เดือนพฤศจิกายน 2013 เป็นเดือนที่ผมจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชีวิตกันเลย
ว่า มีกิจกรรมบินไปลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เยอะมาก ชนิดต่อเนื่องกันมากที่สุด
ครั้งหนึ่งเท่าที่เคยเจอมา

ไม่แปลกครับ ทุกเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาที่ บริษัทรถยนต์
จะกระตุ้นตลาดด้วยการเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อรอรับยอดสั่งจอง
ในงาน Motor Expo ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงสิ้นเดือนเดียวกัน ต่อเนื่องจนถึงต้นเดือน
ธันวาคม ดังนั้น แทบทุกค่าย จึงจำเป็นต้องจัดกิจกรรม ทั้งงานเปิดตัว และงาน
ทดลองขับถึงต่างจังหวัด ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เพื่อแย่งชิงพื้นที่ข่าว สร้างการ
รับรู้ของสาธารณชน ก่อนที่ผู้บริโภค จะได้เห็น ได้ลองขับรถคันจริง และเซ็น
ใบจอง กันในงานดังกล่าว

แถมปีนี้ ยังเป็นปีที่มีงานแสดงรถยนต์ Tokyo Motor Show แทรกเข้ามาในช่วง
กลางเดือน ยิ่งทำให้นักข่าวหลายคน แทบไม่ได้อยู่บ้าน ถึงขั้นต้องแพ็คกระเป๋า
ใบเขื่อง เพื่อให้มีเสื้อผ้าใส่กันยาวต่อเนื่องติดกันถึง 2 สัปดาห์รวด โดยไม่ต้อง
แวะกลับบ้านซักผ้า ตากผ้า กันเลย

ท่ามกลางสมรภูมิการแย่งชิงคิวงานสื่อมวลชนสายรถยนต์ กันฝุ่นตลบในยามนี้
เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ หลายบริษัท จัดกิจกรรมทดลองรถ และเปิดตัวรถใหม่
ชนกันเอง หรือไม่ก็เหลื่อมล้ำวันเวลากัน ชนิดที่ยากจะสับหลีก บางค่าย จำเป็น
ต้องถึงขั้น อำนวยความสะดวกให้สื่อมวลชน หลายๆท่าน ที่ติดภาระกิจมากมาย

Ford คือผู้ผลิตที่พยายาม จัดสรรเวลา และบริหารจัดการตารางคิวของสื่อมวลชน
สายรถยนต์ ให้ลงตัวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่ละ พวกเขาก็เป็นหนึ่งใน
ค่ายรถยนต์ ที่จำเป็นจะต้องจัดงานทดลองขับรถยนต์ รุ่นใหม่ล่าสุด ในช่วงนี้

รถยนต์รุ่นที่ หลายๆคน รออยากลองขับ หลังได้ยินกิตติศัพท์ความเจ๋งของ
ขุมพลังประจำกายมาช้านาน

ผมเชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายคน ที่ติดตามข่าวสารถของ Fiesta Minorchange มาตลอด
ก็คงรอกันอยู่ว่า เมื่อไหร่ Ford Sales Thailand จะเลิกเอารถออกวิ่งทดสอบ แบบ
ไม่มีการพรางตัว ทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อสร้างกระแสความสนใจ ให้ผู้คนถ่ายรูปไปโพสต์
ตาม Webboard หรือ Social Media เช่น Facebook แล้วเริ่มประกอบ รถยนต์
รุ่นนี้ออกขายพวกเขาเสียที รอเป็นเจ้าของกันจะแย่อยู่แล้ว

11 พฤศจิกายน 2013 นี่ละครับ วันที่ Ford เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสายรถยนต์
รวมทั้งผม ได้สัมผัสกับประสบการณ์หลังพวงมาลัยของ Fiesta Minorchange
ที่วางขุมพลังใหม่ EcoBoost 1.0 ลิตร 125 แรงม้า (PS) อย่างที่รอคอยกันเสียที

อย่างไรก็ตาม การทดลองขับวันนี้ เป็นเพียงแค่การลองขับแบบ ที่ผู้ผลิตรถยนต์
นิยมจัดกัน คือ ขับเรียงแถวยาวต่อกันเป็น Caravan ดังนั้น แม้เส้นทางทั้งหมด
มีความยาวประมาณ 200 กิโลเมตร และทางผู้จัด ก็พยายามให้ทุกคนได้ลองขับ
ทั้ง ตัวถัง Sedan กับ Hatchback กระนั้น โอกาสที่จะทดลองประสิทธิภาพกัน
ตามใจต้องการ โอกาสที่จะทดลองความประหยัดน้ำมัน ขับกันยาวๆ ต่อเนื่อง
หรือลองอัตราเร่ง ก็อาจจะทำได้บ้าง แต่ไม่มากนัก จึงไม่ต้องคาดหวังตัวเลข
ใดๆจากบทความนี้ ทั้งสิ้น

เพราะสิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อจากนี้ จึงเป็นเพียงแค่ สัมผัสในเบื้องต้น เป็น
ครั้งแรก เท่าที่โอกาส พึงอำนวย เพื่อที่จะได้รู้ว่า การปรับปรุง Fiesta ใหม่
ให้ดีขึ้นนั้น มันจะดีอย่างที่ทีมวิศวกรชาวต่างชาติ คาดหวังเอาไว้หรือเปล่า?

