นต่อ
เพราะลักษณะการออกแบบของรถรวมถึงสีที่ใช้ในการโปรโมทนั้นไม่ใช่สไตล์ที่วัยรุ่นส่วนมากจะเทใจให้
เมื่อได้เห็นภาพตอนเปิดตัว ผมรู้ได้ทันทีว่า Nissan ไม่ได้ต้องการที่จะเอาใจวัยรุ่นระดับมหาวิทยาลัย
หรือ First jobber แต่กำลังเล็งเป้าหมายไปที่กลุ่มลูกค้าวัยทำงานที่ผ่านงานมาแล้วระยะหนึ่ง และน่าจะเป็น
กลุ่มที่มีความสามารถในการหารายได้มาจุนเจือตัวเองมากพอจนสามารถบินไปเที่ยวเมืองนอกปีละ 3-4 ครั้ง
ได้โดยไม่ต้องใช้สินเชื่อบุพการีอุปถัมภ์

บอกตามตรงว่าวินาทีที่เห็นภาพชุดเปิดตัว ชีวิตผมหดหู่ไปพักใหญ่ๆ เพราะแอบหวังมาตลอดว่ามันจะเป็น
รถที่มีหน้าตาแหลมเรียวเปรียวสะใจอย่างรถต้นแบบ Ellure ที่ถูกส่งมายั่วเราก่อนหน้านี้ แต่พอมาถึงปุ๊บ
กลายเป็นเวอร์ชั่นย่อส่วนของ Teana ที่มีธีมด้านข้างคล้ายกันมาก มีไฟท้ายที่เห็นแล้วนึกถึง E-Class Coupe
ที่เป็นรถยอดนิยมไฮโซอยู่ตอนนี้ ด้านหน้าของรถเห็นแล้วแอบนึกถึง Toyota Crown Majesta รุ่นก่อนๆซึ่งเป็น
รถระดับเรือธงของญี่ปุ่น พูดง่ายๆคือในสายตา Commander CHENG รถคันนี้เป็นรถ C-Segment ที่มี
ลักษณะเหมือนยกจากรถใหญ่ๆมาไว้ในตัวเยอะ ไม่แปลกหรอกครับที่หลายคนจะมองว่าแก่เกินเพื่อนร่วม
Segment ไป เพราะ Cruze และ Focus ก็มีดีไซน์ที่แหวกแนวและกล้าหาญ Lancer EX มีหน้าตาที่ดุ..
จนผู้หญิงบางคนไม่กล้าขับ และ Civic ก็ดูแล้วเหมือนไม่จ๊าบเท่ารุ่นที่แล้วแต่ยังมีความทะมัดทะแมงให้เห็น

แต่วินาทีนี้คุณควรจะเลิกสนมันไปเลยหรือเปล่า? ผมว่าไม่ และอันที่จริงคุณควรได้เห็นตัวจริงของรถคันนี้ก่อน
เพราะเมื่อมองด้วยสายตามนุษย์ปกติที่ไม่ผ่านเลนส์ของกล้องแล้ว ผมพบว่าการทำเส้นสายหยักขึ้นที่ซุ้มล้อหน้า
นั้นกลับกลายเป็นพระเอกที่ช่วยให้เวลามองมุมเอียงเฉียงจากด้านหน้า ตัวรถกลับดูมีลักษณะเป็น
เสือหมอบเตรียมกระโจนแฝงอยู่ และมุมเฉียงด้านท้ายยิ่งดูดีกว่าที่เห็นในภาพ เพราะรายละเอียดของไฟท้าย
LEDนั้นช่วยไว้แท้ๆ รถคันนี้จึงยังมีความน่าสนใจแฝงในดีไซน์ซึ่งถ้าหากนำไปตกแต่งเปลี่ยนล้ออัลลอยเอง
สักขนาด 18 นิ้วและกดเตี้ยลงหน่อย ไม่แน่มันอาจกลายเป็นรถ C-Segment ที่ดู “VIP” ที่สุดก็เป็นได้

เอาเป็นว่าถ้าคุณหวังมากเอาไว้กับ Ellure อย่างผม คุณจะผิดหวัง แต่ถ้าคุณมองว่านี่คือรถที่เป็นผู้สืบทอด
Sentra B13, Sunny B14, Sunny NEO, Tiida Latio แล้วล่ะก็..ผมคิดว่า Sylphy ก็ดึงดูดสายตามากที่สุดอยู่ดี
โดยเฉพาะถ้าเทียบกับ Latio เส้นสายดูอ่อนช้อยมีการไล่ลำดับมิติดีกว่ามาก ต้องขอบคุณ Nissan ที่มาครั้งนี้
ยอมขยายความยาวของตัวรถเพิ่มจาก Latio ไปอีกถึง 200 ม.ม. เป็น 4,615 ม.ม. และทำให้ Sylphy
กลายเป็น C-Segment 4 ประตูที่มีขนาดตัวยาวที่สุดในประเทศไปแล้ว! ยาวกว่า Civic 90 ม.ม. แต่ไล่เลี่ยกัน
กับ Chevrolet Cruze (4,600ม.ม.)

ล้ออัลลอยติดรถที่ให้มาเป็นขนาด 16 นิ้วซึ่งเมื่อประกบกับยางแก้มหนาแล้วก็ให้ภาพลักษณ์ที่กระเดียดไป
ทางหรูหราผู้ดี น่าเสียดาย หากได้ล้อ 17 นิ้วลายสวยๆแบบที่ใส่กับ Tiida GT-S ในเมืองนอกมาใส่ ผมว่า
รถทั้งคันที่มีภาพลักษณ์ที่ดูกระฉับกระเฉงขึ้นมากครับ ส่วนไฟหน้า Projector น่ะ ใครที่รออยู่ ผมยืนยันให้
ตรงนี้เลยครับว่า “รอต่อไป ไม่งั้นก็รอของแต่งเอาแล้วกัน” ผมเดาว่าจำนวนลูกค้าเป้าหมายของ Sylphyนั้น
อาจมีแค่ไม่กี่ร้อยคนที่จะสนใจเรื่องไฟหน้า Projector

+ ภายในห้องโดยสาร
ในระยะหลังมานี้ Nissan หลายรุ่นที่ขายในไทย (ยกเว้น Navara) จะมีจุดเด่นในด้านการออกแบบห้องโดยสาร
ให้มีพื้นที่เหยียดแข้งขาได้สบายเกินตัว และในรุ่น Tiida กับ Teana ยังมีจุดเด่นที่การเลือกใช้วัสดุ Soft touch
เข้าไปบุในหลายส่วนที่คู่แข่งมองข้ามแถมยังมีการเก็บเสียงรบกวนที่ดี แล้ว Sylphy จะยังรักษาคุณสมบัตินี้
เอาไว้ได้หรือไม่?

