ระหว่างที่เดินเล่น ในรอบประชาชนทั่วไป ของงานบางกอกมอเตอร์โชว์ มีนาคม 2004 ที่ผ่านมา
ผมได้บังเอิญกลับมาพบปะกับ พี่ชายคนหนึ่งอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน

พี่คนนี้ ชื่อเกร็ก ครับ

ใครที่เล่นห้องรัชดาตั้งแต่ระดับ 6-7 ปีขึ้นไป คงจะยังพอจำได้ว่า
เมื่อก่อนนี้ พี่เกร็กเคยแวะเวียนเข้ามาตอบคำถามให้ความรู้ในเชิงวิศวกรรมรถยนต์
อย่างมาก จนกระทั่ง พี่เกร็ก โดนโจมตีด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับรถเซลิกา จีทีโฟว์
ซึ่งผมจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว มันเลือนลางมาก แต่ที่แน่ๆคือหลังจากนั้น
น้อยครั้งที่เราจะได้เห็นข้อความภาษาอังกฤษของพี่เกร็ก
แล้วในที่สุด พี่เกร็กก็หายไปจากรัชดา

อย่างไรก็ตาม ผมยังมีโอกาสได้พบปะกับพี่เกร็กอยู่บ้างในสมัยก่อน
แต่จนถึงทุกวันนี้ กาลเวลาพาให้ความสัมพันธ์ ห่างหายกันไปนาน

ผมกลับมาเจอกับพี่เกร็กอีกครั้ง คราวนี้
พี่เกร็กเป็นผู้จัดการทั่วไปของ “เบนท์ลีย์ ไทยแลนด์”
ผู้นำเข้าและให้บริการหลังการขายรถยนต์เบนท์ลีย์ในเมืองไทย
อย่างเป็นทางการ ในเครือของ เอเอเอส ออโตเซอร์วิส
ผู้จำหน่ายรถสปอร์ตปอร์เช ในเมืองไทย

เราได้ทักทายกัน และตามนิสัยเดิม ผมก็ขอเข้าไปลองนั่ง
เจ้า “เบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล จีที” รุ่นใหม่ล่าสุด

พี่เกร็กก็ให้การต้อนรับอย่างดีครับ เปิดระบบต่างๆให้ดูกันอย่างสมแก่ความตั้งใจของผมเลยทีเดียว

ผมก็ได้แต่เปรยๆว่า อยากลองนั่งลองขับจังเลย
พี่เกร็ก ก็เลยเอื้อนเอ่ยวจีที่ผมไม่ได้คาดมาก่อนว่า

“เอางี้ เดี๋ยวขอพ้นช่วงมอเตอร์โชว์ก่อน ช่วงสงกรานต์ เราไปลองกัน!”
 

 

ทายสิครับ ว่าผมจะทำยังไงต่อไป…

เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!

ร้อง (ในใจ)เสร็จแล้วผมก็เก็บงำเรื่องนี้ไว้เงียบๆ ไม่อยากให้รู้กันมากนัก
เพราะเนื่องด้วยว่า เคสนี้ คงมีหลายคนอยากจะขอร่วมแจมด้วย
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะทำความลำบากใจให้พี่เกร็กหรือไม่

อีกทั้ง จากที่ได้ลองนั่งมาก่อนหน้านี้ พบว่า เบาะแถวหลังของ จีที คันนี้
อาจจะนั่งไม่สบายนักสำหรับคนที่แข้งขายาว แม้จะตัวไม่สูงก็ตาม
(แต่ก็ยังนั่งสบายกว่า เบาะคู่หลังของ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์  6 ใหม่ก็แล้วกัน)
เอาเป็นว่า อาจไม่ค่อยสบายนักสำหรับการเป็นผู้ติดสอยห้อยตามที่ต้อง
นั่งเบียดอยู่บนเบาะหลัง

เลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆเฉยๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดีกว่า (ดังนั้นขออภัยทุกท่านด้วยนะครับ ที่ไม่ได้บอกกล่าวกันล่วงหน้า อิอิ)

จนกระทั่ง วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน ตอนบ่ายโมง
วันที่เรานัดกันว่า ผมอยากลองนั่ง และให้พี่เกร็กขับให้

อันที่จริงก็เสียดายละครับ
งานนี้ ผมไม่ได้ขับเอง….T_T’

เหตุผล ง่ายๆครับ ยอมรับครับว่า ยังมีความเกรงใจอยู่
รถคันละตั้ง 20 ล้าน แถมผมยังไม่เคยสัมผัสรถในตระกูล
เบนท์ลีย์มาก่อนแบบนี้ ผมไม่แน่ใจว่า จะมีคาแรคเตอร์
พิเศษที่แตกต่างจากรถทั่วไปมากน้อยแค่ไหน
อุปนิสัยมันแฝงความจะดิบจะเถื่อนในร่างทรงของผู้ดีแค่ไหน

ผมเลือกที่จะนั่งเพื่อจับอาการของรถ โดยไม่ต้องขับเอง
แล้วมานั่งพะวงกับสภาพการจราจร นั่นก็เพียงพอแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม อุ่นใจได้ครับ
เพราะคนที่ขับให้ผมนั่งไปด้วย ก็คือพี่เกรกนั่นเอง
และฝีมือระดับพี่เกรกนั้น ผมยิ่งกว่าจะใช้คำว่า “วางใจ” ครับ
คือใช้คำว่า “มั่นใจ” กันไปเลยจะดีกว่า

เพราะฝีมือระดับพี่เกรกนั้น เรียกเอาศักยภาพของตัวรถออกมาได้
อย่างถึงแก่น และคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งตัวเองและ
ผู้ที่สัญจรร่วมทางไปในเวลาเดียวกัน
หาไม่ค่อยง่ายนะครับ นักขับที่ดีแบบนี้

แต่เมื่อลงจากรถแล้ว
เมื่อรวมกับประสบการณ์ที่เจอรถมาหลายคัน
ผมรู้สึกเลยว่า ถ้าผมขับรถคันนี้เอง
ผมก็เชื่ออย่างสนิทใจว่า ผมเอามันอยู่สบายๆ !!
ไม่ยากอย่างที่คิด

เพราะอะไรหนะหรือครับ?

อ่านต่อสิครับ ^_^

 

เบนท์ลีย์ ระบุว่า คอนติเนนตัล จีที นั้น ถูกออกแบบมาให้เป็นรถยนต์คูเป้ 2 ประตู แกรนด์ทัวริง แบบ
ไม่มีเสากรอบกระจก (Pillarless) สำหรับเดินทางไกล ไม่ใช่รถสปอร์ตแท้ๆ แต่ถึงกระนั้น ด้วยศักยภาพของรถ
ที่มีอยู่ ทำให้คอนติเนนตัล จีที สามารถก้าวขึ้นไปทาบรัศมีกับรถคู่แข่ง ทั้ง แอสตัน มาร์ติน
ไปจนถึงค่ายม้าลำพองจากเมืองโมเดนา ได้อย่างไม่มีข้อกังขา

และถือได้ว่า นี่เป็นรถใหม่อย่างแท้จริงของตนเองคันแรกในรอบ 50 ปี
หลังจากแยกกิจการจากโรลส์รอยซ์ โดยโรลส์ฯ นั้นบีเอ็มดับเบิลยู มาครอบครองไป
ส่วนเบนท์ลีย์ มาอยู่กับกลุ่มโฟล์กสวาเกน

Dirk van Braeckel หัวหน้าทีมออกแบบ เป็นผู้รังสรรค์เส้นสายของคอนติเนนตัล จีที
โดยใช้เวลาจากช่วงเริ่มทำงาน จนถึงส่งแบบให้ผู้บริหารอนุมัติเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น
(สิงหาคม – ธันวาคม 1999)

รูปลักษณ์ภายนอกนั้น อาจดูใหญ่โต ด้วยความกว้างถึง 1,918 มิลลิเมตร
แต่ตัวรถนั้น ยังถือว่าสมส่วน สั้นกว่าที่หลายคนคิด อยู่ที่ 4,807 มิลลิเมตร
ส่วนความสูงนั้น ไม่ได้แตกต่างจากรถร่วมสมัยอื่นใดมากนัก อยู่ที่ 1,390 มิลลิเมตร
แต่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ระยะฐานล้อ 2,745 มิลลิเมตร ของ คอนติเนนตัล จีที ที่หลายคนคิดว่ายาวนั้น
แท้จริงแล้ว สั้นกว่าโตโยต้า วิช แค่ 5 มิลลิเมตร

เปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งบนห้องโดยสารได้อย่างสบายใจ เพราะบานประตูนั้น ยาวสะใจถึง 1,011 มิลลิเมตร
เปิดได้กว้างถึงเกือบ 90 องศาเลยทีเดียว

และแน่นอนว่า รถคูเป้ราคา 20 ล้านคันนี้ ตกแต่งห้องโดยสารมาได้หรูโดยชาติกำเนิด
โดยไม่ต้องสร้างภาพว่าหรูในภายหลัง สมราคาที่ลูกค้าต้องจ่าย
(เอาน่า ถึงจะรู้อยู่ว่าผู้ผลิตเขาก็ต้องมีเอากำไรจากตัวรถและชิ้นส่วนที่ติดมาบ้างแหละ
เขาลงทุนไปเยอะนี่ ช่วงนี้ได้เวลาเก็บเงินจากลูกค้า มันก็เรื่องปกติของการทำธุรกิจนั่นละครับ)

แต่ก็ยังดีกว่า Maybach หรือ มายบัค ของเดมเลอร์ หรือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ผมดูยังไงๆ ขึ้นไปลองนั่งยังไงๆ
ก็ยังหาไม่ได้เลยว่า นอกเหนือจากภาษีนำเข้าแล้ว ส่วนไหนของรถบ้าง
ที่ทำให้มันมีค่าตัวสูงถึง 80 ล้านบาท

น้องผู้หญิง ชาวนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ 2 คน (รู้สึกว่าจะชื่อ เอ กับชื่อฝน มั้งครับ ถ้าจำไม่ผิด)
ที่ผมมีโอกาสได้รู้จักและพาเดินดูงานไปด้วยกันในวันปกตินั้น
ยังบอกกับผมเองเลยว่า เธอทั้งสอง หาความแตกต่างจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ไม่เจอ!!

หรือง่ายที่สุด คุณสันติ ภิรมย์ภักดี แห่งบุญรอดบริวเวอรี ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆก็คือ
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของมายบัคด้วยซ้ำ ยังบอกกับนักข่าว ของเนชันแชนแนล นำภาพไป
ตัดออกอากาศว่า “ผมคงไม่ซื้อหรอก”….!

แต่ถึงยังไง มายบัคเขาก็ยังขายได้ตั้ง 3 คันแหนะ

นอกเรื่องไปเยอะละครับ กลับมาคุยกันต่อดีกว่า

พี่เกร็กเล่าว่า ตอนที่สต๊าฟของเบนท์ลีย์ เล่าถึงขั้นตอนการสร้างเจ้าคอนติเนนตัล จีที คันนี้
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ฝรั่งคนนี้เขาเล่าได้อย่างหน้าตาเฉยมากๆ ดังนี้
“เบาะหนังแท้ที่ใช้ใน คอนติเนนตัล จีที 1 คัน จะใช้ วัวจำนวนถึง 11 ตัว
เลี้ยงในฟาร์มที่ราบสูงอากาศเย็น ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ปล่อยให้เดินเล่น
ได้อย่างอิสระตามธรรมชาติ จากนั้น จะส่งคนไปคัดเลือก เอาแต่หนังที่ดีๆ
เลือกมา แล้วมากางลงบนโต๊ะขนาดใหญ่ เพื่อที่จะตัดเข้ารูปตามต้องการ”
ส่วนหนังที่เหลือ……” (เขาพูดต่อเนื่องเป็นตลกหน้าตายมากๆเลยว่า)
ก็ส่งต่อไปให้กับผู้ผลิตรถยี่ห้อ…….(ขอสงวนนามไว้แล้วกันนะครับ แหะๆ)”

ถึงจะเป็นรถแบบ 2+2 ที่นั่ง แต่จากที่เคยลองขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ผมสามารถเข้าออกได้ในระดับหนึ่ง
คือ ถ้าคนขับปรับตำแหน่งเบาะนั่งของตนให้เลื่อนไปทางข้างหน้า แล้วขับถนัด คนนั่งหลังจะสบาย
ขาจะไม่ติดกับพนักพิงเบาะหน้า แต่ถ้าเป็นคนตัวสูงขายา มาเป็นสารถีแล้ว ก็ไม่ควรนั่งเบาะหลังเลย
เพราะจะคับแคบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับรถยนต์ประเภท 2+2 ซึ่งมักจะตั้งจุดประสงค์การออกแบบไว้
เพื่อสร้างรถที่เหมาะกับการเดินทางไกล ของมหาเศรษฐีหนุ่ม กับลูกสาวไฮโซตระกูลดังเขาจู๋จี๋กัน
ส่วนเบาะหลัง ไว้วางของเฉยๆ

แต่อย่างไรก็ดี จุดนี้ เบนท์ลีย์ ยังทำพื้นที่เบาะหลัง รวมทั้งการตกแต่งห้องโดยสารทั้งหมด
ได้เหนือชั้นกว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 6 รุ่นล่าสุดเป็นอันมากโข เพราะจากที่ผมลองเข้าไปนั่งใน
ซีรีส์ 6 นั้น เบาะแถวหลังของรถรุ่นนี้ไม่ควรแม้แต่จะให้เด็กอายุ 14 ปีขึ้นไปเป็นผู้โดยสารเลยด้วยซ้ำ
คับแคบมาก เข้าออกลำบาก มาสด้า ยังออกแบบจัดวาง Pacakging ของห้องโดยสาร RX-8 ได้ดีกว่า
ด้วยซ้ำ!!

ราวกับว่าพี่เกร็กจะรู้ใจว่าผมชอบเสียงของคุณมาริสา สุโกศล ในเพลงประกอบละครทางช่อง 3
ที่คุณบอยด์ โกสิยพงษ์ แต่งไว้ ในชื่อ “สักวันหนึ่ง” ผมจึงได้ฟังเพลงนี้ถูกเล่นผ่านชุดเครื่องเสียงชั้นเยี่ยม
แบบ 12 แชนแนล พร้อมซีดี-เชนเจอร์ 6แผ่น ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในช่องเก็บของ ที่แผงหน้าปัด
แน่นอนว่า คุณภาพเสียงนั้น ให้ความรื่นรมณ์และเก็บทุกรายละเอียดเสียงได้อย่างดี
หากต้องการปรับระบบเครื่องเสียง ก็ทำได้จากปุ่มมากมายบนพวงมาลัย

การติดเครื่องยนต์นั้น ใช้วิธีเหมือนๆกับรถยนต์ระดับสูงทั่วไปในยุคนี้
คือต้องเสียบรีโมทไว้ในรูของมัน แล้วจึงปล่อยรอให้ระบบพร้อมทำงาน แล้วค่อยกดปุ่มติดเครื่องยนต์
ที่ติดตั้งบริเวณคอนโซลกลาง ใกล้คันเกียร์ แต่อยู่ฝั่งซ้าย
อีกทั้งรีโมทตัวนี้มีรัศมีการทำงานน้อยมาก นั่นคือพอพ้นธรณีประตูแล้ว ระบบตรวจเช็คสถานภาพของรถ
จะหยุดทำงาน และเมื่อติดเครื่องแล้ว เสียงท่อไอเสียนั้น หวานและบ่งบอกบุคลิกของรถกันเลยทีเดียว

พอเลี้ยวออกจากศูนย์ปอร์เชกรุงเทพฯก็ต้องแวะเติมน้ำมันกันก่อน
ระหว่างเติมไป พี่เกร็กก็โชว์ฟังก์ชันต่างๆในจอมอนิเตอร์ให้ดู

ระบบกันสะเทือนเป็นแบบ Air Suspension พร้อมระบบ Variable damping control
และระบบ self leveling สามารถปรับจูนความแข็ง-อ่อน 4 ระดับด้วยอีเล็กโทรนิกส์
นอกจากนี้ ยังสามารถปรับให้รถมีลักษณะ หน้าทิ่ม-ท้ายโด่ง หรือหน้าเชิด-ท้ายกด
ก็ล้วนแล้วแต่ปรับจูนเองได้อย่างง่ายดาย โดยใช้ปุ่มควบคุมเล็กๆบนแผงคอนโซลกลาง
จอมอนิเตอร์บนรถแสดงผล ทำหน้าที่แสดงผลระบบต่างๆข้างบนนี้ ไปจนถึงระบบนำร่อง
และแม้แต่ความดันลมยาง การปรับระดับต่างๆ ผู้ที่นั่งอยู่ในรถจะไม่รู้สึกเลย ถ้าไม่สังเกต
ความเปลี่ยนแปลงจากภายนอกรถ ดูเอาจากขอบกระจกบังลมหน้านั่นละครับ เห็นง่ายสุด

