บ่ายวันหนึ่ง ต้นเดือนพฤษภาคม…..

“หวัดดีครับพี่”
“จิมมี่ วันนี้พี่โทรมารบกวนนิดนึง”
“เรื่องอะไรหรือครับ?”
“ต้นเดือนกรกฎาคม ว่างหรือเปล่า?”
“ว่างครับ”
“งั้น จะโทรมาชวนไปลองขับ S-Class ใหม่ ที่ Toronto จ้ะ”

หา!!

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!

คาดว่า ปลายสายคงต้องรีบเอาหูโทรศัพท์ ออกห่างจากหูตัวเองอย่างเร่งด่วน!

ตั้งแต่ทำงานในอาชีพสื่อมวลชนสายรถยนต์ จนป่านนี้ 15 ปีเข้าไปแล้ว ไปต่างประเทศมาก็หลายครั้ง
แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปเมืองนอก กับทริปของผู้ผลิตรถยนต์ฟากฝั่งยุโรปมาก่อน….

จู่ๆ โดยไม่นึกฝัน ก็เพิ่งจะมีโอกาสกับเขาในคราวนี้แหละ! ประเดิมทริปแรก กับผลงานล่าสุดจาก
บริษัทรถยนต์ตราดาว ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆ ในเยอรมัน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2013 หมาดๆ
ชนิดที่ว่า รถยังเปียกแฉะ จากสายฝน ขณะขับผ่านเข้ามายังโรงเก็บเครื่องบิน ของ AIRBUS บริษัท
ในเครือของ Daimler AG. ด้วยกัน ขึ้นแท่นหมุนอวดโฉมแขกเหรื่อกันทั้งที่ยังไม่ทันจะแห้งเลย

ว่าแต่..สงสัยใช่ไหมครับว่า ทำไมต้องเป็น Toronto? และทำไมเราต้องไปขับรถรุ่นใหม่กัน
ไกลจุดถึง Canada?

นั่นสิ ผมก็สงสัยเหมือนกันแหละ!

Mercedes-Benz ให้เหตุผลว่า Toronto ถึงจะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ก็เป็นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด
ของ Canada และเป็นเมืองหลวงด้านการค้า และการเงิน หรือพูดง่ายๆก็คือ เป็นทั้ง Financial
และ Bussiness Hub ของดินแดนใบเมเปิล มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 2.7 ล้านคน แต่เฉพาะแค่ใน
มหานคร Toronto ละแวกย่านที่เป็นตัวเมืองทั้งหมด มีประชากรใช้ชีวิตวนเวียนไปมามากถึง
6 ล้านคน จากการสำรวจสำมะโนประชากรในครั้งล่าสุดเมื่อปี 2011 เมืองนี้ มีความหลากหลาย
ทางเชื้อชาติ และเผ่าพันธู์ประชากรมากที่สุดในโลก เพราะกว่าร้อยละ 49 ของผู้ที่เกิดในเมืองนี้
เป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้มีบ้านเกิดที่แคนาดา (แถม ร้อยละ 11.4 เป็นชาวจีน ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้
Toronto มีน่าย China Town ชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ที่สุด ที่อยู่นอกประเทศจีน!!)

นอกจากนี้ Toronto ยังเป็นเมืองที่มีอาคารสูง และตึกระฟ้า มากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ
เพราะรวมแล้วมีอาคารสูงมากถึง 1,875 หลัง แถมตอนนี้ ยังมีไซต์งานก่อสร้างโครงการใหม่
อีกถึง 147 แห่ง มากกว่าใน New york สหรัฐอเมริกา 147 แห่ง ถึง 2 เท่า!!! เป็นเมืองสำคัญ
ด้านเศรษฐกิจ การเงิน บริการทางธุรกิจ, การสื่อสารโทรคมนาคม, การบิน, การขนส่ง, สื่อ,
ศิลปะ, การพิมพ์, การผลิตซอฟแวร์, การวิจัยทางการแพทย์, การศึกษา, การท่องเที่ยว และ
ยังเป็นเมืองและวัฒนธรรมของโลก โดย Globalization and World Cities (GaWC)

ดังนั้น Toronto จึงเป็นเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจการเงิน, ที่บรรดานักธุรกิจ ชั้นนำ หรือแม้
กระทั่ง ดารา Celebrities จำนวนมาก เช่น Cindy Crawford หรือ Tom Hank มาตั้งบ้านพักอยู่
(ในโซนเหนือใกล้ทะเลสาบ Maskoka) แม้จะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความทันสมัย มั่งคั่ง
และก้าวหน้าตลอดเวลา แต่กลับถูกจัดอันดับ ให้เป็นเมืองที่ปลอดภัยสูงที่สุดในทวีปอเมริกา
เหนือ โดย Places Rated Almanac รวมทั้งเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก จากการสำรวจโดย
สถาบัน Economist Intelligence Unit and the Mercer Quality of Living Survey

เท่ากับว่า Toronto เป็นเมืองที่แสดงถึงความเพียบพร้อมทุกด้านในระดับโลก และนั่นก็
สะท้อนให้เห็นถึงความเพียบพร้อมระดับโลก ของ S-Class ใหม่ เช่นเดียวกัน!!

เป็นไงครับ แนวคิดของพวกเขา โยงมาเชื่อมกันแบบนี้เลยทีเดียว! ทั้งที่ความจริงจากปากของ
ฝรั่งผู้เกี่ยวข้องคนหนึ่ง บอกกับผมว่า พวกเขาก็เปลี่ยนโลเกชัน ไปเรื่อยๆ ทุกปี หลากหลาย
สถานที่ ไม่ค่อยซ้ำกัน แต่คราวนี้ หวยมันดันมาออกที่ Canada พอดีด้วย เท่านั้นเอง!

แต่การเดินทางไกลขนาดนี้ เมื่อดูเที่ยวบินต่างๆแล้ว เท่ากับว่า ผมต้องบินไกลนานข้ามวันกันเลย
ไม่อยากจินตนาการตัวเองเลยว่า สภาพหลังเดินลงจากเครื่องบิน จะเหี่ยวเฉาเป็นดอกทานตะวัน
ตอนหน้าแล้ง แหงๆ

แต่ยังดี ที่ Mercedes-Benz เขามี Global Policy หรือนโยบาย ที่ใช้เหมือนกันทั่วโลกอยู่ข้อหนึ่ง
นั่นคือ ถ้าเมื่อไหร่ที่ ผู้บริหาร พนักงาน หรือแม้แต่สื่อมวลชนที่ได้รับเชิญ ต้องเดินทางเกินกว่า
6 ชั่วโมงขึ้นไป ให้จัดเป็นเที่ยวบินแบบ Long Haul ขี้นไป จนถึง Ultra Long haul ให้จองตั๋ว
เครื่องบิน แบบ Bussiness Class ให้ทั้งหมด โดยไม่มีข้อแม้!

ผม และสื่อมวลชนจากเมืองไทย รวม 9 ชีวิต กับอีก 1 ผู้บริหารคนไทย เลยได้รับอานิสงค์ข้อนี้
ไปเต็มๆ เพราะ คราวนี้ เราเดินทางกันบนที่นั่งชั้น Bussiness Class ของสายการบินจากฮ่องกง
Cathay Pacific ซึ่งแม้ว่าจะต้องแวะเปลี่ยนเที่ยวบิน ที่ฮ่องกง กันก่อน แต่กัปตัน ก็พาเราบิน
ในเส้นทางที่ไม่คาดคิดเหมือนกัน คือ พี่แกเล่นบินตรงดิ่งขึ้นเหนือ เลยไปทางปักกิ่ง แล้ว
ข้ามโลกในแนวเฉียงๆ เยื้องๆกับขั้วโลกเหนือ เพื่อบินเข้า Canada ทางภาคเหนือ ก่อนจะ
ตรงดิ่งมายัง สนามบิน Toronto Pearson จุดหมายปลายทาง ซึ่งนั่นช่วยให้เราประหยัดเวลา
เดินทางลงได้จาก 20 ชั่วโมง เหลือเพียง 15 ชั่วโมง เท่านั้น !

และถ้ารวมเวลาบินจากกรุงเทพฯ มาเปลี่ยนเที่ยวบินที่ฮ่องดง อีกราวๆ 2 ชั่วโมง รวมทั้งเวลา
ในการรอ อยู่ใน Lounge The Cabin ที่สนามบิน เช็ค แล็ป ก๊อก อีก 1 ชั่วโมงครึ่ง เท่ากับว่า
คราวนี้ เราใช้เวลา 18 ชั่วโมง ครึ่ง ในการเดินทาง ซึ่งก็ยังดีกว่าต้องบินนานรวม 1 วันเต็ม
เหมือนอย่างที่คาดหมายไว้แต่แรก

ต่อให้บรรยากาศบนเบาะนั่ง Bussiness Class ของ Cathey Pacific ที่ปรับปรุงใหม่ ให้สามารถ
นอนเอนราบได้ มีผ้าห่มแบบนวมอุ่นสบายมากๆ การบริการจากลูกเรือ ที่ต้องขอชมเชยอย่างยิ่ง
“ทุกคน” ไปจนถึง อาหารการกินอย่างดี มี Menu มาให้เลือก จนเลือกไม่ถูก ขอย้ำว่า อร่อยเลิศ
อย่างยิ่งยวดเสียด้วย แต่ยังไงๆ การเดินทางมันก็นานจนผมนั่งดู BBC Top Gear Season ล่าสุด
ปี 2013 จบไปทั้งหมด 7 ตอน! โดยยังไม่นับเวลานอนงีบหลับอีกพักใหญ่ๆ

3 กรกฎาคม 2013
20.15 น. เวลาท้องถิ่น Canada

เราเดินทางมาถึงสนามบิน Toronto Pearson ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง ที่แอบเข้มงวด
ของ Canada ทันทีที่เดินลงมารับกระเป๋า ก็มีเจ้าหน้าที่สนามบิน ชายผิวดำ เข้ามาพูดคุย บอกว่า
มีอะไรให้ช่วยไหม เขาเดินตามมาด้วย เลยถามว่า ต้องรับกระเป๋าที่สายพานไหน เขาบอกว่า
หมายเลข 8 ขอบคุณกันไป…

ที่เขียนถึง ก็เพราะอยากบอกว่า หมอนี่ คือคน Canada คนแรกที่ได้คุย และแม้เป็นเจ้าหน้าที่
สนามบิน แต่ก็มาอย่างเป็นมิตร ซึ่งตอนแรก ก็คงคิดว่า เป็นหน้าที่ของเขาด้วย…

แต่หลังจากนั้น ชาว Canadian หลายคนที่ได้เจอ ทำให้ผมชอบประเทศนี้ขึ้นมา เพราะผู้คนเขา
มีอัธยาศัยดีค่อนข้างมาก

Mercedes-Benz จัด GL-Class SUV รุ่นใหญ่ (ML-Class ตัวถังยาว 7 ที่นั่ง เปลี่ยนเปลือกนอก
ให้ดูแข็งและทรงภูมิมากกว่า) พร้อมเครื่องเสียง Harman Kardon อย่างดี และมีโชว์เฟอร์ มา
รับเป็นสารถีให้ จำนวน 5 คัน รับพวกเราเดินทางออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่พัก
ใช้เวลาราวๆ 20 นาที ซึ่งก็สร้างความเพลิดเพลินได้มากเพราะคนขับ ผิวสี ผู้ซึ่งมีลูกสาว เป็น
ทนายความ (!) ชวนคุยตลอดทาง และเล่าถึงข้อมูลเบื้องต้นของ Toronto ต่างๆนาๆ ให้ฟังกัน

โดยเฉพาะเรือง ที่พักอาศัย ในเวลานี้ Toronto บูมมากจริงๆ โดยเฉพาะ การสร้าง คอนโดมีเนียม
คนหนุ่มสาว พยายามทำงานเก็บตังค์ ผ่อนคอนโดมีเนียม ย่าน Downtown ห้องละ 200,000 เหรียญ
แคนาดา หรือราวๆ 6 ล้านบาท!! (เหรียญละ 30 บาท โดยประมาณ ณ วันที่บทความเริ่มเผยแพร่
เดือนกรกฎาคม 2013)  

ลุงเขาขับรถไม่เร็ว ไม่ช้า พยายามสุภาพ แต่แอบเปลี่ยนเลนไม่เปิดไฟเลี้ยวอยู่บ้าง ตอนอยู่บน
Highway พอเข้าเมือง ก็เปิดไฟเลี้ยวมากขึ้นหน่อยนึง นอกจากนี้ เขายังเลือกจะพาเราลัดเลาะ
มาให้ดูสภาพของชาวเมืองในย่านร่ำรวย อย่าง ถนน Davenport อันเงียบสงบร่มรื่น ผ่านปราสาท
Casa Loma ที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สำคัญอีกแห่งของเมือง ขับมาจนเจอถนน Bay Street อันเป็น
ถนนสายที่โรงแรมของเราตั้งอยู่

เป็นชาว Canadian คนที่ 2 ที่ทำให้เริ่มชอบเมือง Toronto ขึ้นมา…

ส่วน GL-Class นั้น จากสัมผัสสั้นๆ ที่ได้นั่งบนเบาะหน้า ข้างคนขับ บอกเลยว่า ช่วงล่างนุ่ม
แต่มีบุคลิกเหมือน E-Class W212 ที่ขยายตัวรถให้ยาวและสูงขึ้น พร้อมออพชันที่ใกล้เคียงกัน
มากกว่าที่จะกระเดียดไปในทาง S-Class W221 อย่างที่ผมเคยเข้าใจมา

โรงแรมที่พักของเราในคราวนี้ คือ Four Season Toronto เป็นโรงแรม 5 ดาว ในอาคารสูง 55 ชั้น
เปิดทำการในเดือนเมษายน 2012 ตั้งอยู่ที่ ใจกลางเขต Yorkville, อันเป็นแหล่งแฟชั่น และชอปปิ้ง
รวมถึงร้านอาหารมากที่สุดใน Toronto มี 259 ห้องพักมาตรฐาน และ 42 ห้องสวีท ในรูปแบบร่วม
ยุคสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ทั้งหมด มีห้องจัดเลี้ยง 11 ห้อง Spa ขนาดพื้นที่ 2800
ตารางเมตร ถนนสำหรับการจราจรที่กว้าง และมีที่จอดรถใต้ดิน 100 คัน

โรงแรม Four Seasons เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมสุดหรูที่ได้รับรางวัลและการยกย่องทั่วโลก
และเป็นเครือโรงแรมเดียวในบรรดาเครือโรงแรมทั้งหมดที่ได้รับรางวัล AAA Five Diamond
และมีโรงแรมอยู่ในประเทศไทยอีกด้วย ก่อตั้งในปี 1961 โดย Isadore Sharp ใน Toronto
ซึ่งยังคงเป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ในปัจจุบัน ในปี 2007 ถูกขายให้กับ Bill gates
ประธานก่อตั้ง Microsoft และ Prince Al-Waleed bin Talal แห่งซาอุดิอาระเบีย ทั้งสองถือหุ้น
ร้อยละ 95 และอีก ร้อยละ 5 เป็นของ Isadore Sharp ผู้ก่อตั้ง อีกทั้งโรงแรมยังได้ถูกรวบรวม
อยู่ใน “100 Best Companies to Work For” ตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 1998 และล่าสุด อยู่ใน
ลำดับที่ 53 ในการสำรวจในปี 2011

ห้องพักที่ผมอยู่ เป็นห้อง 1012 ซึ่งมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย โทรทัศน์ ดูช่องจากฝั่ง
สหรัฐอเมริกาได้ หรือจะดู สถานีท้องถิ่นของ Toronto เช่นช่อง Global Toronto , Omni ฯลฯ
หัวเตียง มีวิทยุ พร้อมีองรับเครืองเล่น iPod ตอนเช้า ผมฟังเพลงจากสถานี 91.0 Jazz FM ได้
ค่อนข้างดี มีโต๊ะทำงาน ปลั๊กเสียบจ่ายไฟ มีเครื่องเล่น iPad ระบุชื่อผม ในฐานะผู้เข้าพักไว้
เรียบร้อยในโปรแกรมของพวกเขา และเตียงรอรขนาดใหญ่ ที่นอนได้สบายมากๆๆๆๆ

วันที่ไปถึง ทางโรงแรม จัดเตรียม Sandwich ไก่งวงเอาไว้ ซึ่งนั่นแค่พอประทังชีวิตได้ เพราะ
รสชาติฝืดคอมากๆๆๆ

ห้องน้ำมาแปลก มีประตูแยกเข้าห้องอาบน้ำ และโถส้วม ออกจากกัน อ่างอาบน้ำก็ยังไม่มี
พื้นที่รองรับน้ำ แถมยังมี โทรทัศน์ในห้องน้ำไว้ดูเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย!

เสียอย่างเดียว ไม่มีที่ฉีดน้ำชำระล้างหลังขับถ่ายเสร็จ

ด้านอาหารนั้น มี 2 ร้าน เริ่มจาก Dbar เป็นบาร์ที่ประกอบด้วย คาเฟ่ริมถนน ซึ่งตอนกลางคืน จะ
เปลี่ยนเป็นสถานที่ออกนัทเดท ก็ยังได้ ทำอาหารออกมา ในรสชาติ ซึ่งผมมองว่า คนไทยอาจ
ไม่ชอบนัก อย่างที่เห็นในรูปสุดท้าย เมนู Burger ชื่อ The Yankee มี Canadian Bacon
ใส่มาด้วย ทอดซะเกรียมเกินเหตุ แถมยังไม่ค่อยถูกปากคนไทยมากนัก ส่วน สปาเก็ตตี
Presto เส้นก็หนาเกินไปนิดนึง สลัด Smoke Salmon ผมว่า ธรรมดาเกินไป หาที่เมืองไทย
ยังอร่อยกว่า จานนึง เฉลี่ย 15 – 25 เหรียญแคนาดา ถือว่าแพงโหดอยู่

แต่ร้านอาหาร Café Boulud (อาหารฝรั่งเศสแบบร่วมสมัย) ผมไปใช้บริการมื้อเช้า ไม่รู้จะสั่ง
อะไรมากิน เลยลอง ไข่ เบเนดิกต์ (Egg Benedict) ไม่แปลกใจเลยครับ ว่า ทำไม Chef ที่นี่
ถึงได้รางวัล Michelin Star 3 ดาว เพราะทุกสิ่งที่คุณเห็นจากในภาพ คิดเอาไว้ได้เลยว่า รสชาติ
จะเป็นอย่างไร มันออกมาเป็นอย่างนั้นทั้งหมด ส่วนไข่ลวกข้างใน เกินความคาดหมาย เพราะเจาะ
ไข่แดงออกมา น้ำเยิ้มมากๆ สวย และอร่อยมากอีกด้วย ให้ 9 เต็ม 10 เลย! (รูปรองสุดท้าย)

4 กรกฎาคม 2013

ช่วงเช้าจนถึงเที่ยงของวันแรก ยังไม่มีโปรแกรมอะไร หมู่คณะชาวไทย ก็เลยแยกย้ายกันเดิน
สำรวจเมือง Toronto รอบๆบริเวณโรงแรม ซึ่งใกล้ๆกันนั้น คือ อาคารสถานีดับเพลิงหลังเก่า
ที่ใช้งานมานานแล้ว แต่มีการบูรณะให้ดูสวยงาม ใหม่ และร่วมสมัยอยู่เสมอ แถมยังคงใช้งาน
ได้จริงในปัจจุบัน เพราะในขณะที่เรากำลังถ่ายรูปกันอยู่ เจ้าหน้าที่เขาเปิดประตู ให้รถดับเพลิง
คันเบ้อเร่อ เหมือนที่เราเคยเห็นตามภาพยนตร์ฝรั่ง ถอยเข้าไปเพื่อซ่อมบำรุง ในชั้นล่างของ
ตัวอาคาร!

แต่ดูเหมือนว่า ในทริปเรานั้น มีผู้โชคดียิ่งกว่า อยู่ 1 ท่าน นั่นคือ พี่สาวคนหนึ่งของเรา นัดกับ
เพื่อนฝูงสนิทกัน แยกตัวเดินทางไปดูน้ำตก NIAGARA ที่อยู่ห่างไปราวๆ 100 กว่ากิโลเมตร!!!
ก่อนจะกลับมาทันมื้อค่ำ

อยากไปครับ แต่อด ก็เลยได้แต่เดินดูร้านรวงต่างๆ ซื้อ CD เพลงที่ร้าน HMV จากญี่ปุ่น
ซึ่งมาเปิดสาขาใน Toronto ด้วย อันที่จริงแล้ว ในย่าน Yorkville กับถนน Bay Street นั้น
จะมี ศูนย์การค้า Cumberland Terrace ตั้งอยู่ตรงกลาง คั่นซอย Cumberland และ Bloor
Street ซึ่งมีสภาพเก่า จนชวนให้นึกถึงบรรยากาศห้างสรรพสินค้า Thai-Daimaru ราชดำริ
ในช่วงสุดท้ายที่ยังเปิดดำเนินการ ก่อนจะปิดตัวและทุบทิ้งสร้างใหม่เป็นห้าง Big C สาขา
ราชดำริในปัจจุบัน

ย่อหน้าข้างบนนี่ คุณผู้อ่านก็คงเดาได้เลยว่า ผมแก่!!

