ชีวิตคนเรา บางครั้งก็ต้องมาถึงจุดที่มีการเปลี่ยนแปลง บางครั้ง เราตัดสินใจลงทุน ลงแรง เสียเหงื่อในวันนี้ เพื่อกินดีในวันหน้า แต่สำหรับบางคน การเปลี่ยนแปลง คือการถอยหลังมาตั้งหลัก ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็น เพื่อพยุงตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดในวันนี้ จากนั้นตั้งต้นใหม่ วิถีใหม่ แล้วเริ่มสู้ใหม่อีกครั้ง

อย่าคิดว่าเราจะรอดเสมอไป..เพราะในสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนแบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้

มันเป็นเรื่องของจังหวะการแกว่งของโลก ว่าจะแกว่งไปเข้าทางใคร คนที่ประกอบกิจการหนึ่งอาจกำลังกอบโกยกำไรอย่างมหาศาลจนอาจจะคิดว่า “เศรษฐกิจมันก็ดีอยู่ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ที่คนอื่นล้มเหลวเพราะไม่ขวนขวายพยายามมากกว่า” ผมได้ยินแบบนี้ทีไรก็คันเสียจนอยากยกขาหลังเกาหู คุณไม่คิดบ้างหรือว่าธุรกิจมันมีหลายแขนง มีปัจจัยเกี่ยวข้องตั้งกี่อย่าง เพื่อนผมบางคน ทำกิจการคอนกรีตมาตั้งแต่รุ่นพ่อ..กำลังจะปิดโรงงาน บางคนทำกิจการเกี่ยวกับรถ..กำลังจะเลิกทำรถ บางคนเคยเป็นเจ้าของสถาบันการศึกษาระดับใหญ่ของจังหวัด..กำลังขายของใช้ส่วนตัว เพื่อให้พรุ่งนี้มีกิน

ถามหน่อย เคยเจอตัวจริงของคนเหล่านี้ไหม ถึงกล้าไปด่าแบบเหมารวมว่าเขาไม่มีความฉลาด ไม่มีความพยายาม?

ผมเองก็มีความคิดเหมือนกันว่า ถ้าไปไม่รอดในวงการรถยนต์ จะเอาตัวเองไปทำอะไรได้อีกบ้าง เพราะเรื่องรถ ผมก็รู้แค่ราวๆ 40-50% เรื่องอื่นยิ่งรู้น้อยกว่ารถเสียอีก แต่ผมมีความคิดแปลกๆโผล่เข้ามาประจำ..คือได้แต่คิดไอเดียให้คนอื่น Support คนอื่นจนเขาประสบความสำเร็จในธุรกิจกับการงาน แต่คิดหาอะไรทำให้ตัวเองรวยไม่ได้เสียทีวุ้ย หรือผมจะไลฟ์ขายกุ้งแห้งแบบบังฮาซัน? จะขายกุ้งแข่งกับบัง เห็นทีจะไม่รุ่ง น้อยคนนักจะมีพรสวรรค์แบบบัง คนอะไรก็ไม่รู้ ถือถุงกุ้งแห้ง พูดสี่ห้าประโยค ก็ดลบันดาลให้เกิดความรู้สึกอยากกินมาม่าต้มยำบีบมะนาวใส่กุ้งแห้งขึ้นมาทันที

เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าผมย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เปิดธุรกิจ Food truck เล็กๆ แล้วค่อยขยายกิจการให้มีหน้าร้าน มีสาขา เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปน่าจะดี ผมเคยออกไอเดียเล่นๆกับเพื่อนว่าอยากทำ Food truck ไก่ย่าง..ตั้งชื่อว่าไก่ย่างเขาสวนทวาร แข่งกับไก่ย่างเขาสวนกวาง..สวนกวางจะไปมันส์อะไร ต้องสวนทวารสิ ของแท้ ไก่ทุกตัวต้องมีท่อนไม้ไผ่เสียบตูด ย่างให้หอมสมุนไพร หนังเป็นสีน้ำตาลเกรียมแค่ตรงขอบ ฉีกหนังกินได้มัน ฉีกเนื้อกินมีความเค็ม หวาน กลิ่นควัน และคอเลสเตอรอลที่คุณเพรียกหา

ไม่รู้ว่าผมจะได้ทำสิ่งที่คิดไว้หรือไม่ แต่ถ้าใครก๊อปไอเดียผมไปทำก่อน ผมก็ไม่ว่าหรอก แค่อย่าลืมส่ง Voucher กินฟรีตลอดชีพให้ผมละกัน

เรื่องไก่ย่างเขาสวนทวารนั้น ยังออกจะห่างไกลอยู่ เพราะทุกวันนี้ ผมยัง Happy ดีกับการขับรถแล้วนำมาเขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง แต่เรื่อง Food truck นั้น ผมไม่ต้องรอเพื่อที่จะได้ลองขับ เพราะหลังจากเปิดตัวในงาน Big Motorsales วันที่ 16 สิงหาคม 2019 ทาง Suzuki ประเทศไทยก็ไม่รอช้า จัดทริปทดลองขับ เชิญสื่อมวลชนมาสัมผัส Suzuki Carry ใหม่เพียงไม่ถึงสองสัปดาห์หลังเปิดตัว

นี่คือรถที่จะมาสานต่อตำนานรถแห่งคนสู้ชีวิตและ Food trucker หลังจากที่เจนเนอเรชั่นก่อน ขายตั้งแต่ปี 2006 โดยทำยอดขายเฉลี่ยประมาณเดือนละ 320 คัน ซึ่งถึงแม้จะน้อยมากเมื่อเทียบกับยอดขายรถกระบะตอนเดียว แต่ก็นับเป็นทางเลือกที่ประหยัดงบสุดสำหรับคนที่ต้องการรถใหม่สำหรับการใช้งาน

Suzuki Carry รุ่นใหม่ เปิดตัวด้วยราคา 385,000 บาท มันคือหนึ่งในรถป้ายแดงจากแบรนด์คนคุ้นชื่อที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่ประเทศนี้จะมีให้คุณ เพราะเมื่อหันไปมองรถกระบะตอนเดียว แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะขายรถราคาเท่านี้ให้คุณ ขนาด Nissan Navara ตอนเดียวก็เพิ่งจะมีโปรโมชั่น 499,000 บาท และ Isuzu D-Max Spark 1.9B ก็ยังอยู่ที่แถวๆ 538,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบแบบนี้ก็คงจะพอเข้าใจว่าทำไม Carry ยังมีช่องว่างในตลาดสำหรับคนที่ต้องการประหยัดงบ