คำตอบคือได้เพิ่มเติมมาในบางข้อ แต่ก็หดหายไปในบางข้อเช่นกัน!

การขึ้นลงเบาะนั่งคู่หน้า คนไซส์หมี 4XL อย่างผมสามารถขึ้นลงได้อย่างสบาย ไม่ต้องตะเกียกตะกาย
เอามือยันโน่นนี่เพื่อดันตัวขึ้นจนบางทีดูเหมือนจินตลีลาปลาวาฬในมหาสมุทร นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะการออกแบบของตัวรถดูจะเน้นขนาดบานประตูที่ใหญ่พอสมควร และตัวรถที่มีความสูงมากที่สุด
ในตลาด C-Segment ก็น่าจะมีส่วนช่วยในจุดนี้

ส่วนการขึ้นลงจากเบาะหลังนั้น เนื่องจากแนวหลังคามีลักษณะค่อนข้างเตี้ยกว่า Latio การเข้านั่งจึงไม่
สามารถสไลด์เข้าไปนั่งตรงๆเลยแบบ Latio ได้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องก้มหัวหลบแบบ Almera และถ้าให้
เทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน ก็ยังสามารถเข้าออกได้ง่ายกว่าใครเพื่อนอยู่ดี อย่าง Lancer EX นั้น
ผมมักมีปัญหากับประตูในส่วนล่างเพราะตวัดขาเข้าทีไร เท้าจะปาดและฝากรอยโคลนเอาไว้ที่เสากลาง
เสียทุกครั้งไป

ส่วน J!MMY ยืนยันความเห็นเช่นเดียวกัน คือ ไม่มีปัญหาอะไรกับสรีระร่างของเขา การก้าวเข้า – ออก
จากห้องโดยสาร ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง มันก็พอกันกับรถยนต์ พิกัด C-Segment ทั่วไปในตลาด แต่
ช่องทางประตูคู่หลัง สามารถเข้าไปนั่งได้ ด้วยระยะที่ใกล้เคียงกับบานประตูคู่หลังของ Teana แต่ถ้า
จะคาดหวังว่า เข้าออกง่ายดายเหมือน TIIDA Latio แล้ว บอกได้เลยว่า มันไม่ถึงขนาดนั้นนะ

ตัวเบาะนั่งทั้งหน้าและหลังก็ยังคงมีเอกลักษณ์ในสไตล์ Nissan คือเน้นขนาดที่ใหญ่และนั่งสบายมากกว่า
ที่จะสนใจเรื่องซัพพอร์ทสำหรับการขับขี่ประเภทรุนแรง สำหรับเบาะหน้านั้นมีการออกแบบให้บริเวณ
รองรับก้นมีความนุ่มนวลและนูนขึ้นมาดันได้อย่างพอเหมาะ แต่ถ้าว่ากันที่ขนาด จะพบว่าของเดิม Latio
จะมีขนาดใหญ่กว่า เพียงแต่มีลักษณะแบนราบเกินไปจึงยังนั่งไม่สบายนัก คนไซส์ปกติหลายคนคงชอบ
เบาะแบบ Sylphy มากกว่า และพนักพิงหลังก็ให้ซัพพอร์ทช่วงหลังกับไหล่ดีกว่า Latio ชัดเจน ถือว่า
เป็นการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นครับ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะก้นใหญ่เป็นซูโม่แบบผม ซึ่งนั่งแล้วตัวจะล้นๆ

อ้อ คันโยกปรับเอนเบาะ ถูกย้ายจากขอบด้านในของเบาะอย่างใน Latio มาอยู่ขอบนอกเหมือนรถทั่วไป
แล้วนะครับ

สำหรับ J!MMY มองเห็นเรื่องนี้ว่า เบาะรองนั่ง มีความยาว มากกว่า Teana รุ่น J32 นิดเดียว ถ้าลุกขึ้นมา
จาก Sylphy แล้วมานั่ง เบาะคนขับ Teana ต่อทันที จะพบความแตกต่างนิดนึงชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม
พนักพิงหลังนั้น รองรับช่วงกลาง และช่วงแผ่นหลัง ได้ดีกว่า TIIDA เบาะรองนั่งไม่ได้หนานุ่มเท่า แต่
รองรับบั้นท้ายของ J!MMY ได้ดีขึ้นกว่าเดิม

พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับเบาะคู่หน้า ไม่ใช่ปัญหา มันไม่ถึงกับโล่งนัก แต่ก็สูงพอให้คนตัวสูง 180 เซ็นติเมตร
เข้ามานั่งได้ อย่างไม่ต้องมีเสียงบ่นอะไร ไม่เช่นนั้น ประเด็นนี้ Commander CHENG คงบ่นไปแล้วแน่ๆ

พื้นที่โดยสาร สำหรับเบาะคู่หน้านั้นให้พื้นที่วางขา และพื้นที่เหนือศรีษะมามากพอสำหรับคนสูง 183ซ.ม.
อย่างผม คอนโซลกลางออกแบบให้มีหน้าตาที่ดูหรูหราขึ้นแต่ก็พบว่าการที่ไม่ปาดคอนโซลช่วงล่างๆอย่างใน
Tiida/Latio รุ่นเก่าก็ทำให้ผมอ้าขาได้ไม่มากเท่า และในภาพรวม มันมีความโปร่งไม่มากเท่า Tiida/Latio
 แต่อย่างไรก็ตาม มันคือสถานที่ที่คนตัวใหญ่ๆจะสามารถเรียกหาความสบายได้ดีกว่า Ford Focus มาก
นับประสาอะไรกับคนตัวเล็ก

