สมรภูมิรถกระบะในบ้านเรานั้น เป็นที่จับจ้องมองตาของบริษัทรถยนต์ใหญ่ๆในโลกอยู่เสมอ ที่นี่คือแผ่นดินที่รถประเภทนี้เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของโลกสี่ล้อ ในบรรดารถที่จำหน่ายออกไปในแต่ละปี ถ้าแยกตามประเภทของตัวถังแล้ว รถกระบะถือครองอัตราส่วนยอดขายสูงสุด คือประมาณ 44-46%

ในมุมมองของผม รถแบบนี้คือเตาหลอมที่รวมเอาคนหลากหลายฐานะเข้ามาไว้ด้วยกัน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ยัดเข้าไปในรถของแต่ละค่าย บวกกับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ทำให้รถกระบะ 1 รุ่น สามารถติดตั้งช่วงล่าง อุปกรณ์ และเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันจนรองรับความต้องการของลูกค้าได้เป็นกลุ่มกว้าง ชนิดที่รถเก๋งรุ่นใดๆก็เทียบไม่ติด

ถ้าคุณสังเกตตามปั๊มน้ำมันในช่วงเทศกาลวันหยุด นั่นคือภาพที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุด รถกระบะตอนเดียวคอกสูง กำลังบรรทุกพืชผลไม้มุ่งหน้าสู่ตลาด รถหลังคาเหล็กทรงสูงของบริษัท Logistic ที่จอดเปิดท้าย พนักงานกำลังขนพัสดุมากมายที่คุณสั่งๆกันจาก Shopee หรือ Lazada ถัดไปข้างๆ ก็จะมีกระบะแค็บ 2 ประตูของญาติผู้ใหญ่ท้องถิ่นที่ขับมาซื้อของ กระบะแต่งโหลดเตี้ยจอดมีตติ้งกันเป็นหมู่ขณะ ไปจนถึงกระบะราคาล้านปลายชื่อเหมือนไดโนเสาร์กินเนื้อ ขับโดยเศรษฐีที่เพิ่งกลับจากการไปตรวจงานก่อสร้างรีสอร์ทในต่างจังหวัด

เมื่อสมัยที่ผมยังเรียนมัธยม รถกระบะคือ “รถใช้งาน” จริงๆ ไม่ได้มีอะไรเอาใจลูกค้ากลุ่มหรูรวยเก็กฮวยพรีเมียม การทำตลาดรถกระบะในบ้านเรานั้น “Simple” สุดๆ แค่ยึดติดกับคำว่า “แกร่ง” และ “ประหยัด” ก็ขายได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเทคนิควิศวกรรมหรือเครื่องยนต์ สมัยนั้นมี 100 แรงม้าอัพ มีพวงมาลัยเพาเวอร์ มีล้ออัลลอย คนก็กรี๊ดแล้ว สองรุ่นที่คนพูดถึงมากที่สุด ก็คือ Isuzu Faster Z กับ Toyota Hilux Mighty-X ส่วนคนที่ไม่ซื้อสองยี่ห้อนี้ก็ไปจบกับ Mitsubishi L200 Cyclone หรือไม่ก็ Nissan BigM

ข้ามเวลามา 30 ปี หน้าตาของสงครามกระบะในบ้านเรายังเกือบเหมือนเดิม ถ้าเราเทียบอำนาจทางยอดขายเป็นยักษ์ใน Attack on Titan (ดูใน Netflix ได้) ก็จะเหมือนมีไททันไซส์ Colossus สูงกว่า 50 เมตรสองตน คือ Isuzu กับ Toyota ที่ครองภิภพ ในขณะที่ค่ายอย่าง Ford และ Mitsubishi เป็นไททันขนาดย่อมสูง 15-16 เมตร พวกตัวไม่ใหญ่ แต่มีจุดเด่นในตัวของมัน แล้ว Nissan ก็เป็นไททันขนาดมินิที่เรียกได้ว่าอยู่ได้ก็บุญโขแล้ว

ค่ายยักษ์เล็กอย่าง Nissan นั้น แน่นอนว่า ต้องทำงานเหนื่อยมากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าส่วนใหญ่สามารถเห็นคุณงามความดีของมันได้ เพราะในสายตาของมนุษย์ที่เป็นลูกค้า ..โดยที่ไม่ต้องทำอะไรให้เมื่อยตุ้ม พวกไททัน Colossus ยืนอยู่เฉยๆ คนก็เห็น แต่ไอ้ที่ตัวย่อมๆ ถ้าไม่โผล่หัวออกมาจากป่า ไม่คำราม ไม่มีอาวุธเด็ดๆ คนก็ไม่เห็นหัว

ในปี 2014 เมื่อ  Navara ตัวถัง D23 เผยโฉมพร้อม Subname ว่า NP300 นั้น มันเป็นรถที่เส้นสายตัวถังดูดี มีส่วนที่ควรบึกบึน ส่วนที่ดูอ่อนช้อย มีอุปกรณ์มากไม่น้อยหน้าใคร พละกำลังแรงม้าอยู่แถวหน้า อีกทั้งยังเป็นกระบะประกอบไทยเจ้าแรกที่มีเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ  มีระบบควบคุมการทรงตัวที่ผมขับแล้วยังทึ่งว่า “โอ้! sexual affair with alligator เอ๊ย ระบบ Stability Control ในรถกระบะแม่งก้าวหน้าไปขนาดนี้แล้วเหรอวะ!”

มันคือรถมีดี..ทว่าลูกค้ารถกระบะนั้น เขามีเงินซื้อรถได้แค่ครั้งละคัน ดังนั้น ถึงรถคุณดีแค่ไหน แต่ถ้ามีรถที่จับใจพวกเขาได้มากกว่า ..สมรภูมินี้คุณแพ้ ในช่วงสองปีหลังจาก Navara เปิดตัว ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ก็เปิดตัว Hilux Revo ซึ่งคุณสมบัติตัวรถนั้นธรรมดามาก แต่มีเบาะและห้องโดยสารที่โต นั่งสบาย ส่วนยักษ์เล็กแต่แซ่บอย่าง Ford ก็ Refresh โฉมของ Ranger จากเดิมที่ก็ล่อถูกใจชายฉกาจอยู่แล้ว คราวนี้ ยิ่งหล่อเข้าไปใหญ่ หล่อนอก หรูใน ในขณะที่ Triton ก็มีกลุ่มเฉพาะที่นิยมในเทคโนโลยีการขับเคลื่อนของมิตซูแบบเหนียวแน่น Navara ซึ่งมีเบาะหลังคับแคบกว่าใครในตลาดปิคอัพ 4 ประตู ใช้ล้อ PCD รูน็อตแปลกๆหาล้อแต่งยาก จุดพื้นฐานที่โลกคนใช้งาน กับคนใช้แต่ง มอง Navara ไม่ได้ที่หนึ่งในใจของพวกเขา

แล้วกว่า Nissan จะไปซุ่มฟิตตัวกลับมา ก็ปาเข้าไปปลายปี 2020 แล้ว กว่าหกปีที่ไม่ได้มีการอัปเดตสำคัญใดๆ นอกจากรุ่นย่อยโมสติกเกอร์กับชุดแต่ง กลับมาเพื่อพบเจอกับ D-Max ซึ่งเปลี่ยนตัวถังใหม่ Revo ซึ่งอัปเกรดพลังเข้าสู่หลัก 200 ม้า และ COVID-19 ซึ่งไม่ใช่รถกระบะ แต่เป็นไอ้โรคเวรทำลายโลก ซึ่งกลุ่มคนที่ซื้อรถใช้เพื่อส่วนตัวไม่ได้เน้นบรรทุก (ไม่นับกลุ่มพาณิชย์จริงจังที่ซื้อเพราะต้องใช้จริงๆ) ชะลอการซื้อไอเท็มราคาเจ็ดหลักกันไปหมด

น่าเสียดาย…เพราะ Navara ไมเนอร์เชนจ์ใหญ่ครั้งนี้ ไม่ได้เปลี่ยนแค่หน้าตา สิ่งที่เปลี่ยน ยังลึกลงไปถึงวิศวกรรมของตัวรถ เปลี่ยนชนิดที่ว่า ถ้าคุณเปลี่ยนตัวถังเปลือกนอกให้ดีไซน์ต่างจากเดิม มันจะกลายเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ (แบบที่ใช้โครงกระดูกเดิม) ได้เลย

ก่อนจะไปไล่ดูกันทีละจุด ผมสรุปการเปลี่ยนแปลง ให้คุณอ่านง่ายๆตรงนี้ก่อนนะครับ สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านยาวๆ แต่ในบทความนี้ เราว่ากันเฉพาะในรุ่น Double Cab ยกสูงและตัวขับสี่ก่อน

ในด้านดีไซน์ภายนอก

  • กระจังหน้า กันชนหน้า ฝากระโปรงหน้า และแผ่นกันกระแทกด้านหน้า ใหม่
  • ไฟหน้า LED แบบ Projector 4 ดวง พร้อมไฟตัดหมอก
  • เปลี่ยนทรงบันไดข้างใหม่
  • ไฟท้าย LED Tube แบบใหม่
  • เปลี่ยนทรงของกระบะท้ายใหม่หมด ยกระดับสูงขึ้น 55 มม. (เทียบกับรุ่นเดิม)
  • ย้ายจุดยึดสัมภาระในกระบะให้ต่ำลง เพื่อให้ตรึงเชือก/ตาข่ายยึดของที่มีขนาดเล็กได้ดีขึ้น
  • กันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ลดความสูงของจุดที่เหยียบขึ้นท้ายรถ 17 ซม.
  • ฝาท้ายกระบะแบบมีทอร์ชั่นสปริงช่วยผ่อนแรงในการเปิด/ปิด

การเปลี่ยนแปลงภายใน

  • พวงมาลัย 3 ก้านแบบใหม่
  • ชุดแผงมาตรวัด พร้อมจอ MID ที่ขยายเต็มพื้นที่ตอนกลาง
  • ชุดเครื่องเสียงแบบใหม่ รองรับ Apple CarPlay/Android Auto และแอพพลิเคชั่น NissanConnect
  • เบาะนั่งด้านหน้า หุ้มหนังลายใหม่
  • เบาะนั่งด้านหลัง ปรับเบาะรองนั่งให้หนาหนุ่มขึ้น
  • เพิ่มกระจกบานหน้า และกระจกประตูคู่หน้าแบบลดเสียงรบกวน
  • เอาที่วางแก้วตรงช่องแอร์ออก
  • กล้องรอบคัน มีเฉพาะที่หน้าจอกลาง (โฉม 2019-2020 มีที่จอกลาง และที่กระจกมองหลัง)

*หมายเหตุว่า อุปกรณ์บางอย่างถูกถอดออกไปก่อนหน้าไมเนอร์เชนจ์แล้ว เช่น มือเหนี่ยวจับสำหรับคนนั่งหลังที่เสา B-Pillar (ไปตั้งแต่ปี 2016) กระจกแต่งหน้าฝั่งคนขับ และโคนเบรกมือหุ้มหนัง (2018-2019) แต่ในขณะที่พวกนี้โดนเอาออก ก็มีการเพิ่มวัสดุซับเสียงเข้าไปแทนในปีเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงทางวิศวกรรม/ระบบความปลอดภัย

  • เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.3 ลิตร (เทอร์โบเดี่ยวแปรผัน ในรถเกียร์ธรรมดา และเทอร์โบสองลูก ในรถเกียร์อัตโนมัติ)
  • เพิ่ม Rear Diff-Lock ในรุ่นขับสี่
  • ปรับความสูงตัวถัง วัดที่หลังคา เพิ่มจากเดิม 55 มม. วัดจุดต่ำสุดใต้ท้องเพิ่มขึ้น 10 มม.
  • เปลี่ยนสเป็คโช้คอัพใหม่
  • เปลี่ยนยางรองหัวเก๋งเป็นสเป็คที่นุ่มขึ้น
  • เปลี่ยนแร็คพวงมาลัย อัตราทดไวขึ้น
  • เพิ่มระบบความปลอดภัยในองค์ประกอบ Nissan Intelligent Mobility (อาทิ เตือนการชนด้านหน้าพร้อมเบรกอัตโนมัติ, เตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง, เตือนรถวิ่งตัดข้างหลังขณะถอย และไฟสูงอัตโนมัติ ส่วนกล้องรอบคัน มีมาก่อนหน้าแล้ว)

นับว่า Nissan เปลี่ยนแปลงรถตัวเองในหลายจุด ทำให้ภาพรวมของตัวรถเมื่อเทียบกับราคา มีความน่าใช้ขึ้นมากกว่าเก่าอย่างชัดเจนถ้ามองจากเอกสารโบรชัวร์ แต่เมื่อลองขับลองสัมผัสจริงแล้ว จะดีขึ้นแค่ไหน? ผมเคยขับ Navara VL 190 แรงม้าสมัยเป็น NP300 ยุคแรกๆ พบว่าระบบช่วยเหลือการทรงตัว เจ๋ง ช่วงล่างเกาะแต่ท้ายดิ้นดุดๆๆเหมือนใส่แหนบแข็งเน้นบรรทุกหนักมากไป เบาะหลังแคบ เสียงเครื่องดัง พวงมาลัยยาวยานกลับรถทีสาวกันเหนื่อย  ข้อดีน่ะมีเยอะ แต่ก็มีข้อเสียอย่างที่บอก

วันนี้ ผม กับ Nissan Navara Pro-4X รุ่นย่อยใหม่เน้นภาพหลักวัยรุ่นจอมลุย จะหาคำตอบให้คุณว่า Navara ปรับปรุงใหม่ จะเจ๋งขึ้นขนาดไหน โดยเจ้า Pro-4X 7 AT 4WD นั้น คือรุ่นย่อยแพงที่สุดแล้ว ด้วยราคา 1,149,000 บาท ซึ่งจะต้องไปแข่งกับตลาดกระบะหลักล้านนิด มาดแต่งเก๋ เท่ห์เน้นลุยอย่าง Hilux Revo Rocc0 2.8 6AT 4WD ราคา 1,239,000 บาท Ranger Wildtrak Bi-turbo ราคา 1,265,000 บาท และ Mitsubishi Triton Athlete 4WD ราคา 1,146,000 บาท

Navara Pro-4X มีความยาวตัวถัง 5,260 มม. กว้าง 1,875 มม.  สูง 1,840 มม. ความยาวฐานล้อ 3,150 มม. ระยะความกว้างแทร็คล้อหน้า/หลัง เท่ากันที่ 1,570 มม. ความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 225 มม. น้ำหนักตัวถัง 2,083 กก. ถังน้ำมันมีขนาด 80 ลิตร

ขนาดมิติตัวรถรุ่น Pro-4X นั้นจะต่างจากรุ่น VL ขับสี่ตัวรอง เพราะมีชุดแต่งโป่งข้างเข้ามาทำให้ความกว้างเพิ่มขึ้น 25 มม. แต่ความสูงใต้ท้องกับความสูงตัวรถ Pro-4X จะเตี้ยกว่า VL 5 มม. เป็นผลมาจากการที่ Pro-4X ใช้ล้อและยางขนาด 255/65R17 ในขณะที่ VL กลับจะได้ล้อโตกว่า เป็นขนาด 255/60R18

เทียบขนาดตัวกับกระบะรุ่นอื่นๆ (ยาว x กว้าง x สูง)

  • Toyota Hilux Revo Rocco – 5,325 x 1,900 x 1,815 มม. น้ำหนัก 2,065 กก.
  • Ford Ranger Wildtrak – 5,376 x 1,867 x 1,848 น้ำหนัก 2,156 กก.
  • Mitsubishi Triton Athlete – 5,300 x 1,815 x 1,795 น้ำหนัก 1,988 กก.

โดยรวมแล้ว Navara จะมีขนาดตัวที่ สั้นกว่าใคร กว้างกว่าเพื่อน และสูงเป็นรองแค่ Ranger ส่วนน้ำหนักตัวจะค่อนไปกลางๆ ใกล้เคียง Rocco

Pro-4X และ Pro-2X จะมีอุปกรณ์ตกแต่งที่ต่างจากรุ่น VL โดยมีชุดแต่งบูชาของดำ กระจังหน้าดำ มือจับเปิดประตูสีดำ ราวหลังคาสีดำ คิ้วโป่งล้อสีดำพร้อมแผงทับทิมตกแต่ง ล้ออัลลอยสีดำขอบ 17 ซึ่งก็คือล้อจากรุ่น Calibre ขับสองเอามาทำเป็นสีดำนั่นแหละ

ภาพรวมของภายนอก เมื่อบวกกับสีเทา Stealth Gray และยาง Yokohama Geolandar All Terrain AT-S G012 ทำให้มีภาพลักษณ์ที่ดูดุ โหด อย่างที่ผมไม่เคยคิดเหมือนกันว่าโครงสร้างหลักของ Navara ปรับเปลี่ยนโทนสีแค่บางส่วน สามารถให้อารมณ์ดิบลุยได้ขนาดนี้ เมื่อรวมกับไฟหน้า LED Projector ที่มีตาเล็กๆข้างละ 4 ดวง และไฟท้ายที่มี LED Tube สว่างเป็นรูปตัว C (คล้าย Triton แต่ตำแหน่งไฟเลี้ยวไฟถอยต่างกัน) ทั้งหมดนี้ ทำให้เรามองแล้วพอจะลืมๆไปได้ว่า มันคือรถปี 2014 โดยส่วนตัวแล้ว สวยดุ ผมชอบ แต่รู้สึกตะหงิดๆหน่อยกับล้อ ที่น่าจะได้ลายเฉพาะตัวของมันมากกว่าเอาล้อ Calibre มาพ่นสี แต่ก็นะ..Triton Athlete ก็เอาล้อรุ่นปกติมาพ่นสีเหมือนกัน (แต่เขาเป็นขอบ 18)

กระบะบรรทุกข้างหลัง มีขนาดยาว 1,470 มม. กว้าง 1,495 มม. สูง 520 มม. ในรถทดสอบของเรามีการปูไลนเนอร์กระบะมาให้เสร็จสรรพ (ของจริงอาจจะไม่มี แต่ดีลเลอร์น่าจะแถมให้ได้อยู่ครับ) นอกจากนี้ ในรุ่น Pro-2X และ Pro-4X จะมีตะขอยึด 4 จุดพร้อมรางเลื่อนสำหรับไว้ตรึงมอเตอร์ไซค์ หรือ ATV คันโปรดของคุณ หรือสัมภาระอื่นๆ

นอกจากนี้ ฝาท้ายของ Navara ที่เป็น 4 ประตูทุกรุ่นย่อย จะมีระบบผ่อนแรงที่ฝาเปิดท้ายกระบะ ซึ่งใช้เหล็กแท่งยึดเข้ากับฝั่งตัวรถและที่ฝาท้ายอย่างในภาพ ในตำแหน่งฝากระบะท้ายปิดนั้น เหล็กจะอยู่ในตำแหน่งตรงตามมาร์คของมัน การที่เราไปเปิดฝาท้ายนั้น ก็จะไปขืนแท่งเหล็กทำให้มันบิดตัว แรงขืนกลับจากเหล็กนั้นก็จะช่วยผ่อนภาระจากแรงมือของเรา ทั้งตอนเปิดออก และตอนยกปิด หลักการเกือบจะเหมือนกันกับฝาท้ายเบาแรงของ Ford Ranger นั่นเอง

ซึ่งไอ้การติดตั้งเหล็กช่วยผ่อนแรงฝาท้ายเนี่ยครับ ต้องบอกว่าเป็นผลงานของน้องๆวิศวกร Nissan ในไทย ที่ทำแผนเสนอการปรับปรุงรถในจุดต่างๆ แล้วไปโดนใจผู้บริหารระดับสูง เมื่อผู้บริหารอนุมัติ ก็ต้องประสานงานข้ามชาติ ไทย-ญี่ปุ่น ศึกษาวิธีทำให้ไอ้กระบะที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ ติดตั้งเข้าไปได้ในที่สุด ลองย้ายจุดยึดไปมา ทดสอบเปิด/ปิดฝาท้ายกันไม่รู้กี่พันครั้งกว่าจะได้ความเบาแบบที่กำลังดี ความทนทานใช้งานได้ยาว และไม่กินต้นทุนมากจนโดนฝ่ายบัญชีสั่งยกเลิก

ทีมวิศวะ กับทีม Product ของ Nissan ในไทย มีหัวกะทิเก่งๆแอบซ่อนอยู่เยอะ บางคนนี่ผมจะเรียกเป็นอาจารย์ทั้งที่เขาอายุน้อยกว่าผมก็ยังได้ เพียงแต่ว่าไอเดียบรรเจิดแต่ละอย่าง จะมีคนได้เห็นหรือเปล่า จะได้รับการส่งเสริมจนนำมาอยู่ในรถจริงได้หรือเปล่า นั่นก็อีกเรื่อง

กุญแจที่ให้มา เป็นสมาร์ทคีย์ ทรงคล้ายๆเดิมแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว มีแค่ปุ่มล็อค กับปลดล็อค เอาไว้ใช้ในกรณีต้องการสั่งจากระยะไกล แต่โดยปกติแล้วคุณสามารถพกกุญแจไว้กับตัว เดินเข้ามาใกล้รถ กดปุ่มสีดำๆ ที่มือจับเปิดประตูเพื่อทำการปลดล็อค แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งได้เลย เวลาออกจากรถแล้วจะล็อค ก็กดปุ่มสีดำตรงนั้นเหมือนกัน

การขึ้นนั่งเบาะหน้า สำหรับตำแหน่งคนขับต้องเหนี่ยวพวงมาลัยโหนขึ้น ไม่มีราวจับที่เสา A-pillar มาให้แบบคู่แข่ง (ซึ่งรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ก็ไม่มีอยู่แล้ว) สำหรับผมไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่อย่าลืมว่า คนเราบอดี้และอายุไม่ได้เหมือนกัน มีท่าที่ถนัดในการขึ้นรถไม่เหมือนกัน ถ้าคุณมีที่สำหรับเอามือเหนี่ยวรั้งแบบคู่แข่ง มันก็ดีสำหรับคนจำนวนมากขึ้น

ตัวเบาะนั่ง บุหลายหนังใหม่มีแถบเหลี่ยมๆคาดให้ดูไฮโซขึ้น ในรุ่น Pro-4X อย่างคันนี้ จะมีการปักโลโก้เอาไว้บนตัวเบาะหน้า และใช้ด้ายเย็บตะเข็บสีแดงให้เข้ากับมาดรถ เบาะหน้ามีขนาดเบาะรองนั่งปานกลาง ไม่มีการตีปีกขึ้นกันตัวคนนั่งไหลซ้าย/ขวามากนัก มีความแข็งพอให้รู้สึกสบาย ไม่ได้แข็งแบบเบาะซิ่งรถวัยรุ่น  ส่วนพนักพิงหลังนั้นก็หนาและนุ่มพอสมควร ถ้าวัดความสบายจากสองส่วนนี้ ผมว่ามันสู้คู่แข่งได้ไม่ยาก และออกจะให้ความรู้สึกผ่อนคลายเวลาขับเดินทางเสียด้วยซ้ำ เหลือแค่พนักพิงศีรษะนั่นล่ะวัดดวงเอา ถ้าคุณเป็นคนขับไม่พิงหัว หรือชอบพนักพิงศีรษะให้ดันๆเข้าไว้ คุณจะโอเคกับมัน แต่ส่วนตัว ผมชอบหมอนศีรษะแบบที่ไม่ดันหัวมากนัก เลยรู้สึกว่าเบาะของคู่แข่งอย่าง Rocco, Athlete กับ Wildtrak พิงหัวได้สบายกว่า แต่เรื่องเบาะนี่ผมได้แต่ให้ความเห็นส่วนตัว ฟันธงว่าดีหรือเลวได้ยากเพราะลูกค้าแต่ละคนก็ชอบทรงเบาะต่างกัน

แต่ที่แปลกใจคือ Pro-4X ตัวแพงสุดแท้ๆนะ แต่กลับได้เบาะปรับด้วยมือ 6 ทิศทางในฝั่งคนขับ ซึ่งก็คือเวลาปรับสูงต่ำมันจะยกทั้งตัว ในขณะที่รุ่นถูกกว่ามีเบาะไฟฟ้าปรับได้ 8 ทิศทาง ปรับยกส่วนรองน่องให้เบาะเทหน้าเทหลังได้ คือจริงๆถ้าตัว VL 4WD รองท้อปมันมี แล้ว Pro-4X ไม่มี นี่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกแล้วนะ แต่จะบอกว่า รุ่น Calibre V ทั้ง King Cab 2 ประตูและ Double Cab 4 ประตู ก็ยังได้เบาะไฟฟ้าเลย ถ้าจะอ้างเหตุผลว่ารถใช้ออฟโรดไม่ควรมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเยอะ อ้าว ระบบไฟฟ้าคุณเหมือนรุ่น VL หมดเลยนะยกเว้นเบาะคนขับ หรือถึงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ การที่ปรับส่วนต่างๆได้ไม่ละเอียดเท่ารุ่นรอง ผมว่าคนจ่ายเงินซื้อแพงกว่ารุ่นอื่นเขาก็ไม่ได้ชอบแบบนั้น

พวงมาลัย ปรับได้แค่ขึ้น-ลง เหมือนเดิม จะหวังให้ปรับได้ 4 ทิศอาจจะต้องรอ Model change ไปเลย (Ford ปรับได้ 2 ทิศ Toyota กับ Mitsubishi ปรับได้ 4 ทิศ) โดยรวมแล้ว ตำแหน่งการขับขี่นั้นจะมีลักษณะเบาะสูง พวงมาลัยต่ำ เป็นตำแหน่งที่ขับแล้วรู้สึกมองเห็นหน้ารถปลอดโปร่ง ยิ่งบวกกับฝากระโปรงหน้าที่ขัดเกลาเอาขอบตั้งๆของฝากระโปรงออก ทำให้มองไปข้างหน้าแล้ว เหมือนขับรถคันไม่ใหญ่ แต่คนที่ชอบปรับเบาะเตี้ย นั่งจมๆหน่อยในตำแหน่งที่พวงมาลัยชี้หานม อาจจะไม่ชอบ

ส่วนเบาะหลังนั้้น จุดอ่อนสำคัญก็ยังอยู่ ข้อแรกเลยคือ ไม่มีมือเหนี่ยวจับที่เสากลางเพื่อโหนขึ้นรถ จริงๆ NP300 ปี 2014 เขามีให้ แต่สักช่วงหนึ่งก่อนการไมเนอร์เชนจ์ ก็ถูกถอดออกไป สำหรับคู่แข่งนั้น ก็จะมี Ranger Wildtrak ที่ไม่มีคันจับเสากลางเหมือน Navara แต่ Revo Rocco และ Triton Athlete มีให้ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนตัวผอมเบาแข้งขาดี มันก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อบวกกับขนาดบานประตูที่เล็กเมื่อเทียบกับชาวบ้าน เวลาขึ้นนั่งหลังผมรู้สึกว่ามันยากนะ สำหรับคนตัวใหญ่ๆ

เบาะนั่งหลัง ได้รับการปรับโฟมในตัวเบาะให้นั่งนุ่มสบายยิ่งขึ้น ซึ่งก็สบายขึ้นจริงนั่นแหละ แต่เมื่อนั่งแล้ว พื้นที่เหยียดขาก็ยังน้อยกว่ากระบะค่ายอื่น ตัวเบาะก็ยังติดตั้งไว้ต่ำทำให้เวลาคนตัวสูงนั่งจะต้องชันเข่าขึ้น ดังนั้น ถ้าให้คนตัวเล็กนั่ง ทุกอย่างจะลงตัวเลย แต่ถ้าคนตัวสูงขายาวๆมานั่ง ความสบายยังสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ผมคิดว่าถ้าให้นั่งเบาะหลังวิ่งทางไกล ถ้าผมนั่ง Triton ผมจะชอบมากเพราะเบาะสบาย มีที่ยืดแข้งขาพอเพียง แถมยังมีช่องเป่าแอร์แบบที่เป่าลงมาจากเพดาน โดนหน้าโดนตัวเต็มๆกว่า ส่วนช่องเป่าของ Navara จะอยู่ตรงกลาง ด้านหลังของที่เท้าแขน เหมือนกับ Revo

บรรยากาศภายใน ถ้ามองผ่านๆจะนึกว่าเปลี่ยนแค่พวงมาลัย จากเดิมทรงหน้าแพะ มาเป็นสามก้านทรงใหม่ คล้ายรถรุ่นอื่นๆของค่าย แต่ผมว่ามันก็ช่วยทำให้ดูสปอร์ตขึ้น แผงแดชบอร์ดโดยเฉพาะตรงกลางยังให้ความรู้สึกเหมือนมี Darth Vader จ้องมองกลับมาอยู่ ส่วนนี้คือส่วนที่เหมือนเดิม ยกเว้นถาดวางของพร้อมจุดเสียบ Power Outlet ที่หายไป ความอเนกประสงค์ลดลง แต่ก็ทำให้ได้แดชบอร์ดตอนบนที่ดูสะอาดตาทันสมัยขึ้น เสียดายว่าถ้าลงทุนเปลี่ยนหน้าตาช่องแอร์กลางสักหน่อย มันก็จะดูดีขึ้น เพราะส่วนอื่นๆของภายใน ยังดูดีแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

แผงบังแดด ในรุ่นเปิดตัวมาจนถึงประมาณปี 2017-2018 จะมีกระจกให้ทั้งสองข้างและแผงบังแดดหุ้มผ้าแบบเดียวกับเพดาน แต่หลังจากนั้นมา รวมถึงรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ด้วย จะเปลี่ยนเป็นหุ้ม PVC และตัดกระจกส่องฝั่งคนขับออก เหลือแต่ด้านคนนั่งซึ่งยังมีกระจกกับไฟแต่งหน้าให้อยู่ แต่อันนี้พอเข้าใจได้ว่าต้องตัดเพื่อเอาทุนไปโปะส่วนอื่นของรถ อีกอย่างนึง Revo Rocco ที่แพงกว่ากันเก้าหมื่นบาท ก็ไม่มีกระจกฝั่งคนขับเช่นกัน เรื่องนี้พอให้อภัยได้

การตกแต่งในห้องโดยสาร รุ่น Pro-4X นี้ ออกจะดูดำๆโหดๆ ไม่มีวัสดุสีเงิน ไม่มีมือจับเปิดประตูโครเมียมแบบรุ่น VL ทำให้บรรยากาศในห้องโดยสารดูจืดไปบ้าง กระจกหน้าต่างเป็นไฟฟ้า พร้อมระบบ One-touch เฉพาะด้านคนขับ ใช้กระจกประตูคู่หน้า และกระจกบานหน้าที่เป็นแบบป้องกันเสียงรบกวนภายนอก ส่วนบริเวณแผงสวิตช์ใต้ช่องแอร์ขวาสุด ก็จะมีสวิตช์สำหรับควบคุมระบบความปลอดภัย NIM-Nissan Intelligent Mobility เพิ่มขึ้นมา

ระบบปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ แยกปรับอุณหภูมิ ฝั่งซ้าย/ขวาได้เหมือน Triton และ Ranger ซึ่งตรงนี้ขอชมว่า ให้ของมาสมราคาหลักล้าน ในขณะที่ Revo Rocco นั้นราคารถไม่ได้ถูกแต่ยังไม่ให้ระบบ Dual Zone อย่างนี้เลย ถ้าใครชอบขับรถขึ้นเหนือหน้าหนาว ก็ไม่ต้องกังวล Navara เขามีฮีทเตอร์ให้ใช้ ปรับความอุ่นไปได้ถึง 32 เซลเซียสบนจอแอร์

ส่วนตอนล่างของคอนโซลนั้น มีช่องเสียบ Power Outlet และมีช่องเสียบ USB ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเสียงอยู่ด้านล่าง ถ้ายังไม่พอ เปิดที่เท้าแขนออกมาจะมีช่อง Power Outlet, ช่อง USB กับช่อง USB Type C มาให้อีกนะครับ ถือว่าให้จุดจ่ายพลังไฟมาเหมาะกับยุคคนติดมือถือดู Live ฟัง Clubhouse เลยทีเดียว สวิตช์หมุนของระบบขับสี่กับสวิตช์ระบบช่วยประคองความเร็วลงเนินชันยังเหมือนเดิม สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือสวิตช์สำหรับเปิด/ปิด Parking Sensor และสวิตช์สำหรับ Rear Diff-lock ซึ่งก็น่ายินดี เพราะจะได้มีของไว้ให้คนขาออฟโรดสายโคลนตัวจริงเขาได้ใช้กัน มีไว้แล้วบางครั้งมันช่วยให้ผ่านอุปสรรคได้ง่ายขึ้น

 

หน้าจอชุดเครื่องเสียง เป็นขนาด 8 นิ้ว ปรับหน้าตาเมนูต่างๆใหม่  รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay และ Android Auto สามารถเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่น Nissan Connect เพื่อใช้บริการผ่านสมาร์ทโฟนในการค้นหาตำแหน่งจอดรถ (Find My Car) ระบบโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน ตรวจสอบสถานะของรถยนต์ได้ ส่วนเครื่องเสียงนั้น ก็เป็นแบบ 6 ลำโพง

ระบบกล้องรอบคัน ทำงานตอนถอยรถ หรือถ้าเป็นตอนเดินหน้าที่ความเร็วต่ำ ก็สามารถกดปุ่ม CAMERA เพื่อเปิดใช้กล้อง กดซ้ำเพื่อเลือกมุมมองการส่องฉายให้เห็นล้อฝั่งคนนั่ง ซึ่งมีประโยชน์เวลาขับแบบออฟโรดบนทางริมเหวแคบๆ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้มีคนคอยช่วยเล็งทางให้จากข้างนอกรถ เป็นส่วนที่สะดวกสบายต่างจากสภาพการออฟโรดเมื่อ 30 ปีก่อน ที่คนนั่งข้างต้องเปิดกระจกโผล่ตัวออกไปช่วยเล็งทาง หรือไม่ก็โดดลงไปเหยียบโคลนช่วยบอกทิศทางการวิ่งที่ถูกต้อง สมัยนี้ทั้งคนขับและคนนั่งข้างอาจจะไม่ต้องลงจากรถเลย แล้วก็ไปถึงจุดหมายได้

มาถึงหน้าปัด เป็นส่วนที่ผมชอบที่สุดส่วนหนึ่งของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงใน Navara ใหม่ มาตรวัดส่วนที่เป็นเข็มนั้นเดิมก็ดีอยู่แล้ว ของใหม่ก็ส่งต่อเป็นมรดกกันมา หน้าตาสวยงาม อ่านค่าก็ง่าย ไม่มีแสงสีลูกเล่นที่เลอะเทอะไม่จำเป็น หน้าที่ในการโชว์สวย อยู่ที่จอ MID ตรงกลาง ซึ่งจากเดิมจะเป็นแนวตั้ง คราวนี้ขยายใหญ่เต็มพื้นที่ระหว่างกลางมาตรวัด ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า แสดงข้อมูลได้หลากหลาย ทั้งอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ข้อมูล On-board/Trip Computer สามารถโชว์ความเร็วเป็นตัวเลขก็ได้ และยังใช้เพื่อการปรับตั้งค่าระบบต่างๆของรถ รวมถึงการทำงานของระบบความปลอดภัยเสริมต่างๆ ใช้ง่าย แค่กดปุ่มศรบนก้านซ้ายของพวงมาลัย

ผมเห็นหน้าปัดของรถใหม่ๆมาหลายร้อยคัน ในบรรดารถที่คนทั่วไปซื้อหาใช้กันได้ Nissan Navara ใหม่นี้ เข้าใจผสานความไฮเทคเข้ากับการใช้งานจริงจังได้ดีที่สุด แสงสีไม่เยอะเท่า Rocco แต่พื้นที่จอ MID โตกว่า สังเกตเวลาเข็มเคลื่อนได้ง่ายกว่า Triton เหมือนจะดี แต่เอาเข็มน้ำมันกับอุณหภูมิไปกินตำแหน่งตายตัวบนจอ MID ทำให้เหลือที่โชว์ข้อมูลอย่างอื่นได้น้อย ส่วนของ Ranger มีจอสีสองข้าง เข็มความเร็วอยู่ตรงกลาง สวยอยู่ แต่มาตรวัดรอบเล็กเท่าเหรียญสิบ อ่านค่าได้ยาก

อีกหน่อย ก็คงหนีไม่พ้นเป็นจอสีๆกันไปหมด..แต่ผมชอบวิธีการออกแบบผสานเข็มกับจอ ในส่วนที่เหมาะสม เหมือนที่วิศวกร Porsche เคยบอกผมตอนคุยถึง 992 “อะไรที่เป็นเข็มอนาล็อกแล้วดี ก็ควรเป็นเข็ม อะไรที่ทำเป็นเข็มแล้วตลก ก็ใช้จอสี”

****รายละเอียดทางวิศวกรรม****

พูดถึงเรื่องเครื่องยนต์ ใน Nissan Navara Minorchange นี้ จะมีเครื่องยนต์ทั้งหมด 3 แบบ ทุกแบบเป็นเครื่องยนต์จูนผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 4

YD25DDTi

เป็นมรดกจากรุ่นเก่า แบบ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว ดีเซล เทอร์โบเดี่ยวแปรผัน VGS ความจุกระบอกสูบ 2,488 ซีซี. ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.0 x 100.0 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 15.0 : 1 ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที

เครื่องรุ่นเก่านี้ จะอยู่ในบอดี้ King Cab 2 ประตูตัวเตี้ยขับหลัง ซึ่งจะมีแต่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

YS23DDT

ไม่ใช่ยาฆ่าแมลง แต่เป็นเครื่องใหม่สำหรับตลาดประเทศไทย เป็นเครื่อง 4 สูบเรียง 16 วาล์ว ดีเซล เทอร์โบเดี่ยวแปรผัน VGS ขนาด 2.3 ลิตร 2,298 ซีซี. ขนาดกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก เท่ากับ 85.0 x 101.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.4 : 1 กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที

เครื่องยนต์นี้ จะอยู่ในรถ King Cab และ Double Cab 4 ประตู ที่เป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ไม่มีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ณ ปัจจุบัน

YS23DDTT

ตัว T สองตัว หมายถึงเทอร์โบคู่ ใช้เทอร์โบโข่งเล็กกับใหญ่ คอยรับหน้าที่ในรอบเครื่องต่างกัน เสื้อสูบเหมือน YS23DDT จึงมีขนาดความจุ 2.3 ลิตร 2,298 ซีซี.  กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 85.0 x 101.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.4 : 1 กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง B7, B10 และ B20

เครื่องยนต์รุ่นนี้จะติดตั้งอยู่ในรถ King Cab และ Double Cab รุ่นใดก็ตามที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ รวมถึงรุ่น 4WD

เครื่องบล็อค YS23 นั้น ที่จริงต้นกำเนิดมาจากยุโรปด้วยส่วนหนึ่ง แต่เดิมมีรหัสว่า M9T จากโรงงาน Cleon ของทาง Renault ติดตั้งในรถของค่ายฝรั่งเศสหลายรุ่น จนกระทั่ง Nissan นำมาใช้ใน Navara สเป็คนอก และรวมไปถึง Mercedes-Benz X-Class เป็นเครื่องดีเซลที่พัฒนามาสำหรับรถใช้งานหนักและรถพาณิชย์ กำเนิดมานาน 10-11 ปีแล้ว และในไทย ก็ติดตั้งลงใน Nissan Terra มาตั้งแต่ปี 2018 ลักษณะการจูนเครื่องยนต์ ไม่ได้ใช้เทอร์โบคู่แบบ 2 Stage เพื่อเค้นพลังสูงๆ เพราะตัวเลขแรงม้า/แรงบิดสูงสุด ก็เท่ากันกับเครื่อง YD25 ตัว High Power นั่นล่ะ แต่แรงบิดของ YS23 จะมาให้ใช้เร็วกว่า แต่หลังจาก 2700 รอบต่อนาทีไป จะสูสีกัน YD25 กราฟแรงบิดสูงกว่าในช่วงก่อน 3,700 แต่หลังจากนั้น YS23 จะคงแรงบิดเอาไว้ได้มากกว่า

นอกจากเรื่องคาแร็คเตอร์แรงบิดแล้ว สิ่งที่ Renault Nissan ตั้งใจปรับปรุงในเครื่องบล็อคนี้ก็คือการลดความสั่นสะเทือนในการทำงาน รวมถึงเสียงรบกวน ทำแม้กระทั่งติดตั้งฝาครอบเครื่องยนต์แบบช่วยลดเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องการลดมลภาวะ ถึงแม้เครื่องสเป็คไทยจะเป็น Euro 4 ไม่เหมือนกับของทางยุโรป  แต่เครื่อง 2.3 เทอร์โบคู่ในรถ Navara รุ่น VL4WD นั้น ปล่อย CO2 200 กรัม/กม. ซึ่งรุ่น VL เครื่อง 2.5 ขับสี่ตัวเก่าจะปล่อย 205 กรัม/กม.

ด้านระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อม Manual Mode +/- ดันข้างหน้าเพิ่มเกียร์ ดึงข้างหลังเพื่อลดเกียร์ แต่ไม่มี Paddle shift มาให้เล่น เป็นเกียร์ลูกเดียวกันกับ Navara รุ่นก่อนและ Terra โดยอัตราทดเกียร์มีดังนี้

  • เกียร์ 1……….4.887
  • เกียร์ 2………3.170
  • เกียร์ 3……….2.027
  • เกียร์ 4………1.412
  • เกียร์ 5………1.000
  • เกียร์ 6………0.864
  • เกียร์ 7………0.775
  • เกียร์ถอยหลัง 4.041 อัตราทดเฟืองท้าย 3.357

ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น เป็นแบบ Part-time มีสวิตช์ปรับโหมดที่คอนโซลกลาง เลือกได้ระหว่างโหมด 2WD (ขับหลัง) – 4H (ขับสี่ทดปกติใช้บนถนนฝุ่นหรือลูกรัง) และ 4Lo ซึ่งเป็นเฟืองทดสำหรับการลุยแบบเต็มขั้น ทั้งนี้ระบบขับเคลื่อนของ Navara นั้นจะไม่มี Center diff เพื่อทดความต่างในการหมุนระหว่างล้อคู่หน้ากับหลัง ดังนั้นจะใส่ 4H วิ่งบนถนนยางมะตอยไปทั่วประเทศแบบระบบ Super Select 4WD II ของ Mitsubishi นั้น ยังไม่สามารถทำได้

แต่ส่วนดีที่เพิ่มมาในรุ่นไมเนอร์เชนจ์รุ่น 4WD ก็คือ Rear diff Lock..เนี่ยล่ะ จะได้ทัดเทียมกับชาวบ้านเขา

Rear diff Lock จะเปิดใช้งานเฉพาะในเกียร์ 4Lo ซึ่งการเข้าเกียร์นี้ คุณต้องจอดรถนิ่ง ปลดเกียร์ว่างก่อนที่จะบิดสวิตช์ไป 4Lo ส่วนลักษณะการแบ่งถ่ายกำลัง จะกระจายหน้า/หลัง 50 : 50 ทั้งในเกียร์ 4H และ 4Lo นอกจากนี้ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อจะมีระบบช่วยลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC) ซึ่งเมื่อกดปุ่มแล้วปล่อยให้รถไหลลง ผู้ขับจะไม่ต้องควบคุมเบรก รถจะจัดการทั้งหมดเอง ที่เหลือเอาสมาธิไปเพ่งกับการคุมพวงมาลัยก็พอ

ระบบบังคับเลี้ยว แม้ว่าจะยังเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิก แต่แร็คพวงมาลัยก็ถูกยกเปลี่ยนใหม่ให้มีอัตราทดพวงมาลัยไวกว่าเดิม เวลาเลี้ยวเข้าซอย จากเดิมต้องหมุนพวงมาลัยกันเกือบรอบ คราวนี้จะหมุนน้อยลง วัดระยะการหมุนซ้ายไปขวาสุด จากเดิมจะได้ 4.1 รอบ คราวนี้เหลือ 3.4 รอบ แทน แต่เดิมนั้น Nissan เลือกทดพวงมาลัยยาวๆยานๆเพื่อให้ง่ายต่อการประคองรถในกรณีบรรทุกหนัก จะได้ไม่ประสาทกิน แต่ภายหลังเขาคงคิดได้แล้วว่า แม้แต่กระบะตอนเดียวของคู่แข่งก็ไม่ทดยาวสาวเยอะขนาดนี้ ก็เลยปรับซะใหม่ นอกจากนั้นแล้วก็ถือโอกาสปรับน้ำหนักพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำลงอีก 15%

ช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแนบแผ่นซ้อน โดยวางแหนบไว้ใต้เพลา (ในภาพ ยืมของรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์สเป็คนอกมาใช้) สิ่งที่ปรับเปลี่ยนในตัวใหม่นี่ก็คือ โช้คอัพที่ปรับมาเน้นการบรรทุกหนักน้อยลง แต่มุ่งไปที่การเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ โดยที่เสถียรภาพเวลาขับบทบู๊ก็ยังต้องมั่นใจได้ นอกจากนี้ ยางรองหัวเก๋ง ก็เปลี่ยนไปเป็นชนิดที่ซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับการปรับปรุงตัวรถในภาพรวม เพื่อให้ Navara Double Cab เป็นรถที่ขับแล้วคล่อง ขับแล้วนุ่มสบายขึ้น

โครงสร้างตัวถังเป็นแบบบอดี้รถวางบนเฟรม ตัวเฟรมมีโครงสร้างหลักเป็นเหล็กกล้า Full Boxed Ladder Frame ชิ้นเดียวตลอดคัน ซึ่ง Nissan ดูจะภาคภูมิใจกับความแกร่งของแชสซีส์แบบนี้ ตั้งแต่สมัย Big M/Frontier แล้ว และพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน ด้านหลังเป็นดรัมเบรก มาพร้อมระบบ ABS ป้องกันล้อล็อค (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BA (Brake Assist)

ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น Navara ทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมกับเบรก ABS และถุงลมนิรภัยคู่หน้า ส่วนถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัยนั้น จะมีเฉพาะในรุ่น VL, Pro-2X และ Pro-4X ส่วนระบบความปลอดภัยขั้นสูงขึ้นมา เช่นระบบช่วยในการขับถนนลาดชันขาขึ้น HSA + ระบบกล้องรอบคัน AVM และรอบบเตือนสิ่งเคลื่อนไหวรอบรถ MOD จะมีในทุกรุ่นยกเว้น King Cab ตัวเตี้ย

ระบบเตือนการชนด้านหน้า และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (IFCW และ FEB) จะมีใน Calibre V ทั้ง King Cab และ Double Cab, VL, Pro-2X และ Pro-4X  พวกระบบเตือนรถในมุมอับสายตา ระบบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบเตือนขณะถอยออกช่องจอด RCTA  ระบบไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยประคองลงเนินชัน (HDC) จะมีใน VL และ Pro-4X ซึ่งเป็นรถ 4WD เท่านั้น

ในเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยเสริมแบบนี้ Navara ทำคะแนนได้ดีทีเดียว เพราะขาดแค่ Adaptive Cruise Control (Revo Rocco และ Ranger Wildtrak มี) แต่ในรายการอื่นๆมีครบหมด เจ้าตลาดอย่าง Rocco นั้นจะไม่มีระบบเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง ไม่มีระบบ RCTA ส่วน Ranger Wildtrak ไม่มีกล้องรอบคัน ไม่มีระบบเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง ส่วน Triton Athlete มีทุกอย่างเหมือน Nissan ยกเว้นไฟสูงอัตโนมัติ

****การทดลองขับ****

ในด้านของอัตราเร่งนั้น ก็เป็นไปตามที่คาดคือ ไวกว่ารุ่น 2.5 ลิตรเดิม แต่ไม่ได้ถึงขนาดฉีกยับ ตัวเลขอัตราเร่งอย่างเป็นทางการ ทดสอบโดย J!MMY และคุณ QCXLOFT นั่งไปด้วยกัน ทำ 0-100kmh ได้ภายใน 10.85 วินาที อัตราเร่งแซง 80-120kmh จบใน 7.6 วินาที ส่วนตัวเลขที่ผมนั่งขับจับเวลากับคุณ Cokey P ตอนกลางวันแดดร้อนๆ ตีนต้นช้ากว่ากันหน่อยๆ คือประมาณ 11.3 วินาที แต่ช่วงเร่งแซง จบที่ 7.65 วินาที ซึ่งใกล้เคียงกันจนอาจจะมาจากเรื่องจังหวะในการกดนาฬิกาจับเวลาก็ได้ แต่ทั้งนี้ มันยืนยันสิ่งที่ผมคาดเอาไว้ได้ว่า เครื่องยนต์ YS23 ที่แรงบิดมาเร็วกว่า ส่งผลให้ดีดออกตัวทำเวลาได้ดีขึ้น ในขณะที่ช่วง 80-120 นั้น รอบเครื่องจะไปกวาดอยู่แถวๆย่านที่พละกำลังระหว่างเครื่องใหม่กับเครื่องเก่า ไม่ต่างกันมาก ผลที่ออกมาจึงแทบจะเสมอกัน

ถ้าเทียบกับคู่แข่ง Hilux Revo Rocco ซึ่งมีแรงบิดเยอะจากความจุที่โตกว่า จะมีอัตราเร่งดีดออกตัวที่ไว แต่อัตราเร่งแซงใกล้เคียงกัน ส่วน Ranger Wildtrak นั้นถึงจะมีน้ำหนักมากแต่แรงบิด 500 นิวตันเมตรเท่า Revo และมีแรงม้าเยอะกว่าใคร ทำอัตราเร่งดีดออกตัวได้ดีกว่า แต่ช่วงแซงจะหนีห่าง Navara ไม่มากนัก ในขณะที่ Triton จะเป็นรถที่มีอัตราเร่งใกล้เคียงกับ Navara มาก แต่บุคลิกการแสดงออกของพลังต่างกันทุกรุ่นที่กล่าว Revo แรง ห้าว ดึงหนักแล้วค่อยแผ่วปลาย Triton ต้นออกเหี่ยวแล้วค่อยไปดึงปลาย ส่วน Ranger จะเป็นประเภทแรงมากว้างๆดึงไม่หนัก แต่มาต่อเนื่อง เร็วเพราะใช้เกียร์ 10 จังหวะเลือกอัตราทดที่ลงตัวสุดได้มากกว่าคนอื่น

อุปนิสัยของ Navara เครื่อง 2.3 ลิตรตัวใหม่ ถ้าว่ากันที่ตัวเครื่องยนต์ จะคล้าย Ford มาก แรงดึงดีตั้งแต่ต้น กลาง ยันปลาย ทำให้เวลาขับแล้วเหมือนมันจะแรงเท่าๆกันตลอด ใช้ความรู้สึกจับแล้วเหมือนไม่แรง แต่ที่จริงมันไปได้เร็วเหมือนกัน ถ้าคุณเทียบกับเครื่อง 2.5 ลิตรตัวเก่า เจ้านั่นจะมีแรงดึงช่วง 3,000 รอบชัดเจนทำให้รู้สึกเหมือนรถแรง

การทำงานของเครื่องยนต์และเกียร์ ถูกเซ็ตมาให้กำหนดลักษณะการเร่งได้ง่าย ถ้าคุณแตะคันเร่งแผ่วมากๆ รอบก็จะไต่จากระดับต่ำไป เหมือนรถเกียร์ธรรมดาเข้าเกียร์ 5 หรือ 6 แล้วเอาแรงบิดมาใช้ในการเพิ่มความเร็ว ถ้าคุณกดคันเร่งเพิ่มเข้าไปอีกนิด Torque Converter จะฟรีให้เครื่องเด้งรอบไปสูงขึ้น หรือเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ เพิ่มความเร็วแบบน้ำเต้าหู้ไม่หก และถ้ากดเต็มตีน ก็ให้สมรรถนะเต็มพิกัด แต่มันจะแสดงออกแบบสุภาพ ไม่กระชาก จนคุณนึกว่ามันช้า แต่จับเวลาจริงๆแล้วไม่ช้า การทำงานของเกียร์ 7 จังหวะ ไม่มีอะไรให้น่าติเป็นพิเศษ ยกเว้นเวลาเล่นเกียร์ +/- เองซึ่งในหลายครั้ง ตบเกียร์ไปแล้ว กินเวลานานกว่ามันจะเข้าเกียร์ที่เราต้องการให้ งงเหมือนกัน ตอนขับ Terra ปี 2018 ยังไม่หน่วงขนาดนี้

แต่สิ่งที่ประทับใจมากกว่าเรื่องพลัง ก็คือความเรียบร้อยน่ารักของเครื่องยนต์ ซึ่งต่างจาก 2.5 ตัวเก่าชัดเจนมาก ไอ้ 2.3 นี่เสียงเครื่องยนต์เวลายืนฟังนอกรถ เวลาขับทางไกลเรื่อยๆ หรือแม้แต่ตอนเร่ง ทุกขณะ เงียบลงอย่างชัดเจน ความสั่นสะเทือนสไตล์ดีเซลแบบดั้งเดิม ลดลงมาก ให้คุณนึกภาพว่าเอาเครื่องดีเซลตัวเก่ามา แล้วให้มันกินเครื่องดีเซลเก๋งยุโรปเข้าไปสัก 40-50% นั่นคือสิ่งที่อธิบายคาแร็คเตอร์เครื่องของมันได้อย่างดี กระบะดีเซลตัวเดียวขณะนี้ที่ให้ความเงียบเรียบนิ่มได้เหมือน Navara ก็คือ Ranger ที่เป็นบล็อค PANTHER 2.0 ลิตรตัวใหม่เท่านั้น ความเงียบของเครื่องยนต์ส่งผลให้คุณมีความผาสุขผ่องไพจิตรเวลาเดินทาง แม้ว่าเสียงลมจากกระจกบานข้างจะไม่ได้เงียบกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน แต่เมื่อรวมเสียงเครื่องเข้าไปด้วย..มันเลยถือว่าดีทีเดียว

โห! คุณเอ๊ยย ถ้าไอ้เครื่อง 2.3 ลิตรนี้มันโผล่มาบ้านเราตั้งแต่ปี 2015 นะ ผมว่ามันจะทำให้ Navara เป็นกระบะที่เครื่องยนต์ดีที่สุดเลยทีเดียว..แต่มันดันเพิ่งมาตอนที่ Revo อัพสู่พลัง 204 แรงม้า และ Ford มีเครื่องไฮเทคอยู่แล้ว ความเด่นมันเลยลดลง

สิ่งต่อมาที่ชอบ ก็คือ อัตราทดพวงมาลัยใหม่ที่ไวขึ้น ทำให้เวลาเปลี่ยนเลน ไม่ต้องหักพวงมาลัยแทบจะแตะมุมฉากแบบรุ่นเดิมอีกต่อไป ช่วงขับบนโค้งถนนเขื่อนศรีนครินทร์เข้าเมืองกาญจน์ มีบางโค้งที่หักมาก ก็เอาอยู่สบายมือขึ้น เวลาวิ่งทางไกลจะยังรู้สึกว่าช่วงถือพวงมาลัยตรง มีความเบา มีระยะฟรีเยอะ แต่พอหักพวงมาลัย มันก็ไปตามสั่ง และทำให้เดินทางไกลแบบไม่ต้องเกร็งมือ พวงมาลัยขยับตามความสะเทือนของมือบ้าง รถก็ยังไม่เป๋ น้ำหนักที่ความเร็วต่ำ ผมว่าเบากว่าเดิมพอให้รู้สึกได้

เรื่องการตอบสนองของพวงมาลัยน่ะดีขึ้นจนผมยอมรับได้แล้ว แต่ถ้าเทียบกับคันอื่นล่ะ? Ranger Wildtrak ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า และเซ็ตได้ดีมาก ความเร็วต่ำเบาสบายสุดๆ ความเร็วสูงก็ตึงมือพอ ไม่ประสาท ไม่สั่น ส่วน Revo มีความไวของพวงมาลัยที่ทำให้เล่นโค้งสนุกกว่า Navara แต่มันสั่นไปตามสภาพถนนจนเกินงามสำหรับกระบะยุคใหม่ ในขณะที่ Triton นั้น พอไมเนอร์เชนจ์ใหม่มา กลับมีความโหวงช่วงกลางๆแบบประหลาด และมีความไวที่มากกว่า Nissan เลยเป็นรถที่ขับโค้งสนุกแต่วิ่งทางไกลแล้วเกร็งกว่า

ช่วงล่างล่ะ? Lovely! ถ้าคุณมองหากระบะจากโรงงานที่ช่วงล่างนุ่มสบาย Navara ในวันนี้ ถีบตัวเองจากเดิมเป็นรถที่ท้ายดิ้นดุดๆๆไปตามสภาพถนน นั่งไม่สบาย กลายเป็นรถกระบะที่ให้ความนุ่มนวลยามวิ่งทางไกลมากเป็นอันดับต้นๆ ใครเป็นคนเซ็ตโช้คกับดูแลเรื่องช่วงล่างนี่ควรได้รับรางวัลเป็น Nissan Kicks 1 คัน ถ้ามีมากกว่า 1 คนก็เอาไปคนละคันแล้วกัน

คือคุณอย่าไปเอา..รถอย่าง Ranger Raptor มาเทียบนะครับ นั่นมันช่วงล่างหลักแสน ยังไงก็นุ่ม เนี๊ยบ สบายกว่า Navara ล่ะ แต่หันไปมองพวกล้านต้นด้วยกัน มีแค่ Ranger Wildtrak นั่นล่ะที่นั่งไกลๆแล้วสบายได้เท่ากัน แต่นิสัยช่วงล่างจะต่างกันบ้าง Ranger คือรถที่นุ่มกลางๆและช่วงล่างมีการยุบ/คืนตัวหนืดเท่ากันเกือบตลอด เวลาหักเลี้ยวจึงรู้สึกมั่นคงกว่า แต่ Navara นั้น ในช่วงระยะยุบแรกๆของช่วงล่าง มันจะนุ่มมาก ยุบไวมากกว่า เวลาขับเร็วๆแล้วลองยึกพวงมาลัยเล่น จะรู้สึกเสียวๆในตลอดแรก แต่ลองกลั้นใจหักให้แรงขึ้น ก็จะพบว่าช่วงล่างมันขืนตัวสู้เองในภายหลัง พอรู้จังหวะการยุบของโช้คแล้ว คุณจะสบายใจสบายตรูดไปกับมัน แถมช่วงล่างหลังที่ไม่กระเด้ง ยังช่วยเวลาเข้าโค้งแล้วเจอถนนไม่เรียบ อาการท้ายดีดๆเต้นๆที่ลดลง บวกกับการยุบแบบนุ่มแต่มีการควบคุม ทำให้ผมสนุกกับการบู๊ Navara อย่างสบายอารมณ์

ระบบเบรกนั้น แป้นเบรกจะมีระยะฟรีช่วงแรกนิดหน่อย แต่พอกดไปสักพักแรงเบรกจะเริ่มมา และมาแบบค่อยเป็นค่อยไป เบรกแล้วหัวไม่ทิ่ม แล้วก็ไม่ได้เบรกลึกจนต้องกดเยอะๆ แต่ถ้าเทียบกับพรรคพวก ก็ไม่ได้มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ Revo ก็เซ็ตแป้นมาได้ต่อเนื่อง คุมง่าย ในขณะที่ Ford ซึ่งเคยมีแป้นระยะฟรีเยอะๆ ก็แก้ไขจนขับดีขึ้นแล้ว ประสิทธิภาพการลดความเร็วจากระดับ 150 เหลือ 80 สามารถทำได้มั่นใจ แม้ว่าจานเบรกจะดูเหมือนเล็กก็ตาม

อัตราการสิ้นเปลือง ในการทดสอบตามมาตรฐานของ J!MMY วิ่ง 110 คงที่เปิดแอร์ตอนกลางคืน ได้ 14.56 กิโลเมตรต่อลิตร ประหยัดน้องๆ Isuzu 1.9 ขับหลัง และดีที่สุดในบรรดากระบะขับสี่ทั้งหมด ส่วนการใช้งานแบบขับชีวิตจริง ผมลองอัตราเร่ง 0-100, 80-120 รวมกันไป 8-9 ครั้ง และยังมีทำความเร็วไป 170 อีกสองครั้ง จากนั้นขับแบบปกติ ช่วงที่ขับโหดๆ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองก็ยังมี 10 กิโลเมตรต่อลิตร แต่พอขับแบบปกติ (รถติดไม่มาก เร่งแซงบ้าง และพยายามใช้ความเร็ว 120) ก็ค่อยๆตีขึ้นไปหาหลัก 12.5 กิโลเมตรต่อลิตรบนหน้าปัด ซึ่งเทียบกับสมัยก่อนที่ผมนำ Navara Sportech King Cab มาใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าขับแบบเดียวกัน ผมได้ 11 กิโลเมตรต่อลิตรก็แทบจะเผากางเกงถวายแล้ว

****สรุปการทดลองขับ****

Likes: ปรับหลายส่วนจนหายห่วย เครื่องเงียบนิ่มขึ้น ช่วงล่างนุ่มสบายขึ้น พวงมาลัยเลิกยานแล้ว อุปกรณ์ในภาพรวมครบขึ้น อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยครบครัน

Dislikes: เบาะหลังยังแคบสุดในกลุ่มเหมือนเดิมแม้จะนุ่มขึ้น รุ่น Pro-4X 1.149 ล้านไม่มีเบาะไฟฟ้าคนขับ ของเล็กของน้อยบางอย่างพวกมือจับขึ้นรถสำหรับคนขับ และที่วางแก้วช่องแอร์ควรมี

ต้องยอมรับว่า การพยายามปรับปรุงรถรุ่นนี้ เป็น BIG Minorchange อย่างแท้จริง จากเดิม หากสมมติว่าต้องขับรถ 600-700 กิโลเมตร หากให้เลือกรถกระบะมาขับสักคัน ผมจะเลือก Navara เป็นอันดับหลังๆ แต่ในวันนี้ ถ้าให้ขับ Navara เหรอ No problem, dude. Bring it on! สิ่งที่ผมเคยรำคาญใน Navara เดิม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ ถูกแก้ไขจนน่าพอใจ ช่วงล่าง ตอนนี้ กลายเป็นกระบะที่นุ่มสบายตรูดสุดเคียงข้าง Ford Ranger รวมถึงความมั่นใจในการขับขี่ ชนิดที่แอบสงสัยไม่ได้ว่าทีม Chassis Engineering เขาไปออก Ranger ป้ายแดงมาทำ Benchmark ช่วงล่างกันหรือเปล่า มันไม่ได้เหมือน 100% แต่ก็ใกล้เคียงแล้วล่ะ พวงมาลัยที่ปรับอัตราทดมาใหม่นั้น ส่วนตัวผมอยากให้ทดไวกว่านี้สักนิด แต่เท่าที่เป็นอยู่ ก็พอให้ขับเล่นโค้งแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยใจ

เครื่องยนต์ 2.3 ลิตรตัวใหม่ แม้ไม่ได้แรงขึ้นแบบหน้ามือหลังเท้า แต่ก็ให้ความเดินเรียบเงียบนิ่มแบบที่รู้เลยว่า มันเป็นดีเซลยุโรป และยังเป็นเครื่องที่ทำขายมานานจะทศวรรษแล้ว ใส่ใน Terra เมืองไทยมาก็ 2-3 ปีแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็น่าจะมีคนเจอไปก่อนหน้าแล้วไม่น้อย ถือว่าไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องความประหยัดเชื้อเพลิงนั้นก็ทำได้ดีขึ้นชัดเจน

ส่วนเรื่องอุปกรณ์ต่างๆนั้น แม้จะมีทั้งที่เอาออก..ที่เอาออกไปก่อนหน้าไมเนอร์เชนจ์ก็ด้วย แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เข้ามาแทน ผมคิดว่าในภาพรวมมันดีขึ้น เพราะของที่เอาออก มักจะเป็นของเกี่ยวกับเรื่องความสะดวกสบาย แต่ของที่เพิ่มเข้ามา คือของที่เกี่ยวกับการขับขี่และความปลอดภัยเป็นหลัก Rear diff-lock ก็ได้เพิ่ม ระบบความปลอดภัย เบรกอัตโนมัติ RCTA ระบบเตือนรถในจุดบอด ผมว่าผมแลกสิ่งเหล่านี้กับที่วางแก้วได้ (แต่ถ้าไม่ตัดออกเลยก็จะดีใจกว่ามาก)

สิ่งที่ยังปรับปรุงได้ยาก เพราะติดเรื่องโครงสร้างตัวรถ ก็คือพื้นที่เหยียดขาสำหรับคนนั่งหลัง ซึ่งคู่แข่งทุกตัวดีกว่าหมด รวมถึงพวงมาลัยที่ปรับระยะใกล้-ไกล ไม่ได้ ปัจจัยเหล่านี้ แม้จะมีการพูดถึงกันน้อยมากในโลก Social แต่สำหรับลูกค้าบางคน การซื้อรถ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขานั่งขับแล้วรู้สึกถนัดไหม ครอบครัวเขาที่อยู่บนเบาะหลัง นั่งสบายหรือไม่ คนเหล่านี้อาจจะอยากได้ Navara แต่ถ้ารถไม่สามารถทำตัวเป็นกางเกงในที่พอดีตัวแบบเป๊ะๆได้ เขาก็อาจจำใจต้องไปเอายี่ห้ออื่น

บางครั้ง ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ คนในบริษัทรถ ประกอบด้วยหลายผู้คน หลายทีม อย่างใน Nissan ผมดูจากตัวรถแล้วก็พอจะเดาได้ว่าทีมวิศวกรหลายคน พยายามจะทำ Product ที่คนมองข้ามอย่าง Navara ให้ดีดตัวทีเดียวขึ้นมาอยู่แถวหน้า หลายคนก็อยากให้รถที่ตัวเองมีส่วนในการสร้าง ได้ออกมาวิ่งบนถนนมากขึ้น แต่ท้ายสุด แม้ว่าผู้คนจะทราบถึงความตั้งใจเหล่านั้น แต่น้อยคน คงยอมจ่ายเงินล้านเพื่อซื้อความประทับใจในความพยายามของทีมผู้สร้าง เขาต้องซื้อ..ในสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันเหมาะกับตัวเขาที่สุด

สิ่งที่ผมบอกได้คือ วันนี้ พวกคุณผู้สร้างและปรับปรุง Navara ทำมันออกมาได้ดีที่สุดแล้ว ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆนานาของบริษัท ส่วนจะขายได้หรือไม่ได้ คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ขาย หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขายช่วยกัน ในยามที่เราโดนไอ้โรคเวร COVID-19 เล่นงานจนเจ็บกันทุกหย่อมหญ้าแบบนี้ คนยิ่งคิดมากเวลาใช้เงิน การจัดกิจกรรมต่างๆก็ยากขึ้น การตลาดในเชิงออนไลน์ จึงมีความสำคัญมาก ส่วนนี้คุณต้องหาไอเดียเจ๋งๆในการนำเสนอผลิตภัณฑ์กันเอง ..ผมช่วยไม่ได้ เพราะผมเป็น Tester ที่มีหน้าที่ชูทั้งจุดดี และจุดที่ไม่ดี แล้วให้ลูกค้าลูกค้าไปวัดใจต่อที่โชว์รูม เมื่อถึงโชว์รูม มันก็ต้องมีคนที่สร้างความประทับใจ มัดใจลูกค้าให้ได้ต่อไป

ในช่วงเวลาที่มีทั้ง Hard Market + Hard Target + Hard Time ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งในวงจรนี้พลาด คุณเสียลูกค้าได้ง่ายมาก

Toyota Hilux Revo Rocco นั้น เขาเป็นไททัน Colossus ตัวใหญ่ในตลาดอยู่แล้ว ถึงจะแพงกว่า Navara 90,000 บาท แต่ลูกค้าส่วนมากมองเขาเป็นตัวเริ่มต้นอยู่แล้ว พลังเครื่องยนต์ถูกใจคนเท้าหนักมากกว่า เบาะหลังมีเนื้อที่เยอะกว่า มีอุปกรณ์บางรายการมากกว่า แต่อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยก็ขาดบางตัว ช่วงล่างแม้จะประชาสัมพันธ์ว่านุ่มขึ้นแล้ว แต่ลองสูบลมยางเท่าๆกันแล้วไปวิ่งมอเตอร์เวย์สักรอบ เดี๋ยวรู้เรื่องครับว่าใครสบายกว่า

Ford Ranger Wildtrak ถึงแม้จะเข้าสู่ช่วงปลายอายุเต็มทนแล้ว แต่มันเป็นรถที่เหมือนขิง ยิ่งแก่ยิ่งร้อนแรง สามารถประหมัดมือกับ Navara ได้สบายมากทั้งเรื่องขุมพลัง Panther 2.0 และช่วงล่าง แต่คนที่ไม่กล้าซื้อ ก็เพราะกลัวเรื่องความจุกจิก ความทนทานของตัวรถในส่วนของเครื่องยนต์และเกียร์มากกว่า ส่วนด้านบริการนั้น ถ้าเทียบกับสมัย Fiesta แล้ว ก็เห็นว่าดีขึ้นบ้าง

Mitsubishi Triton Athlete เป็นคู่แข่งที่มีความใกล้เคียงกันในหลายด้าน ราคาถูกว่า Nissan แค่ 3,000 บาท มีจุดขายที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อดีที่สุดในกลุ่ม สามารถใส่เกียร์ 4 High วิ่งถนนยางมะตอยได้อย่างสมบูรณ์ไม่ขืนเพลา มีอุปกรณ์ติดรถต่างๆใกล้เคียงกับ Navara มากที่สุด แต่เครื่องยนต์จะรอรอบมากกว่า ช่วงล่างหน้านุ่มกว่า แต่หลังสะเทือนกว่า

เห็นคู่แข่งแล้วแบบนี้ ก็หนาวใช่เล่นนะครับ นี่ถ้าหากว่า Navara ปรับแค่หน้าตา ไม่ปรับอย่างอื่นเลย ก็จะเป็นรถที่สู้ใครไม่ได้สักอย่าง แต่ในเมื่อเราเห็นว่ามันมีการปรับปรุงมาขนาดนี้ ผมบอกกับคนอ่าน และลูกค้ากำเงินล้านต้นๆไว้ได้เลยว่า ไปลองดูก่อนว่าคุณโอเคกับเบาะหลังมันไหม จากนั้นลองขับ ลองนั่งช่วงล่างมันดู ถ้าขับเสร็จแล้ว ไม่มีความประทับใจใดๆเกิดขึ้น ก็ให้เงินของคุณไปอยู่กับยี่ห้ออื่นได้เลย

เพราะแม้แต่ผม ก็ไม่อาจรู้ความจำเป็นในชีวิตของแต่ละท่านครบ ผมขอแค่ให้ข้อมูล ประสบการณ์ นำมาแชร์กัน ส่วนการตัดสินใจนั้น

ผมยกให้เจ้าของเงินเป็นคนเลือกดีกว่า

—//////—


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Nissan Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และภาพถ่ายเป็นผลงานของผู้เขียน
ภาพถ่ายรถยนต์จากต่างประเทศ ภาพวาด หรือ ภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิค
Illustration เป็นของ Nissan Motor Co.Ltd.

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 3 มีนาคม 2021

Copyright (c) 2021 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission
is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com 3 March 2021