“เขาจะเอามันมาทำไมวะ?”

เริ่มต้นเรื่องก็ดูแรงกันเลยทีเดียว นี่ไม่ได้กำลังเล่าเรื่องใครทะเลาะกับใครหรอกนะครับ แต่เป็นคำถามแบบเนิบๆที่มาจากเพื่อนผม เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันแถลงข่าว BMW ประจำปี และถือเป็นวันเปิดตัว 3 Series Gran Sedan ซึ่งนับเป็นของแปลกใหม่สำหรับตลาดประเทศไทย แต่เป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วในประเทศจีน สำหรับ 3 Series เวอร์ชั่นฟุตลองสไปซี่ ขยายความยาวเอาความคุ้มแบบนี้

ซึ่งผมไม่มีคำตอบแบบที่มาจากผู้บริหารอย่างเป็นทางการหรอก แต่ก็เป็นเรื่องที่พวกเราหลายคนเดากันได้อยู่แล้ว

อย่างที่ทราบกันว่า ช่วงกลางปีที่แล้วนั้น BMW 3 Series GT ตัวถัง F34 ทยอยยุติการจำหน่ายลงด้วยการส่ง Final Lot กับรุ่นย่อย “Sport” ราคา 2.299 ล้านบาท ซึ่งเจ้า 320d GT นั้น เป็นรถที่ทำตลาดในแนวแปลกไม่แคร์พ่อแม่ในบ้านมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อเราพูดถึง BMW ก็มักจะนึกถึงสปอร์ตซีดานที่ส่วนสัดทะมัดทะแมง แต่รถในตระกูล GT กลับออกแบบในแนว Man Maximum, Machine ก็ Maximum กระโปรงหน้ายาว ห้องโดยสารก็สูงใหญ่ เน้นความสบายและการบรรทุกสัมภาระโดยที่ยังไม่ต้องแปลงตัวเองไปเป็นสเตชั่นแวก้อนหรือ SUV

รถตระกูล GT ทั้ง 320d GT และ 630d/630i GT กลายเป็นรถที่มีตำแหน่งทางการตลาดแปลกๆ กล่าวคือ 320d GT เป็นซีรีส์ 3 ที่ให้พื้นที่มากเหมือนซีรีส์ 5 ในขณะที่ซีรีส์ 6 GT ก็เป็นรถที่ตัวเท่าซีรีส์ 5 แต่เบาะหลังแทบจะตั้งวงตั้งโต๊ะดูไพ่ยิปซีกันได้เหมือนซีรีส์ 7 เพียงแต่รูปแบบของเบาะนั่งจะดีไซน์มาแบบปกติ ไม่ได้เป็นโซฟาเคลื่อนที่แบบซีรีส์ 7 ..การที่มันออกแบบมาเน้นพื้นที่โดยสารมากขนาดนั้นก็ทำให้รูปทรงหลังคาสูงเกินกว่าจะเป็นรถซาลูน 4 ประตูได้ แล้ว BMW ก็เลือกทำให้มันเป็นรถแฮทช์แบ็ค ผลที่ได้ก็คือรถที่ทรวดทรงเหมือนเอา SUV Coupe มาโหลดเตี้ย ซึ่งไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ชอบ และยอดขายก็สะท้อนเรื่องนี้อยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อ BMW ที่เยอรมนียืนยันมาว่าพวกเขาจะไม่ทำ 3 Series GT ออกมาอีกแล้ว นั่นก็หมายถึงการมีช่องว่างในตลาดเกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ใช่ตลาดกลุ่มที่โกยยอดขายแบบช้างงาบอ้อย แต่เป็นจุดที่ทาง BMW ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็ยังอยากให้มีอยู่ต่อไป นั่นก็คือ BMW สำหรับ Man of the family, Lady of early business success ที่ยังรักในแบรนด์ BMW แต่รู้สึกว่า 5 Series นั้นมีค่าตัวสูงจนไม่สบายใจที่จะเล่น ไอ้ครั้นจะเอา 520d หรือ 530e จับมาถอดออพชั่นปรับราคาลง..ก็ดู 530e Elite เป็นออเดิร์ฟนะครับ 5 Series ไม่ข้ามสามล้าน ฟังดูน่าปลื้มใจบนหน้าหนังสือพิมพ์ แต่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อจริงๆเขาก็ไปเล่น M Sport กันหมด คนจำนวนน้อยครับ ที่ซื้อ BMW ที่เน้นความถูก ส่วนมากซื้อทั้งที่ก็อยากได้ชื่อว่าซื้อรุ่นท้อป

แล้วในเชิงกลยุทธ์ศึก อะไรที่เราทราบว่าคู่แข่งทำได้ดี เราย่อมไม่ทำ ถ้า BMW เกิดบ้าจี้ทำรถ 520d Iconic ตัดออพชั่นแบบสึนามิล้างป่า ขายในราคาโชว์รูมสองล้านกลาง เวลา BMW เดินผ่านตลาด ก็จะโดนเขม่นเหมือนพ่อค้าที่ขายของตัดราคาชาวบ้านเยอะๆ ดึงราคามาตรฐานของวงการต่ำลง แล้วสุดท้าย Mercedes-Benz ก็สามารถทำตามได้อยู่ดี..ยิ่งในเมื่อปี 2020 เป็นปีแรกในรอบสองทศวรรษที่ BMW มียอดขายรวมชนะค่ายดาวได้ ปีนี้ถ้ากระดิกนิ้วพลาด เบนซ์พร้อมไสช้างเข้าชนได้ทุกท่าแน่นอน

ดังนั้น จะชนะศึก บางครั้งเราก็ต้องใช้อาวุธที่คู่แข่งยังไม่มีรถมาเทียบ  ซึ่งก็คือ 3 Series “Gran Sedan” รหัสตัวถัง G28 เวอร์ชั่นฟุตลองสไปซี่ ที่จะอาศัยความยาวอันเหนือกว่าสโมกกี้ไบท์ ไซส์รถอยู่ตรงกลางระหว่าง 3 Series G20 และ 5 Series G30 แบบโคตรจะตั้งใจ แถมยังจัดออพชั่นมาแยบยล..ใช้คำว่าแยบยลดีกว่า ไม่ใช้คำว่าเต็ม เพราะแม้จะเป็นการตกแต่งแบบ M Sport แต่อุปกรณ์ที่ให้มาก็มีเจ๋งกว่า G20 บางจุด และแอบตัดในบางจุด นำเข้ารถมาจากมาเลย์ เซฟเรื่องภาษีนำเข้า เพื่อทำราคาให้ได้ 2,899,000 บาท

คุณอาจจะฟังดูแล้วบอกว่า “แล้วไง แพงกว่า 330e แสนบาทนะ ของเล่นก็ไม่ครบเท่า” แต่กลับกัน ถ้าโจทย์ของคุณคือรถยุโรปที่ช่วงล่างไม่แข็งสะเทือนนม และยังต้องมีพื้นที่ด้านหลังสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในวัยชรา พูดง่ายๆคือรถที่ดูวัยรุ่นแต่รับคนแก่ได้ 330Li M Sport ก็ภูมิใจพรีเซนต์ตัวเองด้วยราคาที่ถูกว่า 520d M Sport รถรุ่นพี่ถึง 640,000 บาท และได้อุปกรณ์ในภาพรวมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพียงแต่สังคมภายนอกอาจจะมองว่าไม่ดูรวยเหมือนกับซีรีส์ 5

ดังนั้น 330Li นั้นจึงเป็นตัวละครประกอบที่งานหนักมากกว่าที่ทุกคนคิด

..บางคน อยากได้ 3 Series เบนซินที่ไม่ใช่รถ Plug-in เขาก็มองตัวนี้

..บางคน กำลังจะซื้อซีรีส์ 5 แต่ไม่อยากจ่ายเงินข้ามสามล้านและอยากได้ออพชั่นดูดีระดับหนึ่ง เขาก็มองตัวนี้ (จริงอยู่ที่ 530e Elite ไม่ข้ามสามล้าน แต่อุปกรณ์ติดรถก็ให้มาแบบจำกัด..และคนที่ชอบรถใหญ่ ไม่เน้นอุปกรณ์ ชอบรถถ่าน ก็คงไปจับ Elite แต่แรกแล้วโดยไม่ต้องมาดู 330Li ให้เสียเวลา)

..แล้วตัวมันเอง ยังต้องมาทำหน้าที่ รถแบบเน้นความสบายคนนั่งหลัง แทน 320d GT ในลักษณะที่เหมือนใครสักคนลาออก/เกษียณอายุ แล้วเจ้านายเรียกคุณให้ไปรับงานในแผนกแทน ซึ่งมันไม่ใช่งานสายตรงของคุณเท่าไหร่ แต่คุณเป็นคนเดียวที่สามารถรับหน้าที่นั้นได้ดีที่สุด

ดังนั้น อย่าบ่น ถ้ารีวิวนี้จะดูเปรียบเทียบมั่วซั่ว เพราะความที่มันไม่มีคู่แข่งสายตรง Mercedes-Benz, Audi, Lexus ไม่มีรถพิกัดนี้ที่เป็นฐานล้อยาว แต่ 330Li M Sport ก็มีคุณสมบัติที่อาจตอบคนบางกลุ่มได้จนไม่น่าจะมองข้าม และต้องเปลี่ยนจากวิธีเทียบมวยตรงรุ่น มาเป็นการวัดจากคุณค่าของเงินที่จ่ายแทน

3 Series Gran Sedan มีความยาวตัวถัง 4,819 มม. กว้าง 1,827 มม. สูง 1,442 มม. ความยาวฐานล้อ 2,961 มม. น้ำหนักสุทธิ 1,640 กิโลกรัม ถ้าเทียบกับ 3 Series G20 รุ่นตัวถังปกติแล้ว ความยาวตัวถังและความยาวฐานล้อจะเพิ่มขึ้นถึง 110 มม. โดยที่ความกว้างและความสูงยังเท่าเดิมอยู่ ตัวถังส่วนหน้า ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนที่แตกต่างคือตัวถังซีกหลัง นับจากเสา B pillar มาจนถึงเสา C pillar ดังนั้นอะไหล่ตัวถัง ถ้าไม่นับประตูบานหลังกับสิ่งที่อยู่รอบๆแล้ว อย่างอื่นใช้ด้วยกันกับรุ่นฐานล้อสั้นได้ครับ

ถ้าคุณสงสัยว่าจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าเทียบกับ 520d ..ก็สรุปได้ครับว่า รุ่นพี่ยังโตกว่าในทุกมิติ (4,963 x 1,868 x 1,479 มม.) ชนิดที่จะเห็นได้ว่ายังไงถ้าจอดข้างกัน ขนาดตัวของ G30 จะข่มเจ้าฟุตลองนี่ได้แน่นอน เพียงแต่ว่าระยะฐานล้อมันต่างกันน้อยมาก G30 520d มีความยาวฐานล้ออยู่ที่ 2,975 มม. ซึ่งก็คือยาวกว่ากันอยู่แค่ 14 มม. ส่วนถ้าเทียบกับ 320d GT รุ่นเก่า (4,824 x 1,828 x 1,508 มม. ฐานล้อ 2,920 มม.) จะเห็นได้ว่ามิติใกล้เคียงกันมาก ยกเว้นความสูง ซึ่ง 320d GT สูงกว่า แต่ฐานล้อ 3 Series Gran Sedan ยาวกว่า

ส่วนเรื่องน้ำหนักตัว คุณอาจจะเซอร์ไพรส์ ถ้าผมบอกว่า 520d M Sport รุ่นพี่นั้น น้ำหนักตัวเบากว่า! คือ 1,560 กก. ในแบบน้ำหนักตัวรถเปล่า ซึ่งเบากว่า 330Li M Sport ถึง 80 กก. ก็อาจจะเป็นเพราะว่าการใช้หลังคากระจกแบบยาวใสหน้าถึงหลังนั่นล่ะครับ ไม่ใช่แค่น้ำหนักจากกระจก แต่การที่ไม่สามารถมีคานตัวถังคาดกลางได้ ทำให้ต้องใช้เหล็กโครงสร้างตัวถังที่แข็งแรงขึ้นในบางจุดเป็นการชดเชย นอกจากนี้พวก 5 Series ยังเป็นรถใหญ่ที่ถูกออกแบบให้โครงสร้างเบาอยู่แล้ว ขนาด 520d กับ 320d น้ำหนักยังต่างกันแค่ 30 กก. เลยครับ

รูปทรงภายนอก ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า แม้ด้านหลังจะออกยาวๆแปลกๆเมื่อมองจากด้านข้างตรงๆ แต่ยิ่งมองจากมุมเฉียงหน้า/เฉียงท้ายมากๆ ตัวรถกลับจะดูสั้นสมส่วน หน้าตาและสัดส่วนมีความปราดเปรียวแบบ 3 Series นี่ถ้าไม่ใช่ว่าตัวรถมีแต่สีเงินอมทองแคชเมียร์ สีดำ สีขาว แล้วเอาสีแสบๆอย่าง Estoril Blue มาให้เลือกบ้าง ผมว่าความเป็นวัยรุ่นไม่ได้น้อยไปกว่า G20 ฐานล้อสั้น  และด้วยความที่เป็น M Sport ก็เลยได้ชุดแต่งกันชนหน้า/หลัง M Aerodynamics มา พร้อมกับล้ออัลลอยลาย Double Spoke 848M ปัดเงาสลับดำขนาด 18 นิ้ว ยางหน้า 225/45 R18 – คู่หลังขนาด 255/45 R18 ทำให้ภาพลักษณ์ดูไปทางสปอร์ต ส่วนตัวผมว่าล้อลายเดียวกับของ 320d M Sport ประกอบในจะดูหรูกว่า หรือไม่ก็จอดสลับล้อกันเลยอาจจะดีก็ได้

แต่โดยรวม ระหว่างรถสวย แต่หลังยาวแบบ G28 กับรถทรงห้าประตูสูงๆแปลกๆอย่าง 320d GT F34 ผมรู้สึกว่า G28 ถูกใจมากกว่า

ไฟหน้า ยังเป็น BMW LED ธรรมดาที่มีไฟสำหรับส่องทางโค้ง (Cornering Lights) และระบบไฟสูงอัตโนมัติ ก็เหมือนกับ G20 รุ่นอื่นๆ และไม่ใช่ไฟ Adaptive LED แบบในซีรีส์ 5 ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่สงสัยคือรถ M Sport ปกติมีไฟตัดหมอกมาอยู่แล้ว ทำไม 330Li กลับตัดออกเสียอย่างนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ใช้บ่อย แต่หลายคนก็อาจจะอยากขับรถไปเที่ยวไกลๆขึ้นเขาหน้าหนาว มีไว้ก็ดีกว่าไม่มี..ถ้ารถคันละไม่เกินล้านยังพอยอมกันได้ แต่นี่สองล้านปลายแล้ว ไม่ควรเอาออก

กุญแจสมาร์ทคีย์ Comfort Access หน้าตาเหมือนของ 3 Series รุ่นอื่นๆ สามารถพกติดตัวใส่กระเป๋าไว้ แล้วสามารถเดินมาหารถ เอามือจับเปิดประตูได้เลย มีปุ่มใช้กดเปิดฝาท้ายได้ เวลาล็อครถ จะกดจากปุ่มบนกุญแจหรือกดปุ่มกลมๆที่มือจับเปิดประตูก็ได้ระบบล็อคและ Security ต่างๆจะเหมือน 3 Series รุ่นอื่นๆ ในขณะที่รถรุ่นพี่ราคาแพงกว่าอย่าง 520d M Sport จะได้กุญแจแบบมีจอ “Display Key” ซึ่งบางคนก็อาจจะมองว่าขาดความแพรวพราว

แต่เอาน่า ถ้าอยากดูสถานะรถหรือเช็คข้อมูลอื่นๆ ก็ใช้ BMW ConnectedDrive/App. ไปก่อน

เรื่องความสะดวกสบายในการลุกเข้า/ออก ด้านหน้าก็เหมือนกับ 3 Series G20 ด้วยหลังคาที่ไม่ได้สูงมากนักและช่องทางเข้าออกที่ไม่โต ทำให้คนที่ตัวอวบและสูง หรือคนที่ผอมแต่สูงมาก ต้องมีท่าในการเข้านั่ง ก้มหัวหลบกันบ้าง แต่ไม่ได้ถึงกับแย่ เพราะคู่แข่งเซกเมนต์นี้ไม่มีใครทำประตูบานโตอยู่แล้ว สิ่งนี้น่าจะเป็นจุดที่ทำให้คิดถึงหลังคาสูงๆกับประตูบานโตของ 320d GT F34 ที่ทำให้เข้า/ออกรถง่ายกว่าซีรีส์ 5 เสียอีก แต่ถ้าคุณอายุไม่เยอะ ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นเกาท์ มันก็คงไม่ใช่ปัญหา

เบาะนั่งคู่หน้าของ 330Li หุ้มด้วยหนัง Vernesca แต่ไม่ใช่เบาะสปอร์ต ทรวดทรงไม่เหมือนกับเบาะของ 320d/330e เบาะรองนั่งปรับส่วนรองน่องยืดออกมาได้อยู่ แต่ปีกเบาะจะไม่สูงเท่า 3 Series M Sport รุ่นอื่น พนักพิงหลังก็ถูกตัดเย็บด้วยลวดลายที่แตกต่างกัน ลักษณะการออกแบบเบาะดูเหมือนจะเน้นความสบายมากกว่าการรั้งตัวในโค้ง เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับสามารถปรับดันหลัง Lumbar support ได้ และมีหน่วยบันทึกความจำ 2 ตำแหน่ง ส่วนฝั่งคนนั่ง ตรงนี้มีงงกันนิดหน่อย เพราะในโบรชัวร์บอกว่ามีที่หนุนหลังปรับไฟฟ้าสำหรับเบาะคู่หน้า แต่รถคันที่ผมขับ กลับมีเฉพาะฝั่งคนขับ งานนี้ลองดูรถที่ขึ้นโชว์รูมกันก่อนนะครับว่าคันที่ขายจริงเขาใส่มาให้ไหม

ความสบายของตัวเบาะ ก็เปลี่ยนไปพอสมควร ดูเหมือนว่าแม้จะเป็น M Sport แต่ก็ใช้เบาะแบบเน้นสบาย เวลานั่งแล้วรู้สึกผ่อนคลายกว่า G20 M Sport ทั้งหลาย เบาะรองนั่งนุ่มกว่า ความรู้สึกบีบโอบรัดตัวหายไปพอสมควร แบบนี้คนตัวใหญ่ล้นเบาะอย่างผมก็โอเค แต่วัยรุ่นชาวทางด่วนหรือนักซัดโค้งไซส์ปกติคงไม่ชอบ

สำหรับการเข้า/ออก ด้านหลังของรถ นี่ล่ะครับคือจุดที่ความเป็นฟุตลอง ฐานล้อยาวตอบแทนเรามากที่สุด แม้แนวหลังคาจะสูงเท่าเดิม แต่ด้วยการที่ช่องประตูมันยาวมาก ทำให้ถึงต้องก้มหัว แต่ก็เอาตัวยัดเข้าไปได้สบายแม้คุณจะหุ่นหมีควายหมีกริซลี่ขนาดไหนก็ตาม เวลาตวัดขาเข้านั่งก็ไม่ต้องงอเข่าหลบโคนเสา B-Pillar มากเท่า 3 Series G20

ตัวเบาะหลังก็แตกต่างจาก 320d/330e ตามที่ทีม BMW ให้เป็นรายละเอียดมาว่า เบาะหลังส่วนที่เป็นพนักพิง มีชั้นโฟมเบาะ หน้ากว่าของ G20 ประมาณ 3 ซม. ในขณะที่เบาะรองนั่ง ก็ได้รับการบุชั้นโฟมหนาขึ้น 2 ซม. การปรับเปลี่ยนวัสดุเบาะ เปลี่ยนหมอนศีรษะให้นุ่ม รวมกับการที่มีเนื้อที่เหยียดขาจากฐานล้อที่ยาวขึ้นนั้น ทำให้กลายเป็น 3 Series คันแรกที่ผมคิดว่า “ตูนั่งหลังก็ได้วะ” เนื้อที่เฮดรูมอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้น เมื่อนั่งหลังตรงติดเบาะ หัวผมจะติดหลังคาอยู่ แต่อย่างน้อย ไถๆตัวไปข้างหน้าแค่สองนิ้วก็นั่งได้แล้ว แต่สิ่งที่ต้องบอกอีกอย่างก็คือ เบาะรองนั่งของ 330Li มีลักษณะชันตรงใต้ข้อพับหลังเข่า แล้วลาดดิ่งลงไปหาพนักพิงหลังมาก (พูดง่ายๆคือเบาะรองนั่งแหงน เข่าสูง ก้นลึก) เข้าใจว่าทำเพื่อให้มีเนื้อที่เหนือศีรษะเพิ่ม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่นั่งท่านี้แล้วจะสบาย ถ้าอยากจะเทียบกับรถตลาด ให้นึกถึงเบาะหลังของ Civic FC เลยครับ ตูดลึกเหมือนกัน แค่ว่าเบาะของ BMW บุโฟมนุ่มหนากว่า

แล้วถ้าสมมติเราเทียบระหว่าง 5 Series ที่เป็นรถใหญ่โดยกำเนิด กับเจ้าฟุตลองของเราล่ะ?

นี่เลยครับ ลองนั่งให้ดูเลย คันบน 330Li คันล่าง 520d M Sport โดยผมใช้วิธีปรับเบาะหน้าเอาไว้ในตำแหน่งที่ผมขับถนัดที่สุด แล้วย้ายตัวเองมานั่งบนเบาะหลัง เซอร์ไพรส์ตรงที่นอกจากจะเข้า/ออกได้ง่ายกว่าพี่ใหญ่แล้ว 330Li ยังมีเนื้อที่ระหว่างเข่ากับเบาะหน้าเยอะกว่ากันชัดเจน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะดีไซน์แผ่นปิดเบาะหลังของ 5 Series มันดูหนาๆใหญ่ๆกินที่มากกว่า แต่การที่เราก็รู้กันว่า 330Li สั้นกว่า 520d อยู่ราวสิบเซนติเมตรแล้วยังได้พื้นที่วางขาขนาดนี้ นับว่าทีมจัดพื้นที่ภายในเก่งกาจมาก

อย่างไรก็ตาม 5 Series ก็ยังมีพื้นที่เหนือศีรษะให้ผมนั่งหลังตรงได้โดยไม่ต้องก้มหัวหลบหลังคา และดีไซน์เบาะรองนั่งที่ดูจะไม่ต้องนั่งแบบเข่าแหงนก้นจมมากเท่า 330Li ทำให้รถใหญ่ยังดูมีความได้เปรียบ..ถ้านั่งสี่คน 330Li อาจจะสู้ได้ แต่ถ้าสมมติคุณเป็นเจ้านายนั่งหลังคนเดียว มีโชเฟอร์ขับรถให้ แล้วคุณดันเบาะหน้าฝั่งคนนั่งไปหน้าสุด เอาที่เหยียดขาแบบเต็มๆ ในกรณีนั้นความสบายของ 5 Series ก็ชนะอยู่ดีครับ

จุดเด่นของ 330Li ที่ไม่มีใน 3 Series รุ่นอื่น ก็คือหลังคา Panoramic กระจกใสเนี่ยล่ะครับ โดยในยามปกติจะมีแผ่นผ้าเลื่อนเปิด/ปิดได้ช่วยบังแดดเอาไว้ แล้วสไลด์เปิดเป็นช่วงกระจกบานกว้าง เมื่อบวกกับหลังคาที่เป็นโทนสีสว่างแทนที่จะเป็นสีดำ Anthracite เหมือนรุ่นอื่น ทำให้เวลานั่งแล้วรู้สึกปลอดโปร่งโล่งหัว ตัวบานกระจกซีกหน้าสามารถสไลด์เปิดได้ แต่ซีกหลังเป็นแบบติดตายตัว

ที่จริง 330e M Sport ก็มีหลังคาซันรูฟ แต่เป็นช่องแค่ซีกหน้าครับ ไม่ได้เป็นกระจกใหญ่กินบริเวณถึงด้านหลังแบบ 330Li คันนี้

ฝากระโปรงท้าย เปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบแกว่งเท้าใต้กันชนเปิดกระโปรงได้ ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ความจุ 480 ลิตรตามมาตรฐาน VDA มีขนาดใหญ่ ใส่ถุงกอลฟ์หรือกระเป๋าเดินทางได้สบาย ทว่า BMW ตัดเบาะหลังแบบแยกพับได้ที่มีใน 3 Series รุ่นอื่นๆออกไป ความอเนกประสงค์ในการใช้งานจึงลดลง คิดว่าอาจจะเป็นผลมาจากการที่เปลี่ยนเบาะหลังเป็นแบบหนานุ่มชุ่มเนย ดังนั้นเวลาพับลงตัวพนักพิงก็จะเดิดแหงนคา ไม่สามารถพับให้ราบได้ เรียกได้ว่าทิ้งความอเนกประสงค์ แลกกับความสบายของคนนั่งหลังนั่นล่ะ

บรรยากาศภายในห้องโดยสาร มองผ่านๆแล้วเหมือน 3 Series M Sport รุ่นอื่นๆ แต่การตกแต่งและสีสันจะมีการก้าวข้ามไปหาโทนหรู ยกตัวอย่างเช่นหลังคาบุผ้าโทนสีเบจอ่อน สวิตช์กระจกไฟฟ้าเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเงิน เบาะนั่งที่เลือกสีน้ำตาลกาแฟม็อคค่าแทนสีดำ ซึ่งผมชอบ เพราะมันทำให้มีสีสัน ลดความน่าเบื่อลง แต่บางคนอาจจะชอบภายในโทนดำล้วนมากกว่า อย่างไรก็ตาม เร่ื่องของการตกแต่งแดชบอร์ด ก็ยังได้วัสดุสีเงินลวดลาย Tetragon เหมือน 330i

สวิตช์ควบคุมระบบกระจกต่างๆ อยู่บนที่เท้าแขนฝั่งขวามือ ส่วนบนซีกขวาของแดชบอร์ด จะมีสวิตช์สำหรับเปิดไฟหน้า ซึ่งเปลี่ยนจากแบบลูกบิดในรุ่น F30 กับ G30 มาเป็นแบบปุ่มกดล้วน มีปุ่มไฟหน้า Auto สีเงินขนาดใหญ่เด่นกว่าปุ่มอื่นๆ ส่วนปุ่มสตาร์ท จะอยู่ที่ข้างๆคันเกียร์ พวงมาลัย M Sport + Paddle shift ปรับได้ 4 ทิศทางแต่ยังใช้คันโยกในการปรับ ไม่ได้เป็นไฟฟ้าแบบ 520d M Sport ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถทำงานเชื่อมกับระบบความจำตำแหน่งเบาะได้ ที่คอนโซลกลาง ตรงช่องเก็บของหน้าคันเกียร์ เปิดออก จะมีแท่นวางโทรศัพท์ Wireless Charger

ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ใน 3 Series รุ่นอื่นๆ สวิตช์ล็อคและปลดล็อคประตู จะมีเฉพาะฝั่งคนขับ แต่ใน 330Li จะมีที่ฟากคนนั่งหน้ามาด้วย เอ้อ แปลกดี ทีเรื่องเบาะ ให้สเป็คมาเหมือนไม่เน้นคนนั่งหน้า แต่ดันมีปุ่มปลดล็อคมาให้

ระบบปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ 3-Zone เหมือน 330e M Sport สามารถปรับอุณหภูมิแยก ซ้าย-ขวา-หลัง ได้ และถ้าต้องการจะปรับทั้งห้องโดยสารแบบเท่าๆกัน ก็กดปุ่ม MENU A/C แล้วเลือก Synchronize ก็จบ ส่วนด้านหลังก็เย็นสบายด้วยช่องแอร์เป่าระนาบขา-เขา-ไข่ ที่ยังพอปรับมาส่องระดับลำตัวได้ ตรงช่องแอร์หลังนี้ยังแอบใส่โครเมียมตกแต่งตรงซี่ช่องแอร์และด้านข้างมาให้ ซึ่งจากเดิมของ 3 Series ตัวอื่นจะเป็นสีดำๆธรรมดา ระบบปรับอากาศนี้ เป็นของไว้คุยทับกับพวก 530e Elite กับ 520d M Sport ได้ครับ เพราะพี่ใหญ่ทั้งสองรุ่นยังเป็นแอร์แบบ 2 โซนอยู่เลย

330Li ได้ชุดจอกลาง+มาตรวัด แบบ BMW Live Cockpit Professional ซึ่งจะได้จอกลางแบบใหญ่เต็มพื้นที่ นอกจากจะสามารถใช้แสดงค่าได้หลายอย่าง ใช้ในการปรับเซ็ตการทำงานของรถแล้ว ยังสามารถโชว์จอ Energy Flow เหมือนรถไฮบริดได้ทั้งๆที่ตัวมันเองก็ไม่ใช่รถไฮบริด มีแต่ระบบ Energy Recuperation System ที่สร้างพลังงานไฟฟ้าตอนเบรกได้แค่นั้น มีจอ Sports Display ซึ่งจะโชว์แรงดันบูสท์เทอร์โบ อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง แรงม้า/แรงบิด และ G-meter ตรงกลาง

นอกจากนี้ เจ้า 330Li ยังได้กล้องรอบคันเหมือน 330e M Sport ด้วย แน่นอนว่าระบบช่วยจอดอัตโนมัติเวอร์ชั่นใหม่ แบบไม่ต้องกดปุ่มจอดรถคาไว้เหมือนสมัย 530i M Sport ก็มาด้วย แล้วยังมีระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ “Reversing Assistant” มาให้ ซึ่งมีประโยชน์เวลาหลงทาง ขับเข้าซอยแคบๆแล้วเจอทางตัน ต้องถอยออก

การใช้งานระบบนี้ก็ไม่ยากครับ แค่เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วกดปุ่ม “Reversing Assistant” ที่จะปรากฏขึ้นบนจอกลาง จากนั้นคุณปล่อยพวงมาลัยเลย ที่เหลือ ก็แค่พยายามคุมเบรกไม่ให้ความเร็วขณะถอยเกิน 9กม./ชม. ถ้าเกินนั้นไประบบก็จะหยุดทำงานในขณะที่ถอยหลังไปนั้น ก็จะมี Counter ที่นับถอยหลังจาก 50 ไปจนเหลือ 0 หลังจากที่เหลือ 0 แล้ว คุณจะต้องถอยต่อเอง ที่สำคัญคือ ไอ้ 50 เมตรสุดท้ายนี้ ตอนที่คุณขับเข้ามา ความเร็วจะต้องไม่เกิน 35 กม./ชม. นะครับ และห้ามมีการล้อหมุนฟรี ไม่เช่นนั้นระบบจะทำงานเพี้ยน

ระบบกล้องรอบคันนี้ เมื่อใช้ควบคู่กับ BMW Connected App. บนสมาร์ทโฟนแล้ว คุณสามารถใช้โทรศัพท์สั่งเปิดกล้องรอบคันเพื่อสำรวจบริเวณรอบรถได้ตลอดเวลา เช่น กำลังจะกลับบ้านแต่จอดรถไว้กลางแจ้งแล้วฝนตก คุณอยากจะรู้ว่ารอบๆรถมีน้ำท่วมหรือไม่ ก็สามารถเช็คได้ จะได้เปลี่ยนรองเท้าตั้งแต่อยู่ที่ออฟฟิศเลย

ระบบเครื่องเสียง เป็นแบบพรีเมียม Harman Kardon คุณภาพเสียงที่ได้เมื่อลองปรับ Equalizer ดูหลายๆแบบ ผมรู้สึกว่าถ้าฟังจากตำแหน่งคนขับ เสียงที่ได้ไม่ต่างจากชุดลำโพงของ 330e M Sport มากนัก แต่บางท่านบอกว่าเวลาปรับเสียงไปออกข้างหลังแล้วรู้สึกแน่นกว่า (ส่วนตัวผมชอบปรับ Fader ไว้ประมาณ F1-F2) ซึ่งถ้าไม่ใช่นักฟังระดับสูง ผมว่าเครื่องเสียงชุดนี้ดีพอแล้ว อาจจะไม่แน่นตูมตาม แต่เก็บรายละเอียดเสียงได้ค่อนข้างดี

ชุดมาตรวัดที่มากับแพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ซึ่งเป็นจอสี TFT ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าตาแพรวพราวแบบกะทำมาฆ่าคู่แข่ง เก๋ด้วยการออกแบบมาตรวัดรอบแบบหมุนสวนทวนเข็มนาฬิกา สามารถปรับการแสดงค่าของวงในอ้อมของมาตรวัดรอบได้ ส่วนตรงกลางจะเป็นระบบนำทาง ทำได้แค่เปิดไว้ กับปิด ลูกเล่นจริงๆ ก็มีแค่การปรับโทนสีไปตามโหมด Comfort>Eco Pro>Sport แค่นั้น รูปแบบต่างๆก็เหมือนกับ 330e M Sport, 330i M Sport และ 520d M Sport ต่างกันแค่รายละเอียดปลีกย่อยเช่นตัวเลขบนวัดรอบ กับมาตรวัดพลังไฟที่เหลือในแบตเตอรี่

เทียบกับมาตรวัดของพวกเบนซ์แล้ว เรื่องความง่ายในการอ่าน เบนซ์สามารถปรับเป็นโหมด Classic ที่โชว์ค่าเข็มและสีสันเหมือนมาตรวัดแบบเข็มสมัยก่อน ทำให้อ่านค่าได้ง่าย หรือจะปรับให้ดูล้ำยุคแบบวัยรุ่นชอบก็ได้ ของ BMW นั้นผมคิดว่ายังต้องปรับฟังก์ชั่นให้ใช้ความเป็น TFT ได้คุ้มค่ากว่านี้ เช่น เมื่อไม่ได้เปิดใช้ระบบนำทาง ก็ควรจะสามารถขยายขนาดวัดรอบกับความเร็วให้โตขึ้น มีเข็มสีชี้ให้เห็นชัดเจนเมื่อมองด้วยหางตา มีตัวเลขความเร็วโตขึ้น หรือนำเอาข้อมูลต่างๆมาจัดวาง Customize ให้ตรงกับความถนัดของลูกค้าได้มากกว่านี้ ก็ในเมื่อมันเป็นจอสีแบนๆเรียบๆ ทำไมต้องยึดติดกับรูปแบบไม่กี่แบบล่ะ

ที่ยังให้อภัยก็เพราะมี Head Up Display มาให้ เมื่อมองหน้าปัดไม่ถนัด ก็มองไปที่กระจกแทน ดูสบายตา และปลอดภัยกว่า

****รายละเอียดทางวิศวกรรม****

คราวนี้ BMW มาแปลก เพราะโดยปกติแล้วจะต้องพยายามเอาเครื่องสหกรณ์รหัส 20d ใส่ลงไปให้มากรุ่น เหมือนมีการสะสมแต้มบุญด้วยการใช้เครื่องตัวนี้..แต่พอมาเป็น 3 Series Gran Sedan เรากลับมีทางเลือกเป็นรหัส 30i ทำให้บางคนที่กำลังคิดถึง 330i ไร้ถ่านหันกลับมามองเจ้าฟุตลองเป็นอีกทางเลือกความมันส์กันเลยทีเดียว

เครื่องยนต์ของ 330Li เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส B48B20B ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. TwinPower Turbo ใช้เทอร์โบชาร์จเดี่ยวแบบ Twin-scroll (อย่าไปเข้าใจว่ามันเป็นทวินเทอร์โบนะลูก) ขนาดกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 กำลังสูงสุด 258 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,550 – 4,400 รอบ/นาที

B48 เป็นเครื่องยนต์ Modular (ออกแบบให้ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับเครื่องบล็อคอื่นได้เยอะ) ของ BMW ที่เกิดจากความคิดว่า เครื่องยนต์ทำงานได้ดีที่สุดเมื่อแต่ละกระบอกสูบมีความจุ 500 ซีซี. ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 2014 เราจึงเห็นเครื่อง Modular ประเภทนี้ B38 เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร B48 เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร และ B58 เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร ทั้งหมดนี้มีขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชักเท่ากัน ทำให้อะไหล่หลายอย่างสามารถใช้ร่วมกันได้

เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ N20 ที่อยู่ในบอดี้ F30 ล็อตแรกๆนั้น B48 ถูกออกแบบมาให้นิสัยเรียบร้อยกว่า ทำงานราบเรียบกว่า วิศวกรคิดแม้กระทั่งเอาชุดโซ่ขับแคมชาฟท์และชุด VANOS ไปอยู่ข้างหลังเครื่องยนต์ (ฝั่งที่ประกบกับเกียร์) เพื่อลดความความสะท้านขณะเครื่องทำงาน ระบบ Valvetronic และหัวฉีด Direct Injection ยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนอินเตอร์คูลเลอร์จากแบบอากาศสู่อากาศ ติดตั้งด้านหน้า มาเป็นอินเตอร์คูลเลอร์ระบายความร้อนด้วยน้ำ ติดตั้งเหนือเครื่องยนต์ มีปั๊มน้ำ และหม้อสำหรับระบายความร้อน (ติดตั้งด้านหน้ารถ) ทั้งหมดนี้ ทำให้ได้เครื่องยนต์ที่ทำงานเรียบ มลพิษต่ำ ประสิทธิภาพสูง แต่ก็เป็นฝันร้ายสำหรับคนที่ชอบซ่อมเครื่องเอง และคนที่ชอบโมดิฟายรถ

ระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์ Sport Steptronic พร้อม Paddle Shift ที่พวงมาลัย ตัวเกียร์เป็นของ ZF รุ่น 8HP50 มี 8 จังหวะ อวัยวะต่างๆในตัวเกียร์จะเหมือนกันหมด แต่เมื่อเป็นเกียร์แบบ Sport ก็จะได้การปรับเซ็ตค่าต่างๆให้ทำงานตอบสนองได้ไวขึ้นกว่า Steptronic แบบธรรมดาที่ไม่มี Paddle Shift อัตราทดเกียร์มีข้อมูลดังนี้

  • เกียร์ 1 – 5.250
  • เกียร์ 2 –  3.360
  • เกียร์ 3 –  2.172
  • เกียร์ 4 – 1.720
  • เกียร์ 5 –  1.316
  • เกียร์ 6 –  1.000
  • เกียร์ 7 – 0.822
  • เกียร์ 8 – 0.640
  • เกียร์ถอยหลัง 3.712
  • อัตราทดเฟืองท้าย 2.813

ที่แปลกอีกอย่างคือ ในโหมดการขับขี่แบบต่างๆ โดยปกติ หากเป็นรถ M Sport จะมีโหมด Sport PLUS มาให้ แต่ 330Li กลับไม่มีเสียอย่างนั้น

ระบบบังคับเลี้ยว ของซีรีส์ 3 ใหม่ เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ไม่มีระบบ Variable Ratio Steering แบบ 330i G20 ส่วนช่วงล่าง ด้านหน้าจะเป็นแบบ Double-joint spring strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ (Five-link suspension) โช้คอัพแบบ Lift-Related Damper ใช้วิธีในการออกแบบห้องน้ำมันในโช้คอัพ แบ่งเป็นสองขั้น ซึ่งทำให้มีลักษณะเป็น Dual-stage Shock Absorber มีความหนืดสองระดับ ขึ้นอยู่กับว่าตัวโช้คอัพถูกกดหรือยืดเยอะและเร็วขนาดไหน ซึ่งมันจะไม่ใช่ระบบที่เราสามารถสั่งการด้วยสวิตช์ได้

อย่างไรก็ตาม ช่วงล่างของ 330Li ก็เป็นอีกจุดที่แปลก เพราะแม้จะเป็นรถตกแต่งแบบ M Sport แต่ช่วงล่างของรถรุ่นนี้ กลับเป็นแบบ Comfort ที่เน้นความสบายจริงๆ ในขณะที่ 320d M Sport, 330i M Sport, 330e M Sport ล้วนแล้วแต่เป็นชุดโช้คอัพ/สปริงแบบเน้นแข็ง หรือไม่ก็เป็นช่วงล่าง Adaptive (330e) อันนี้ถือว่าแปลกสำหรับ G20 แต่ไม่แปลกในรุ่นอื่นๆ เพราะ 3 Series F30 330e CBU ล็อตแรก, 530e M Sport G30 ก่อนไมเนอร์เชนจ์, X4 ประกอบในประเทศ ก็เป็นรถตกแต่ง M Sport ที่ไม่ได้ใช้ช่วงล่างสปอร์ตเหมือนกัน

ระบบเบรก เป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ คาลิเปอร์ด้านหน้าก็ไม่ใช่คาลิเปอร์ M สีน้ำเงินแบบที่คุ้นเคยกันในรถ M Sport แต่เป็นคาลิเปอร์หน้าตาธรรมดาเหมือนของ 320d ผมไม่แน่ใจว่าพาร์ทเดียวกันเลยหรือไม่ แต่ลองเปิดรูปเล็งดูเทียบกับ 320d Sport ตัว CBU ขนาดน่าจะเท่าๆกัน

****การทดลองขับ****

เนื่องด้วยการทดสอบจัดในช่วงที่มี COVID-19 ทาง BMW และ xSPAN ผู้จัดการขับเลยมาแนวใหม่ ให้ 1 สื่อขับรถ 1 คัน ให้เวลา 1 ชั่วโมง อยากทำอะไรก็ทำ เลี้ยวซ้ายจากลานจอดก็เข้าไปขับในสนาม สาดโค้ง สลาลอม ฝึกหลบควายแบบไม่เบรก เอากันให้เต็มที่ เลี้ยวขวาจากลานจอดก็ออกไปขับบนถนนเส้นที่ผ่านหน้าปทุมธานีสปีดเวย์ หรือลัดเข้าข้างหลังไปถนนท้องถิ่นก็ได้ อิสระเยอะ แต่เวลาน้อย ผมจึงใช้เวลาในการขับจับอาการรถให้ได้มากที่สุด และถ่ายภาพสำหรับทำบทความ ไม่ได้ทำเป็นคลิปนะครับ สาย Youtube ไม่ต้องรอ เวลามันน้อย ถ้าเราดึงเช็งใช้เวลาเกิน สื่อฯท่านอื่นที่ต่อคิวเราเดือดร้อนครับ

อัตราเร่ง

0-100 กม./ชม.

Comfort Mode 7.4 วินาที

Sport Mode 7.1 วินาที

80-120 กม./ชม.

Comfort Mode 5.1 วินาที

Sport Mode 4.6 วินาที

แถมให้ว่า มีรอบนึงผมลองใส่ Sport Mode + Reduce Traction แล้วเอาเท้าซ้ายเบรก เท้าขวาจมคันเร่งออก ได้ 6.5 วินาที (แต่ไม่ได้ใส่ในหัวข้อไว้เพราะปกติเวลาเทสต์จะไม่ทำแบบนี้ และไม่ได้ถือเป็น Launch Control Mode) แต่ถามว่าแรงมั้ย สบายครับ ให้นึกภาพ 330i ที่เบิกผู้โดยสารหุ่นหมีเพิ่มมาคนนึง..ประมาณนั้นเลย แม้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเครื่องเบนซินรอรอบ เครื่องดีเซลออกตัวดี แต่ในกรณีของ 330Li นั้น ผมคิดว่าเครื่องยนต์ B48 คงคิดว่ามันมีพ่อเป็นดีเซล เวลาออกตัวจะมีอาการห้อยรอกำลังนิดเดียว แต่หลังจาก 2,000 รอบต่อนาทีเป็นต้นไปก็ดึงอย่างมีคุณค่าสมเป็นเครื่องเทอร์โบยุคใหม่ คาแร็คเตอร์ต่างจากสมัยเครื่อง N20 ที่ขานั้น รอบต่ำจะแรงน้อยกว่า แต่พอบูสท์มาจะดึงหนักแบบวัยรุ่นชอบ

ผมเคยขับ 330i ทดสอบบนถนนนี้ โดยมีพี่วิฑูรย์แห่ง Drive Motoring กับช่างภาพอีกท่านนั่งไปด้วย ในวันนี้ 330Li ที่ตัวหนักกว่ากันราว 100 กิโลกรัม แต่ผมขับมาคนเดียว ให้ความสนุกสะใจไม่แพ้กัน เวลาคิกดาวน์จะมีอาการชะงักเพียงหนึ่งฟ้าแล่บ ก่อนที่จะระเบิดพลังออกมาชนิดที่แอบคิดว่า นี่มัน 258 แรงม้าแน่หรือ ถ้าบอกว่ามี 280 แรงม้าก็เชื่อนะ สำหรับรถหนัก 1.6 ตันที่ให้อัตราเร่งแบบนักสู้ แม้เครื่องจะเล็กแค่ 2.0 ลิตร แต่สู้แบบเอาชีวิตแลกเหมือนกัปตันลีวายตอนโกรธ ในอนิเมะ Attack on Titan

ถ้าคุณขับ 530e 292 แรงม้า แล้วคิดว่าจะเคี้ยวเจ้าฟุตลอง 258 แรงม้าได้ง่ายๆ ระวังจะหน้าแตกครับ ผมจับเวลามาแล้ว ในโหมดเดียวกัน ต่างกันแค่เสี้ยววิ ใครกดก่อนคนนั้นนำ แต่ถ้าไปเจอกับ 330e ที่แม้จะตัวเบากว่า 530e ไม่มากแต่จูนการถ่ายทอดพลังมาให้กระชากกว่า 330Li ก็จะแพ้ในตีนต้นกับช่วงเร่งแซง แล้วค่อยไปตีค่ายคืนหลังผ่าน 170 กม./ชม. ..ใช่ครับ ตีนปลาย 330Li ดุกว่า ไต่ผ่าน 200 นิ่มๆง่ายๆ และเงียบๆ…เพราะ 330Li ไม่มีระบบเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์แบบ 330i, 330e สิ่งที่คุณได้ยินคือเสียงเครื่องยนต์ล้วนๆ ซึ่งมันจะออกไปในโทนสุภาพผู้ดี เวลาถอนคันเร่งไม่มี Sound Effect ปุปะปุ้งปั้งใดๆ

ที่สำคัญคือ เวลาขับในโหมดพาแม่ยายนั่งเคี้ยวหมากไปหาข้าวกลางวันกิน มันก็มีนิสัยเรียบร้อย กะคันเร่งง่าย แรงบิดมาดีโดยที่ไม่ต้องกดคันเร่งลึกนัก ดูเหมือนอาการยึกยักที่ความเร็วต่ำก็ลดน้อยลงกว่า G20 ล็อตแรกๆ  เว้นเสียแต่คุณเอารถไปคาไว้ในความเร็วที่เกียร์มันเลือกไม่ได้ว่าจะใช้เกียร์ 1 หรือ 2 แล้วมันคารอบไว้ แบบนั้นก็ยังมีอาการอยู่แต่ไม่ถึงกับน่ารำคาญหรอกครับ นี่เป็นขุมพลังที่ดี มีความเหมาะสมมากกับบอดี้รถนี้ ขับเรียบร้อยก็ได้ แต่กระแทกคันเร่งขึ้นมาน้ำหมากแม่ยายกระจายยับแน่นอน แต่อะไรจะเกิดหลังจากแม่ยายตั้งสติได้ คุณก็รับผิดชอบเอาเอง

หัวข้อแรกผ่านไปราวกับ Advertorial เพราะในฐานะที่ขับรถยุโรปเทอร์โบสี่เม็ดมาค่อนข้างเยอะ เลยไม่รู้จะติอะไร แต่ในหัวข้อต่อมาคือช่วงล่าง จุดนี้มีประเด็น

ช่วงล่างของ 330Li เป็นแบบ Comfort Setup ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าคงเหมือน 320d G20 CBU ล็อตแรกที่หนึบติดแข็งวิ่งช้าสะเทือนหน่อยแต่ลอยลำแล้วดี ปรากฏว่าไม่ใช่..Comfort คราวนี้คือ Comfort จริงๆครับ ถ้าคุณเอา Toyota Crown Royal Saloon รุ่นเก่าอย่างของผมไปใส่ล้อ 18 นิ้ว ความสะเทือนบนถนนขรุขระจะเกือบเท่ากันเลย ซึ่งจุดนี้ เป็นข่าวดีสำหรับคนที่อยากได้ 3 Series แต่ไม่ชอบช่วงล่างแข็งๆ เพราะที่ผ่านมา 320d CBU ก็ค่อนไปทางแข็ง พวกรถช่วงล่าง M Sport ก็แข็ง มี 330e ที่ใช้ช่วงล่าง Adaptive ที่ให้ความสบายระดับหนึ่งในโหมด Comfort แต่ก็ดันมากับล้อ 19 นิ้วที่เอาอาการขรุขระหินกรวดคอนกรีตแตกเข้าห้องโดยสารเยอะกว่า

ในการทดสอบวันเดียวกัน ผมได้มีโอกาสทดสอบเปรียบเทียบกับ 520d M Sport บนถนนสายเดียวกันไปด้วย พบว่า 330Li ก็ให้ความรู้สึกนุ่มนวลต่อสัมผัสตูดมากกว่า และเมื่อลองนำไปวิ่งในสนาม ยัดเข้าโค้งแฮร์พินยูเทิร์นและโค้งมุมฉาก ความเร็วประมาณ 70-90 แล้วแต่โค้ง กลายเป็นว่า 330Li ช่วงล่างสเป็คแม่ยายกลับแสดงความคล่องแคล่วว่องไว ตัวรถจะโย้มาก แต่เลี้ยวไปตามสั่งได้มากกว่า เมื่อรถถึงขีดจำกัดการยึดเกาะ ก็มีแนวโน้มที่จะกวาดท้ายออกพองาม อันที่จริงออกจะ Tailhappy มากกว่า 330i ตัวสั้นเสียอีก ในโค้งเดียวกัน ขับแบบเดียวกัน 520d M Sport จะออกอาการหน้าดื้อหลุดจากไลน์ชัดเจนกว่า แต่ตัวรถยวบน้อยกว่า ซึ่่งตลกดีที่มารู้ตอนหลังว่าน้ำหนักตัวรถจริง 520d เบากว่าด้วยซ้ำ

คิดดูแล้วกันว่าผมวนในแทร็คสามรอบเสร็จ ขับรถมาจอดข้างๆอาจารย์ผู้ฝึกสอน เขาถามว่ารถขับดีไหม ผมไม่ตอบ แต่หัวเราะไม่หยุดแล้วตอบว่า “ป้าทองแม่งร้ายว่ะพี่” ขอใช้คำว่าโคตรสนุกแล้วกัน

สิ่งต่างๆเปลี่ยนจากความหวานเหมือนตอนจีบกันใหม่ๆ เป็นความจริงของชีวิตหลังแต่งงาน 5 ปี ก็ต่อเมื่อใช้ความเร็ว ที่ 120-130 กม./ชม. ทุกอย่างยังโอเคนะครับ แม่ยายตัดใบคลุกหมากอยู่เบาะหลังสบายอารมณ์ แต่เกินจากความเร็วนั้นไป ผมลองยึกพวงมาลัยเปลี่ยนเลนทีนึง อาการยวบของตัวรถทำให้รู้สึกเสียว ต่างจากเมื่อตอนขับในสนาม 80-120 กม./ชม. ยิ่งวิ่งเส้นที่ตัดผ่านปทุมธานีสปีดเวย์ มุ่งหน้าไปสามแยกเข้าเมืองปทุมธานี ถนนบางช่วงจะมีลอนๆอยู่กลางเลน จังหวะเปลี่ยนเลนแรงๆแล้วมาเจอลอนนี่พอดี เสียวยิ่งกว่าวันจับใบดำใบแดง เวลาจัมพ์สะพานความเร็วสูง ท้ายรถจะมีอาการยวบยาบชัดเจน ถ้าเป็นที่ 170 กม./ชม. ผมอยากจะถือพวงมาลัยตรงๆมากกว่า ในขณะที่ 520d M Sport ทดสอบถนนเดียวกัน มันรับการเปลี่ยนเลนและจัมพ์สะพานได้หนึบนิ่งสมเป็นรถจากเมืองแห่งเอาโต้บาห์นมากกว่า

ดังนั้น สำหรับคนที่ซื้อ 330Li ด้วยความต้องการรถแรงแบบไม่เอา Plug-in Hybrid และคนที่ชอบขับรถเร็ว กรุณาเตรียมเงินหาสตรัทใหม่ใส่ได้เลยครับ ส่วนสายนุ่มที่ขับไม่เกิน 130-140 และไม่สวี๊ดสว๊าดสวิงพวงมาลัยเล่นที่ความเร็วสูง ผมแนะนำให้ใช้ช่วงล่างเดิมดูก่อน อย่างน้อยเวลาวิ่งไปตรงๆ มันยังไม่เสียวเท่า 530e รุ่น Elite ที่ทั้งตัวหนักแถมช่วงล่างนุ่มย้วย

ถ้าแก้ปัญหาเรื่องเสถียรภาพที่ความเร็วสูงได้ ที่เหลือก็จบ เพราะพวงมาลัย แม้จะไม่มีระบบแปรผันอัตราทด แต่การตอบสนองนั้นดีอยู่แล้ว เบาที่ความเร็วต่ำ เบากว่า 520d ชัดเจนและนิสัยใกล้เคียง 320d ผู้หญิงขับได้ ผู้ชายขับก็ไม่รำคาญ และน้ำหนักหน่วงมือก็เพิ่มตามความเร็ว ทำให้เวลาขับเดินทางไกลแล้วไม่เมื่อยมือ บางท่านอาจจะชอบพวงมาลัยไฟฟ้าของ F30, F34 มากกว่า แต่ส่วนตัวแล้ว ผมชอบการตอบสนองและน้ำหนักเตะกลับของวงพวงมาลัย ซึ่งสัมผัสได้เวลาเล่นโค้งรัศมีแคบแรงจีเยอะๆ จังหวะคืนมันมีชีวิตชีวากว่า

การตอบสนองของแป้นเบรก มีน้ำหนักกำลังงาม ไม่หนักต้านเท้าแบบ BMW ยุค 90s แต่ก็ยังดีพอให้สามารถควบคุมแรงหน่วงความเร็วได้ง่าย ทั้งการขับแบบอารมณ์เสียในสนาม หรือการชะลอเพื่อเตรียมหยุดให้ไฟแดง จุดนี้ยังไงรถสันดาปภายในล้วนของ BMW ก็ยังทำได้เป็นธรรมชาติกว่า นิสัยคาดเดาง่ายกว่ารถ Plug-in ของทางค่าย คาลิเปอร์เบรกไม่ใช่ M Sport แต่การหน่วงตัวรถจากความเร็วสูงทำได้ดี ยังพอรับได้อยู่ ลองทำ 180-90 สามรอบ ยังไม่เฟด แต่รอบที่สามเบรกเริ่มไม่คมหน่วงเท่าตอนแรก

ส่วนเรื่องการเก็บเสียงนั้น ผมคิดว่าทำได้ดีแล้วสำหรับรถในคลาสราคาเดียวกัน C-Class W205 จะมีเสียงลมกรีดเวลาขับทางไกลมากกว่า และการเก็บเสียงยาง เสียงพื้นถนน BMW ก็ให้ความรู้สึกแน่น คล้าย Audi A4 ซึ่งเป็นรถที่ประกอบได้ดีมากคันนึง แต่ถ้าคุณวิ่งเกิน 150 กม./ชม. ไป เสียงลมจากด้านข้างจะเริ่มชนะเสียงเครื่องยนต์ ซึ่งผมมองว่าถ้าเป็นรถหกล้านบาท คงด่า แต่สำหรับรถสามล้านบวกลบ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

สำหรับอัตราสิ้นเปลือง ผมใช้วิธีสังเกตเอาจากมาตรวัด Trip Meter ของรถ เพราะไม่มีโอกาสได้ไปแวะเติมน้ำมัน (จากเวลาที่ได้โควต้าในการทดสอบ ถ้าให้จับอัตราสิ้นเปลืองตามโหมดปกติ เราก็จะไม่ได้ทำอย่างอื่นกันพอดี) ในช่วงที่ขับทดสอบอัตราเร่ง และไต่ความเร็วสูงบ่อยๆ ตัวเลขจะลงไปประมาณ 12.8 กม./ลิตร ซึ่งก็ถือว่าปกติสำหรับการเรียกใช้ม้า 258 ตัว แต่ถ้าลองวิ่งนิ่งๆ ทำความเร็วไว้ 110-120 กม./ชม. แบบไม่มีการคิกดาวน์ หรือถ้ามีก็แค่ 1-2 ครั้ง แบบนั้นค่าเฉลี่ยจะดีขึ้นเป็น 18.2 กม./ลิตร

อาจจะไม่ใช่ตัวเลขทางการตามมาตรฐานเว็บ แต่ถ้าคุณลองดูผลงานของ BMW ที่ผ่านๆมา ก็พอเชื่อได้ว่ารถเบนซินค่ายนี้ ถ้าขับแบบสุภาพ ตัวเลขจะออกมาสวย แต่ถ้ากด ก็กินตามม้าที่มี

***สรุปการทดลองขับ***

Likes: เครื่องแรงถวายชีวิต พื้นที่ด้านหลังยาวสบาย ช่วงล่างความเร็วต่ำนุ่ม อรรถประโยชน์แบบซีรีส์ 5 ในราคาซีรีส์ 3

Dislikes: ช่วงล่างที่ความเร็วสูงยวบย้วย ออพชั่นเป็น M Sport แต่ Sport ไม่ครบเท่า 330e

ในขณะที่ 3 Series G20 หลายรุ่นที่ผ่านมาจะมีคาแร็คเตอร์เป็นสปอร์ต มีความเป็นวัยรุ่นหรูแรงเริดที่ชัดเจนเหมือนได้รับเกียรติไปเต้นบนเวทีเดียวกับลูกสาวชาวเกาหลีอย่าง BlackPink เจ้า 330Li M Sport นั้นมีบุคลิกที่แตกต่างออกไปชัดเจน รถคันนี้ในสีเงินอมทองแคชเมียร์ รวมกับความนุ่มของช่วงล่าง จะทำให้คุณนึกถึงการเดินทางไกลแบบผู้ดีไปกับคุณน้าชาวอังกฤษอย่าง Joanna Lumley ในสารคดี Silk Road Adventure บน Netflix

ความแรง ชัด จัดหนัก ท้าทาย เปลี่ยนเป็นความสงบ นิ่ง ดูใจดีแบบคนที่ผ่านโลกมาเยอะ ดูมีความรวยแบบเศรษฐี แต่ก็ยังพร้อมที่จะผจญภัย จะเดินทางไกล จะนอนในกระโจมมองโกล เซาน่าในรถทหารโซเวียตเก่า นั่งรถหลายชั่วโมงไปขุดอารยธรรมเปอร์เซียในทะเลทราย พร้อมที่จะเปิดใจคุยกับคนแปลกหน้า แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่ไร้พิษสง การมอง 330Li กับสายตาของน้า Joanna มีความรู้สึกเหมือนกันอย่างหนึ่ง..นี่คือคนใจดีที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น สบาย ไม่เครียดแต่เรารู้กันว่าคนแบบนี้ไม่ใช่คนที่คุณควรจะไปลองดีด้วย ถ้าใครมาร้ายใส่ก็พร้อมจะร้ายกลับแบบผู้ใหญ่ที่เงียบแต่เพียบด้วยประสบการณ์

ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ 330Li เป็น รถเยอรมันที่ออกแบบมาสำหรับคนที่ต้องการความสงบ สบายในชีวิต แต่คุณพบว่าตัวคุณนั้นไม่สะดวกที่จะใช้รถเสียบปลั๊ก อาจจะเพราะยังไม่พร้อมสำหรับเทคโนโลยี อาจจะเพราะต้องเดินทางไกลบ่อย หรือเพราะว่าคอนโดที่คุณอยู่มีจุดชาร์จไฟไม่พอ ที่สำคัญคือคุณยังไม่อยากใช้เงินระดับ 3 ล้านกลาง ไปคบกับรถระดับซีรีส์ 5 หรือ E-Class แต่คุณอยากให้พ่อแม่วัยชราของคุณได้รับความสบายบนเบาะหลังในระดับใกล้เคียงกัน 330Li เป็นรถที่ตอบโจทย์นี้ เป็นรถที่เลือกจะแตกต่างออกมาจากฝูงรถเยอรมันยุคใหม่ที่ใส่ใจคนนั่งหลังน้อยลง เพิ่มความแข็งให้ช่วงล่างมากขึ้น จนบางครั้งก็ลืมลูกค้ากลุ่มเล็กๆที่ไม่ใช่สื่อมวลชน ไม่ใช่นักเลงรถไป

ลักษณะของรถ พามันไปหากลุ่มลูกค้าที่เหมาะกับมันเองโดยอัตโนมัติ ช่วงล่างที่นุ่มสบาย แต่วิ่งความเร็วสูงแล้วรู้สึกขาดความมั่นใจ ก็จะถีบวัยรุ่นสายซิ่งออกไป แล้วดึงลูกค้าพวกที่ชอบความสบายเข้ามา เว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นวัยรุ่นที่ไม่ชอบรถถ่าน การเอา 330Li มาทำช่วงล่างและเบรกต่อเอง ก็จะให้คุณได้ความแรงบรรลุประสงค์นั้น เพราะอย่างน้อยเครื่องยนต์ B48 2.0 ลิตรเทอร์โบ กับเกียร์ 8 จังหวะ ก็ตอบสนองอย่างถึงใจ น่าจะเป็นจุดเดียวของรถที่มีความเป็นวัยซิ่งมากเท่าๆกับ 3 Series รุ่นอื่นๆ

สิ่งที่ยังขาดอยู่ ก็คือเรื่องของออพชั่น เพราะไม่ได้มาแบบเต็มพิกัดแบบ 330e M Sport แต่เป็นการเลือกออพชั่นอย่างแยบยลที่ทำให้ลูกค้าทั่วไปรู้สึกตื่นตะลึง ว้าว รถ 2.899 ล้าน มีหลังคากระจก หน้าปัดเป็นดิจิตอลสี มีการตกแต่งแบบสปอร์ต ที่ลูกค้าหลายคนชอบ เพราะพอได้มีคำว่า M Sport ก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้ซื้อรุ่นท้อปแล้วแถมมีที่วางขายาวกว่า 5 Series สำหรับบางท่าน นี่คือรถที่ตอบโจทย์แบบครบๆ และมาในราคาที่โคตรคุ้มสำหรับรถเยอรมัน

แต่ถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ BMW จะมองออกว่า วิธีการจัดอุปกรณ์ เผยช่องว่างที่ทำให้บางคนก็ยังยอมทุ่มทุนไปเล่นรถใหญ่สามล้านอัพอย่าง 520d M Sport หรือไม่ก็ยอมคบรถถ่านอย่าง 330e M Sport มากกว่า ยกตัวอย่างก็เช่น การนำเอาไฟตัดหมอกออก ซึ่งสำหรับรถราคานี้ไม่ควรเอาออก เบาะนั่งที่ไม่สามารถปรับความบีบของปีกเบาะแบบ 320d/330e ได้ รวมถึงม่านประตู/กระจกบานหลัง ที่แม้ G20 จะไม่มี แต่ถ้าคิดจะเป็นรถที่เน้นความสบายของคนนั่งหลัง ก็ควรติดตั้งมาให้ ที่เสียดายที่สุดคือ เอาโหมด Sport PLUS ออก ทั้งๆที่รถรุ่น M Sport เครื่องเบนซิน ไม่ควรขาด และมันก็เป็นแค่ออพชั่นในเชิง Programming ที่ไม่ได้ไปเพิ่มต้นทุนด้านวัสดุใดๆ และยังช่วยยั่วให้ลูกค้าวัยรุ่นหันมามอง ขยายตลาดได้กว้างขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากเราว่ากันด้วยตัวรถอย่างที่มันเป็น แม้ข้อดีก็เยอะ ข้อเสียก็ใช่ว่าจะไม่มี ผมยังมองว่า BMW คิดถูกที่นำ 330Li มาขาย และโดยส่วนตัวผมเอง ถ้าหากต้องเลือกรถที่ไม่ใช่ Plug-in 330Li กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนมาก เพราะมีความแรงมากกว่า 320d และ 520d ชัดเจนเวลาแซงรถบรรทุก ไวกว่าคนละเรื่อง ราคาตัวรถก็แพงกว่า 320d จริง แต่ก็ถูกกว่า 520d M Sport อยู่ 640,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ คุณเอาไปปรับปรุงช่วงล่าง เบรก และเหลือเป็นเงินเติมน้ำมันได้อีกนาน สำหรับผม นั่นคือทางเลือกแบบ Logical ที่ลงตัวกับชีวิตผม

แต่สำหรับคนอื่นๆล่ะ? ผมจะลองช่วยคิดดูนะครับ

สำหรับคนที่กำลังปลดระวาง 320d GT คันเก่า แล้วเปลี่ยนเป็น 330Li – คุณเสียเนื้อที่ส่วนเหนือศีรษะไป เสียความอเนกประสงค์ไปเพราะเบาะหลัง 330Li นั้นพับไม่ได้ ความง่ายในการเข้า/ออกรถ 320d GT ก็ชนะ แต่คุณได้เรื่องอุปกรณ์ ออพชั่น ระบบ Infotainment ในรถที่ทันสมัยขึ้น ได้หน้าตาที่ดูวัยรุ่นขึ้นมาก และได้สมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซินที่ไม่ได้เสียเปรียบในรอบต่ำ แถมยังลากรอบสนุกกว่า และได้ช่วงล่างที่นุ่มนวลกว่า เบาะหลังที่นุ่มหนานั่งแล้วผ่อนคลายกว่า แต่ถึงคุณไม่ชอบ 330Li คุณก็มีทางเลือกไม่มาก เพราะรถยุโรปเก๋งราคาต่ำกว่าสามล้านที่เบาะหลังนั่งสบายเวลานี้ ก็มีแค่ 530e Elite หรือไม่งั้นก็ต้องหันไปหาพวก SUV/Crossover แทน

สำหรับคนที่กำลังจะซื้อ 520d M Sport แต่มอง 330Li เป็นทางเลือกใหม่ – ต้องเรียนตามตรงว่าถ้าคุณเป็นเศรษฐีรีสอร์ทที่ชอบขับรถเอง เดินทางไกลๆ ไปเชียงใหม่หรือสุราษแล้วชอบใช้ความเร็วระดับหาพระแสง 330Li จะชนะที่อัตราเร่ง แต่แพ้เรื่องเสถียรภาพที่ความเร็วสูง ยิ่งใช้สปีดเยอะ 520 ยิ่งผ่อนคลายกว่า นอกจากนี้ตัวถังที่กว้างทำให้เวลานั่งขับไกลๆ แหกแข้งขาเปลี่ยนอิริยาบทได้ง่ายกว่า ตัวเบาะหน้านั่งสบายกว่า ปรับปีก ปรับดันหลังได้ทั้งสองตัวหน้า ในด้านออพชั่นนั้นแม้ 520d จะไม่มีหลังคากระจก แอร์ 3 Zone และไม่มีกล้องรอบคัน (มีแค่กล้องหลัง+เซ็นเซอร์) แต่ก็มีช่วงล่าง M Sport มีพวงมาลัยปรับคอด้วยไฟฟ้า กุญแจ Display Key

สำหรับคนที่มองหารถยุโรปไซส์นี้ในงบสามล้านแบบไม่ได้เจาะจงรุ่นและไม่ได้เน้นความสบายเบาะหลัง – ถ้าแบบนั้นจุดเด่นของ 330Li ก็จะมีน้อยลง บางทีถ้าที่บ้านมีปลั๊กเสียบชาร์จรถได้ 330e M Sport ก็คุ้มกว่า เพราะอัตราเร่งดีกว่า อุปกรณ์ครบแบบ M Sport ระบบความปลอดภัยเท่าๆกัน มีกล้องรอบคัน, มีระบบเบรกอัตโนมัติหน้า/หลัง, ระบบเตือนรถในจุดบอด และระบบเตือนและขืนพวงมาลัยเวลาเฉออกนอกเลนเหมือนกัน แต่ 330e ได้ล้อ 19 นิ้ว ช่วงล่าง Adaptive เบาะนั่งแบบสปอร์ต และล่าสุดเห็นว่าเพิ่ม Adaptive Cruise Control เข้าไปแล้ว ในราคาที่ถูกกว่า 330Li แสนบาท เรียกได้ว่าถ้าไม่มีอุปสรรคกับความ Plug-in และไม่ได้เน้นความเร็วสูงสุด (ซึ่ง 330e ก็ไปได้ 239 แล้วพ่อคุณ) คุณไป 330e เหอะจบๆ

นอกจากนี้ มันยังมีตัวเลือกอีกเยอะครับ ในงบสามล้าน Volvo S60/V60, Mercedes-Benz C220d, C 300 e ที่กำลังจะตกรุ่นปีหน้า, Audi A5 Sportback ตัวขับหน้า แต่ถ้าคุณมองรถพวกนี้ คุณอาจจะไม่ใช่คนที่สนใจ 330Li ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่ต้องนำมาเทียบกัน (หรือถ้าเทียบก็ได้ แต่ยาว)

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ คุณน่าจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมรถคันนึง ถึงไม่สามารถเอาคำว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” มาครอบเอาไว้ได้ เพราะมันมีคุณสมบัติมากมายหลายด้านที่ต้องนำไปพิจารณา แล้วผมก็ไม่สามารถทราบได้ว่าคุณผู้อ่านคนไหน จะสนใจเรื่องไหน บางคนก็จะมาบ่นว่าเขียนอะไรยาวยืด มีแต่น้ำ จริงๆถ้าคุยกันต่อหน้า อยากรู้อะไรผมก็ตอบให้ตรงจุดได้ แต่ต้องเขียน 1 บทความ ที่ตอบคนเป็นร้อย ผมไม่สามารถทำให้ทุกท่านพอใจได้

ดังนั้น ผมจึงเลือกที่จะเขียนแบบนี้แหละครับ เพราะดูขนาดรถอย่าง 330Li กับ 520d M Sport พี่ใหญ่ของมัน ถ้าคุณเอาความคิดแบบง่ายๆมาครอบ เช่น “รถแพงกว่าออพชั่นต้องเยอะกว่า” หรือ “รถใหญ่กว่ายังไงก็นั่งสบายกว่า” แค่เริ่มคิดคุณก็ผิดไปครึ่งนึงแล้ว มันจึงต้องเป็นงานของผมที่เขียนยาวๆ ให้คุณเลือกว่าจะโฟกัสตรงไหน ผมมีหน้าที่แค่บอกว่าในหัวข้อนั้น รถทำได้ดีหรือไม่ดีอย่างไร เวลาผมเขียนถึงรถสักคัน ผมนึกถึงการเล่าให้เพื่อนฟัง มันอาจจะยาว แต่ผมเล่าเพื่อให้เขาได้ข้อมูลที่ละเอียด ตรงไปตรงมา อาจจะน้ำท่วมทุ่งบ้าง แต่เวลาคุยกับเพื่อน ผมก็น้ำท่วมทุ่งแบบนี้แหละครับ

ส่วนถ้าถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกเขียนแบบนี้ ตอบได้เลยครับว่า

เมื่อตายหรือพิการเท่านั้น

—/////—

 

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อเชิญร่วมทดลองขับ


Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน

ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย เป็นของผู้เขียนและทีมช่างภาพ BMW Thailand

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 23 กุมภาพันธ์ 2021


Pan Paitoonpong//Copyright (c) 2021
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com. 23 FEB 2021