สารภาพว่าการได้แตะ Carry นั้นถือเป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะโดยปกติผมแทบจะไม่ได้ขับรถประเภทที่เครื่องยนต์วางอยู่ข้างใต้เบาะ แนวแทร็คล้ออยู่ข้างใต้ตัว ถ้าคุณไม่นับพวกรถตู้ หรือ MPV อย่าง H-1 ผมเองก็คิดอยู่นานว่า ถ้าเราไม่ใช่คนที่ขับรถเชิงพาณิชย์แบบนี้เป็นประจำ แล้วคนอ่านจะได้อะไรจากรีวิวของเรา (วะ) แต่เมื่อไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า “เอ็งก็ไปขับเถิด รู้สึกอย่างไรก็เขียนก็บอกไปตามตรง เพราะไม่ช้าก็เร็ว ข้านี่แหละอาจจะต้องเป็นลูกค้าเขา เอ็งไปขับแล้วมาเล่าให้ข้าฟังหน่อยก็ยังดี”

ดังนั้น ถ้าคุณอ่านรีวิวนี้แล้วรู้สึกคันๆ ก็เกาเถิดครับ ไม่งั้นก็ใช้ซีม่าทาเสีย เพราะมันจะเป็นมุมมองจากคนที่ปกติทดสอบแต่รถเก๋ง รถสปอร์ต SUV และรถกระบะเป็นหลัก คุณอาจจะไม่ได้มุมมองจากคนที่เป็นนักขับรถหัวโตเป็นอาชีพ แต่สำหรับคนที่กำลังต้องผันบทบาทจากพนักงานประจำขับอีโคคาร์ ไปเป็นเจ้าของกิจการเล็ก แล้วสงสัยว่ารถอย่าง Carry มีอะไรต่างจากรถทั่วไป หรือคนที่กำลังสงสัยว่า ในราคาอันแสนถูกของ Carry มีอะไรบ้างที่คุณต้องแลกไป เมื่อเทียบกับการใช้รถกระบะ..ผมจะพยายามตอบคนสองกลุ่มหลังนี้ให้ดีที่สุด

All new Suzuki Carry รหัสตัวถัง “HD” นี้ มีความยาวตัวถัง 4,195 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,910 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,205 มิลลิเมตร ความกว้างของฐานล้อหน้า/หลัง (Front/Rear Track) เท่ากับ 1,465 และ 1,460 มิลลิเมตรตามลำดับ รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.4 เมตร ความสูงใต้ท้องรถ 160 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,065 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 945 กิโลกรัม (รวมหมดทั้งสินค้าที่กระบะหลัง คนขับ และผู้โดยสารนะครับ ไม่ใช่น้ำหนักโหลดท้ายอย่างเดียว) ความจุถังน้ำมัน 43 ลิตร

รถรุ่นนี้ ประกอบจากโรงงาน PT Suzuki Indomobil Motor ที่เมือง Bekasi อินโดนีเซีย เช่นเดียวกับรุ่นที่แล้ว จากนั้นนำเข้ามาในประเทศโดยได้สิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าตามกฎของ ASEAN วัด CO2 ได้ 173 กรัม/กิโลเมตร (เยอะกว่ารถใหญ่ๆเครื่อง 2.0 ลิตรอีกวุ้ย) แต่จดสรรพสามิต เป็นรถบรรทุกเล็กอเนกประสงค์เชิงพาณิชย์ เสียภาษีในอัตรา 2%

ดีไซน์ภายนอก ดูแตกต่างจากรุ่นที่แล้วมาก มันมีกลิ่นอายของความซีเรียสอยู่ในความมีชีวิตชีวา สู้ชีวิตเหมือนสามีตัวเล็กๆที่ยืนยิ้ม ย่างเนื้อ ทอดฟรายด์ ขายเบอร์เกอร์บน Food truck เอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว

และไม่ต้องนั่งเลือกสีในโบรชัวร์ เพราะมีแค่สีขาว คาดสติกเกอร์สีน้ำเงินจนดูเหมือนสายการบินแอโร่ฟลอทรัสเซียในยุคที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต จะให้บอกว่าสวยก็พูดได้ไม่เต็มปาก มันดูเหมือนรถบรรทุก 4 ล้อที่ย่อขนาดลงมา ในขณะที่รุ่นเก่านั้น มีความน่ารักที่ได้มาเป็นมรดกจากรถ MPV จิ๋วอย่าง Suzuki APV มีส่วนหน้าที่ยื่นออกมากับไฟหน้าและกระจังที่จัดตำแหน่งมาดูน่ารักน่ามอง แถมดูเผินๆนึกถึงรถตู้ของ Volkswagen บางรุ่น

แต่คนออกแบบ ไม่ได้ทำให้มันดูซีเรียส ละทิ้งความน่ารักน่าฟัดของรถรุ่นเก่าไป โดยไม่ได้มีเหตุผลที่ดีพอหรอกครับ ลองดูภาพเทียบระหว่างรถรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่นี้ดูก่อน

จะเห็นได้ว่า รถรุ่นใหม่นั้นยาวกว่าเดิมถึง 40 มิลลิเมตร ความสูงใกล้เคียงเดิม ส่วนความกว้าง เพิ่มจาก 1,680 เป็น 1,765 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นมากถึง 85 มิลลิเมตร และช่วยให้สามารถขยายความกว้างของแนวแทร็คล้อหน้าและหลังเพิ่มขึ้น 30 และ 25 มิลลิเมตรตามลำดับ แต่ในขณะเดียวกันความยาวฐานล้อกลับสั้นจุ๊ดจู๋ หายไปถึง 420 มิลลิเมตร

แปลจากตัวเลขเป็นภาษาคนก็คือ การออกแบบตัวถังใหม่ แม้จะดูเหมือนรถบรรทุกมากขึ้น แต่ทำให้ห้องโดยสารโปร่งโล่งขึ้น กว้างขึ้น การย้ายแนวแทร็คล้อหน้าเขยิบไปไว้ด้านหลัง ช่วยแก้ปัญหาจากรถรุ่นเดิมที่ซุ้มล้อเบียดพื้นที่วางเท้าจนขับไม่ค่อยสบาย ฐานล้อที่สั้นลงทำให้เลี้ยวในที่แคบๆที่คล่องตัวขึ้น และยังได้เพิ่มความยาวของกระบะท้ายรถมากขึ้น เป็นการออกแบบที่ทิ้งความน่ารัก ไปสู่การใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ส่วนหน้ารถที่สั้นลงอาจทำให้บางท่านสงสัยว่าความปลอดภัยในการชนด้านหน้าลดลงหรือไม่ เรื่องนี้ผมเองก็ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้จะหาผลการทดสอบจากไหนมายืนยัน