ส่วนเบาะหลังนั้นมีรูปทรงเบาะที่ค่อนข้างธรรมดา การนั่งโดยสารไม่มีปัญหาอะไร แต่สงสัยอยู่ว่าทำไม๊ทำไม
ต้องปาดขอบเบาะด้านนอกเหมือนปัญหาเดียวกับใน Teana เด๊ะ มันอาจช่วยให้เราขึ้นลงได้ง่ายแต่ถ้านั่งไกลๆ
น่องฝั่งที่อยู่ชิดประตูจะเมื่อยนิดๆ ถ้าจะติก็คงมีแค่จุดนี้จริงๆครับ

แต่ยังแอบหวังอยู่ว่าถ้า Nissan อยากสร้างรถที่นั่งเบาะแล้วสบายสุดๆจริงๆ ลองศึกษาเบาะนั่งคู่หน้าของบรรดา
Volvo ทั้งหลายดูแล้วนำมาปรับใหม่ให้เหมาะกับต้นทุนการผลิตของรถระดับ C-Segment แล้วจะเยี่ยมสุดเลยครับ

อย่างที่เห็นในภาพ เบาะและภายในของรถทดสอบของเราจะหุ้มด้วยหนัง ซึ่งจะมีเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ในรุ่นท้อป 1.8V Navi, 1.8V และไล่ลงไปถึงรุ่น 1.6V ก็มีให้ ฟังดูดี แต่ Latio ตัวท้อป 1.6G สมัยก่อนก็มีเบาะ
หนังมาให้ จึงไม่ถือว่าแปลกสำหรับ Nissan

พนักพิงหลัง รองรับช่วงต้น กลาง และด้านล่างของแผ่นหลัง ได้ดีขึ้น และให้ความสบายมากขึ้น
ตำแหน่งการวางแขน บนแผงประตูทั้ง 4 บาน ถือว่า ทำได้ดี แต่ถ้าจะต้องวางแขนบน ที่วางแขน
ทั้งด้านหลัง (แบบพับเก็บได้ และเปิดทะลุไปยังห้องเก็บของด้านหลังได้) รวมทั้ง ด้านหน้า (ซึ่ง
เป็นฝาปิดกล่องคอนโซลเก็บของตรงกลาง และสามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ อีกทั้งยังมี
ช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขนาดจุมจิ๋ม มาให้อีกด้วย) ยังถือว่า เตี้ยไปนิดนึง น่าจะทำ
ออกมาให้สูงกว่านี้สักหน่อย (J!MMY)

สำหรับเนื้อที่ด้านหลัง ตรงนี้ก็เป็นไปตามคาดเพราะเนื้อที่เหนือศรีษะถูกปาดลงเพื่อให้แนวหลังคามีความ
ลาดเทปราดเปรียวขึ้น ดังนั้นอย่าแปลกใจหากพบว่าเมื่อนั่งลงไปแล้วจะมีพื้นที่เหนือหัวพอๆกันกับ Almera
ผมลองนั่งแล้วพบว่ามันใกล้เคียงกันมากครับ ถ้านั่งหลังตรงชิด ผมจะต้องเอียงหัว แต่ถ้าถอยทวารลงมาหน่อย
ก็จะนั่งได้พอดีและสบายตัว ถ้าเทียบกับ Latio ผมว่ายังไง Latio ก็โปรงสบายกว่าครับ Sylphy นั้นจะมีเนื้อที่
สูสี Almera แต่มีความกว้างของเบาะมากกว่าแบบเห็นได้ชัด

ใน Tiida และ Almera การนั่งโดยสารเบาะหลังแบบเรียง 3 คนนั้นจะถูกสงวนไว้ให้กับผู้โดยสารเด็ก สตรีและชะนี
ร่างเล็กๆเท่านั้นหากเอากอริลล่าชายมานั่งก็จะได้แค่ 2 คน แต่ใน Sylphy นั่น ต่อให้เอาคนตัวใหญ่ๆมานั่งสองคน
ผมก็รู้สึกว่ายังสามารถเอาชะนีร่างเล็กมานั่งสอดแทรกตรงกลางได้โดยไม่โดนเบียดตายคาน่องเสียก่อน
เพราะ Nissan ตัดสินใจขยับความกว้างของตัวรถเป็น 1,760 ม.ม. จากเดิม Latio ที่กว้าง 1,695 ม.ม.

ส่วนเนื้อที่วางเท้าก็ยาวพอกัน แม้ว่าฐานล้อของ Sylphy นั้นจะมีความยาว 2,700 ม.ม. ซึ่งยาวที่สุดในบรรดารถ
C-Segment แล้วก็ตาม คาดว่าคงอุทิศความยาวตรงนี้ให้กับส่วนท้ายและหลังคาที่ลาดมากกว่า

อยากจะสวยต้องยอมกันหน่อย!

สำหรับประเด็นนี้ J!MMY มองเห็นว่า ทุกอย่างทำออกมาได้ดี เว้นแต่ เบาะรองนั่ง ซึ่งใช้วิธีปาดเบาะ
และรองรับช่วงขายังไม่ถึงกับดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ เมื่อเทียบกับคู่แข่งคันอื่นในตลาด อย่างไรก็ตาม
พื้นที่เหนือศีรษะยังน้อยไปหน่อย เพราะสำหรับคนตัวสูง 171 เซ็นติเมตร อย่าง J!MMY มีพื้นที่
เหนือศีรษะ เหลือยู่ แค่เอานิ้วชี้กับนิ้วกลาง สอดแหย่เข้าไประหว่างหัวกับเพดานหลังคาเท่านั้น
ถือว่า Headroom ด้อยลงกว่า TIIDA Latio แต่ อยู่ในเกณฑ์ทั่วไปเมื่อเทียบกับ C-Segment 
Compact คันอื่นๆ ในตลาด

ส่วนพื้นที่วางขา ขึ้นอยู่กับการปรับเบาะคู่หน้าล้วนๆ เช่นเดียวกับทั้ง Focus Cruze และ Lancer EX
ถ้าปรับเบาะหน้าในตำแหน่งที่ผมนั่งขับได้สบาย พอมานั่งด้านหลัง คนตัวสูง 171 เซ็นติเมตร อย่าง
J!MMY จะนั่งได้พอดี และมีพื้นที่วางขาเหลือมากพอ เช่นในภาพนี้

+ หน้าปัดและอุปกรณ์

Nissan Sylphy มาในสไตล์เดียวกับ Teana J32 เมื่อตอนเปิดตัวคือเน้นสีครีม/เบจ ตัดกับลายไม้สีน้ำตาล
ให้บรรยากาศที่ดูออกไปทางหรูมากกว่าสปอร์ต ที่คอนโซลกลางจะมีระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ
ซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวาต่างกันได้ (และมีช่องแอร์เป่าสำหรับคนนั่งหลังมาให้) หน้าปัด
เป็นแบบเรืองแสงพร้อมจอแสดง Multi Information Display ในทุกรุ่น ตั้งแต่ถูกสุดไปยันแพงสุด

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่นและหุ้มด้วยหนังอย่างที่เห็นในรถทดสอบนี้
ก็มีในรุ่นท้อปสุด 3 รุ่น ไล่ลงไปถึง 1.6V เช่นกัน แต่ที่เซอร์ไพรส์มากจนน้ำตาจะไหลอยากขอแชร์ก็คือ
พวงมาลัยของ Sylphy สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง! ก้ม-เงย-เข้า-ออกได้ซักที! นี่คือสิ่งที่เราตำหนิในรถ
ของ Nissan (ไม่เว้นแม้แต่ 370Z และ Teana)มาตลอด และมาในวันนี้ Nissan ระดับชาวบ้านก็มีพวงมาลัย
ที่ปรับเข้าออกให้เรานั่งขับกันได้ถนัดแล้ว ขอชมเชยในการแก้ไขข้อบกพร่องนี้ครับ ถ้าไม่ได้แก้มา
ผมจะซัดให้เละทีเดียวเพราะ C-Segment สมัยนี้เขามีกันหมดแล้ว!

จุดเด่นของ Sylphy ยังอยู่ที่การเลือกใช้วัสดุนุ่มที่ดูดีมีราคา เป็นไม้ตายเดียวกับที่ใช้ใน Tiida/Latio และ
Teana มาแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนกับได้ขับรถระดับ D-Segment เพียงแต่การเก็บงานในบางจุดจะยัง
ไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร ซึ่งในจุดนี้อาจเป็นเพราะการผลิตล็อตแรกๆหรือไม่งั้นก็ต้องกวดขันคุณภาพ
ของซัพพลายเออร์

สำหรับใครที่มองหา Cruise Control ว่าสวิทช์ซ่อนอยู่ไหน บนพวงมาลัยทำไมไม่มี อยู่หลังพวงมาลัย
หรือเปล่า หรือมันอยู่ใต้พรมแล้วพวกเราหาไม่เจอ? ไม่ต้องไปหาครับ เพราะมันไม่มี! สงสัยว่าทาง Nissan
อาจจะมองว่าไม่จำเป็นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ขับเดินทางไกลบ่อย ซึ่งผมก็จะไม่ว่าอะไร ถ้าลูกค้า
สามารถสั่งอะไหล่แล้วให้ช่างที่ศูนย์ติดตั้งเพิ่มเติมได้ในราคาไม่แพงอย่างที่ทำได้ใน Navara ผมโอเคนะ
แต่ถ้าเป็นอย่าง Teana รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่กล่อง ECU ไม่รองรับ อันนี้ก็น่าเสียดาย เพราะคู่แข่งอย่าง
Civic 1.8E Navi, Lancer GLS Ltd และ Cruze 1.8 LTZ เขาก็มีให้ เหลือเพียง Altis 1.8 เท่านั้น
ที่ไม่มี Cruise controlเหมือนกัน

J!MMY Comments :
ระบบนำทาง Navigation System มีมาให้เฉพาะรุ่น 1.8 V Navi ก็ตาม แต่ที่ต้องปรบมือให้ ก็คือ
มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้ามาให้ครบทุกรุ่น แม้แต่รุ่นเกียร์ธรรมดา ราคา 7 แสน 4 หมื่นกว่าบาท
ส่วนกุญแจรีโมท Keyless Entry พร้อมปุ่ม Push Start นั้น จะมีมาให้เฉพาะรุ่น 1.6V 1.8V และ
1.8V Navi ถือว่างานนี้ กำไรเป็นของคนซื้อรุ่น 1.6V อันเป็นตัวท็อปของรุ่น 1.6 ลิตรเห็นๆ!

ขอตำหนิเรื่องวัสดุหนังที่หุ้มฟองน้ำอยู่สักหน่อย การเก็บงานฝีเย็บตะเข็บต่างๆ ยังสู้ เบาะนั่ง
ของ Teana ที่ผลิตโดย NHK Spring ไม่ได้ ยังเห็นพื้นผิวโป่งพองออกมาบ้าง ทั้งบริเวณหนัง
ที่แปะอยู่กับพื้นที่วางแขนบนแผงประตู หรือการหุ้มเบาะหนังที่ยังทำออกมาไม่เรียบร้อยนัก
เมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆในปัจจุบันนี้ อยากให้ล็อตต่อๆไป ใช้ความประณีต และควบคุม
คุณภาพในจุดนี้ให้ดี สมกับที่ บริษัทแม่ในญี่ปุ่น เขาให้ความสำคัญในเรื่อง Perceived Quality
กว่านี้หน่อยเถอะ เพราะ งานออกแบบต่างๆ รู้เลยว่า ตั้งใจทำออกมาให้เป็น Teana Junior ชัดๆ
แม้แต่เกรดของวัสดุ นี่ก็แทบจะเหมือนกันเป๊ะเลยด้วยซ้ำ ใกล้เคียงกันมากๆแล้ว เหลือแค่
การเก็บรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ แค่นั้นเองจริงๆ

+ Driving Impression

Nissan Sylphy เปิดตัวในตลาดไทยด้วยเครื่องยนต์ 2 รุ่น ได้แก่

พิกัด 1.6 ลิตร เป็นเครื่องยนต์รหัส HR16DE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 : 1หัวฉีด EGI คุมด้วยกล่อง ECCS-32bit พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว CVTC กำลังสูงสุด116 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 154 นิวตันเมตร
(15.7 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ อัตโนมัติ XTronic CVT

ส่วนพิกัด 1.8 ลิตร เป็นเครื่องยนต์ MRA8DE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
79.7 x 90.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.9 : 1หัวฉีด EGI คุมด้วยกล่อง ECCS-32bit พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว CVTC กำลังสูงสุด 131 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 174 นิวตันเมตร
(17.8 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT ให้เลือกเท่านั้น