แต่ห้างนี้ ต่างจาก Thai Daimaru แน่ๆ เพราะว่า ชั้นใต้ดิน จะมีทางเชื่อมโยงกับ ชั้นใต้ดิน
ของบรรดาอาคารสำนักงานในละแวกนั้น รวมทั้งห้างสรรพสินค้่า The Holtrenfrew Centre
ซึ่งมีร้านค้า Brandname เปิดตัวให้เห็นอยู่บ้าง เช่น Zara PANDORA Starbucks Tim Horton
หรือแบรนด์อื่นๆ ที่ผมจำชื่อไม่ได้ แต่เคยเห็นที่ห้าง Siam Center ที่เพิ่งปรับปรุงกันใหม่
เมื่อเร็วๆนี้

เป็นอีกมุมหนึ่งที่ทำให้ผมรู้ว่า บางที สถานที่ช็อปปิง ตามเมืองใหญ่ต่างๆ ในต่างประเทศ
มักจะถูกซ่อนอยู่ใต้ดินลึกลงไป และจะเชื่อมต่อกับ ระบบรถไฟขนส่งมวลชน Metro ซึ่ง
ใน Toronto นั้น สถานีรถไฟใต้ดิน (มีบางช่วงจะโผล่ขึ้นมาบนดินด้วย) ดูเก่าและอับทึบ
เหมือนเปิดใช้งานมานานหลายสิบปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

เดินไปเจอ ร้านขาย CD และแผ่นเสียง ที่ HMV อันเป็นเครือข่ายร้านจากญี่ปุ่น ที่มาเปิด
สาขาทั้งในสหรัฐอเมริกา London และ แม้แต่ใน Toronto ก็ด้วย สอย CD กลับมา 14 แผ่น
เยอะอยู่ แต่เสียดายว่า อัลบั้มของวง Take 6 ชุด join The Band ที่อยากได้  กลับไม่มีขาย
แต่มีในสต็อก ถ้าจะสั่งมาให้ ก็ได้ แต่เราจะอยู่แค่ 2 วันเท่านั้น จึงอดไปโดยปริยาย

เหตุผลที่มาซื้อ CD เหล่านี้ ทั้งที่ในเมืองไทยมีขายคือ ข้อเท็จจริงที่ว่า ถ้าเป็นแผ่น CD
เพลงแล้ว แผ่นจาก USA จะมีคุณภาพเสียงดีที่สุด รองลงไปคือ แผ่นจาก เยอรมัน ญี่ปุ่น
นอกนั้น ปานกลาง ส่วนของไทย ค่อนข้างแย่ แต่ยังไม่แย่ที่สุดเมื่อเทียบกับอีกหลายแห่ง
คนที่บอกความจริง และสอนให้ผมรู้จักเรื่องนี้ ก็คงเป็นเจ้าของร้านขาย CD มือสองที่ชื่อ
พี่รุ้ง ซึ่งปิดร้านที่ พหลโยธินไปหลายปีอย่างน่าเสียดายที่สุด เพราะทนค่าเช่าและจำนวน
ลูกค้าลดลงไม่ไหว…

เดินกลับมายังโรงแรมที่พัก ก็ได้เวลาเที่ยงตามนัดหมาย เรากินมื้อเที่ยงกันที่ Dbar และ
เมื่อดูจาก Menu ที่ Mercedes-Benz เตรียมไว้ให้แล้ว มองหน้าไปมา เอาวะ สั่ง The
Yangkee Burger กลับมากินอีกรอบก็ได้วะ! คราวนี้ อาการหนัก เบคอนเกรียมไหม้
จนต้องคอยเล็มขอบดำๆออก กลัวเป็นมะเร็งจัด…

เมื่อผ่านพ้นมื้อเที่ยงไป ก็ได้เวลาที่เราจะไปนั่งบนเบาะหลังของ ง S-Class ใหม่ ชมวิว
เมือง Toronto กันสักครึ่งชั่วโมง เราขับผ่านทั้งย่าน มหาวิทยาลัย วนไปยังถนน Davenport
ที่ลัดเลาะเป็นทางโค้ง เพื่อผ่าน ปราสาท Casa Loma ซึ่งกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน
ผ่านไปยังย่าน  Dundas ซึ่งดูคล้ายกับย่าน Shinjuku ในนคร Tokyo อยู่เหมือนกัน ตรงที
เต็มไปด้วยป้ายโฆษณา และกลุ่มนักดนตรีเปิดหมวก ประเภท Street Performer ที่มา
แสดงสดให้ดูกัน หลากหลายวง ตามประสา ชาวเมืองแห่งศิลปะ สารพัดรูปแบบ แถม
ร้านรวงบ้านเรือนแต่ละหลัง ส่วนใหญ่ สร้างในสไตล์ Victorian แท้ๆ และมันสวยงาม
อย่างมาก จนชักสงสัยว่า ทำไมบ้านเรา ไม่มีใตรสร้างบ้านในแนวนี้กันบ้างเลยหรือ?

สัมผัสแรก ผมโอเคกับรถคันนี้เลยนะ…..ใช้ได้!!!
แถมโชคดีที่ได้เจอ คนขับที่ดีมากๆ

เขาชื่อ Ali ชายหนุ่มหน้าตาประมาณ แขกขาวนิดๆ ยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่เลย แต่ขับรถดีมากๆ
นุ่มนวล (ได้ยินว่า สื่อท่านอื่น ที่ไปนั่งในรถคันอื่น..บ่นว่าเมารถ เพราะคนขับคนอื่น ค่อนข้าง
จะโชว์ออฟสมรรถนะในเมืองไปหน่อย)

Ali จบด้าน Political แล้วก็จะเรียนต่ออีกไม่นาน ครอบครัวของเขา ชอบ Mercedes-Benz ก็จริง
แต่แปลกที่ว่า พ่อขับ Mercedes-Benz แม่ขับ Range Rover ส่วนน้องสาวของ Ali ขับ Audi!?

นั่นไม่สำคัญ เพราะประเด็นก็คือ เค้าเป็นคนคลั่งไคล้ ประเทศไทย และ มวยไทยมากๆ ทุกๆปี
ในวันเกิด เขาจะไปเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอาหารไทย ใน Down town แถมกำลังคุยกับเพื่อนอย่าง
จริงจังว่า อยากย้ายมาอยู่เมืองไทยเพื่อ มาฝึก “มวยพื้นบ้าน” (เค้าบอกว่า มวยไทยมัน Soft ไป!)
เขาชอบ พี่บัวขาว ป.ประมุข ของเราอย่างมาก!! Ali รู้เรื่องเมืองไทยค่อนข้างเยอะมาก แม้แต่
การเมืองของบ้านเรา! และเขารักในหลวงด้วย!!!!!!!

เหตุผลที่อยากมาฝึกมวยในเมืองไทย ทางภาคใต้ ก็เพราะว่า เขาชอบ Attitude ของคนไทย
ที่ถ่อมตน น่ารัก เวลาไปเข้า Gym ฝึกสอนมวยไทย ใน Canada เขาจะเจอบรรยากาศ เป็น
มิตรกันแต่ ถ้าไปเข้า Gym สอนมวยไทย ใน สหรัฐอเมริกา เขาจะเจอแต่บรรยากาศที่ว่า “ข้าเก่ง
ข้าแน่ กูเจ๋ง” ซึ่ง Ali ไม่ชอบ Attitude แบบนั้นเป็นการส่วนตัว เขาเลยเลือกฝันอยากจะ
เดินทางมาใช้ชีวิตในเมืองไทยอีก หลังจากที่เคยเดินทางไปกับครอบครัว เมื่อหลายปีก่อน

ฟินก็ตรงนี้แหละ!!! โอยยย มาแลกสัญชาติกันเหอะ ตอนนี้ อยากไปอยู่แคนาดาๆๆๆๆๆ 5555

Ali อัธยาศัยดีมากๆ ขนาด ถามว่า ฝากให้ช่วยวนไปดู Church Street ที่เป็น Gay Community
เพราะว่า เพื่อนผม แนะนำให้ไปดูเล่น เขาก็ขับพาวนให้ดูด้วยนะ! ไม่มีทีท่ารังเกียจเลย ทั้งที่เจ้าตัว
เป็นชายแท้ และมีแฟนสาว เป็นชาวอิสราเอล!

ความหลากหลายของเชื้อชาติ นี่แหละ คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของ ชาว Canadian Ali เล่าว่า
เขาเคยทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้มาแล้ว ตอนเรียนอยู่ และเขามองว่า ชาว Canaadian ส่วนใหญ่
มีพื้นเพมาจากต่างประเทศ มากกว่าชนพื้นเมือง แต่ ด้วยการที่จะเข้ามาเป็นประชากรของประเทศ
แห่งนี้ ค่อนข้างยาก และเต็มไปด้วยความหลากหลาย จึงทำให้ แต่ละคน ยอมรับในความแตกต่าง
ของกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้ในที่สุด  เอาง่ายๆ ยกตัวอย่างว่า สมมติ คุณเกลียดคนจีน แต่
สุดท้าย ต้องมาพักอยู่ในละแวกย่านที่คนจีนอาศัยกันเยอะ พวกเขาก็จะเป็นมิตรกับคุณ จนคุณจะ
เข้าใจ และใจอ่อนไปเอง เพราะในเมื่อ ต้องทำกิจกรรมต่างๆในละแวกย่านนั้น มันหนีไม่พ้น ก็จะ
เกิดความคุ้นชินตามมา ในท้ายที่สุด ทำใก้แต่ละคน จะยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน
ได้มากกว่า ประเทศอื่นใดในโลก

วนกลับมาส่งถึงหน้าโรงแรม เราก็ลงไปยังอาคารจอดรถชั้นล่าง ซึ่งจัดแสดง S-Class ในแบบ
Simulator รวมทั้ง ชิ้นส่วนไฟหน้า และอื่นๆ ให้ได้รับชมกัน จะบอกว่า เครื่อง Simulator
ตัวนี้ ถ้าคุณกำลังขับรถไป และขึ้นสะพาน รถจะกระดกหน้าหลังได้เองด้วย

ขึ้นมาถึงห้องพัก ก็พบว่า เอกสารสำหรับสื่อมวลชน หรือ Press Kit รวมทั้ง ภาพชุดต่างๆ
อยู่ใน USB Catalog และ หนังสือ S-Class เล่มเบ้อเร่อ  ถูกจัดวางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ในห้องพัก

งานนี้ เขาจัดเต็มกันจริงๆ!

18.00 น. หรือ 6 โมงเย็น ได้เวลาที่ผมจะต้องแต่งตัวเต็มยศ ราวกับว่าจะต้องไปงานแต่งงาน
เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง S-Upper Club ที่ทาง Mercedes-Benz จัดเตรียมไว้ให้บรรดา
สื่อมวลชนจากทั่วโลก มาร่วมพบปะพูดคุย สังสรรค์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน โดยใช้
การรับประทานอาหารค่ำ ในรูปแบบของ Club ส่วนตัว แต่นำเสนอในรูปแบบของภาพลักษณ์
สังคมชั้นสูง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการจัดแบบใกล้ชิด ขนาดของงานไม่ใหญ่มาก จัดในสถานที่
ซึ่งมีความหรูหรา มีการให้ความบันเทิงในแบบของการแสดงดนตรีสด แบบวงดนตรีขนาดกลาง
ถึงขนาดใหญ่ โดยแขกของงานจะต้องได้รับการเชื้อเชิญเท่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษของงาน

อีกทั้งยังมีการจัดแสดงเบาะนั่ง ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการผ่าให้เห็นชิ้นส่วนวัสดุข้างใน จนถึง
การจัดเบาะให้แขกเหนื่อได้ทดลองนั่ง ปรับเอน และลองเล่นระบบนวดหลัง Massage ได้
ตลอดจน มีบริการเครื่องดื่ม ทั้งแบบ แอลกอฮอลล์ และ ปราศจากแอลกอฮอลล์ บริการตลอด
ทั่วทั้งงาน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการนำ เครื่องเสียง Burmester รุ่น Top Line มาจัดแสดง และเปิดขับกล่อม
ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองฟังคุณภาพเสียงอีกด้วย ในฐานะ ที่ Burmester ทำเครื่องเสียงให้กับ
S-Class ใหม่อีกด้วย จากที่ได้นั่งฟังแผ่นของ Matt Dusk ศิลปินที่จะมาร้องเพลงให้เราฟังใน
ค่ำคืนนี้ บอกได้เลยว่า มันเป็นเครื่องเสียงที่เจ๋งที่สุดอีกแบรนด์หนึ่งเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา
การบันทกเสียง Digital ก็สามารถให้เสียง ที่เทียบเท่ากับ การเล่นเครื่องเสียงแบบ แอมป์หลอด
ชั้นดี พร้อม เครื่อง Turntable ชั้นเลิศ ได้ แถมดีกว่าอีกด้วย และแน่นอนว่า ราคาของมัน ก็แพง
มหาโหดเหมือนกันครับ…144,750 เหรียญสหรัฐฯ!!!!!!!!!!!!!!!!

ลองเข้าไปเดินเล่นดูได้ใน http://www.burmester.de/en/home/ ครับ คุณจะได้รุ้ว่า เขารับงาน
ด้านเครื่องเสียงของทั้ง Porsche และแม้กระทั่ง Bugatti Veron อีกด้วย!!!!!

เมื่อถึงเวลา เราก็เดินเข้าสู่บรรยากาศของงาน เข้าไปนั่งในโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ ร่วมกับบรรดา
สื่อมวลชน จาก Australia,New Zealand,Netherland,Finland,Norway แล้วก้ Thailand ซึ่ง
ถือเป็น กลุ่มที่ 2 ในการทดลองขับงานนี้

หน้าจอด้านหลังเวที จะมีการแสดงภาพ Video Graphic ที่สอดคล้องกับเรื่องราวบนเวทีตลอด
ระยะเวลาทั้งหมดของงาน รวมถึง Video ต่างๆ ภาพยนตร์สั้น ทั้ง Welcome to Toronto กับ
Route to Muskoka ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการขับขี่ในวันรุ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการนำเสนอวีดีทัศน์
ของแนวคิดอาหารคอร์สต่างๆที่จะเสิร์ฟ ด้วย ภาพเมืองที่ Chef แต่ละคนอาศัยอยู่

พิธีกรของงานในค่ำคืนนี้ คือ Rosie Edeh ผมเพิ่งดูเธอจัดรายการโทรทัศน์ ที่ช่อง Global
Toronto เมื่อเช้าอยู่หมาดๆ! เธอเกิดที่ London สหราชอาณาจักร เคยเป็นนักอุตุนิยมวิทยา
ทำงานอยู่ที่ CFCF ใน เมืองมอนทรีออล แคนาดา รวมถึงเคยทำงานในสำนักข่าว CNN
ที่สหรัฐอเมริกา และ NBC ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในชื่อ MSNBC อีกทั้งเธอยังเคยเข้าร่วมการ
แข่งขันโอลิมปิก ในฐานะนักกีฬาทีมชาติ Canada ในปี 1988, 1992 และ 1996 รวม 3 ครั้ง!
ปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการข่าว 2 รายการของสถานีโทรทัศน์ Global Toronto News Show
เป็นผู้ประกาศข่าว พยากรณ์อากาศและการจราจร ในรายการข่าวเช้า เป็นผู้ช่วยผู้ประกาศข่าว
ในรายการข่าว ภาคเที่ยง เธอใช้เวลาถึง 7ปี ในการเป็นผู้ดำเนินรายการ Global’s
Entertainment Tonight ของแคนาดา ในฐานะของพิธีกร/ผู้ดำเนินรายการทางด้านวงการ
บันเทิง เธอได้สัมภาษณ์เหล่าดารา คนดังในวงการมากหลายร้อยคน ซึ่งอยู่ในวัฒนธรรม
ของ Pop Culture ทั่วโลก และในวันที่ผมนั่งดูเธออยู่ไม่ไกลนัก เธอมีเสน่ห์มาก และ
เป็น Professional ดีทีเดียว อีกทั้ง ยังแอบได้ยินเสียงเธอเวลาร้องเพลง ซึ่งเพราะใช้ได้เลย

ในค่ำคืนนี้ Rosie จะแต่งตัวเป็นชุดราตรี มีเสน่ห์และความดึงดูด มีสไตล์ในการพูดคุย ใน
ลักษณะสบายๆ เป็นกันเอง แทรกด้วยความสนุกสนาน แต่ยังคงไว้ซึ่งมารยาทและมีความ
เป็นเอกลักษณ์สูง เธอจะแนะนำเหล่าผู้บริหารของ Mercedes-Benz และตัวแทนของแต่ละ
ประเทศ มีการสนทนาพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ ในสไตล์สบายๆ รวมถึงการแนะนำ แนวคิด
ของอาหาร Four Seasons around the world และ อธิบายของอาหารแต่ละคอร์สด้วย
การนำเสนอด้วย Video  เสมือนการท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลก นอกเหนือจากการแนะนำ
โปรแกรมต่างๆแล้ว ผู้ดำเนินรายการ/พิธีกร จะมีการสื่อสารผ่านทางเสียงดนตรี รวมถึง
มีการพูดคุยกันระหว่างเพลง และให้ข้อมูลสำหรับโปรแกรมในวัดถัดไปอีกด้วย

ส่วนศิลปินที่ขับกล่อมบรรยากาศในค่ำคืนนี้ ให้ร้อนรุ่มอย่างมีรสนิยม นั่นคือ Matt Dusk
นักดนตรีแจ๊สและนักร้อง ที่มีชื่อเสียงของ Canada เกิดที่ Toronto ชีวิตของเขาเติบโตมากับ
ดนตรีและเสียงเพลง เมื่ออายุ 20 เขาชนะการประกวด Canadian National Exhibition
Rising Star Competition เป็นผู้ชนะเลิศที่หนึ่ง จากจำนวนผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 654 คน
ปัจจุบันมีผลงานทั้งหมด 7 อัลบั้ม และมีถึง 2 อัลบั้มที่ได้รับรางวัล Gold Awards ขณะนี้
เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ได้รับการเทียบเคียงการแสดงบนเวที ในสไตล์ที่เปรียบเสมือน
Frank Sinatra หลัจากนี้ เขามีคิวไปแสดงโชว์ และทำงานบันทึกเสียง ที่ Russia และ ญี่ปุ่น

การแสดงดนตรีภายในงาน S-upper Club จะรวมเอาความเกี่ยวข้องกับ S-class ที่สื่อถึง
ความมีระดับ ความหรูหรา และการเชื้อเชิญแบบอบอุ่นในแบบคนใกล้ชิด มาใช้ในการ
เลือกแสดง เป็นมากกว่าแค่วงดนตรีธรรมดา นักร้องและศิลปินจะมีการปฏิสัมพันธ์และ
แสดงที่สื่อถึงการเล่าเรื่องราวกับแขกของงาน

ขอบอกว่า ทั้งที่ผม ไม่ค่อยได้ฟัง ดนตรี Jazz จากคนผิวขาวนัก เพราปกติ ชอบ Jazz จาก
ฝั่งคนผิวสีมากกว่า แต่กับ Matt Dusk นี่ เขาเก่งและเจ๋งมาก! คือ ใช้ภาษาวัยรุ่นคือ “เอาคนดู
จนอยู่หมัด” หมายความว่า สะกดความสนใจของคนดูทั้งหมด ได้ครบ และต่อเนื่องกว่าปกติ
ทั่วไป สไตล์การร้อง ก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สามารถลองหาการแสดง
เก่าๆของเขาได้ใน Youtube

อาหารในค่ำคืนนั้น เป็นการร่วมมือกัน ของ Mercedes-Benz กับทาง กลุ่มโรงแรม Four Season
ที่จัดยอด Chef ระดับ Michelin Star ขั้นเทพจากโรงแรมในเครือ 4 แห่ง ทั่วโลก มาคิดสูตรอาหาร
ให้แขกเหรื่อได้รับลิ้มรสรับประทานกัน ภายใต้แนวคิด “Four Seasons Around the World”

ส่วนฝีมือการปรุง ที่แท้จริงคือ Executive Chef Thomas Bellec และลูกทีมของเขา นี่อ่านเอาจาก
รายการ Menu ที่หยิบติดมือกลับมาบ้านเลยนะ!

สรุปคือ Chef ทั้ง 4 คิดสูตร และส่งให้ Chef Bellec มาปรุงนั่นเอง

ไล่จากบน ลงล่างสุด เรียงตามลำดับการเสิร์ฟดังนี้

เริ่มจาก Lobster Salad หรือสลัดกุ้งล็อบสเตอร์ ฝีมือจาก Chef โรงแรม Four Season Toronto
ชื่อ Daniel Boulud เดิมทีเป็นชาว ฝรั่งเศส แต่ย้ายไปทำงานที่ New York ตั้งแต่ปี 1982 จน
กระทั่งได้รางวัล Michelin Star ระดับ 3 ดาว ปัจจุบันนี้ Chef Boulud นั้น เปิดร้าน Cafe Boulud
ชั้น 2 ของโรงแรม ซึ่งผมเองได้ลิ้มรส Benedict Eggs ฝีมือเขา ในมื้อเช้าของวันเดียวกันไปแล้ว
ดังนั้น จึงการันตีในฝีมือได้เลย ว่า จานนี้ ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ได้ลิ้มลอง

กุ้งไม่ได้มาโผล่ทั้งตัว แต่โผล่มาแค่เนื้อบางส่วน เห็นจากรูปแล้วอย่าคิดว่าน้อยนะครับ ปริมาณ
ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เพราะผักนั้นเขาหั่นออกมาให้เห็นเต็มๆ Chef บอกว่า ต้องการจะสะท้อน
ให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา และความมีอิทธิพลในระดับสากลของ Toronto เนื้อกุ้งหวานกำลังดี
ผักสด ก็สดจริง น้ำราด เป็น น้ำมันมะกอก อร่อยใช้ได้เลย

จานถัดไป เป็นสูตรของ Chef Chan Yan Tak จาก ภัตตาคารจีนชื่อ Lung King Heen โรงแรม
Four Seasons Hong Kong เขาเกิดและเติบโตที่ฮ่องกง เมื่อได้เข้ามาทำงานในครัว ก็เริ่มหลงรัก
อาชีพนี้อย่างจริงจัง เขาเป็น Chef ชาวจีน คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล Michelin Star
ระดับ 3 ดาว เมื่อปี 2008

อาหารจากฝีมือของเขาในมื้อนี้คือ Stream Sea Bass with Black bean Sauce หรือ ปลากระพง
ในซอสเต้าเจี้ยว เป็นอีกจานที่ผมกินหมด และมีรสชาติในแบบที่คุ้นเคย เนื้อปลา สด ไม่คาว เขามีวิธีปรุง
จนกลิ่นหอมนิดๆกำลังดี ไม่ร้อน ไม่เย็นจนเกินไป แต่ว่า มีเห็ดและหญ้าฝรั่น แซมให้มีรสชาติฉีกไปนิดๆ
จานนี้ ผมถือว่า โอเค ได้อยู่

Main Course ในคืนนั้น เป็นของ Eric Briffard จากโรงแรม Four Seasons Hotel George V
Paris ซึ่งได้ Michelin Star 2 ดาว จากประวัติที่แนบมาพร้อม Press Kkit ของ S-Class เล่าว่า ใน
อดีตเขาทำอาหาร ในสไตล์ Very French มากๆ จนกระทั้ง ไปเที่ยว Tokyo เขาถึงกับช็อก และ
เปลี่ยนความคิดเดิมที่มีมาโดยสิ้นเชิง เมื่อกลับมา อาหารฝรั่งเศสของเขา จึงคล้ายกับอาหารญี่ปุ่น
มากขึ้น คือ เบา เหมือนจะน้อย แต่อิ่มแปร้ ได้รสชาติ มีความเป็น Feminine มากขึ้น และดีต่อ
สุขภาพ มากยิ่งกว่าอาหารฝรั่งเศสแบบที่เคยเป็นมา

สเต็ก Main Course นั้น ทั้งน้ำราด และตัวเนื้อที่ใช้ บางจานที่เจอ มันไม่ได้สุกเท่ากับจานที่ผม
ได้กิน คนไทยด้วยกันบางคน จะรู้สึกว่า ไม่ถูกปาก ไม่คุ้นรส พอแหวกเนื้อดู มันดิบไปหน่อย
นี่หว่า นี่มันจะ Rare แล้ว มันไม่ใช่ Medium-rare อย่างที่ควรเป็น ฝรั่งบางคนที่ชอบเนื้อแบบ
Rare อาจจะชอบ แต่ถ้าคนไทย จะรู้สึกว่ามีกลิ่นสาบเนื้อวัว เหมือนที่พบได้ตามร้านก๋วยเตี๋ยว
เนื้อตุ๋นในบ้านเราเลย แม้จะมาแบบเจือจาง แต่บางคน จะรับไม่ค่อยได้ ส่วนจานของผม
ไม่มีปัญหา ทุกอย่างมันออกมาดี Perfect ในแบบที่ผมคิดว่า Chef เขาอยากให้คาดหวัง

แต่ถ้ามองเรื่องรสชาติแล้ว ผมว่าธรรมดาไป อีกทั้ง Cherry Chutney ออกจะมีรสในแบบที่
ติดเปรี้ยวปะแล่มๆ นิดนึง พอมาปนกับเนื้อวัว รสมันเลยแปลกออกไป ถ้าคนชอบกินไวน์
อาจจะมีความสุข แต่ถ้าคนที่ไม่ดื่มไวน์ หรือแอลกอฮอลล์อย่างผม ถือว่า ไม่ค่อยโอเค

ดังนั้น จานนี้ ผมถือว่าเชฟ Bellec น่าจะมีปัญหากับทีมงานของเขาเพราะรสที่ออกมา มัน
ทำให้ผมนึกได้ว่า กินข้าวขาหมูตรอกซุง ในวันที่อาม่าเจ้าของสูตร ยังมีชีวิตอยู่ หรือข้าว
ขาหมูบางรัก เซนต์หลุยส์ หรือ  บะหมี่เนื้อตุ๋น บนเครื่องบิน Cathey Pacific ยังจะอร่อย
มากกว่าเลย…

แรงไปไหม? ไม่แรงหรอก ผมไม่สนใจนะ เพราะผมคิดแบบนี้จริงๆ แต่ถ้าถามว่า มันเป็น
ไปตามที่ Chef Eric เขาตั้งใจไว้หรือไม่ ผมเชื่อว่า ขาดแค่เรื่องของ ลูกทีม ในการจัดการกับ
เนื้อ ซึ่งทำให้เนื้อ Tenderloid ที่ดีกลับกลายเป็นเนื้อวัวแบบห่วยๆ ถ้าแก้จุดนี้ได้ ผมว่า จบข่าว

ส่วนของหวาน เป็นสูตรจาก Chef Kevin Hickey แห่ง ห้องอาหาร Allium An American
Restaurant & Bar โรงแรม Four Seasons Chicago ซึ่งเท่าที่ดูจากรูปร่างแล้ว น่าจะเป็นคน
ชอบกินและชอบท่องเที่ยวไปทั่วโลก

เขากล่าวว่า “การเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งจำเป็นในอาชีพ Chefs คุณอาจจะอ่าน ตำราทำ
อาหารได้อย่างที่ต้องการ แต่คุณต้องไปเห็นเขาทำอาหารเมนูที่คุณอ่านอยู่นั้นจริงๆด้วยตา
ของคุณเอง ถ้าคุณจะทำ Gnocchi ที่ดีที่สุด ให้เดินทางไปที่ Bologna แต่ถ้าคุณต้องการ
ลิ้มรส “ต้มข่าไก่” ให้กินที่อุณหภูมิเสร์ฟ 120 องศาฟาเรนไฮต์ ริมถนนในกรุงเทพฯ ตอน
บ่าย 3 โมง”

เฮ้ยยยย ประโยคหลังนี่แหละ โดนใจชะมัด!!!

เขาเกิดทางตอนใต้ของเมือง Chicago ขณะที่แม่ของเขากำลังพยายามทำงานทางการเมือง
ในรัฐ เขาย้ายมาทางตอนเหนือของ Chicago และเริ่มงานกับร้านอาหารของลุงเขา หลังจบ
การศึกษา เขาก็ทำงานที่ Four Season Hotel ใน LA และ Bevery Hill โดยไม่หันหลังกลับ
ไปหาสิ่งอื่นใดอีก

ของหวานที่เขาคิดสูตร มาเป็นบุฟเฟต์หลากหลาย แต่ผมลองชิมอยู่ อย่างเดียว คือ สิ่งที่คุณ
ได้เห็นในรูป บอกเลยว่า เนื้อเค้กเนียน ละมุน อร่อยดีจริง แต่ กรอบสี่เหลี่ยมที่เห็น มันมี
รสของเหล้ารัมผสมอยู่ โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เลยต้องจำใจปล่อยกรอบสี่เหลี่ยมให้มันหักๆ ไว้ตามเดิมอย่างนั้น

และทั้งหมดนั่นคือ วันแรกแบบเต็มวันของผม ใน Toronto ซึ่งแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว
แต่บอกได้เลยว่า ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะกลับมาเที่ยวเมืองแห่งนี้อีก เพราะเป็นเมืองที่น่ารัก และ
เปี่ยมด้วยอัธยาศัย มิตรไมตรี รายล้อมด้วยศิลปะ นานาแขนง ให้ได้ชมและเสพเต็มที่ โดยเฉพาะ
ดนตรี Jazz ซึ่งที่นี่ จะพยายามโปรโมทมากเป็นพิเศษมาตลอด

เช้าวันที่ 5 กรกฎาคม 2013

ได้เวลาที่ต้องแพ็คกระเป๋า Check out ออกจากโรงแรม แล้วเดินทางไปที่สนามบิน Muskoka
ด้วย S-Class ใหม่ หลังจากรับประทานมื้อเช้า และฟังบรรยายสรุปเรื่องตัวรถ เสร็จ ณ ห้อง
Vinci ชั้น 6 อันเป็นห้องเดียวกับ ที่เรารับประทานอาหารมื้อค่ำในคืนก่อน ก็ได้เวลาที่เรา
จะออกเดินทางกัน…แต่ มันก็ไม่ถึงกับง่ายนัก

ลองมาดูกันก่อนว่า เรามีรถยนต์รุ่นใดให้เลือกกันบ้าง

รถที่นำมาให้ทดสอบประกอบด้วย
S500 (Long Wheel Base) // 18 คัน
S350 BlueTEC Plus (Long Wheel Base) // 7 คัน
S500 (LongWheel Base) 2 คัน // In Toronto
S300 BlueTEC Hybrid (Short Wheel Base) // 5 คัน
S400 Hybrid (Short Wheel Base) // 5 คัน

การจัดคิวของเขา มันดูมั่วซั่วมึนงงเมามันส์มากๆ คุณต้องไปยื่นการ์ดลงทะเบียนเลือกเบอร์
และรุ่นรถที่ต้องการจะขับ ซึ่งลงทะเบียนไว้กับเจ้าหน้าที่ บนห้อง Vinci Room จากนั้น ต้อง
ลงมายื่นการ์ดเบอร์รถ ตามที่เลือกเอาไว้ กับเจ้าหน้าที่ Valet Parking ซึ่งจะวิ่งลงไปนำรถ
คันที่เราจะใช้ ขับขึ้นมาจากที่จอดรถชั้นใต้ดิน มาให้เรา ณ ประตูโรงแรม แต่กว่าที่ผมจะรู้ว่า
เราต้องใช้วิธีการนี้ ชาวบ้านชาวช่องเขาขับออกไปกันเกือบจะหมดแล้ว ผมต้องรอแถวนั้น
เกือบ 15 นาที จนต้องโทรถาม พี่ต้อม คมกฤช นงสวัสดิ์ จาก MBTh ซึ่งพี่ต้อมบอกว่า
ไม่ต้องกลัว ขบวนคนไทย ทั้ง 2 คัน จอดรออยู่

พอรับรถออกมาได้ปุ๊บ…ทำไมรถมันกว้างอย่างงี้!!! เริ่มไม่คุ้นชิน เราเลี้ยวขวาออกมาจอดรอ
สมาชิกคนไทยที่เหลือ หลังจากติดต่อได้ใน เมื่อ 10 นาทีคล้อยหลัง เราพบว่า รถอีกคันหนึ่ง
ออกเดินทางนำหน้าพวกเราไปก่อนแล้ว S-Class ของคนไทย 3 ใน 4 คันที่จอดรอคันที่ 4
อยู่ ก็เลยเคลื่อนตัวออกมา ขับลัดเลาะกันไปในเมือง ย้อนขึ้นไป เพื่อหาทางออกไปยัง
Highway หมายเลข 400 มุ่งหน้าตรงไปยัง Muskoka และ Gravenhurst……

แต่สุดท้าย…หลังจากเราขับขึ้น Highway กันได้ ก็เจอปัญหาใหญ่ การจราจรหนาแน่น
แม้จะเคลื่อนตัวได้ ไม่มีติดขัด แต่ เราเลี้ยวกันผิดช่องทาง จากการนำทางแบบหลงๆ
ของระบบ Navigation System

ก็หลงทางสิครับ! ชิบหายแร้วววว ทำไงดี!

ในใจก็อยากตะโกน หวีดร้อง…แต่ก็ต้องวางฟอร์ม…น้องแพร จากประชาชาติธุรกิจ ที่นั่งข้างๆผม
คงหวั่นใจไม่แพ้กันแน่ๆ ดังนั้น เราเป็นสุภาพบุรุษ ถึงแม้จะชอบในบุรุษเพศเดียวกัน แต่หน้าที่
ของเราก็คือ ต้องทำให้สุภาพสตรี เย็นใจ และสบายใจได้ดีที่สุด อีกทั้งต้องมั่นใจว่า เราจะนำพา
ให้เขาเดินทางถึงจุดหมายได้ปลอดภัย และทันตามกำหนดการ

หลังจากที่ผมกับน้องแพร พยายามขับรถด้วยวิธีคลำทางจากภาพในระบบ Navigation System
กันอยู่สักพัก พุทธิปัญญาก็เริ่มเกิด ลองหมุนๆ ระบบนำทาง จนเจอคำว่า Destination แล้วก็เข้า
ไปยัง Menu ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “จุดหมายล่าสุด” เปิดเรียกกลับขึ้นมา เห็นจุดหมายของเรา
คือ สนามบิน Muskoka Airport ตั้งอยู่ เลยกด ยืนยันให้นำทางไปยังสนามบินที่ว่า เท่านั้นละ
จบเลยครับ แก้ปัญหาได้จบ เพราะระบบ Navi เปลี่ยนแผนกำหนดเส้นทางใหม่ ให้เรามุ่งหน้า
ไปยังสนามบินได้เลย โดยไม่ต้องกลับไปตั้งหลักที่โรงแรมกันอีกต่อไป! ไชโย!!!

หลังจากหาทางเข้าถนนสายรอง คู่ขนานกับทางรถไฟที่เชื่อมต่อกับย่าน Downtown ได้สำเร็จ
เป็นอันว่า ผมก็พา S350 กลับมายังทางหลวงสาย 401 แล้วก็เลี้ยวขวา เข้าทางหลวง 400 อันเป็น
เส้นหลักที่เชื่อมต่อไปยังทางหลวงต่างๆ ขึ้นไปทางเหนือ หรือลงใต้ไปเชื่อมกับทางหลวงใน
สหรัฐอเมริกา ก็ได้ทั้งสิ้น เป็นอันเรียบร้อย จากนั้น เราก็แค่ รักษาความเร็วตั้งแต่ 80 – 120
กิโลมตร/ชั่วโมง ตามแต่ป้ายบอกความเร็วริมไหล่ทางจะบอกเรา

ระหว่างทาง อาจมีบางช่วงที่ผมยังค่อนข้างคุ้นชินกับการขับรถชิดขวา ทำให้บางครั้ง รถจะเริ่ม
เบนตัวไปทางขวา ระบบ Active Lane Keeping Assist จะสั่งการให้พวงมาลัยของรถ สั่น 3 ครั้ง
เบาๆ เพื่อปลุกประสาทคนขับ แต่เมื่อยังไม่ได้ผล ระบบจะสั่งเบรก และช่วยดึงพวงมาลัยกลับ
เข้ามาในเลนให้ พร้อมขึ้นภาพกราฟฟิคหน้าจอ แสดงการทำงานของระบบ เป็นรูปรถจาก
บั้นท้าย พร้อมกับแถบสีแดง ที่ฝั่งขวาของเลนถนนในภาพ

และเมื่อขับไปได้สักพักใหญ่ๆ ระบบ เตือนให้จอดแวะพัก ATTENTION ASSIST ก็จะสว่างปิ๊ง!
ขึ้นมาเตือนบนหน้าจอ ระบบนำทางจะถามเราว่า ให้หาจุดแวะพักใกล้ที่สุดหรือไม่ ถ้าตอบตกลง
ระบบจะให้เราเลือกว่าจะไปแวะพักจุดไหน เดี๋ยวจะนำทางไปให้ แต่ถ้าตอบปฏิเสธไป  ระบบจะ
ไม่มายุ่งกับเราอีกพักใหญ่ๆเลย

เราเดินทางไปตามทางหลวงสาย 400 จนถึงทางแยกฝั่งขวา เลี้ยวขวา เข้าไปอีกพักใหญ่ เจอถนน
ที่สวยจนต้องบันทึกภาพมาฝากกัน ในที่สุด เราก็มาถึงจุดหมาย นั่นคือ สนามบิน Muskoka

สนามบิน Muskoka ถูกดัดแปลงให้กลายเป็น พื้นที่รับรองสื่อมวลชนจากทั่วโลก อีกทั้งยังเป็น
พื้นที่จัดแสดงอุปกรณ์ความปลอดภัย และเครื่อง Simulator จำลองการทำงานของระบบต่างๆ
ที่ช่วยรักษาชีวิตผู้โดยสารด้านหลังเอาไว้ ห้องน้ำเคลื่อนที่ อยู่ด้านหลังของพื้นที่รับรอง เป็น
ส้วมเคลื่อนที่ ซึ่งเปิดประตูเข้าไปก็หรูหราอลังการมาก ลืม สุขาเคลื่อนที่ ของ กรุงเทพมหานคร
นั่นไปได้เลย คนละเรื่อง คนละโลก! อีกทั้งยังมีมุมอาหารเที่ยงให้รับประทาน ทั้ง Sandwich
และเครื่องดื่มต่างๆ เสิร์ฟไม่อั้น

นอกจากนี้ ยังมีการจัดสาธิต ให้ทดลองขับ 3 สถานี

1. ทดลองขับ Mercedes-Benz S300 Diesel Hybrid ไปวนมาสัก 1 รอบใหญ่ แล้วมาดู
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกัน

2. ทดลองสัมผัสประสบการกับระบบ MAGIC BODY CONTROL (เดี๋ยวเล่าให้อ่าน
ใน ช่วงต่อไป)

3. ทดลองระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist ที่ไม่เพียงแค่ ถอยจอดเองได้
โดยผู้ขับไม่ต้องแตะเบรกช่วย เพียงแต่ยังต้องเข้าเกียร์ และแตะคันเร่งกระตุ้นระบบ
ให้รับรู้เบาๆ แค่นั้น ระบบจะช่วย ถอยจอด และ/หรือ นำรถออกจากช่องจอดให้เอง
โดยอัตโนมัติ แถมยังถอยเข้าจอดในช่องจอดปกติได้เอง โดยไม่ต้องเหยียบเบรกเลย
อีกด้วย!!! (ไว้เล่าให้อ่านในช่วงต่อไปเช่นกัน)

ที่สำคัญก็คือ งานนี้ Mercedes-Benz ยังนำ รถยนต์ S 500 Plug-in Hybrid มาจอดไว้
จัดแสดงระบบขับเคลื่อน ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ลดการพึ่งพาการใช้น้ำมันในย่าน
ความร้วต่ำไว้อีกด้วย จุดเด่นก็คือ เมื่อทำงานเต็มระบบ เท่ากับว่า จะปล่อยก๊าซพิษ
คาร์บอนไดออกไซด์ แค่เพียง 75 กรัม/ 1 กิโลเมตร เท่านั้น!!!!! ต่ำกว่า รถยนต์ทุกคัน
แม้แต่ CO car ที่ขายในเมืองไทยเวลานี้เลย!!!!!

รถคันนี้มีกำหนดเปิดตัวในโลก ครั้งแรก ที่งาน Frankfurt Motor Show กันยายนนี้

เมื่อสมควรแก่เวลา เราก็ออกเดินทางจากสนามบิน Muskoka ไปยังทะเสาบ Muskoka ซึ่งอยู่ห่าง
ออกไปอีกราวๆ…เอ่อ….ก็ ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ในการขับรถวนรอบทะเสาบจนครบ
Loop ตามที่ ระบบนำทางได้ถูกตั้งค่าเอาไว้ให้เรา ช่วงนี้ ผมและน้องแพร จากประชาชาติธุรกิจ
สลับกันขับ S500 กันไปสบายๆ มีบางช่วงเร่งแซงรถคันข้างหน้า บางช่วงทำความเร้วได้สูงถึง
190 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วก็ต้องรีบเบรก ชะลอรถลงมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าทางข้างหน้า จะโล่ง
ชนิดที่ห่างไกลจากรถคันข้างหน้าจนถึงยอดเนินกระโน้น เพราะกลัวจะโดนตำรวจทางหลวง
มาเรียกให้จอด ข้อหาขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด บางช่วงก็คลานตามไปเรื่อยๆ ที่แน่ๆ ทิวทัศน์
รอบๆทะเลสาบ Muskoka นั้น สวยมากๆ อาคารตึกรามบ้านช่องในละแวกย่านชุมชนเล็กๆ ของ
Muskoka นั้น ส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นในแนว Victorian และจะไม่ค่อยสูงเกิน 3 ชั้น บ้านเรือน
ในเขตนั้น จะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เหมาะแก่การเป็นบ้านพักตากอากาศ หรือบ้านพักบั้นปลาย
หลังเกษียณอย่างดียิ่ง!

