First Impression รีวิว ทดลองขับ Audi A6 Avant 45 TFSI quattro S line Black Edition : พี่ชายของ A4 ที่เปรี้ยวน้อยลงแต่กลมกล่อมยิ่งขึ้น

 

รถประเภทสเตชั่นแวก้อน คือสิ่งที่น่าสงสารที่สุดอย่างหนึ่งในความคิดของผม

ทำไมน่ะหรือครับ? ก็พอมีรถสักรุ่นเปิดตัวในตลาดโลก แล้วมีการเปิดรุ่นตัวถังสเตชั่นแวก้อนลงขายด้วย เมื่อนั้น บรรดาลูกค้าไทยจะบ่นอยากได้กันเป็นแถบๆ หรือไม่ก็เชียร์แบบกึ่งด่าบริษัทรถยนต์ว่าทำไมไม่เอามาขาย ไม่เจ๋งจริงนี่หว่า

ภาพตัดมาอีก 8-9 เดือน หลังจากที่บริษัทรถยนต์ทำการบ้านอย่างหนัก ต่อสู้กับบริษัทแม่ เอาคอตัวเองเป็นเดิมพันว่าสามารถขายได้ ทำยอดได้ตามเป้าแน่นอน พวกเขาเปิดตัวเวอร์ชั่นแวก้อนขายได้ในที่สุด..แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือความเงียบ “สวยดี แต่แพง” หรือไม่ก็ “ราคานี้ไปเอา SUV ดีกว่า” คือคำพูดที่เห็นได้ดาษดื่นบนโลกโซเชียล

นี่ก็คือมุมน่าสงสารมุมหนึ่งของบริษัทรถยนต์ที่เหมือนถูกหลอกให้ถวายชีวิตหาสิ่งต่างๆมาประเคน แล้วสุดท้ายก็รับประทานแห้วกระป๋องโต

แต่เมื่อเวลาผ่านไปสี่ปี ห้าปี สิบปี เกิดอะไรขึ้น? คุณไปเปิดเว็บรถมือสองดูได้ครับ ดูราคาของเวอร์ชั่นซีดานกับสเตชั่นแวก้อน..Volvo 850, Subaru Legacy, BMW 5 Series หรือ Mercedes-Benz รุ่นใดก็ได้ จะเห็นว่าสเตชั่นแวก้อนกลายเป็นทรัพย์คุ้มมหาศาลที่ซื้อขายกันในราคาแพงเวอร์ โดยเฉพาะ Legacy โฉม BG นั้น ราคาน่าหมั่นไส้มาก ตอนซื้อคุณจ่ายแพงกว่าตัวซาลูนไม่กี่หมื่น แต่บัดนี้ ราคามือสองวิ่งอยู่เกือบสองเท่าของรุ่นสี่ประตู ..แล้วไง? ก็มีคนซื้ออยู่ดี

อย่างไรก็ตาม รถบางรุ่นก็จะเป็นข้อยกเว้น อย่างเช่น Volvo 850 ซึ่งอาศัยการสร้างภาพพจน์ผลิตภัณฑ์ เสริมความสปอร์ตด้วยการใช้เครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบเสียงหวาน ใส่ล้อขอบ 16 นิ้ว ในสมัยที่เบนซ์และ BMW ซาลูนส่วนมากยังใช้ล้อขอบ 15 แล้วยังมีไฟท้ายเรียวสูงจรดหลังคา แรง เก๋ แล้วยังเอารุ่นเปรี้ยวๆเด็ดๆอย่าง 850 T5-R และ 850R มาขายอีก ทำให้ผู้คนมอง 850 ESTATE เป็นแวก้อนพันธุ์แสบ ที่แม้แต่วัยรุ่นก็ยังชื่นชอบ ถูกล่ะ แม้ว่ารุ่นซีดานจะขายได้มากกว่า แต่ถ้ามองอัตราส่วนระหว่างบอดี้ทั้งสองแบบ จะเห็นได้ว่า 850 มีอัตราส่วนการจำหน่ายของรถบอดี้แวก้อนสูงมากเมื่อเทียบกับรถทุกรุ่นในสมัยเดียวกัน

นอกจาก Volvo แล้ว ยังมีรถยุโรปอีกค่ายที่พยายามใส่บทบาทฮีโร่ให้กับรถทรงแวก้อน ซึ่งก็คือ Audi

ในเมืองไทยยุคฟองสบู่พองตัวจนแตกนั้น Audi ยังไม่ได้เน้นการทำตลาดรถประเภทนี้เท่าไหร่ แต่ในยุโรป รถรุ่นสเตชั่นแวก้อนหรือที่ Audi เรียกว่า Avant นั้นมักจะถูกเลือกเป็นร่างอสูรแห่งความแรงอยู่เสมอ เมื่อ Audi เปิดตัวรถตระกูล “RS” ครั้งแรก พวกเขาจับมือกับ Porsche และเลือก Audi 80 Avant ซึ่งปกติจะเป็นรถที่คุณปู่ใช้ขับไปซื้อขนมปังสวีบัค มาเป็นบอดี้พื้นฐานความแรง Audi ผลิตชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ Porsche รับหน้าที่ประกอบรถและเซ็ตช่วงล่าง นั่นคือจุดกำเนิดของรถหน้าตาครอบครัว แต่หัวใจเป็นเครื่องยนต์ ADU 2.2 ลิตร 5 สูบเทอร์โบ 315 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ในสมัยนั้น Impreza และ Evolution ยังมีแรงม้าแค่ 260-275 ตัวนะครับ

เท่านั้นยังไม่พอ RS4 ที่ตามมาในปี 1999 ยิ่งดุกว่าเดิม เพราะโดดไปคบเครื่องยนต์ 2.7 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ ที่ให้พลังถึง 381 แรงม้า (ในยุคนั้น M3 E36 ยังมีแค่ราว 326 แรงม้า) และทั้ง RS2 และ RS4 ที่กล่าวมานี้ ไม่มีการผลิตเวอร์ชั่นซาลูน พูดง่ายๆว่าถ้าจะเล่น Audi ยุค 90s ตัวแรงจากโชว์รูม คุณต้องเล่น Avant เท่านั้น การทำตลาดในลักษณะนี้ทำให้ลูกค้าจำได้ขึ้นใจว่า ถ้าคิดจะเล่นรถก้อนขนมปัง แต่ภาพลักษณ์ไม่ขนมปัง Audi จะมาเป็นทางเลือกอันดับแรกๆ ขนาดว่า Audi RS6 C6 ที่ออกจำหน่าย 10 ปีหลัง RS4 นั้นแม้จะขายไปทั้งโลกแค่ 8,000 คัน แต่ 6,500 คันในจำนวนนั้น คือบอดี้ Avant

นั่นก็น่าจะบอกได้ว่า ถ้าคุณเอาเครื่องยนต์จาก Lamborghini Gallardo มาเปลี่ยนชิ้นส่วน ทำเป็นเครื่องเทอร์โบ 580 แรงม้าแล้วใส่ในรถบ้านพันธุ์หรู ลูกค้า Audi ตัวจริงจะทิ่มเลือกบอดี้แบบไหน

ต่อมา เมื่อ Audi ฟื้นคืนชีพอย่างเต็มตัวภายใต้ผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ Meister Technik พวกเขาก็นำกระแส “Avant-ness” มาสู่ประเทศไทยด้วย A4 Avant 45TFSI quattro S Line Black Edition ในรูปแบบนำเข้าทั้งคันแล้วตั้งราคาไว้แค่ 3,249,000 บาท ในราคานี้ คุณได้รถ Avant ขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ 252 แรงม้า ไร้มอเตอร์ ไร้ถ่านใดๆทั้งสิ้น ในขณะที่คู่แข่งกำลังสนุกกับการขายรถถ่าน A4 กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน โรงรถบ้านบางท่านที่เคยมี STi หรือ Evo จอดก็ถูกเปลี่ยนเป็น A4 Avant มีเพียงส่วนน้อยที่เลือกรุ่น 4 ประตู

A4 Avant กลายเป็นรถที่กำหัวใจนักขับถ้วนหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสนว่ารถที่ขายดีของค่ายจะเป็น Q7 หรือ TT เพราะมันคือ A4 ที่ทุกคนต่างพูดถึง..ต่างอยากได้ เป็นรถที่ Headlightmag ทั้งเว็บชื่นชอบพอกัน แม้แต่สื่อมวลชนรุ่นอาวุโสเป็นพ่อของพวกเราได้หลายคนอย่างพี่คิงสลีย์ (Thaiautonews.net) ยังเคยพูดถึงมันไว้ว่า “Best Supermarket Car, in a good way” ซึ่งปกติพี่คิงแกไม่ใช่คนชมรถคันไหนง่ายๆนะครับ ผมยังไม่เคยเจอสื่อมวลชนรุ่นพี่ท่านใดเลยที่ขับ A4 Avant แล้วอยากปากุญแจทิ้ง

จาก A4 เสร็จ ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 ทาง Meister Technik ก็แถลงเปิดขาย A6 Avant 55TFSI quattro เป็นระลอกสอง ..แต่ระลอกนี้ไม่บูมเท่า A4 เพราะค่าตัวพี่แกพุ่งไปถึง 4,999,000 บาท แม้ว่าจะมาพร้อมเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร Mild-Hybrid ที่ให้พลังถึง 340 แรงม้า ออพชั่นเพียบ แต่ลูกค้าส่วนมากที่มีงบขนาดนี้มักจะอยากได้รถสูงหนีน้ำท่วมอย่าง Q7 มากกว่า ผลประกอบการก็เป็นไปตามคาด ยอดขายรวม 11 เดือนผ่านไป ได้ตัวเลขแค่สองหลัก หนึ่งในนั้นก็คือ CEO ของ Meister Technik พี่กฤษณะกร เศวตนันทน์ นั่นล่ะครับ

Meister Technik จึงยกเลิกการทำตลาดรุ่น V6 ไปอย่างน่าเสียดาย แต่พวกเขาก็ฮึดสู้อีกครั้ง ด้วย A6 Avant บอดี้เดิม แต่เปลี่ยนขุมพลังเป็นขนาด 2.0 ลิตรเทอร์โบ Mild-Hybrid 245 แรงม้า เอาล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วออก เปลี่ยนเป็น 19 นิ้ว แต่เพิ่มชุดแต่ง Black Edition เข้าไป มีชื่อรุ่นแบบเต็มๆยาวราวจังหวัดประจวบฯว่า “Audi A6 Avant 45 TFSI quattro S line Black Edition” และตั้งราคาขายเอาไว้ที่ 4,299,000 บาท

งานนี้ต้องรีบขอลองสักหน่อยว่า A4 กับ A6 น้องกับพี่ ที่มาแนวเดียวกัน ราคาต่างกัน 1,050,000 บาทนั้น คุณได้อะไร หรือเสียอะไรไปบ้าง…ส่วนการเทียบกับคู่แข่งนั้น ออกจะทุลักทุเลใจอยู่บ้างเพราะในตลาดขณะนี้คุณจะมีตัวเลือกน้อยมาก BMW ก็เอา 530i Touring มาขายตามคำเรียกร้องของลูกค้า แล้วก็ขายไม่ดี ส่วน Volvo ก็มี V90 ที่เคยเข้ามาจำหน่ายและปัจจุบันก็ไม่มีตัวตนอยู่บนเว็บไซต์ Volvo Thailand แล้ว

Audi A6 Avant มีความยาวตัวถัง 4,939 มิลลิเมตร กว้าง 1,886 มิลลิเมตร สูง 1,467 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,924 มิลลิเมตร ความกว้างฐานล้อ คู่หน้า 1,630 มิลลิเมตร คู่หลัง 1,617 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 73 ลิตร น้ำหนักตัวถัง ข้อมูลจาก Ecosticker ตีมากว้าง 1,661-2,000 กิโลกรัม ฟังดูแล้วอยากยกขาหลังเกาหู ตีมากว้าง 339 กิโล..จะตีมาทำไม? ท้ายสุดต้องค้นเว็บนอก ได้ตัวเลขมา 1,760 กิโลกรัม

นับว่าตัวโตขึ้นกว่า A4 Avant มาก ความยาวต่างกัน 214 มิลลิเมตร ความกว้างต่างกัน 44 มิลลิเมตร และความยาวฐานล้อ A6 ผู้พี่ก็ยาวกว่ากันถึง 104 มิลลิเมตร ส่วนถ้าเทียบกับคู่แข่งพิกัดตรงอย่าง 530i Touring จาก BMW ก็จะมีขนาดใกล้เคียงกัน (BMW ยาว 4,942 กว้าง 1,868 และสูง 1,464 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,975 มิลลิเมตร)

ไฟหน้า ได้แบบ LED-Matrix เหมือนรุ่น V6 ส่วนไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟเลี้ยวที่เมื่อเปิดใช้งานจะกระพริบไล่ติดๆกันจากดวงนอกไปในเหมือนไฟส้มๆของรถหน่วยซ่อมบำรุง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย สิ่งที่จะต่างจากตัว V6 ที่เห็นได้ชัดสุดคือชุดแต่ง Black Edition ซึ่งได้แก่ กระจังหน้า กระจกมองข้าง และชุดวัสดุตกแต่งสีดำ

สไตล์ของตัวรถ มีโทนดุแบบกึ่งสุภาพ เช่นเดียวกันกับรุ่นน้องอย่าง A4 ด้านหน้าที่เรียวเล็กกำลังงาม กระจังหน้าที่ใหญ่มาตั้งแต่สมัยที่ BMW ยังทำกระจังเล็กๆ แต่จุดที่ทำให้รถ Avant ดูเซ็กซี่ ก็คือเสาหลังคาด้านท้าย ซึ่งมีความลาดในองศาที่ดูปราดเปรียว มีลักษณะชวนนึกถึงรถรุ่นก่อนอย่าง Audi UR-quattro หรือ S2 Coupe เป็นดีไซน์ที่บอกให้โลกรู้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ท้ายรถมันลาดมากๆ เรียวมากๆเหมือนรถสปอร์ต ก็ยังสามารถดูสวยได้และไม่ได้เบียดบังเนื้อที่สำหรับการบรรทุกสัมภาระมากไป

ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วของจริงดูสวยลงตัว แต่บางท่านอาจนึกว่าเป็นขอบ 18 เพราะขนาดตัวรถที่โตมากทำให้เวลาจอดเดี่ยวๆแล้วดูเหมือนรถเล็ก หลอกตา ในขณะที่ล้อ 19 นิ้วใน A4 นั้นดูเต็มซุ้มจนยางเหลือบางเฉียบ

เปิดประตูดูภายใน ผมไม่สามารถถ่ายรูปกุญแจมาให้ดูเพราะเขาห่อมันไว้ด้วยพลาสติกอย่างมิดชิดและผมไม่มีอารมณ์จะแกะ

การเข้าออกจากประตูคู่หน้าจะง่ายกว่า BMW 530i Touring เพียงเล็กน้อย บางท่านอาจจะรู้สึกว่ามันก็ง่ายพอกัน และเทียบกับ A4 แล้วต่างกันแน่นอนตามขนาดรถ ใน A4 ผมจะต้องปรับเบาะนั่งให้อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดจึงจะเข้าออกได้สะดวก ใน A6 ผมสามารถปรับเบาะให้สูงขึ้นได้ประมาณ 1 นิ้ว แล้วยังเข้าออกโดยไม่ต้องก้มหัวหลบมากนัก

เบาะนั่งคู่หน้า เป็นแบบสปอร์ตพร้อมโลโก้ S line หุ้มด้วยหนัง Valcona ไม่ได้ตัดเย็บลายข้าวหลามตัดแบบตัว V6 หรือ A4 แต่ยังปรับได้หลายทิศทางไม่ว่าจะเป็นการปรับระดับสูงต่ำทั้งตัว ปรับเบาะรองนั่งเทหน้า-หลัง และตัวดันหลังทั้งขึ้นลง หรือดันเข้าดันออก ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ที่ด้านข้างเบาะรองนั่ง ซึ่งจะเชื่อมต่อการแสดงผลขณะปรับเบาะบนจอมอนิเตอร์สีตรงกลาง มีระบบความจำบันทึกตำแหน่งการนั่งได้ แต่ไม่มีเบาะนวดแบบ A4 Avant ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกเสียดายนัก เพราะระบบนวดใน A4 แรงกว่าแมวนวดนิดเดียวเท่านั้น

ตัวเบาะ มีขนาดโตกว่าของ A4 แต่มาในสไตล์ฟองน้ำแข็ง นุ่มเฉพาะผิวนอก ซึ่งเป็นวิถีนิยมของรถเยอรมันยุคนี้ไปแล้ว มันดูเหมือนจะนั่งไม่สบายในระยะแรก แต่ขับนานๆหลายชั่วโมงกลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่คาด ปีกข้างทั้งบริเวณเบาะรองนั่งและพนักพิงหลังโอบมากกว่าเบาะรถหรูทั่วไป เพราะเป็นแบบแบบสปอร์ต ซึ่งสมัยนี้รถเยอรมันที่ขายในไทยก็ให้เบาะลักษณะนี้ทั้งนั้น

เรื่องความสบาย แน่นอนว่านั่งแล้วเต็มทวาร 5XL ของผมดีกว่า A4 แต่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับพนักพิงศีรษะ ซึ่งเป็นแบบแยกชิ้นก็จริง แต่กลับติดตั้งในลักษณะที่ดันหัวมากกว่าเบาะแบบชิ้นเดียวของ A4 เสียอีก หากปรับให้พนักพิงศีรษะถอยไปอีกได้สัก 1-1.5 นิ้ว ผมจะชอบมาก อย่างไรก็ตาม เรื่องเบาะนี่เวลาวิจารณ์ ให้อ่านสิ่งที่ผมเขียนแบบฟังหูไว้หู เพราะร่างกายเรา และ Pain point บนตัวรถก็ไม่เหมือนกัน ผมเป็นคนตัวใหญ่ที่ชอบขับรถเอาหัวพิงหมอนครับ ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถแล้วไม่ค่อยเอาหัวพิงหมอน คุณจะพบว่าเบาะของ A6 นั้นเหมาะกับการขับรถทางไกลมากๆ

การเข้าออกจากประตูหลัง ต้องก้มหัวหลบแนวหลังคาเล็กน้อย แต่ไม่ต้องก้มเยอะเท่า A4 ความยาวฐานล้อที่ต่างกันมาก ทำให้การตวัดขาเข้าเวลานั่งทำได้ง่ายกว่าเช่นกัน ส่วนเบาะนั่งนั้น สมแล้วที่เป็นคลาสโตกว่า A4 และราคาแพงกว่า เพราะใน A4 นั้น ตัวเบาะจะมีลักษณะเหมือนนั่งบนกระดาน แต่ A6 นั้น จะให้ความรู้สึกนุ่มกว่านิดๆ ตัวเบาะดีไซน์มารองรับแผ่นหลังและทวารหนักได้สบายกว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเนื้อที่วางขา ซึ่งต่อให้คุณตัวใหญ่แบบไซส์ 5XL ก็ยังมีที่ให้ขยับแข้งขาได้

ถ้าเทียบกับ 530i Touring ก็จะมีความรู้สึกต่างกันอยู่บ้าง ตัวเบาะและพนักพิงศีรษะของ BMW จะมาแนวแข็งสปอร์ต แต่การดุนหลังตอนล่างของ BMW ทำได้ดีกว่า ในขณะที่ Audi จะเน้นดันด้านข้าง และพื้นที่หลังตอนบน สิ่งที่เสียดายก็คือตัวเบาะของ A6 นั้นน่าจะทำให้ปรับเอนได้สัก 1-2 แก๊ก จะช่วยให้การโดยสารทางไกลสบายขึ้นและยังช่วยให้คนตัวสูงเกิน 180 เซนติเมตร มีโอกาสนั่งได้สบายขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม Audi เข้าใจเรื่องอากาศร้อนๆและลูกค้าเรื่องมากแบบไทยๆ ช่องเป่าแอร์ด้านหลัง จึงไม่ใช่แค่ช่องลมโง่ๆ แต่คุณยังได้ช่องเป่าทั้งระนาบหัวเข่า และอีกช่องที่ส่องลมมาจากเสากลางของรถ ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ คุณสามารถปรับอุณหภูมิแยก ซ้าย/ขวา ได้ และปรับแรงลม/ต้นทางการเป่าลมตามความต้องการของผู้โดยสารแต่ละฟาก หรือจะกดเป็น AUTO แล้วเซ็ตแค่อุณหภูมิอย่างเดียวก็ได้ ถ้ายังเย็นไม่พอ มีม่านที่กระจกประตูหลัง สามารถดึงขึ้นเพื่อกรองแสงได้ส่วนหนึ่ง

เบาะนั่งด้านหลังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน​ 40: 20: 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง เมื่อพับแล้วส่วนที่เป็นเบาะจะลาดขึ้นไปหาทางด้านหลังของรถพอสมควร ไม่ถือเป็นพื้นแบบ Flat-floor มีสวิตช์พับจากข้างหลังรถและไฟส่องสว่างมาให้

ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของ A6 Avant จะมีความจุ 565 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,680 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังลง ถือว่าเล็กกว่าห้องเก็บสัมภาระของ 530i Touring เล็กน้อย (580/1,700 ลิตร) แต่ก็ใหญ่ขึ้นกว่าของ A4 Avant ซึ่งขนาดตัวรถที่เล็กกว่าทำให้ได้ความจุเพียง 505/1,510 ลิตร

หลังคา Panoramic มีมาให้ เช่นเดียวกับ A6 Avant 55TFSI ราคา 4.99 ล้านบาทที่เพิ่งเลิกขายไป แต่จะไม่ได้เป็นกระจกยาวตลอด มีการแบ่งช่องกระจกออกเป็นสองช่วง ซึ่งคาดว่าคงเป็นเหตุผลทางด้านเทคนิค ในการคงความแข็งแรงของตัวถังในการขับขี่แบบรุนแรง และคนที่ขับ Audi จำนวนไม่น้อย ก็ขับแบบไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ต้องแลกกันระหว่างความโปร่งของหลังคากับ Rigidity ของตัวถัง

เข้ามาดูภายในกันบ้าง ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นจุดที่บ่งบอกได้ชัดเจนที่สุดว่าเงิน 1.05 ล้านบาทที่เพิ่มมาจากรุ่น A4 มันไปอยู่ตรงไหน ในขณะที่ A4 Avant มีภายในแบบสปอร์ตกึ่งคลาสสิค มีความเป็นดิจิตอลแฝงอยู่ในซอกมุมของความเป็นอนาลอก คล้ายๆนาฬิกา Seiko Arnie .. A6 Avant นั้นจะสลัดสิ่งต่างๆเหล่านั้นทิ้งไปจนเกือบหมด เหลือแค่พวงมาลัยและคอนโซลเกียร์ที่มีลักษณะคล้ายกับรุ่นน้อง นอกเหนือจากนี้ไป A6 ทำตัวเปรียบได้ดังนาฬิกา Smart Watch ที่เรียบ คลีน แต่แสงสีแพรวพราว

วัสดุต่างๆ ก็มีคุณภาพระดับเดียวกับ A4 นั่นล่ะ เพียงแต่ว่า A6 จะมีการปรับอัตราส่วนวัสดุระหว่างดำเงา/สีเงินจนทำให้ออกมาแล้วรู้สึกว่า “เอาเว้ย คราวนี้ภายในมันดูดีสู้ Mercedes-Benz ได้ ในแบบที่มันเป็นตัวของมันเองแล้ว” ในยามค่ำคืน ก็จะมีแสงสีตกแต่งภายใน Contour Ambient Light ซึ่งสามารถปรับสีได้จากฟังก์ชั่น Settings ในจอกลาง แต่ไม่ว่าจะเป็นยามค่ำคืน หรือกลางวัน แดชบอร์ดและภายในของ A6 ก็ดูเหมือนนำยุคสมัยกว่า A4 ผู้น้องไปเกือบ 10 ปี

มันมาซวยแค่ว่า..วันนี้ คนทดสอบคือผม ผู้ซึ่งชอบรถที่ออกแบบภายในโดยให้สมดุลย์ระหว่างความเป็นดิจิตอล/จอทัชสกรีน/อนาล็อก เนี่ยแหละ

จากขวาไปซ้าย

สวิตช์กระจกไฟฟ้าอยู่บนแผงควบคุมด้านขวา มีกลไกการกดขึ้น/ลงแบบ One Touch ทั้ง 4 บาน ส่วนด้านใต้ของสวิตช์กระจกไฟฟ้านั้น คุณจะเห็นสวิตช์ 2 อันเล็กๆ มันคือสวิตช์กดปุ่ม Child Lock แยกฝั่งซ้ายและขวา เมื่อกดแล้ว คุณจะเปิดประตูจากข้างในไม่ได้ ผมเผลอไปกดระหว่างขับ จากนั้นก็จอดรถลงมานั่งถ่ายรูปจากเบาะหลัง..แล้วก็ขังตัวเองไว้เบาะหลังเรียบร้อย

สวิตช์ระบบความจำตำแหน่งของเบาะ 2 ตำแหน่ง อยู่บริเวณราวเหนี่ยวประตู ขณะที่สวิตช์ล็อค/ปลดล็อคจะอยู่บริเวณที่เปิดประตูเหมือนกับ A4 ส่วนใต้ช่องแอร์ด้านขวา เป็นสวิตช์สำหรับไฟหน้าและไฟตัดหมอก จุดนี้ผมรู้สึกว่าลูกบิดแบบเดิมใน A4 ใช้งานได้ง่ายกว่าโดยเฉพาะถ้าต้องปรับตอนรถกำลังวิ่ง ถัดลงมาข้างล่างเป็นช่องเก็บของพร้อมฝาปิดขนาดใหญ่ สามารถยัดสมาร์ทโฟนขนาด 4 นิ้วและ iPhone รุ่นเก่าๆ และธนบัตรสำหรับจ่ายค่าทางด่วนได้

พวงมาลัยเป็นทรงสปอร์ต S Line ท้ายตัด เพื่อลดปัญหาขอบพวงมาลัยติดพุงคนอ้วนและแอบช่วยให้รับจับส่งพวงมาลัยเวลาหมุนเร็วๆหลายๆรอบได้ถนัด  สามารถปรับองศาก้ม/เงย และระยะเข้าออกได้ด้วยไฟฟ้า (ของ A4 เป็นก้านโยกปรับเอาเอง) อีกทั้งยังหุ้มด้วยหนังอย่างดีที่เลือกเจาะบางส่วนคล้ายรูกลม ทำให้ไม่ลื่นมือและจับถนัด

ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิตช์ลูกกลิ้งสำหรับเลือกการแสดงผลเพิ่มเติมบนหน้าปัด มีปุ่ม VIEW สำหรับปรับเลือกโหมดการโชว์ค่าว่าจะเน้นข้อมูล หรือจะขยายจอของระบบนำทางให้ใหญ่เต็มพื้นที่และลดขนาดมาตรวัดอื่นๆลง ในขณะที่ก้านด้านขวาเป็นปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง และการรับสายโทรศัพท์ ส่วนระบบ Cruise Control นั้นจะมีก้านแยกมาซ่อนอยู่ด้านซ้ายล่าง  ซึ่งถ้าคนขับไม่ชินการใช้งาน บางทีก็ต้องแอบก้มๆเอียงๆคอดูเหมือนกันว่ากดทางไหนสั่งทำอะไร นอกจากนี้ บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวาจะมีปุ่ม * คล้ายดอกจัน เป็นปุ่มพิเศษที่คุณสามารถกำหนดฟังก์ชั่นได้ว่าจะให้มันทำอะไร เช่น ปรับโหมดการขับขี่, เปลี่ยนฟังก์ชั่นระหว่างวิทยุ/CD/Media USB หรือเปิดปิด Traffic Announcement

ก้านสวิตช์คอพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือ ใช้เปิดไฟเลี้ยวกับไฟสูง ส่วนก้านด้านขวา จะใช้คุมระบบปัดน้ำฝน ซึ่งมีระบบอัตโนมัติปรับตามปริมาณน้ำฝนที่ตก แต่ถ้าทำงานไม่ได้ดังใจ คนขับสามารถเลื่อนลูกบิดบนก้านเพื่อปรับความ Sensitive ของเซ็นเซอร์หรือความเร็วในการปัดน้ำฝนได้

ใครหนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ (คุณพ่อ คุณแม่) แต่ถ้าหนังสามจอนี่ก็คงเป็น A6 เนี่ยแหละ เพราะนอกจากหน้าปัดที่เป็นจอสีแล้ว ก็ยังมีจอกลางตอนบนและล่าง ใช้ทำหน้าที่ต่างกัน จอกลางชุดบน มีขนาด 10.1 นิ้ว ใช้สำหรับการเข้าเมนูบันเทิง เครื่องเสียง ระบบนำทาง และการตั้งค่าต่างๆของตัวรถ ฟังก์ชั่นบางอย่างที่เคยเป็นปุ่มกดกระจายตามคอนโซลใน A4 พอมาเป็น A6 จะย้ายมาอยู่ในเมนูตั้งค่าบนจอทัชสกรีนนี้แทน มีระบบ Audi Smartphone Interface ไว้เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ และยังใช้เพื่อโชว์กล้องมองขณะถอยจอดได้ด้วย

ส่วนจอล่าง มีขนาด 8.6 นิ้ว ใช้สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศ มีลักษณะเป็นจอแบบ Haptic คือเมื่อแตะถูกจุด มันจะดังแก๊กเวลากด ให้ฟีลคล้ายกับการกดปุ่มสวิตช์ คล้ายๆกับแผงควบคุมในรถอย่าง Porsche Panamera

เครื่องเสียง Bang & Olufsen ที่มาพร้อมระบบเสียง 3 มิติ …ตรงนี้รู้สึกแปลกใจอยู่หน่อยเมื่อลองฟัง ผมลืมนับว่ามันมีจำนวนลำโพง 19 ตัวแบบ A4 Avant หรือเปล่า แต่ในขณะที่เครื่องเสียงของ A4 นั้นให้สุนทรียสัมผัสแก้วหูได้ดีจนน่าพอใจ เครื่องเสียงของ A6 นี้ผมฟังแล้วกลับรู้สึก “ไม่อิ่มหู” เท่า จนตอนแรกนึกว่า Audi จัดชุดเครื่องเสียงพรีเมียมแบบธรรมดามาให้ด้วยซ้ำ มิติของเสียงนั้นยังพอได้อยู่ แต่เบสและเสียงช่วงกลางไม่แน่นแบบฉ่ำๆเท่า A4 ..มันก็มีแค่สองอย่างคือ มันได้แค่นี้ กับ ลำโพงยังไม่ได้เบิร์น เพราะรถคันนี้ใหม่มากครับ Audi สั่งเข้ามาเสร็จ ก็มีผมกับพี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณจาก Thairathonline ที่ได้ขับเป็นคนแรกๆ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาไปเทียบกับเครื่องเสียงของรถยุโรปที่เป็นสเป็คธรรมดา ไม่ได้มีแบรนด์ปะลำโพง ..หรือไปเทียบกับ Burmester ในเบนซ์ที่มี Head unit เป็นแบบปกติ ผมว่าเครื่องเสียงของ Audi A6 ก็ยังชนะ

สิ่งที่ต้องเขียนเพิ่มเติมไว้อีกประการหนึ่งเกี่ยวกับภายในของ A6 ก็เรื่องการออกแบบ การใช้จอเข้ามาแทนปุ่ม ทำให้แผงแดชบอร์ดดูล้ำสมัย และ “คลีน” สุดๆ แต่ในความคลีนนี้ก็มีข้อเสียของมัน เพราะสวิตช์บางอย่างที่ควรหาได้ง่ายก็กลับเป็นยาก เช่นสวิตช์ปิด/เปิดระบบ Auto Start/Stop, สวิตช์หมุนเวียนอากาศ, สวิตช์ไฟฉุกเฉิน หรือที่ผมไม่ชอบเอามากๆคือสวิตช์ Drive Select ซึ่งนอกจากจะอยู่ไกลมือสุดแล้วยังทำเป็นหน้าเรียบ จะกดตอนรถวิ่งทีก็ต้องเหลือบตาลงมาดู

เรียกว่าสวยทันสมัยแต่ลำบากตอนใช้ คุณอาจจะแก้ปัญหาโดยการ Assign ปุ่ม * บนก้านพวงมาลัยให้ไว้ใช้ปรับโหมด Drive Select ก็ได้ แต่มันก็น่าจะมีวิธีที่ใช้งานได้ง่ายโดยไม่ต้องแก้ปุ่มเหล่านี้ แม้แต่ BMW ก็ตาม คุณจะสังเกตได้ว่าสวิตช์ของรถที่ผลิตก่อนยุคทัชสกรีนจ๋าๆอย่าง 5 Series F10 หรือ 3 Series F30 กลับจะควาน คลำ และกดใช้ง่ายกว่ารถรุ่นใหม่ๆด้วยซ้ำ นี่คือส่วนที่ความสวยงามมันดันมีความสำคัญกว่าการใช้งาน เป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าตัวจริงควักเงินซื้อ น่าเศร้าแต่เราคงทำอะไรไม่ได้

หน้าปัดแบบ Virtual Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว เป็นจอสีทั้งจอยกเว้นเกจ์วัดความร้อนเครื่องกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขนาบข้าง จะเป็นไฟ LED ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม Audi ชอบใช้ไฟเล็กเท่ามดคันไฟแบบนี้ เวลากลางคืนมันก็มองเห็นอยู่หรอก แต่พอกลางวันแสงส่องเข้ามาหน่อยจะต้องเพ่งนานหน่อยถึงจะเห็นว่าเหลือน้ำมันอยู่เท่าไหร่ แต่นอกนั้นถือว่าโอเค การแสดงผลบนจอสีนั้น คุณสามารถปรับเลือกได้ 3 แบบ คือแบบธรรมดาตัวเลขตรง แบบสปอร์ตตัวเลขเอียง และอีกแบบมาแปลกคือขึ้นเป็นแถบเลื่อนคล้ายเทวดาสยายปีก ดูเหมือนจะสังเกตค่าง่าย แต่จริงๆแล้วเหมือนกับโชว์แสงสีที่หาสาระอะไรไม่ได้

กดปุ่ม VIEW บนพวงมาลัย แล้วมาตรวัดรอบกับความเร็วจะหดขนาดลง ขยายแผนที่ของระบบนำทางขึ้นมาแทน ซึ่งมองในแง่ดี มันก็ช่วยให้การขับรถไปในทางที่ไม่รู้จัก เป็นไปอย่างปลอดภัยขึ้น และคุณยังสามารถปิดข้อมูลที่ไม่จำเป็นในบางส่วนลงได้ จะให้ดีกว่านี้ ผมอยากให้ตั้งค่าจอเพื่อโชว์ค่าต่างๆของตัวรถเช่น คันเร่ง บูสท์ อุณหภูมิน้ำแบบเป็นตัวเลของศา ของพวกนี้สำหรับบางคนมีค่ามากกว่าลูกเล่นด้านแสงสี และมันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเพิ่มอะไรนอกจากเขียนโปรแกรม ค่าต่างๆเหล่านี้ กล่อง ECU ของรถก็รู้อยู่แล้ว

ในเรื่องของความง่ายในการใช้ กับการมอง Virtual Cockpit ทำได้ดีมาก ไม่ต้องทำวัดรอบวัดความเร็วให้แฟนซีจนดูยาก มันก็สวยได้ ผมชอบหน้าปัดนี้มากกว่าของ BMW 530i ที่ค่อนข้างจำกัดการเลือกรูปแบบการแสดงผล และการอ่านค่าก็ไม่ได้ง่ายเท่าไหร่นัก

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม**********

ครั้งแรกที่คุณเห็นตัวเลข 45 TFSI คุณอาจจะมองว่า A6 Avant 2.0 นั้น ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ A4 Avant 45 TFSI ซึ่งคุณอาจจะถูก..แต่ไม่ทั้งหมด เพราะใน Audi ยุคใหม่นั้น จะมีการติดตั้งมอเตอร์ขับเคลื่อนเข้าไปด้วย ทำให้มันกลายเป็นรถไฮบริดในทางเทคนิค แต่ก็เป็นไฮบริดแบบ MHEV-Mild Hybrid Electric Vehicle ซึ่งมอเตอร์นั้นมีบทบาทในการขับเคลื่อนน้อย มีพลังน้อย เอาไว้ใช้เสริมแรงนิดหน่อยตอนออกตัว และช่วยให้สามารถแล่นแบบดับเครื่องปล่อยไหลก่อนหยุดได้ยาวๆโดยที่พวงมาลัยและระบบปรับอากาศทำงานตามปกติ ส่วน A4 นั้น จะใช้เครื่องยนต์เบนซินเพียวๆ

รหัสของเครื่องยนต์ก็เปลี่ยน จาก CYR เป็น DLH แต่น่าจะยังใช้ท่อนล่างเดิม เพราะรูปแบบหลักของเครื่องยนต์ ยังเป็นแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 ซีซี.กระบอกสูบ x ระยะช่วงชักเท่ากับ 82.5 x 92.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.6 : 1 จ่ายด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Direct Injection พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ และอินเตอร์คูลเลอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ พร้อมระบบวาล์วแปรผันองศาเพลาลูกเบี้ยว และยังมีระบบ AVS- Audi Valve lift System แปรผันระยะยกวาล์วที่ฝั่งไอเสีย เพื่อจัดการกระแสการไหลของไอเสียที่เข้าสู่เทอร์โบให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

เครื่องยนต์ DLH บล็อคนี้ ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร (37.70 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 4,300 รอบ/นาที วัดอัตราการปล่อยมลพิษ CO2 ตามมาตรฐานของบ้านเราได้ 183 กรัม/กิโลเมตร ดังนั้น ต่อให้มีมอเตอร์ แต่ก็ไม่ได้รับสรรพสามิตไฮบริด เพราะ CO2 เยอะเกิน โดนสรรพสามิตไป 30%  ซึ่งมากกว่า A4 Avant เสียอีก

ระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์คลัตช์คู่ S tronic 7 จังหวะ ใช้ระบบคลัตช์เปียก พร้อม Paddle Shift หลังพวงมาลัย มีอัตราทดเกียร์ 1-7 เท่ากับเกียร์ใน A4 Avant ดังนี้

  • เกียร์ 1 = 3.188
  • เกียร์ 2 = 2.190
  • เกียร์ 3 = 1.517
  • เกียร์ 4 = 1.057
  • เกียร์ 5 = 0.738
  • เกียร์ 6 = 0.557
  • เกียร์ 7 = 0.433
  • เกียร์ถอยหลัง = 2.750
  • อัตราทดเฟืองท้าย = 4.410

ส่วนที่แตกต่างจาก A4 ก็คืออัตราทดเฟืองท้าย ซึ่งปรับให้จัดขึ้น จาก 4.27 เป็น 4.41 เพื่อชดเชยกับขนาดเส้นรอบวงล้อที่เพิ่มขึ้นมาก และน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มมา 130 กิโลกรัม

คันเกียร์ของ Audi A6 เป็นแบบไฟฟ้า ไม่มีร่องสำหรับเกียร์ P แต่สามารถเข้าได้ด้วยการกดปุ่มบนหัวเกียร์ วิธีการใช้งานอาจจะก่อความสับสนกับคนที่ชินเกียร์กลไก P-R-N-D อยู่บ้างในระยะแรก (ผมก็ด้วย) เวลาอยู่ในเกียร์ P ถ้าจะถอยหลัง ก็เหยียบเบรก กดปุ่มข้างเกียร์ แล้วดันคันเกียร์ไปข้างหน้า 2 ครั้งหรือจนกว่าไฟบอกตำแหน่งเกียร์บนหน้าปัดจะโชว์ R ส่วนถ้าเข้าเกียร์เดินหน้า ก็กดปุ่มข้างเกียร์แล้วดันไปข้างหลัง

ระหว่างวิ่งอยู่ในเกียร์ D ถ้าดันเกียร์ไปข้างหลัง 1 ครั้งจะเป็นการเข้าโหมด Sport หรือถ้าดันไปข้างซ้าย ก็จะเข้าสู่โหมด Manual +/-

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใน Audi A6 นี้ จะแตกต่างจากแบบที่อยู่ใน A4

ใน A4 Avant จะเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่ “ตลอดเวลา” จริง นั่นหมายความว่าคุณจะขับมันยังไง ถ้าล้อหมุนเมื่อไหร่ มันจะมีการส่งกำลังไปทั้งล้อคู่หน้าและคู่หลังตลอด แต่สำหรับระบบ “quattro with Ultra Technology” ซึ่ง Audi คิดค้นมาใช้ครั้งแรกใน Q5 รุ่นปัจจุบัน และอยู่ใน A6 Avant ด้วยนั้น จะเป็นระบบที่มีการตัดเหลือให้ขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อหน้าได้ แต่หลักการทำงานจะไม่เหมือนกับระบบ Haldex ใน TT เพราะการจับส่งกำลังสามารถทำได้ในทุกเงื่อนไข ขอแค่ให้มี Input สั่งจากกล่องไฟฟ้า

ระบบ quattro Ultra ใช้ชุดคลัตช์ Multi-plate 2 ชุด ติดตั้งตรงท้ายเกียร์และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของมอเตอร์ขับเคลื่อนของระบบไฮบริด รถจะนำข้อมูลหลายอย่างมาประมวลผลแล้วสั่งว่าให้ระบบจับล็อคทำงานหรือไม่ ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องรอให้ล้อหน้ามีการหมุนฟรีก่อนระบบจึงจะเริ่มส่งกำลังไปล้อหลัง ระบบ ECU ของ quattro Ultra จะสอดส่องลักษณะการขับ คันเร่ง เบรก การใช้พวงมาลัย และในขณะเดียวกันก็ตรวจสอบแรงยึดเกาะในแต่ละล้อไปตลอดเวลา

  • ตอนออกตัว จะเป็นขับสี่มีการส่งกำลังไปล้อหลังนิดๆก่อน
  • แต่ถ้าขับไปเรื่อยๆ เร่งความเร็วแบบช้าๆ หรือใช้ความเร็วคงที่ จะตัดเป็นขับเคลื่อนล้อหน้า
  • ถึงวิ่งบนหิมะ แต่ถ้าไม่ได้กดคันเร่งจนล้อฟรี และตรวจไม่พบอาการไถล ก็จะขับเคลื่อนล้อหน้า
  • แต่ถ้ากดคันเร่งหนัก, ใส่เกียร์ S หรือมีลักษณะการหักพวงมาลัยไปมาเหมือนขับในสนามแข่ง ก็จะสั่งให้ระบบขับสี่ทำงาน
  • นอกจากนี้ หากเลือกโหมดการขับขี่ Drive Select เป็น DYNAMIC รถก็จะมีแนวโน้มสั่งให้ส่งกำลังไปล้อหลังเร็วและคาเอาไว้นานกว่าปกติ

 

การที่บริษัทรถต้องลำบากทำระบบให้ซับซ้อนขึ้นแบบนี้ ก็เนื่องมาจากความต้องการในการลด CO2 และการประหยัดเชื้อเพลิงนั่นล่ะครับ การเพิ่มความสามารถในการบังคับควบคุมรถ ไม่ใช่ประเด็นหลัก ต่อให้ภาษาบนโบรชัวร์เมืองนอกจะเขียนมาดูสวยหรูยังไงก็ตาม

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบกึ่งไฟฟ้า Electro-mechanical เซ็ตอัตราทดไว้ 15.8 : 1 มีระบบปรับน้ำหนักตามความเร็วในการวิ่งของรถ

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบ Five link ซึ่งออกแบบมาเน้นการลดแรงสะเทือนทั้งจากแนวตามยาวและด้านข้าง ใช้จุดยึดช่วงล่างและลูกหมากแบบพิเศษที่ออกแบบให้แข็งตัวต้านแรงเหวี่ยงด้านข้างได้มาก แต่รับและซับแรงกระแทกจากการปะทะแนวตรงได้ดี บุชยางบางตัวจะเป็นแบบ Hydromount (สอดไส้ของเหลวไว้ข้างใน) เพื่อลดแรงสะเทือนและความกระด้างลง ก้านลิงค์ชิ้นบนสุดติดตั้งเข้ากับบอดี้รถโดยตรง และก้านยึด Link ต่างๆทำมาจากอะลูมิเนียมฟอร์จ พร้อมเหล็กกันโคลง

ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Five link  และมีลูกหมากยึดบางตัวที่เป็นแบบ Hydromount เช่นเดียวกับช่วงล่างด้านหน้า ส่วนระบบเบรก เป็นดิสก์ 4 ล้อ คาลิเปอร์หน้าแบบ Fixed หุ้มอะลูมิเนียมหน้าตาดูคล้ายของ A4 Avant เผลอๆอาจจะเป็นคาลิเปอร์กับจานชุดเดียวกัน แต่ผมไม่มีข้อมูลเรื่องขนาด

***การทดลองขับ***

ทริปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวรถ Q3/ Q3 Sportback รุ่นใหม่ ฟังดูแปลก แต่ Meister Technik เขามีประเพณีวิ่งสื่อฯ แบบนี้ล่ะครับ ก่อนอื่นจะโทรมาชวนเหมือนกับไปขับรถเล่นกันขำขำ ในขบวนจะมีรถรุ่นใหม่ปนอยู่ถ้าใครโชคดีได้ขับก็ถือว่าถูกลอตเตอรี่..แล้วพอไปถึงที่หมาย ตกกลางคืน กำลังนั่งกินข้าวอยู่ก็จะมีรถใหม่อีกรุ่นวิ่งออกมาเซอร์ไพรสกลางงาน

เส้นทางการขับของเราเริ่มต้นจาก Audi Centre เลียบทางด่วน แล้วไปจบที่ Toscana โดยผมจับคู่กับพี่ฉ่าง สื่อฯรุ่นน้า จาก Thairathonline เช่นเคย นอกจากการขับบนเส้นทางที่กำหนดแล้ว Audi ยังใจดีให้สื่อต่างๆสามารถยืมรถไปลองขับเดี่ยวๆได้ในเช้าวันถัดมา ถือว่าโชคดีเพราะผมได้ลองเอามาขับสาดโค้งเล่นจนพอรู้อาการของรถและการตอบสนองได้

อย่างแรก คุยกันเรื่องอัตราเร่งก่อน ผมลองจับโดยเลือก Drive Select เป็น AUTO ก่อน พบว่า 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ใน 8.02 วินาที และอัตราเร่งแซง 80-120 จบใน 5.6 วินาที พอเปลี่ยนเป็นโหมด Dynamic หวังจะเอา Traction จากระบบขับสี่เต็มๆ กลายเป็นว่า 0-100 กลับโดดไป 8.2 วินาที แต่ 80-120 ได้ตัวเลขเร็วขึ้นเป็น 5.3 วินาที ท้ายสุด ลองเล่นเกียร์เองโดยคาไว้เกียร์สามแล้วกระทืบคันเร่ง จบได้มา 4.9 วินาที

แน่นอนครับตัวเลขนี้ทำตอนเช้า ที่เขาใหญ่ ลำบากหน่อยก็ตรงที่ต้องพยายามหาช่วงทางเรียบ แล้ววิ่งกลับไปมาบนเส้นเดิมเพื่อดูว่าค่าจะเพี้ยนจากความลาดชันของเส้นทางไหม เมื่อได้ตัวเลขที่เกาะกลุ่ม ไม่โดดเด่นออกมาแปลกๆ ผมก็เลือกชุดตัวเลขที่ดูน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดมาโชว์ ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงมาตรฐานของเว็บ แต่ในเมื่อผมต้องมาออกทริปห่างไกลแบบนี้ ก็ทำได้เท่าที่เห็น

A6 Avant มีลักษณะการแสดงออกที่คล้ายกับ A4 ไม่ว่าจะเป็นการดีดออกตัวเมื่อรอบแตะ 2,400 ความไหลต่อเนื่องของอัตราเร่งในลักษณะที่ดึงเท่ากันทุกช่วงตามประสาเครื่องเทอร์โบยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ล้อและยางที่โตกว่า กับน้ำหนักตัวที่ต่างกัน 130 กิโลกรัม ทำให้ความสะใจมันสู้น้องเล็กอย่าง A4 ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงออกตัว หรือช่วงแซง ส่วนถ้าให้เทียบกับ 530i Touring นั้น ผมรู้สึกว่า Audi ถีบออกตัวได้เร็วไม่แพ้กัน แต่ช่วง 80-160 BMW จะไหลไปได้ไวกว่า ส่วนหนึ่งอาจเพราะ BMW ทดเกียร์ 8 จังหวะ ทำให้มีอัตราทดที่ชิดกันมากกว่าก็เป็นได้

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณจะไม่กล่าวโทษอะไรมันหรอก เพราะเครื่องยนต์ 245 แรงม้าของ A6 Avant คันนี้ ให้ทุกสิ่งเท่าที่มันให้ได้ หรือแม้กระทั่งตอนขับในโหมดปกติ คุณกดคันเร่งแค่ครึ่งเดียว มันก็พร้อมพุ่งทะยานเพิ่มความเร็วอย่างง่ายดาย เทอร์โบติดบูสท์ตั้งแต่รอบต่ำ เกียร์คลัตช์คู่ เปลี่ยนเกียร์ได้ราบเรียบและลื่น คิกดาวน์ตอบสนองไว สิ่งที่น่ารำคาญก็เห็นจะมีแค่อาการยึกๆที่ความเร็วต่ำ ซึ่งเกียร์อัตโนมัติของ BMW และเบนซ์รุ่นหลังๆมานี้ก็มีอาการแบบเดียวกัน กับอีกทีนึงก็ตอนเข้าเกียร์ถอยหลัง ซึ่งใช้เวลานานกว่าเกียร์จะจับและถอยหลังได้

สุ้มเสียงของเครื่องยนต์ก็เหมือนกับ A4 Avant 45TFSI คือ เงียบ ไม่ว่าจะเป็นตอนเดินเบา หรือตอนกดคันเร่งเต็มก็ยังคำรามแบบแมวครางเบาๆ คือพี่จะเงียบไปไหนครับ? อารมณ์เสียงตอนกระแทกคันเร่งเต็มนี่ไม่แผดห้าวเร้าใจแบบ BMW เลย มันไม่ถูกใจคนเท้าหนักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นมนุษย์สามีที่ชอบแอบขับรถเร็วระหว่างเมียหลับ A6 อาจจะเหมาะก็ได้

ช่วงล่าง และการขับขี่ เหมือนเอา A4 มาปรับนิสัยให้ห้าวน้อยลง นุ่มนวลขึ้น อันที่จริง A4 ก็ไม่ใช่รถที่กระด้างบ้าบออะไรนะครับ ผมขับแล้วก็รู้สึกว่าใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพียงแต่ถ้าเอาไปรับผู้หลักผู้ใหญ่อายุ 70 เขาก็อาจจะบ่นว่ามันสะเทือนบ้าง สำหรับ A6 นี่ถ้าผู้ใหญ่ยังบนกระด้าง ผมคิดว่าคุณควรถีบท่านลงจากรถเลยดีกว่า มันไม่มีรถคันไหนแล้วครับที่จะตรง Concept คำว่าช่วงล่างเยอรมันมากไปกว่านี้ (แล้วราคาไม่แพงไปกว่านี้) A6 Avant เป็นรถที่ให้ดุลย์กับความมั่นใจและความนุ่มนวลอย่างเหมาะสม

วิ่งบนถนนขรุขระ? มันก็สะเทือนนิดๆแต่แน่นๆ รู้สึกได้เลยว่ามีน้ำหนัก 1.7 ตันคอยกันไม่ให้ดิ้น วิ่งบนไฮเวย์? โอ้ย เหมือนวิ่งเล่นสวนหลังบ้านเขาเลยครับ นิ่ง แน่น และมั่นคง คือถ้าใครขับ A6 Avant 180 แล้วบอกไม่มั่นใจผมแนะนำว่าพี่ไปซื้อ Bentley Continental GT ขับได้แล้วครับ ถ้าเทียบกันกับ 530i Touring ผมคิดว่าเรื่องความนุ่มนวล และการรักษาเสถียรภาพรถ Audi A6 ชนะขาด แต่ถ้าคุณเอามันไปซัดโค้งตามภูเขาเล่น ยิ่งแรงเหวี่ยงเยอะ+ความเร็วต่ำ BMW จะทำตัวสนุกเหมือนมันเป็นรถสปอร์ต พยศได้ ไถลได้บ้าง ขับแล้วหัวเราะร่า ในขณะที่ A6 จะพยายามทำตัวเป็นรถไฟวิ่งบนราง เน้นมั่น ไม่เน้นลีลา

อย่างไรก็ตาม มันก็คือแวก้อนตัวหนัก 1.76 กิโลกรัม บางโค้งที่ต้องหักไป/มา การถ่ายน้ำหนักเปลี่ยนข้างแบบรวดเร็วจะส่งผลให้หน้ารถยุบยวบมากกว่ารถเบาๆอย่าง A4 ดังนั้น ในขณะที่ A6 ชนะบนถนนขรุขระและบนมอเตอร์เวย์ที่สภาพผิวถนนแย่ A4 ก็เป็นรถที่คล่องตัวกว่าเมื่อวันมามาก

การถ่ายทอดกำลังของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำได้เป็นธรรมชาติกว่าระบบของ TT เพราะมันทำได้ใกล้เคียงกับ quattro ฉบับดั้งเดิม ยิ่งถ้าใส่โหมด Dynamic ตอนยัดโค้งไว้ ลักษณะการตอบสนองต่อคันเร่งจะเหมือนกันมาก มีอาการอันเดอร์สเตียร์พอให้สัมผัสได้ แต่ไม่มีอาการโหวงระหว่างคิกดาวน์ในโค้งเยอะแบบ TT

น้ำหนักพวงมาลัย เบาสบาย แม่ขับได้ที่ความเร็วต่ำ นิ่ง และแน่นขึ้นเมื่อใช้ความเร็วเกิน 80 เป็นต้นไป ผมคิดว่า Audi คงไม่ต้องไปปรับแต่งพวงมาลัยเพิ่ม เพราะแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองนั้น ผมลองดูจาก On-board computer บนรถ ช่วงที่ผมหวดจากกรุงเทพมาถึงจุดพักระหว่างทาง กดคันเร่งบ้าง ขับ 110-120 บ้าง มีทดสอบไต่ไป 180 บ้างสองสามครั้ง ยังได้ 10 กิโลเมตรต่อลิตร ไม้ต่อมา ผมให้พี่ฉ่างขับ พี่ฉ่างจะไม่บ้ากระทืบคันเร่งแบบผม ตัวเลขเดินจาก 10 เป็น 11 และไปหยุดที่ 12.4 กิโลเมตรต่อลิตร

ใน A4 Avant เราเคยทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองแบบวิ่ง 110 นิ่งๆ Jimmy Mode เอาไว้ 15.4 กิโลเมตร/ลิตร แต่ถ้าเป็น A6 ผมคิดว่ามันคงไม่ได้ตัวเลขสวยระดับนั้น เพราะรถมันคันโตกว่ามาก

ท้ายสุดคือเรื่องการเก็บเสียง ซึ่งไม่มีอะไรให้ตำหนิ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เด่นไปกว่าคู่แข่งอย่าง 530i ซึ่งซีลขอบกระจก ประตู และบุกันเสียงพื้นล่างรถมาอย่างดีทั้งคู่ A6 Avant และ 530i Touring ถือว่าเป็นรถเก็บเสียงลมเสียงยางได้ดีสมศักดิ์ศรีรถหรูทั้งคู่

***สรุป***

***มันคือ A4 ที่ตัวโต ห้าวน้อยลง แต่ขับและนั่งสบายขึ้น***

ถ้าผมเดาล็อตเตอรี่ได้เหมือนกับการคาดเดา Audi A6 คันนี้ ป่านนี้ผมคงรวยเละไปเปิดร้านไก่ย่างเขาสวนทวารแทนการทำสื่อรถยนต์แล้วล่ะครับ เพราะสำหรับ A6 Avant 45 TFSI คันนี้ ไม่มีอะไรที่ทำมาดีแบบเกินสิ่งที่ผมคาดไว้ และไม่มีสิ่งที่แย่กว่าที่คาดด้วยเช่นกัน

สิ่งที่คุณต้องเสียไป เมื่อเทียบกับ A4 อย่างแรกคือความเร็วในการพุ่งตัวและการเร่งแซง ใน A4 Avant ผมอาจเรียกว่ามันเข้าขั้น Sport Wagon เลยก็ได้ เพราะตัวเลขสมรรถนะมันออกมาดี และมีความว่องไวในการบังคับควบคุมน้องๆรถระดับ High-performance ทั้งหลาย แต่สำหรับ A6 Avant สิ่งเหล่านี้ถูกลดทอนลงไปพอสมควร อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ตรงรุ่นจริงๆอย่าง 530i Touring ก็ไม่ได้ถือว่าเสียเปรียบมากนัก จังหวะการลงคันเร่ง และการเลือกไลน์เวลาเข้าโค้งจะทำให้รถสองคันนี้ขับเคี่ยวกันได้สูสี โดยใช้ความถนัดที่ต่างกัน ระหว่าง BMW ที่ขี้เล่น พยศ แต่แอบคม กับ Audi quattro ที่เน้นความมั่นคง มั่นใจ เหมือนวิ่งไปบนราง

แต่สิ่งอื่นนอกเหนือจากอัตราเร่งและความสนุกในการขับแบบบู๊ล่ะ? สบายเลยครับ เพราะขนาดตัวรถที่โตมาก ทำให้การโดยสารเป็นไปอย่างสบาย ตัวเบาะก็สบาย ถ้าไม่นับพนักพิงศีรษะที่ติดตั้งมาค่อนข้างเยื้องไปข้างหน้ามากไปนิด ถ้าติดตั้งพนักพิงให้ถอยไปกว่านี้สัก 1-1.5 นิ้วได้ ปัญหาก็จบแล้ว ส่วนช่วงล่าง ก็เปลี่ยนจากแวก้อนเลือดร้อน ก็กลายเป็นรถแบบ 48% นุ่มและ 62% หนึบ เป็นรถแบบที่พาพ่อแม่นั่งหลังไปกินข้าวแล้วไม่รู้สึกบาป และพาท่านวิ่งชมโลกอันสวยงามบนมอเตอร์เวย์ที่ความเร็ว 160-170 ก็ไม่บาปเช่นกันแม้ว่าตำรวจจราจรอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้

เรื่องความหรูหราภายในรถ A6 นี่ตบ A4 ตายกลางซอยได้เลย ทั้งๆที่ A4 เองก็มีความหรู มีสไตล์ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ A6 มาเหนือกว่าในแง่ความทันสมัย อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ดู Make sense กว่า วัสดุต่างๆก็เลือกมาใช้ติดตั้งได้เหมาะสมและดูดีกว่า หน้าปัด Virtual Cockpit จอ Haptic และชุดจอกลาง ทำให้ภายในดูแพงขึ้น เห็นแล้วรู้สึกได้ทันทีเลยว่าไอ้ 1.05 ล้านบาทที่จ่ายเพิ่มจาก A4 มันมากระจุกอยู่ข้างในนี่เอง

อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดเรื่องความง่ายในการใช้งาน รถอย่าง A4 ที่ยังอยู่ในยุคของปุ่มหมุน, กด และสวิตช์ กลับจะเป็นมิตรต่อนักขับสายซิ่งมากกว่า แต่อันนี้อาจจะเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวของผมด้วย เพราะเวลาขับรถผมไม่ชอบอะไรก็ตามที่ต้องละสายตาลงมามองทุกครั้งก่อนกด ใน A6 นี่ พอทุกอย่าง Integrate ลงไปในจอทัชสกรีน การเอามือคลำไม่ช่วยอะไรเลย

ในท้ายที่สุด ก็คงอยู่กับการเลือกรถให้ตรงกับลักษณะการขับและการใช้งานของคุณนั่นล่ะ

ถ้าจะขอลองยกตัวอย่าง…ผมเป็นชายแก่แต่โสด เท้าหนัก พ่อแม่ไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหนด้วย อย่างมากก็รับสาวๆไปกินข้าวทีละคน (ได้แค่ทีละคนเพราะถ้าสองคนเดี๋ยวหมดตูด) ผมเป็นคนไม่สนใจเรื่องทัชสกรีนหรือเทคโนโลยีล้ำยุคที่ไม่ได้ช่วยให้ขับขี่ได้มั่นใจขึ้น หรือสบายขึ้น ดังนั้นอย่าแปลกใจเลยครับถ้าผมจะบอกว่า พอลงจาก A6 Avant และคืนกุญแจเสร็จ เมื่อได้มีโอกาสพบพี่กฤษณะกร CEO Meister Technik ผมก็เรียนท่านตามตรงว่า จริตของผม ตรงกับรถอย่าง A4 มากกว่า และจุดที่สำคัญก็คือราคาที่ต่างกัน 1.05 ล้านบาทนี่ล่ะครับ

แต่ถ้าสมมติมีใครมาถามผมว่าเลือกคันไหนดีกว่า ผมจะถามกลับก่อนว่า คุณมีเงิน 4.3-4.4 ล้านสำหรับการซื้อรถหรือไม่? จากนั้น ก็ให้ดูการใช้งานในชีวิตประจำวัน ต่อให้เขาคนนั้นเป็นคนประเภทเท้าหนัก ขับรถด้วยความเร็วระดับหาพระแสงเป็นประจำ แต่ถ้าเป็นคนมีครอบครัวแล้ว หรือเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ต้องพาคู่ค้าไปรับประทานอาหารตามภัตตาคารห้าดาวเป็นประจำ A6 Avant จะเป็นรถที่ทำให้คุณรู้สึกดีได้มากกว่า ด้วยบุคลิกที่สุภาพ ใจกว้าง สงบเสงี่ยมกว่า แต่ถ้าใครจะหาเรื่อง ก็มาดิคับ มา

ไม่ว่าคุณจะเลือกคุณน้องที่ไฟแรงอย่าง A4 หรือคุณพี่ที่สงวนมาดและเจนโลกขึ้นอย่าง A6 ทั้งสองคันมีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะทศวรรษนี้ หรือทศวรรษหน้า รถบอดี้สเตชั่นแวก้อนอย่างตระกูล Avant ทั้งหลาย จะเป็นรถที่ดูเด่นเวลาขับไปตามงานมีตติ้งรวมรุ่นคืนสู่เหย้าชาวทางด่วน และกลายเป็นรถหายากที่คนรุ่นลูกคุณจะรู้สึกดีที่ได้เห็น เพราะท้ายสุด เมื่อโลกขยับไปหา SUV และ Crossover มากขึ้นทุกวัน คนที่จะตั้งใจทำรถสเตชั่นแวก้อนดีๆก็จะน้อยลง อาจจะมีเหลือแค่ Audi ที่ทำ

และ Audi ไม่ได้แค่ “makes station wagon” เท่านั้น แต่ยัง “makes station wagon a sexy thing” อีกด้วย

#cheerstoasexybread

– – – – – – – ////- – – – – – – –

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :  Meister Technik (Audi Thailand) เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

Pan Paitoonpong สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน และคุณ Moo Teerapat A. และภาพประกอบทางเทคนิคของ Audi Germany ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 21 พฤศจิกายน 2019

Copyright (c) 2018 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.First publish in www.Headlightmag.com 21 November 2019

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!