สเป็คของตัว 1.6 ลิตร ผมไม่มีอะไรกังขา แรงม้าดีขึ้น 7 แรงม้าจาก HR16DE ใน Tiida ซึ่งก็เป็นเรื่องดี
แต่ที่สงสัยคือเครื่อง MRA8 ซึ่งสงสัยเหลือเกินว่าทำไมต้องลงทุนทำกระบอกสูบและช่วงชักให้ต่างจาก
MR18DE ตัวเก่า ซึ่งเครื่องเดิมจะมีปากกระบอกสูบ 84 ม.ม. เป็นเครื่องชักสั้น ในขณะที่ MRA8DE
จะมีช่วงชักยาวมากกกก แต่ปากกระบอกสูบใหญ่กว่าเครื่อง 1.6 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พละกำลังก็
ไม่ได้ต่างจากเดิมมากและแรงบิดดูเหมือนจะน้อยลงเสียด้วยซ้ำ

แล้วมันจะเวิร์คหรือเปล่า? ถ้าต้องมาอยู่ในรถที่หนักขึ้น 60-70 กิโลกรัม และล้อกับยางโตกว่าเดิมมาก!
งานนี้เครื่องยนต์กับตัวรถ มองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายก็หันไปมองที่เกียร์ CVT แล้วบอกว่า
“ตรูฝากกกกเมิงด้วยยนะ เกียร์”

รถคันที่เราได้ลองขับ เป็นรุ่น 1.8V Navi ตัวท้อป เกียร์อัตโนมัติ CVT ไม่มีโหมด +/- ให้เล่นแต่อย่างใด
แต่มีเกียร์ L และโหมดสปอร์ต ซึ่งว่าไปแล้วก็เหมือนกับ Teana นั่นเอง

สำหรับความเห็นของผม ใครที่กลัวว่ารถใหญ่ ยางโตแล้วจะอืดลงกว่า Latio ก็ไม่ต้องกลัวแล้วครับ
อย่างที่พวกผมลองจับเวลากันโดยมี J!MMY และผม Commander CHENG! น้ำหนักบรรทุกจะมากกว่า
การจับเวลาตามปกติของตาจิมซึ่งจะนั่งไปกับน้องกล้วย BnN นั่นหมายความว่าน้ำหนักบรรทุกเพิ่มมา
อีก 100 กิโลกรัม! แม้กระนั้น Sylphy 1.8 ก็ยังทำอัตราเร่งจาก 0-100 ก.ม./ช.ม.ได้ภายใน 12.08 วินาที
และเร่งแซงด้วยเกียร์ D จาก 80-120 ก.ม./ช.ม.ได้ภายใน 9.02 วินาที

ดังนั้นหากจับเวลาด้วยมือแม่นๆและน้ำหนักตัวของเจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Channel
แทนที่จะเป็นผม Sylphy คันนี้ก็น่าจะวิ่ง ไปกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างสบาย มีลุ้นว่าจะโค่น
ตัวจี๊ดอย่าง Altis 1.8 ได้หรือเปล่าแค่นั้นเอง มีแนวโน้มว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. น่าจะมี
11 วินาทีกลางๆ และ 80 – 120 กม./ชม. น่าจะอยู่ แถวๆ 8 วินาที ปลายๆ ในรุ่น 1.8 ลิตร ส่วน
รุ่น 1.6 ลิตร เรายังไม่ได้ลองขับ คงยังไม่อาจพูดอะไรได้

ระบบส่งกำลัง CVT มีลักษณะที่ทำมาเน้นความนุ่มนวลในการขับขี่และประหยัดน้ำมัน
บางจังหวะผมออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำเพราะบางทีกำลังกดคันเร่งแช่มายาวๆแล้วถอนคันเร่ง
พอจะกดต่อ เกียร์ก็รีบทดจังหวะสูง รอบเครื่องร่วงลงเสียแล้ว แถมร่วงลงแบบรีบจริงรีบจัง
ยิ่งกว่า Lancer EX และ Altis เลยรู้สึกไม่ค่อยชอบในตอนแรก ผมต้องกดปุ่ม Sport ที่หัวเกียร์
ชีวิตจึงได้เปลี่ยน เพราะรอบเครื่องจะถูกเลี้ยงไว้ประมาณ 3.5-4 พันรอบอยู่ตลอด แล้วทันทีที่
ลงคันเร่ง รอบจะดีดขึ้นทันทีอย่างว่องไวราวกับกินสเตอรอยด์มาสอบสัมภาษณ์

แม้ความรู้สึกที่ได้จะค่อนข้างไม่หวือหวา ไม่ดึงแบบหลังติดเบาะ แต่นาฬิกาก็ฟ้องอยู่ว่ามันไม่ได้ต่าง
ไปจากคู่แข่งรายอื่นๆ นี่ล่ะครับสิ่งที่ผมเรียกว่า CVT หลอน..มันหลอกเรายิ่งกว่าผู้ชายหลายใจเสียอีก

J!MMY Comments :
อัตราเร่งในภาพรวมถือว่า ทำออกมาได้ในระดับท กลางๆ ไม่แรงถึงขนาดพุ่งกระฉูดรูดปรู๊ดปร๊าด
แต่รับประกันได้ว่า ไม่อืดหนักหนา เหมือนอย่าง สมัย Nissan Sunny NEO แน่ๆ คันเร่ง ในโหมด
เกียร์ D ปกติ จะ Lack ไปราวๆ 0.5 วินาที แต่ถ้ากดปุ่ม S เมื่อไหร่ คันเร่งแทบจะมาทันเท้าสั่งเลย
แต่ต้องแลกกับการที่เกียร์จะถูกสั่งให้ขึ้นไปเลี้ยงรอบไว้ที่ 4,000 รอบ/นาที เหมาะเอาไว้สำหรับ
การไล่ล่า พวกชอบขับรถจี้ตูดชาวบ้านดีนักแล!

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม มาพร้อมเหล็กกันโคลง
ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตอบสนองได้ตามความคาดหมาย จนต้องบอกว่า ถ้าหากนี่เป็นการซื้อล็อตเตอรี่
ผมคงจะรวยไปแล้ว!

เพราะเป็นไปตามที่คาด.. Nissan คงได้บทเรียนจากการที่ลูกค้า Tiida/Latio หลายคนบ่นว่ามันมีช่วงล่าง
ที่สะเทือนเกินไป มาคราวนี้ Sylphy มีรูปแบบช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลัง
ยังเป็นทอร์ชั่นบีม เหมือนกันกับ Latio แต่ไม่ทราบว่าไปปรับตั้งอย่างไร ความรู้สึกที่ได้เวลาวิ่งรูดถนน
พันธุ์เคาะปะผุล้านครั้งของประเทศไทย มันต่างกันมาก! ตรงไหนที่ Latio ส่งแรงสะเทือนขึ้นมาให้
สัมผัสได้ Sylphy จะกลืนและซับมันไปเกือบหมด เรียกได้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักจะชอบช่วงล่างแบบนี้
แน่นอนว่ามันนุ่มกว่า Altis สบายกว่า Civic FB เล็กน้อย แต่ยังตามหลัง Ford Focus ซึ่งจัดเป็นเทพ
ในด้านช่วงล่างของ C-Segment อยู่ดี

เมื่อลองเข้าโค้งและใช้ความเร็วสูงขึ้น ช่วงล่างก็ไม่ได้มีอาการส่ายหรือโยน มันมีความนุ่มและมั่นคง
ในลักษณะที่น่าจะเรียกว่า Teana Junior กล่าวคือหนักแน่น มั่นใจ เพียงแต่ไม่สปอร์ตหรือเร้าอารมณ์
ให้พุ่งเข้าชาร์จใส่โค้งแบบ Cruze เท่านั้นเอง การวิ่งบนทางด่วนที่ลมแรงพอสมควร อาการส่ายไหว
ไปตามลมแบบที่เคยมีใน Latio หายไปพอสมควร

เรียกได้ว่าบาลานซ์ทุกอย่างมาได้กลางๆ ไม่เบาโหวง ไม่หนักแน่น ไม่ทื่อ แต่ก็ไม่คมเป็นมีดโกน

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ยังเป็นแบบเพาเวอร์ไฟฟ้า แต่ที่ความเร็วต่ำจะมีน้ำหนักเบา และตั้งอัตราทด
มาไวกว่า Latio แบบเห็นได้ชัด ตวัดมือไม่ต้องก็เปลี่ยนเลนได้แล้ว ลักษณะคล้ายกับพวงมาลัยของ Mazda 3
2.0 ใหม่ แต่ที่ความเร็วสูงระดับ 120 ขึ้นไป จะมีความหน่วงตึงมือมากกว่า Mazda 3, Altis, Latio และสูสีกัน
กับ Honda Civic แต่ถ้าเป็นความนิ่งในการประคองตรง จะเป็นรอง Cruze, Focus และ Lancer อยู่เล็กน้อย
น้อยมากจนต้องจับสังเกตกันจริงๆถึงจะพบ คือ ถ้าเทียบเป็นตาชั่ง มันจะต่างกันราวๆ 1 ขีด ตาชั่งแม่ค้า
เท่านั้นเลย!

ส่วนการตอบสนองของ ระบบห้ามล้อ เป็นแบบดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ คู่หน้ามีรูระบายความร้อน เสริมด้วย
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากว่ารถคัน
ที่เรานำมาลองขับนี้ ยังใหม่มาก ชนิดว่า ลงจากเทรลเลอร์ขนส่งรถ มาได้ไม่กี่ชั่วโมง ดังนั้น แค่ขับปกติ
กลิ่นผ้าเบรกไหม้ ก็จะโชยเข้าจมูก เป็นเรื่องกติ คงต้องรอดูใน Full Review ของ J!MMY กันอีกครั้ง
ว่าการตอบสนองจะเป็นอย่างไร

แล้วทีนี้ สำหรับคนที่ไม่ได้เห็น Sylphy แล้วใจร้อนรีบบึ่งไปเซ็นใบจองที่โชว์รูมทันที คุณจะมีอะไรให้เป็น
ตัวเลือกสำหรับรถ C-Segment บ้างล่ะ?

เราคงต้องแบ่งออกเป็น 2 พิกัดก่อนในเบื้องต้น คือ 1.8 ลิตร และ 1.6 ลิตร ส่วน 2.0 ลิตรนั้นยังไม่ต้องเทียบ
จนกว่า Sylphy จะมีเครื่องยนต์ที่สามารถต่อกรกับคู่แข่งได้ตรงรุ่น

ในพิกัด 1.8 ลิตร ที่จะขอเน้นไปที่ตัวระดับแพงๆของแต่ละค่ายก่อน มีดังนี้ครับ

1. Honda Civic 1.8E Navi – รถที่เข้าใจง่าย เอา FD รุ่นเก่ามาปรับปรุงข้อเสียต่างๆให้ดีขึ้น ช่วงล่างนุ่มขึ้น
แต่ข้างหลังยังติดอาการตึงตังอยู่บ้าง อุปกรณ์ติดรถมีมาให้น่าพอใจ เพียงแต่ช่วยทำให้วัสดุบางจุดและการ
ออกแบบกรอบเครื่องเสียงมันดูดีกว่านี้หน่อยน่าจะถูกใจลูกค้ามากกว่านี้ ราคาค่าตัวอยู่ที่ 964,000 บาท
Civic ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่เอาใจคนส่วนใหญ่ในประเทศได้ (แม้จะไม่ดีสุดในทุกด้าน) เพราะขับง่าย
และประหยัดน้ำมัน

2. Toyota Altis 1.8G – เป็นรถที่น่าสงสารตรงที่ของเล่นอันมีเสน่ห์ถูกสงวนเอาไว้ให้สำหรับ 2.0 ลูกพี่ใหญ่
เวอร์ชั่น 1.8 ของ Altis จึงค่อนข้างแห้งเหี่ยวในเรื่องอุปกรณ์โดยเฉพาะของเล่นไฮเทคสำหรับวัยไอโฟน
ช่วงล่าง หลังไมเนอร์เชนจ์มา แข็งตึงตังกว่าที่คิด แต่ก็เกาะถนนดีกว่าที่คิด การทำงานของเครื่องยนต์กับเกียร์
ร่วมมือกันดีมาก อัตราเร่งดีเกือบไล่ฆ่าพวก 2.0ยี่ห้ออื่นได้ ค่าตัว 919,000 นั้นอาจจะถือว่าแลกกับอุปกรณ์ที่
น้อยกว่าคู่แข่งระดับเดียวกันไปหน่อย

3. Mitsubishi Lancer EX 1.8 GLS Ltd – อัตราเร่งออกตัวค่อนข้างจะแห้งเหี่ยวแต่ช่วงความเร็วสูงแล้วโอเค
การเก็บเสียงรบกวนจากยางยังทำได้ไม่ดี และจากการทดลองของ headlightmag พบว่ามันกินน้ำมันจุกว่า
เพื่อนๆในระดับเดียวกัน อุปกรณ์ติดรถถือว่าน้อยใกล้เคียง Altis แต่มี KOS-Smart Entry มาให้ ช่วงล่าง
อยู่ในระดับที่บาลานซ์ดีระหว่างความนุ่มนวลกับความเกาะถนน ที่สำคัญ ราคาเปิดมา 879,000 บาท นับว่า
ถูกกว่าคู่แข่งอยู่หลายหมื่นและถูกกว่า Cruze 1.8LTZ เป็นแสน!

4.Chevrolet Cruze 1.8LTZ – เห็นราคาล้านบาททอน2,000 แล้วแทบลมจับคาซอย มันไม่ใช่รถที่เร่งได้เร็วอย่าง
Altis แต่ยังดีที่ไม่กินน้ำมันเท่า Lancer สิ่งที่ทำให้รถคันนี้เด่นน่าจะอยู่ที่ช่วงล่างเป๊ะๆขับทางไกลสบาย
แถมอุปกรณ์ที่ชาวบ้านเขาไม่มี Cruze มีหมด รวมถึงระบบรักษาการทรงตัวและแทร็คชั่นคอนโทรล
และถุงลมนิรภัย 4 ใบ ซึ่งคนอื่นไม่มีใครให้มาเลย เป็นรถที่เกือบจะดีที่สุดแล้วถ้าจะช่วยทำเบาะ
ให้มันนุ่มกว่านี้หน่อยเถอะ

ปล. ถ้าคุณอยู่ได้โดยไม่ต้องมีล้อ 17 นิ้ว เบาะหนัง ภายในสีฉูดฉาดและสละถุงลมสองใบ รุ่น 1.8LT
ก็ดร็อปราคาลงมาเหลือ 936,000 บาท ซึ่งก็ยัง…เอิ่ม..

ทีนี้มาดูคู่แข่งพิกัด 1.6 ลิตรกันบ้าง

1. Ford Focus 1.6 Trend – ยังไม่ได้ขับ เลยบอกไม่ได้ว่าเรี่ยวแรงจะประมาณไหน ส่วนการเกาะถนน
และช่วงล่างคงไม่เสียมาตรฐาน Ford ระยะหลังๆที่เป็นผู้นำของกลุ่มไปแน่นอน เปิดราคามา 829,000
มีของเล่นอย่างระบบสั่งการด้วยเสียง ในด้านความปลอดภัยก็มีระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวและ
แทร็คชั่นคอนโทรลมาให้พร้อม แต่ทำใจเรื่องพื้นที่ภายในหน่อยเพราะตัวรถใหญ่แต่ภายในแคบหมีดิ้นตาย
ขนาดว่าปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว แต่เจอวิชาฝ่ามือจัดพื้นที่ของรถญี่ปุ่นเข้าไปก็เอ๋อกินอยู่ดี

2. Toyota Altis 1.6G – ธรรมด๊าาาา ธรรมดาาที่สุดในสามโลก เพราะตารางลิสต์อุปกรณ์นั้นนอกจากเบาะหนัง
แล้วอย่างอื่นไม่มีอะไรอย่างที่เพื่อนเขามี แต่ราคานั้นไม่ได้ถูก เพราะ 834,000 บาทนั้นแพงกว่า Focus ด้วยซ้ำ
แต่เครื่องยนต์นั้นพึ่งพาได้ อัตราเร่งดีแม้จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อัตราการบริโภคสมเหตุผล เป็นรถที่
เข้าใจง่าย ใช้ง่าย แต่ถ้าได้อุปกรณ์มากกว่านี้คงดี ช่วงล่างนุ่มกว่ารุ่น 1.8 แต่ยังจัดว่าค่อนไปทางแข็ง

3.  Mazda 3 1.6 Spirit – หากคุณสนใจเรื่องราคา ตัวเลข 825,000 บาทของมันนั้นถือว่าถูกกว่าใครเพื่อนในกลุ่ม
สไตล์ตัวถังดูมีความน่าสนใจ เป็นวัยรุ่น มีอุปกรณ์ติดตัวมาน่าสนใจพอสมควร มีแอร์อัตโนมัติที่ปรับ
อุณหภูมิแยกซ้ายขวาได้ มีช่วงล่างอิสระ แต่อัตราเร่ง..ไม่อยากจะจับเวลาครับ ขนาดตัว 2.0 ยังออกตัวไม่เร็ว
เท่า Altis 1.8 เลย ถ้าคนขับเท้าไม่หนัก อาจไม่มีปัญหาในจุดนี้

4. Chevrolet Cruze 1.6 LT – เช่นกันกับตัว 1.8LTZ ราคาคือปัญหาของมัน เพราะคุณต้องจ่าย 864,000 บาท
ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งอยู่พอสมควร แต่ก็ได้การขับขี่และช่วงล่างแน่นๆ ส่วนอุปกรณ์นั้น พวกแทร็คชั่นคอนโทรล
กับระบบรักษาการทรงตัวจะไม่มีมาให้ในตัว 1.6 และอุปกรณ์อื่นๆที่เหลือในรถนั้นก็จะสูสีกันกับคู่แข่ง

+ สรุป จาก Commander CHENG
“Teana Junior หรูขึ้น สวยขึ้น ราคางาม! แต่เด็กซิ่งคงไม่ชอบ”

Sylphy ใหม่ นับว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ Nissan ในการกลับมาสู่ตลาด C-Segment และผมขอ
บอกได้เลยว่า Nissan Thailand ทำออกมาได้ดี มีการทำการบ้านมาดี สังเกตได้จากบทเรียนต่างๆที่รับมาจาก
NEO และ Tiida/Latio ถูกนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น ช่วงล่างนุ่มพอเหมาะเกาะมั่นใจแม้จะไม่ได้คมเฉียบแน่น
แบบ Cruze ภายในตกแต่งมาได้หรูหรากว่า Latio และโดดขึ้นไปเป็นรถที่มีมาดหรูที่สุดในกลุ่มไปโดยปริยาย
การเปิดราคามาสมเหตุสมผล ยิ่งทำให้รถคันนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ เพียงแต่ต้อง
ยอมเสียความสบายในการโดยสารสำหรับคนนั่งหลังไปเพื่อความสวยงามที่เพิ่มขึ้น

ถ้าจะมีสิ่งใดที่ผมขอให้ปรับปรุง ก็คงจะเป็นอุปกรณ์บางอย่างเช่นล้อขนาด 17 นิ้วลายสเป็คจีน ซึ่งดูแล้ว
รถจะสวยลงตัวกว่า ถ้ามีเป็นออพชั่นได้ก็ดีครับ Cruise Control ก็ควรจะมีมาให้ เพราะคู่แข่งเขามีกันหมด
และ Cruise สมัยนี้ทำงานร่วมกับคันเร่งไฟฟ้า ต้นทุนไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ขนาด Navara จะติดตั้งเพิ่มเติม
ยังใช้เงินไม่กี่พันบาทเลยครับ

ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ก็เป็นสิ่งที่น่าจะมีมาให้ แต่ผมไม่ซีเรียส ถ้าได้ก็ดีครับ เพราะจะทำให้ตัวรถเมื่อมอง
จากด้านหน้าดูไฮเทคขึ้นมากกว่าเดิม พวกผู้ชายที่เป็นนักเลงรถมักจะมองมาดของรถที่มีความล้ำในแบบนี้
ในขณะที่ผู้หญิงส่วนมากที่ชอบความเรียบร้อยอาจจะไม่สนใจนัก

ถือว่าคราวนี้ เปิดตัวได้สวย ทำรถมาได้ดี
แต่ขอให้ผลิตรถให้ทัน และอย่าให้ยอดจองรอข้ามปีแล้วกันนะครับ

+ สรุป (เบื้องต้น) จาก J!MMY
“Teana Junior หรูขึ้น สวยขึ้น ราคางาม! คราวนี้ น่าจะขายดีชนิดที่ Altis และ Civic มีหนาว ตามคาด!”

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาก่อน หรือหลังทดลองขับ ความคิดของผมที่มีต่อ Nissan Sylphy ถือได้ว่า เหมือนเดิม
มันเป็นไปตามคาด ไม่มีอะไรผิดไปจากความคาดหมายนัก (ยกเว้นการเก็บงานวัสดุหนังหุ้มเบาะและ
แผงประตู นี่คือจุดที่ต้อง Comment กันตรงๆ และแรงๆ)

ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่า Nissan คงจะไม่ทำรถออกมาให้ติดแนว Sport จ๋า อย่างที่ Ford Focus, Chevrolet Cruze
Mitsubishi Lancer, EX Mazda 3 หรือแม้แต่ Sport Compact Wanna be อย่าง Toyota Corolla ALTIS
ก็พอจะวาดภาพออกมาได้เลย ว่ารถคันนี้ จะมาในแนว นุ่ม สบายๆ ไม่แน่น ไม่กลวง เอาใจคนชอบความ
หรูหรา มากกว่าแนวสปอร์ตจ๋า ชัดเจน

แล้วก็เป็นจริงตามนั้น ทั้งการตกแต่งและวัสดุที่เลือกใช้ ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า มันคือ Teana Junior ของจริง
บุคลิกการขับขี่ในแบบที่ แรงแบบกลางๆ ไม่อืดอาด ช่วงล่างมาในแนวนุ่ม ซับแรงสะเทือนจากพื้นถนน
รามอินทรา ได้ดี และให้ความมั่นคง บนทางด่วน ที่ความเร็วช่วง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อย่างไม่มีปัญหา
สั่งให้รถไปอย่างไร มันก็เป็นไปตามนั้น แต่ไม่ถึงขั้นดิบๆ Truthfully เก็บรายละเอียดมันทุกเม็ดกรวด
ตรงกันข้าม มันเป็นผู้ใหญ่ ที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ตอบสนองได้ปานกลาง แต่ดีขึ้นทั้งคัน และน่าจะนำพา
ให้ Nissan กลับมามียอดขาย อยู่ในระดับแถวหน้า ของกลุ่ม C-Segment Compact 1.6 – 2.0 ลิตร ได้อีกครั้ง
อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นรถที่จะตอบโจทย์ กับผู้คนส่วนมากได้อย่างลงตัว

ยิ่งการตั้งราคาที่สวยงามขนาดนี้ บอกได้เลยว่า อนาคต น่าจะสดใสแน่ๆ แม้ว่าข้าวของที่ให้มาจะน้อยกว่า
ที่คาด แต่เมื่อหักลบกับค่าตัวที่ตั้งไว้ ก้ถือว่า เจ๊ากันได้อยู่

เพียงแต่ ใครที่ชอบรถขับสนุก ต้องทำใจนะครับ Sylphy ไม่ใช่รถของคุณ ควรจะไปหา Focus Cruze
Lancer EX มากกว่า เพราะรถเหล่านั้น ให้ประสบการณ์ การขับขี่ที่หนักแน่น  และสนุกใช้ได้ในค่าตัว
ที่ถูกแพงไม่หนีกันมากนัก เมื่อคำนวนออกมาเป็นค่าผ่อนส่งรายเดือน (บวกดอกเบี้ยแล้วด้วยนะ)

แต่ถ้าคิดว่า อยากได้รถแนวขับสบาย เดินทางไกลได้ นุ่มนวล แต่มั่นคง มั่นใจได้ Sylphy ตอบโจทย์
ได้ครบถ้วนแน่นอน

ทีนี้ ก็คงจะเหลือเพียงแค่ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพิลง และอัตราเร่ง ซึ่งเรายังต้องรอกันอีกสักหน่อย
จนกว่า บทความ Full Review จะเสร็จ ยังไม่ต้องมาถามนะครับว่าเมื่อไหร่ และไม่ต้องมาเร่งด้วย

ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเขียนเสร็จเมื่อไหร่!

——————————///——————————-

ขอขอบคุณ

บริษัท Nissan Krungthai จำกัด สาขารามอินทรา
เอื้อเฟื้อ และอำนวยความสะดวกเรื่องรถทดลองขับอย่างดียิ่ง

Commander CHENG! / J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
30 สิงหาคม 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
August  30th,2012

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments Are Welcome! Click Here!