ในที่สุด เราก็เดินทางมาถึง ทะเลสาบ Muskoka อันสวยงาม เจ้าหน้าที่จากทาง Mercedes-Benz
บอกว่า จากนี้ เราต้อง นั่งเรือ Shuttle Boat ข้ามทะเลสาบ ไปยั่ง กระท่อมไม้หลังใหญ่ อีกฝากหนึ่ง
เพื่อไปกินบาร์บีคิวกันที่นั่น…

บรรยากาศโดยรอบ สวยงาม สะอาด และมีครอบครัว พาเด็กน้อยมาเล่นน้ำ เราได้แต่นึกในใจว่า
นี่ถ้าพวกเขามาเห็นชายหาดที่เมืองไทย คาดว่าคงกรี๊ดลั่นสนั่นอ่าวกว่านี้แน่ๆ

เมื่อเราลงเรือมาเรียบร้อย ผมคิดว่า เรือน่าจะแล่นด้วยความเร็วพอประมาณ เรื่อยเปื่อย ให้เราได้
ชื่นชมทัศนียภาพในทะเลสาบอันสวยงาม และสงบเงียบแห่งนี้ อย่างสบายอุรา

ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า อีกเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น..คนขับเรือ…วัยประมาณ ไม่น่าเกิน
23 ปี อย่าง Roody จะเริ่มเหยียบคันเร่งจมมิด พา เรือ Shuttle ของเรา แปลงร่างเป็น Speed Boat
ลัดผ่ากลางทะเลสาบ ด้วยความเร็วสูงมาก!! ดูจากรูปแล้วกันว่า ผมยังต้องนั่งหลับตา ด้วยความ
หวาดเสียวไปเป็นระยะๆ

ตอนที่เรือแล่นตัดผิวน้ำช่วงราบเรียบ นั่นก็ว่าเสียวแล้ว แต่พอจคลื่นเล็กๆ 2-3 คลื่น ผ่านหน้าเรา
จนเรือเหิน แล Bump ขึ้น-ลง ไปมา นั่นยิ่งหวาดเสียวกว่า! ในตอนนั้น ต่อให้หน้าผมจะนิ่ง
แค่ไหน แต่ในใจผมกรีดร้องดังลั่นยิ่งกว่าเสียงเครื่องยนต์เรือที่ดังแผดอยู่ข้างหลัง….

ไอ้รูดี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!
แก๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!
เบาๆหน่อยโว้ยยยยยยยย หวาดเสียวววววววววววววววววววววววววววว
อ้ายสาดดดดดดดดดดดดด ว้อยยยย กูบอกให้มึงเบ๊าาาาาาาาาาาาาาา

ไม่ได้ๆๆๆ ปากเราจะตะโกนไปแบบนั้นไม่ได้….เดี๋ยวมันจะยิ่งได้ใจ แกล้งเราหนักขึ้น

ที่ไหนได้ ไอ้การวางฟอร์มนิ่งเงียบ ไม่ตะโกนเนี่ยแหละ รูดี้ มันก็คงจะคิดว่า เรา Chil!
สบาย! พ่อเจ้าประคุณเลยเหยียบซะมิดคันเร่งอีก หลายๆรอบ เรือก็พุ่งโผนพรวดพราด
ตัดผ่านทะเลสาบ ด้วยความเร็ว…ถ้าเป็นรถ ผมว่า มี 60 – 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง แน่ๆละ!

หันไปดูสีหน้าน้องแพร ยังพอไหว แต่โปรดดูแววตาของเธอ!! หวั่นใจไม่แพ้ผมเลย!!
เราจะรอดพ้นขึ้นฝั่งได้ โดยไม่เป็นอาหารอันโอชะของฝูงปลาใต้บาดาลกันไหมวะเนี่ย?

เปลี่ยนจากการนั่ง S-Class มานั่งเรือ Speed Boat ฝีมือ ไอ้รูดี้ มันขับ….พูดไม่ออกเลยทีเดียว!

แล้วเราก็มาถึง Muskoka Lodge บ้านไม้หลังเบ้อเร่อ ริมทะเลสาบ Muskoka บรรดาพี่ๆสื่อมวลชน
จากเมืองไทย เขาไปรอเรากันหมดแล้ว บริกรทั้ง 3 มาต้อนรับเราด้วยสารพัดเครื่องดื่มทั้งหมดที่มี
ตั้งแต่ Ginger หรือ เบียร์แบบไร้แอลกอฮอลล์ แต่ผมอยากดื่มแค่น้ำเปล่า ธรรมดาๆ เท่านั้นแหละ
หนุ่มฝรั่งทั้ง 3 จึงล่าถอยกลับไป

ส่วนผม ก็เดินกลับมาพร้อมกับสเต็กไก่และเนื้อ อันโอชะ แค่ 2 จาน ก็อิ่มแน่นใช้ได้แล้วละ!
แถมรสชาติ ยังโอเคมากๆ เป็นมื้อที่ดีมากๆมื้อหนึ่งในทริป Toronto คราวนี้เลยทีเดียว

แต่มันก็อาจจะไม่ถึงกับถูกปากคนไทยไปเสียทั้งหมด พี่กุ้ง ยุทธพงษ์ ภาษี พี่ชายสุดเลิฟ
แห่ง นสพ.คมชัดลึก หยิบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รุสกี้ ขึ้นมาเทใส่จาน แบ่งปันพวกเรากินเล่นๆ
เป็นกับแกล้มกรุบๆ อร่อยไปอีกแบบ

และนั่นก็ทำให้ ปาร์ตีท่ามกลางบรรยากาศอันสวยงามริม ทะเลสาบ Muskoka กลายสภาพเป็น
ปาร์ตี ริมอ่างเก็บน้ำบางพระ ไปได้ง่ายๆ ด้วยประการฉะนี้!! พี่เต้ย นิธิ ท้วมประถม แห่ง นสพ.
Post Today ถึงขั้นควักยาดม ขึ้นมาสูดกันเลยทีเดียว!

บริกรอีกคน ที่มาคอยเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เรา เป็นหนุ่มหล่อหน้าคม ร่างเกือบจะอวบ แต่แค่เกือบ
ชื่อว่า Marco ผมกับน้องแพร และพวกเราในทีมคิดว่า แบบนี้ สปีชีส์ เดียวกับ จิมมี่ แน่ๆ….

“นางก็น่ารักอยู่นะ” น้องแพรเอ่ยขึ้นมา เป็นการยืนยันว่า คงไม่ผิดแน่ๆ

พอ Marco รู้ว่าเราเป็นคนไทย ก็ถามถึงภาษาไทยว่า ขอบคุณ และขอโทษ ต้องใช้คำว่าอะไร แถม
ยังบอกว่า  เขาชอบเมืองไทยมาก ทุกสุดสัปดาห์จะต้องไปสังสรรค์กับเพื่อน ที่ร้านอาหารไทย ใน
Toronto และกำลังคิดว่า จะมาเที่ยวเมืองไทยสักครั้งในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องนั่งแกร่วกันอยู่ที่นี่ จนถึงเวลา 18.00 น. เพราะว่า กว่าที่ เครื่องบินแบบ
ชาเตอร์ไฟล์ท เที่ยวบินของเราจะพร้อมออกเดินทาง ต้องรอถึง 20.00 น. (ที่นั่น ฟ้าจะเริ่มมืด ตอน
2 ทุ่มครึ่ง – 3 ทุ่ม) และแถม เที่ยวบินกลับออกจาก Toronto ของพวกเรา ก็ต้องรอถึง ตี 1.40 น. ดังนั้น
เราจึงไม่ค่อยรีบร้อนในการเดินทางกันเท่าไหร่ เพราะจะให้ไปแกร่วอยู่ที่สนามบิน Pearson ก็คงจะ
เพลียสั่นกันก่อนแน่ๆ เลยต้องรอออกจาก Muskoka Lodge ตอน 6 โมงเย็น…และด้วยฝีมือขับเรือ
ของไอ้บ้า Roody อีกรอบหนึ่ง!!

แน่นอนครับ คุณผู้อ่าน ขากลับ ผมก็จำเป็นต้องพึ่งพาบริการของเจ้าหนู Roody ตัวแสบ
ร่วมชะตากรรมไปกับพี่ๆเพื่อนๆ ร่วมทริป ทั้งพี่บอย พี่กุ้ง พี่ริชชี่ พี่ฝน และน้องแพร อีกรอบ!

แต่ที่หวั่นใจที่สุด ยิ่งกว่าเที่ยวแรก คือ คราวนี้ ฝรั่งเขาจัดให้ผมนั่งหน้าสุด!!!

แหะๆๆ…ผมไม่มีภาพถ่ายตอนนั้นมาให้คุณผู้อ่านได้ดูกันครับ เพราะการรักษาชีวิตตัวเอง
ให้รอดจากการตกน้ำป๋อมแป๋ม โดยฝีมือการขับเรือ Speed Boat ของไอ้บ้า Roody นั่น
ก็ต้องใช้สมาธิสูงมาก ยิ่งกว่านั่งเรือด่วนเจ้าพระยา 2 มือ เกาะจับเรือแน่น แทบไม่ต้องคิดหา
จังหวะถ่ายรูป เพราะแต่ละครั้งที่ เจอคลื่น เรือก็ Bump ขึ้นจนก้นแทบลอยจากเบาะเรือ

พี่ ริชชี ถาม เจ้า Roody แปลเป็นภาษาไทยว่า “ดูท่าทางยูคงจะสนุกมากนะ ในการ
ขับเรือเนี่ย”

Roody มันตอบว่า “ช่าย โดยเฉพาะเวลาตอนที่ ไอ อยู่คนเดียว!”

เราได้แต่หัวเราะ แหะๆ ผมก็บอกมันส่งท้ายไปว่า “Roody ไอว่า ยูควรไปขับรถแข่ง
Formular 1 นะ”

ไม่รู้จะมีใครเห็นหรือเปล่า แต่เจ้าตัวแอบยักคิ้วซ้ายให้ผมนิดๆทีนึง!!

ไอ้บ้า รูดี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แก๊ ฝากไว้ก่อนเหอะ คราวหน้า ถ้าชีวิตนี้ยังมีโอกาส
กลับมา Muskoka Lake กรูเอาคืนมรึงแน่ๆๆๆๆๆๆๆ สาดดดดดดดด!!!!!

ใกล้ถึงฝั่ง สายตามองไปเห็น ฝูง S-Class ชุดเดิม จอดอยู่ ก็รู้ได้เลยว่า เราจะได้กลับไปใช้ชีวิต
อยู่บนสรวงสวรรค์ติดล้อ กันอีกสัก ไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ยังดี ขอให้ได้ลืมความบ้าระห่ำของไอ้รูดี้
นี่สักหน่อยเถอะ!

เมื่อขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย เราก็มีโชว์เฟอร์ พาไปส่งที่สนามบิน Muskoka อันเป็นสถานที่เดิม
ซึ่งเราใช้บริการในช่วงกลางวัน และในรถ S500 คันที่ผม กับน้องแพร นั่งกลับมา สารถีมีนามกร
ว่า Thomas Ulr….. เอ่อ ขออภัยที่จำนามสกุลพี่แกไม่ได้จริงๆ เลยขอถ่ายรูปมาแทน!

Thomas ทำงานให้กับ Daimler AG เขาเองก็มีพี่ชาย เคยมาทำงานที่ Mercedes-Benz Thailand
อยู่ 1 ปี Thomas เอง เคยมาเมืองไทย ทั้งเขาและพี่ชาย ชอบเมืองไทยมาก ชอบอาหารไทย ถึงขั้นว่า
ลงมือเข้าครัวทำอาหารไทยเองได้เลย โดยเฉพาะ ต้มข่าไก่ และชอบในอัธยาศัยของผู้คน เราคุยกันในเรื่องราว
ต่างๆ มากมายพอสมควร เขาเป็นชาวเยอรมันรุ่นใหม่ ที่อัธยาศัยดีมากๆ และเป็นคนที่มี Attitude ดีมากๆ
อีกทั้งเป็นชาวต่างชาติ คนที่ 3 ซึ่งผมเจอในทริปนี้ ที่บอกกับผมว่า เขาชอบเมืองไทยมากๆ

แต่สิ่งที่ผมเหวอ และชอบที่สุด อยู่ตรงนี้ครับ

ผมถามว่า Thomas ทำงานส่วนไหนของ Mercedes-Benz ตอนแรก ผมก็นึกว่า คงอยู่ในส่วนงาน
ประชาสัมพันธ์ หรือะไรก็ตามแต่…ที่ไหนได้ Thomas เป็นหนึ่งในทีมพัฒนาเครื่องยนต์ และระบบ
ส่งกำลัง Hybrid Powertrain ของ S-Class ใหม่ รวมทั้ง S500 Plug-in Hybrid ที่ใกล้คลอด
ในเร็วๆนี้ อีกด้วยครับ!

ห๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!  อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!

ถ้าเป็นผู้ผลิตรายอื่น หากจัดงานในลักษณะนี้ แล้วจำเป็นต้องมีผู้ขับรถ ก็คงจ้างโชว์เฟอร์ จาก
Organizer มาขับรถไปตามจุดหมาย แค่นั้นแล้วจบกัน

แต่ Mercedes-Benz เจ๋งกว่านั้น เขา ยกทีมวิศวกร ผู้พัฒนา S-Class ในส่วนต่างๆ มาเป็นสารถี
ขับรถให้เรานั่ง!!!!

โว้ววววววววววววววววววว! มันเจ๋งตรงนี้ครับ!

คุณอาจจะบอกว่า เป็นถึงวิศวกร ทำไมต้องมาทำงานจับกังแบบนี้ด้วย ถ้ามองด้วย Attitude
แบบคนไทยทั่วไป มันเป็นเรื่องงี่เง่าไร้สาระมาก จ้างตาสีตาสาที่ไหนมาขับก็ได้ ประหยัด
งบประมาณไปได้บานเบอะ

แต่ผมมองในมุมตรงกันข้าม ชาวเยอรมันเจ๋งมากที่ทำแบบนี้ เพราะนี่คือวิธีที่ดีมากๆ สำหรับการ
เปิดโอกาสให้วิศวกร ซึ่งวันๆ นั่งทำแต่รถ อยู่ที่เยอรมัน ได้มีโอกาสออกมาพบปะกับผู้ที่ได้สัมผัส
ผลงานของตนเอง นอกจากจะได้รับฟังความคิดเห็นที่มีต่อตัวรถอย่างเต็มที่ เพื่อนำไปปรับปรุง
รถยนต์รุ่นต่อไปด้วยแล้ว คำชมจากบุคคลภายนอกองค์กรที่ได้สัมผัสรถ มันจะสร้างความรู้สึก
ภาคภูมิใจต่องานที่พวกเขาทำอยู่ด้วย สร้าง Motivation ให้คนทำงาน เกิดความรักในงานของตน
ไปด้วยในตัว!

เพียงแต่ การต้องมาอยู่ที่ Canada นานถึง 20 วัน นั่นก็เป็นเรื่องเหนื่อยสาหัสอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่จะต้องมารองรับกับสื่อมวลชนหลายเชื้อชาติ ร้อยพ่อพันแม่ ตั้งแต่น่ารักสุดๆ จนถึงขั้นน่าเกลียด
น่ากลัว ตัวละ 3 บาท เป็นที่สุด ก็มี

เมื่อมาถึงสนามบิน Muskoka แล้ว เราก็ถูกขนย้าย โดยรถตู้ Sprinter รุ่นใหม่ คันใหญ่เท่าบ้าน
ไปยัง เครื่องบิน Bombardier CRJ100/200 แปะด้านข้างว่า Mercedes-Benz Media 
Shuttle เพื่อบินจาก Muskoka ไปยัง สนามบิน Pearson ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที

สจ๊วตร่างอวบอ้วน ดุแลบริการผู้โดยสารทุกคน อย่างดี อย่างเต็มใจยิ่ง แม้แต่ตอนสุดท้าย
ที่ลงจากเครื่องบิน แล้วใครสักคน ลืมป้ายชื่อ พี่เค้าก็วิ่งลงจากเครื่องบิน มาส่งให้ถึงมือ

จากนั้น เราลงจากเครื่องบิน ณ อาคารผู้โดยสารขนาดเล็กมาก อีกฝั่งของตัวสนามบินหลัก
เพื่อมาขึ้น รถ Ford F-Series บรรทุกผู้โดยสาร ไปลงที่ Terminal หลักของสนามบินอีกที
เราจัดการเรื่อง Check in แล้ว Load กระเป๋าเดินทางกันเสร็จ ผ่านเครื่อง X-Ray โดยไม่ต้อง
ผ่านพิธีการตรวจคนออกจากเมืองกันอีก แล้วก็ไปหาของกิน ใน Lounge ร่วมของหลาย
สายการบิน อาหาร มีทั้งข้าว แซนด์วิช และเส้นหมี่ลูกชิ้น รสชาติ งั้นๆ จืดชืด ไม่ค่อยอร่อย
เท่าไหร่นัก ไปรอกินบนเครื่องบิน ของ Cathay Pacific เลยดีกว่า

เราออกเดินทาง จากสนามบิน Pearson ตอน ตี 1.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น และมาถึงสนามบิน
ฮ่องกง ตี 4.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น (คือเดินทางตรงขึ้นเหนือ ผ่านเยื้องขั้วโลกเหนือ) และ
ออกเดินทางจาก ฮ่องกง กลับถึง กรุงเทพฯ โดยชั้น Bussiness Class รุ่นเก่า โทรมๆ ของ
Cathey Pacific CX705 ที่นั่งไม่สบายเอาเสียเลย มาถึง สุวรรณภูมิ ตอน 11.00 น.

และทั้งหมดนั้น ก็คงเป็นบันทึกการเดินทางที่ผ่านมา ในทริปนี้ คุณผู้อ่าน ก็คงจะเริ่มด่าผมว่า
อะไรวะ! อ่านมาตั้งครึ่งเรื่อง ยังไม่เห็นพูดถึงเรื่อง S-Class ใหม่เลย…? น้ำท่วมทุ่งผักบุ้ง
เต็มตลิ่ง แต่ไม่ยักเห็นปลาเลยสักตัว?

ใจเย็นๆครับ เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับ S-Class ใหม่ทั้งหมด…จะเริ่มขึ้น ข้างล่างนี้ เป็นต้นไป!!

————————————

ก่อนอ่านรีวิวนี้ต่อ คงต้องขอแจ้งให้ทราบว่า

1. ภาพถ่ายรถยนต์ เกือบทั้งหมด ข้างล่างนี้ เป็นภาพที่ ช่างภาพของ Mercedes-Benz บันทึกไว้
และจัดเตรียมไว้ให้สื่อมวลชนทุกคน ที่เข้าร่วมงานนี้ ตลอด 20 วัน อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าไปเห็นรูปนี้
ที่อื่นใด ก็ขอให้เข้าใจว่า แหล่งที่มา เหมือนกันหมด คือมาจากผู้ผลิต เป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้

2. ผมเลือกใช้ภาพถ่ายชุดนี้ เพราะ ถ่ายทำมาได้สวยงาม ตัวรถ ฉากหลัง ป้ายทะเบียน ล้วนแล้ว
อยู่ในทริปนี้ด้วยกันทั้งสิ้น และ โลเกชันทั้งหมด เราก็ต้องขับรถผ่านกันอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่
จึงขอไม่เสียเวลาถ่ายภาพมามากนัก (จริงๆมีถ่ายเก็บไว้ แต่ขอไม่นำมาใช้ เพราะมันไม่สวยนัก)

3. บทความนี้ เป็นแค่ First Impression ของรถยนต์พวงมาลัยซ้าย รายละเอียดของอุปกรณ์
อาจแตกต่างจาก เวอร์ชันไทย ในวันเปิดตัว ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ดังนั้น สิ่งที่อ้างอิงกันได้
คือ ตัวเลขสมรรถนะ สัมผัสจากการขับขี่ และการทำงานของและระบบ ในรถ

ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว เลื่อนเมาส์ลงไปอ่านต่อข้างล่างนี้ได้เลย!

สำหรับ Mercedes-Benz แล้ว S-Class ถือเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญ เพราะนอกจากจะทำหน้าที่
ในฐานะรถยนต์รุ่นที่แพงที่สุด หรูที่สุดของตระกูล ในเวลานี้แล้ว ยังเป็นพาหนะหลักที่ได้รับความ
ไว้วางใจจากผู้นำระดับสูง รวมทั้งบรรดาบุคคลสำคัญของโลกมามากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว  

นับตั้งแต่ ปี 1972 หรือเมื่อ 41 ปีที่แล้ว S-Class รุ่นแรกที่แยกตัวออกมาจากตระกูลรถยนต์นั่ง
E-Class ถูกผลิตขึ้นที่โรงงาน Sindelfingen, Germany เพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้าเป็นครั้งแรก 
จนถึงวันนี้ S-Class มียอดผลิตรวมมากถึงกว่า 3,500,000 คัน โดยประมาณ เฉพาะรุ่นล่าสุด 
W221 ที่เพิ่งจะตกรุ่นไป (2005 – 2012) มียอดผลิตและจำหน่าย รวมกว่า 500,000 คัน
ถือเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ขายดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูล S-Class นอกเหนือจากรุ่น W126
(1979 – 1991) อีกทั้ง ในปี 2012  S-class กลับมาเป็นซีดานหรูที่มียอดขายดีที่สุดในโลก
อีกครั้ง ได้สำเร็จ

ที่สำคัญ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความเป็น “ผู้ผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์สันดาป รายแรกของโลก”
มาตั้งแต่ 127 ปีก่อน ทุกรุ่นของ S-Class จึงถือเป็น ผู้นำในการบุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ ใน
ทุกๆด้าน ให้กับโลกยานยนต์ มาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาของมัน จนคนของ Daimler AG.
นำไปใช้เป็นสโลแกนว่า “Always Ahead of it’s time.” หรือ “ล้ำหน้ากว่ากาลเวลาอยู่เสมอ”

มาถึงวันนี้ S-Class รุ่นใหม่ Generation ที่ 6 ได้เผยโฉมออกมา สู่สายตาชาวโลก อย่างเป็น
ทางการ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2013 ที่ผ่านมา และถือว่า เป็นรุ่นที่ถูกอัดแน่นด้วยนวัตกรรมและ
เทคโนโลยีใหม่ๆ มากมายที่สุด อีกรุ่นหนึ่ง เท่าที่เคยมีมา

แม้ว่าจะใช้ โครงสร้างพื้นฐาน Platform ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก S-Class รุ่นเดิม W221 ก็ตาม!

งานนี้ Mercedes-Benz เอง ก็ตั้งใจเต็มที่ กับรถธงรุ่นนี้เช่นกัน พวกเขาทุ่มเงินลงทุนไปกว่า
1 พันล้าน ยูโร ในการพัฒนา วิจัย S-Class ใหม่ รวมทั้งยังนำไปปรับปรุงและพัฒนาโรงงาน
Sindelfingen ที่เยอรมัน อันเป็นโรงงานหลักสำหรับประกอบ S-Class ใหม่ ทั้งแบบ รถยนต์
สำเร็จรูป และชิ้นส่วน CKD สำหรับโรงงานอื่น ในบางประเทศ (เช่น เมืองไทย) ระหว่างปี
2011 – 2014 ที่จะถึงนี้ จะมีการลงทุนเพิ่มอีก เช่น โรงประกอบตัวถัง ทุ่มไปกว่า 350 ล้านยูโร
โรงปั้มและขึ้นรูปชิ้นส่วน (Press Shop) 130 ล้านยูโร และในส่วนของสายการประกอบอีก
70 ล้านยูโร เพื่อให้ โรงงาน Sindelfingen ยังคงยืนหยัดในสถานะของแหล่งการจ้างงาน
ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง Stuttgart ที่เยอรมันี

นอกจากนี้ พนักงานจะยังได้รับการฝึกอบรมขั้นสูง ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิต
เทคโนโลยีใหม่ๆถูกนำมาใช้ในการผลิตตัวถังอลูมิเนียมอัลลอย (Aluminium Alloy)  สำหรับ
หลังคาที่ใช้อลูมิเนียมน้ำหนักเบา ซึ่งเป็นการผลิตขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก  กระบวนการผลิต
แบบใหม่ได้รับการพัฒนา ให้หลังคาและตัวถังเหล็กจะเหลือเพียงแค่ในส่วนของการพ่นสี
ด้วยกันเท่านั้น มีการใช้เทคโนโลยี pick-by-projectors ซึ่งช่วยให้พนักงานในสายการผลิต
เลือกชิ้นส่วนมาประกอบได้เร็วและแม่นยำ ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในการประกอบ
รถยนต์หนึ่งคัน จนสามารถลดการใช้พลังงานยิ่งกว่าเดิมถึง 20%

S-Class ใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้น ภายใต้แนวคิดหลัก 3 ประการคือ
– Intelligence Drive ; เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ <— เบื่อคำนี้ แต่ฝรั่งเขาก็ขยันใช้กันจัง
– Efficient Technology ; เทคโนโลยีที่สร้างประสิทธิภาพครบทุกด้านยิ่งกว่าเดิม
– Essence of Luxury ; ความหรูหราที่แท้จริง

Dr.Dieter Zetsche ประธานคณะกรรมการผู้บริหาร Daimler AG และหัวหน้าฝ่ายรถยนต์
Mercedes-Benz เล่าว่า “สำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ ทุกครั้งที่ ได้เห็นการ
S-Class ใหม่ แต่ละรุ่น นำภาพความฝัน ในเทพนิยาย กลายเป็นความจริง และมาใน Style
ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

สิ่งที่ Dr. Zetsche พูดไว้นั้น คนที่ติดตามวงการรถยนต์มาตั้งแต่เด็ก อย่างผม เห็นด้วยว่าจริง
แต่มาในคราวนี้ ทุกสิ่งมันยิ่งเกินไปไกลกว่าที่ผมเคยจินตนาการไว้ เพราะหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่เราคาดไม่ถึง มันถูกติดตั้ง และ/หรือ รวมอยู่ใน S-Class ใหม่แล้ว

เอาง่ายๆ สมัยก่อน ตอนผมยังเด็ก รถยนต์นั่ง Sedan ในยุคปี 1980 มีค่าเฉลี่ยด้านสัมประสิทธิ์
แรงเสียดทานอากาศ สูงอยู่ที่ Cd. 0.37 เอาแค่ในปี 1987 ที่ Mitsubishi HSR รถยนต์ต้นแบบใน
งาน Tokyo Motor Show เผยโฉมออกมา โลกก็ตะลึงกับค่า Cd. ที่ต่ำเพียง 0.20 พอเข้าสู่ทศวรรษ
1990 ค่าเฉลี่ยมันเริ่มลดลงเหลือ Cd.0.34 และลดลงมาเรื่อยๆ

วันนี้ S-Class ใหม่กลายเป็นรถยนต์นั่ง ระดับ Saloon ขนาดใหญ่ ที่ถูกออกแบบโดยเน้นด้าน
หลักอากาศพลศาสตร์เป็นอย่างมาก ผลของการออกแบบตามแนวคิดลดแรงต้านของอากาศ
อย่างสูงสุด อาทิ กระจังหน้าขนาดใหญ่กว่าเดิม 30% พร้อม Shutter เปิด – ปิด รูในกระจังหน้า
ทำงานโดยพิจารณาจากความร้อนของอุณหภูมิน้ำ และปิดทิ้งเมื่อไม่ต้องใช้เพื่อเพิ่มความลู่ลม
แถมด้านล่างของรถมีแผ่นปิดเพื่อจัดการไหลของอากาศ ส่วนช่วงท้ายของรถก็ยังมีแผ่นปิ
ดเอาไว้เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้ S-Class ใหม่ ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน
ต่ำมากเพียง 0.24 และโดยเฉพาะรุ่น S300 BlueTEC HYBRID นั้นจะลดลงเหลือแค่
Cd 0.23 เท่านั้น!! เทียบเท่ากันกับ ญาติผู้น้อง Mercedes-Benz CLA ในฐานะ รถยนต์ที่มี
ค่า Cd. ต่ำที่สุด เท่าที่มีการผลิตขายจริงในโลกเลยทีเดียว!

ไม่เพียงเท่านั้น S-Class ใหม่ ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกในโลก ที่ยกเลิกการใช้หลอดไฟแบบ
ดั้งเดิม (หลอด Blub) ออกไปจนหมดสิ้นทั้งคันรถ! ถูกต้องครับ พวกเขาเปลี่ยนมาใช้หลอด
LED แทน!!

มาดูตัวเลขกันดีกว่า

S-Class ใหม่ ใช้หลอด LED ประมาณ 500 หลอด โดยชุดไฟหน้า จะเยอะที่สุด ถึง 56 หลอด!
ส่วนชุดไฟท้าย ใช้หลอด LED ฝั่งละ 35 หลอด ไฟตัดหมอก ข้างละ 4 หลอด ภายในห้องโดยสาร
ใช้หลอด LED ประดับตกแต่ง มากถึงประมาณ 300 หลอด!! และทั้งหมดนี้ ช่วยประหยัดน้ำมัน
ลงกว่าเดิม 0.05 ลิตร / ระยะทางแล่น 100 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถที่ใช้แต่หลอดไฟ Halogen
แถมชุดไฟหน้า เมื่อทำงานคู่กับระบบ Night Vision จะช่วยให้เห็นคนเดินข้ามถนนได้ไกลถึง
160 เมตร และ เห็นเก้งกวางละมั่งมังผา ที่พร้อมจะตัดหน้ารถได้ ในระยะ 100 เมตร!!

ไม่เพียงเท่านั้น Mercedes-Benz ยังพยายามลดน้ำหนักของ S-Class ลงจนเบากว่ารุ่นเดิม
แชสซีส์ของรถรุ่นใหม่ ทำมาจากอลูมิเนียมทั้งหมด และเสริมความแข็งแกร่งตามจุดต่างๆ ด้วย
เหล็กกล้า Ultra Hight -Tensile Steel ที่รองรับแรงกระแทกได้ถึง 1,500 เมกกะปาสคาล!

ต้องบอกกันตรงๆเลยว่า S-Class ใหม่ เป็นรถยนต์ที่อุดมไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมาย
ถึงขนาดที่ว่า ผมคงไม่อาจเขียนบรรยายถึงทุกสิ่งอย่างของตัวรถออกมาได้ทั้งหมด ได้แต่ดึง
รายละเอียดสำคัญๆ ที่คุณควรรู้ไว้ ออกมาให้ได้อ่านกัน นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว

แม้จะดูเหมือนว่าตัวถังน่าจะมีขนาดพอกันกับรุ่นเดิม แต่ความจริงแล้ว S-Class ใหม่ มีขนาดใหญ่โต
เพิ่มขึ้น เล็กน้อย รุ่นตัวถังมาตรฐาน Short Wheelbase ของ S-Class ใหม่ มีความยาวตัวถัง
5,116 มิลลิเมตร กว้าง 1,899 มิลลิเมตร (ถ้ารวมกระจกมองข้าง จะกว้างเป็น 2,130 มิลลิเมตร)
สูง 1,496 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 3,035 มิลลิเมตร แต่ในรุ่น ฐานล้อยาว Long Wheelbase
ระยะฐานล้อจะเพิ่มความยาวจนสะใจเป็น 3,165 มิลลิเมตร ทำให้ความยาว เพิ่มขึ้นเป็น 5,246
มิลลิเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น ฐานล้อยาว W221 เดิมแล้ว จะพบว่า ความยาวตัวถังเพิ่มจากเดิม 20
มิลลิเมตร ความกว้างเพิ่มขึ้น 28 มิลลิเมตร สูงขึ้น 17 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อเท่าเดิม

เส้นสายภายนอก ยังคงเน้นความเรียบง่าย อย่างมีสไตล์ เส้นสายชวนให้สัมผัสได้ถึงความ
เคลื่อนไหว แต่ไม่หวือหวาจนเกินไป มีความซับซ้อน แต่ไม่เลอะเทอะ กระจังหน้า ใหญ่ขึ้น
และมีลักษณะเป็น 3 มิติ เส้นกระจังหน้าสี่ซี่มีความเรียว เส้นโครเมียมไม่แตะขอบด้านนอก
เพื่อสร้างความมีมิติเปรียบเสมือนเพชรที่ผ่านการเจียระไน ช่องดักลมด้านล่างมีขนาดเล็ก
และเพรียวลมมากขึ้น เล่นเส้นสายไปตามกระจังหน้าที่กินพื้นที่เข้ามา มีเส้นโครเมี่ยมที่
ชายล่างของกันชนหน้า เพิ่มความคมคายกว่าเดิม

ชุดไฟหน้ามีรูปลักษณ์เล่นเป็นระดับชั้นๆ ทั้งไฟแบบ LED ที่เป็นเส้นแนวยาวขึ้นไปจรด
ขอบด้านข้าง รวมถึงไฟหน้าอัจฉริยะ (อุปกรณ์ติดตั้งพิเศษ ) ไฟ Daytime-running light
และไฟหรี่ รวมอยู่ในโคมเดียวกัน มีมีตัวอักษร Mercedes-Benz เรืองแสงภายในตัวโคม
    
เส้นสายด้านข้าง ลากจรดยาวผ่านแนวหลังคาจนถึงฝากระโปรงท้าย มีการปรับสัดส่วน
ให้คล้ายกับรถยนต์ Classic Sedan มากขึ้น ขนาดและพื้นที่ถูกออกแบบให้แสดงออกถึง
ความทรงเกียรติ รวมถึงเส้นสายหลังคาที่ยังคงไว้ซึ่งความสปอร์ตคล้ายรถยนต์ Coupe
2 ประตู

เส้นสาย Dropping Line จากด้านหน้าสู่ด้านหลัง  สร้างความรู้สึกหรูหรา และสร้างความ
เคลื่อนไหว มีชีวิตชีวาให้กับตัวถังด้านข้าง แม้ขณะหยุดนิ่ง ดูแข็งแกร่งแต่ยังดูลื่นไหล
อยู่ในตัว มีการใช้แถบโครเมี่ยมตัดบนกรอบประตู ด้านล่างขอบประตูมีพลาสติกด้านข้าง
เพื่อกันกระแทกจากการเปิด-ปิดประตูอีกด้วย

นอกจากนี้บนกระจกบังลมด้านหลังยังมีลายเซ็น นักออกแบบของ Mercedes-Benz
ปรากฏอยู่ รวมถึงทรงของกระจกบังลมหลังยังมีรูปทรงโค้งมนให้ความรู้สึกเหมือน
CL-Coupe ในรุ่นก่อนๆ อีกด้วย ขณะที่ชุดไฟท้ายนั้น แยกชิ้นออกมาจากขอบฝา
ห้องเก็บของด้านหลัง ประกอบด้วยเส้นไฟ fiber-optic สามเส้น ให้ความรู้สึกล้ำไป
สู่อนาคต

การเข้า – ออกจากประตูคู่หน้าและคู่หลังนั้น ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นเดิมแต่อย่างใด เพราะขนาด
ความกว้าว ความยาว และความสูง ของช่องทางเข้าประตูคู่หน้า และด้านหลัง ก็พอกันกับรุ่นเดิม
เพียงแต่ การออกแบบบานประตู ในรุ่น Long Wheelbase นั้น ดูสมดุลกันมากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นเดิม
แต่ อาจต้องใช้แรงในการยกตัวออกจากรถมากหน้อย ถ้าปรับเบาะไว้ในระดับเตี้ยสุด และถ้าเป็น
เบาหลัง หากคุณเป็นคนตัวสูงเกิน 180 – 185 เซ็นติเมตร อาจต้องก้มหัวนิดนึง เวลาเข้า-ออกจาก
เบาะหลัง ไม่เช่นนั้น หัวอาจโขกกับขอบหลังคาได้

แผงประตูด้านข้าง ทั้ง 4 บาน จะติดตั้ง สวิชต์ สำหรับปรับเบาะนั่งด้วยไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำ
มาให้ทุกตำแหน่ง ติดตั้งลำโพง และทวีตเตอร์ ของชุดเครื่องเสียง ช่องใส่ของด้านข้าง แม้ว่าจะ
ใส่ขวดน้ำขนาด 7 บาท ได้ 1 ขวด แต่ต้องวางในแนวนอน เพราะมันไม่ด้ถูกออกแบบมาให้วาง
ขวดน้ำดังกล่าวในแนวตั้ง! ส่วนการวางแขนบนแผงประตู ทำได้สบาย และถูกหลักสรีรศาสตร์
โดยไม่มีอะไรให้ตำหนิ แถมยังมี ม่านบังแดด ปรับขึ้น-ลง ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ใช้ร่วมกับ สวิชต์
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หลัง มาให้อีกต่างหาก

แต่บอกไว้ก่อนว่า แผงประตูด้านข้าง ถ้าเคาะแล้วเสียงจะบางๆ เหมือนรถยุโรปราคาถูก แล้วละก็
อย่าตกใจนะครับ!

เบาะนั่งถูกออกแบบให้เบาขึ้นกว่าเดิมถึง 20 กิโลกรัม โดยเฉพาะเบาะนั่งด้านหน้า ถูกออกแบบ
โครงสร้างภายในใหม่ ให้มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นเดิม 20% สามารถปรับระดับได้เยอะมาก แถม
ยังปรับได้ละเอียดมากๆ โดยระยะการปรับ ของเบาะทั้งหมด มีดังนี้

– Fore-and-aft adjustment: 290 มิลลิเมตร
– ความสูงของเบาะปรับจากต่ำสุดไปสูงสุด : 65 มิลลิเมตร
– Seat cushion depth : 65 มิลลิเมตร
– ความสูงพนักศีรษะ ปรับได้ : 60 มิลลิเมตร
– Cushion angle: +/- 2.5 องศา
– มุมปรับพนักพิงเบาะโน้มมาข้างหน้า : 27 องศา

พนักพิงหลัง นั่งสบาย และสามารถปรับปีกข้างให้กระชับ หรือกางออกจากลำตัวได้จนกว่าจะ
พอดีดังใจต้องการ เช่นเดียวกับ เบาะรองนั่ง ที่สามารถปรับเลื่อนความยาว และสั้น ได้ตามชอบ
แถมพนักศีรษะ ยังตั้งตรง ไม่ดันหัวมาข้างหน้า เหมือนรถยนต์รุ่นใหม่ๆพักหลังมานี้ จึงช่วย
ให้การขับขี่ทางไกล สบาย รื่นรมณ์ และ ไม่ปวดเมื่อยล้าแต่อย่างใด แม้จะขับรถนานถึงกว่า
2 ชั่วโมง โดยไม่หยุดพักก็ตาม ส่วนตำแหน่งการวางแขนบนแผงคอนโซลด้านข้าง อยู่ใน
เกณฑ์ดีมาก ตามหลักสรีรศาสตร์

ในรุ่น S500 นั้น มาแปลกกว่าเพื่อนฝูงในตระกูล ตรงที่จะมีลูกเล่นพิเศษ ปีกข้างของเบาะคนขับ
จะกางออกในขณะคุณกำลังหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถ เพื่อเพิ่มการรองรับสรีระขณะเข้าโค้งได้ดีขึ้น
เช่น ถ้ากำลังเข้าโค้งซ้าย ปีกข้างของเบาะคนขับฝั่งขวาจะพองตัวขึ้นมารองรับ แต่ถ้าเข้าโค้งขวา
ปีกซ้ายของเบาะ จะกางตัวขึ้นมา เมื่อกลับเข้าสู่ทางตรง ปีกเบาะ ฝั่งที่ทำงานอยู่ ก็จะคลายลม
ลดการพองตัวลงไปเอง ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่า ผมน่าจะเคยเจอเบาะนั่งประหลาดๆแบบนี้
มาก่อนแล้ว ใน Mercedes-Benz E-Class W212 รุ่น E500

ส่วนเบาะหลังนั้น ทุกรุ่น หุ้มด้วยหนัง Nappa หรือ Executive Nappa  มีให้เลือก
ทั้งหมด 5 รูปแบบ  ดังนี้

– เบาะนั่งแบบมาตรฐาน 3 ที่นั่งยาว แบบ ม้านั่ง Bench Seat พร้อมที่วางแขนแบบ
   พับเก็บได้ ทำมุมเอียง 27 องศา เป็นอุปกรณ์มาตรฐานหลักในทุกรุ่น

– เบาะ Luxury Seat 3 Seater ปรับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แบบม้านั่ง แต่ฝั่งผู้โดยสาร
  ทั้ง 2 ฝั่งสามารถแยกปรับเอนด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ ตั้งแต่ 19 – 37 องศา และมีที่
  วางแขนตรงกลางแบบพับเก็บได้

– เบาะ Luzury Seat 2 Seater ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อมกล่องคอนโซลกั้นกลาง
  มีโต๊ะพับเก็บซ่อนไว้ข้างในที่วางแขน กางออกมาได้ (First Class Rear Suit)

– เบาะ Executive Seat 3 Seater ปรับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แบบม้านั่ง แต่ฝั่งผู้โดยสาร
  ทั้ง 2 ฝั่งสามารถแยกปรับเอนด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ ตั้งแต่ 19 – 43.5 องศา และมีที่
  วางแขนตรงกลางแบบพับเก็บได้ มาพร้อมหมอนหนุนศีรษะ

– เบาะ Executive Seat 2 Seater ปรับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แบบม้านั่ง แต่ฝั่งผู้โดยสาร
  ทั้ง 2 ฝั่งสามารถแยกปรับเอนด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ ตั้งแต่ 19 – 43.5 องศา และมีโต๊ะ
  พับเก็บซ่อนไว้ ใต้ที่วางแขน มาพร้อมหมอนหนุนศีรษะ (ตัวอย่าง ในภาพข้างบนนี้)

ขอบอกว่า ห้องโดยสาร ของ S500 ซึ่งจัดเต็มมาพอสมควรเลยนั้น นั่งสบายมาก!
ทั้งนั่งแบบธรรมดา หลังตรง หรือจะปรับเอนเบาะขึ้น แล้วยกเบาะรองต้นขาหรือ
Ottoman ขึ้นมาใช้งาน ก็ยังนั่งเดินทางได้อย่างสบายๆ จริงๆ สบายกว่ารถรุ่นเดิม
อยู่พอสมควร โดยเฉพาะหมอนหนุนศีรษะนี่ นุ่มมาก คือ มันเป็นการเอาหมอน
ยัดนุ่น (นุ่นจริงๆเลยแหละ จากโครงสร้างเบาะที่เขาผ่าครึ่งจัดแสดงให้เราดูกัน)
ใบเล็กๆ บนห้องนอน มาแปะไว้กับพนักศีรษะด้านหลัง อีกที

ถ้าเปรียบเทียบกับ BMW 7-Series ใหม่ แล้วละก็ 7 อาจมีพื้นที่ห้องโดยสารเยอะกว่า
แต่การเข้า-ออก จากประตูคู่หลัง ลำบากกว่า เพราะต้องก้มหัวมากกว่า ส่วนตัวเบาะนั้น
7-Series ก็ยังจะนั่งไม่สบาย ไม่รื่นรมณ์เท่ากับ S-Class ใหม่แน่ๆ

แต่ถ้าต้องเปรียบเทียบกับ Lexus LS460L หรือ LS600h นั้น แม้พื้นที่ด้านหลังของ LS
จะน้อยกว่า S-Class ใหม่ แต่ เบาะนั่ง ก็ยังคงให้ความนุ่มสบายในระดับสูสีกันมากๆ เพราะ
หนังที่ Toyota เลือกใช้นั้น นุ่มละมุนกว่าหนังแบบ Nappa แบบธรรมดาชัดเจน ทว่า เมื่อ
เปรียบเทียบกับหนังแบบ Exclusive Nappa ในรุ่น S500 แล้ว ผมว่า มวยคู่นี้ สูสีกันมาก!
ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะชอบเบาะนั่ง และพื้นผิวของหนังหุ้มเบาะแบบไหนแล้วละ

แต่ถ้าเทียบการยก โต๊ะขึ้นมาใช้งาน จากแผงด้านข้างแล้วละก็ งานนี้ Lexus น่าจะยัง
เอาชนะได้อยู่ เพราะใช้งานได้สะดวกสบายกว่า S-Class ใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะใช้วิธี
ยกและพับขึ้น-เก็บ คล้ายคลึงกับ ที่นั่ง Bussiness Class ในเครื่องบินรุ่นเก่า ไปนิดนึง

อย่างว่าครับ การออกแบบภายในห้องโดยสาร S-Class ใหม่ ทีมออกแบบ เขาได้แรง
บันดาลใจ มาจาก ที่นั่ง ชั้นธุรกิจ และ First Class ของสารพัดสายการบินในโลกนี้
เลยนี่นา! ดังนั้น พื้นที่เหนือศีรษะเอง ก็ไม่เป็นปัญหาเลย แม้ว่าคุณจะตัวสูงแค่ไหนก็ตาม

เล่าไว้ให้เป็นความรู้สักหน่อยว่า Mercedes-Benz เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไม่กี่ราย
ในโลกนี้ที่ยังคงผลิตเบาะนั่ง ด้วยโรงงานของตัวเอง เฉพาะรุ่น E-Class และ S-Class
เบาะนั่งทั้งหมด จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ Daimler AG ในเมือง Böblingen

Henry Wunderlich ผู้จัดการฝ่ายผลิต ของโรงงาน วัย 49 ปี เล่าว่า ถ้าเราต้องการจะบรรลุ
ถึงคุณภาพที่เป็นเลิศ และความทนทานที่เป็นเยี่ยม รวมทั้งยังเป็นผู้นำในด้านการพัฒนา
Function ใหม่ๆ ของเบาะ อย่างระบบนวด ENERGIZING ไปพร้อมกัน เราจำเป็นต้อง
เรียนรู้ ระบบการผลิต และ know-how ในการผลิต ด้วยตัวของเราเอง”

โรงงานแห่งนี้ มีพนักงานมากถึง 600 คน เพื่อผลิตเบาะนั่ง ของ S-Class และ E-Class
แบ่งการทำงานเป็น 2 กะ เพื่อรับมือกับการผลิตเบาะนั่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
จากทั่วทุกมุมโลก มากถึงกว่า 360,000 แบบ! ต่างวัสดุหุ้มเบาะ ต่างโทนสี และรูปแบบ
หนังหุ้มที่ใช้

โรงงานแห่งนี้ แบ่งสายการประกอบเบาะนั่ง ไว้ ชัดเจน ถึง 4 ไลน์ โดย 2 ไลน์แรก
สำหรับ เบาะหน้า ส่วนอีก 2 ไลน์ที่เหลือ สำหรับเบาะหลัง ทำงานร่วมกันในลักษณะ
ที่เรียกว่า “just in sequence” มีอุปกรณ์ช่วยในการผลิตมากมาย ที่นี่ใส่ใจแม้แต่ ค่าของ
แรงบิดที่ใช้ในการขันน็อต ขณะติดตั้ง ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ยังถูกบันทึกไว้ใน Computer !
Henry Wunderlich บอกว่า “ด้วยวิธีการนี้ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี
เราจะสามารถยืนยันได้ว่า เบาะที่ออกไปจากโรงงานของเราแต่ละชิ้น นั้น อยู่ในสภาพ
สมบูรณ์แบบ (Perfect condition)”

แผงหน้าปัด ออกแบบขึ้นใหม่ ให้เน้นความเรียบง่าย แต่แฝงความหรูสง่างาม เอาไว้อย่าง
เต็มพิกัด ในทุกรายละเอียด คุณสามารถเลือกโทนสีในห้องโดยสารได้ถึง 6 คู่สี ดังนี้

– สีดำล้วน ทั้งเบาะ และแผงหน้าปัด (ภาพ 3 ล่างสุด จากรูปข้างบนนี้)
– เบาะสีน้ำเงินเข้มสนิท Deep Blue Sea / แผงหน้าปัด Silk Beige
– เบาะสี Silk Beige / แผงหน้าปัด สีน้ำตาล Espresso Brown
– เบาะสี Crystal Grey / แผงหน้าปัด สีเทา Seashell Grey (ภาพบนสุด ของรูปข้างบนนี้)  
– เบาะสีน้ำตาล Nut Brown / แผงหน้าปัดสีดำ
– เบาะสี Porcelane / แผงหน้าปัดสีดำ

และแทบทุกคู่สี สามารถเลือกลายไม้ หรือ Trim ประดับตกแต่งแผงหน้าปัด และแผงประตู
หรือ พื้นที่โดยสารด้านหลัง ได้ทั้งหมด 5 แบบ (ยกเว้นสี Deep Blue Sea ที่จะเลือกได้แค่
ลายไม้ เบอร์ 727 เท่านั้น) ดังนี้

– 734 High Gross Dark Brown Eucalyptus Wood
– 731 High Gross Brown Burr Walnut Wood
– 729 High Gross Black Poplar Wood
– 727 Designo High Gross Sunburst Brown Myrtle Wood
– H06 Designo Pearl Ash Wood

ส่วนสาเหตุที่ช่องแอร์ตรงกลาง เป็นแบบวงกลม 4 วง นั้น ผมได้มีโอกาสพูดคุยสั้นๆ กับผู้ดูแล
การออกแบบภายในห้องโดยสารของ S-Class ใหม่ Mr.Hartmut Sinkwitz : Director
Center of Competence Interior Design จนสรุปได้ว่า พวกเขา พยายามจะสร้าง
ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าของ S-Class ดังนั้น ช่องแอร์แบบเดิม อาจดูเรียบหรู สวยงาม
แต่เมื่อพวกเขา ย้อนกลับไปดูงานออกแบบของ Mercedes-Benz รุ่นเก่าๆในอดีต ก็พบว่า 
ช่องแอร์ทรงกลมสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบร่วมสมัยได้อย่างดี อีกทั้งรูปแบบ
ขอมัน ยังเอื้อต่อการระบายลมทั้งร้อนและเย็น ได้ดีที่สุดอีกด้วย นั่นละครับ เหตุผลทั้งหมด

มองขึ้นไปด้านบน วัสดุตกแต่งเพดานหลังคา เป็นผ้าค่อนข้างดี แต่มีแนวโน้มสกปรกง่ายอยู่
ถ้าใช้งานโดยคนที่ไม่รู้จักถนอมข้าวของ มีหลังคากระจก Panoramic Glass Roof ให้
เลือกสั่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์พิเศษได้ โดยชุดหลังคากระจก สามารถเปิดปิด เลื่อนได้ด้วยสวิชต์
ไฟฟ้า แบบ Sunroof ทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีกระจกแต่งหน้าพร้อมไฟส่องสว่าง และฝาปิด
พับเก็บได้ มาให้ผู้โดยสาร และผ้ขับขี่ทั้ง 4 ตำแหน่ง ด้านหลัง ติดตั้งขนาบข้างลำโพงแบบ
แคปซูล ของ Burmester ส่วนด้านหน้า ซ่อนอยู่ในแผงบังแดดขนาดใหญ่

แผงควบคุมไฟส่องสว่างด้านบน แอบใช้งานยากอยู่ ต้องละสายตาจากถนนมาหากันเลย
ว่าอยากจะเปิดหรือปิดดวงไหนบ้าง ส่วนกระจกมองหลังเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติตามปกติ

บริเวณด้านข้างผู้ขับขี่ มีสวิชต์มือหมุน กดและเคลื่อนที่ได้ สำหรับควบคุมการทำงานของระบบ
Infotainment ในรถ ผ่าน COMAND Online รวมทั้งมีสวิชต์ควบคุมระบบกันสะเทือน Sport
หรือ Comfort กับ สวิชต์ ปรับระดับความสูงของช่วงล่าง (อ่านรายละเอียดได้ข้างล่าง) และสวิชต์
โปรแกรมเกียร์ Sport หรือ Economy (S / E) เมื่อเลื่อนฝาครอบออกไปอย่างนุ่มนวล จะเจอกับ
สวิชต์ป้อนตัวเลข สำหรับการโทรศัพท์ หรือป้อนสถานีวิทยุที่เราโปรดปราน

ชุดเครื่องเสียง ถือเป็นอีกความเปลี่ยนแปลงสำคัญ ที่น่าจับตามองมากๆ เพราะคราวนี้ ถึงขั้น
ร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องเสียง Burmester จากเยอรมัน พัฒนาระบบเสียงในรถแบบ 3 มิติ มีทั้ง
วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD ติดตั้งซ่อนไว้ที่ช่องใส่ของตรงคอนโซลกลาง ช่องเสียบ
USB พร้อมลำโพงมากสะใจถึง 24 ตัว ให้เสียงนุ่มลึกมีมิติรอบคัน มีลูกเล่นที่ทวีตเตอร์ ติดตั้ง
ด้านในของกระจกมองข้าง เมื่อผู้ขับเลือกฟังเพลงแบบใด ตัวทวีตเตอร์นั้นจะยื่นออกมา หมุนตัว
เพื่อปรับให้ทิศทางการส่งเสียงนั้นเหมาะสมกับประเภทของเพลงที่ฟัง 

คุณภาพเสียง ขอบอกว่า เทพสมคำร่ำลือ! ยิ่ง ถ้าคุณฟังเพลงคลาสสิก หรือเพลงบรรเลง จะยิ่ง
สัมผัสได้ถึงเสียงจากเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ ราวกับว่านั่งฟังอยู่ในห้องบันทึกเสียงเลยทีเดียว ทั้งที่
คุณแทบไม่ต้องปรับเสียงทุ้ม หรือเสียงใส ไปจากค่ามาตรฐานคือ 0 อย่างที่เห็นในจอ TFT
แถมยังควบคุมได้จากรีโมท ที่เบาะหลัง และมีหูฟังสำหรับผู้โดยสารด้านหลังแยกมาให้

นอกจากจะมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม Navigation System ที่แสดงภาพกราฟฟิก ได้หลายแบบ
หรือจะแสดงภาพของตัวอาคาร รายล้อมบริเวณที่รถกำลังแล่นอยู่ได้ด้วย มาให้แล้ว ยังมีระบบสำรวจ
สภาพการจราจรล่วงหน้า Live Traffic Information รู้ได้ก่อนว่าตรงไหนรถติดและควรเลี่ยง ทำงาน
โดยอาศัยข้อมูลที่ป้อนผ่าน Internet จึงมีความเที่ยงตรง แม่นยำกว่าระบบ TMC และ TMCpro ที่
อาศัยข้อมูลจากวิทยุ จากที่ลองใช้งานดู ถือว่า แม่นยำดีมากในการพาเราเดินทางไปยังจุดหมาย

อีกทั้งยังมี Wi-Fi แบบ WLAN HOTSPOT จากในรถ เพิ่มความเพลิดเพลินในการโดยสารด้วยระบบ
Intermet ในตัวรถ ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถส่ง E-Mail ค้นหาสถานที่ที่ต้องการไป หรือแม้แต่กระทั่งดู
ราคาหุ้นตัวที่เก็งไว้ได้ (ออพชั่นนี้ไม่แน่ใจว่ามาถึงเมืองไทยจะถอดออกหรือไม่ แต่ในประเทศที่ระบบ
Internet พัฒนาไปไกลแล้ว เขาจะให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถมาเลย)

รวมทั้งระบบ LINGUATRONIC คือระบบ Voice Command สั่งการด้วยเสียงที่ทำงานเชื่อมต่อกับ
COMAND online ทำให้ผู้ขับสามารถสั่งเล่นเพลงแทร็คที่ต้องการ โทรศัพท์หาคนที่ต้องการได้ง่าย
แถมยังสามารถค้นหาและสั่งการให้ระบบนำทางเลือกเป้าหมายที่ต้องการและนำทางไปได้โดยการพูด
ชื่อสถานที่ ที่คุณต้องการจะไป โดยไม่ต้องมานั่งสะกดทีละตัวเหมือนระบบเก่า

สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง จะเพิ่มจอ COMAND online เวอร์ชั่นพัฒนาใหม่ หน้าจอขนาด
12.3 นิ้ว แบบ TFT สามารถใช้ควบคุมและแสดงผลการทำงานของระบบต่างเช่นๆ

– เครื่องเสียง วิทยุ และการปรับตั้งระบบของเครื่องเสียงต่างๆ
– ระบบนำทาง Navigation System ซึ่งสามารถปรับความละเอียดและลักษณะการแสดงผลได้
  ตามต้องการ โชว์ภาพถนน อาคารต่างๆและบ้านเรือนรวมถึง 4 แยกในแบบ 3 มิติ ให้เข้าใจง่าย
– ระบบการสื่อสาร โทรศัพท์ Bluetooth และ Internet
– การปรับตั้งฟังก์ชั่นต่างๆของตัวรถที่เกี่ยวข้องกับความสบายในการโดยสารและความปลอดภัย
– มีปุ่ม Add Favorite สำหรับเลือกกดไปฟังก์ชั่นที่ชอบได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
– ระบบ Multi-user Entertainment และBusiness Function ต่างๆ

และคราวนี้ มีระบบนวดหลัง ENERGIZE มาให้ด้วย มีโปรแกรมการนวดให้เลือก 6 แบบ ปรับความแรง
ได้ตามต้องการทำงานโดยถุงลม 14 ตัว ที่ฝังอยู่ในเบาะ อัดและปล่อยอากาศออกเพื่อสร้างจังหวะการนวด
โดยใช้วาล์วโซลินอยด์ นอกจากนี้ ในถุงลมที่รองรับส่วนหลังนั้นมีระบบทำความอุ่น เพื่อ “นวด” และ
“ประคบร้อน” ไปพร้อมๆกันราวกับเป็นสปาเคลื่อนที่ มีรูปแบบการนวดครั้งละ 12 – 15 นาที มีให้เลือก
ดังนี้

1) Hot Relaxing Massage Back
2) Hot Relaxing Massage Shoulder
3) Activating Massage
4) Classic Massage
5) Mobilizing Massage
6) Workout

จากที่ได้ทดลองใช้จริง ในระยะสั้นๆ เพราะระบบมันซับซ้อนเอาเรื่อง ผมลองปรับได้ 6 รูปแบบก็จริง
แต่ปรับความแรงได้แค่ Increase หรือ Decrease เท่านั้น บอกเลยว่า เฉพาะการนวดของเบาะหลังนั้น
ผมมีเวลาสัมผัสนิดเดียว เลยไม่รู้สึกว่า มันนวดดีเท่าไหร่่ นวดเบาเกินนนน

เมื่อเปรียบเทียบกับ คู่แข่งในพิกัดนี้ ณ ตอนนี้ ผมคงให้ ห้องโดยสารด้านหลังของ S500 มาเป็นอันดับ 1
แต่ Lexus LS460L ก็ยังได้เปรียบอยู่ในเรื่องความสบายของเบาะนั่ง และวัสดุหนังที่ใช้หุ้มเบาะ
กับแผงประตู เพราะ หนังที่ Mercedes-Benz เลือกใช้ ก็ยังให้พื้นผิวสัมผัสที่เหมือนกันกับรุ่นปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบนวดหลัง ที่ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้ดีกว่า S-Class ใหม่ ตามเคยอยู่ดี
และนี่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ 2 ในไม่กี่ประเด็น ที่ Lexus LS ยังคงเหนือกว่า S-Class ใหม่

ขอแนะนำให้ ทีมวิศวกร ที่ออกแบบระบบนวดหลัง ของ S-Class ใหม่ มาเรียนรู้วิธีนวดแผนไทย
ที่วัดโพธิ์ นั่นละ คุณจะได้ไอเดียว่า ควรจะปรับปรุงระบบนวดหลังอย่างไร ให้โดนใจคนทั่วโลก!

จอภาพสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ทั้ง ฝั่งซ้ายและขวา มีมาให้รวม 2 จอ มีขนาด 31 เซ็นติเมตร
ใช้รีโมทคอนโทรล ในการควบคุมหน้าจอ ทั้ง ดูหนัง ฟังเพลง ปรับแอร์ เปิด-ปิดระบบต่างๆในรถ
มากมายก่ายกอง แบบเดียวกับจอมอนิเตอร์ด้านหน้า

เช่นระบบปรับโทนแสงส่องสว่างและสีในห้องโดยสาร Interior Ambient Lighting ได้ตามใจ
มากถึง 7 สี ไล่กันตั้งแต่ สีม่วง Dawn Red สีแดง Glow Red สีส้ม Sunset Orange สีขาว
Morning White สีฟ้า Daylight White สีน้ำเงิน Moonlight Blue และ สีม่วง Twillight 
Purple แถมยังปรับความสว่างของแสงได้ 4 ระดับ ระบบ Ambient Lighting นั้นจะทำงาน
เมื่อคนชับเปิดไฟหน้ารถ เปิดประตูเพื่อเข้าไปนั่งในรถ รวมทั้งระหว่างการเดินทาง ซึ่งคล้ายกับ
ระบบ Welcome lighthing ของรถอีกหลายรุ่น เพื่อสร้างความรื่นรมณ์ในการขับขี่และโดยสาร
และสามารถปรับตั้งค่าได้ จากระบบ COMAND Online ในรถ

AIR BALANCE package – ฟังดูเหมือนระบบรักษาการทรงตัวของช่วงล่าง แต่ที่จริงแล้วมันคือระบบ
“ขายความหอม” โดยปรับแต่งกลิ่นภายในรถตามต้องการ 4 แบบตามอารมณ์ ได้แก่ NIGHTLIFE
MOOD,DOWNTOWN MOOD, SPORT MOOD และ FREESIDE MOOD โดยกลิ่นหอมเหล่านี้
มีลักษณะเฉพาะตัว คือหอมเฉพาะเวลาที่ต้องการ เมื่อปิดการทำงาน กลิ่นจะหายไปอย่างรวดเร็ว และ
ไม่มีกลิ่นฉุนติดไปกับตัวคนนั่ง นี่ถือเป็นครั้งแรกในโลก ที่มีการติดตั้งระบบนี้ มาให้ “จากโรงงาน”

แถมให้นิดนึงว่า คนคิดกลิ่น ชื่อว่า Marc Vom Ende อายุ 44 ปี เป็น Senior Perfumier for fragrance
specialist symrise ใน Lower Saxony ที่เยอรมันี เขาเป็นผู้คิดค้นกลิ่นน้ำหอมอันโด่งดังไปทั่วโลก
มากหมาย ตัวอย่างเช่น น้ำหอม Iceberg Homme หรือ น้หอมของ alain Delon และล่าสุด เขาร่วมงาน
กับนักอนาคตศาสตร์ Sabine Engelhardt ของ Mercedes-Benz ในการ คิดกลิ่นน้ำหอม ทั้ง 4 นี้ขึ้นมา

และทุกวันนี้ เขาใช้ชีวิต อยู่บนรถเข็น เป็น มนุษยล้อ!!

เป็นไงละครับ คนมีแขนมีขาครบ 32 หลายคน คงอึ้งเลยละสิ อย่าดูถูกความสามารถของผู้ทุพลภาพ เชียวละ!!

Warmth Comfort package น่าจะมีประโยชน์สำหรับเมืองหนาว มันคือระบบที่นั่งแบบมี Heater 
แต่พิเศษตรงที่ ใช้จอ COMAND ในการสั่งการได้ว่าต้องการจะให้ที่นั่งไหนอุ่นเป็นพิเศษหรือเปล่า หรือจะ
จัดความอุ่นโดยแบ่งเป็นเบาะคู่หน้า-หลัง ก็ยังได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีระบบอุ่นที่เท้าแขนด้านหน้าให้ และ
ถ้าสั่งแพ็คเกจเบาะหลังแบบปรับเอนได้ ที่เท้าแขนตรงประตูของเบาะหลังก็จะมีระบบฮีทเตอร์มาให้

ส่วนรถที่ใส่ออพชั่นเบาะหลังแบบ First-class rear suite นั้น ตรงที่เท้าแขนตรงกลางก็จะมีระบบอุ่น
พื้นที่วางแขนมาให้เพิ่มอีกด้วย นอกจากนี้ เบาะนั่งทุกตำแหน่ง จะมีพัดลมขนาดเล็ก เพื่อระบายความร้อน
และความชื้น เลือกปรับได้ 3 ระดับความแรง บนสวิขต์ ปรับตำแหน่งเบาะ ที่แผงประตู เหมือนรุ่นปัจจุบัน

********** รายละอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในช่วงแรกที่เปิดตัว ขุมพลังของ S-Class ใหม่ W222 จะมีให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ แบ่งแยกชัดเจน
ตามความต้องการของลูกค้าไปเลย ว่าใครอยากได้เครื่องยนต์ เบนซิน หรือ Diesel Turbo ไปจนถึง
ทางเลือกใหม่อย่าง เบนซิน Hybrid หรือ Diesel Turbo Hybrid ทุกแบบ ได้รับการพัฒนาให้ทำ
อัตราสิ้นเปลืองต่ำลงกว่าเครื่องยนต์รุ่นเดิม ที่เป็นรุ่นเดียวกัน หรือมีพละกำลังในระดับใกล้เคียงกัน 20%
และผ่านมาตรฐานมลพิษล่าสุดในระดับ Euro-6 แบ่งรายละเอียดจากรุ่นเล็กไปถึงรุ่นใหญ่ได้ดังนี้

S300 BlueTEC HYBRID  <—- Diesel Turbo + Hybrid  (เริ่มขายจริงทั่วโลก ต้นปี 2014)
เครื่องยนต์ดีเซลทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ตัวเครื่องยนต์เป็นแบบ 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว
2,143 ซี.ซี. พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า (HP) ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร หรือ
50.95 กก.-ม.ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที พ่วงกับ มอเตอร์ขับเคลื่อน ขนาด 20 กิโลวัตต์ (kW) แต่ให้
แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร อัตราการปล่อยก๊าซคารืบอนไดออกไซด์ ต่ำเพียง 115 กรัม/กิโลเมตร!

S350 BlueTEC <—- Diesel Turbo  (ในภาพข้างบนนี้)
เป็นเครื่องยนต์ Diesel V6 DOHC 24 วาล์ว 2,987 ซี.ซี. พ่วง Turbocharger และ Intercoolr กำลัง
สูงสุด 258 แรงม้า (HP) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร (63.17 กก.-ม.) ที่รอบ
ตั้งแต่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที อัตราการปล่อยค๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 146-148 กรัม/กิโลเมตร

S400 HYBRID <—– Gasoline + Hybrid
เป็นเครื่องยนต์เบนซินทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ตัวเครื่องยนต์นั้นเป็นบล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว
3,498 ซี.ซี. กำลังสูงสุด 306 แรงม้า (HP) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 37.70 กก.-ม.
หรือ 370 นิวตันเมตร (Nm) ที่ 3,500-5,250 รอบต่อนาที ส่วนมอเตอร์นั้นให้พลัง 20kW และมี
แรงบิด 250Nm เท่ากับ มอเตอร์ของรุ่น S300BlueTEC HYBRID ปล่อย CO2 ในระดับต่ำเพียง
147 กรัม/กิโลเมตร

S500 <—- Gasoline V8
เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว 4,663 ซี.ซี. Twin Turbo Charger พร้อม Intercooler
กำลังสูงสุดถึง 455 แรงม้า (HP) ที่5,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.)
ที่ 1,800 – 3,500 รอบ/นาที มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 199 กรัม/กิโลเมตร

S-Class ใหม่ทุกรุ่นจะถูกติดตั้งระบบ ECO Start/Stop and Go ซึ่งจะสั่งดับเครื่องยนต์ให้เอง
เมื่อเหยียบเบรกจนสุด เพื่อจอดรอสัญญาณไฟแดง เมื่อไฟเขียวสว่างขึ้น ถอนเท้าจากคันเร่ง
หากเป็นรุ่น Hybrid เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาทำงานต่อเองในกรณีที่ ไฟในแบ็ตเตอรีเหลือ
ไม่มากพอ หรือเมื่อผู้ขับขี่ออกรถด้วยการเหยียบคันเร่งอย่างต่อเนื่อง แต่ในรุ่นเครื่องยนต์
เบนซิน และ Diesel Turbo ถอนเท้าจากเบรก เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาทำงานต่อทันที

ด้านระบบส่งกำลัง ทุกรุ่น ใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-TRONICS ลูกเดิม คันเกียร์ เป็นสวิชต์
ก้านกระดิก ที่คอพวงมาลัย เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ คันอื่นๆ อัตรทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1……………..4.38
เกียร์ 2……………..2.86
เกียร์ 3……………..1.92
เกียร์ 4……………..1.37
เกียร์ 5……………..1.00
เกียร์ 6……………..0.82
เกียร์ 7……………..0.73
ถอยหลัง R1……….3.42
ถอยหลัง R2……….2.23

แต่อัตราทดเฟืองท้าย จะถูกเซ็ตมาให้แตกต่างกัน โดยรุ่น S350 BlueTEC Diesel ทดเฟืองท้ายไว้
ที่ 2.47 : 1 รุ่น S400 HYBRID ทดเฟืองทายไว้ 3.07 : 1 และรุ่น S500 ทดเฟืองท้าย 2.65 : 1

ในระยะหลังจากนี้ จะมีรุ่น S500 Pullman ช่วงยาว ออกมาเพื่อจะทำตลาดในฐานะตัวแทนของ
Maybach ที่เพิ่งยุติการผลิตไปเมื่อปี 2012 และจะขายกันในปีสุดท้ายคือปี 2013 นี้ เกาะติดด้วย
เวอร์ชันแรงสุด S63 AMG ที่กำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของการทดสอบก่อนออกสู่ตลาด รวมทั้ง
S500 Plug-in Hybrid Luxury Car รุ่นแรกในโลกที่กินน้ำมันแค่ 3 ลิตร/100 กิโลเมตร ปล่อย
คาร์บอนไดออกไซด์แค่ 75 กรัม/กิโลเมตร จะเปิดตัวใน Frankfurt motor Show กันยายนนี้

นอกจากนี้ S-Class ใหม่ ยังอุดมไปด้วยสารพัด อุปกรณ์อีเล็กโทรนิคส์ ด้านความปลอดภัย
ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและควบคุมการทำงานของส่วนต่างๆ ของตัวรถมาทำงานร่วมกัน โดย
ใช้เซ็นเซอร์ของระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว “ท่วมคัน” เชื่อมกับสมองกลส่วนกลาง
แล้วเรียกรวมกันว่า “Mercedes-Benz Intelligent Drive”

ถ้าหากลูกค้าสั่งออพชั่นชุด “Driving Assistance package Plus” แล้วก็จะได้ อุปกรณ์ต่างๆ
ตามรายการดังต่อไปนี้

DISTRONIC PLUS with Steer Assist – ซึ่งก็คือระบบควบคุมความเร็วคงที่ พร้อมระบบหน่วง
ความเร็วของรถลงอัตโนมัติ ที่เรามักจะคุ้นด้วยศัพท์ง่ายๆว่า Radar Cruise control นั่นเอง ปกติ
ระบบนี้จะทำงานโดยการที่ผู้ขับสั่งให้รถ แล่นด้วยความเร็วในระดับที่ต้องการ เซ็นเซอร์ด้านหน้า
จะตรวจจับ ในกรณีที่มีรถเปลี่ยนเลนเข้ามาขวางและวิ่งช้า สมองกลจะสั่งการ ให้ลดความเร็ว
ของรถลง และเมื่อรถคันดังกล่าวเปลี่ยนเลนหลีกออกไปแล้วก็จะเพิ่มความเร็วกลับให้เท่าเดิม

แต่ใน S-Class ใหม่นี้ มีระบบ Steering Assist เพิ่มมา ซึ่งนั่นก็แปลว่านอกจากจะลดความเร็ว
ได้แล้ว ระบบยังสามารถบังคับ พวงมาลัยให้รถอยู่ในเลนต่อไปได้เอง โดยให้ระบบตรวจจับ
เอาจากเส้นแบ่งเลนบนถนน ส่วนในความเร็วต่ำยังประมวลผลจากความเร็วและจำนวนรถ
ที่ขวางอยู่ข้างหน้าด้วย

BAS PLUS with Cross-Traffic Assist – มันคือระบบเสริมแรงเบรก Brake Assist
ซึ่งรถจะทำการปรับแรงดันเบรกให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่สิ่งที่เพิ่มมาก็คือกล้องวิดิโอ
แบบ 360 องศา ที่ติดตั้งไว้บนรถจะตรวจจับรถยนต์หรือแม้กระทั่งคนเดินถนนที่กำลังจะตัด
เข้ามาในทางวิ่งของรถ และสมองกลจะทำการคำนวณระยะเบรกและปรับแรงดันในระบบ
เบรกให้เอง เพื่อให้ได้ระยะเบรกที่สั้นที่สุด เท่ากับว่า รถจะเบรกให้คุณเองโดยอัตโนมัติ
ทั้งที่คุณไม่ต้องเหยียบเบรกเองเลย!!

PRE-SAFE Plus คือระบบความปลอดภัยสำหรับป้องกัน/บรรเทาความรุนแรงจากการชน
ด้านหลัง โดยอาศัย Redar ที่กันชนหลัง ในกรณีที่มีรถพุ่งเข้ามา ไฟเลี้ยวด้านท้ายของรถ
จะทำงาน กระพริบเป็นไฟฉุกเฉิน และจะทำเป็น จังหวะถี่ขึ้นเมื่อรถยิ่งเข้ามาใกล้

แต่ถ้าระบบพิจารณาแล้วว่าอันตราย ก็จะรีบกระชับเข็มขัดนิรภัยให้เรา ตรึงแน่นไว้กับเบาะ
และถ้ารถของเราจอดนิ่งอยู่กับที่ สมองกลก็จะสั่งให้เบรกมือไฟฟ้าทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้
รถของเราโดนชนแล้วกระเดนกระดอนเข้าไปกลางสี่แยก ให้โดนซัดกลางลำ ซ้ำหนักไปอีก

PRE-SAFE Brake with Active Pedestrian Protection – ระบบเบรกอัตโนมัติ 
จะช่วยเบรกให้เองในยามที่คนขับเผลอไม่ได้มองทาง โดยถ้าระบบฟ้องว่ารถมีแนวโน้มจะ
ชนกับวัตถุข้างหน้า มันจะส่งเสียงเตือนและขึ้นสัญลักษณ์เตือนบนหน้าจอ จากนั้นจะเริ่มเพิ่ม
แรงเบรกเพื่อให้คนขับรู้ตัว จากนั้น หากคนขับยังไม่ยอมเหยียบเบรก ระบบจะสั่งให้รถเบรกเอง
ระบบเบรกอัตโนมัติใน S-Class ใหม่นี้ จะเพิ่มระบบ Active Pedestrian Protection
ซึ่งใช้กล้องในการตรวจจับคนเดินถนนที่อาจวิ่งตัดหน้าเข้ามาได้ทุกเมื่อ และเตรียมเบรกไว้ก่อน

Active Blind Spot Assist ระบบนี้จะทำงานเมื่อคนขับยกก้านไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนไปใน
ทางที่ต้องการ หากมีรถขวางอยู่ในจุดบอด ระบบจะทำการเตือนทั้งเป็นไฟกระพริบที่กระจก
มองข้าง และเป็นเสียงเตือนพร้อมข้อความบนหน้าจอ ถ้าหากคนขับยังดื้อ เบี่ยงไปทางเลน
นั้นอีก สมองกลก็จะสั่งให้รถเบรกชลอความเร็วเพื่อเลี่ยงการชน แต่ถ้าเรายังขืนพวงมาลัย
ไปทางเดิมอีก หรือตบคันเร่งลงไป ระบบก็จะยินยอมให้คุณเบียดรถคันข้างๆได้ ถ้าจำเป็น
ต้องทำจริงๆ เช่นการเบียดรถคันข้างๆ ให้ตกถนน ยามโดนจุ่โจมจากทางด้านข้าง เพื่อช่วย
อารักขาบุคคลสำคัญ ตามระเบียบการรักษาความปลอดภัยแก่บุคคลสำคัญ ตามปกติ

Active Lane Keeping Assist ระบบรักษาตัวรถให้วิ่งอยู่ในช่องทางของตัวเอง ทำงาน
โดย ใช้กล้องตรวจจับกับเส้นแบ่งเลนบนถนน เมื่อรถทำท่าจะเบี่ยงออกนอกเลน สมองกลจะ
สั่งการให้พวงมาลัยของรถสั่น 3 ครั้ง เพื่อปลุกประสาทคนขับ และถ้านั่นยังไม่ได้ผล ก็จะ
สั่งให้รถเบรก แล้วก็ขืนพวงมาลัย ให้กลับคืนสู่เลนเดิมด้วยทันที (ความแรงในการเบรก
จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้แรงถึงขนาดทำเอาสิบล้อทิ่มท้ายแต่อย่างใด) ระบบนี้
ผมใช้งานมาแล้ว ตลอดการเดินทางช่วงแรก บอกเลยว่า ช่วยได้เยอะจริงๆ สำหรับคนที่
ไม่คุ้นชินการขับรถพวงมาลัยซ้ายเป็นครั้งแรกอย่างผม

Night View Assist Plus เป็นระบบกล้องอินฟราเรดสำหรับช่วยให้คนขับสามารถเห็นคน
หรือสัตว์ (เฉพาะตัวใหญ่ๆ จิ้งหรีดกับนกคงไม่นับ) ที่อยู่ข้างหน้าได้ โดยจะขึ้นเป็นจอภาพ
ซ้อนอยู่บน จอหน้าปัด TFT

ทุกระบบที่ว่ามาข้างต้น ถือเป็นระบบ Active Safety ที่จะทำงานโดยใช้สารพัด Sensor และ
ระบบกล้อง 360 องศา ทำงานโดยใช้กล้องหลายตัวที่มีอยู่รอบคันรถ เชื่อมต่อข้อมูลเข้าสู่ระบบ
ศูนย์กลาง จนทำให้ S-Class นั้นกลายเป็นสับปะรดไป คือมีตาอยู่รอบตัวทีเดียว และระบบกล้อง
ต่างๆเหล่านี้เองที่เป็นกระดูกสันหลังให้กับการทำงานของระบบความปลอดภัยอื่นๆที่ต้องอาศัย
“ตามอง” ในการเตรียมเบรกล่วงหน้า

แต่ถ้าจำเป็นต้องชน ระบบ PRE-SAFE Impulse จะช่วยลดอาการบาดเจ็บในกรณีการชน 
จากด้านหน้า เมื่อตัวรถนั้นพบว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุ มันจะสั่งให้เข็มขัดนิรภัยกระชับ
ตัวคนขับ ตรึงไว้กับเบาะ และเมื่อเกิดการชนจนถึงจุดที่แรง G กระทำต่อตัวคนขับและคนนั่ง
สูงที่สุด ระบบจะผ่อนแรงรัดของเข็มขัดนิรภัยในระดับที่เหมาะสมภายในพริบตา เพราะการ
ผ่อนแรงรัดในช่วงจังหวะนี้จะเปรียบเสมือนกับการช่วยซับแรงกระทำที่มีต่อส่วนอกและไหล่
ของคนที่นั่งอยู่ และช่วยลดอาการบาดเจ็บลงได้มาก นอกจากนี้ก็ยังมีระบบ PRE-SAFE
สำหรับคนนั่งหลัง ซึ่งจะทำงานร่วมกับ Belt bag หรือถุงลมขนาดเล็ก ณ เข็มขัดนิรภัยได้ด้วย

แม้จะไม่ค่อยมีจังหวะให้ขับเร็วได้มากนัก เพราะเราอยู่ในประเทศที่จำเป็นต้องใช้ความเร็ว
เท่าที่กฎหมายของเขากำหนดโดยเคร่งครัด แต่ผมก็พอจะมีโอกาส จับเวลา หาอัตราเร่งมาให้
ได้เพียงแค่เฉพาะรุ่น S500 Long Wheelbase เพียงรุ่นเดียว และทั้ง 2 หัวข้อ จับเวลาได้เพียง
แค่อย่างละครั้งเดียวเท่านั้น

S500
อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยุ่ที่ 6.41 วินาที
อัตราเร่งจาก 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 4.54 วินาที

ถือว่า ทำตัวเลขออกมาใช้ได้ และใกล้เคียงกันกับ E500 ที่ผมเคยลองขับมาในเมืองไทย
2 ปีก่อนหน้านี้

ในการใช้งานจริง ผมไม่ต้องใช้แป้น Paddle Shift ที่มีมาให้หลังพวงมาลัย เลย แค่เหยียบคันเร่ง
ลงไปเต็มตีน จนถึงจังหวะ “คลิก” ที่ช่วงปลายสุดของระยะเหยียบรถจะพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
จากนุ่มนวล เป็นพายุโหมกระหน่ำ ในเวลาไม่กี่วินาที แน่นอนว่า เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ย่อม
ช่วยให้คุณใช้เวลาในการแซงรถคันข้างหน้าในระยะคับขัน อย่างฉับไว ดีกว่าเครื่องยนตต์ที่มี
พละกำลังน้อยกว่า

ขุมพลัง V8 รุ่นใหม่ ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างกระฉับกระเฉง และพร้อมจะพาคุณพุ่งพรวดจน
เข็มความเร็วไต่ขึ้นไปแตะระดับ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาสั้นมากๆ จนผมแซง BMW
750iL (E66) ที่พยายามจะแซงรถพ่วงข้างหน้า มาได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นเรื่องอัตราเร่ง ยังไงๆ S500 ก็ยังทำตัวอยุ่ในกลุ่ม Top Form ของรถยนต์ระดับนี้ตามเคย
อยู่ดี แทบไม่อยากนึกเลยว่า ถ้า S63 AMG คลอดออกมาในช่วงปลายปีนี้ มันจะให้อัตราเร่งที่
ตืนตาตื่นใจจนอะดรินาลีนพุ่งพล่านกว่าเดิมขนาดไหน?

ขณะเดียวกัน น้องรอง อย่าง S350 BLUETEC Diesel Turbo รุ่นที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า
น่าจะเข้ามาขายในเมืองไทย ให้อัตราเร่งที่ผมไม่รู้สึกว่ามันต่างไปจาก S350 CDI คันเดิม
ที่ผมเพิ่งทำรีวิวเสร็จไปเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมามากนัก ช่วงออกตัวในโหมด E ก็ยังคงมี
นิสัยคันเร่งหน่วงๆให้เจอกันตามประสารถยุโรปทั่วไป เพียงแต่ว่า น้ำหนักของคันเร่ง
เบากว่ากันนิดนึง ชนิดที่ว่า ต้องจับสังเกตอย่างตั้งใจ จึงจะสัมผัสได้ แต่เมื่อใช้ โหมด S
คันเร่งก็จะตอบสนองไวขึ้น แต่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็จะเพิ่มมากขึ้น จนเข็มน้ำมัน
ลดลงมาเร็วกว่าปกติอยู่เหมือนกัน เพราะเกียร์จะถูกสั่งให้ไปค้างรอไว้ที่ เกียร์ 6 แทนที่
จะอยู่ในเกียร์ 7 อย่างที่เป็นในโหมด E

ส่วนช่วงเร่งแซงนั้น ไม่ต้องเหยียบคันเร่งจนเต็มมิด หรือเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วยแป้น
Paddle Shift ทั้งสิ้น ในการขับขี่ ไปตาม Highway สาย 400 จาก Toronto มุ่งหน้าสู่
ทะเลสาบ Muskoka ผมแค่เหยียบคันเร่งครึ่งเดียว แรงบิดสูงในรอบต่ำตามแบบฉบับ
ของขุมพลัง Diesel Turbo ก็พาผมพุ่งแซงทั้งรถบรรทุกเทรลเลอร์ Mazda 3 พ่วงท้าย
ด้วยรถลาก หรือแม้แต่ Dodge Ram 3500 กระบะยักษ์อเมริกัน พร้อมเรือที่ลากพ่วงมา
ด้วยกัน ได้แบบไม่ต้องลุ้นว่าจะแซงพ้นไหม เอาเวลาไปลุ้นว่า จะมีตำรวจทางหลวง
พุ่งออกมาเล่นจ๊ะเอ๋กับผมข้างทาง อย่างที่ ผมเห็นฝรั่งร่วมทาง โดนกันไปให้เห็น
ต่อหน้าต่อตา (Honda Odyssey US และ BMW M5 สีดำ มากันสองคนผัวเมีย)
จะดีกว่า แซงเสร้จปุ๊บ ผมต้องรีบลดความเร็วลงเหลือแค่ 80 – 90 – 100 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ตามแต่ป้ายข้างทางจะระบุเอาไว้ เพราะที่นี่ เข้มงวดเรื่องความเร็ว ไม่แพ้
ในสหรัฐอเมริกา หรือเมืองไทย

ส่วนรุ่น S300 BLUETEC HYBRID (เริ่มขายจริงทั่วโลก ต้นปี 2014) ที่หลายคน
สนใจว่าสมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น ผมมีโอกาส ลองขับในช่วงสั้นๆ รอบๆย่าน สนามบิน
Muskoka บนถนน 2 เลนสวนกัน สภาพการจราจรนั้น โล่งโจ้งเอาเรื่อง!

ผมแทบไม่เห็นความแตกต่างด้านอัตราเร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับ S350 BLUETEC
Diesel Turbo แบบธรรมดา แต่อย่างใด ทั้งในโหมด E และ S การตอบสนองของคันเร่ง
ก็เป็นไปตามที่คาดคิดไว้ คือ โหมด E คันเร่งก็จะหน่วงตามปกติของรถยุโรปทั่วไปอยู่
สักหน่อย แต่พอเป็นโหมด S ก็จะไวขึ้นมานิดนึงให้พอจับสังเกตได้ เพียงแต่เมื่อลอง
เปรียบเทียบกันในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มีแนวโน้มว่า S300 Hybrid จะประหยัด
มากกว่า

แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่าแตกต่างกันจริงๆ คือการตอบสนองของระบบเบรก เพราะว่า
ในขณะที่ แป้นเบรกของทั้ง S500 และ S350 ตอบสนองได้เป็นธรรมชาติ นุ่มนวล
และให้ความมั่นใจได้ในระดับค่อนข้างดีมาก ยกเว้นในบางช่วงจังหวะที่จะต้องเบรก
เพื่อหน่วงความเร็วลงมาจาก 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในทันทีที่เร่งแซงรถคันข้างหน้า
จนผ่านพ้น เพื่อไปชะลอตามท้ายรถคันข้างหน้า ที่ยังใช้ความเร็วแถวๆ 90 กิโลเมตร/
ชั่วโมง เบรกของ S500 แอบจะทำตัวให้ต้องลุ้นกันนิดนึง แต่ยังถือว่า ไว้ใจได้อยู่

แต่แป้นเบรกของ S300 Hybrid นั้น มันตอบสนองได้ไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่คาดหวัง
แป้นเบรกค่อข้างแข็ง และยังทื่อไปสักหน่อย คือแป้นเบรกค่อนข้างแข็ง และเหมือน
เหยียบลงไปบนสวิชต์ไฟฟ้า มากกว่าจะเหยียบแป้นเบรกทั่วไปอย่างที่ควรเป็น กระนั้น
ในช่วงความเร็วจากระดับ100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงมาจนถึงจุดหยุดนิ่ง ก็ยังไว้ใจได้ดีอยู่

ระบบบังคับเลี้ยว ทุกรุ่น เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า แบบ
Electro-mechanical Direct-Steer system ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

น้ำหนักพวงมาลัย เบาในช่วงความเร็วต่ำ แต่ยังมีการขืนมือ ต้านมือนิดๆ ไม่เหมือนกับ
พวงมาลัยไฟฟ้าของรถยนต์หรูยุคก่อนหน้านี้ ที่เบาหวิวชนิดเอานิ้วชี้นิ้วเดียวหมุนได้
อีกทั้งขนาดของวงพวงมาลัยที่เล็กลงมาจากรุ่นเดิม นิดนึง แต่ยังคงออกแบบให้มี Grip
ที่กระชับมือ ช่วยให้การบังคับควบคุมรถ ระหว่างคลาน ด้วยความเร็วต่ำ หาที่จอด หรือ
แทรกตัวไปตามซอกมุมต่างๆ ทำได้สะดวกขึ้น ในรูปอาจดูแปลกตา เพราะมีแค่ 2 ก้าน
แต่ว่า ของจริงนั้นสวยมาก ยิ่งหุ้มด้วยหนัง Nappa ยิ่งสร้างสัมผัสที่ดีในการจับพวงมาลัย

ในช่วงที่ใช้ความเร็ว 60 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลัดเลาะไปตามทางโค้ง การตอบสนอง
ขณะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปมา ทำได้แม่นยำขึ้นกว่าเดิมชัดเจน น้ำหนักของพวงมาลัย
เมื่อเทียบกับประเภทของรถ ตอนนี้ ถือว่า ลงตัวดีแล้ว ไม่มีอะไรให้ตำหนิในเบื้องต้น

ในช่วงความเร็วเดินทาง และในย่านความเร็วสูง พวงมาลัยจะเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น
ตึงขึ้น ขืนมือมากขึ้น เช่นเดียวกับ S-Class W221 รุ่นก่อนหน้านี้ แต่ผมไม่ค่อยมี
จังหวะในการจับสัมผัสจากพวงมาลัย ช่วงความเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เท่าใดเลย ดังนั้น คงต้องขอแปะโป้งเอาไว้ก่อน ยังไม่อาจตัดสินได้ในตอนนี้

ด้านระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบ 4-Link ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link
ติดตั้งเข้ากับ Sub Frame น้ำหนักเบา ทุกรุ่นจะติดตั้ง สปริงแบบถุงลม AIRMATIC
อันเป็นช่วงล่างแบบ Air-Suspension ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากรถรุ่นก่อน

ในการขับขี่ตามปกติ ตัวรถจะยังไม่ลดความสูงลงให้ เว้นเสียแต่ว่ากดปุ่มเลือกโหมด
Sport ช่วงล่างจะปรับลดให้เตี้ยลงเอง 10 มิลลิเมตร แต่ถ้าใช้ความเร็วเกิน 120 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ขึ้นไป ระบบ AIRMATIC จะลดความสูงลงให้ 10 มิลลิเมตร ในโหมด Comfort
และลดเพิ่มให้อีก 10 มิลลิเมตร ในโหมด Sport (รวมเป็น 20 มิลลิเมตร) แต่ถ้ายังคงใช้
โหมด Comfort แต่มีจังหวะให้ขับเร็วเกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างจะปรับให้เตี้ย
ลง 10 มิลลิเมตร เท่ากับระดับความเตี้ยสุดในโหมด Sport เองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าคุณ
ลดความเร็วลงมา ช่วงล่างจะปรับยกระดับให้สูงขึ้น กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมเอง
ตัวถุงลมของระบบ รองรับแรงดันได้สูงสุด มากถึง 11 Bar

นอกจากนี้ยังสามารถปรับระดับความสูง – ต่ำ ของตัวรถจากปกติได้เองโดยการกดสวิชต์
บริเวณด้านข้างมือหมุน ของระบบ COMAND เพื่อให้รถสูงขึ้นจากเดิมอีก 30 มิลลิเมตร
เหมาะกับการลุยไปบนพื้นถนนประเภท ขรุขระ หรือก้อนกรวด

ช่วงล่างของทุกรุ่น ในโหมด Comfort ยังคงตอบสนองได้นิ่มและนุ่มนวล แต่หนักแน่น
ซับแรงสะเทือนจากผิวถนนในเมือง ได้ดี เพียงแต่ อาจยังมีเสียงของรอยต่อถนน เข้ามา
ให้ได้ยินอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆ แต่ภาพรวมแล้ว ยังให้อารมณ์นุ่มๆ เหมือนนั่งเรือใหญ่ๆ
จากช่วงล่างของรุ่น W221 อยู่พอสมควร

กระนั้น ในโหมด Sport ช่วงล่างจะแข็งขึ้นจนสังเกตได้ เหมาะแก่การขับขี่บน Highway
ระยะทางไกลๆ ยิ่งถ้าเข้าโค้งลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวด้วยแล้ว คุณจะพบว่าช่วงล่างของ
S-Class ใหม่ ทำหน้าที่ได้อย่างดี กระชับ และมั่นคง การโคลงตัวมีน้อย แต่ยังคงซับแรง
สะเทือนไว้ได้ดีอยู่ แม้จะแข็งขึ้นกว่าปกตินิดนึง ก็ตาม

นอกจากช่วงล่างถุงลมแบบ AIRMATIC แล้ว ออพชั่นอีกอย่างที่เลือกได้คือระบบ MAGIC BODY
CONTROL ซึ่งใช้กล้องที่ติดอยู่ตรงกระจกหน้าของรถในการ “สแกน” สภาพถนนที่อยู่เบื้องหน้า
จากนั้นจึงเอาผลที่ได้มาประมวลเทียบกับความเร็วของรถ และปรับตั้งค่าความหนืดของช่วงล่างแบบ
ถุงลม (แยกอิสระ ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง) จนได้ความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือชั้น ซึ่งระบบนี้ก็มี
แนวคิดคล้ายๆกับช่วงล่าง DUET-SS ของ Nissan Cefiro A31 ในไทยเมื่อก่อน แต่เจ้านั้นใช้ Sonar
ในการตรวจสภาพพื้นถนน และการปรับความหนืดของโช้คก็ไม่เร็ว และไม่แยกอิสระ กันแบบ
ข้างต่อข้างเหมือน S-Class ใหม่

ดังนั้น ในการใช้งานจริง วิศวกรของ Mercedes-Benz ให้เรา ลองขับ ขึ้นเนิน หลังเต่า ขนาดใหญ่
ด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงแรกที่ใช้ โหมด Sport แม้ช่วงล่างจะซับแรงสะเทือนได้ดี
แต่ในจังหวะที่ “ล้อกำลังลาจากเนิน”ลงมา ยังพอมีอาการ Hump หรือ ช้อกอัพกับสปริง ดึงกระชาก
หน้ารถ ลงมาในระดับปกติ หลงเหลือนิดนึง

แต่พอใช้โหมด Comfort เท่ากับเปิดระบบ Magic Body Control ให้ทำงาน เมื่อใช้ความเร็วเท่ากัน
คือ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปรากำว่า “รถผ่านเนินหลังเต่าขนาดใหญ่นั้นไปได้อย่างสบายๆ เหมือน
ว่า แค่รถขับผ่านขึ้นเนิน แต่ตัวถังยังพยายามจะนิ่งเอาไว้ ให้ได้มากที่สุด!!  เทพมากครับช่วงล่าง
แบบนี้ ทำเอาผมแอบนึกถึงระบบ ไฮโดรนิวเมเติก ของ Citroen ในสมัยก่อน แต่เจ้า Magic Body
Control นี่ดีกว่ากันเยอะ!

อย่างไรก็ตาม ถ้าลองใช้ความเร็ว 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง กับเนินหลังเต่าขนาดใหญ่นี่เหมือนกัน
จะพบว่า ช่วงล่าง จะปรากฎอาการ “ล้อจากเนิน” ลงมา ดึงกระชากหน้ารถนิดๆ แต่น้อยกว่า
ในโหมด Sport ธรรมดา เพราะเราไปเร่งใหระบบกันสะเทือนหน้าทำงานครบ Loop เร็วไป
มันเลยเกิดอาการนี้อยู่บ้าง เป็นธรรมดา แต่ถือว่า ทำได้ขนาดนี้ ก็เทพมากแล้วละครับ!

อีกระบบหนึ่งที่ต้องพูดถึงกันเลยก็คือ ระบบช่วยจอดเองโดยอัตโนมัติ Active Parking Assist
อย่างที่เราอาจเคยพบมาแล้วในรถยนต์แบรนด์หรูๆจน ตอนนี้ลงมาอยู่ในรถอย่าง Skoda Superb
และ Ford Focus ที่ขายในเมืองไทย

แต่ ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ระบบช่วยจอดของ S-Class นี้ เจ๋งกว่าระบบเดียวกันที่ติดตั้งอยู่ใน
รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว เพราะทำงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์ด้านหน้า 6 ตัว และด้านหลัง 6 ตัว

เมื่อพบช่องว่างขนาดที่พอจะจอดได้ ระบบจะส่งสัญญาณบอกคนขับให้เดินหน้าเข้าสู่ตำแหน่ง
ที่เหมาะสม แล้วขึ้นสัญญาณลูกศร ฝั่งขวาหรือซ้าย ข้างสัญลักษณ์รูป P (Parking) บนมาตรวัด
ถ้าต้องการให้ระบบทำงานต่อ กดปุ่ม OK บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ระบบจะขอให้คุณช่วยแค่
เข้าเกียร์ R ถอยหลัง และแตะคันเร่งกระตุ้นให้ระบบรู้ว่า “เอาละ เริ่มทำงานได้”

ระบบจะหมุนพวงมาลัย เร่งและเบรก เพื่อถอยรถเข้าจอดให้เอง แถมยังเบรกให้เองเสร็จสรรพ!
ด้วยความเร็วที่เหมาะสม แต่ถ้าระบบพบว่า ถอยเข้าจอดแล้ว ยังต้องเบรก และต้องตั้งลำอีกครั้ง
ระบบจะขึ้นข้อความบนมาตรวัดว่า ให้เข้าเกียร์ D หรือ R แล้วแตะคันเร่งกระตุ้นอย่างแผ่วเบา
อีก 1-2 รอบ ระบบ จะจัดการจอดรถจนตรง และเรียบร้อย เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอน ก็จะส่งสัญญาณ
ร้อง เป็นเสียงระฆังอีเล็กโทรนิคส์ ว่า ทำงานเสร็จแล้วนะ ให้เหยียบเบรก แล้วเข้าเกียร์ P เพื่อ
ยุติการทำงานของระบบได้เลย

ขั้นตอนทั้งหมดนี้ ทำได้ทั้งการถอยจอดแบบเรียงต่อเป็นคันๆ ไป หรือ Pararell Parking รวมทั้ง
การถอยจอดเข้าช่องจอด และที่เด็ดกว่านั้นคือ ถ้าคุณจอดในแบบ Pararell Parking ระบบยังจะ
ช่วยนำรถออกจากช่องจอดให้คุณได้เองอย่างง่ายดาย ด้วยวิธีการเดียวกันในย่อหน้าข้างบนทั้งหมด!
แค่ติดเครื่องยนต์ เข้าเกยร์ และเปิดไฟเลี้ยวบอกระบบให้รู้ว่า คุณจะออกรถไปในทิศทางใด!!!!
ที่เหลือ ระบบจะจัดการนำรถออกจากช่องจอดให้คุณเอง!

แต่ถ้าในระหว่างกำลังถอยจอด เกิดมีมนุษย์มักง่าย (พบได้ทั่วไปในไทยอีกเช่นกัน) เดินตัดผ่าน
ช่องที่เรากำลังถอยจอดอย่างกระชั้นชิด ระบบก็สามารถทำการเบรก เพื่อช่วยเลี่ยงการจ่ายค่าทำขวัญ
ก้อนโต (บางคนเรียกว่าค่าธรรมเนียมสำออย) ได้เช่นกัน

เพียงแต่ว่า ถ้าคุณอยากได้ระบบนี้ หากอยู่ในยุโรป ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกถึง 1,300 Euro!! แพงไปมากๆ
แต่ อีกหน่อย เชื่อเถอะ เดี๋ยวพอผลิตขายออกมาเยอะๆ แล้วมีคนอยากได้เยอะๆ ราคาของมันก็จะค่อยๆ
ถูกลงมาเองแหละ แต่คงจะไม่ใช่ในช่วง 3 ปีแรกนี้แน่ๆ

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
กลมกล่อมขึ้น นั่งสบายขึ้น ประหยัดขึ้น แต่ ระบบไฟฟ้าท่วมคันรถ

1 วันเต็มๆ ที่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับ S-Class ใหม่ รวมทั้งสิ้น 4 รุ่น ลองขับกับมือเอง
รวมแล้ว 5 คัน สลับกันไป ทำให้ผมมั่นใจพอที่จะบอกกับคุณว่า ในภาพรวมแล้ว S-Class
รุ่นใหม่ W222 จะดีขึ้นจากรุ่นเดิม ในแบบที่คุณคาดหวังจาก Mercedes-Benz ไว้นั่นละ

S-Class ใหม่ จะยังคงเป็น Luxury Sedan ขนาดใหญ่ ที่จะให้ความสบาย มั่นใจ ปลอดภัย
ในการขับขี่ และให้สัมผัสในการนั่งโดยสารอย่างสุนทรีย์ ผ่อนคลาย และสบายมากยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบกับ S-Class รุ่นเดิมๆ ก่อนหน้านั้นทั้งหมด!

ด้วยการปรับปรุงในด้านต่างๆ ทำให้รถรุ่นใหม่ มีแนวโน้มว่าประหยัดน้ำมันมากขึ้น แถม
ปล่อยมลพิษสู่โลกน้อยลง ขณะเดียวกัน การควบคุมรถยังแอบเพิ่มความคล่องตัวขึ้นกว่า
รถรุ่นก่อนอยู่นิดหน่อย โดยเแพาะการตอบสนองของพวงมาลัย ที่ปรับปรุงจากรุ่นเดิม
จนเริ่มตอบสนองได้เป็นธรรมชาติ ใกล้เคียงกับพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮโดรลิกยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ช่วงล่างก็ยังคงเน้นความนุ่มที่หนักแน่น เอาไว้เฉกเช่น S-Class รุ่นก่อน
และนั่นช่วยรักษาบุคลิกในการขับขี่ แบบ S-Class คันใหญ่ ที่หลายคนถูกใจเอาไว้ ได้

อีกทั้ง คราวนี้ Mercedes-Benz อัดออพชัน และเทคโนโลยี ให้ S-Class ใหม่ จน
ท่วมคันรถและมันก็ทำให้รถมีการตอบสนองในด้านต่างๆ ที่ดีขึ้นชัดเจน เพียงแต่ว่า ถ้าให้
ผมลองประเมินคร่าวๆ แบบไม่ต้องใช้มาตรฐานใดๆ นอกจากมาตรฐานใจของผมเอง รถ
รุ่นใหม่น่าจะดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมราวๆ 20-30% ในด้านการออกแบบ ความสบายในการขับขี่
หรือการโดยสารบนเบาะหลัง (ประเด็นหลังนี่ สำคัญมาก เพราะเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป
ไม่มากแต่มันทำให้บรรยากาศด้านหลัง น่านั่งขึ้นอีก จน เบียด Lexus LS460 L ขึ้นนำได้
แม้จะเพียงเฉียดฉิวก็ตามที มันเป็น S-Class ที่เอาใจลูกค้าทั่วโลกมากขึ้น ชัดเจน

แต่สารพัดออพชันที่เพิ่มเข้ามา ลูกค้าที่ซื้อไป ก็ต้องศึกษาและเรียนรู้วิธีการใช้งานเพิ่มขึ้น
ตามไปด้วยเช่นกัน เพราะบางระบบ การเข้าถึงเมนูที่ต้องการเลือกใช้งานภายในรถ ก็ยัง
ต้องใช้วิธีการ “เดาวิธีคิดและตรรกะ” ของคนสร้างรถอยู่บ้าง เช่นการใช้งาน Remote
Control สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ที่ยังสามารถปรับปรุงให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ได้มากกว่านี้
ยิ่งขึ้นอีก (Just a little bit more user friendly remote control please!)

อีกทั้งการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้เข้ามาในรถ เยอะมากขนาดนี้ ก็แอบชวนให้กังวลอยู่บ้างว่า
สำหรับลูกค้าที่ต้องการจะครอบครองรถรุ่นนี้ไว้ เกินกว่า 10 ปีขึ้นไป ความชำนาญของ
ช่างซ่อมบำรุง ทั้งในศูนย์บริการ หรือตามอู่ทั่วไป จะรองรับงานบริการ S-Class รุ่นนี้
ได้ดีแค่ไหน ยังคงเป็นคำถามที่ยังต้องการคำตอบในระยะยาวกันอยู่ดี

นอกจากนี้ ถ้ายังพอจะมีเวลาทัน ก่อนจะนำ S300 Hybrid ออกสู่ตลาด ถ้าสามารถปรับปรุง
การตอบสนองของแป้นเบรก ให้ Linear เทียบเท่ากับ พี่น้องในตระกูลรุ่นอื่นๆ ได้ จะดีมาก
เพราะแป้นเบรก ตอบสนองได้ “ไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร และเป็นเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ที่มี
อาการ แป้นเบรกแข็ง ทื่อไปหน่อย” เพราะ S500 , S400 Hybrid หรือ S350 BlueTEC
Diesel Turbo แป้นเบรก ตอบสนองได้เนียน และมั่นใจดีพอแล้วสำหรับรถระดับนี้

กว่าจะมาถึงบ้านเรา อีกนานแค่ไหน? แล้วมันคุ้มที่จะรอไหมละ?

ถ้าคุณรีบใช้รถ ตอนนี้ S-Class รุ่นเดิม น่าจะยังพอมีเหลือให้จับจองกันอยู่บ้าง แต่ก็เริ่ม
น้อยลงเต็มทีแล้ว โอกาสนี้ ไปต่อรองกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการกันเอาเองนะครับ

แต่ถ้าไม่รีบ รอเถอะครับ เพราะการเปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ จะเกิดขึ้นใน
ปีนี้ และเร็วกว่าที่ผมคิดไว้เสียด้วย มันจะมารอให้คุณได้จับจองกันอย่าง ฉับไวทันใจ
บรรดามหาเศรษฐีทั้งหลายแน่ๆ

แต่นั่นว่ากันเฉพาะ การเปิดรับจองนะครับ เพราะ กว่าที่รถจะมาถึงบ้านเราได้ น่าจะต้อง
รอคิวกันอีกพักใหญ่เลยละ…และอย่าหวังด้วยว่า พ่อค้าอิสระเจ้าไหน จะหารถมาให้คุณ
ได้เร็วก่อนใคร เพราะมันยากที่จะเป็นเช่นนั้น ณ วันที่บทความนี้เริ่มเผยแพร่ S-Class
รุ่นใหม่ จะยังไม่มีขายที่ไหนทั้งสิ้น จนกว่าจะถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2013 นี้ 
ก่อนจะเริ่มทะยอยเปิดตัวในตลาดอื่นๆทั่วโลก ทั้งในอเมริกาเหนือ เอเซีย จีน
ออสเตรเลีย ฯลฯ จะเริ่มต้นในไตรมาส 4 ปี 2013 ตามติดต่อเนื่องกันไปนี่แหละ

เมื่อถึงวันที่ S-Class ใหม่ พร้อมจำหน่ายในเมืองไทยอย่างเป็นทางการไปแล้วสักพักหนึ่ง
ผมก็คงจะต้องนำรถรุ่นนี้ มาทำบทความ Full Review กันอีกทีอย่างแน่นอน แต่อย่าเพิ่งมา
ถามว่า เมื่อไหร่ เพราะผมเองก็ตอบไม่ได้

มันอาจจะเป็น ปี 2014 หรือบางที อาจจะนานกว่านั้น?

——————————///——————————–

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
– ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Daimler AG. จำกัด และ บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อและอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทางในครั้งนี้

คุณ Pan Paitoonpong (Commander CHENG) และ คุณ Moo Teerapat A
สำหรับการเตรียมข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถ
————————————————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และภาพถ่ายทั้งหมด โดยผู้เขียน
ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายจากผู้ผลิต และภาพ Illustration ทั้งหมด
ในบทความนี้ เป็นของ Daimler AG.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
14 กรกฎาคม 2013

J!MMY
Copyright (c) 2013
Text and Pictures
All Illustration is Copyright of Daimler AG.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 14th,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!