Fiesta ถือเป็นรถยนต์ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ Ford ให้ดูทันสมัย ใน
สายตาของคนทั่วโลก รวมทั้งลูกค้าชาวไทย และเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่มีกลุ่ม
อายุน้อยลง นับตั้งแต่รุ่นปัจจุบัน เปิดตัวสู่ตลาดโลก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2008
และเปิดตัวในบ้านเรา เมื่อเดือนกันยายน 2010 Fiesta กลายเป็นรถยนต์ขายดี
อันดับ 2 จากยอดขายของ Ford ทั่วโลก รองจาก Focus

ในเมืองไทย Fiesta ทำยอดขายสะสมในปี 2010 ได้ 4,832 คัน และเพิ่มขึ้นเป็น
17,697 คัน ในปี 2011 ก่อนจะพุ่งสูงสุดในปี 2012 ด้วยตัวเลข 28,645 คัน ล่าสุด
ในปี 2013 จนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดรวมกลุ่มรถยนต์นั่งขนาด
เล็ก B-Segment ในบ้านเรา จะซบเซา แต่ Fiesta ก้ยังทำยอดขายสะสมได้สูง
ถึง 13,587 คัน ส่วนแบ่งการตลาด เคยขึ้นไปถึง 10% แต่ด้วยการแข่งขันรุนแรง
ในปัจจุบัน จึงลงมาอยู่ที่ 6%

ถ้าวัดตามสัดส่นวยอดขายรถยนต์ B-Segment ในเมืงไทยนั้น อัตราส่วนระหว่าง
ตัวถัง Sedan และ Hatchback 5 ประตู จะอยู่ที่ 70 : 30 แต่สำหระบ Fiesta แล้ว
ตัวเลขจะกลับกัน สัดส่วนยอดขายจะอยู่ที่ Sedan 20% แต่ Hatchback 80%
อีกทั้งกว่า 70% ของยอดขาย Fiesta ในปี 2012 เป็นรุ่น Hatchback 1.6 Sport
และ 1.5 ลิตร ทั้งหมดนี้ คือตัวเลขที่ช่วยให้เราได้รู้ว่า Ford Fiesta ประสบความ
สำเร็จในเมืองไทย ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ดังนั้น เมื่อทำตลาดมาจนถึงปี 2013 ย่างเข้าสู่ปี 2014 การกระตุ้นตลาดด้วยการ
ปรับโฉมใหญ่ แบบ Minorchange จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพียงแต่คราวนี้
รายละเอียดหลายๆอย่าง ถูกยกระดับให้ดีขึ้น ไปพร้อมๆกับ ทางเลือกขุมพลัง
ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ที่แรงขึ้น แต่เน้นความประหยัดมากขึ้นควบคู่กัน

Andrew Collin ผู้จัดการฝ่ายออกแบบตัวถังภายนอก Ford Asia Pacific เล่าว่า
“ความท้าทายของการปรับโฉม Fiesta Minorchange ก็คือ การปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้น
แต่ยังต้องรักษาจุดเด่นด้านงานออกแบบเส้นสายอันโฉบเฉี่ยวทั้งคัน ควบคู่ไปกับการ
เพิ่มบุคลิกจากรถยนต์ระดับ Premium มาผสมผสานเข้าด้วยกัน”

ความเปลี่ยนแปลงสำคัญ อยู่ที่การออกแบบ ฝากระโปงหน้า กันชนหน้า ชุดไฟหน้า และ
กระจังหน้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมด รวมทั้งกระจังหน้าแบบ โครเมียม ซี่นอน สัญลักษณ์ Ford
ถูกย้ายมาอยู่บนชุดกันชนหน้า เหนือกระจังหน้า เพื่อให้ตัวรถมีความ Premium ยิ่งกว่าเดิม

ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าแบบใหม่ ถูกกำหนดให้สามารถใช้งานรวมกันได้ ทั้งรุ่น Hatchback
5 ประตู และ Sedan 4 ประตู เช่นเดียวกับ งานออกแบบกระจกมองข้างใหม่ ไฟท้ายใหม่
จนถึง สปอยเลอร์ด้านหลัง เหนือกระจกบังลมหลัง ชุดใหม่ และล้ออัลลอย ลาย 15 ก้าน
Multi-Spoke ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง Continental ขนาด 195/50 R16

ส่วนรุ่น Sedan นอกเหนือจากชิ้นส่วนด้านหน้าใหม่ ทั้งหมด ที่ใช้ร่วมกับรุ่น Hatchback แล้ว
ชุดไฟท้ายยังถูกออกแบบให้ยาวขึ้นกว่าเดิม ฝากระโปรงหลัง พร้อมครีบท้าย และเปลือกกันชน
ด้านหลังแบบใหม่ เน้นรายละเอียดการตกแต่งมากขึ้น มีแถบโครเมียมประดับ เพื่อช่วยทำให้
บั้นท้ายดูกว้างขึ้น ไม่ได้ดูตีบหรือแคบอย่างที่เป็น

ภายในห้องโดยสาร ถูกปรับปรุงใหม่ จากเดิมเล็กน้อย รุ่น Sedan จะตกแต่ง
ด้วยโทนสีเบจ ขณะที่รุ่น Hatchback จะตกแต่งด้วย โทนสีดำ

เบาะนั่งคู่หน้า ดูเหมือนจะถูกยกระดับลายผ้าเบาะ และหนังหุ้มเบาะ ให้
ดูดีคล้ายรถยนต์จากอังกฤษ แต่ ด้วยโครงสร้างเบาะหน้า ซึ่งยังคงไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงใดๆ ทำให้ยังคงนั่งไม่สบาย พนักพิงไม่รองรับบริเวณไหล่
ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่ง แม้จะยาว แต่ออกแบบยังไม่ลงตัว ทำให้ยัง
รองรับช่วงขาไม่สบายเท่าที่ควร ยิ่งปีกข้างที่ยื่นออกมา เพื่อรั้งตัวผู้ขับขี่
และผู้โดยสาร ไม่ให้เอียงออกทางด้านข้าง ขณะที่รถกำลังเข้าโค้ง แต่
เมื่อมารวมอยู่ด้วยกันกับเบาะนั่งแบบนี้แล้ว ทำให้ผมไม่ได้สัมผัสถึง
ความสบายในการเดินทางเท่าที่ควร

ส่วนพื้นที่โดยสารด้านหลัง รวมทั้งการเข้า – ออก จากเบาะคู่หลัง ยังคง
เหมือนเดิม คือ ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับคู่แข่ง และแน่นอนว่า
เบาะนั่งด้านหลัง และพื้นที่เหนือศีรษะ ก็ยังคงไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิม

พื้นที่นั่งด้านหลังยังค่อนข้างน้อยไป เมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน
พนักศีรษะด้านหลัง รูปตัว L คว่ำ ต้องยกขึ้นมาใช้งาน ขอบด้านล่างจึงจะ
ไม่ทิ่มตำต้นคอ ในรถทั้ง 2 รุ่นที่ผมลองขับ ไม่มีพนักวางแขนด้านหลัง
มาให้แต่อย่างใด และกระจกหน้าต่าง ก็ไม่สามารถเลื่อนลงได้จนสุด
ขอบบานประตูคู่หลัง

แต่ต้องยอมรับว่า การปรับปรุงวัสดุ หุ้มเบาะ ที่ดีขึ้น ทำให้เมื่อใช้สายตา
ดูโดยผิวเผิน จะเข้าใจได้ว่า ห้องโดยสาร ถูกปรับปรุงให้มีคุณภาพและ
พื้นผิวสัมผัสของวัสดุดีขึ้นเล็กน้อย

แผงหน้าปัด หน้าตาเหมือนเดิม เพียงแต่แผงควบคุมตรงกลาง เปลี่ยนมาใช้
พลาสติกสีดำ ตกแต่ง แถมยังมีไฟ Ambient Light ในยามค่ำคืน เพื่อสร้าง
บรรยากาศในการเดินทางให้ Cozy ขึ้น

ในรุ่น Sedan ตกแต่งด้วยสีทูโทน เพื่อให้สว่าง และดูดีมาก แต่รุ่น Hatchback
จะใช้โทนสี เทา กับ ดำ เหมือนเช่นเดิม ตามบุคลิกอารมณ์สปอร์ต ส่วนแสง
ไฟส่องสว่างบนมาตรวัด และปุ่มควบคุมชุดเครื่องเสียง เปลี่ยนเป็นโทนสี
Ice Blue ซึ่งจะกลายเป็นสีใหม่ที่ Ford จะทะยอยนำมาใช้กับรถยนต์ของตน
ทุกรุ่นทุกคัน

Ford พยายาม จะใส่อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ด้วย
เหตุผลที่พวกเขามองว่า ลูกค้าส่วนใหญ่สมัยนี้ ต้องการเข้าถึงการสื่อสารกับ
ผู้คนรอบตัว ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ขณะขับรถยนต์ ดังนั้น ทำอย่างไร จึงจะ
ช่วยให้ทุกคน สามารถสื่อสารได้ ใช้โทรศัพท์ Smart Phone ได้ อย่างปลอดภัย
แม้ในขณะขับขี่อยู่บนท้องถนน

ชุดเครื่องเสียงของ Fiesta ใหม่ จะใช้เครื่องเสียงหน้าตาเหมือนวิทยุชุดเดิม
ที่เคยประจำการอยุ่ในรุ่นก่อนก็จริงอยู่ แต่ความพิเศษของมันจะอยู่ตรงที่ Ford
ได้ติดตั้งระบบ Ford Sync By Microsoft เข้าไปด้วย เป็นรุ่นที่ 2 ในเมืองไทย
ต่อจาก Focus (ทุกวันนี้ มีผู้ใช้งานกว่า 7 ล้านคัน ทั่วโลก) ทำให้ผู้ขับขี่สามารถ
เชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับเครื่องเสียงโดยใช้สาย USB หรือ Blueetooth และสั่ง
งานด้วยเสียงได้อีกด้วย เช่น การเลือกเพลงที่จะเล่นโดยพูดชื่อเพลงหรือชื่อ
ศิลปิน การโทรศัพท์หาเพื่อน ขณะที่กำลังขับรถ หรือการตอบกลับข้อความ
ที่ถูกส่งเข้ามาในโทรศัพท์ของคุณ อีกทั้งคราวนี้ สามารถ Pair โทรศัพท์ ได้
มากถึง 12 เครื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อม Rain Sensor และ
Sensor กะระยะขณะถอยจอด แสดงผลบนหน้าจอมอนิเตอร์ตรงกลาง
มาให้จากโรงงานอีกด้วย

ไฮไลต์สำคัญ ของการปรับโฉม Minorchange ครั้งนี้ คือการปลดเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร
ทิ้งไป แล้วแทนที่้ด้วย เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ในชื่อ 1.0 EcoBoost

เป็นเครืองยนต์บล็อก 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 998 ซีซี พ่วง Turbocharger

ขุมพลัง 1.0 EcoBoost ถือเป็นเครื่องยนต์แรกของ Ford ที่มี 3 กระบอกสูบ ได้รับการ
ออกแบบขึ้นที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Ford ที่เมืองอาเชนและเมืองเมอร์เคนิช
ประเทศเยอรมนี และเมืองดันตัน ประเทศอังกฤษ ทีมวิศวกรของฟอร์ดได้ใช้เทคนิคใหม่
เพื่อเอาชนะปัญหาการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่มีจำนวนกระบอกสูบเป็นเลขคี่  

ต้องท้าวความกลับไปสักหน่อยว่า ในอดีต การลดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ขนาดเล็ก
ทำได้ด้วยการติดตั้งเพลาถ่วงดุลภายในเครื่องยนต์เพื่อลดอาการสั่น แต่เพลาถ่วงดุลนั้นมี
น้ำหนักมาก ราคาแพง และทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น

ทีมงานของ Ford จึงเลือกแก้ปัญหาด้วยการหันมาปรับ FlyWheel (ล้อช่วยแรง) และรอก
ให้อยู่ในตำแหน่งที่ ‘ไม่สมดุล’ เพื่อชดเชยน้ำหนักของเครื่องยนต์ในทิศทางที่เหมาะสม
ช่วยกระจายแรงสั่นสะเทือนไปในทิศทางที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อตัวรถมากนัก และ
ออกแบบยางรองแท่นเครื่องให้ดูดซับแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ มากที่สุด เท่าที่
จะทำได้

ผลลัพธ์ก็คือ ขุมพลัง 1.0 EcoBoost กลายเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ทำงานได้อย่างราบรื่น
และเงียบที่สุดในจำนวนเครื่องยนต์ระดับโลกทั้งหมดของ Ford หรือแทบจะเรียกได้ว่า
เครื่องยนต์รุ่นนี้ทำงานโดยปราศจากเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนใดๆ ขณะจอด
ติดเครื่องอยู่นิ่งๆ 


 
นวัตกรรมที่น่าสนใจอื่นๆ ในเครื่องยนต์  EcoBoost 1.0 ลิตร มีดังนี้
–  Turbocharger ขนาดเล็กความเร็วสูง ใบพัดเทอร์ไบน์ หมุนได้เร็วถึง 248,000 รอบ/นาที
–  ระบบหล่อเย็นแบบแยกส่วน แบ่งน้ำยาหล่อเย็นให้ไหลผ่าน 2 ช่องทาง คือทางเสื้อสูบและ
    ฝาสูบ ทำให้เครื่องยนต์อุ่นเร็วขึ้น ส่งผลให้รถประหยัดน้ำมันและลดการปล่อยมลภาวะ
    ช่วยจัดการอุณหภูมิของเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

–  ปั๊มน้ำมันแบบแปรผัน ปรับจ่ายน้ำมันหล่อลื่นให้มีปริมาณพอเหมาะกับความเร็วและจังหวะ
   การทำงานของเครื่องยนต์ จึงช่วยประหยัดพลังงานได้ด้วยการจ่ายน้ำมันเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
   ต่างจากเครื่องยนต์ทั่วไปที่ปั๊มจะจ่ายน้ำมันตามปริมาณที่กำหนดไว้แบบตายตัว ปั๊มแบบ
   แปรผันจึงช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ทำให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น

–  การชดเชยเพลาข้อเหวี่ยง – ลูกปืนเพลาข้อเหวี่ยงได้รับการออกแบบมาให้อยู่ในตำแหน่ง
   ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดจึงช่วยลดแรงเสียดทานของเครื่องยนต์และทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่ารถ
    ตอบสนองต่อการสั่งงานได้ดีขึ้น อัตราเร่งดี และให้กำลังแรงขึ้น

–  สายพานเครื่องยนต์หลักจุ่มในน้ำมัน ช่วยลดการเสียดสีและทำให้มีเสียงรบกวนน้อยลง
   เมื่อเทียบกับสายพานแบบแห้งๆ นอกจากนี้ สายพานทั้งหมดถูกหุ้มไว้ภายในเครื่องยนต์
   ช่วยลดเสียงรบกวนได้อีกชั้นหนึ่ง ผู้ขับขี่จึงสัมผัสได้ถึงการทำงานที่เงียบสงบ ผู้ขับขี่
   ไม่ต้องเปลี่ยนสายพานตลอดอายุการใช้งานของรถ ช่วยลดค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาลงได้

–  หม้อพักไอเสียแบบไส้วนในฝาสูบ การหล่อท่อร่วมไอเสียให้เป็นชิ้นเดียวกับฝาสูบ
    แทนที่จะเชื่อมต่อกันแบบเครื่องยนต์ทั่วไปช่วยลดน้ำหนักรถลงได้เกือบ 1 กิโลกรัม
    และยังช่วยปรับสัดส่วนการใช้น้ำมันต่อปริมาณอากาศให้อยู่ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
    เครื่องยนต์จึงอุ่นเครื่องได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนช่วยประหยัดน้ำมันและทำให้
    ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงการตอบสนองที่ดีเยี่ยมของเครื่องยนต์

–  ระบบแท่นเครื่องยนต์ – วัสดุที่ทำจากเหล็กและยางซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อเครื่องยนต์
   เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวถังรถนั้นเป็นวัสดุที่ต้องผ่านการจดทะเบียนและได้รับสิทธิบัตร
   วัสดุชุดนี้ทำหน้าที่ปกป้องโครงสร้างของรถจากแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ ทำให้
   ผู้ขับขี่รู้สึกว่ารถขับได้ราบรื่นทุกระดับความเร็ว  

นอกจากนี้ วิศวกรของ Ford ยังพยายามทำให้เครื่องยนต์ EcoBoost 1.0 ลิตร ทำงานได้
เงียบที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้เหล็กหล่อที่มี
ความแข็งแกร่งเป็นวัสดุในการผลิตเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วและใช้เทคนิคการติดตั้ง
ชุดแท่นเครื่องยนต์ เข้ากับตัวถังรถล้วนเพื่อช่วยดูดซับพลังเสียง นอกจากการจุ่มสายพาน
เครื่องยนต์ที่มีลักษณะเป็นซี่ลงในน้ำมันแล้ว การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์คบคุมการทำงาน
ของหัวฉีดแต่ละหัวแบบแยกอิสระ และการใช้โฟมหุ้มเครื่องยนต์ ล้วนมีส่วนช่วยลดเสียง
รบกวนและการสั่นสะเทือนให้แก่ผู้ขับขี่

ผลจากการทำงานหนักของวิศวกร Ford ยุโรป ทำให้ ขุมพลัง 1.0 EcoBoost ได้รับรางวัล
‘เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีระดับนานาชาติ’ Engine of the Year Award ในปีนี้ โดยได้
คะแนนโหวตสูงสุดเท่าที่เคยมีมา แถมยังครองรางวัล ‘เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมขนาดไม่เกิน
1.0 ลิตร’ จากการลงคะแนนของคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้สื่อข่าวสายยานยนต์
87 คนจาก 35 ประเทศทั่วโลก ทำให้ฟอร์ดเป็นบริษัทรถยนต์เพียง 1 ใน 3 แห่งของโลก
ที่คว้ารางวัลเดียวกันนี้ได้ถึง 2 ปีซ้อน ในประวัติศาสตร์ 15 ปีของการมอบรางวัลดังกล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น เครื่องยนต์ 1.0 EcoBoost ยังได้รับรางวัล International Paul
Pietsch Award 2013  สาขานวัตกรรมเทคโนโลยียอดเยี่ยมภายในงานประกาศรางวัล
Auto Motor und Sport Best Cars Awards จัดขึ้นโดยนิตยสารรถยนต์ในประเทศ
เยอรมนี ได้รับรางวัล Dewar Trophy จากราชยานยนต์สโมสร Royal Automobile
Club ในประเทศอังกฤษ และรางวัล Breakthrough Award จากนิตยสาร Popular
Mechanics ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

เครื่องยนต์ลูกนี้ มีจุดเด่นตรงที่ สามารถให้พละกำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ขนาด
1.6 ลิตร ทั่วๆไป ให้กำลังสูงสุด 125 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
170 นิวตันเมตร (17.32 กก.-ม.) ที่ 1,400 – 4,500 รอบ/นาที (แรงบิดสูงสุด มาแบบ
ต่อเนือง Flat Torque กันเลยทีเดียว) อีกทั้งยังทำอัตราสิ้นเปลืองได้ประหยัดมาก
ถึง 18.9 กิโลเมตร/ลิตร (ตามการทดสอบแบบ UNECE Combined Mode) และ
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ ต่ำมากเพียง 121 กรัม/กิโลเมตร พอกันกับเหล่า
รถยนต์ Eco Car 1.2 ลิตร ที่ประกอบขายกันในบ้านเรา

เครื่องยนต์ EcoBoost ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน ทั้งในเมือง Colongue เยอรมันี และ
ประเทศ โรมาเนีย ส่งมายังโรงงาน Auto Alliance Thailand (AAT) ให้ประกอบ
ลงไปใน Fiesta ใหม่

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ Power Shift แบบ Dual Clutch 
6 จังหวะ ลูกเดียวกับที่คุณจะพบได้ใน Ford Fiesta โฉมปัจจุบันนั่นแหละ แต่เมืองไทย
จะได้เป็นประเทศแรกในโลก ที่ได้ใช้เกียร์ลูกนี้กับเครื่องยนต์ EcoBoost 1.0 ลิตร

แล้วสมรรถนะของมันเป็นอย่างไรกันบ้าง?

แล้วสมรรถนะ การขับขี่ละ เป็นอย่างไร

บอกได้เลยว่า “แรง…เหนือความคาดหมาย!”

ลืมภาพความทรงจำเก่าๆ ที่คุณเคยมีต่อเครื่องยนต์ 1.0 – 1.2 ลิตร เดิมๆ ทิ้งลงถังขยะ
ในห้องครัวที่บ้านคุณไปได้เลย !!

เพราะทันทีที่คุณเหยียบคันเร่งออกตัว ไม่ว่า จะเหยียบแบบไล่น้ำหนักคันเร่งขึ้นไป
ช้าๆ หรือว่า กดคันเร่งเต็มมีดตีน ดังป้าก! อย่างฉับพลัน คุณจะพบกับแรงดึงในระดับ
ที่สร้างความประหลาดใจ ตั้งแต่ออกตัว จนถึงระดับ 120 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เข็มความเร็วไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่เครื่องยนต์เอง ก็ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้า
อ่อนระโหยโรยแรงให้ผู้ขับขี่พบเจอเลยแม้แต่นิดเดียว!

ตรงกันข้าม เครื่องยนต์ EcoBoost 1.0 ลิตร ยังคงอยู่ในสภาพพร้อมทำงาน แทบจะ
ตลอดเวลา ราวกับจะบอกคนขับด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ถ้าอยากให้ทำอะไร อยากได้ความแรงแค่ไหน ก็บอกมาได้นะ…เดี๋ยวจัดให้!!”

ช่วงออกตัว จนถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณจะสัมผัสได้ถึงการพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ด้วยแรงดึงที่พอกันกับ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร แต่ ถ้าคุณใช้ความเร็ว แถวๆ 80 กิโลเมตร/
ชั่วโมง แล้วมีเหตุให้ต้องแซงรถสิบล้อคันข้างหน้า ไม่ว่าจะเหยียบคันเร่งแบบจมมิด
พรวดเดียว หรือ ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักคันเร่งลงไป คุณจะสัมผัสได้ว่า ความแรงของรถคันนี้
มันน่าจะเปรียบเทียบเลยเถิดขึ้นไปถึงรถยนต์ระดับ 1.8 ลิตร เสียด้วยซ้ำ!!

สาบานเถอะ ผมไม่เคยเจอเครื่องยนต์ขนาดเล็กในพิกัด 1.0 ลิตร เครื่องใดก็ตามที่
ตอบสนองได้อย่างกระปรี้กระเปร่า น่าตื่นตาตื่นใจ ขนาดนี้มาก่อนในรถยนต์
ประกอบในประเทศระดับบ้านๆ ที่มีขายกันในบ้านเรา!!

จริงอยู่ว่า Skoda Yeti อาจจะเคยทำให้ผมเหวอมาแล้ว Skoda Fabia RS ก็เคย
สร้างเสียงกรีดร้อง อ้าปากค้าง มากกว่านี้พอสมควร แต่นั่นก็เป็นรถยนต์นำเข้า ความจุ
กระบอกสูบ ก็มากกว่ากัน 150 – 350 ซีซี แถมค่าตัว รวมภาษีนำเข้า ก็ยังเดินระดับ
1 ล้านบาท ไปอีกต่างหาก

ทว่า Fiesta EcoBoost 1.0 ลิตรคันนี้ ให้พละกำลังออกมา ไล่เลี่ยกันกับ เจ้าหมี
Yeti 1.2 ลิตร แต่มาในค่าตัวที่ถูกกว่ากันถึง ครึ่งหนึ่ง!

ยิ่งการเซ็ตคันเร่งมาให้ตอบสนองค่อนข้างไว (ตามลำพังของตัวมันเอง โดย
ยังไม่นับเรื่องเกียร์ รวมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย) ยิ่งช่วยเพิ่มความสนุกในการ
ขับขี่อยู่มาก

ในระหว่างที่ขบวนของเรา มุ่งหน้ากลับจาก ปางช้าง ที่ห้างฉัตร ตรงเข้าสู่ตัวเมือง
เชียงใหม่ ในช่วง ขุนตาล มี Nissan Teana J31 ปี 2007 คันหนึ่ง พยายาม
จะพุ่งเข้ามาตัดแทรกขบวนรถของเรา เข้ามาจ่อตูด Fiesta คันที่ผมขับอยู่ ไม่รู้ว่า
ทำด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่ ระหว่างแค่ อยากดูรถใหม่ หรืออยากรีบไป แต่ติดที่
ขบวนพวกเราซึ่งก็ใช้ความเร็วสูงเพื่อทำเวลากันอยู่เช่นเดียวกัน

อย่างที่หลายๆคนก็คงรู้กันดีครับว่า ผมเกลียดการขับรถจี้ตูดเป็นที่สุด ดังนั้น ผมจึง
ไม่ต้องทำอะไรมาก กับ Teana คันนั้น แค่ผมเหยียบคันเร่งลงไปราวๆ 60 – 70%
ความเร็วของรถ เกียร์ถูกตัดเปลี่ยนลงมายังเกียร์ 3 ก่อนจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปต่อเนื่อง
จนถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอหันไปดูกระจกมองหลังอีกที….

อ้าว! Teana สีขาวคันนั้น หายไป อยู่ไหนไม่รู้แล้ว!!

เฮ้ย การเร่งแซงระหว่างขับทางไกลนี่ มันแรงไม่ธรรมดาเลยนี่หว่า!

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายคนยังกังวลอยู่ นั่นคือ การใช่เกียร์อัตโนมัติแบบ
Power Shift Dual Clutch ลูกเดิม จะยังคงมีปัญหากวนใจตามมาเหมือน
เช่นที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ใน Fiesta แทบจะทุกคันหรือไม่?

คำตอบก็คือ จากที่ผมได้พบเจอมา การเปลี่ยนเกียร์ ราบรื่น และต่อเนื่อง
ดีมากในช่วงเกียร์ 2 3 4 จนถึงเกียร์สุดท้าย แต่สมองกลเกียร์ ยังแอบ
ทำงานช้าไปบ้าง ในบางช่วง โดยเฉพาะ ขณะที่ต้องการอัตราเร่งในภาวะ
จจุบันทันด่วน เช่นตอนแซงรถคันข้างหน้า ลักษณะคาบลูกคาบดอก ถ้า
กระทืบคันเร่งจมมิด เต็มตีน เกียร์ยังคงแสดงอาการ เอ๋อ อยู่นิดๆ ราวๆ
0.5 – 1 วินาที ก่อนที่จะตัดเปลี่ยนเกียร์ลงมาให้ ตามต้องการ

และในเกียร์ S แม้ว่าผมจะชะลอรถลงมาจนเหลือแถวๆ 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่เกียร์ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนลงมาให้เป็นเกียร์ 1 หรือ 2 ทั้งที่เข้าเกียร์ S อยู่
ทำให้ผมค้องแอบลุ้นในขณะขับขึ้นเขาสูงลาดชันแบบเขาพับผ้า อยู่หลาย
จังหวะอยู่เหมือนกัน

ดังนั้น ถ้าพูดกันตรงๆคือ เครื่องยนต์ และคันเร่งทำหน้าที่ได้ดีเลิศสุดแสน
ประเสิรฐศรี แต่เกียร์ยังเป็นลูกเดิม ถึงแม้จะมีการอัพเดท Software ของ
สมองกลเกียร์มาแล้ว แต่ผมยังแอบพบอาการกระตุกอยู่หน่อยๆ ในช่วง
ออกตัวจากเกียร์ 1 และเป็นแค่ 1-2 ครั้ง แม้จะยังไม่เจอในช่วงจากเกียร์ 1
ไปเกียร์ 2 แต่ผมเชื่อว่า ถ้าใช้งานไปสักพัก เกียร์ลูกนี้ อาจจะเริ่มอยาก
เต้นเบรกแดนซ์ ออกอาการกระตุกให้เห็นกันได้อยู่

อีกประการหนึ่งที่ต้องขอ ติติง ก็คือ คันเกียร์ใน โหมด บวก-ลบ ยกมาจาก
Focus ใหม่ทั้งดุ้น การขับขี่บนเส้นทางลัดเลาะไปบนเขา แบบพับผ้า ช่วย
ยืนยันความเห็นของผมว่า การติดตั้งสวิชต์ บวก-ลบ ไว้ข้างคันเกียร์ นั้น
ไม่ใช่เรื่องที่ดีรเลย เพราะการควบคุมรถไปด้วย แล้วต้อง ละมือออกมาจาก
พวงมาลัย มากดปุ่มเปลี่ยนเกียร์ แทนที่จะขยับคันเกียร์ บอกตรงๆว่า มัน
น่ารำคาญมาก และบางที ก็ไม่ทันใจ ไม่ทันความต้องการ แทนที่จะทำแบบ
แป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัยไปตั้งแต่แรก ก็สิ้นเรื่อง นั่นจะดีกว่า

ส่วนด้านอื่นๆ Ford บอกว่า พวกเขาได้ปรับปรุงการตอบสนองขณะขับขี่ให้ ดีขึ้น
เพื่อให้รถขับสนุกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เสียงรบกวนจากภายนอก ที่สัมผัสได้ชัด
ว่าลดน้อยลง ในทุกย่านความเร็ว อย่างชัดเจน เสียงในรถจะเงียบลง กว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อทเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS (Electromic
Power-Assisted Steering รัศมีวงเลี้ยว 10.1 เมตร ช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้น 3 % 
ให้สัมผัสในช่วงความเร็วต่ำ ที่ เบาในลักษณะ Artificial Feeling แต่ ยังคงรักษาความ
แม่นยำ และหนักแน่นกำลังดี ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง การบังคับเลี้ยวในทุกย่าน
ความเร็ว ถือว่า ทำได้ดี สมตัว ต้องการเพิ่มวงเลี้ยวมากขึ้น ก็แค่เติมพวงมาลัยไปทาง
ซ้าย หรือขวาเยอะขึ้น รถก็จะเลี้ยวลัดเลาะไปตามทางคดเคี้ยวได้ดังใจต้องการ แต่
ที่ต้องติก็คือ ยังปรับได้แค่ระดับสูง – ต่ำ เท่านั้น ยังไม่สามารถ ดึงใกล้ – ห่าง ออก
จากตัว แบบ telescopic ได้แต่อย่างใด

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลัง เป็นแบบคานบิด
Twisted Beam เหล็กกันโคลงหน้า หนา 22 มิลลิเมตร มีการปรับปรุงช็อกอัพให้ดีขึ้น
ดังนั้น การซับแรงสะเทือน จึงดีขึ้นจากเดิมนิดหน่อย ในทุกรอยต่อถนนและหลุมบ่อ
ที่เกิดขึ้นบนถนนยางมะตอย หรือถนนปูนซีเมนต์ อีกทั้งยังให้การทรงตัวขณะขับขี่
เดินทางไกล ด้วยความเร็วสูงถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ นิ่งดี เหมือนเช่นเดิม

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock
Braking Sysgtem) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force
Distribution) ระบบควบคุมการทรงตัวของรถ ESP (Electronic Stability
Program) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist) ระบบ
ชดเชย น้ำหนักบนพวงมาลัย (Pull-Drift Compensation) และ มีระบบ Hill 
Launch Assist ที่จะยังรักษาแรงดันน้ำมันเบรกไว้ 3 วินาทีขณะปล่อยแป้นเบรก
บนทางลาดชัน ทำงานได้ทั้งตอนขับขึ้น หรือถอนถอยหลังลงจากเนินลาดชัน

ระบบเบรก ทำงานได้ดีมาก และหน่วงความเร็วลงได้ดังใจ ตามต้องการ
แม้จะเป็นภาวะที่ต้องเบรกกระทันหันก็ตาม แต่ ขอตั้งข้อสังเกตว่าใน
ขณะที่ผมถอนเท้าจากแป้นเบรก ในจังหวะที่ดีดกลับมา จะมีเสียง
ของการทำงานในระบบไฮโดรลิก ที่ดังเข้ามาในห้องโดยสารมาก
เกินไปสักหน่อย แค่นั้น

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
แรงกว่าที่คาด ไม่อืดอย่างที่คิด แต่อย่าเพิ่งมาถามเรื่องอัตราสิ้นเปลืองในตอนนี้!

– เมื่อไหร่บริษัทรถยนต์ ถึงจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาให้คนไทยได้ใช้สักที?

ผมมักได้ยินผู้คนมากมาย ถามคำถามข้างบนนี้ให้ฟังมาตลอดชีวิตแล้ว ผมเบื่อ
ที่จะตอบคำถามนี้แทนแต่ละค่ายรถยนต์เต็มทนแล้ว เพราะรู้ทั้งรู้ว่า แต่ละบริษัท
มีข้อจำกัดมากมายหลายประการ กว่าจะนำแต่ละเทคโนโลยีมาให้คนไทยได้
เป็นเจ้าของกัน  

ในพักหลังมานี้ หลายๆค่ายๆ พยายามล้างภาพเก่าๆ เหล่านั้น ด้วยการเตรียมทะยอย
นำเทคโนโลยียานยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลาดให้คนไทยได้จับจองเป็นเจ้าของ
กันมากขึ้นเรื่อยๆ

Ford ก็เป็นอีกค่ายรถยนต์หนึ่ง ที่เดินตามแนวทางเดียวกันนี้ ด้วยการนำเครื่องยนต์
EcoBoost 1.0 ลิตร มาสู่ตลาดเมืองไทยกันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หลายคนที่เคยถามไถ่
ถึงการมาถึงของเครื่องยนต์บล็อกนี้ ก็คงจะเลิกคลางแคลงใจกันไปได้แล้วเสียที

แต่ถ้าใครเริ่มเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาในใจ ลองอ่านดูคำตอบ FAQ ที่ผมเจอ
มาตลอดช่วง 2-3 วันมานี้ กันสักหน่อยดีไหมครับ?

-“แล้วสมรรถนะเป็นอย่างไร เทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ หรือคู่แข่ง เป็นอย่างไรบ้าง?”

หลังลงจากพวงมาลัย ผมมั่นใจที่จะบอกกับทุกคนว่า เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร บล็อกนี้
มันดีไม่ธรรมดาจริงๆ

ขุมพลัง EcoBoost 1.0 ลิตร คืออีกตัวอย่างหนึ่ง ของความพยายามในการพัฒนา
เครื่องยนต์ ให้มีทั้งความประหยัดและพละกำลังเพียงพอต่อการใช้งาน รวมไว้
เข้าด้วยกัน ด้วยแนวทางการใช้ระบบ ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรง Direct Injection
พ่วง Turbocharger ขนาดเล็ก และระบบแปรผันวาล์ว Ti-VCT รวมทั้งยัง
ปรับปรุงชิ้นส่วนกลไกต่างๆให้เพิ่มสมรรถนะ และลดอัตราสิ้นเปลืองลงได้
ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

ใครที่ชื่นชอบ หรือศึกษาเรื่องรถยนต์ ถ้าเป็นไปได้ ควรหาโอกาสทดลองขับ
รถยนต์รุ่นนี้ดูสักครั้ง เพราะนี่คือประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่คุณควรจะได้สัมผัส

ใครที่ไม่เชื่อว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เครื่องยนต์เดียว มันจะแรงด้วย
ประหยัดไปด้วยได้อย่างไร ยิ่งควรไปลองขับสักครั้ง ผมมั่นใจมากๆว่า รถคันนี้
จะเปลี่ยนความคิดของคุณไปโดยสิ้นเชิง!

แต่ถ้าคุณยังสงสัยว่า แล้ว Fiesta ใหม่ ปรับปรุงจนน่าใช้ขึ้นมากน้อยแค่ไหน?

คำตอบก็คือ มันยังมีทั้งจุดดี และจุดด้อย ให้คุณได้ชื่นชมพร้อมกับตำหนิ
ไปด้วยกันอยู่เช่นเดิม เบาะนั่งยังคงไม่สบายในการเดินทางไกลอยู่ดี ส่วน
ความทนทานของเครื่องยนต์ และอาการรวนของเกียร์ อัตโนมัติ Dual
Clutch PowerShift ที่ถูกอัพเกรด Software ใหม่ เป็นเวอร์ชันปัจจุบันสุด
รวมทั้งคำถามที่ว่า เมื่อไหร่จะปรับปรุงศูนย์บริการให้ดีขึ้นซะที ยังคงเป็น
คำถามที่รอการพิสูจน์ในระยะยาว

อย่างที่บอกละครับ คราวนี้ผมมีโอกาสลองขับในระยะทางไกลๆก็จริงอยู่
แต่แทบไม่มีจังหวะ ในการทดลองอัตราเร่ง ยิ่งเรื่องอัตราสิ้นเปลือง แทบ
ไม่ต้องพูดถึง ขับกันเป็นขบวนคาราวาน ใครเขาจะให้คุณลองขับประหยัด
กันละ? ผมคนนึงละที่จะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด!

เราอาจต้องรอกันจนหลังจากที่ Ford เปิดตัว Fiesta 1.0 EcoBoost ในงาน
Motor Expo วันที่ 28 พฤศจิกายน 2013 (พร้อมกับการประกาศราคาขายกัน
ในงาน ซึ่งผมคาดการณ์เป็นส่วนตัวว่า จะอยู่ในช่วง 700,000 – 789,000 บาท )

เราอาจต้องรอจนกว่าผมจะหาโอกาส ยืมรถยนต์รุ่นนี้มาลอง ซึ่งอาจต้องรอกัน
นานสักหน่อย มีต้นปี 2014 ขึ้นไป

อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครยังทะเล่อทะล่า มาถามเรื่องอัตราสิ้นเปลือง ถามหาอัตราเร่ง
ถามราคาขายหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ Fiesta Minorchange รุ่นนี้ ที่ผมได้เขียน
บอกคุณผู้อ่านข้างบนนี้ทั้งหมด กันอีกละก็

ผมคงได้แต่บอกว่า….โปรดอ่านหนังสือ ปีนึง เกิน 7 บรรทัด ด้วยครับ!!!!!!

————————-///—————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to :
ทีมวิศวกรจาก Ford Motor Company / Ford Asia Pacific & Africa
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Ford Sales (Thailand) จำกัด
และบริษัท Hill & Knowlton Thailand จำกัด
รวมทั้งทีมงานของ พี่โด่ง ผู้จัดเส้นทาง
เอื้อเฟื้อการเดินทาง และการต้อนรับที่ดียิ่งในครั้งนี้

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
และช่างภาพของทาง Ford (คุณนก และทีมงาน)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
12 พฤศจิกายน 2013

Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 12th,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE