กระแสลมแรง โบกสะบัดผมเผ้า จนปลิวไหว ป้ายสามเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ เคลื่อนตัวเข้ามาได้เองด้วยแรงลม
ปลุกให้เช้าอันแสนสงบ เหมาะแก่บรรยากาศกางเตนท์นอน ตื่นจากหลับไหลได้ไม่ยากเย็น

แต่ จะให้กางเตนท์ กันกลางแดด ที่หาได้มีความร่มรื่นของแมกไม้อยู่รายล้อมไม่
ดูเป็นเรื่อง บ้าบอไปไกล อย่างไม่เกรงใจผิวขาวๆ ของคนสันหลังยาวอย่างผมนัก

ผมยืนอยู่ที่บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา ยืนอยู่บนพื้นที่ ของโรงงานประกอบรถยนต์ โตโยต้า แห่งที่ 3 ในประเทศไทย
ซึ่งเพิ่งก่อตั้ง และเปิดตัวไปได้ราวๆ 1 ปีเศษๆ

จุดที่ยืนอยู่นี้ คือ พื้นที่ของ สนามทดสอบใหม่ล่าสุด Ban Pho Test Course ขนาด 157 ไร่
เพิ่งเปิดดำเนินการเมื่อ 30 เมษายนที่ผ่านมานี่เอง เป็นสนามทดสอบรถยนต์ในรั้วบริษัทรถ
แห่งที่ 2 ของเมืองไทย และเป็นแห่งที่ 2 ของโตโยต้า จำลองสภาพถนนของไทยและในบางประเทศได้ดีมากๆ

โดยเฉพาะ คอสะพาน และ แนวโค้งที่ต้องขับกันช้าๆ นั่น เหมือนกัน จนต้องยกนิ้วให้คนออกแบบสนามเลย

พวกเขา เลือกให้ เรา Headlightmag.com เป็น หนึ่งในสื่อมวลชน รายแรกๆ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับ
แคมรี ไฮบริด เวอร์ชันเอเซีย ใหม่ล่าสุด กันถึงในรั้วสนามทดสอบ ที่มีการป้องกันสายตาของผู้คนภายนอก ค่อนข้างแน่นหนา

แม้จะมีสื่อมวลชนหลายท่าน ได้ทดลองขับรถรุ่นนี้ไปก่อนเรา

แต่ Headlightmag.com ยังคงเป็น สื่อมวลชนสายรถยนต์ รายแรกในไทย ที่นำเสนอรีวิวของรถรุ่นนี้สู่สายตาของทุกท่าน (เช่นเคย)

 

 

เป็นการทดลองขับ แบบสั้นๆ หลังจากที่โตโยต้า เผยโฉมคันจริง ให้เห็นตัวเป็นๆ กันล่วงหน้า
ตั้งแต่ 20 พฤษภาคม 2009 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม อินเตอร์คอนติเน็นตัล ณ ปาร์ค นายเลิศ
(ก่อนหน้าการเสียชีวิต ของดาราฮอลีวูด เดวิด คาลราดีน ที่นั่น ไม่กี่สัปดาห์)

และคงต้องขอบอกกันล่วงหน้าก่อนว่า ภาพถ่ายทั้งหมดนี้ มิใช่ ฝีมือของ นายจิมมี่เลย แม้แต่ภาพเดียว
แต่เป็นผลงานของ พี่ต๊ะ ผู้เป็นช่างภาพประจำฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของโตโยต้า ทั้งหมด

เหตุที่ผมไม่อาจเก็บภาพมาได้ด้วยตัวเอง เป็นเพราะ ที่โรงงานบ้านโพธิ์ มีกฎการรักษาความปลอดภัย ห้ามไม่ให้มีการ
นำกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ หรือแม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งถ่ายภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหวได้
เข้าไปในเขตของสนามทดสอบโรงงานบ้านโพธิ์ทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของข้อมูลความลับใดๆ
ที่อาจจะรั่วไหลได้ การทำเรื่องขอบันทึกภาพในโรงงานนั้น ก็ เป็นเรื่องค่อนข้างจะใหญ่โตเอาการ

อีกทั้งรถทั้ง 2 คัน ที่คุณๆได้เห็นกันอยู่นี้ คันสีฟ้า ตัวท็อป (มี ระบบนำทาง) และคันสีขาว เป็นตัวรองท็อป (ไม่มีระบบนำทาง)
ยังถือว่าเป็นรถ Pre-Production หรือที่ภาษาคนโตโยต้าเรียกว่า GOCHI (มาจาก Gokuchi แปลว่ารถทดลอง) และรถคันนี้ แม้จะเป็น GOCHI2 หรือถือว่าใกล้เคียงกับ
รถที่จะผลิตจริงมากที่สุด แต่ก็ยังมีความไม่พร้อมหลายด้าน จึงยังไม่สะดวกใจจะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพกันเองอย่างเมามันส์
เพื่อความสะดวก โตโยต้า ก็เลยให้พี่ต๊ะ มาบันทึกภาพ ให้กับสื่อมวลชนทุกๆราย ที่ได้มาลองขับกันในคราวนี้แทน
และแจกเป็น Photo-CD ซึ่ง สื่อมวลชนทุกราย ก็จะได้รับ ภาพ แบบเดียวกัน ชุดเดียวกัน ทั้งหมด ป้องกันปัญหาใครบางคน
จะโวยวายเอาว่า ทำไมคนนั้น ถ่ายได้มุมนี้ คนนี้ถ่ายได้มุมนั้น แล้วทำไมถึงห้ามไม่ให้ฉันถ่าย? อันเป็นที่รู้กันดีว่า มีพวกคิดวุ่นวาย
แบบนี้ ปะปนอยู่ในกลุ่มสื่อมวลชนสายรถยนต์กันบ้าง

ซึ่ง นอกจากจะขอบคุณในไมตรี ที่พี่ต๊ะ ช่วยถ่ายในช็อตที่ผมต้องการพอดีเป๊ะเลยนั้น
ก็คงอยากบอกพี่ต๊ะไว้อีกนิดนึงว่า งวดนี้ พี่ถ่ายรูปออกมา ติดฟ้า ตลอดดดดด

ไม่ใช่ติดน้องฟ้านะ แต่ติดโทนฟ้า มากกกกกกกก  ซะจน ก.ไก่ พาลจะหมดโลก ต้องเอามาเข้า Photoshop
ปรับโหมดเบสิกๆ อย่าง Auto Color เพื่อปรับให้ภาพกลับมาอยู่ในเฉดสีปกติที่มันควรจะเป็น
ก่อนจะจับย่อขนาด เอามาโพสต์ให้คุณๆได้ชมกันนี่ละ คาดว่าเพื่อให้เข้ากับโทนสีในงานโฆษณา
ที่คุณๆจะได้เห็นกัน หลังจากนี้เป็นต้นไป

ดังนั้น มุมภาพในคราวนี้ จึงอาจจะดูแปลกๆตาไปสักหน่อย ก็ด้วยเหตุผลข้างบนนี้นั่นเอง

(^_^)

 

หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์กันจริงๆแล้ว โตโยต้า คือผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของโลก
ที่ผลิตรถยนต์ไฮบริด ออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนธันวาคม 1997
โดยเป็นรถยนต์รุ่น
พรีอุส (PRIUS) และนับแต่นั้นมา พัฒนาการของโตโยต้า ด้านเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด
ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับจำนวนรุ่นรถยนต์ไฮบริด ที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น Crown Mild Hybrid, Toyota Herrier Hybrid (Lexus RX450h) และฝาแฝดร่วมแพล็ตฟอร์ม
Toyota Kluger Hybrid (หรือ Highlander Hybrid ในตลาดอเมริกาเหนือ) Toyota Estima Hybrid ,
Toyota Alphard Hybrid , Lexus GS450h, Lexus LS600h รถบัส Toyota Coaster Hybrid ฯลฯ
จนทุกวันนี้ ยอดขายสะสมของรถยนต์ไฮบริดจากโตโยต้า ทั่วโลก มีมากกว่า 1.7 ล้านคัน ใน 49 ประเทศทั่วโลก

แต่สำหรับตลาดรถยนต์ไฮบริดในเมืองไทยนั้น ถ้าเราไม่นับรวมการนำเข้ามาขายเป็นคันๆไป
จากผู้ค้ารายย่อย ฮอนด้า คือบริษัทรถยนต์รายแรกที่นำอินไำซต์ 2 ประตู รุ่นแรก และ ซีวิค ไฮบริดมาเปิดตัว สู่ตลาดบ้านเรา
ยังจำได้ติดตาเลยว่า วันเปิดตัวนั้น ฮอนด้าเล่นลงโฆษณา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเต็ม 2 หน้าใหญ่กันเลยทีเดียว

แต่ เนื่องจากฮอนด้า ยังกล้าๆเกร็งๆ แถมยังมีความไม่พร้อมต่างๆ ทำให้ต้องเปิดตัวทำตลาดกันด้วยวิธีที่แปลกๆ
คือ ไม่ขายขาดในตอนแรก แต่ปล่อยให้เช่าซื้อแบบ Leasing กันไป คำนวนราคารถเสร็จสรรพ ตกคันละ 1.8 ล้านบาท
แพงขนาดนี้ แม้จะมีคนรักเทคโนโลยีฮอนด้า รอบข้างผม อย่าง ดร.โม ซื้อไปใช้ส่วนตัว วิ่งงานอยู่ 1 คัน
แต่ท้ายที่สุด โอกาสเติบโตของระบบไฮบริดในไทย ด้วยฝีมือของฮอนด้า ก็ยังไม่เกิดขึ้น จนถึงบัดนี้

และการที่ฮอนด้า จำใจต้องปล่อยปละละเลยกับตลาดรถยนต์ไฮบริด เช่นนี้ ทำให้ โตโยต้า ในฐานะผู้นำตลาด
ใช้โอกาสทองที่เว้นว่างอยู่ เตรียมอัดกระหน่ำ แคมเปญ เปิดตัว แคมรีไฮบริดให้กระหึ่มเมือง ซึ่งคุณๆจะเริ่มเห็นกัน
ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งจากทางเว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ไปจนถึงป้ายโฆษณา ใต้รถไฟฟ้า BTS ฯลฯ

หลังจากที่ ก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา โตโยต้า ทะยอย สร้างการรับรู้ และให้ข้อมูล
ด้านเทคโนโลยี ไฮบริด ผ่านทางการโฆษณา ประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ ทั้งการลงโฆษณาแบบ
Advertorial ตามนิตยสารชั้นนำ รวมทั้ง สั่งนำเข้า รถยนต์ไฮบริด รุ่น พรีอุส (PRIUS)
เจเนอเรชันที่ 2 มาให้คนไทยได้ทดลองขับกัน

(และหนึ่งในนั้น ผมก็เคยทำรีวิว รถรุ่นนี้ ไปแล้วอย่างใหญ่โต และยาวเหยียด)

ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นนั้น คือ การเตรียมความพร้อมสู่การเปิดตัวแคมรี ไฮบริดในเมืองไทยนั่นเอง

ทำไมการเปิดตัวครั้งนี้ จึงมีความสำคัญกับโตโยต้ามากขนาดนี้?

ก็แน่ละ แคมรี ไฮบริด ถือเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์เมืองไทย ที่ถูกนำมา
ขึ้นสายการประกอบในประเทศ เพื่อการทำตลาดแบบเต็มรูปแบบ
นี่นา แถมยัง ขายขาดให้กับลูกค้า ไปเลย
ไม่มีการแบ่งรับแบ่งสู้ ปล่อยให้เช่าซื้อกัน อย่างที่ฮอนด้าทำในช่วง หลายปีก่อนหน้านี้

แต่ไทย ไม่ใช่ประเทศแรก ที่ได้มีโอกาส สัมผัสแคมรี ไฮบริด เพราะก่อนหน้านี้
โตโยต้า เคยเปิดตัว รถยนต์รุ่นนี้ ในตลาดอเมริกาเหนือ เป็นครั้งแรก มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2006
เก็บกวาดยอดขายไปได้เรื่อยๆ โดยตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ
(www.afdc.energy.gov/afdc/data/docs/hev_sales.xls) ในปี 2006 ยอดขาย รวม 31,341 คัน
ปี 2007 ขายได้ 54,477 คัน และปี 2008 ที่ผ่านมา ขายได้ทั้งสิ้น 46,272 คัน
คิดเป็น 15 เปอร์เซนต์ ของยอดขายแคมรีทั้งหมด ในตลาดอเมริกาเหนือ
และโตโยต้า เพิ่งจะเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ของแคมรี ไฮบริด เวอร์ชันอเมริกันไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ส่วน แคมรี ไฮบริดที่จะทำตลาดในเมืองไทยนั้น ถือเป็น แคมรี ไฮบริด เวอร์ชัน เอเซีย
รูปลักษณ์ภายนอก จะแตกต่างจากแคมรี ไฮบริด เวอร์ชันอเมริกัน รุ่นเดิม แคมรี เครื่องยนต์เบนซินปกติ รุ่นก่อน
รวมทั้ง แคมรี ไมเนอร์เชนจ์ ที่จะเปิดตัวทำตลาดไล่เลี่ยกันในไทยนั้น พูดกันให้เข้าใจง่ายๆก็คือ หน้าตาของ
แคมรี ไฮบริด เวอร์ชันเอเซีย จะไม่เหมือน แคมรีโฉมใดๆ ที่คุณเคยเห็นมาก่อนหน้านี้เลย

มีทั้งกระจังหน้า ดีไซน์เฉพาะรุ่น ซึ่งชวนให้สงสัยว่า ทำไมหน้าตามันเหมือน แมงมุม เมื่อมองจากหน้าตรง
ชุดไฟหน้าดีไซน์ใหม่ เฉพาะรุ่นเช่นกัน สวยงาม แถมมี Eye Shadow สีฟ้าระเรื่อ (คนคิดศัพท์นี้ ก็พี่ประภาวุฒิ
คนของโตโยต้า ที่บรรยายให้ฟังนั่นละครับ ผมก็ว่าเหมือนนะ เข้าใจคิดเนาะ)
เปลือกกันชนหน้าแบบใหม่ สไตล์ Transformer (ทำไมแนวนี้ ผู้ผลิตรถเขาฮิตกันจัง ช่วงนี้)

ยางที่ติดรถมา เป็น ยาง Bridgestone TURANZA ER33 ขนาด 215/60R16
เอาอีกแล้ว เราเจอกันอีกแล้วนะ บริดจ์สโตน ทารันตูรา! หลังจากที่แกเพิ่งพาฉัน
และเพื่อนพี่น้อง ประหวั่นพรั่นพรึงไปบน Lexus LS460 L มาหยก

ส่วนชุดไฟท้าย เป็นแบบใสไปหมด ดีไซน์เฉพาะรุ่นเช่นกัน แต่ดูคล้ายกับ นำไฟท้ายของแต่งรถ จากไต้หวัน มาแปะใส่เอาไว้
มีสัญลักษณ์ HYBRID และ HYBRID SYNERGIE DRIVE แปะเอาไว้ตามจุดต่างๆ รอบคัน

นอกเหนือจากรายละเอียดการตกแต่งภายนอกแล้ว หลายคนคงสงสัยว่า ภายใต้ตัวถังที่มีความยาว
4,806 มิลลิเมตร กว้าง 1,821 มิลลิเมตร สูง 1,461 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,776 มิลลิเมตร นั้น
มันแตกต่างจาก แคมรี ธรรมดา อย่างไร?

 

 

ขนาดเปิดเข้าไปดูภายในห้องโดยสาร ยังแทบหาความแตกต่างกันไม่เจอจริงๆแหนะ!
พวงมาลัยเป็นแบบ Multi Function สั่งการได้ทั้งระบบเครื่องเสียง ระบบควบคุมความเร็วคงที่
Cruise Control รวมทั้ง ระบบโทรศัพท์ พร้อม Bluetooth ในตัวหน้าตาเหมือนกันกับรุ่น V6 3.5 เป๊ะ

เบาะนั่งคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า แถมพัดลมระบายอากาศใต้เบาะ
หรือที่เจ้ากล้วย The Coup Team ชอบเรียกว่า “แอร์ปั่นตด”

เบาะคู่หลัง มีที่พักแขนมาให้ วัสดุภายใน ก็ยังไม่แตกต่างไปจาก
แคมรี รุ่นปัจจุบัน ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่

เครื่องปรับอากาศ ยังคงเป็นแบบอัตโนมัติ แยกฝั่ง พร้อมระบบฟอกอากาศ PlasmaCluster
เหมือนกับรุ่นที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน แม้แต่ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS ด้วยข้อมูลแผนที่
บันทึกลงแผ่น DVD ก็ยังคงเป็นชุดเดียวกัน หน้าตาเดียวกัน เป๊ะ!
(ใคร คิดจะอัพเกรด ข้อมูลแผนที่ของแคมรี จากโตโยต้า ต้องซื้อแผ่นในศูนย์บริการเอาเองนะครับ แผ่นละ 30,000 บาท !!!!!!
ไม่รู้ว่าใครมันเป็นคนตั้งราคา ทำไมมหาโหดขนาดนี้ หา? ขนาดคนในบริษัทตัวเองยังคอมเมนท์ด่าเลย)

ใจเย็นก่อนเถอะพี่น้อง ติดเครื่องยนต์ก่อนสิครับ จึงจะเห็น ความแตกต่าง
 

 

 

อ่ะ ทีนี้ เห็นหรือยังครับ หน้าปัดไง
หลายคนถาม ทำไมไม่มีมาตรวัดรอบละ?
เออ นั่นสินะ ตั้งแต่มีรถไฮบริด ผ่านมือมา
ดูเหมือนจะมีแค่ Honda Civic HYBRID เท่านั้น
ที่มีมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ติดตั้งมาให้

ในเรือนมาตรวัด ของ แคมรี ไฮบริด
มีมาตรวัดความเร็ว  มาตรวัดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real-Time
เป็นเข็มกวาด อันเบ้อเร่อ ถ้าเข็มนี้ ชี้ไปข้างบนสุด อย่างที่เห็นเมื่อใด แสดงว่า
เครื่องยนต์ กำลังทำงาน และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะสูง
หรือไม่ หากจอดนิ่งๆ ก็จะตีขึ้นไประดับ 0 กิโลเมตร/ลิตร
และจะลดหลั่นลงมาเรื่อย ขึ้นอยู่กับการทำงานของเครื่องยนต์ มากบ้าง น้อยบ้าง
หรือไม่ เครื่องยนต์ก็ดับไปเลย ตามแต่ละสภาพการณ์ขับขีที่เกิดขึ้นจริง

 

 

นอกจากนี้ยังมี จอแสดงการทำงานของระบบไฮบริดมาให้ได้ชมกันเล่นๆด้วย

และถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ยังรู้สึกว่า ต่างกันแค่นี้เองหรอกเหรอ?

ไม่หรอกครับ ทั้งหมดข้างบนนั้นหนะ แค่ออร์เดิร์ฟ และเครื่องเคียง

ส่วนจานหลักหนะ ต้องนี่ ระบบขับเคลื่อนไงละ!

ในเมื่อ เป็น บทความแบบ First Impression ดังนั้น การจำแนกระบบไฮบริดของโลกนี้
จึงยังขอไม่เขียนถึงในเวลานี้ หากแต่ ผมอยากบอกคุณๆ เพียงแค่เท่าที่เห็นจำเป็นในช่วงแรกนี้ว่า

โตโยต้า เลือกใช้ระบบ ซีเรียล พาราเรล ไฮบริด แบบเดียวกับที่ใช้ใน พรีอุส รถยนต์ไฮบริดรุ่นขายแรก
และรุ่นขายดีทีสุดของโตโยต้าเป็นระบบขับเคลื่อนของ แคมรี ไฮบริด

 

โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2AZ-FXE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,400 ซีซี
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i ที่ถูกปรับปรุงมาจาก เครื่องยนต์ 2AZ-FE
ซึ่งวางอยู่ใน แคมรี เบนซิน รุ่นมาตรฐาน ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีมาแล้ว

ซึ่งมีรายละเอียดหลายสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ในเบื้องต้นนี้ รู้เอาไว้แค่เพียงว่า
เป็นเครื่องยนต์ที่มีการจุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle ซึ่งบางท่านจะทราบดีว่า
มีการเปิด-ปิด วาล์วไอดี ไอเสีย ให้มันเหลื่อมล้ำกันบ้าง ในแต่ละช่วงเวลา

เครื่องยนต์จะถูกเชื่อมเข้ากับ ระบบถ่ายทอดกำลังสู่ล้อ อันประกอบไปด้วย
มอเตอร์ไฟฟ้า (Motor/Generator ต่อจากนี้จะขอเรียกว่า MG) ซึ่งเป็นแบบไร้แปรงถ่าน
ไม่มีชิ้นส่วนใดต้องสัมผัสกัน และมี 2 ตัว อยู่ในชุดระบบส่งกำลัง ต่างทำหน้าที่ของตนไป
แยกจากกัน แต่ยังช่วยเหลือกันบ้าง MG 1 เล็กกว่า ไว้สำหรับระบบขับเคลื่อน
ส่วนอีกตัวหนึ่ง MG2 ไว้ชาร์จไฟเข้าไปเก็บในแบ็ตเตอรี และช่วยการถอยรถในบางเวลา

มอเตอร์จะหมุนด้วยรอบคงที่ตลอด เครื่องยนต์จะต้องขับเคลื่อนผ่าน ชุด Planetary
ที่เรียกว่า Power Spilt Device  ซึ่งอัตราทดมันต้องแปรผันอยู่แล้ว 

และมอเตอร์ทั้ง 2 ตัว จะทำหน้าที่ร่วมกัน ในฐานะ ระบบส่งกำัลังของรถไปด้วย

ถ้าว่ากันเผินๆ หลักการคล้ายคลึงกับเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT…
Continuos Variable Transmission ? แบบเดียวกับ ทั้ง นิสสัน เทียนา ฮอนด้า แจ้ส 
และซิตี้รุ่นที่แล้ว รวมทั้ง มิตซูบิชิ แลนเซอร์ เซเดีย คือ อัตราทดแปรผัน ไม่แน่นอนตายตัว

แต่เอาเข้าจริง ในรูปลักษณ์กลไก มันไม่เหมือนกันเลย เพราะระบบส่งกำลังของแคมรี ไฮบริด 
ไม่มีพูเลย์ขับ พูเลย์ตามเชื่อมคล้องด้วยสายพาน Serpentine แต่อย่างใด

 

มอเตอร์ทั้ง 2 ตัว จะรับ-ส่งกระแสไฟจาก แบ็ตเตอรี
เป็นแบบ นิกเกิล เมทัล ไฮไดร (Ni-Mh)
ในแคมรี ไฮบริด มีทั้งหมด 2 ลูก

ลูกแรก มีขนาด 244.8 VDC กำลังไฟฟ้า 6.5 Amp-Hour เอาไว้จ่ายไฟสำหรับระบบขับเคลื่อน
ส่วนลูกที่ 2 มีขนาด 12 VDC กำลังไฟฟ้า 52 Amp-Hour เอาไว้จ่ายไฟสำหรับอุปกรณ์ในรถ
ทั้งคอมเพสเซอร์แอร์ เครื่องเสียง ฯลฯ ดังนั้น เท่ากับว่า แยกแบ็ตเตอรีกันอย่างชัดเจน
ระหว่างแบ็ตเตอรี ขับเคลื่อนรถ และ สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ

แบ็ตเตอรีของระบขับเคลื่อน ได้รับการปรับปรุงให้ ลดการต้านทานภายใน โดยการใช้โครงสร้างใหม่
ทั้งหมดระหว่างเซลส์แบ็ตเตอรี ทำให้สารอิเล็กโทรด ดีขึ้น ส่งผลให้ ความหนาแน่นในการรับ/ส่งกำลังไฟ
ของแบ็ตเตอรีใหม่ ดีขึ้นกว่าเดิม   

ณ วันที่เราทดลองขับกันนั้น
โตโยต้า ยังไม่เปิดเผยตัวเลขแรงม้า แรงบิดของเครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อนทั้งหมด

แต่เราจะขอนำตัวเลข ของแคมรี ไฮบริด เวอร์ชันอเมริกัน
มาให้ดูกันก่อนเพื่อให้ประเมินกันในเบื้องต้น

ย้ำกันอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่ตัวเลข ของเวอร์ชันไทย
(แต่คาดว่า จะไม่แตกต่างไปมากกว่านี้นัก)

เวอร์ชันอเมริกัน นั้น ตัวเครื่องยนต์อย่างเดียว
ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 138 ฟุต-ปอนด์ ที่ 4,400 รอบ/นาที
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 40 แรงม้า (HP)
แรงบิดสูงสุด 199 ฟุต-ปอนด์

เมื่อรวมทั้ง 2 ระบบเข้าด้วยกัน พละกำลัง จะสูงถึง 187 แรงม้า

ถ้าเวอร์ชันไทย ได้พละกำลังประมาณนี้จริง เท่ากับว่า แคมรี ไฮบริด จะกลายเป็นรถยนต์ ที่มีแรงม้าสูงสุด
ในกลุ่ม ซีดาน D-Segment ระดับเครื่องยนต์ ไม่เกิน 2,500 ซีซีไปโดยปริยาย แต่ตอนนี้ ยังไม่มีการเปิดเผย

ถึงสเป็กของเวอร์ชันไทยแต่อย่างใด

 

 

 

หลักการทำงาน เป็นอย่างไร?

ช่วงออกตัว ไปจนถึงการปล่อยให้รถเคลื่อนตัวไป ด้วยความเร็วไม่มากนัก
(Start –> Low speed driving) ถ้าค่อยๆเหยียบคันเร่งอย่างแผ่วเบา ไปเรื่อยๆ ช้าๆ
หรือว่า ปล่อยให้รถไหลในโหมดเกียร์ D มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยหมุนล้อคู่หน้าก่อน
ในช่วงแรก โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบ็ตเตอรีที่เก็บสะสมไว้
ช่วงนี้ เครื่องยนต์ยังไม่ต้องทำงาน

– เมื่อเข้าสู่ระดับการขับขี่ที่ใช้ความเร็วเดินทางไกลทั่วไป
แบ็ตเตอรีจะหยุดส่งกระแสไฟให้มอเตอร์ ดังนั้น
เครื่องยนต์จะเข้ามารับหน้าที่
เดินเครื่องส่งกำลังไปหมุนทั้งล้อคู่หน้าโดยตรงเอง

แต่หากยังไม่พอ เครื่องยนต์จะเพิ่มการส่งกำลังบางส่วนไปให้มอเตอร์ไฟฟ้า
ช่วยกันหมุนล้อคู่หน้าอีกแรง (รวมเป็น 2 แหล่งพลังงาน)

– แต่เมื่อต้องเร่งความเร็วกระทันหัน แบ็ตเตอรีจะกลับมาช่วยงานอีกครั้ง
โดยส่งกำลังไฟให้มอเตอร์ไฟฟ้าไปหมุนล้อ พร้อมๆกับที่มอเตอร์
จะรับกำลังจากเครื่องยนต์ไปหมุนล้อ ต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้
ขณะที่เครื่องยนต์เองก็ยังคงส่งกำลังลงสู่ล้อไปด้วยกัน

ท้ายสุด หากผู้ขับขี่ละจากคันเร่ง เพื่อลดความเร็ว หรือแตะเบรค เครื่องยนต์จะดับ
และปล่อยให้มอเตอร์ไฟฟ้า MG 2 ทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟ หมุนในทิศทางกลับกัน
เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าส่งกลับไปเก็บไว้ที่แบ็ตเตอรี

ว่ากันตรงๆคือ แคมรี ไฮบริด ก็มีหลักการทำงานคล้ายๆพอกันกับ พรีอุส นั่นเอง 

โตโยต้า อธิบายการทำงานว่า เหมือน มีนักปั่นจักรยาน 2 คน บนจักรยานคันเดียวกัน
มอเตอร์ จะเป็นนักปั่นด้านหน้า ที่ถนัดระยะทางสั้นๆ แต่เครื่องยนต์จะเป็นนักปั่นด้านหลังที่ถนัดระยะทางยาวๆ
ตอนออกตัว นักปั่นคนหน้า จะค่อยๆ ปั่นออกไปช้าๆ แต่นักปั่นด้านหลัง จะช่วยคนข้างหน้าปั่น เมื่อต้องเร่งเต็มกำลัง
และเมื่อถึงเวลาลดความเร็ว ก็จะปั่นกระแสไฟไปเก็บในแบ็ตเตอรีได้เยอะหน่อย

ขณะที่ระบบไฮบริดของคู่แข่งอื่นๆ จะเป็นแบบ พ่อลูก ช่วยกันปั่นจักรยาน
ซึ่งเมื่อถึงเวลาชะลอความเร็ว ตัวมอเตอร์ ก็ต้องทำงานเป็น เจเนอเรเตอร์ปั่นไฟไปด้วย
ทำให้ไม่สามารถปั่นกระแสไฟเข้าแบ็ตเตอรีได้มากเท่ากับระบบ ซีเรียล พาราเรล ในโตโยต้า

—————————————————–

เมื่อได้ขึ้นไปนั่งบนหลังพวงมาลัยแล้ว
จริงอยู่ว่า การขับขี่ในภาพรวม มันไม่ผิดแผกไปจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปทั่วไป
แต่อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างประการหนึ่ง ที่อยากจะให้ทุกคน ได้เพิ่มความระมัดระวังกันอีกสักนิด

นั่นคือ ตอนติดเครื่องยนต์ เพื่อจะออกรถ ตรงนี้ สำคัญนะครับ

การกดปุ่ม Push Start หรือ ตอนนี้ มันกลายเป็นปุ่ม “POWER” (เหมือนสวิชต์เรื่องไฟฟ้า)
ยังคงเหมือนกับรถทั่วไป แต่ คุณจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เลย

(เว้นแต่ว่า ไฟในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อน มันน้อยเกินไป จนเครื่องยนต์ต้องติดทำงาน)

ถ้าคุณไม่เหยียบเบรก ไฟสีแสดจะสว่างขึ้น และมันก็จะดำเนินขั้นตอน เหมือนกับโตโยต้าและเล็กซัส
รุ่นอื่นๆ คือ ถ้ายังไม่เหยียบเบรก ระบบก็จะปิดการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมด แต่ถ้าเหยียบเบรก
ไฟสีเขียวจะสว่างขึ้น กดปุ่ม POWER ลงไป เท่ากับติดเครื่องรถให้ทำงานแล้ว

ดังนั้น เมื่อกดปุ่มแล้ว หากจะออกรถ ให้คุณสังเกตดูที่ไฟสัญญาณสีเขียว ขึ้นคำว่า READY

ถ้าติดขึ้นมาเมื่อไหร่ แสดงว่า เหยียบเบรก เลื่อนคันเกียร์เข้าตำแหน่ง D ออกรถได้ตามปกติเลย

อยากจะให้คุณๆ เพิ่มความระมัดระวังสักนิด
เพราะถ้ามัวแต่ฟังเสียงเครื่องยนต์กันแบบรถยนต์ปกติ
ถ้าแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน ยังมีกำลังไฟเต็ม หรือเพียงพอ
อย่าหวังเลยว่าจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ติดขึ้นมา เพื่อช่วยชาร์จไฟกลับเข้าแบ็ตเตอรี

และด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากจะขอเตือน บรรดาท่านที่มีบุตรหลานว่า
อย่าได้ปล่อยลูกหลานของคุณไว้ในรถ ขณะที่ รถยนต์ มีสัญญาณไฟเตือนบนหน้าปัดขึ้นว่า READY
ต่อให้เข้าเกียร์ P เอาไว้ ก็ตาม

โอกาสพลาด เป็นไปได้เหมือนกัน แม้จะน้อยก็ต่าม อย่าประมาท เป็นการดีที่สุด

 

ถามว่าอัตราเร่งเป็นอย่างไร บอกได้ว่า แรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด! 

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง กับ น้ำหนักบรรทุกของคน 3 คน
(ผม คนขับ 95 กิโลกรัม นายเติ้ล The Coup Team ของเรา 55 กิโลกรัม โดยประมาณ
และ เจ้าหน้าที่ของโตโยต้าอีก 1 ท่าน น้ำหนักราวๆ 70-80 กิโลกรัม

จับเวลาเล่นๆ คร่าวๆ ด้วยนาฬิกาข้อมือ ได้ 6.87 วินาที!!
เอาแล้วไง เทียนา 2.5 ลิตร มีงานให้คิดเล่นๆซะแล้ว!

ส่วนการเบรกนั้น ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ มี ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พ่วงมาให้ตามปกติ
แต่มีตัวเสริมคือ ระบบ ECB (Electronically Controlled Brake) ซึ่งจะสั่งการไปยัง
Skid Control ECU และ HV ECU เพื่อช่วยให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างนุ่มนวล
ไปพร้อมกับการสั่งให้ MG2 ปั่นกระแสไฟ ชาร์จกลับเข้าไปแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อนอีกด้วย

วิศวกรของทางโตโยต้า ถามผมว่า เสียง ของมเตอร์ ในช่วงเบรกหัวทิ่ม จนรถหยุดนิ่ง
น่าจะก่อความรำคาญหรือไม่ คำตอบจากผม และเติ้ล คือ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย
ตราบเท่าที่มันยังไม่เริ่มดัง เมื่อใช้งานผ่านไปแล้วสัก 20,000 กิโลเมตร
ดูความเป็นไปได้แล้ว มีสิทธิ์จะค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ บ้างเหมือนกัน
แต่ผมยังไม่เห็นว่า สำคัญนักในตอนนี้

หากสังเกตที่คันเกียร์อัตโนมัติ ยังมีอีกจุด ที่แปลกไป จากเดิม
คือเกียร์อัตโนมัติทั่วๆไป เราจะเห็นตแหน่งเกียร์เป็น P-R-N-D ที่เหลือจะตามด้วย 2-1
หรือ ไม่มีเลย ก็สุดแท้แล้วแต่วิศวกรฝ่ายวิศวกรรมจะทำมาเกินหรือไม่

แต่ในแคมรี ไฮบริด ตำแหน่งคันเกียร์ จะเป็นเช่นนี้
P-R-N-D-B…..

B ?? มีไว้เพื่ออะไร?

เอาง่ายๆคือ มันเอาไว้ทำหน้าที่หน่วงความเร็ว เหมือนๆ Engine Brake นั้นเอง
เอาไว้ช่วยขับขี่ตอนขึ้น ลง เขา (เขาที่แปลว่า ภูเขา ไม่ใช่แปลว่า เขา ผู้ชาย)
ถอนคันเร่งเมื่อไหร่ รถก็จะโดนหน่วงมากขึ้น และยิ่งช่วยให้ MG2
ปั่นชาร์จไฟกลับไปเก็บยังแบ็ตเตอรี ได้ดียิ่งขึ้น

แม้จะทำหน้าที่คล้ายเกียร์ 1-2 แต่มันไม่ได้ช่วยให้คุณเร่งแซงได้ดีขึ้น
ดุจเกียร์อัตโนมัติแบบอื่นๆแต่อย่างใด ตรงนี้ ขอย้ำ!

ส่วนการถอยหลังนั้น เมื่อคุณเข้าเกียร์ R
ไม่ได้หมายความว่า จะมีเกียร์ เพื่อช่วยให้คุณถอยหลัง
หากแต่ ระบบควบคุมของรถ จะสั่งการไปยัง MG2 ให้หมุนย้อนกลับทาง
เพื่อช่วยให้รถถอยหลังได้ โดยเครื่องยนต์จะไม่ติดขึ้นมาช่วยแต่อย่างใด
ใช้โหมด EV หรือไฟฟ้า เพื่อนำรถถอยหลัง

ฟังดูเหมือนจะสับสน แต่รับประกันว่า ไม่อลหม่าน แถมง่ายกว่าที่คิด
ถ้าเข้าใจแล้ว จะเห็นภาพตามชัดเจนมาก

 

นอกจากนี้ แคมรี ไฮบริด ทุกคัน ไม่ว่าจะมี หรือไม่มีระบบนำทาง
จะถูกติดตั้งระบบ VDIM (Vehicle Dynamic Integrated Management)
ซึ่งรวมการทำงานของระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง VSC
และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC Traction Control) เข้าไว้ด้วยกัน
แต่ จะเชื่อมการทำงานของแต่ละระบบทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ให้สัมพันธ์กันมากขึ้น
ให้นุ่มนวล และ “เนียนขึ้น” โดยไม่ต้องพึ่งพา โลชันไวเทนนิ่งใดๆทั้งสิ้น

แน่นอนว่า เมื่อมีการนำแบ็ตเตอรี มาวางไว้ที่ด้านหลังของรถ อีกทั้ง เครื่องยนต์ยังถูกเชื่อมกับ
มอเตอร์ไฟฟ้า ถึง 2 ตัว ใน 1 ชุด เป็นเหตุให้ น้ำหนักตัว เพิ่มขึ้นประมาณ 100 กิโลกรัม

ดังนั้น การปรับแต่งระบบกันสะเทือน จากแคมรีรุ่นมาตรฐาน ให้รองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
แต่ยังต้องคงความนุ่มสบายในการขับขี่ คืออีกงานหนึ่งที่วิศวกรโตโยต้า จำเป็นต้องทำ
ควบคู่ไปกับการปรับปรุงสมรรถนะ และความทนทานของตัวรถให้เหมาะสมกับสภาพอากาศอันร้อนเป็นบ้า
และสภาพถนนของเมืองไทย ที่บ้ายิ่งกว่าสภาพอากาศ เสียอีก

ด้วยเหตุนี้ ช็อกอัพ และสปริง จะถูกปรับปรุง ให้แตกต่างจาก แคมรี รุ่นมาตรฐาน เล็กน้อย
และนั่นทำให้เราพบว่า การขับผ่านคอสะพาน ข้ามคลอง แบบไทยๆ ที่ถูกจำลองเอาไว้
ในสนามทดสอบแห่งใหม่นี้ จึงนุ่มนวล และ ซับแรงสะเทือนได้ดีมาก จนสัมผัสได้เลยว่า
ดีกว่า แคมรีรุ่นเครื่องยนต์สันดาบ ทั่วไป

แถม การที่ เบาะหลัง ถูกออกแบบให้มี ช่อง รับอากาศเข้าไปลดอุณหภูมิของแบ็ตเตอรี
ขึ้นมาใหม่ มีส่วนบ้างเหมือนกัน ที่ช่วยให้เสียง จากระบบกันสะเทือนด้านหลัง ลดน้อยลง

แต่ การขับผ่านลูกระนาดขนาดเล็กๆ ก็ยังมีอาการสะเทือนให้ได้สัมผัสบ้าง แม้ว่าตัวรถจะยังนิ่งสนิทอยู่

ถ้าจะถามว่า ควรปรับปรุงอะไรบ้าง
ณ เวลานี้ ว่ากันที่ตัวรถแล้ว เหลือเพียงการเก็บรายละเอียด
และปรับแต่งตัวรถให้เรียบร้อยอีกสักนิด ส่วนเรื่องน้ำหนักพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน 
พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS นั้น แม้จะถือว่าหนืดแล้ว กำลังดี และ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะชอบ แล้ว
แต่อยากให้ปรับเพิ่มความหนืด ในช่วงหลังความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปอีกสักหน่อย
น่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ ให้กับผู้ขับขี่จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มนักขับรถ
ที่มีอดีตชาติ เป็นนักแข่งรถทางเรียบ กลับมาเกิดใหม่

ที่เหลือ ก็แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว ณ วินาทีนี้

********** สรุป **********
แพงกว่าตัวท็อป 100,000 บาท คุ้มหรือไม่ หลังเปิดตัว เจอกันแน่! 

ใครที่เพียรเฝ้าแต่ถามผมว่า เมื่อไหร่ รถยนต์ไฮบริด จะเข้ามาขายในเมืองไทยเสียที
ต่อจากนี้ ก็คงต้องเก็บคำถาม ของคุณ ลงไปในหีบสมบัติเจ้าคุณปู่กันได้แล้ว

เพราะตั้งแต่ 27 กรกฎาคม ปีนี้ เป็นต้นไป โตโยต้า เขาจะเริ่มขายรถยนต์ไฮบริดในบ้านเรากันอย่างเป็นทางการ
ที่สำคัญคือ ยังเป็นรถยนต์ที่ถูกนำมาขึ้นสายการผลิต ณ โรงงานในเมืองไทย เป็นรายแรกกันอีกด้วย!

งานนี้ แม้ว่า โตโยต้า อาจจะต้องลงทุนหนักมากเอาการ แต่ผลที่ได้กลับมา
แม้จะยังไม่คุ้มทุนในเร็วๆนี้หรอก แต่เชื่อว่า ทุกฝ่ายคงวิเคราะห์กันแล้วว่า
ในระยะยาว ผลได้ มันจะมากกว่า ผลเสีย

อย่างไรก็ตาม ผมมองในมุมหนึ่งว่า นี่เป็นการแสดงสปิริต ให้เราได้เห็น
 
สปิริต ที่โตโยต้า เพียรเฝ้าบอกกับสังคมมาตลอดว่า ฉันจะเติบโตอยู่คู่กับสังคมไทย
สปิริต ในการนำเทคโนโลยี ใหม่ๆ มาให้คนไทยได้ซื้อหามาใช้กันอย่างสบายอกสบายใจ (ซะที)
สปิริต ในการแสดงออก ถึงความตั้งใจในการมีส่วนร่วม เพื่อช่วยลดผลกระทบจากปัญหาสภาวะแวดล้อม
ภาวะโลกร้อน และความวิตกกังวลถึงปริมาณเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ยังคงเหลืออยู่ใต้พื้นภิภพ
ซึ่งนับวันมีแต่จะลดน้อยถอยลงไปอย่างรวดเร็ว

และแน่นอน เป็นการแสดงสปิริต ที่ทำให้ตนเอง ได้รายได้ เข้ามา อีกด้วย
จากเดิมที่เคยต้องเจียดงบมาประขาสัมพันธ์ระบบไฮบริด กันอยู่นานเป็นแรมปี
โดยไม่ได้ตัวเงินกลับคืนมาเป็นกอบเป็นกำอย่างที่ควร

อันนี้เป็นสปิริต ที่ขอนับถือ เพราะเป็นการแสดงสปิริต ที่ Win Win กันทุกฝ่าย

แถมคราวนี้ โตโยต้า ยังทำการบ้านมาดี เอาเรื่อง เตรียมความพร้อมในการซ่อมบำรุง
ให้กับศูนย์บริการ และเจ้าหน้าที่ไว้ครบถ้วนแล้ว สำหรับผู้จำหน่ายทั้ง 289 แห่ง 
แถมยังเตรียม ช่างเทคนิคที่เรียกว่า HYBRID MASTER ช่วยแก้ปัญหาในเคสเร่งด่วน
หรือเคสแปลกๆต่างๆ ไว้รอประจำการที่กรุงเทพฯ อีกต่างหาก

(นั่นหมายความว่า คราวนี้ ใครที่ซื้อรถนำเข้าจาก ผู้นำเข้ารายย่อย
ทั้ง Estima Hybrid Alphard Hybrid หรือ Harrier Hybrid ตอนนี้ คุณสามารถ
นำรถเข้าศูนย์ Lexus ในกรุงเทพ และ ศูนย์บริการแห่งอื่นๆของโตโยต้า ได้แล้ว!
หลังจากที่รถ แคมรี ไฮบริด เปิดตัวไป

ทีนี้ หลายคำถามที่คาใจ วันนี้ โตโยต้าบอกว่า พร้อมจะตอบได้แล้ว

เช่นคำถามที่ว่า เราจะทำอย่างไร กับแบ็ตเตอรี ขนาดใหญ่โตเหล่านี้
เมื่อถึงวันที่ แบ็ตเตอรี เสื่อมสภาพ

แม้ทางวิศวกรของโตโยต้า จะตอบเอาไว้กระจ่างแล้วว่า รับประกันอายุแบ็ตเตอรี 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
ถ้ามันพัง ก็ถอดออก แล้วนำไปผ่านกระวนการ Recycle และแบ็ตเตอรีขับเคลื่อน ลูกนึง ถึงแม้ยังต้อง
นำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่ก็จะมีราคา ต่ำกว่า 100,000 บาทแน่ๆ

กระนั้น ก็ยังไม่มีใครตอบได้ ว่า มันจะมีอายุการใช้งาน ได้นานแค่ไหน ต้องขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่เป็นสำคัญ

หรือคำถามที่ว่า จะมีปัญหากับการลุยน้ำท่วม ในบ้านเราไหม?
โตโยต้า ก็ยืนยันว่า แคมรี ไฮบริด ผ่านการทดสอบลุยน้ำที่ระดับความลึก 35-50 เซ็นติเมตรแล้ว
(แต่ พรมปูพื้นรถก็คงต้องเปียกกันบ้าง)

ราคาจะแพงกว่ากันมากน้อยแค่ไหน?
แคมรี ไฮบริด จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย
คือรุ่นท็อป มี ระบบนำทาง กับ รุ่นรองท็อป ไม่มีระบบนำทาง
ค่าตัวจะเพิ่มจาก รุ่น 2.4 ตัวท็อป ประมาณ 100,000 บาท

เปิดตัวเมื่อไหร่?
27 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ก็เจอกันบนโชว์รูมได้แล้ว

แต่ กับคำถามสุดท้ายที่ว่า แล้ว  แคมรี ไฮบริด จะประหยัดขึ้น
เมื่อเทียบกับแคมรี ธรรมดา มากน้อยแค่ไหน?

ถึงคนของโตโยต้า จะยืนยันเต็มปากเต็มคำว่า “ประหยัดกว่ามาก”
กระนั้น จ้างให้ ในเวลานี้ ผมก็ยังไม่เชื่อ!

เพราะที่บ้าน สอนมาดีว่า “อย่าเชื่อ จนกว่าจะได้ทดลองด้วยตัวเอง”

ดังนั้น ณ ขณะนี้ ผมคงจะบอกได้แต่เพียงว่า จะขอรอให้โตโยต้า พร้อมที่จะส่ง
รถยนต์ แคมรี ไฮบริด ให้เรานำมาทดลองขับ กันเต็มที่เสียก่อน

เมื่อนั้นละครับ Headlightmag.com จะเป็นรายแรกๆที่ตอบคำถามนี้ให้กับคุณ (ตามเคย)

———————————————-///————————————————–

 

 

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับความเอื้อเฟื้อในครั้งนี้

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์

เผยแพร่ครั้งแรก ใน www.headlightmag.com
18 มิถุนายน 2009

แสดงความคิดเห็นของคุณได้ ที่นี่ คลิก