กระบะท้าย สามารถเปิดลงได้หมดสามด้าน สะดวกต่อการโหลดสินค้าในกรณีที่ต้องจอดเทียบข้างทางแล้วมีพื้นที่ด้านหน้า/หลังจำกัด ลักษณะกระบะที่สูงทำให้ไม่ต้องเผื่อที่หลบซุ้มล้อหลังแบบรถปิคอัพ 1 ตันทั่วไป ทำให้ได้พื้นที่สำหรับการบรรทุกจริงมากขึ้น

แต่จะกว้างจริงจังแค่ไหน ผมลองไปค้นขนาดพื้นที่กระบะ ลองเทียบกับรถรุ่นเก่า และพวกปิคอัพ 1 ตันดู ก็ได้ตัวเลขดังนี้ครับ

  • All new Suzuki Carry ยาว 2,450 มิลลิเมตร กว้าง 1,670 มิลลิเมตร
  • All old Suzuki Carry (รุ่นที่แล้ว) ยาว 2,200 มิลลิเมตร กว้าง 1,585 มิลลิเมตร
  • Toyota Hilux Revo ยาว 2,315 มิลลิเมตร กว้าง 1,575 มิลลิเมตร
  • Isuzu D-Max Spark ยาว 2,305 มิลลิเมตร กว้าง 1,570 มิลลิเมตร
  • Nissan Navara ยาว 2,348 มิลลิเมตร กว้าง 1,560 มิลลิเมตร

จะเห็นได้ว่าพื้นที่กระบะท้าย ยาวกว่าเดิมถึง 25 เซนติเมตร ยาวกว่าพวกปิคอัพ 1 ตันอีก 10 เซนติเมตรโดยประมาณ และไม่ต้องพูดถึงความกว้างซึ่งมากกว่าคนอื่นๆ 10 เซนติเมตรในภาพรวม

เมื่อเปิดประตูออกมา สิ่งแรกที่เห็นคือแนวช่องทางเข้าซึ่งเปลี่ยนไปจากรถรุ่นเดิม ในรุ่นเก่า ล้อหน้าจะเบียดบังทางเข้าไปมากพอสมควร บางทีก็รู้สึกว่าตวัดขาเข้ายาก แต่สำหรับรถรุ่นใหม่ที่ย้ายตำแหน่งล้อ การปีนขึ้นลงจึงเป็นธรรมชาติง่ายๆเหมือนกระโดดขึ้นขับพวก Hiace หัวจรวดรุ่นเก่าๆ เรียกได้ว่าแทบจะสไลด์เข้าตรงๆเลยดีกว่าถ้าคุณตัวสูงพอ

สำหรับเบาะนั่งนั้น คนที่ชินกับรถเก๋งจะงงนิดๆกับลักษณะของเบาะที่เป็นรถแบบพาณิชย์จริงๆเลย มันดูเหมือนเบาะพับตัวนอกของรถตู้รุ่นเก่าๆ บางๆ แปะอยู่บนฝาครอบเครื่องยนต์ ส่วนที่เป็นพนักพิงศีรษะติดตายอยู่กับผนังด้านหลังของห้องโดยสาร ฝั่งคนขับสามารถปรับเลื่อนหน้าถอยหลังได้ 105 มิลลิเมตร ตัวเบาะคู่หน้าสามารถดึงเชือกพับลงมาเพื่อเปิดสู่ห้องเครื่องยนต์ได้ นอกนั้นแล้วจงทำใจ ถ้าไซส์ตัวคุณไม่พอดีกับรถคันนี้ ก็จบ

ผมลองพยายามปรับดูแล้ว พบว่าถ้าถอยเบาะไปสุด ลองเหยียบคลัตช์จมแล้วกลับรู้สึกตัวหลวมๆ ต้องไถเบาะมาข้างหน้านิดๆ คันโยกเลื่อนเบาะเป็นเหล็กแท่งยาวๆโผล่มาจากข้างใต้เบาะ ไม่มีอะไรหุ้มสักนิดจนบางทีขยับขาก็กลัวจะทิ่มขาหรือเปล่า แต่คงไม่ทะลุหรอก เรื่องความสบายในการนั่ง แน่นอนว่าดีกว่าเก้าอี้รอพบแพทย์ แต่คงสู้เบาะรถแบบพวกปิคอัพขนาด 1 ตันไม่ได้

ความกว้างของเบาะแถวหน้านั้น ดูทรงแล้ว ถ้าคนขับไม่ได้ตัวใหญ่แบบผม คุณสามารถนั่งตามแนวขวาง 3 คนได้แน่นอนแบบไม่อึดอัดมากนัก แต่ไม่ขอแนะนำแล้วกันครับ เพราะเข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 3 จุด มีมาให้แค่ 2 ตำแหน่ง ใครนั่งกลาง ไม่มีเข็มขัดก็วัดดวงเอา มองซะว่าเป็นที่สำหรับวางกระเป๋า วางของ หรือเป็นที่ไว้สำหรับแกว่งแขนแก้เมื่อยจะดีกว่า

 

ภายใน มีอุปกรณ์ให้เท่าที่จำเป็นจริงๆ Minimalism ชัดเจนเช่นเดียวกับรุ่นที่แล้ว วัสดุหุ้มปิดส่วนบนและล่างห้องโดยสารถูกตัดออกหมด จะเรียกว่าแบบ Loft ก็เกรงใจคนคิดชื่อ พวงมาลัย 2 ก้าน ไม่มีถุงลมนิรภัย กระจกไฟฟ้า หรือเซ็นทรัลล็อค ระบบปัดน้ำฝนมีแค่ ปัดก้านขึ้นให้ทำงาน ปล่อยปุ๊บก็หยุด (MIST) กับปัดต่อเนื่อง และปัดต่อเนื่องอย่างเร็ว ไม่มีแบบปัดแล้วหยุดแล้วปัด คันเกียร์ ย้ายจากด้านข้าง มาอยู่บนแดชบอร์ด เพื่อให้ใกล้มือ ทำนองเดียวกับรถซิ่งแต่หัวเกียร์จะเอียงไปทางข้างหลังมาก ยังจับไม่ถนัดมือนัก

ระบบปรับอากาศ มีแค่ปุ่มปรับความเย็นกับแรงลม ไม่มีปุ่มปล่อยอากาศภายนอกเข้ามา ไม่มี A/C off เครื่องเสียงที่ติดมาให้เป็นฟรอนท์ของ Pioneer แบบ 1 DIN มีรูเสียบ USB และ AUX ไม่มีช่องใส่ CD มีลำโพงคู่หน้าแค่ 2 ตัว แต่ก็งงเหมือนกันที่คุณภาพเสียงที่ออกมากลับไม่เลวเลยสำหรับชุดเครื่องเสียงที่สุดแสนจะ Basic แบบนี้ ฝั่งซ้าย มีรูเสียบปลั๊กกลม 12V และช่องเก็บของด้านบนและล่างขนาดโตแต่ไม่มีฝาปิด เบรกมือเป็นคันโยก พร้อมระบบ Safety ต้องกดปุ่มตรงหัวพร้อมๆกับยกก้านขึ้น ถึงจะปลดได้ เขาทำไว้กันไม่ให้สิ่งของไปกระแทกโดนปุ่มแล้วเบรกมือปลดโดยไม่ได้ตั้งใจ

ท่องไว้ในใจครับ 385,000 บาท..ไม่ใช่ 538,000 บาท มันก็ให้ตามอัตภาพของมัน ถ้าไม่นับเรื่องวัสดุปิดเหล็กต่างๆ ผมก็ว่ารถกระบะตอนเดียวราคาห้าแสน มีอุปกรณ์ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่หรอก ดูอย่าง Isuzu D-max Spark 1.9B ก็กระจกมือหมุนเหมือนกัน แอร์มีแค่ 2 ลูกบิดเหมือนกัน มันก็ตามราคานั่นแหละ

แผงหน้าปัด ยิ่งหนักกว่ารุ่นเก่าตรงที่ไม่มีเข็มอุณหภูมิน้ำให้แล้ว เหลือแต่เพียงดวงไฟเตือนเครื่องร้อน และเย็นเท่านั้น มาตรวัดรอบไม่มีมาให้ มีช่องเล็กๆที่เป็นแผงดิจิตอล แสดงข้อมูลน้ำมันที่เหลือในถัง หรือกดปุ่มสลับการแสดงค่า Odometer>Trip A>Trip B ได้ ถ้าคุณเปิดไฟหรี่หรือไฟหน้า จะมีฟังก์ชั่นสำหรับปรับความสว่างหน้าปัดโผล่ออกมาด้วย

การเลือกรูปแบบตัวอักษร และการจัดวาง ทำให้อ่านค่าบนหน้าปัดได้ง่าย มันง่ายเพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาให้รกตา จุดนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันมีราคาถูกกว่าบรรดากระบะ 1 ตัน ซึ่งพวกนั้นเขาจะทำเผื่อพวกคนขับรถเร็ว อย่างน้อยก็มีเข็มอุณหภูมิและมาตรวัดรอบมาให้

***รายละเอียดทางวิศวกรรม***

ในรุ่นเดิม Carry จะใช้เครื่องยนต์แบบ G16A 1.6 ลิตร 92 แรงม้า แรงบิด 127 นิวตันเมตร แต่รุ่นใหม่ จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ K15B 4 สูบ ความจุ 1,462 ซี.ซี. จากขนาดปากกระบอกสูบ 74.0 และช่วงชัก 85.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10:1 ให้พละกำลังสูงสุด 97 แรงม้า (HP) ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ปล่อย CO2 ตาม Eco sticker 173 กรัม/กม. รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20

คนอ่านที่ตาไว จะรู้สึกว่า เอ๊ะนี่มันรหัสเดียวกันกับเครื่องยนต์ของ Suzuki Ertiga นี่หว่า ก็ถูกครับ พื้นฐานเครื่องยนต์เกือบเหมือนกัน แต่เครื่องยนต์ของ Carry จะเป็นแบบวางตามยาวขับเคลื่อนล้อหลัง แถมยังวางเอียงมากจนอีกนิดนึงผมจะเรียกว่าเครื่อง Semi-boxer แล้วเพราะนอนยันข้างเดียว อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ของเจ้านี่ จะมีอัตราส่วนกำลังอัดต่ำกว่าเครื่องยนต์ของ Ertiga และใช้แคมชาฟท์คนละเบอร์ มีรายละเอียดในฝาสูบบางส่วนที่ต่างกัน

ระบบส่งกำลัง มีเพียงแบบเดียวคือเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ซึ่งมีอัตราทดดังนี้

  • เกียร์ 1  3.580
  • เกียร์ 2  2.095
  • เกียร์ 3  1.531
  • เกียร์ 4  1.000
  • เกียร์ 5  0.855
  • เกียร์ถอยหลัง  3.727
  • อัตราทดเฟืองท้าย  4.875

พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ระบบเบรกหน้า เป็นดิสก์เบรกแบบมีร่องระบายความร้อนกลางจานเบรก ด้านหลังเป็นดรัมเบรก น่าแปลกใจนิดนึงตรงที่ แม้จะเป็นรถพาณิชย์ราคาถูก เซฟต้นทุนกันขนาดไหน ขนาดถุงลมนิรภัยยังไม่มี แต่กลับมีเบรก ABS มาให้ อันนี้ต้องขอชม เพราะรถปิคอัพตอนเดียวบางรุ่นก็ยังไม่มีมาให้

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นแบบคานแข็งพร้อมแหนบ 5 ชั้น วางเหนือเพลา ใช้ล้อและยางขนาด 165/80R13 ซึ่งดูแล้วออกจะหน้าแคบ และขนาดล้อออกจะเล็กไปสักนิด

***การทดลองขับ***

ในทริปนี้ ทางผู้จัดการเดินทาง เลือกให้ออกสตาร์ทจาก Photalai Leisure Park แถวถนนเลียบด่วนฯ แล้ววิ่งไปยังจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งในเส้นทางเหล่านี้ จะมีทั้งการผจญรถติดแถวเลียบด่วนช่วงสายๆ การไหลคลานตามสายธารการจราจรที่ต้องมุดซ้ายขวาเปลี่ยนเลนไปมาเพื่อตามรถคันอื่นในขบวนให้ทัน มีการวิ่งบนทางด่วน และมอเตอร์เวย์ ตลอดจนการขับผ่านถนนท้องถิ่น ตรอก ซอย ทางเลี้ยวแคบๆ ในตัวเมืองแปดริ้ว

ในการขับครั้งนี้ ผมจับคู่กับพี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ นักทดสอบ และช่างภาพฝีมือฉกาจ จาก Thairath Online ซึ่งปกติ เวลาไปออกทริปส่วนมากมักจะเจอกันแต่ Porsche ผมกับพี่ฉ่างยังแอบขำว่าคราวที่แล้วเรานั่งคู่กันใน Panamera คราวนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นรถเพื่อชีิวิตบ้าง ก็คงแปลกไปอีกแบบ นี่ไม่ได้บ่นนะครับ เพราะตามหน้าที่ของพวกเรา ทั้งผมและพี่ฉ่างนั้น มีอะไรมาให้ทดสอบ เราไม่มานั่งเลือกหรอกครับ รถแพง รถถูก ขอให้เรานั่งและขับได้ปลอดภัยพอ แล้วมีอะไรให้คนได้อ่าน เราเอาหมดแหละครับ

ผมบิดกุญแจสตาร์ท แล้วรอให้ไฟสีน้ำเงิน (เครื่องเย็น) หายไป แล้วก็ออกตัว ขับตามรถนำไปแล้วหยุดรอรถเลี้ยว จากนั้นออกตัว..แล้วก็ดับ! ฮ่าๆ ไม่เคยทำรถเกียร์ธรรมดาออกตัวดับมานานเท่าไหร่แล้ววุ้ย ผมยังไม่ชินกับคลัตช์ของ Carry เท่าไหร่นัก จุดตัดต่อกำลังมันอยู่ต่ำ แต่ตัวแป้นคลัตช์น่ะ เวลาปล่อยหมด มันจะอยู่สูงมากครับ ทำให้ควบคุมได้ยาก เพราะผมต้องใช้วิธียกเข่าและขาท่อนบนช่วยเท่านั้น ไม่สามารถขยับแค่ขาท่อนล่างกับเท้าได้เลย

เราเลี้ยวออกมาบนถนนเลียบด่วน ก็เจอกับรถติดแบบเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวไป โอ้โหท่านผู้ชม ขับมาแค่ 20 นาทีก็ปวดเข่าแล้ว ถ้าทีมวิศวกรอยากทำอะไรกับรถ ผมขอให้ปรับระยะแป้นคลัตช์ก่อนเลยครับเพราะมันทำให้เราต้องขยับขามากจนเกินจำเป็นจริงๆ ระยะเข้าเกียร์ ก็ไม่ได้สั้นกรึ๊บกรั๊บแบบ Swift เกียร์ธรรมดารุ่นเก่า มันจะออกแนวยาวๆและมีช่วงขยับซ้ายขวาหลวมๆ

อย่างไรก็ตามผมพบว่าเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร K15B บวกกับเฟืองท้ายที่ทำให้อัตราทดรวมจัดราวกับซอสพริกบายต๊อดของพี่ปิติ ทำให้อัตราเร่งในตัวเมืองนั้นดีเกินคาด อยู่เกียร์ 1 กดคันเร่งเต็มมีหลังติดเบาะ แล้วไม่นานก็ต้องสับลงเกียร์ 2 เพราะเกียร์ 1 มันหมดที่แถวๆ 30-35 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแค่นั้น เกียร์ 2 ของ Carry เองก็จัดพอๆกับเกียร์ 1 ของรถบ้านเกียร์ออโต้ 4 จังหวะแล้วด้วย

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมได้ลองทำเพียงครั้งเดียว ซึ่งอาจจะมีความคลาดเคลื่อนนะครับต้องบอกไว้ก่อน ผลที่ได้คือ 16.8 วินาที โดยมีน้ำหนักบรรทุกคือผมกับพี่ฉ่าง และออกตัวแบบกระชากคลัตช์ออกล้อฟรี สับเกียร์ทีรถโยก

ดูตัวเลขแล้วอย่าแปลกใจว่าทำไมโผล่ไปเท่าๆกับ MG ZS เสียอย่างนั้นทั้งๆที่ตอนกดคันเร่งก็รู้สึกว่ารถพุ่งดีอยู่ เฉลยครับ เพราะใน Carry นี่คุณต้องสับเกียร์ 1 ไป 2 2 ไป 3 และ 3 ไป 4 คือสับเกียร์ถึง 3 ครั้งกว่าจะถึง 100 นึงได้ ระยะคลัตช์และเกียร์ก็ไม่ได้ช่วยให้สับเกียร์คล่องมือเท่าไหร่ เสียเวลาระหว่างสับเกียร์ไปมาก

ส่วนอัตราเร่งแซงนั้น 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องใช้เกียร์ 4 ล้วนๆ (เกียร์ 3 จัดเกินไป) ทำตัวเลขได้ 12.5 วินาที แต่ช้าก่อน..ถ้าวิ่งโดยมีลมตีสวนทางเมื่อไหร่ จะกลายเป็น 13.2 วินาที ผมลองจับระหว่างวิ่งมอเตอร์เวย์ขาไปและกลับ ได้ตัวเลขต่างกันประมาณนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะรูปทรงของรถมันต้านลมอยู่แล้ว ทำอัตราเร่งได้พอๆกับ Avanza รุ่นเก่า 1.5 ลิตร ผมว่าก็สมเหตุผลอยู่

หวังว่าคงไม่มีใครมาค่อนแคะนะครับ ว่ารถแบบนี้เขาเอาไว้ใช้งาน จะจับเวลาไปทำไม ..ทำ เพื่อให้รู้ครับ ว่าเวลาที่เราต้องการใช้พลังมันทุกเม็ด รถมันทำได้ขนาดไหน จะใช้ไม่ใช้ก็อีกเรื่องครับ..ส่วนความเร็วสูงสุดแต่ละเกียร์นั้น ผมต้องใช้วิธีลากเครื่องจนรอบตัดเอาแล้วดูว่าได้เท่าไหร่ เกียร์ 1 หมดแถวๆ 35 เกียร์ 2 หมดที่ 65 เกียร์ 3 หมดที่ 85 เกียร์ 4 หมดที่ 135 โดยประมาณ ส่วนท้อปสปีด ไม่ได้ลองจริงจัง ผมขับไปสูงสุดคือ 145 ก็รู้สึกสงสารเครื่องแล้ว พี่นักข่าวอีกท่านจากข่าวสด บอกว่าอัดไป 150

ส่วนเรื่องการบังคับควบคุม ถ้าเป็นที่ความเร็วต่ำในเมือง สบายมากครับ พวงมาลัยไฟฟ้าเบาหวิว แม่ผมยังหมุนได้สบาย ฐานล้อสั้นและวงเลี้ยวที่แคบ ทำให้สามารถกลับรถ หรือเลี้ยวเข้าซอยได้อย่างคล่องมือเหลือเชื่อ แต่คุณๆท่านๆที่เคยชินกับรถเก๋งหรือรถกระบะที่มีล้ออยู่ส่วนหน้ารถ จะต้องทำความคุ้นเคยกับการกะวงเลี้ยวสักหน่อย มันจะลอยๆเหวอๆในช่วงแรก แต่ไม่เกินชั่วโมงที่ได้ขับ คุณจะเริ่มจับทางมันได้ และสนุกไปกับความคล่องตัวและทัศนะวิสัยที่เห็นทุกอย่างเบื้องหน้าชัดเจน ช่วงล่าง ก็มีความสะเทือนตึงตังตามประสารถพาณิชย์ แต่ก็ยังนับว่าใกล้เคียงกับรถกระบะ 1 ตันตอนเดียว และไม่กระเด้งดีดดอนเวอร์ๆด้วย

แต่ถ้าวิ่งบนมอเตอร์เวย์ ต้องยอมรับเลยว่า มันไม่ใช่ที่สำหรับรถประเภทนี้ ยางหน้าเล็ก ตัวรถสูง 1.9 เมตร เป็นข้อเสียเปรียบทางกายภาพอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมไม่สามารถขับแช่ 130-140 อย่างที่ทำกับ D-max หรือกระบะตอนเดียวได้ ที่ความเร็วระดับนั้นเมื่อกระโจนผ่านสะพาน ตัวรถจะออกอาการโยกเยอะ หรือเวลามีลมตีข้างก็จะไหวไปมา พวงมาลัยที่ทำอัตราทดและน้ำหนักมาสำหรับการขับในเมืองก็ดูจะไม่ช่วยเท่าไหร่ ทำให้นึกถึงอารมณ์ตอนขับรถตู้เก่าที่พวงมาลัยมีระยะฟรีเยอะๆ แค่ว่า Carry นั้นน้ำหนักพวงมาลัยจะเบากว่า ให้ลองนึกดูแล้วกันครับ ถ้า Toyota Avanza มีช่วงล่างแหนบจะเป็นยังไง Carry ก็คงประมาณนั้น

ลดความเร็วลงมาหน่อย เอาสักไม่เกิน 110 ความเครียดจะลดลงเยอะ แต่เรื่องนี้ Suzuki ก็เข้าใจอยู่แล้วว่ารถอย่าง Carry ไม่ใช่สิงห์ไฮเวย์ และเขายอมแลกเรื่องการบู๊ กับการจัดพื้นที่เอาใจใส่กับการบรรทุกมากกว่า ถ้าเอาแบบให้ขับแล้วไม่เครียดเลย ก็ต้องไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อันเป็นจุดที่พอไหว เครื่องยนต์หมุนอยู่ประมาณ 3,700 รอบต่อนาที (คำนวณจากอัตราทดและยางเอานะครับ) และเสียงรบกวนในห้องโดยสารที่ดังพอๆกับ WRX STi ที่วิ่ง 140

ส่วนเรื่องระบบเบรกนั้น การเซ็ตแป้นเบรก จะไม่คมและสั้นแบบ Suzuki Swift หรือ Ciaz นะครับ แต่ก็ดีแล้วที่มันไม่ไวมาก เพราะน้ำหนักตกหน้ารถเยอะ และยางหน้าแคบแค่ 165 ถ้าขับมาแรงไป กดเบรกแรงไปนิดเดียว ABS ก็ตอกบัตรทำงานแล้ว แต่หลังจากลองซัดเล่นมอเตอร์เวย์แล้วเบรกๆเร่งๆหลายๆดอก ไม่พบว่ามีอาการเฟด ดังนั้นผมว่าผ้าเบรกและชุดเบรกให้มาไม่ห่วยหรอกครับ มันเป็นข้อจำกัดจากแรงเสียดทานหน้ายางที่น้อยมากกว่า

สำหรับเพื่อนๆที่ถามผมมาว่า ถ้าเอา Carry มาใช้บรรทุกของวิ่งทางยาวๆ กรุงเทพเชียงใหม่ มันจะไหวมั้ย ผมตอบแบบไม่ต้องคิดนานว่า ถ้าคิดจะขับแบบเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณยังเปลี่ยนใจทันนะ แต่ถ้าคิดว่าวิ่งใจเย็นๆ 80-90-100 แล้วถึงจุดหมายได้ รถมันก็ไปให้คุณได้ ไม่ต้องกลัวเครื่องจะพังหรอกครับเพราะขนาดในทริปทดสอบ สื่อทุกเจ้า รวมถึงผม พอขึ้นมอเตอร์เวย์ก็แทบจะพยายามทำท้อปสปีดกันตลอด ไม่พบว่ามีอาการเครื่องร้อนหรือกำลังตก แอร์ก็เย็นสม่ำเสมอทั้งที่รถไม่มีฟิล์ม

ที่ตลกก็คือ แม้ตัวรถจะมีข้อเสียเปรียบทางกายภาพสำหรับการบู๊ และเอาไว้ให้ใช้ขับแบบเพื่อชีวิต แต่พวกเราเกือบทุกคน พอเริ่มคุ้นมือกับรถ ก็ขับแหลก ออกตัวโดด สับเอี๊ยด มุดเล่นกันสนุกสนาน ไม่ใช่ว่ารถมันพร้อมสำหรับงานบ้าๆแบบนี้ แต่การพยายามสู้ฝืนกับตัวรถมันก็สนุกไปอีกแบบ ตอนผมขับ พี่ฉ่างก็บอกว่ามึงจะซิ่งไปไหน สับโดด ทิ้งโค้งโหดตลอด มึงขับ Porsche ยังไม่โหดขนาดนี้เลยไอ้น้องชาย แล้วก็หัวเราะร่า

แหม..พอพี่ฉ่างมาขับ พี่ฉ่างก็ขับเหมือนผมแหละครับ และเท่าที่ดูจาก Social media ของสื่อมวลชนที่รู้จักกันแต่ละท่าน ต่างก็พูดเหมือนกันว่า เออเว้ย มันไม่ใช่รถที่เราเอาไว้ขับแบบบ้าๆ แต่วันทดสอบ Carry นั้น เราขับกันแบบบ้าๆแล้วก็หัวเราะแทบบ้ากันทุกคน สนุก เสียว เปรี้ยว แต่เอาจริงๆ ทุกคนก็บอกครับว่าถ้าใครซื้อไปใช้ ก็ขับให้มันตรงประเภทรถ รูปแบบรถเถอะครับ

ส่วนอัตราสิ้นเปลือง  ไม่มี On board computer ให้ดู แต่จากในข้อมูล Eco sticker บ่งชี้ว่า Carry มีอัตราสิ้นเปลืองในเมืองประมาณ 11 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าวิ่งทางไกล 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งผมว่าในความเป็นจริง หากนำมาวิ่งนอกเมืองแล้วใช้ความเร็ว 110 ก็ไม่น่าจะได้ตัวเลขระดับ 15 กิโลเมตรต่อลิตรอย่าง Ertiga เพราะตัวรถต้านลมกว่า และใช้รอบเครื่องยนต์เวลาวิ่งสูงกว่ามากมาย และใน Eco sticker ข้อมูลของ Ertiga ก็แจ้งว่าวิ่งนอกเมือง ใช้น้ำมัน 5.4 ลิตร/100 กิโลเมตร (18.51 กิโลเมตรต่อลิตร)

คุณลองพิจารณาความต่างของ Ertiga ระหว่างตัวเลขทดสอบทางการของเว็บเรา แล้วเทียบกับข้อมูล Eco sticker ก็พอจะเดาได้ว่า Carry ไม่น่าจะเป็นรถประหยัดน้ำมันนักถ้าคิดจะเอามาวิ่ง 100-110 ไกลๆ

 

 

***สรุปรีวิว***

บรรทุกเล็กคะนองเมือง ทำใจเรื่องวิ่งทางไกล ได้ใจที่ราคา ซื้อมาต้องใช้ให้ตรงจุดประสงค์

สำหรับคนที่นานๆได้ขับรถแบบมีล้ออยู่ใต้คนนั่ง และเป็นรถเชิงพาณิชย์แบบนี้ แล้วต้องมาเทียบกับรถกระบะ 1 ตัน ที่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการบรรทุก ผมลองพยายามเรียบเรียงข้อดี/ข้อเสีย มาได้ดังนี้

สิ่งที่ทำให้ Carry มีความโดดเด่น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือเรื่องของราคา ด้วยค่าตัวแค่ 385,000 บาทนั้น ทำให้เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยานพาหนะสำหรับคนที่ต้องประกอบอาชีพและพึ่งพารถในลักษณะนี้ เพราะถ้าคุณคิดจะซื้อรถกระบะตอนเดียวมาใช้ ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีกมากกว่า 1 แสนบาทซึ่งสำหรับคนที่หมื่นบาทมีค่าต่อความอยู่รอดในแต่ละเดือน มูลค่าที่ต่างกันขนาดนี้ส่งผลต่อการควบคุมการใช้จ่ายเป็นอย่างมาก ครั้นจะไล่ให้ไปซื้อหารถกระบะตอนเดียวมือสอง คุณจะโชคดีพอที่จะได้รถที่ไม่ใช้งานหนัก วิ่งมาหลายแสนกิโลเมตรหรือเปล่า ถ้าได้มา แล้วต้องซ่อมเทอร์โบ ปั๊มคอมมอนเรล ช่วงล่าง และคลัตช์ ค่าใช้จ่ายก็บานอีก มันคงไม่เหมาะกับคนที่มีรถทำงานแค่คันเดียว และห้ามเสียกลางทาง

ในความย่อมเยาของราคานั้น ก็ไม่ได้แย่ไปทุกอย่าง Carry รุ่นใหม่ ได้รับการพัฒนาให้ขับได้สบายขึ้นกว่ารุ่นเดิม มีเนื้อที่วางขากว้างขึ้น พวงมาลัยเบาสบาย มีความคล่องตัว มีแอร์เย็นๆ ไม่มีถุงลมนิรภัย แต่ยังให้เบรก ABS มา ในการขับสัญจรในเมือง และการวิ่งที่ความเร็วต่ำ Carry ให้ความสบายได้ไม่แพ้รถกระบะตอนเดียว ช่วงล่างอาจจะสะเทือน ก็ต้องยอมรับตามรูปแบบของรถ แต่ไม่เด้งมากจนไม่อยากพาพ่อพาแม่นั่งหรอกครับ

นอกจากนี้ ความ Simple ของกลไกต่างๆ ก็ช่วยประหยัดค่าบำรุงรักษาในระยะยาว เครื่องยนต์ K15B อาจจะไม่ได้เด่นอะไร แต่พอเป็นเครื่องเบนซินธรรมดา คุณก็ไม่ต้องดูแลมันมากนัก ไม่มีเทอร์โบ ไม่มีอินเตอร์คูลเลอร์ ไม่มีปั๊มแรงดันสูง ดังนั้นจุดที่ต้องคอยตรวจเช็ค จึงน้อยลง โอกาสที่จะเจอเซอร์ไพรส์ระหว่างขับก็มีน้อยลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม คุณต้องรับกับข้อเสียของรถให้ได้ถ้าคิดจะซื้อมันมาใช้ อย่างแรกเลยคือทรงของเบาะนั่ง ซึ่งไม่ได้เข้ากับสรีระร่างของทุกคนเสมอไป ปรับอะไรแทบจะไม่ได้ อย่างที่สองคือแป้นคลัตช์ที่สูงมากกว่ารถเก๋งเกียร์ธรรมดา ทำให้การขับในเมือง คุณต้องขยับทั้งขาซ้าย ทำให้เมื่อยล้าโดยไม่จำเป็น อย่าบอกว่าคลัตช์รถพาณิชย์ต้องเซ็ตแบบนี้ เพราะมันไม่ใช่เลยครับ จะรถอะไรก็ตาม คุณต้องให้ระยะเหยียบที่ไม่ต้องขยับขามาก ไอ้เรื่องการเผื่อสำหรับการเลี้ยงคลัตช์และออกตัว มันอยู่ที่ระยะตัดต่อกำลังต่างหาก

นอกจากนี้ หากต้องขับเป็นระยะไกล คุณก็ต้องพยายามขับไปแบบเรื่อยๆ อย่าซ่า เพราะยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ ความมั่นใจในการบังคับควบคุมก็ลดลง และความเครียดยิ่งเพิ่มขึ้น พละกำลังของเครื่องยนต์ก็ไม่ได้มี 150-163 แรงม้าแบบพวกกระบะตอนเดียว เวลาเร่งแซงก็ต้องเผื่อระยะเอาไว้บ้าง ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนขับรถเร็วและต้องวิ่งขนส่งระยะไกลเกิน 500 กิโลเมตรประจำ ผมแนะนำว่าอย่าเล่น Carry เลยครับ ถึงปลายทางแล้วมันจะไม่เหลือแรงทำอะไร

ดังนั้น ดีที่สุด ถ้าคุณจะดูการใช้งานของตัวเองให้ชัดเจนว่ารถคันนี้จะต้องถูกนำไปใช้แบบไหน ผมจะแนะนำ Carry ให้สำหรับคนที่ต้องขนของ วิ่งไปมาในตัวเมืองและเขตปริมณฑลเป็นหลัก หรือนำไปทำ Food truck ก็ได้ หรือเก๋หน่อย ก็ให้พวกอู่รถซิ่งจับมาโหลดใส่ล้อสวยๆ ทำเป็นรถไว้วิ่งอะไหล่ก็ได้ เพราะนั่นคือจุดที่คุณจะใช้ประสิทธิภาพรถได้คุ้ม และอาจจะคุ้มเกินหน้าราคารถไปด้วยซ้ำ

ท้ายสุด นี่ไม่ใช่ตลาดนัดนาฬิกามือสองนะครับ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่ที่ผมกำลังเอ็นจอยกับมัน นั่นก็คือการสะสมนาฬิกายาจกครับ คุณกำลังสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Suzuki Carry…ผมจะบอกว่าบางครั้งในบางครั้งโลกของนาฬิกาคนจนก็มีหลายสิ่งที่คล้ายกับการซื้อรถ แม้กระทั่งการจ่ายเงินในระดับราคาเท่าๆกันก็จะมีความแตกต่างกันในคุณสมบัติ ทั้งหมดที่คุณเห็นข้างบนนี้ ไม่มีเรือนไหนแพงเกิน 1,700 บาท ทั้งหมด กันน้ำได้ระดับขำขำแค่ฝน หรือน้ำสาด

เรือนซ้ายสุด คือนาฬิการัสเซีย Vostok Komandirskie 811307 สั่งจากโรงงานส่งถึงบ้าน ประมาณ 1,200 บาท ได้ของใหม่ เป็นนาฬิกาแบบไขลาน กลไกรูปแบบเก่า 2414A ที่ใช้มาตั้งแต่ยุค 60s ได้รับการยอมรับว่าทนทานมาก ไม่ง้อถ่าน บางเรือนทิ้งไว้ 20 ปี พอกลับไปไขลานปุ๊บเดินต่อได้เฉย แถมโมฯเล่นง่าย วงแหวนหน้าปัดจกของ Seiko SKX มาใส่ได้ สาย 18 mm หาเปลี่ยนง่าย มีเข็มสั้นเข็มยาวแต่งให้เลือก มีฝาหลังแบบใสให้สั่งมาใส่ ..มันโมสนุกมาก แต่ต้องคอยขันลานมันทุก 30 ชั่วโมง แล้วมันก็เดินเพี้ยนวันละ 30 วินาที ตั้งวันที่ก็ยากบรรลัย

ถัดมา เป็นแบรนด์อเมริกา TIMEX Weekender Chronograph ซึ่งได้มาตอน Shopee จัดลดราคา หน้าตาของมันนั้นเกินราคาไปมาก ถ้ายื่นให้คนทั่วไปดูเขานึกว่าเรือนละครึ่งหมื่นเป็นอย่างต่ำ จับเวลาได้ เข็มมีพรายน้ำ กดให้มีไฟเรืองแสงติดข้างหลังได้ แถมเป็น Quartz ใส่ถ่าน ไม่ต้องมาคอยไขลาน เดินเวลาแม่นเพี้ยนวันละไม่เกิน 2 วินาที แทบจะไม่มีข้อเสียเลยสำหรับราคา 1,700 บาท แต่ก็นั่นแหละ มันคือเรือนที่แพงที่สุดใน Lot นี้ คุณจะอยากจ่ายหรือเปล่า

เรือนที่สาม คือ Orient 3 Star ซึ่งชื่อชั้นของแบรนด์ก็เทียบเท่า Seiko และปัจจุบันก็แชร์โรงงานกันใช้ ถ้าพิจารณาจากสีสันและรายละเอียดจุดต่างๆ มันดู “แพง” ที่สุดในกลุ่ม เก็บรายละเอียดเรียบร้อยตามประสาแบรนด์ญี่ปุ่น หน้าปัดสวย เคสเงางาม แต่ใช้กลไก Automatic แบบปั่นลานเองไม่ได้ ดังนั้นถ้าวางทิ้งไว้นานๆมันก็หยุดเดิน นอกจากนี้ ผมต้องบอกด้วยว่ามันเป็นของมือสอง น่าจะผลิตตั้งแต่ปี 1985-1989 มีคราบจับตามเข็มและขอบเรือนแล้ว และผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะพังเมื่อไหร่ มันเลยกลายเป็นของใส่เล่นๆซะมากกว่า

อันขวาสุด คุณอาจจะเคยคุ้นตาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น มันคือ Casio F-91W รุ่นยอดนิยมจากอดีตที่ยังสั่งซื้อของใหม่ได้ทุกวันนี้ เป็นนาฬิกาดิจิตอล Quartz ที่ดูแลง่ายแค่เปลี่ยนถ่านนานๆที เดินเพี้ยนน้อยมากแค่สัปดาห์ละ 2-3 วินาที ใช้ง่ายเข้าใจง่าย ตั้งเวลา/วันที่ได้สะดวกรวดเร็ว จับเวลาได้ แม้มันจะงงๆตรงที่จับเวลากลางคืนแล้วจะกดไฟสว่าง มันกลับจะ Reset timing ไปพร้อมกัน ปุ่มต่างๆกดไม่ง่ายเท่า TIMEX และแน่นอนครับ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณเอาไปอวดใครได้ ไม่มีองค์ประกอบความหรูเลยสักนิด แต่..มันราคาไม่ถึง 300 บาทครับ

ผมคิดว่า Suzuki Carry ใหม่นั้น เหมือนกับ F-91W มากเมื่อเรานำรถกับนาฬิกามาเทียบกัน ทั้งสองอย่างนี้คือคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ของมันให้ดีที่สุด สร้างปัญหาในชีวิตประจำวันน้อยที่สุด พึ่งพาได้มากที่สุด และยอมตัดความหรูหรา ตัดวัสดุดีๆ ตัดดีไซน์งามๆออก ตัดจนบางอย่างเราก็รู้สึกว่ามันขาดๆ ไป ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อทำราคาให้คนเห็นแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย ซื้อได้เลยนี่หว่า ไม่ต้องคิดมาก และคิดจะใช้ ก็ใช้ไปเลย ไม่ได้รู้สึกว่าต้องคอยขัดถู คอยระวังกระแทกเป็นรอย

ทุกคนมีฝัน ฝันอยากจะขับ Porsche หรือ BMW ใส่ Omega หรือ Rolex บนข้อมือ ผมก็อยาก..คุณก็อยาก แต่กว่าจะไปถึงวันนั้นได้ วิธีการใช้เงินของคุณในวันนี้ นั่นล่ะครับ จะบอกว่าคุณจะไปถึงฝัน ช้า หรือเร็ว

คำว่าอดวันนี้ไว้มีวันหน้า ใช้ได้กับเกือบทุกอาชีพ ทุกวงการ แต่อดแล้วชีวิตต้องเดินต่อไปได้ ไม่ตึงจนขาดสะบั้นครับ

—/////—

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

Suzuki Motor (Thailand) Co.,ltd สำหรับการเชิญทางเราร่วมทดสอบในทริปครั้งนี้

Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน / ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของ Suzuki Motor (Thailand) และผู้เขียนห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 13 กันยายน 2019

Copyright (c) 2019 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First publish in www.Headlightmag.com 13 SEP 2019

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE