First Impression รีวิว ทดลองขับ Mercedes-Benz E 300 e AMG Dynamic Minorchange: มาดหนุ่มรวย ช่วงล่างสเป็คคุณป้า แต่แรงอย่างบ้า ระห่ำทะลุครก

คุณผู้อ่านมีเพื่อนสนิทที่อายุห่างกันมากๆไหมครับ?

ผมมีเพื่อนต่างวัย อายุห่างกับผมราวสิบปีเห็นจะได้ ผมเรียกมันว่าไอ้ตี้ ไอ้ตี้เข้ามาในชีวิตผมในลักษณะของเด็กแว่นหัวเกรียน ม.ต้นที่ดูโลกส่วนตัวสูง เราพบกันครั้งแรกเมื่อไปสอบคัดเล่นรายการแฟนพันธุ์แท้เบนซ์เมื่อปี 2003 เอกลักษณ์น่าถีบอย่างหนึ่งของตี้ในวัย 13 ขวบ ไม่ว่าคุณกำลังสนทนาเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือใต้เตียงดาราอยู่กับใครก็ตาม หากมีตี้อยู่ในวงสนทนานั้น ..มันจะพลิกบทสนทนากลับเป็นเรื่องเบนซ์ได้เสมอ ราวกับ Firmware ในหัวมันลงมาให้แค่นั้น

แต่แค่ผมหยอดคำถามเบนซ์ลงไปเหมือนเหยาะแม็กกี้ ข้อมูลต่างๆจะพรั่งพรูมาจากปากมันราวกับเขื่อนถล่ม เขาเก็บข้อมูลแบบถาวรเอาไว้ในหัวมากจนเกินวัย ความสามารถในการจำเลขตัวถัง เอกลักษณ์พิเศษของรุ่นต่างๆ สเป็คเครื่องยนต์..ผมพูดได้อย่างเดียวว่าถ้า Forrest Gump บ้ารถ ก็คงมีบุคลิกไม่ต่างจากที่ตี้เป็นเท่าไหร่

หลังจากแข่งรายการแฟนพันธุ์แท้เบนซ์เสร็จ (เราตกรอบทั้งคู่ ผมแพ้ให้พี่แมน ทัศนัย ไรวา) หนุ่มนักศึกษาที่ใกล้จบตรีอย่างผม ก็ไม่เคยขาดตี้ ทุกๆวันหยุด แม่ตี้จะมาทำธุระแถวใกล้บ้านผม  เขาก็จะเอาตี้มาปล่อยไว้ที่บ้านผม..แล้วเราจะทำอะไรกันเหรอครับ? หกชั่วโมง..เปิดโบรชัวร์รถที่มีอยู่ แล้วก็นั่งวิจารณ์ หรือบางทีก็ด่ารถ หรือถ้อยคำโปรโมทในโบรชัวร์เล่นกัน แล้วก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากลั่นบ้าน..หกชั่วโมงรวด ไม่ทำอย่างอื่น เมื่อเราด่าครบทุกโบรชัวร์แล้ว ตี้ยังไม่ยอมแพ้ครับ ครั้งต่อมาตี้มาบ้านผมพร้อมกับเป้ที่ข้างในมีโบรชัวร์เต็มแม็ก เปิดฉากด่ากันต่อ ผมมีหน้าที่ด่า ส่วนตี้มีหน้าที่หัวเราะอย่างเดียว

เท่านั้นยังไม่พอ เรายังขยายผล ไปเดินแหกรถตามบูธในงานมอเตอร์โชว์ด้วย เปิดตรงนั้น ด่าตรงนี้ มุดแกะแผง Panel ต่างๆในรถ เล่นกันฮา จะโดนเซลส์ทั้งบูธไล่กระทืบเอาก็หลายดอกอยู่ ผมเล่าให้ฟังเล่นๆนะครับว่าไอ้พี่แพนที่คุณอ่านรีวิวมันอยู่ทุกวันนี้ ตอนเด็กๆก็เกรียนอย่างนี้ แต่พอแก่ตัวลง จะให้ไปทำแบบนั้นก็ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ผมเอ็นจอยกับการดูความเปลี่ยนแปลงตามวัยในตัวตี้ เมื่อเขาเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยนมแตกพานของจริง ความเป็น Forrest Gump เริ่มหายไป เขามีอารมณ์โกรธ มีโมโหใจร้อนแบบวัยรุ่น (ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีให้เห็น ใครด่าตี้ ตี้หัวเราะสู้อย่างเดียว) เริ่มมีความรู้สึกต่อเพศตรงข้าม เริ่มเปิดอกคุยกับผมเรื่องผู้หญิง (ซึ่งก่อนหน้านี้ ตี้จะมองผู้หญิงเป็นแค่มนุษย์โลกชนิดนึงที่ขวางทางระหว่างตัวเขา กับการซิ่งรถ..ครับ ตี้คือผู้ชายประเภทที่เชิญพริตตี้ออกจากบูธเพราะพริตตี้ยืนบังรถ) พอเข้าวัยรุ่นตอนปลาย ยิ่งเห็นพัฒนาการทุกด้านที่ชัดเจนมาก มันมีแฟนก่อนผมซะอีก และจากเดิมที่ถนัดด่ากวนตีนเอาฮาอย่างเดียว ตี้กลายเป็นมนุษย์นักเจรจาที่คุยงานแล้วเข้าใจ วางแผนการทำงานเป็น ใครทะเลาะกันตี้ตบให้จบเรื่องได้

ยิ่งในด้านความสนใจในรถยนต์ มันเปลี่ยนจากเด็กที่ขโมยรถพ่อมาให้ผมสอนขับ สอนคลัตช์ชิ่ง/เกียร์ (และสอนเบิร์นยาง) ทุกวันนี้คุณตี้แกรื้อซ่อมรถเองได้หลายงาน และเรียนรู้การขับด้วยตัวเองจนเป็นนักแข่งจิมคาน่าที่คนรู้จักทั้งสนาม ผ่านเซอร์กิตมานับไม่ถ้วน ด้วยสไตล์การขับที่ Instructor เห็นแล้วส่ายหน้า เพราะมันทำผิดหลักอนามัยทุกอย่าง..แต่ดันทำเวลาได้เร็วเท่าๆพวกมืออาชีพ ผลมาจากการที่ไม่เคยไปเรียนกับสถาบันไหน แต่ซัดเอง สังเกตเอง สอนตัวเองมา 15 ปี ทุกวันนี้กลายเป็นผม ที่ต้องให้มันสอนให้ ทุกวันนี้ในวัย 32 ขวบ มันพาตัวเองไปโคตรไกลกว่าผมมาก

อย่างไรก็ตาม 18 ปีที่รู้จักกันมา สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ 1) ไอ้ตี้มีฉายา “ขี่รถคันไหนคันนั้นพัง ขี่ควายควายยังตาย” ขึ้นรถคันไหน คันนั้นพัง ไม่ใช่เรื่องการขับ แต่ยังรวมไปถึงเรื่องทางไสยศาสตร์อีกด้วย และ 2) แม้มันจะเปลี่ยนรถไป 20 คันแล้ว แต่ชีวิตไอ้ตี้ไม่เคยขาดเบนซ์ มันเป็นคนแปลก ตรงที่สายซิ่งส่วนมากมักชอบ BMW มากกว่าเบนซ์ แต่ไม่ใช่ไอ้ตี้ครับ เพราะฉะนั้น เวลาไปทดสอบเบนซ์มา ผมมักจะมาเล่าให้มันฟังเสมอ ล่าสุด ผมได้ไปลองขับ Mercedes-Benz E 300 e ไมเนอร์เชนจ์ล่าสุดมา ผมถ่ายคลิปอัตราเร่งส่งให้ตี้ดู แล้วถามมันว่า “แรงมันพอสู้ AMG E55 ของมึงได้มั้ย” ตี้เองก็เหมือนคนบ้ารถทั่วไปที่ย่อมมีการอัดคลิปอัตราเร่งรถตัวเองเอาไว้ ก็ลองเปิดเทียบกับ AMG E55 V8 W210 ของเขาซึ่งแม้จะเป็นรถเก่าจากปลายๆยุค 90s แต่ก็ปรับจูนจนเอาม้าลงพื้นได้ 350 ตัว

คำตอบที่ได้คือ “สงสัย V8 โดนรถถ่านแดกว่ะพี่ E55 ช้ากว่า”

นี่คือความเปลี่ยนแปลงในโลกยานยนต์ ที่มันหมุนไปพร้อมกับคนแหละครับ E55 ในวันที่มันยังใหม่นั้น ความรู้สึกที่พวกเรามีต่อมันก็เหมือนกับที่คุณผู้อ่านวัยรุ่นมีต่อ E63 4.0 ลิตร Bi-Turbo ในวันนี้ มันคือ King of Motorway ซึ่งมีพลังมหาศาล หน้าตาแบบลุง แต่ถลุงคันเร่งมันส์ รถวัยรุ่นถ้าไม่ได้ทำมาหนักจริงไม่ได้แอ้มลุงเหล่านี้แน่นอน AMG รุ่นพิเศษแบบนี้ สมัยก่อนราคาสูงจนคนทั่วไปซื้อได้ยาก แล้วทุกวันนี้ล่ะเป็นยังไง? เทคโนโลยีการขับเคลื่อน อุปกรณ์ติดรถ และกลไกทางสรรพสามิต ทำให้เราสามารถสัมผัสความแรงระดับนั้น ความหรูหราและอุปกรณ์ที่ต่างกันคนละชั้น ในราคา 3,770,000 บาท ..นี่ล่ะครับพัฒนาการของโลกสี่ล้อ

ดังนั้น พลังแรงทะลุครก จึงไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมสำหรับชนชั้นกลางมากเท่าในอดีต แต่ E 300 e ก็ไม่ใช่รถรุ่นเดียวที่มีคุณสมบัติรถใหญ่ใจหาญ BMW ก็มี 530e ซึ่งเพิ่งจะผ่านการไมเนอร์เชนจ์ อัพพลัง เพิ่มอุปกรณ์ในราคา 3,739,000 บาท ม้าน้อยกว่าเบนซ์แค่ 28 ตัว และนอกเหนือจากเรื่องความแรง ผมเชื่อว่าหลายคนก็อยากทราบว่า เมื่อเปรียบเทียบกันในทุกด้าน ท้ายสุด ใครเด่น ใครด้อยกว่าตรงไหน

ก็ต้องขอบคุณทางเบนซ์ครับ ที่ให้โอกาสผมหาคำตอบต่อสิ่งเหล่านี้เพียงไม่กี่วันหลังเปิดตัว

E-Class ตัวถัง W213 นั้น ขายในบ้านเรามาตั้งแต่ไตรมาสแรกของ 2016 โดยในช่วงแรก เป็นรถนำเข้า มีให้เลือกขุมพลังเดียวคือ E 220 d เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรดีเซลเทอร์โบ 194 แรงม้า ราคารุ่นท้อป AMG Dynamic สูงมาก คือ 4,790,000 บาท แต่ใส่อุปกรณ์มาจนดูหรู แสงสี Ambient Light ตระการตา และเป็นครั้งแรกในเซกเมนต์ที่หน้าปัดเชื่อมกับจอกลาง เป็นจอสีทั้งสองชุด จากนั้นในเดือนธันวาคม ก็มีการนำเข้า E 220 d ESTATE มาขาย แต่ดันทำราคาได้ถูกกว่าตัวซีดานอีก 50,000 บาท ทำให้หลายคนงงกับวิธีการตั้งราคาของ Mercedes-Benz พอสมควร เพราะปกติ รถ ESTATE จะต้องแพงกว่า

ต้องรอมาจนถึงต้นปี 2017 ทางเบนซ์จึงเปิดตัว E 220 d ประกอบในประเทศ เพิ่มรุ่นย่อยราคาประหยัด Avantgarde เข้ามา ทำให้ราคาของ E-Class อยู่ระหว่าง 3,390,000-3,990,000 บาท ซึ่งมีเพดานใกล้เคียงกับคู่หูดีเซล 520d/525d F10 ของ BMW มากขึ้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก เพราะเดือนพฤษภาคม จู่ๆเบนซ์ก็ยกเลิกการขาย E 220 d แล้วเปิดตัว “EQ Power” Plug-in Hybrid กับ E 350 e 2.0 ลิตรเบนซินเทอร์โบ + มอเตอร์ กำลังรวม 286 แรงม้า/550 นิวตันเมตร  จำหน่ายในราคา 3,490,000-4,090,000 บาท

ในช่วงเวลานั้น C 350 e ซึ่งรับพลัง Plug-in 279 แรงม้าก็สร้างพาดหัวข่าวที่น่าตื่นเต้นกับตัวเลขพลังไปก่อนแล้ว แถม E 350 e ทุกรุ่นย่อยยังมาพร้อมกับช่วงล่างถุงลม AIRMATIC ปรับความแข็งช่วงล่างได้อีกต่างหาก ทั้งแรงกว่าตัวดีเซลมาก อุปกรณ์ก็เยอะกว่า จ่ายเพิ่มแค่แสนเดียว ทุกอย่างดูเหมือนสวรรค์จนกระทั่งระบบไฮบริดเริ่มออกอาการอยากขึ้นรถสไลด์ ทั้งที่อายุรถยังไม่บรรลุนิติภาวะตามมาตรฐานรถ (5 ปี..ผมตั้งให้เอง) บางคันที่ปีน้อย แต่วิ่งเยอะ มีปัญหากับช่วงล่างถุงลมรั่ว กลายเป็นชะนีขาหักจอดแหมะในโรงรถ เป็นที่น่าหงุดหงิดแก่เจ้าของยิ่งนัก

ต่อมาเมื่อ 5 Series G30 เปิดตัว มีรุ่นดีเซลยืนพื้นไว้จับตลาดคนที่ไม่ชอบรถไฮบริด เบนซ์ยังสนับสนุนรถปลั๊ก ทำตลาด E-Class Saloon ด้วยรุ่น E 350 e เดี่ยวๆมาจนถึงปี 2019 ซึ่ง E 220 d ถูกนำมาประกอบขายอีกครั้ง แต่มาในรุ่น SPORT ซึ่งตัดของหรูๆออกไปเสียเยอะ รถ E 350 e เองก็มีการปรับอุปกรณ์ ถอดช่วงล่าง AIRMATIC ออกทุกรุ่นยกเว้นรุ่น AMG Dynamic แต่ก็ยังมีรถค้างสต็อคมากจน ทางเยอรมนีเปิดตัวขุมพลัง Plug-in พัฒนาใหม่ไปแล้ว ของบ้านเรายังต้องช่วยดีลเลอร์สร้างโอกาสในการระบายรถออก เดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นก็เลยขายแบบลดราคาแหลกรุ่นละ 640,000-800,000 บาทกันเลยทีเดียว

ช่วงเดือนธันวาคม 2019 ก็มีการอัปเดตขุมพลังครั้งใหญ่ เปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น E 300 e ฟังดูตัวเลขเหมือนจะแรงน้อยลง แต่ความจริงหมัดหนักกว่าเก่า แรงม้าเพิ่มไปเป็น 320 แรงม้า ส่วนแรงบิดทะยานฟ้าไปถึง 700 นิวตันเมตร มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ในราคาตั้งแต่ 3,190,000-3,770,000 บาท ช่วงล่าง AIRMATIC ถูกถอดออกจากทุกรุ่นเรียบร้อย แต่ความแรงที่เพิ่มขึ้นมาก แบตเตอรี่ที่จุไฟกว่าเดิม กับราคาที่ถูกกว่าตอน E 350 e เปิดตัวใหม่ๆราวสามแสน ทำให้มีความน่าเล่นโดยรวมมากขึ้น ในช่วงเวลานั้น เบนซ์ขาย E 350 e ควบคู่ไปกับ E 300 e ด้วย ในราคาที่ถูกกว่า แต่รุ่น AMG Dynamic ยังได้ช่วงล่างถุงลมอยู่ ให้ลูกค้าเลือกกันเอาเอง

เนื่องจากได้ทำการอัปเดตขุมพลังไปชุดใหญ่ตั้งแต่ 2019 แล้ว ดังนั้น เมื่อรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2021 จึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงเรื่องเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และเบรก แต่คุณได้หน้าตาที่เป็น Design Language ยุคใหม่ของเบนซ์ ไฟท้ายทรงเรียวนอน กับไฟหน้าทรงเมล็ดข้าว ทำให้ภาพลักษณ์ของรถดูวัยรุ่นขึ้น เลิกทำตลาดรุ่น Exclusive เหลือแต่ Avantgarde และ AMG Dynamic ส่วนรุ่นดีเซล ก็อัปเกรดจาก Sport เป็น AMG Sport แทน เพิ่มออพชั่นและทำหน้าตาให้ดูไม่เหมือนรุ่นถูก จะได้แข่งกับ 520d M Sport อย่างสมน้ำสมเนื้อ

แต่รุ่นดีเซลนั้น เราจะไว้ว่ากันในโอกาสหลัง วันนี้ เหยื่อของเราจะเป็น E 300 e AMG Dynamic minorchange แต่ราคาเท่ารุ่นเดิม ที่ 3,770,000 บาท

E 300 e AMG Dynamic มีความยาวตัวถัง 4,935 มิลลิเมตร กว้าง 1,852 มิลลิเมตร สูง 1,481 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,939 มิลลิเมตร ระยะ Track ล้อหน้า/หลัง เท่ากับ 1,596/1,575 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถังตามมาตรฐาน EU อยู่ที่ 1,990 กิโลกรัม หนักกว่า E 220 d AMG Sport ถึง 240 กิโลกรัม

คู่แข่งอย่าง BMW 530 e M Sport มีความยาวตัวถัง 4,963 มิลลิเมตร กว้าง 1,868 มิลลิเมตร สูง 1,483 มิลลิเมตร จะเห็นได้ว่า BMW ตัวถัง G30 ยาวกว่า กว้างกว่า แต่สูงพอๆกัน BMW ได้เปรียบเรื่องน้ำหนักตัวจากเทคโนโลยีโครงสร้างสมัยใหม่ที่ทำให้ตัวรถทั้งคันเบาแค่ 1,845 กิโลกรัม หนักกว่า 330e เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงใน E 300 e โฉมไมเนอร์เชนจ์นี้คือขนาดถังน้ำมัน โดยปกติ รถ Plug-in Hybrid มักจะใช้น้ำมันถังเล็ก เพราะมองว่ามีไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อนและประหยัดเชื้อเพลิงอยู่แล้ว อย่าง E 300 e รุ่นก่อน ก็ใช้ถังขนาด 50 ลิตร 530 e ก็ใช้ขนาด 46 ลิตร แต่ E 300 e สเป็คไทยไมเนอร์เชนจ์ ได้ออพชั่นหมายเลข 916-Large Capacity Fuel Tank เพิ่มขนาดถังน้ำมันเป็น 60 ลิตร ซึ่งผมชอบ เพราะทำให้ได้ระยะทางวิ่งไกลขึ้น ออกจากกรุงเทพไปถึงเชียงรายได้รวดเดียวถ้าขับดีๆ แต่บางคนอาจจะบอกว่าถังเดิม 50 ลิตรก็พารถไปได้ไกลแล้ว คงมีน้อยคนตียาวรวดเดียว 600-700 กิโลเมตรโดยไม่แวะปั๊ม

ความเปลี่ยนแปลงภายนอก คุณคิดว่าไงครับ? สวย ไม่สวย อันนี้แล้วแต่จะคิด ส่วนตัวผมยังหาคำตอบไม่ได้ ด้านหน้าผมว่าดูสวยเพรียวลมขึ้น แต่ด้านท้ายนั้น ผมว่าของเดิมมันก็สวยอยู่แล้ว ของใหม่นี้ได้ไฟท้ายทำให้รถดูแบนกว้างขึ้น แต่ผมอาจจะยังไม่ชินกับ Design Language แบบใหม่ซึ่งความเป็นเบนซ์มันถูกลดทอนลงไปบ้าง นี่คือครั้งหนึ่งที่รุ่นไมเนอร์เชนจ์ออกมาแล้ว รุ่นเก่ากับใหม่ยังดูสวยพอกันแม้รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์จะดูรักษาเอกลักษณ์เบนซ์ได้ดี แต่รุ่นใหม่ก็แลกเอกลักษณ์บางส่วนกับความทันสมัยที่เพิ่มขึ้น

ส่วนที่ชอบมากจริงๆคือ…พอไฟท้ายเป็นแบบนี้ มันทำให้ผมแยก E-Class ออกจาก C-Class ได้ชัดขึ้น เพราะรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์นั้นเหมือนกันมากจนผมทักผิดมาตลอด ส่วนไฟหน้า รุ่น AMG Dynamic ยังเป็น Multi-Beam 84 หลอดต่อข้างเหมือนเดิม..แต่อัปเกรดเป็น “Multi-Beam with Ultra-range” ซึ่งเมื่อสามารถใช้ไฟสูงได้และไม่มีรถสวนมา ระบบจะปรับไฟหน้าให้ส่องได้ไกลถึง 650 เมตร (รุ่นเดิมสเป็คไทย อยู่ที่ 500 เมตร) นอกจากนี้ การเปลี่ยนกล้องตรวจจับที่กระจกบานหน้าเป็นสเป็คที่ดีขึ้น ก็ส่งผลให้ระบบไฟ Multi-Beam ทำงานได้ละเอียด ควบคุมการทำงานของหลอดไฟแต่ละดวงให้ส่องฉลาดขึ้น ส่องไกลเมื่อทำได้ และหลบแสงรถที่สวนมาได้ดีขึ้น

สิ่งที่เปลี่ยนนอกจากตัวถัง กระจังหน้า กันชน และไฟหน้า/ท้ายก็คือล้ออัลลอย ซึ่งแม้จะมีขนาด 19 นิ้วเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนลายใหม่ ถามคนจากทีมเบนซ์ว่าทำไมเลือกล้อลายนี้ ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นลายที่ดูเหมือนล้อของ S 560 e AMG Premium ซึ่งลูกค้าน่าจะชอบที่ได้ของเหมือนรถรุ่นแพงกว่า นี่คืออีกส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบ ไม่ใช่เพราะเหมือน S 560 e แต่เพราะด้วยขนาดมหึมา 19 นิ้วกับลายแบบนี้ ทำให้ตัวรถที่ดูเรียบร้อยอรอุมา กลายเป็นรถที่ดูเหมือนใส่ล้อแต่งออกมาจากโรงงาน มีความเป็นรถของ Russian Oligarch ที่เรียบ แต่แอบน่ากลัว

กุญแจของ E-Class ใหม่ ยังมีหน้าตาเหมือนกับของรุ่นอื่นๆ ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่โดยรวมมันก็คือสมาร์ทคีย์ที่มีปุ่มสำหรับกดเปิดฝาท้ายที่คุ้นกันอยู่แล้ว เวลาล็อครถจะมีเสียงแตรปั๊นๆเป็นการบอกว่า “กูล็อคแล้วนะ” แต่ถ้าคุณรำคาญก็สามารถปิดมันได้ในเมนู Car Setting ที่จอกลาง

การเข้านั่ง/ลุกออกจากรถ ทำได้ง่ายอยู่ ถ้าปรับเบาะไว้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างเตี้ย E-Class จะมีแนวหลังคาที่ดูเตี้ยกว่า 5 Series เล็กน้อย แต่ประตูที่มีขนาดใหญ่ทำให้ตวัดขาเข้าไปได้ไม่ยากนัก แค่ก้มหัวนิดหน่อยพอ ในวันที่เข่าขวาเจ็บหนักๆ E-Class ก็ยังให้ผมเข้าๆออกๆเลื่อนรถไปมาเพื่อถ่ายภาพได้ง่าย แต่ถ้าเป็นรุ่นเล็กอย่าง C-Class ก็จะเหนื่อยหน่อย

เบาะนั่งของรุ่นอื่นจะหุ้มด้วยหนังเทียม Artico/พวงมาลัยหุ้ม Nappa แต่ของ AMG Dynamic จะเป็น Nappa ทั้งเบาะและพวงมาลัย เบาะทรงสปอร์ตคล้ายรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ยกเว้นลายตะเข็บที่ตอนบนของตัวเบาะที่หายไปบางจุด เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า และส่วนที่ผมชอบใน Mercedes-Benz คือการเอาสวิตช์ปรับเบาะไปไว้ที่แผงประตู ซึ่งทำให้ผมสามารถปรับเบาะแม้ตอนปิดประตูได้ง่าย (คนผอมจะไม่มีปัญหานี้) นอกจากนี้ ยังให้ระบบความจำตำแหน่งเบาะมาถึง 3 ตำแหน่งทั้งสองฝั่ง ในขณะที่ BMW มีแค่ฝั่งคนขับ และเซ็ต Memory ได้แค่ 2 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่หายไปก็คือตรงสวิตช์ปรับเบาะฝั่งคนขับ ในตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์จะมีปุ่ม “Left Seat Adjustment” ซึ่งเมื่อกดแล้ว ก็จะสามารถใช้สวิตช์เบาะของคนขับในการปรับเบาะฝั่งซ้ายได้

ลองนั่งขับจากพัทยากลับกรุงเทพ ก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆก็เหมือนเดิม ตัวเบาะไม่ได้แย่เลย มันสามารถปรับส่วนรองน่องยืดออกมาได้ แค่ไม่ได้แยกชิ้นออกจากกันชัดๆแบบ BMW แต่โดยรวมก็สบายก้น ปีกข้างของเบาะที่ดูเหมือนรถซิ่งนั้น จริงๆแล้วมันกว้างมากครับ พอดีกับตัวผม แต่คนผอมนั่งอาจจะรู้สึกขาดความอบอุ่นเหมือนไม่เคยโดนใครกอด ปีกเบาะของ E 300 e คันนี้ก็เป็นแบบตายตัว ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่แพ้ 530 e M Sport ซึ่งให้เบาะแบบที่ปรับการบีบของปีกข้างมาให้

ความต่างในประการต่อมาคือ ใน BMW ตำแหน่งการขับขี่จะดูสูง กระจกหน้าต่างดูโปร่งกว่า ส่วน Mercedes-Benz จะดูเหมือนนั่งเตี้ยจมในรถ หลังคาและกระจกหน้าบีบเหมือนขับรถคูเป้ และลักษณะการออกแบบอุโมงค์เกียร์ของ E-Class ก็เบียดขาซ้ายตอนล่างพอสมควร ทำให้เวลาขับรู้สึกเหมือนส่วนล่างของร่างกายจะถูกเบียดให้ไปทางขวาในขณะที่พวงมาลัยจะค่อนไปทางซ้าย..ถ้าไม่ใช่ว่ารถกว้างจนทำให้ได้พื้นที่ระหว่างไหล่กับแผงประตูเพิ่มมา ความสบายเวลานั่งแทบไม่ต่างจาก C-Class รุ่นน้องเลย

มาที่เบาะหลังกันบ้าง การเข้าไปนั่งในรถ ผมรู้สึกว่ายากกว่า BMW ก็ดูจากทรงของกระจกและหลังคาดูได้ครับ 5 Series G30 ใช้ประโยชน์จากหูช้างหลังทรงดอกบัวผ่าครึ่งอันเป็นเอกลักษณ์ของค่าย ขยายขนาดประตูช่วงบนให้ยาวมาก ในขณะที่เบนซ์ซึ่งยึดติดกับหูช้างหลังทรงสามเหลี่ยม (เอกลักษณ์ค่ายเหมือนกัน) ทำให้ต้องก้มตัวมากกว่า 5 Series เวลาเข้านั่ง

ความสบายในการนั่งเบาะหลัง ผมทดสอบในแบบที่ตัวเองทำประจำคือ ปรับเบาะคนขับไว้ตำแหน่งที่ตัวเองขับถนัด แล้วย้ายไปนั่งข้างหลัง บางคนอาจจะว่าบ้า เพราะปกติคนตัวใหญ่ขนาดผมไม่มีใครเขานั่งหลังอยู่แล้ว..วิธีอาจจะไม่ถูกต้อง 100% แต่เป็นวิธีที่แฟร์ครับเพราะทำแบบเดียวกันในรถทุกคัน ซึ่งเมื่อลองกันแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดครับว่า E 300 e นั่งหลังแล้วไม่สบายเท่า 530e อย่างแรกเลยคือเนื้อที่เหยียดขาน้อยกว่า ใน BMW ผมสามารถนั่งเอาเข่าสองข้างชิดแล้วยังมีที่ระหว่างเข่ากับเบาะหน้า ใน Mercedes-Benz ถ้าทำแบบเดียวกัน เข่าถูเบาะหน้าครับ ส่วนเนื้อที่เหนือศีรษะ ถ้านั่งแบบหลังตรงชิดพนัก ใน BMW ผมจะยังมีเฮดรูมเหลือ ในขณะที่ในเบนซ์นั้น หลังหัวผมจะชนกับหลังคารถก่อน ไม่สามารถพิงลงไปยังหมอนรองหัวได้ ตัวเบาะก็ออกแนวแข็งๆ นุ่มแค่เปลือกนอกบางๆ ดันหลังตอนล่าง และตอนบนในสไตล์เดียวกับ BMW

ดังนั้น ถ้าคุณมีไซส์ตัวปกติ สูงไม่เกิน 180 ซม. คุณอาจจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณตัว 5XL แบบผมแล้วอยากได้เก๋งยุโรปไว้นั่งเบาะหลัง BMW ดูจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า แต่ถ้าดูในรูปข้างบนแล้วเห็นว่า เอ้า Legroom ก็ดูกว้างนี่หว่า..คือในรูปนั้นผมปรับเบาะไว้ตำแหน่งคนปกติขับ เพื่อการถ่ายภาพครับ

สำหรับคนที่นั่งเบาะหลัง E 300 e ก็มีม่านชักด้วยมือที่ประตูสองข้าง และม่านไฟฟ้าสำหรับกระจกบานหลังมาให้ มีเครื่องปรับอากาศที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ แต่ในขณะที่ 530e M Sport นั้นคนนั่งหลังจะสามารถแยกปรับร้อน/เย็นต่างกันได้สองฝั่ง ของเบนซ์นี่คุณต้องรวมใจภักรักความเย็นระดับเดียวกัน อย่างไรก็ตาม E 300 e ก็มีจุดเด่นกว่า BMW ตรงที่หลังคาของมันเป็นแบบ Semi-panoramic ซึ่งแม้จะมีเสาคั่นกลาง แต่หลังคาเหนือหัวคนนั่งหลังก็มีช่องให้แหงนมองเครื่องบินได้อยู่ ในขณะที่ 530e จะเป็นมูนรูฟเจาะช่องเฉพาะผู้โดยสารตอนหน้า

ฝากระโปรงท้าย เปิดด้วยไฟฟ้า กดจากในรถ หรือกดที่ Smart key ก็ได้

ห้องเก็บสัมภาระ มีความจุ 370 ลิตร..ก็ใหญ่ประมาณ Toyota C-HR ล่ะครับ มันยังมีพื้นที่ให้ใส่ถุงกอล์ฟไปออกรอบกับเพื่อนได้อยู่ แต่เนื่องจากต้องเจียดพื้นที่ให้กับแบตเตอรี่ไฮบริด ทำให้ต้องทำห้องเก็บสัมภาระเป็นขั้นบันไดอย่างที่เห็น ในรุ่น E 220 d ที่ท้ายเรียบ จะมีความจุถึง 540 ลิตรเลยทีเดียว ส่วน 530e ที่เป็นรถถ่านเหมือนกัน จุ 410 ลิตร เบาะหลังของ E 300 e รุ่นนี้เป็นแบบแยกพับได้ 60/40 โดยมีคันโยกอยู่ในห้องเก็บสัมภาระหลังตอนบน ส่วนพื้นที่ข้างใต้ห้องเก็บสัมภาระก็จะไม่มียางอะไหล่ เพราะเบนซ์ติดตั้งยาง Run-flat มาให้อยู่แล้ว จึงมีแต่พวกอุปกรณ์ชาร์จ Type 2 มาให้เท่านั้น

บรรยากาศภายใน แม้จะมีแดชบอร์ดส่วนหลักเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนรายละเอียดหลายจุด สิ่งที่เห็นได้ชัดสุดคือพวงมาลัย Super Sport ท้ายตัดที่มาแนวแปลก เป็นก้านคู่ สามก้าน ทำให้สวิตช์มัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัยมีหน้าตาแปลกไป แต่ตำแหน่งของปุ่มต่างๆยังคล้ายเดิม วัสดุตกแต่งคอนโซลบางจุดถูกเปลี่ยน จากของเดิมที่มีการใช้วัสดุคาร์บอนขัดเงาวางแนวยาวซ้ายจรดขวาไปจนถึงแผงประตู และใช้วัสดุสีดำเงาที่คอนโซลกลางตอนล่าง คราวนี้กลายเป็นลายไม้ด้าน “Black Ash” ซึ่งดูไม่ล้ำยุคแอบซิ่งเท่าเก่า แต่เวลาเอานิ้วไปโดนก็ไม่มีรอยนิ้วมือหลงเหลือ ได้อย่างเสียอย่าง

นาฬิกาแบบเข็ม ซึ่งอยู่บนคอนโซลกลางตอนล่างใน W213 มาห้าปี หายไปแล้ว กลายเป็นตำแหน่งดำๆว่างๆ แทน ตรงนี้ทำให้ความหรูแนวรถอิตาเลียนหายไปเหมือนกัน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้งานเท่าไหร่ เพราะเวลาขับรถ ผมก็มองนาฬิกาดิจิตอลบนจอกลาง ซึ่งอยู่ใกล้ระดับสายตามากกว่า

บนแผงประตู มีสวิตช์ปรับเบาะ (สวิตช์สำหรับกดเพื่อปรับเบาะซ้ายหายไปละ) สวิตช์ล็อค/ปลดล็อคประตู และชุดคุมกระจก/กระจกมองข้างไฟฟ้า ปุ่มสำหรับเปิดฝาท้ายจะอยู่ด้านล่างลงมาตรงที่วางแก้ว ถัดมาใต้ช่องแอร์ขวา จะมีสวิตช์ลูกบิดสำหรับไฟหน้า และสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า ไม่ต้องมองหาสวิตช์ Auto Brake Hold นะครับ เพราะระบบของเบนซ์นั้น เวลาต้องการใช้ Brake Hold คุณแค่หยุดรถให้สนิทก่อน จากนั้นกดแป้นเบรกซ้ำลงไปลึกๆหน่อย ไฟหน้าปัดจะโชว์ว่าระบบทำงาน ถอนเท้าออกได้ ข้อดีคือคุณไม่ต้องควานหาสวิตช์ แต่ข้อเสียคือทุกครั้งที่คุณกดคันเร่งออกรถไป เวลาจะหยุด ก็ต้องมากดซ้ำแบบเดิม

คันเกียร์ ติดอยู่กับคอพวงมาลัยด้านขวา คนที่ชินรถญี่ปุ่นมาขับ เวลาถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายจะเผลอไปกดคันเกียร์เป็น N ได้เหมือนกัน แต่พอชินแล้ว มันก็จะสบายเพราะอยู่ใกล้มือ และยังทำให้มีที่เหลือตรงคอนโซลกลางตอนล่างไปใช้ทำอย่างอื่นได้ ก้านไฟเลี้ยวอยู่ด้านซ้ายมือ ส่วนระบบปัดน้ำฝน ให้ใช้วิธีหมุนปลายก้านไฟเลี้ยวนั่นล่ะครับ

บนพวงมาลัยก้านซ้ายและขวาจะมีปุ่มให้เอานิ้วสไลด์สำหรับคุม/เลือกการแสดงผลจอกลาง/หน้าปัด ซึ่งไอ้รุ่นเก่ามันก็เป็นสวิตช์คล้ายๆกัน แต่ปัญหาคือในรุ่นใหม่นี้ผมมีปัญหากับการสไลด์มาก ถูตรงนั้น..เอ้า จอไม่เลื่อน เอ้างั้นถูกตรงนี้..ไม่เลื่อนอีกวุ้ย ถูไปถูมาดีไม่ดีขึ้นมาเป็นเลขเอาไปแทงหวยได้อีก วุ่นวายอยู่นานกว่าจะถูแล้วทำตามสั่ง จะเป็นความผิดว่านิ้วผมอวบก็ไม่น่าใช่เพราะรุ่นที่ผ่านๆมาผมไม่เคยมีปัญหา

ถ้าคุณมองหาสวิตช์สำหรับปรับระยะห่างรถคันหน้าสำหรับระบบ Distance Pilot DISTRONIC ว่าอยู่ตรงไหน ก็ต้องเรียนแจ้งว่ารุ่นไมเนอร์เชนจ์ เขาถอดออก กลายเป็น Cruise Control แบบธรรมดาไม่แปรผัน ฮะ…เอาจริงดิพี่ เล่นซะผมงงจนเกาหัวหยิกๆไปถามเจ้าหน้าที่เบนซ์ว่าพี่จะเอาออกทำไมอ่ะครับ รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์มันมีของมันก็ดีอยู่แล้ว

แล้วพอทราบเหตุผล ผมยิ่งกุมขมับหนักเลย..คือ ไม่ใช่ว่าเบนซ์ประเทศไทยเลือกที่จะเอาออกนะครับ แต่เพราะประเทศไทย เม็กซิโก และออสเตรเลียใช้แผ่นป้ายทะเบียนแบบแคบและสูง ทำให้ต้องออกแบบแผ่นรองทะเบียนเฉพาะตัว ซึ่งเมื่อติดตั้งเข้าไปแล้ว มันบังระบบเรดาร์ข้างใต้กันชนในลักษณะที่ส่งผลให้ระบบ Adaptive ใช้งานได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่ปลอดภัย 100% เขาเลยถอดออก ดังนั้นไม่ใช่เฉพาะบ้านเราครับ รถ E-Class ไมเนอร์เชนจ์ในสามประเทศนี้ ณ ปัจจุบันก็เจอปัญหาเดียวกัน และดูเหมือนเมืองแม่จะไม่ได้ซีเรียสกับปัญหานี้ด้วย เพราะรถ E-Class รุ่นสูงๆในสามประเทศนี้ ยอดขายรวมๆก็ไม่ได้เยอะจนเขาต้องรีบแก้เพื่อเอาใจตลาด ก็อาจจะต้องรอการปรับปรุงและทดสอบแผ่นรองทะเบียนให้มันปลอดภัย 100% เสียก่อน อาจจะใน Model Year 2022 ที่เราจะได้ใช้ E 300 e พร้อม Adaptive Cruise Control กัน

ส่วนสวิตช์อื่นๆบนคอนโซลกลาง แม้ว่าเบนซ์จะเน้นขายจอและระบบทัชสกรีน แต่บางฟังก์ชั่นก็ยังสามารถกดผ่านสวิตช์แบบปกติได้ เช่นระบบเสียง และระบบปรับอากาศ รถสมัยใหม่บางรุ่น บ้าเห่อจอทัชสกรีนมากจนถ้าจอดับไปจะปรับแอร์ไม่ได้เลย แบบนั้นผมว่าไม่สมควร ใครจะไปรู้ว่าจอจะพังวันไหน

ที่คอนโซลตอนล่างมีฝาเปิด ซึ่งเมื่อเปิดออกจะเป็นช่อง Wireless Charger ซึ่งผมทดลองเอา iPhone SE ชาร์จได้ไม่มีปัญหา และยังมีช่อง Power Outlet กับช่อง USB Type C มาให้ ถ้าช่องนี้ถูกใช้ไป ก็ยังมีช่องข้างในที่เก็บของใต้พนักเท้าแขนอีก แต่ต้องจำไว้ว่าเดี๋ยวนี้รถเยอรมันจะชอบใช้ช่องเสียบ Type C กัน อย่าเอา USB หัวแบบเก่ามาล่ะเดี๋ยวจะเก้อ หรือถ้าคุณชอบพกเพลงใส่ USB drive แบบคนหัวโบราณอย่างผม ก็ไปหาซื้อไอ้แบบที่มันมีทั้งหัวแบบเก่าและ Type C ในอันเดียวกัน เวลาย้ายรถก็ใช้อันเดียวนี่ล่ะ

สวิตช์ COMAND Controller แบบเดิม ถูกแทนที่ด้วย Touchpad แบบใหม่ ผมชอบแบบเดิมที่มีทั้ง Touchpad ด้านบน มีปุ่มหมุนด้านล่าง คือถนัดยังไงก็ใช้อย่างนั้น แต่ Mercedes-Benz เอาปุ่มหมุนออก ไม่ใช่ว่าจะเซฟต้นทุนนะครับ แต่เพราะรถรุ่นใหม่ๆนั้นจอกลางเปลี่ยนเป็นทัชสกรีนกันหมดแล้ว เรื่องอะไรต้องเอามือมาคลำๆหมุนๆปุ่มล่ะก็ทิ่มหน้าจอมันไปสิ พอเอาปุ่มหมุนออก ไหนๆแล้วก็ขยายขนาดตัว Touchpad และปรับให้องศาราบขึ้น เวลาเอานิ้วถูเลื่อนไปมา เข้าเมนูหัวข้อต่างๆก็จะมีอาการสั่นเบาๆ (Haptic response) ให้รู้สึก

ชุดสวิตช์ที่ขนาบข้าง ก็เกือบเหมือนเดิม ฝั่งขวา มีสวิตช์ปรับเสียงวิทยุ สวิตช์ดับจอ และสวิตช์ม่านไฟฟ้าหลัง แต่ด้านขวานั้น นอกจากจะไม่มีปุ่ม M สำหรับการคาเกียร์ Manual Mode (ซึ่งรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ก็ไม่มี) สิ่งที่หายไปคือปุ่มสำหรับกำหนดโหมดการทำงานของระบบไฮบริด เดี๋ยวเรื่องนี้จะไปว่ากันในหัวข้อวิศวกรรมจะได้อธิบายทีเดียวยาวๆ

จอกลางขนาด 12.3 นิ้วเท่าเดิม แต่ในรถรุ่นใหม่นี้ เปลี่ยนระบบปฏิบัติการใหม่ เรียกว่า MBUX 6.0 ซึ่งนอกจากจะมีกราฟฟิกหน้าจอต่างๆที่ดูทันสมัยขึ้นแล้ว ยังมีโปรแกรมจดจำ User Profile ที่ละเอียดกว่าเดิม ซึ่งระบบจะจดจำจากสมาร์ทโฟนของผู้ขับแต่ละคน หรือถ้าใช้ไม่ได้ก็เลือก User จากหน้าจอ รถจะจำแม้กระทั่งสถานีวิทยุโปรด วิธีการเซ็ต Equaliser ของเครื่องเสียง โทนสีของ Ambient Light นอกจากนี้ ระบบจะพยายาม “จำ” พฤติกรรมของคุณ เช่น ชอบฟังเพลงแบบไหน ขับรถแบบไหน (แต่ต้องตั้งให้ฟังก์ชั่น Allow Suggestion ทำงานนะครับ) ยิ่งคุณอยู่กับรถนานไป มันก็จะพยายามคาดเดาและนำเสนอสิ่งต่างๆให้กับคุณ มันอาจจะเสนอขายประกันกับบัตรเครดิตให้คุณไม่ได้ แต่มันทำได้ดีกว่าจอเวอร์ชั่นก่อนๆแล้วกัน

ที่จอกลางนี้ คุณสามารถเปิดใช้ฟังก์ชั่น Seat Kinetic ซึ่งดูเผินๆจะนึกว่าเบาะนวด..จริงๆแล้วไม่ใช่ครับ แต่เป็นการขยับตัวเบาะไปมา ยกรองน่องบ้าง ปรับพนักพิงตั้งขึ้นนิดๆบ้าง เอาไว้ใช้แก้เมื่อยเวลาขับทางไกล และระยะที่มันขยับก็จะไม่เยอะจนส่งผลร้ายต่อการควบคุมรถ

หน้าจอแสดงค่าได้หลากหลายมาก ถ้าให้ไล่ดูทีละจอคงยาวกว่ารีวิวแน่นอน แต่พวกข้อมูลประเภท Energy Flow ของระบบไฮบริดนั้น มีให้อยู่แล้ว และสิ่งที่ชอบคือ ในรถไฮบริดรุ่นก่อนๆที่ใช้ Operating System แบบเก่า พวก Power Meter, Oil Temp จะไม่มีมาให้ (แต่รถเบนซินกับดีเซล มี) คราวนี้ใน MBUX 6.0 ใหม่ เรียกดูได้ทั้งหมดเหมือนรุ่นสันดาปภายใน และเพิ่มระบบ Voice Command สามารถสั่งการด้วยคำสั่งเฉพาะสำหรับรถไฮบริดอีกด้วย

ระบบปรับอากาศ 3 Zone ที่ยังมีนิสัยเดิมๆแบบเบนซ์ๆ ในการชอบตัดระบบหมุนเวียนอากาศในห้องโดยสาร แล้วเอาอากาศอันโคตรสุดแสนจะบริสุทธิ์จากข้างนอกเข้ามาเองทุกๆ 20-30 นาที เป็นมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ยอมเปลี่ยนสักที เมืองไทยโดยเฉพาะเขตเมืองใหญ่นั้นกลิ่นควันไอเสียรุนแรงมาก แล้วเราก็ต้องคอยมากดปุ่ม Recirculate เมื่อได้กลิ่นควัน ผมไม่ค่อยปลื้มครับ

กล้องรอบคัน มีมาให้ แต่มีการปรับปรุงกราฟฟิคการแสดงผลแบบใหม่ อย่างในรถรุ่นเก่า Parking Sensor จะแสดงค่าบนจอเป็นเหมือน Barrier รอบตัวรถ ตรงไหนที่เฉียดอะไร มันก็จะใช้สีในการบอก ยิ่งเฉียดเสา ก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ในรถรุ่นใหม่นี้ Barrier ของโซนาร์จะเปลี่ยนทรงไป เป็นเส้นบางๆที่เมื่อคุณถอยใกล้เสา เส้นนั้นก็จะเว้าเป็นรูปทรงเดียวกับเสา และยังใช้สีส้มหรือแดงไว้คอยเตือนว่าคุณเข้าไปเฉียดตรงนั้นมากขนาดไหน

ตัวเส้นกะระยะ นอกจากจะบิดตามองศาพวงมาลัยแล้ว กล้องส่องหลังของ E 300 e AMG Dynamic นี่ สามารถกระดิกเพื่อปรับมุมส่องทางให้เห็นถนัดได้อีกด้วย

ส่วนระบบเครื่องเสียงที่ให้มา เป็น Burmester Premium Sound System ซึ่งแม้จะไม่ให้มิติเสียงอลังการแบบ Bower & Wilkins ใน Volvo S80 ที่ผมเคยฟังมา ก็ยังถือว่ามีความใสของเสียงแหลมดี แต่เสียงช่วงกลางจะมาแปลกๆ ผมใช้เพลงเดียวกับที่ทดสอบรถคันอื่นๆ พบว่าเสียงเครื่องดนตรีแบบเขย่าบางอย่างเบา ไม่ค่อยชัด แต่เสียงดนตรีคอรัสบางช่วงที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี กลับได้ยินชัดในเครื่องเสียง E 300 e คันนี้ แต่โดยรวม ผมชอบเสียงสไตล์ค่อนข้างชัด แต่เก็บครบของ Harman Kardon ใน 530e M Sport มากกว่าอยู่นิดหน่อย

ภายในตอนกลางคืน คือจุดขายของ E-Class W213 มาตั้งแต่เปิดตัว ด้วยไฟตกแต่ง Ambient Light สร้างบรรยากาศ Lounge ชั้น First Class ทำให้ห้องโดยสารดูไม่น่าเบื่อในยามค่ำคืน คุณสามารถเลือกได้ 64 สี แต่ถ้าวันนี้คุณยังไม่พร้อมจะเป็นอาจารย์เฉลิมชัย ก็ให้เลือกเอาจากค่าสีที่เขาทำ Preset ให้เอาไว้ ก็สะดวกดี ส่วนของ BMW ถ้าจำไม่ผิดจะมีค่าสีที่ Preset ไว้เท่านั้น..เลือกได้หลายแบบ แต่ไม่ละเอียดถึงขนาด 64 สีแบบเบนซ์

และถ้าเกิดคุณรำคาญแสดงเหล่านี้ ก็ยังสามารถปรับความสว่าง/มืดของไฟได้ตามต้องการ

โดน BMW เล่นไปหลายดอกละเรื่องภายในน่ะ..แต่ชุดมาตรวัด คือจุดที่ผมชูแขนให้เบนซ์ชนะแบบไม่ต้องสงสัย จอขนาด 12.3 นิ้วตรงหน้านี่ คุณสามารถปรับเลือกการแสดงค่าได้หลากหลาย ทั้งเรื่องสีสันหน้าตา และข้อมูลที่นำมาแสดง รถรุ่นเดียวที่ผมเคยขับแล้วปรับจอได้มากแบบจนผมเหนื่อยกว่าเบนซ์ คือ Ford Mustang รุ่นปัจจุบัน นอกนั้นไปแล้วหาใครมากินจอสีของเบนซ์ได้ยาก จอของ BMW Live Cockpit Professional นั้น ผมว่าใช้ความเป็นจอสีไม่คุ้ม ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ขับจัดการแสดงข้อมูลเท่าที่ควร แถมยังล็อคธีมสีต่างๆกับโหมดที่เลือก ในขณะที่ของเบนซ์นั้น หน้าปัดก็คือหน้าปัด โหมดขับเคลื่อนก็คือโหมดขับเคลื่อน แยกกัน

จากภาพชุดด้านบน คือธีมดีไซน์หลักที่คุณสามารถเลือกได้ ไล่จากแบบ Classic ที่ผมชอบที่สุด, Sport ที่ให้เลขสีส้ม, Progressive ที่เน้นความล้ำยุค และท้ายสุดคือแบบ Understate ซึ่งตัดแสงสีและการแสดงค่าที่ไม่จำเป็นออกให้หมด เพื่อให้ดูง่ายไม่ทรมานตา แถมนาฬิกาใหญ่บิ๊กบึ้มจนอาม่ามองจากนอกรถ 50 หลาเข้ามายังบอกได้ว่ากี่โมง

ซึ่งรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ถ้าจำไม่ผิด หน้าตาและฟังก์ชั่นคล้ายกัน ยกเว้นโหมด Progressive ที่มีดีไซน์สีสันออกไปเหมือนกับของ C 300 e ซึ่งแสดงจอแบบสองเบ้า ในขณะที่รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์จะมีวัดรอบใหญ่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยข้อมูลอื่นๆ เหมือนโหมด Progressive ของ C43 AMG

ยังครับ..ยังไม่จบ

นอกจากเลือกธีมสีที่คุณชอบแล้ว คุณยังสามารถใช้ปุ่ม Home และสวิตช์นิ้วสไลด์บนพวงมาลัย เลื่อนเพื่อเลือกว่าจะเอาข้อมูลอะไรมาแสดง เลือกได้ยิ่งกว่าผักและซอสในร้าน Subway เสียอีก ผมอาจจะเลือกหน้าปัดสไตล์คนแก่ แต่โชว์ G-Force Meter ก็ได้ หรือเลือกหน้าปัดสไตล์ซิ่ง แต่โชว์แผนที่หรือมาตรวัดอัตราการสิ้นเปลืองก็ได้ นอกจากนี้แล้วยังกด Full Display เพื่อเข้าโหมดขยายพื้นที่การแสดงข้อมูลเต็ม ยิ่งกดแล้วยิ่งทำให้ดูเหมือนยานอวกาศมากกว่ารถขึ้นไปทุกที

ใน E 300 e AMG Dynamic นี้ คุณจะได้จอ Head Up Display มาด้วย ซึ่งมันก็ไม่ได้ขึ้นมาสักแต่โชว์ความเร็วแบบโง่ๆ คุณสามารถใช้จอกลางเลือก Settings>HUD ในการเข้าปรับตำแหน่ง ความสูงของภาพที่ฉาย และในโหมด Settings นี้ คุณก็ใช้สวิตช์นิ้วสไลด์บนพวงมาลัย ปรับเลือกได้อีกว่าจะให้มันโชว์ค่าอะไรบ้าง

โดยสรุปเรื่องของภายใน เทียบกับ 530e M Sport ทาง BMW ได้เปรียบเรื่องการปรับเบาะ เรื่องพื้นที่โดยสาร ตำแหน่งการขับ ส่วนเบนซ์ ได้เรื่องหลังคา Panoramic ที่มีพื้นที่กระจกเยอะกว่า หน้าปัดดีกว่า และเบาะที่มี Memory ให้ทั้งสองฝั่ง ส่วนเรื่องระบบช่วยเหลือเพื่อความสะดวก เช่นระบบจอดรถนั้น ของเบนซ์ก็ได้รับการพัฒนาจนสามารถถอยเข้าซองได้แม้ไม่มีรถอื่นจอดเพื่อเป็น Point of Reference ให้ เพราะระบบจะอ่านจากเส้นแบ่งช่องจอดเอา ..แต่ถ้าไม่มีรถอื่นจอดคุณก็ควรถอยเข้าเองได้ป่ะวะ

ระบบอีกอย่างที่ BMW มีก็คือ Reverse Assistant ซึ่งจำการเลี้ยวของพวงมาลัย และทำให้คุณถอยหลัง 50 เมตรได้โดยล้อจะบิดเลี้ยวให้เอง ซึ่งคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้ ยกเว้นวันไหนที่ Google Map พาไปเข้าซอยแคบและตันแบบไม่มีที่กลับรถ

****รายละเอียดทางวิศวกรรม****

เรามาพูดถึงกันที่ละส่วน คือ เครื่องยนต์ มอเตอร์ และเกียร์

เครื่องยนต์สันดาปภายในของ E 300 e ยังคงใช้แบบเดียวกันกับ E 350 e ซึ่งมีรหัสว่า M274.920 แต่มีการปรับจูนเพิ่มเล็กน้อย ตัวเครื่องมาในแบบเบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว เพลาราวลิ้นคู่ เทอร์โบชาร์จเดี่ยว อินเตอร์คูลเลอร์ระบายความร้อนด้วยน้ำ และแคมชาฟท์แปรผันทั้งฝั่งไอดี/ไอเสีย ความจุ 1,991 ซี.ซี. จากขนาดปากกระบอกสูบ 83.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 : 1  กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 4,000 รอบ/นาที

ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้านั้น คือส่วนที่ต่างจาก E 350 e โดยเป็นมอเตอร์ไฮบริด Generation ที่ 3 ปรับปรุงการทำงานใหม่ ชุดตัดต่อกำลังไฟฟ้า ของเดิมใน E 350 e จะเป็น Wet Clutch ล้วน แต่ใน E 300 e จะมีการเพิ่มชุดทอร์คคอนเวอร์เตอร์เฉพาะสำหรับรองรับการตัดต่อกำลังจากมอเตอร์ ส่งผลให้สามารถทำงานได้นุ่มนวลขึ้น มอเตอร์ใหม่นี้ มีแรงม้าเพิ่มจากเดิม 41 แรงม้า และมีแรงบิดเพิ่มเติมจากเดิมอีก 100 นิวตันเมตร โดยรวมแล้วกำลังเฉพาะจากมอเตอร์ไฟฟ้าของ E 300 e จึงมากถึง 122 แรงม้า และ 440 นิวตันเมตร

เมื่อกดคันเร่งเต็ม ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ทำงานพร้อมกันเรียกพลังสูงสุดได้ 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร!

ระบบส่งกำลัง เป็นแบบ 9 จังหวะ 9G-TRONIC รหัสโค้ดเกียร์ตามโรงงานเบนซืคือ 725.017 สอดมอเตอร์ไฟฟ้าเอาไว้ตรงก่อนห้องเฟืองเกียร์ ทำให้เคสเกียร์ของรถ Plug-in นี้ ยาวขึ้นกว่าเกียร์ของ E 220 d อยู่ 108 มิลลิเมตร

อัตราทดเกียร์เท่ากับ C 300 e และ E 220 d รวมถึงเบนซ์อีกหลายรุ่น แล้วมาทดความต่างกันที่เฟืองท้าย โดยมีข้อมูลดังนี้

  • เกียร์ 1  = 5.354
  • เกียร์ 2 =  3.243
  • เกียร์ 3 = 2.252
  • เกียร์ 4 = 1.636
  • เกียร์ 5  = 1.211
  • เกียร์ 6  = 1.000
  • เกียร์ 7  = 0.865
  • เกียร์ 8  = 0.717
  • เกียร์ 9  = 0.601
  • เกียร์ถอยหลัง  4.798
  • อัตราทดเฟืองท้าย  2.82

ถ้าเป็น E 220 d ก็จะใช้เกียร์ที่มีอัตราทดต่างๆเท่ากัน ความต่างไปอยู่ที่เฟืองท้าย ซึ่ง E 220 d จะใช้เฟืองที่ทด 3.07

แบตเตอรี่ของ E 300 e เป็นแบบเดียวกับ C 300 e คือ ลิเธียม-ไออ้อน ความจุพลังไฟ 13.5 kWh วางแบตเตอรี่เอาไว้ระหว่างล้อคู่หลัง

พูดเรื่องโหมดการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์..ตรงนี้ต้องบอกเพราะมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ จากเดิมที่ E 300 e จะใช้โหมดการขับ “Dynamic Select” (เช่น Eco, Comfort, Sport, Sport +, Individual) แยกกันกับโหมดการทำงานของระบบไฮบริด (เช่น Hybrid, E-Mode, E-Save, Charge) ทำให้มีสวิตช์แยกสำหรับสั่งการในแต่และอัน แต่พอมาเป็นรุ่นหลังๆอย่าง GLC 300 e, E 300 e ไมเนอร์เชนจ์ หรือเบนซ์รุ่นใดก็ตามที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MBUX 6.0 นับแต่นี้เป็นต้นไป จะรวบเหลือปุ่มเดียว คือสั่งทุกอย่างผ่าน Dynamic Select เท่านั้นเลย จากเดิม 5 Drive Modes + 4 Hybrid Modes รวบเหลือ 6 Drive Modes

  • ECO – เน้นประหยัด แต่ยังอนุญาตให้เครื่องยนต์ทำงานเมื่อจำเป็น
  • Comfort – เน้นสบาย ขับขี่แบบปกติ
  • Sport – เมื่อใส่โหมดนี้ เครื่องจะติดตลอด และคารอบไว้สูงกว่าปกติ คันเร่งตอบสนองไวขึ้น
  • Individual – ปรับตามค่าที่ผู้ขับเลือกไว้ เช่นน้ำหนักพวงมาลัยอาจจะให้หนักแบบ Sport แต่การตอบสนองคันเร่งเป็น Comfort แยกกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าให้เกียร์อยู่ใน Manual Mode ตลอดก็ได้
  • Battery Level – เมื่อกดแล้วรถจะพยายามรักษาระดับไฟในแบตเตอรี่เอาไว้ให้เท่าเดิม สมมติว่ากดตอนแบตเตอรี่เหลือ 30% มันก็จะพยายามรักษาไฟในหม้อให้อยู่ระดับ 28-31% ตลอดเวลา เช่นเมื่อวิ่งทางไกลกลับบ้านมาดึกๆแล้วกลัวเสียงเครื่องปลุกใครตื่น ก่อนถึงที่หมาย เมื่อแบตเตอรี่เหลือสัก 15% ก็กด Battery Level เซฟไฟเอาไว้ใช้ตอนจำเป็นได้ จะว่าไป ก็คือโหมด E-Save ของระบบในรถรุ่นเก่านั่นล่ะ
  • Electric – บังคับให้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

เท่ากับว่า เมื่อคุณลองไล่เทียบดูดีๆ ก็จะมีโหมด Sport + กับฟังก์ชั่นบังคับชาร์จไฟกลับแบตเตอรี่ที่หายไป ไอ้อย่างแรกผมพอรับได้ แต่อย่างหลังนี่ผมงงว่าจะเอาออกไปทำไม รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ก็มีให้ เท่าที่ถามทางเบนซ์มา ได้ความว่าเวลาแบตเตอรี่หมดลง แล้วต้องใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนพร้อมกันกับการชาร์จไฟไปด้วย มันจะปล่อยมลพิษเยอะ ดังนั้นถ้าแบตเตอรี่หมดก็ใช้เครื่องเบนซินเพียวๆวิ่งไป CO2 ออกมาจะน้อยกว่าการวิ่งเพื่อปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่แล้วเอาไฟฟ้านั้นมาขับเคลื่อนรถในภายหลัง

ถ้าคุณต้องการชาร์จไฟกลับจะทำยังไงล่ะ? ก็ต้องเข้าโหมด Sport ก่อน เพื่อกันไม่ให้รถตัดไปเข้า Electric Mode จากนั้นก็พยายามวิ่งไปสักพัก รถจะพยายามปั่นไฟกลับให้แบตเตอรี่ได้ไฟ 8-9% อย่างเร็ว เพื่อให้มีสำรองไว้พอสำหรับการบู๊หรือแซงเร็ว แต่หลังจากนั้นมันจะปั่นป้อนบ้างไม่ป้อนบ้าง จนถึงประมาณ 13-16% แล้วระดับก็จะอยู่เช่นนั้นตลอด ไม่ยอมให้ชาร์จเพิ่ม พูดง่ายๆคือ คุณไม่สามารถสั่ง E 300 e ไมเนอร์เชนจ์ให้ใช้เครื่องยนต์ชาร์จไฟกลับจนได้แบตเตอรี่มากไปกว่า 20% คนของเบนซ์ลองพยายามเองก็ยังได้กันแค่ 17-18% มากสุด

ตรงนี้ผมไม่ค่อยปลื้ม ถ้าจะรักโลกก็เรื่องนึง แต่บางครั้งเราก็อยากจะสั่งให้มันชาร์จไฟสำรองไว้ใช้เมื่อจำเป็น อย่างโปรแกรมของคู่แข่งอย่าง BMW นั้นคุณสามารถกำหนดได้เลยว่าจะให้ระบบชาร์จไฟกลับจนได้ความจุกี่เปอร์เซ็นต์ด้วยฟังก์ชั่น Battery Control

 

 

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียน ผ่อนแรงด้วยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า เป็นแร็คธรรมดาที่ปกติก็จะแปรผันน้ำหนักพวงมาลัยตามความเร็วอยู่แล้ว แต่ไม่ได้มีระบบแปรผันอัตราทด หรือระบบเลี้ยว 4 ล้อแสนกลอะไร ระบบเบรกเป็นดิสก์ 4 ล้อพร้อมเบรกมือไฟฟ้าและระบบ Brake Hold แต่อย่างที่เห็นในรูปข้างบน ก็เจออีกจุดว่า ระบบเบรกมันดูหน้าตาธรรมดา ในขณะที่ E 300 e AMG Dynamic รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ จะเป็นคาลิเปอร์ปั๊มโลโก้ Mercedes-Benz และจานเบรกแบบมีครีบ เจาะรู ในขณะที่รุ่นใหม่นี้หน้าตาเบรกน่าจะเหมือนของตัว Avantgarde

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์ (Four-link) พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์ (Five-link) พร้อมเหล็กกันโคลงเช่นกัน รองรับน้ำหนักตัวรถด้วยสปริงเหล็กปกติ และโช้คอัพ ซึ่งเซ็ตมาเป็นแบบ Comfort Spec เบนซ์ทยอยเลิกใช้ช่วงล่างถุงลม AIRMATIC ใน E-Class นับตั้งแต่ E 350 e รุ่นปี 2019 (ยกเลิกในรุ่นย่อย Avantgarde และ Exclusive) แล้ว E 300 e ตั้งแต่เปิดตัว ก็เป็นช่วงล่างแบบสปริงเหล็กธรรมดานี้อยู่แล้ว

*****การทดลองขับ*****

ในทริปนี้ Mercedes-Benz เขานัดเจอนักข่าวสายรถยนต์กันที่สำนักงานอาคาร Mode Sathorn Hotel จากนั้นจับนักข่าวใส่รถคันละ 2-3 คน ให้ขับรถไปโรงแรมที่พัทยา ที่ซึ่งมี Mercedes-Benz GLE 300 de รุ่นใหม่จอดรถให้ทำข่าวอยู่ ขามา ผมให้พี่เติ้ล เกรียงศักดิ์ แห่ง Autostation ขับ ส่วนขากลับ ผมบินกลับเดี่ยวเพราะท่านเกรียงติดงานตอนเช้า จึงบินกลับกทม. ไปตั้งแต่ตอนกลางคืน ทางเบนซ์ไม่ได้ขออะไรมากนอกจาก “ช่วยคืนรถให้ที่สาธร ภายในบ่ายสอง” ดังนั้นหลังจากตื่นเสร็จ ผมก็นำรถมาจอดชาร์จไฟที่ใต้ถุนโรงแรม Renaissance ก่อน

แบตเตอรี่ เหลือ 0% ผมจึงต้องขอชาร์จ เพราะรู้ว่าระบบชาร์จไฟกลับขณะวิ่งของรถรุ่นนี้มันไม่ยอมชาร์จกลับให้เกิน 17-18% เมื่อเสียบปลั๊กตอน 8.15 น. ระบบแจ้งว่าด้วยแรงชาร์จ 3.4kWh แบตเตอรี่ผมจะเต็มหลัง 11.30 น. ซึ่งผมคงไม่รอนานขนาดนั้น จึงขึ้นไปทานข้าวแล้วลงมาปลดปลั๊กตอนที่มีพลังแบตประมาณ 30% ผมวิ่งโหมด Battery Level ไปพลางๆ เข้าลองถนนลองโค้งแถบเขาชีจรรย์และไร่องุ่น Silverlake ก่อน แล้วค่อยออกมาทดสอบอัตราเร่ง

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.

โหมด Comfort 6.2 วินาที

โหมด Sport 5.95 วินาที

อัตราเร่งแซง 80-120 กม./ชม.

โหมด Comfort 4.45 วินาที

โหมด Sport 4.12 วินาที

พละกำลังแรงบิด 700 นิวตันเมตร ทำให้รถมาดเรียบคันนี้ เผายางเป็นทางยาวแม้ว่าจะเปิด Traction Control แบบ Sport ไว้ก็ตาม ความโหดแบบดึงไม่รอเพื่อนยื้อของมอเตอร์พลังสูง บวกกับตัวเครื่องยนต์เทอร์โบ รับส่งช่วงกันอย่างไร้รอยต่อ ทำไมมันโหดอย่างนี้! มันรักโลกนะ แต่มันไม่รักยางเลย เผาทิ้งด้วยการฟรียาวตอนกดออกตัวเหมือนขับรถ V8 5.0-6.0 ลิตร และมีแรงดึงมหาศาล ถ้าแม่ยายจิบกาแฟอยู่ รับรองว่าแก้วกาแฟบินเข้าหน้าท่านอย่างแน่นอน แล้วดูเหมือนรถมันชอบให้ทำซ้ำๆด้วย เพราะผมลองจับอัตราเร่งอยู่หลายครั้ง Comfort 1 ครั้ง Sport 1 ครั้ง สลับไปสลับมาอย่างนี้ทั้งหมด 4 ชุด เหมือนยิ่งเล่นกับมัน ยางจะยิ่งจิกพื้นดี ตัวเลขมีแต่ดีขึ้น ดีขึ้นเมื่อเทียบกันแบบโหมดต่อโหมด

และนี่ก็ไม่ใช่แค่สิงห์ตีนต้นนะครับ ผมลองจับเวลาเล่นๆ 0-180 เจ้า E 300 e นี่ทำได้ในเวลาประมาณ 17.2 วินาทีเท่านั้้น ถ้านึกไม่ออกว่าเร็วขนาดไหน ก็เอาเป็นว่า CLA 35 รถเล็กไม่แบกถ่าน ตัวเบา ขับสี่ ถ้าไม่ล็อครอบออกตัว โดนคุณป้าแบกถ่านนี่ไล่บี้จนขี้พุ่งได้แน่นอน รวมถึง MINI JCW Countryman รุ่นใหม่ 306 แรงม้า ซึ่งจับเวลา 0-180 ตามหลังอยู่เกือบวิ

ใครรอเทียบกับ BMW 530e M Sport อยู่ไหมครับ? ขานั้น 0-100 ใส่ Sport  แล้ว แอบจมเบรกจมคันเร่งก่อนดีดออกด้วยแล้ว ยังได้ 6.5 วินาที อัตราเร่ง 80-120 เมื่อเปิดใช้งาน Xtraboost เรียกม้า 292 ตัวมาทำโอทีแล้ว ก็ยังตามหลังเบนซ์ซึ่งใช้ Comfort Mode อยู่ 0.2 วินาที และส่วนต่างจะเพิ่มเป็น 0.5 วินาทีถ้าเบนซ์เข้าโหมดสปอร์ต ส่วนอัตราเร่งช่วงปลาย ถ้ากดต่อ เบนซ์ก็ไปถึง 180 ได้ก่อนประมาณ 1 วินาที ถ้าให้ทดสอบบนพื้นฐานเดียวกัน เหมือนสมัยเป็น E 350 e อัตราเร่งสู้ 530e ตัว 252 แรงม้าไม่ได้ งวดนี้ป้าเลยกลับมาแก้แค้นได้สำเร็จ

วิธีเดียวที่ 530e จะวิ่งมองหน้าไปกับ E 300 e ได้ก็คือ ต้องเล่นตั้งแต่ออกตัวโดยใช้ Launch Mode ดีดออกพร้อมเปิด Xtraboost เท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไป ดาวสามแฉก “แดรก” หมดโต๊ะครับ

อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งทั้งหมดที่บอกไป ผมทำในจังหวะที่เครื่องยนต์ติดอยู่นะครับ ถ้าหากเป็นจังหวะจอดนิ่งที่เครื่องยนต์ดับอยู่แล้วกระแทกคันเร่งออก จะต้องรอปลุกเครื่องติดสักพักแล้วแรงถีบจึงจะมา คุณบวกเวลาไปอีกประมาณ 0.5 วินาทีได้เลย ทางที่จะทำไม่ให้เครื่องดับก็คือกด Sport Mode นั่นล่ะครับชัวร์สุด

แต่กับเรื่องช่วงล่างและการบังคับควบคุมล่ะ?

ก็เป็นไปตามที่คาดครับ ขุมพลังแรงทะลุครก แต่ช่วงล่างเซ็ตมาในสเป็คคุณป้า มันก็ไม่ได้ดังใจเท่าไหร่นัก

เมื่อเทียบกับ E 220 d SPORT โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่ผมนำมาขับเมื่อเดือนธันวาคม (ขับเสร็จ ทำคลิปเสร็จ รถตกรุ่นเลย เอ้า) พบว่า E 300 e ไม่ได้ให้ความมั่นใจมากเท่า เพราะแม้ด้านหน้ารถจะมีความหนึบปานกลางโดย E 220 d คุมอาการและตอบสนองคมกว่านิดๆ แต่ท้ายรถของ E 300 e นั้นมีอาการ Roll (ยวบซ้ายยาบขวาในแนวดิ่ง เหมือนเอาคนสองคนยืนท้ายคนละมุมแล้วผลัดกันกดท้ายลง) มากกว่า น่าแปลกมากที่รถสองคันภายใต้วิศวกรรมจากคอกเดียวกัน ช่วงล่างแบบ Comfort Setup เหมือนกันกลับนิสัยต่างกัน ใน E 220 d เมื่อเล่นโหดท้ายจะ Fishtailing (หยึยซ้ายหยึยขวาในแนวขนานพื้น เหมือนเอาสองคนมายืนท้ายรถคนละด้านแล้วออกแรงผลักที่ด้านข้างรถ ผลัดกันคนละที) ใน E 300 e นั้น Fishtailing น้อยลง แต่ Roll มากขึ้นแบบคนละเรื่อง

และเมื่อทุกอย่างมันมาเกิดที่ด้านท้าย มันก็ส่งผลต่อบอดี้รถทั้งคันแหละครับ อาการของรถจึงดีกว่า 530e ELITE รุ่นช่วงล่างนุ่ม แต่แพ้ 530e M Sport ที่มาพร้อมช่วงล่าง Adaptive สิ่งที่เบนซ์พอจะสู้ได้คือความนุ่มนวลที่ความเร็วต่ำ แต่ยิ่งบู๊ แสงแห่งชัยชนะยิ่งส่องไปที่ BMW มากขึ้น ผมลองหวดไป 180 กระทืบเบรกเหลือ 120 พร้อมหักเปลี่ยนเลน ในเบนซ์นี่ผมเกร็งมาก แต่ใน BMW มันก็เหมือนการแกะทอฟฟี่อม แบบนั้นเลย

มาถึงตรงนี้ต้องชี้แจงก่อนว่า การควบคุมการยวบตัวถัง เป็นคนละเรื่องกับการเกาะถนนนะครับ เกาะ คือยางสามารถยึดเกาะกับพื้นถนนแล้วเลี้ยวไปตามเราสั่ง ส่วนเรื่องคุมการยวบคือเรื่องของช่วงล่าง ถ้าคุณพูดเรื่องความเกาะ E 300 e พอสู้ BMW 530e ได้ครับ แต่การยวบของตัวถังนั้นยังมีมากในขณะที่ BMW ขับแบบเดียวกันเอาอยู่แทบทุกดอก

ระบบเบรก ที่ความเร็วต่ำ แป้นจะตอบสนองเหมือนฟองน้ำเก่าๆยู่ๆ เหมือนกดแป้นเปล่าๆ แต่มีก็แรงเบรกพอประมาณ แต่ช่วงครึ่งหลังไป แรงจับเบรกจะดี และมีแรงต้านเท้าสู้มากขึ้นแม้ความหนืดที่แป้นเบรกจะไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ตรงนี้อาจจะเป็นเรื่องของระบบเบรกไฟฟ้าแบบรถไฮบริดที่ต้องมีการแบ่งช่วงระหว่างการทำงานของระบบไฮดรอลิก และระบบนำพลังงานจากการเบรกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าป้อนกลับไปชาร์จ บางครั้งคอมพิวเตอร์มันก็กำหนดการทำงานไม่ได้ดังใจเรา และในช่วงความเร็วสูง เช่นตอนผมเร่งไป 200 แล้วเบรกกลับให้เหลือ 100 แม้ว่าลองทำ 3 ชุดติดกันยังไม่มีอาการเฟดให้เห็น แต่มันต้องใช้แรงกดเบรกค่อนข้างเยอะ ยังไม่ค่อยคมตามสั่งเท่าไหร่ เทียบกับ BMW ที่ความเร็วต่ำก็เบรกฟองน้ำเหมือนกัน แต่ช่วง 200-100 กระทืบเบรก 530e จะใช้แรงกระทืบน้อยกว่าเพื่อให้ได้แรงหน่วงเท่ากัน

ยังดีที่พวงมาลัยของ E 300 e เป็นแบบเบนซ์สมัยใหม่แล้ว อัตราทดไม่ยานเป็นนมยายทองประศรีแบบยุคเก่าก่อน เวลาเลี้ยวและคืน ยังมีแรงขืนดีดกลับให้รู้สึกสปอร์ตได้บ้าง น้ำหนักพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำนั้นเบาพอ และปรับความหนืดเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมในความเร็วสูง

ดังนั้น ลักษณะนิสัยของรถ คือเร่งไว ดึงหนัก โหด แต่เรื่องช่วงล่างกับเบรก ยังมีนิสัยแบบรถบ้านอยู่

ส่วนการขับขี่แบบปกติ ไม่เน้นบู๊ ผมพบว่าทั้งระบบเกียร์ การตัดต่อกำลังของระบบไฮบริด จนถึงการตอบสนองคันเร่งในโหมด Comfort นั้น มีนิสัยสุภาพเรียบร้อยขึ้นกว่ารถขุมพลัง “300 e” รุ่นอื่นๆ ใน C 300 e นั้น คันเร่งจะไว พยายามจะเอาเรื่องตลอดเวลา ใน GLC 300 e นั้นนอกจากคันเร่งจะไวแล้ว ระบบหน่วง Regenerative braking ยังทำงานแปลกๆ ทำให้เป็นรถที่ขับในเมืองแล้วเวียนหัวดึงหน้าๆหลังๆ แต่ใน E 300 e ดูเหมือนทุกอย่างจะถูกจูนให้มารองรับผู้ใหญ่ มีความเนียนในการส่งต่อกำลัง คันเร่งก็ตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ช่วงท้ายของทริป ผมวิ่งฝ่ารถติดแถบสีลม/สาธรดู ก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากเรื่องแป้นเบรกนั่นล่ะที่มันฟองน้ำฟ้องน้ำ เหยียบแล้วบางทีมีไหล บางทีมีหน่วง แต่ไม่ได้แย่ขนาดรำคาญ ช่วงล่างก็ทำมาเพื่อป้าอยู่แล้ว การซับแรงกระแทกที่ความเร็วต่ำ ดูจะนุ่มกว่า E 220 d เสียอีก ที่มันสะเทือนน่าจะเป็นเพราะยางบางกับล้อ 19 นิ้วมากกว่า ถ้าเป็นล้อ 18 กับยางนุ่มๆพรีเมียมก็คงสบายสุดไปเลย

เรื่องอัตราการสิ้นเปลืองนั้น ผมลองจับแบบ 2 ช่วง ในช่วงแรก ที่มีการลองใช้อัตราเร่งมาก และไม่ค่อยได้ใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน อัตราสิ้นเปลืองโหดสุดที่เจอคือ 9.3 กิโลเมตร/ลิตร แต่ในช่วงที่สอง ผมลองปรับไปโหมด Comfort แล้วให้ระบบสลับระหว่างไฟฟ้า/เครื่องยนต์เอง พยายามวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. นิ่งๆ แต่เนื่องจากแบตเตอรี่เหลือน้อยอาจจะไม่ค่อยได้ใช้โหมดไฟฟ้านานเท่าที่ควร แต่ก็ยังได้ 18.2 กิโลเมตร/ลิตรอยู่

ท้ายสุดเมื่อแบตเตอรี่หมดลง ผมลองวิ่ง 120 นิ่งๆ ใช้เครื่องยนต์ตลอดแบบ 100% ไม่มีไฟฟ้าเลย และก็ไม่ได้สั่งให้เครื่องชาร์จกลับด้วยเช่นกัน บางช่วงต้องมีเบรกและทำความเร็วกลับ เพราะคุณก็รู้ว่ามอเตอร์เวย์มีพวกเต่าที่คิดว่าตัวเองเร็ว วิ่ง 90 คาเลนขวามากขนาดไหน ก็ยังได้ตัวเลขประมาณ 13.4 กิโลเมตร/ลิตร พูดง่ายๆคือต่อให้ไฟหมดแล้วต้องวิ่งด้วยพลังเบนซินล้วนต่อไป มันก็ได้ตัวเลขประมาณนี้ ซึ่งก็พอๆกับรถญี่ปุ่น 2.0 ลิตรไม่มีเทอร์โบนั่นแหละครับ

*****บทสรุปการทดสอบ*****

Likes: พลังอันแสนเกรี้ยวกราด ดีไซน์และการเล่นแสงสีภายใน ช่วงล่างที่ความเร็วต่ำค่อนข้างสบาย

Dislikes: ช่วงล่างไม่สอดคล้องกับพลัง เบาะหลังนั่งไม่สบายเท่า BMW และอุปกรณ์ในภาพรวมน้อยกว่า

ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่มี ผมรู้สึกว่าคุณสมบัติในภาพรวมของตัวรถ มันไม่หนีห่างจากเดิมก่อนไมเนอร์เชนจ์เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร 90% ก็เกือบจะเหมือนเดิม แต่เพราะวิธีการจัดอุปกรณ์ ทำให้ผมมานั่งคิดแล้วรู้สึกว่า ถ้าเป็นเป็นเจ้าของ E 300 e รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ผมจะไม่ค่อยเสียดายเท่าไหร่ที่ไม่ได้ซื้อรถรุ่นใหม่ เพราะบรรดาอุปกรณ์ที่หายไป เช่น Distance Pilot DISTRONIC, ระบบปรับเบาะฝั่งคนนั่งจากสวิตช์เบาะคนขับ หรือชุดเบรกหน้าแบบเจาะรู AMG Dynamic หรือปุ่มบังคับให้เครื่องติดชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ ที่เคยมี ผมก็คิดว่าสำคัญสำหรับการใช้งานรถ ไม่นับของที่เป็นเรื่องดีไซน์ อย่างวัสดุบนคอนโซลที่ดูแก่ลง สวนทางกับพวงมาลัยที่ดูล้ำขึ้น หรือของจุกจิกเช่นนาฬิกาอนาล็อกบนคอนโซล

ของที่มีในรถรุ่นใหม่แล้วดีขึ้นกว่าเก่า ก็คือระบบบริหารจัดการข้อมูลและการแสดงผลในรถ MBUX 6.0 หน้าจอสวยขึ้น ตอบสนองไวขึ้น แสดงค่าต่างๆได้มากขึ้น และในเรื่องความปลอดภัย ยังมีระบบเซ็นเซอร์ที่แสดงผลเวลาถอยจอดได้แม่นยำ เป็นรูปเป็นร่างดูง่ายขึ้น กล้องมองหลังกระดิกตามการเลี้ยวรถได้ รวมถึงถังน้ำมันที่ใหญ่ขึ้น พวกนี้ อะไรที่เพิ่มมาแล้วดีขึ้น เราก็ต้องบอกอย่างนี้ แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนใส่ใจกับจอหรือความล้ำยุคทาง IT in Car มากนัก E 300 e ใหม่นี้ ก็แทบจะเป็นรถคันเดิมที่เมื่อหักลบส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ..ก็อย่างที่ผมบอก ผมไม่เสียดายแทนคนที่ออกรถรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์เท่าไหร่เลย

ความเป็นรถคันเดิม ก็มีทั้งจุดดี และจุดด้อย เรื่องพละกำลังยังเป็นจุดเด่นที่ผมชื่นชอบรถจากตระกูล “300 e” มาตลอด มันประสบความสำเร็จในการนำอัตราเร่งระดับรถ V8 เครื่องโต แรงบิดมหาศาล 700 นิวตันเมตร กับการตอบสนองแบบยิงไม่ถามชื่อก่อนของมอเตอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า เป็นรถที่เร็วต้น แรงปลาย ในระดับที่ปราบรถยุโรปวัยรุ่น (ไม่โมดิฟาย) ได้เหมือนแม่สอนมวยลูก แต่ในทางกลับกัน ช่วงล่างมันไม่ได้ทำมาเพื่อรับกับความแรงระดับนี้ ทำไงได้ ในเมื่อลูกค้าตัวจริงส่วนมากที่ซื้อ ไม่ได้แคร์กับเรื่องการเกาะถนน สาดโค้ง หรือดริฟท์ แต่ต้องการรถที่นั่งแล้วไม่สะเทือนจนเพื่อนไล่ไปซื้อรถกระบะ แล้วก็วิ่งทางตรงๆ 130-140 นิ่งๆ แค่นั้น ในเมื่อลูกค้าตัวจริงไม่แคร์ แล้วจะใส่ช่วงล่างสปอร์ตหรือถุงลมมาทำไม ถอดออก มันก็ทำให้รถราคาถูกลงไปอีก ส่วนขุมพลังไฮบริด ก็..ทำไงได้ล่ะ เบนซ์ E-Class มีPlug-in Hybrid + เบนซินแค่ตัวเดียวนี่หว่า

อุปกรณ์และการตกแต่งภายใน ขึ้นชื่อว่าเจ้าแม่ไนท์คลับอย่างเบนซ์ ไม่เสียชื่อเรื่องความอลังการด้วยแสงสีอยู่แล้ว แต่เรื่องความสบายในการโดยสารยังไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ อุโมงค์เกียร์เบียดขาตอนล่างของผู้ขับมากเกินไป และเบาะหลังก็ค่อนข้างแข็ง เนื้อที่สำหรับเหยียดขาน้อยกว่า 530e รวมถึงพื้นที่เหนือศีรษะด้วย โดยปกติ 30 ปีที่ผ่านมา BMW จะทำรถสปอร์ตเปรี้ยว เพรียว แต่แคบ และเบนซ์ทำรถที่ดูแก่ๆ ทึบๆแอบทื่อ แต่ใหญ่กว่า นั่งสบายกว่า ในรถตัวถัง W213 กับ G30 นี้ดูเหมือนเกือบทุกอย่างจะสลับบทบาทกันหมด

ท้ายสุดนี้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งตรงพิกัดอย่าง BMW 530e M Sport ราคา 3,739,000 บาท จะเป็นอย่างไรบ้าง?

เอาเรื่องที่เบนซ์ชนะก่อน ก็คือ พลัง อัตราเร่ง แล้วก็มีหลังคากระจกซึ่งขยายบริเวณมาเผื่อคนนั่งหลัง เบาะนั่งคู่หน้าที่ให้ระบบความจำมา 3 ตำแหน่ง และให้มาสำหรับเบาะคู่หน้าเลยในขณะที่ BMW มีเพียงข้างคนขับ หน้าปัด ไม่ใช่แค่สวยกว่าในภาพรวม แต่ยังปรับการแสดงผล เลือกแบบที่คุณชอบ หรือมองถนัดได้ ในขณะที่ BMW เป็นจอสีที่ใช้ความเป็นจอสีไม่ค่อยคุ้ม ปรับอะไรไม่ค่อยได้ และในโหมดสปอร์ต ก็ไม่ได้อ่านค่าง่ายเท่าไหร่เลย

แต่พอไปมองทางฝั่ง BMW ถ้าคุณมองข้ามข้อติในบางจุดไปได้ มันคือรถที่ลดทอนเรื่องความแรงลงเมื่อเทียบกับเบนซ์ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าต่างกันจนเปรียบไม่ได้ ถ้า BMW ลงแส้ก่อน 1 วิ เบนซ์ก็ไล่หืดขึ้นคอเหมือนกัน แต่ BMW กระจายความสำคัญไปยังจุดอื่นอย่างเท่าเทียมสัมพันธ์กันทั้งคัน ช่วงล่างของ BMW ปรับความแข็งได้ ควบคุมตัวถังได้ดีเยี่ยมแบบที่ถ้าให้ขับเล่นในสนามแข่ง มันมั่นใจกว่าเบนซ์เยอะ และไม่ได้แข็งแบบสักแต่แข็งสะเทือนตลอดทาง มันแข็งตอนที่คุณจะใช้มันเท่านั้น หนึบเฉพาะตอนที่เหวี่ยงหนักซัดแหลก แต่สบายเวลาวิ่งมอเตอร์เวย์ แม้จะปรับเป็นโหมด Comfort ก็ยังคุมอาการยวบได้ดีกว่าเบนซ์ในขณะที่ความนุ่มนวลในความเร็วต่ำก็ต่างกันไม่มากอย่างที่คิด ทั้งหมดนี้ มาพร้อมกับเบาะหลังที่มีพื้นที่มากกว่า เข้าออกง่ายกว่า มีระบบความปลอดภัยมากกว่า คือระบบรักษารถให้อยู่ในเลน ระบบเตือนรถวิ่งตัดด้านหลัง และ Adaptive Cruise Control

เราพูดกันตรงไปตรงมา ว่าเมื่อเราเอารุ่นไมเนอร์เชนจ์ของรถทั้งสองรุ่นมาเทียบกัน จะเห็นได้ว่าเบนซ์ เปลี่ยนหน้าตา เอาไอ้นั่นเพิ่ม แต่เอาไอ้นี่ออก ภาพรวมมันจึงเหมือนเดิม แต่ BMW คงจุดที่เคยดีเอาไว้ครบ จุดที่เสียบางจุดก็ยังอยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือมาเพื่อแก้เสียงบ่นของลูกค้าสายออพชั่น ช่วงล่าง ระบบเตือนทางด้านความปลอดภัยต่างๆ แล้วก็ยังมีราคาที่ถูกลงกว่ารุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ชัดเจนมาก ถ้ามันยังยันราคาเดิม E 300 e ก็คงมีจุดเด่นขึ้นมาบ้าง แต่นี้ให้แบบเต็มข้อแล้วยังปรับราคาลง ความคุ้มค่าเมื่อใช้เหตุผลเหนือความรัก จึงไปตกทาง BMW มากกว่า ข้อไหนผมพูดผิดแย้งได้นะครับ

ดังนั้น โชคของเบนซ์ตอนนี้ ผมว่าไม่ได้อยู่กับลูกค้าประเภทนั่งเปิดคอม จดอุปกรณ์ เทียบกันแบบข้อต่อข้อ การจะขาย E-Class ตัวนี้ได้ มันต้องไปนำเสนอคนที่เขามีความชอบเบนซ์มากกว่า BMW อยู่ก่อนแล้ว หรือลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเพราะดาวบนกระจังหน้ามากกว่า ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ผิดนะครับ เงินใครเงินมัน ชอบคันไหนก็ซื้อคันนั้น แต่ถ้าให้เปิดรีวิว Headlightmag มาแล้วเขียนแค่ว่าซื้อคันที่คุณชอบ ผมก็ไม่มีงานทำน่ะสิครับ แม้จะสรุปว่าให้เลือกตามรสนิยม แต่หน้าที่ผมคือเล่าให้ฟังว่าแต่ละคันเป็นอย่างไรบ้าง แค่นั้น

แต่ใจก็นึกว่าผมนี่โชคดีอยู่อย่าง…

ดีว่าเราจนนะ เลยไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะเอาคันไหนดี เพราะขายทั้งบ้าน ทั้งรถที่มีอยู่ทั้งหมด ก็ยังซื้อรถพวกนี้ไม่ได้อยู่ดี ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน

ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในประเทศ เป็นของ Mercedes-Benz Germany/Thailand และผู้เขียน

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 20 มีนาคม 2021

Pan Paitoonpong//Copyright (c) 2021

Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com 20 March 2021