พอออกจากปั้ม ขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุขได้เท่านั้นละครับ

เจ้าขุมพลังขนาดบะเริ่มเทิ่ม 12 สูบ วางตำแหน่งในแบบดับเบิลยูแถวละ 4 สูบ 5,998 ซีซี
พ่วงด้วยเทอร์โบคู่ พละกำลังสูงถึง 560 แรงม้า (PS) ที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดมากถึง 66.2 กก.-ม.
ผสานการทำงานอย่างนุ่มนวลกับเกียร์อัตโนมัติ แบบ 6 จังหวะ พร้อมแป้นโยกให้คนขับเปลี่ยนเกียร์ได้เอง
หลังแป้นพวงมาลัย ส่งผ่านพละกำลังมหาศาลลงสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา AWD
พาาเราพุ่งทะยานจากความเร็วหยุดนิ่ง จนถึงระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียงแค่ผมยังไม่ทันได้
ละความสนใจจากการเปิดกระเป๋าเป้คู่ใจล้วงเอากล้องถ่ายรูปออกมาด้วยซ้ำ!!

 


ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงานระบุว่า รถคันนี้ ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลาเพียง 4.8 วินาทีเท่านั้น!!
และทำอัตราเร่งช่วงระหว่าง 40-100 และ 80-120 กิโชเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 3.6 และ 3.3 วินาที ตามลำดับ!!
ส่วนความเร็วสูงสุด ทำได้ถึง 318 กิโลเมตร/ชั่วโมง เคลมไว้ว่าเป็นรถยนต์ 4 ที่นั่งที่แล่นได้เร็วที่สุดในโลกตอนนี้

ทั้งที่น้ำหนักตัวแบบไม่รวมของเหลวต่างๆ ก็มากถึง 2,410 กิโลกรัมเข้าไปแล้ว
และเมื่อยิ่งวัดเป็นค่า Gross weight ก็ปาเข้าไปถึง 2,800 กิโลกรัม!!!

แน่นอนว่าด้วยพละกำลังที่มหาศาลขนาดนี้ แรงบิดที่ล้นเหลือขนาดนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่า
เครื่องยนต์ จะให้ความยืดหยุ่นมากขนาดไหน ทั้งในรอบต่ำ จนถึงรอบสูงๆ
หากต้องการอัตราเร่งเมื่อไหร่ แค่เปลี่ยนเกียร์ลง หรือแค่กดคันเร่งให้ลึกลงไปนิดเดียว
ทุกการตอบสนองเป็นได้ฉับไวทันท่วงที่ใจคิด

ช่วงเลี้ยวกลับใต้สะพานลอยสุทธิสาร ใช้ความเร็วแถวๆ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แค่หักพวงมาลัย รถก็เบนหัวไปอย่างรวดเร็ว แต่มั่นคง นิ่งสนิท และได้ดังใจต้องการ
ไม่ดื้อดึง ไม่ฝืนใจ

โครงสร้างตัวถังและแชสซี นิ่งสนิทดีมากๆ ไม่ปรากฎการบิดตัวให้รู้สึกได้
เหมือนอย่างเจ้า แจกัวร์ เอ็กซ์เจ ที่ปรากฎความรู้สึกชัดเหลือเกิน
แหงละครับ รถมันคนละประเภท คนละระดับราคากันเลย

งานนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับการจัดวางตำแหน่งเบาะรถ ที่ค่อนไปทางล้อหลังอยู่มาก
ให้อารมณ์ของความเป็นรถยุค 1930 ได้ดี

อย่างไรก็ตาม ต้องขอเรียนให้ทราบว่า
รถคันที่เราได้มีโอกาสทดลองขับทดลองนั่งกันนี้
เป็นรถ Pre-production Demo ซึ่งตอนที่ส่งมาเมืองไทย
ทางบริษัทแม่ แจ้งมาให้ทางพี่เกร็ก ทราบแล้วว่า
ช็อกอัพด้านหน้าฝั่งซ้าย จะมีปัญหาอยู่บ้างเมื่อใช้ความเร็วสูง

ระหว่างที่ผมนั่งไปด้วย ก็ได้ยินเสียงของช็อคอัพเจ้ากรรมที่ว่านี่เหมือนกันครับ
ดัง พับๆๆๆๆๆๆ เลยทีเดียว เมื่อใช้ความเร็วสูงระดับพ้น 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
แต่แปลกที่ว่า พอย้อนขึ้นทางยกระดับขากลับ เสียงที่ว่า ก็หายไป
อันนี้ ถือเป็นปัญหาเฉพาะคัน ดังนั้นกรุณาอย่าเข้าใจผิดว่ารถผลิตขายจริงมันจะไม่ดี

เท่าที่รับฟังมา ถ้าจำไม่ผิด ตามกำหนดการแล้วรถคันนี้จะต้องถูกส่งต่อให้
ตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซีย และสิงค์โปร์ ใช้ในการเปิดตัวในประเทศของตน
ก่อนที่จะส่งคืนให้บริษัทแม่ทำการเข้าศูนย์เช็คสภาพครั้งใหญ่

ดังนั้น เอาแค่ว่าได้มีโอกาสนั่ง ถึงแม้รถจะมีปัญหาอยู่บ้าง
ทั้งลูกค้าที่จะซื้อ จนถึงผุ้ที่มีโอกาสสัมผัสรถเดโมคันนี้ ก็เข้าอกเข้าใจกันดีครับ
ว่ามันเป็นแค่รถทดลองประกอบ

ส่วนเครื่องปรับอากาศแบบ แบ่งโซนคนขับกับผู้โดยสารนั้น
เนื่องจากเราเล่นกับอัตราเร่งกันสนุกมาก ดังนั้น ไม่แปลกและเป็นเรื่องปกติที่
คอมเพรสเซอร์ของแอร์จะตัดการทำงานเพื่อลดแรงฉุด ให้เครื่องยนต์
ส่งกำลังสู่ล้อได้เต็มที่ ผมก็เลยนั่งไปมีเหงื่อผุดไปด้วย เพราะเจอแต่พัดลมเป่า

ความเร็วที่เราใช้กันวันนั้น พี่เกร็กเหยียบไว้ไม่ให้เกิน 230-240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เนื่องจากสภาพถนนในวันนั้น ปริมาณรถอยู่ในระดับปานกลาง
การป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ เป็นสิ่งที่คงต้องตระหนักกันอย่างมาก

เข็มมาตรวัดในรูปนี้ ชี้ไปที่ระดับ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(130 ไมล์/ชั่วโมง) นิ่งๆ ครับ และแช่ในระดับนี้อย่างต่อเนื่อง

ความรู้สึกขณะใฃ้ความเร็ว 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง กับรถคันนี้ก็คือ นิ่ง สบายๆ รู้สึกไม่ต่างกับกำลังขับ
รถคอมแพกต์คาร์ของญี่ปุ่นทั่วๆไป ที่ใช้ความเร็วแค่
120-130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ คันนี้ เข็มวัดก็ขึ้นที่ 120-130 เหมือนกัน
แต่มีหน่วยเป็น ไมล์/ชั่วโมง!!

รอบเครื่องยนต์ก็ยังขึ้นไปไม่ถึง 4,000 รอบ/นาที ด้วยซ้ำ
เพราะเกียร์มีให้ทดถึง 6 จังหวะ

********** สรุป **********

“ไฮโซหนุ่มใหญ่ อุปนิสัย สุภาพ มีมาด แต่ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ถึงจะรวย แต่น่าคบหา”

ถึงจะเป็นรถยนต์แกรนด์ทัวริงคาร์ระดับไฮเอนด์ แต่เบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล จีที
กลับให้การตอบสนองในทุกรูปแบบการขับขี่บนทางเรียบ ที่เรียกได้ว่าคล่องแคล่ว
และว่องไว ได้อย่างน่าทึ่ง! ให้อารมณ์ราวกับกำลังนั่งอยู่ใน รถยนต์คอมแพกต์สปอร์ตคันเล็ก
ที่มีการเซ็ตปรับแต่งทั้งเครื่องยนต์ ระบบกันสะเทือน เบรก และโครงสร้างตัวถังมาอย่างดีที่สุด
เท่าที่จะมีการเซ็ตกันได้

แค่เพียงผู้ขับคิดและสั่งให้รถทำอะไร รถจะตอบสนองได้รวดเร็วในเวลาแทบจะไม่ถึงเสี้ยววินาที!!
นี่คือสาเหตุที่ผมเลือกใช้คำว่า เป็นรถที่ “ตรงไปตรงมา” กับเจ้าของมากที่สุดอีกคันที่ผมเคยเจอ
ไม่มีอาการอิดเอื้อนสำบัดสำออยให้เห็นเลย

พูดกันตรงๆก็คือ จริงอยู่ว่า หากแล่นอยู่ในเมือง ด้วยความเร็วในระดับช้างคลานไปตามการจราจร
ที่ติดขัด คอนติเนนตัล จีที ก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากรถยุโรปชั้นดีทั่วๆไปที่หลายท่านเคยสัมผัส
ถึงขนาดฟ้ากับเหว อาจจะโดดเด่นขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยความประณีตและใส่ใจกับการตกแต่งห้องโดยสาร
ในทุกรายละเอียด

แต่ความเป็นตัวของมันเองจะถูกสำแดงออกมาต่อเมื่อออกเดินทางไกล เพียงแค่คุณคิด แล้วขยับจะสั่งให้
รถทำ รถจะทำให้คุณทันที เท่าที่คุณต้องการ ไม่มากเกินต้องการ และไม่น้อยไปจนน่ารำคาญใจ

อาจจะไม่ถึงกับกระชากสะใจ แต่รื่นรมณ์ จัดจ้านและเร้าอารมณ์ได้เป็นเลิศ

กับค่าตัว 20 ล้าน ถ้าคุณมีเงิน แล้วคิดจะซื้อรถไว้ขับเล่นวันหยุด
และไม่อยากคบหากับเฟอร์รารี มาเซราตี ปอร์เช แลมโบกีนี แอสตันมาร์ติน
คอนติเนนตัล จีที คือทางเลือกที่ลงตัวและคุ้มค่าครับ

แต่ถ้าคุณไม่มีเงินมากขนาดนั้น และอยากสัมผัสความรู้สึกของรถ
ที่ไปในทิศทางเดียวกันนี้ แต่อาจไม่ถึงกับได้ครบทุกคุณสมบัติของ
รถคันนี้ครบถ้วนนัก

ก็คงต้องมองหา ความคล่องตัวแบบ บีเอ็มดับเบิลยู 330i
ผสานกับความแข็งแกร่งของโครงสร้างแชสซีของ ซีรีส์ 5 รุ่น E39
ผนวกกับบรรยากาศการขับขี่รวมทั้งการออกแบบทั้งหมดของ
แจกัวร์ เอ็กซ์เจ

แต่เชื่อเถอะ

ไม่มีใคร เลียนแบบเบนท์ลีย์ แบบที่มันเป็นอย่างนี้ ได้ง่ายนักหรอก!

————————————-///————————————

ปล.

ถ้าคุณผู้อ่านอยากทราบรายละเอียดต่างๆมากกว่านี้
แวะเข้าไปได้ที่นี่ www.bentleymotors.com
รายละเอียดต่างๆ มีเยอะพอให้อ่านและเข้าใจในความเป็นเบนท์ลีย์
ได้อย่างจุใจเลยทีเดียวครับ

ขอขอบคุณพี่เกร็ก แห่งเบนท์ลีย์ ไทยแลนด์ สำหรับโอกาสที่ให้ผมได้มาสัมผัส
แกรนด์ทัวริงคาร์พันธุ์ดีคันนี้อย่างเต็มที่เท่าที่พอจะมีเวลาเอื้ออำนวยครับ

แม้วันนี้ พี่เกร็ก จะลาออกจาก Bentley Thailand และย้ายกลับไปอยู่สหรัฐอเมริกา แล้วก็ตาม

ดังนั้น ถ้าสนใจจะทดลองขับ หรือซื้อหา ติดต่อได้ทั้งที่ Bentley Thailand

ชั่นล่าง ตึก CTL ติดกับตึกเลครัชดา ใกล้สี่แยกอโศก หรือ AAS Auto Sales ริมถนนวิภาวดีรังสิต ครับ”

—————————————————————————-

J!MMY

สงวนลิขสิทธิ์

เผยแพร่ครั้งแรก 12 เมษายน 2004 ใน www.Pantip.com ห้องรัชดา

ปรับปรุงเพื่อเผยแพร่อีกครั้ง 16 กุมภาพันธ์ 2009 สำหรับ HEADL!GHT Magazine

(www,headlightmag.com)