บางคนจะคิดว่าทำไมผมต้องขึ้นบทความด้วยเรื่องการทำงานของ PR บริษัทรถกับสื่อมวลชนในช่วง Lockdown ตลอดเลย..

บางทีก็อยากแชร์ให้ฟัง ว่า COVID มันส่งผลต่อชีวิตพวกเราแบบใดบ้าง แค่นั้นแหละครับ การทดสอบรถที่จากเดิมเราสามารถนัดพบที่โรงแรมเป็นหมู่คณะ ฟังบรรยาย ถามตอบด้วยกัน แชร์รถกันขับ แชร์ความเห็นกับสื่อฯเจ้าอื่น Featuring กันในคลิปบ้าง สิ่งเหล่านี้มันถูกแทนที่ด้วยการพยายามไม่เจอหน้ากัน การถาม/ตอบผ่าน Microsoft Team หรือ Zoom และบริษัทรถเองก็ต้องแบกรับขั้นตอนการตรวจร่างกาย การฆ่าเชื้อ เพิ่มเข้ามา รวมถึงการที่ต้องเอากำลังคนมาใช้เป็นระยะยาว จากเดิมเทสต์ครั้งนึงได้ 20-40 สื่อฯ ตอนนี้เหลือแค่วันละ 4-5 เจ้า กว่าจะครบก็คิดดูว่านานขนาดไหนกว่าจะจบงาน

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ใน First Impression ของ Honda Civic หรือ City ก็เล่าให้ฟังว่าเขาทำอย่างไรกัน ทีนี้ก็เป็นคิวของ Nissan บ้าง ตลอดเดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ทุกอย่างมีอุปสรรคต่อการจัดงาน ว่าจะรับรถ/ส่งรถกันยังไง จะเดินทางอย่างไรไปให้ถึงจุดนัดพบ ถึงแล้วต้องแยงจมูกตรวจหา COVID แล้วรอฟังผลว่าลบหรือบวก ของ Nissan นี่ทำสิ่งที่ผมกุมขมับเลยครับ

PR Nissan บอกแค่เพียงว่า พวกเขาเลือกที่จะเอาคนของเขา..ขับ Terra Minorchange เอาไปส่งถึงหน้าประตูบ้านสื่อมวลชน เพื่อให้สื่อฯอย่างพวกเราไม่ต้องมารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งก็ขอบคุณมาก ทั้งๆที่ความจริง แค่นัดให้ผมไปลานจอดรถสักแห่ง จอด Terra รอไว้ แล้วผมขับรถส่วนตัวไปจอดข้างๆ แล้วรับ Terra ไป เย็นเอากลับมาคืน แค่นั้นก็พอแล้ว ผมทำงานต่อได้ แต่เขายืนยันว่า จะใช้วิธีการแบบนั้นให้สื่อฯทุกคนได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน ผมก็เลยบอกว่า “ก็ดี มาดิ แบบนั้นพี่ก็สะดวกแหละ”

ซึ่งเช้าวันนั้น อิพี่แพนของพวกคุณอยู่บ้านนุ่งชุดเหมือนโดนหมาป่ารุมฟัดมา..เพราะเราก็นึกว่า คนที่มาส่งรถคงเป็นพวกพี่ๆผู้ชายตัวใหญ่ๆสายโหดตบหมีตาย แต่…ปรากฏว่า Terra สีน้ำตาลแดงเมทัลลิคมาจอดหน้าบ้าน คนที่ขับมาเป็นสาวน่าจะรุ่นหลานที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน สวยเยี่ยงนางแบบแท้ ใส่แว่นอีกต่างหาก นึกภาพว่าผมวิ่งปุเลงๆ ออกมารับรถแล้วพอเห็นดังนั้นก็ J-Turn ล้อฟรีตัวเองกลับเข้าบ้านไปเปลี่ยนชุดที่ดูเหมาะแก่มารยาทมากขึ้น นอกจากหลานสาวคนนี้แล้ว ยังมีผู้ชายขับรถอีกคันตามมา เมื่อนำรถเข้าจอดในบ้านผม พวกเขาก็ช่วยกัน ลงสเปรย์แอลกอฮอลฆ่าเชื้อภายในรถอย่างทั่วถึงชนิดที่ผมปรามๆไว้ว่า “น้องไม่ต้องงานละเอียดมาก พี่ขึ้นไปตดปู้ดนึง งานพวกน้องก็หมดค่าแล้ว”

เท่านั้นยังไม่พอ ปกติเวลาเราไปทริปทดสอบรถ ก็ต้องมีผู้บริหารบริษัทรถบินมาร่วมงานเลี้ยงยามเย็น กล่าวสุนทรพจน์ แล้วบินกลับ ส่วนการจัดงานยุค COVID ของ Nissan น่ะหรือ? หลานสาวใส่แว่นกับทีมผู้ชายยืนประจันหน้ากับผม แล้วเอา iPad มายืนถือตรงหน้าผม พอเปิดคลิปบนจอก็มีท่านประธาน Nissan คนปัจจุบันโผล่มา กล่าวสุนทรพจน์ ผมยืนฟังอย่างตั้งใจ คนทำความสะอาดก็ทำไป ส่วนแม่ผมก็ยืนอยู่บนชานบ้าน มองลงมายังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความงุนงงว่านี่มันพิธีกรรมลัทธิอะไรสักอย่างหรือเปล่า

เมื่อทีมส่งรถกลับไป ผมก็โทรหาทีม PR Nissan ว่า “ไอเดียใครวะส่งน้องคนนี้มา” ผมได้เสียงหัวเราะเป็นคำตอบ แปลว่าพวกนั้นแม่(ง) วางแผนแกล้งเพิ่ม Heart Rate ผมแต่เช้านั่นเอง แต่ไม่ว่ากัน เพราะจริงๆผมก็ชอบ แต่พวกมึงควรบอกกูก่อนนิดนึง

หลังจากนั้น ผมก็มาอยู่กับ Nissan Terra ซึ่งแม้ผมจะขับแล้ว แต่เราก็ยังเขียนรีวิวออกสื่อไม่ได้จนกว่าจะวันที่ 21 สิงหาคม…เพราะไอ้การที่ต้องตระเวนส่งรถให้สื่อฯขับกันเจ้าละวันนั่นทำให้กินเวลามาก กว่าที่สื่อฯรถยนต์จะขับกันหมดมันจึงกินเวลานานนับเดือน ก็เลยมีข้อตกลงกันว่าทุกคนจะไม่เผยแพร่รีวิวก่อนวันที่เขากำหนด เวลาคุณเจอใครพูดถึงคำว่า Embargo มันก็คือข้อตกลงในลักษณะนี้ล่ะครับ ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียนะ แต่เราคงไม่ต้องพูดถึงมันในวันนี้หรอก

Nissan Terra Minorchange เปิดตัวก่อนหน้านี้นิดเดียว คือวันที่ 19 สิงหาคม ผ่านไลฟ์บนเพจ Nissan Thailand โดยปูภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ เอาใจลูกค้ากลุ่มครอบครัวชัดเจน เลือกกระโดดผากระโดดน้ำตก มาเป็นโฆษณาในสไตล์ชีวิตที่เรียบง่ายของครอบครัวฐานะปานกลาง ธรรมดา แต่อบอุ่นจนชวนนึกถึงสมัยโฆษณา “เธอเท่านั้น” ของ Nissan Tiida Latio แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น..ส่วนที่สำคัญก็คือราคา

  • TERRA 2.3 Twin Turbo E ขับหลัง ราคา 1,199,000 บาท
  • TERRA 2.3 Twin Turbo VL ขับหลัง ราคา 1,449,000 บาท
  • TERRA 2.3 Twin Turbo VL 4WD ราคา 1,499,000 บาท

ถ้าเทียบราคากันกับโฉม MY2020 แล้วล่ะก็ รุ่นเริ่มต้นถูกลง 100,000 บาท! ส่วนรุ่นท้อปออพชั่นครบ แพงกว่าเดิม 40,000 บาท ส่วนรุ่น VL ขับหลังนี่อาจจะดูเหมือนแพงขึ้นมากหน่อย เพิ่มเข้าไปจากเดิมอีกแสนบาท ดูท่า Nissan จะเลือกตั้งราคาแบบ “เอาขับสี่ไปเลยมั้ยเพื่อน” เพราะเพิ่มห้าหมื่นบาทก็ได้ระบบขับสี่กับของเล่นเพิ่มอีกหลายรายการ ถึงแม้บางบ้านอาจไม่มีโอกาสได้ใช้ในรอบ 5 ปีก็คงอดคิดไม่ได้

คงไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่ทำให้ Nissan ต้องรีบทำการไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ภายในเวลาอันรวดเร็ว ก็คือ รถรุ่น 2018-2020 ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ดีพอจริงๆ แม้ว่าจะวางราคาเอาไว้ถูกกว่าใครในเซกเมนต์..ไม่ต้องไปโทษการวางราคาของ MU-X เลยนะ เพราะก่อน MU-X มายอดขายของ Terra 2018 ก็ไม่ได้ขายดีอยู่แล้ว ปัจจัยที่ทำยอดขายได้ไม่ดี น่าจะมาจากความอินดี้ของ Nissan ที่เชื่อว่า อะไรที่ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปปรับ แต่ไอ้สิ่งที่ดีที่ว่า มันเป็นสิ่งที่ดีในความคิดพวกเขา ไม่ใช่ในมุมมองของลูกค้าที่กำเงินอยู่จริง ตลาดเมืองไทยมีนิสัยอยู่อย่างนึงก็คือ ถ้าคุณเป็นรถคลาสแพง แต่ดีไซน์ของคุณเหมือนรถคลาสถูกกว่า คนจะแอนตี้ แต่ถ้าคุณเปิดตัวรถคลาสถูกกว่า แต่ดีไซน์ของมันไปเหมือนรถรุ่นที่แพงกว่า ดังนั้น “งาน” ที่เหมือนกัน แต่เลือกเปิดใน “ช่วงเวลา” ที่ไม่ถูก ผลที่ได้ก็ต่างกัน ดูอย่าง Teana L33 ที่ถูกมองว่าเหมือน Sylphy มากไป แล้วเป็นไงครับยอดขาย..ทั้งๆที่ตัวรถก็มีข้อดีไม่น้อย

ความผิดพลาดอย่างเดิม มาซ้ำสองตรงคิวของ Terra 2018 เพราะขนาดลงทุนออกแบบใหม่เกือบทั้งคันจนมีแค่ประตู กระจกมองข้าง กับกระจกหน้าที่ใช้ร่วมกับ Navara แต่เจ้ากรรม ด้านหน้าของรถก็ยังเห็นแล้วดูนึกถึง Navara อยู่ดี ภายในก็ยกคอนโซลของ Navara มาใส่เลย ซึ่งพอนักข่าวถามตอนไปเยี่ยมชมที่ญี่ปุ่นว่าทำไมไม่ทำให้มันต่าง เราก็ได้ข้อมูลมาว่าฝ่ายออกแบบทำเรื่องเสนอเปลี่ยนดีไซน์ไปแล้ว แต่โดนตีตก เพราะระดับบิ๊กเขาบอกว่าของ Navara มันก็ดีอยู่แล้ว ซึ่งเวลากับยอดขายก็พิสูจน์แล้วว่าความคิดแบบนี้ไม่เวิร์ก ท่านประธานคนปัจจุบัน คุณ Isao Sekiguchi ก็ทราบดีเรื่องนี้และท่านยังให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่เคยดูแลอยู่ ลูกค้าก็บอกว่า Terra มีความเหมือนกับ Navara มากไป จนลูกค้ามองว่าขาดความเด่นเมื่อเทียบกับราคาที่จ่าย

ที่ตลกก็คือ ลูกค้าชาวอาเซียน คิดกันแบบนี้ แต่สื่อมวลชนฟากอเมริกามาเห็น Terra ในปี 2018 นั้น กลับมองว่าสวย โดน ทำไมไม่เอามาขายอเมริกา ผู้บริหารญี่ปุ่นก็ตอบแบบฟันธงว่า “เราไม่มีแผนเอารถรุ่นนี้ไปขายที่อเมริกา” ฮ่า..ไม่ต้องน้อยใจไปครับ อเมริกาก็รู้จักคำว่า #สวยเหรอไม่ขาย เหมือนกัน

ดังนั้น เพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงขนานใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสีกระจังหน้า ใส่ชุดแต่ง และปรับราคา ในเมื่อเป้าหมายก็คือ การพยายามเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ Terra ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5% ให้กลายเป็น 20% ภายในปีหน้า ซึ่งจะเป็นปีที่ Nissan มีวาระครบรอบ 70 ปีการตั้งรกรากในประเทศไทย Nissan การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ต้องมาในแบบที่พลิกจากเดิมชัดเจน และต้องพยายามควบคุมราคาให้ยังคงเป็นรถ SUV พื้นฐานกระบะที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งสองอย่างนี้จะตอบโจทย์ได้ทั้ง ความน่าดึงดูดใจของตัวผลิตภัณฑ์ และความคุ้มค่าในแง่เศรษฐศาสตร์..เป็นการปรับปรุงในระดับที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนใน Nissan ประเทศไทยในรอบทศวรรษ..ทั้งในเรื่องตัวรถ และปรัชญาในการพัฒนา

เพื่อให้ง่ายสำหรับคนที่อยากรู้ข้อมูล ผมจะมีการสรุปเป็น Bullet Point ให้ในแต่ละหัวข้อของรีวิว ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

จุดเปลี่ยนแปลงภายนอก

  • ส่วนหน้าของรถทั้งหมด กันชน, กระโปรงหน้า, กระจังหน้า และแก้มหน้า
  • ไฟหน้าใหม่ แบบ Quad-LED พร้อม Daytime Running Light (ทุกรุ่นย่อย)
  • เปลี่ยนระบบปรับองศาการฉายแสง จากแบบ Manual เป็นแบบอัตโนมัติ (ทุกรุ่นย่อย)
  • Parking Sonar 4 จุดที่กันชนหน้า (เฉพาะรุ่น VL 2WD ขึ้นไป – เท่ากับว่า VL 2WD และ 4WD ขณะนี้ มีเซนเซอร์หน้าหลังและกล้องรอบคัน)
  • ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้วเท่าเดิม เปลี่ยนลายใหม่ (ทุกรุ่นย่อย)
  • ฝากระโปรงท้าย ออกแบบใหม่
  • ฝากระโปรง Auto-lift gate มีระบบเปิด/ปิดไฟฟ้า แบบแหย่เท้าใต้กันชนเพื่อเปิดได้ หรือกดรีโมท Unlock 3 ทีเพื่อเปิดท้ายได้ (รุ่น VL 2WD ขึ้นไป)
  • กันชนท้ายใหม่
  • สปอยเลอร์หลังใหม่
  • ไฟท้ายใหม่แบบ LED Guiding Light Tube พร้อมหลอดไฟเบรก LED
  • กระจกบังลมหน้า และกระจกบานประตูคู่หน้า เป็นแบบ Acoustic Glass เดิมจะมีเฉพาะกระจกบังลมหน้า (ทุกรุ่นย่อย)

Nissan Terra Minorchange มีความยาวตัวถัง 4,890 มิลลิเมตร  กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,865 มิลลิเมตร ความยาวระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้า/หลัง 1,565/1,570 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงจุดที่ต่ำสุดของใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 225 มิลลิเมตร  น้ำหนักตัวถัง รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ 2.3 E ที่ราคาถูกสุด หนัก 2,041 กิโลกรัม รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ VL ที่ผมได้มาทดสอบนี้ หนัก 2,150 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 78 ลิตร

เทียบกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ก็ยาวขึ้นนิดดดดดเดียว กว้างเท่าเดิม สูงขึ้น 3 ซม. และใต้ท้องสูงขึ้น 1 ซม. ตัวหนักขึ้นราว 32 กิโลกรัมในตัวท้อป แค่นั้น มิติด้านอื่นๆเท่าเดิม

การออกแบบตัวรถมีธีมว่า “Unbreakable Design” พยายามทำให้ดูดีมีราคาขึ้นมากกว่ารุ่นที่แล้วด้วยการฉีกสไตล์ให้ต่างจาก Navara ชัดเจนขึ้น เช่นการเพิ่มปริมาณโครเมียมที่กระจังหน้าให้มากขึ้นกว่าเดิม 3.5 เท่า (อันนี้ผมยังสงสัยอยู่ว่า..คนไทยอยากได้โครเมียมขนาดนั้นเลยเหรอ) ไฟหน้าเป็นแบบ Quad-LED พร้อม Daytime Running Light ซึ่งได้รับการปรับลำแสงให้ส่องสว่างขึ้นกว่ารุ่นเดิม 34% ส่วนด้านท้าย มีไฟท้ายทรงใหม่ กับโครเมียม (อีกละ) คาดเป็นสะพานโค้งระหว่างไฟท้ายสองข้าง

ในความเห็นส่วนตัวผม ด้านหน้ากับด้านข้าง ไม่มีอะไรตินะครับ ชอบการเปลี่ยนแปลงนี้ ลบภาพความจืดชืดอนุรักษ์นิยมลงไปได้มาก เวลามองมุมข้าง กับมุมหน้า เราจะนึกถึงรุ่นพี่ตัวใหญ่อย่าง Nissan Patrol ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น ถึงจะไม่ได้ล้ำสมัยแต่เมื่อคิดว่ารถเดิมมันมาทรงยังไง แล้วยังปั้นงานใหม่ออกมาได้ขนาดนี้ ผมโอเคแล้ว ท่านผู้อ่านบางท่านบอกว่ากลายเป็นดูเหมือน Fortuner แต่ถ้าเอารูปมาเทียบกัน ผมว่า Fortuner วัยรุ่นเฟี้ยวชัดเจน ส่วน Nissan ก็เหมือนผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวแล้วแต่ยังรักษาหุ่นให้เฟิร์มบึกบึนไว้ได้ จุดที่ผมไม่ค่อยชอบก็แค่ด้านท้าย การผสมผสานแบบเบียดเสียดกันระหว่าง สะพานโค้ง โลโก้ Nissan และ ป้ายรุ่น T-E-R-R-A ผมว่ามันดูยุ่งเหยิงเกินไป มันมีอย่างนึงล่ะที่ถ้าตัดออกไป ท้ายมันจะดูคลีน ล้ำแบบจบๆเลย

กุญแจสมาร์ทคีย์..ทรงนี้ที่อยู่กับเรามาอย่างน้อย 15 ปี ตั้งแต่สมัย Tiida 1.8 เปิดตัว มันก็ยังอยู่นะ พกกุญแจเอาไว้ เวลาจะเปิดประตูก็กดปุ่มสีเงินๆแล้วเปิดเข้าไปนั่งได้เลย ตัวกุญแจนั้น คุณจะเห็นปุ่มแค่ 2 ปุ่ม คือ Lock และ Unlock แต่แท้จริงแล้ว คุณสามารถใช้รีโมทนี้ในการเปิดฝาท้ายได้ด้วย วิธีการคือคุณต้องกดปุ่ม Unlock 3 ทีติดกัน อันนี้สารภาพว่า ผมหาวิธีเปิดไม่เจอครับ มารู้เอาตอนที่รุ่นน้องผมบอกมา ที่งงก็คือ ทำไมไม่ทำปุ่มเป็นรูปรถเปิดฝาท้ายไว้เลยล่ะ?

จุดเปลี่ยนแปลงภายใน

  • เปลี่ยนแผงแดชบอร์ดใหม่ยกแผง ยาวลงมาถึงคอนโซลระหว่างผู้โดยสารหน้า
  • เพิ่มบุวัสดุนุ่มบนแผงแดชบอร์ด และแผงประตู/เดินตะเข็บด้าย
  • ตัดที่วางของบนแผงคอนโซลออก ตัดที่วางแก้วช่องแอร์ซ้ายสุด/ขวาสุด ออก
  • เบาะนั่งแถว 1 และ 2 เปลี่ยนลวดลายหนังหุ้มเบาะใหม่
  • ภายในมีโทนสีสามแบบ รุ่น 2.3 E จะได้ภายในดำล้วน เบาะผ้า ส่วน VL 2WD ขึ้นไปจะเลือกได้ระหว่างสีเบจเทา กับสีดำตัดแดงเบอร์กันดี
  • รุ่น 2.3 VL 2WD และ 4WD เปลี่ยนมาใช้เบรกมือไฟฟ้าแบบกดปุ่ม รุ่น 2.3 E ใช้เบรกมือกลไกแบบเดิม
  • พวงมาลัยใหม่แบบ D-Shape
  • แผงมาตรวัดใหม่ ขยายขนาดจอ MID จาก 5 เป็น 7 นิ้ว (ทุกรุ่นย่อย)
  • จอกลาง ปรับขนาด จาก 8 เป็น 9 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple CarPlay ได้โดยไม่ต้องเสียบสาย USB (เฉพาะรุ่น VL 2WD ขึ้นไป)
  • เครื่องเสียง BOSE Premium Audio 8 ลำโพง พร้อม Amplifier (เฉพาะ VL 4WD ตัวท้อป)
  • จอเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แถม Mii Stick มาเป็น Android TV รองรับ NETFLIX, Youtube และอื่นๆ(เฉพาะรุ่น VL 2WD ขึ้นไป)
  • เปลี่ยนช่อง USB บางจุดในรถเป็น Type C (ยังมี USB แบบเดิมควบคู่ไปด้วย)
  • เพิ่ม Wireless Charger ที่แดชบอร์ดตอนล่าง (เฉพาะรุ่น VL 2WD ขึ้นไป)

การเข้าไปนั่งใน Terra นั้น สำหรับการเข้าออกประตูคู่หน้าถือว่าไม่ยาก เพราะขนาดบานประตูใหญ่ มีที่เหนี่ยวจับขึ้นรถที่เสา A ให้ที่ฝั่งคนนั่ง แต่ไม่มีในฝั่งคนขับ ใช้เหนี่ยวพวงมาลัยเอา

เบาะหน้าของ Terra รุ่น VL 2WD และ 4WD ด้านคนขับจะปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทางพร้อมปรับดันหลังได้ ส่วนฝั่งคนนั่ง จะเป็นแบบปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง ส่วนรุ่น 2.3E เบาะคนขับจะปรับด้วยมือ 6 ทิศ ตัวเบาะมาในทรงเหมือนรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ แต่มีการหุ้มหนังลายใหม่ ขนาดเบาะรองนั่งไม่ใหญ่นัก ไม่ได้ตีปีกขึ้นกันตัวคนนั่งไหลไปทางซ้าย/ขวามากเท่าไหร่ ซึ่งพอจะอภัยได้เพราะเป็นรถประเภทอเนกประสงค์ที่เน้นความสบายเวลานั่งกับตอนขึ้นลง ฟองน้ำมีความแข็งพอประมาณ ไม่ยู่ตัวง่าย พนักพิงหลังให้ความรู้สึกหนา และ นุ่มพอควร พนักพิงศีรษะยังเน้นการดันมาข้างหน้าอยู่ ซึ่งในความเห็นส่วนตัว ผมชอบเบาะของ Fortuner มากกว่า รวมถึงคอพวงมาลัย ที่ก็ยังปรับได้แค่ขึ้น/ลง ในขณะที่ Fortuner, MU-X, Pajero Sport ล้วนแต่สามารถปรับเข้า/ออกได้ด้วย

ดังนั้น ถ้าคุณจะซื้อ Terra ก็ลองปรับเบาะปรับพวงมาลัย แล้วนั่งดูว่าสบายไหม หมุนพวงมาลัยเร็วๆโดยที่หลังและหัวแนบติดเบาะแล้วทำได้ถนัด รวดเร็วหรือไม่ ถ้าทำได้ และคุณโอเคกับมัน ก็จบเรื่อง ต้องพูดแบบนี้เพราะไซส์ของผมกับพวกคุณไม่เหมือนกันครับ

สำหรับการขึ้นนั่งด้านหลังนั้น ความที่เสา B-pillar อยู่ชิดกับเบาะ ทำให้คนตัวสูง (และอ้วน) ตวัดเท้าเข้ายากหน่อย

ส่วนเบาะหลังนั้น  Nissan เขาบอกว่าทีมออกแบบเน้นความสบายของที่นั่งแถวสองมาก และมีเนื้อที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมากที่สุดในบรรดารถระดับเดียวกัน  เพราะแม้ส่วนเบาะรองนั่งจะสั้น แต่ก็มีฟองน้ำแน่นกำลังดี พนักพิงหลังดุนแผ่นหลังตอนล่างขึ้นมามาก แรกๆอาจจะน่ารำคาญแต่พอนั่งนานๆกลับรู้สึกสบาย พนักพิงศีรษะไม่มีการดันหัวแม้แต่น้อย ตัวเบาะนอกจากเอนได้แล้ว ฐานเบาะรองนั่งก็ยังสามารถเลื่อนสไลด์หน้า/หลังได้อีกเช่นกัน เผื่อกรณีที่ประชาชนแถวที่ 2 อยากเอื้อเฟื้อ Legroom ให้กับประชาชนในแถวที่ 3 บ้าง ในภาพข้างบน ผมปรับเบาะตัวนึงตั้งปกติ แต่เลื่อนฐานสไลด์มาหน้าสุด ส่วนเบาะอีกตัว ผมเอนลงไปถึงแก๊กที่ 10 และปรับถอยฐานเบาะไปหลังสุด

ตัวเบาะวางในตำแหน่งที่สูง เข้าไปนั่งจะรู้สึกได้เลยว่าตูดคุณอยู่สูงกว่าคนที่นั่งเบาะหน้า ซึ่งเรื่องนี้ก็แล้วแต่คนชอบเช่นกัน ผมชอบ เพราะนั่งไม่ชันเข่ามาก ห้อยขาสบาย ตัวเบาะก็สบายดี แต่สมาชิกทีมบางท่านนั่งวิ่งทางไกลแล้วบอกว่าพอเบาะสูง ทำให้เวลาถนนเอียงไปมา ออกจะเวียนหัวอยู่บ้าง

การพับเบาะแถวสอง ยังสามารถทำได้ด้วยคันโยก และมีปุ่ม Auto-tumble กดจากสวิตช์แถวคันเกียร์ เมื่อกดแล้ว สลักล็อคจะคลาย ตัวเบาะก็จะพับด้วยแรงสปริงในตัว ล้มมาข้างหน้าโดยอัตโนมัติ เป็นกลไกที่ไม่ซับซ้อน..แต่เวิร์กนะ โดยเฉพาะเวลาเราต้องการช่วยบริการใครสักคนที่เก้ๆกังๆไม่รู้วิธีพับเบาะ อย่างไรก็ตามก่อนกดพับสุ่มสี่สุ่มห้า คุณควรเช็คก่อนกดด้วยว่าเค้กงานวันเกิดของเมียคุณไม่ได้วางอยู่ตรงนั้น

นอกจากนี้ คนนั่งหลัง ก็จะมีแอร์หลังคา ที่แม้จะปรับอุณหภูมิไม่ได้ แต่ยังปรับแรงลมได้ 4 ระดับ มีช่องแอร์เป่าระดับเข่า ซึ่งตรงนี้จะเชื่อมกับระบบแอร์ข้างหน้า ช่อง USB ด้านหลัง ก็จะมีทั้งแบบ USB ปกติ และ USB Type C อย่างละหนึ่ง

คนนั่งแถวสอง ยังได้กำไรจากการมีจอแขวนเพดานขนาด 11 นิ้ว ซึ่งจริงๆรุ่นที่แล้วก็มีให้นะ แต่ของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ Nissan เล่นง่ายๆด้วยการเอา Android TV Stick มาแอบเสียบไว้ที่ช่อง USB ของคนนั่งแถวสาม ซึ่งเมื่อรวมกับระบบสื่อสาร Wireless Internet ในรถ ก็ทำให้คุณสามารถเปิด Netflix หรือ Youtube ดูได้ (แต่ค่าเน็ตคุณจ่ายเองนะ) แต่เท่าที่ลองมา บางทีการเชื่อมต่อระหว่างจอหลังกับ Hotspot ของรถก็หลุดเองบ้าง ส่วนระบบเสียง ก็ต้องไปเลือกบนจอกลางที่แดชบอร์ดเพื่อติ๊กให้เสียงจากจอนี้ ไปเข้าสู่ระบบหลักของเครื่องเสียง ถ้าจะแยกกัน คงต้องหาหูฟัง Bluetooth มาไว้ใช้ อาจช่วยให้คนนั่งหลังดูมหาศึกคนชนเทพไปได้ แล้วคนนั่งหน้า ก็ฟังเครื่องเสียงตัวหลักไปได้ แต่อันนี้ ผมยังไม่ได้ลองนะครับ เพราะไม่ได้เตรียมชุดหูฟังเอาไว้ ขออภัยล่วงหน้า

ส่วนเบาะแถวสามนั้น ผมต้องไหว้วานคุณแตงโม ซึ่งเป็นผู้ชายแฟนสวยและตัวไม่ใหญ่ให้เข้าไปลองนั่งวิจารณ์ดู แตงโมบอกว่านั่งใกล้ๆพอได้ แต่ก็ต้องเอนตัวเบาะช่วยสักนิด ซึ่งเบาะแถวสามของ Terra นั้นจะเอนได้แบบ 50:50 แต่ปัญหาคือตัวเบาะรองนั่ง จะติดตั้งเอาไว้เตี้ยติดพื้นมากกว่ารถของคู่แข่ง ทำให้แม้ว่าจะสามารถจัดสรร Legroom ได้ยาว แต่คนตัวสูงนั่ง ยังไงก็เมื่อย ต้องให้เด็กๆหรือคนตัวเท่าเด็กนั่งล่ะจะดีกว่า

ฝากระโปรงท้าย มีสวิตช์เปิดจากในรถได้ และยังสามารถใช้วิธีเอาเท้าแหย่ใต้กันชนเพื่อเปิด หรือกดรีโมท Unlock 3 ครั้งก็ได้ หากรถปลดล็อคอยู่แล้ว คุณสามารถแหย่เท้าสั่งเปิดท้ายได้โดยไม่ต้องมีกุญแจอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นเวลาไปห้าง ถ้าต้องขนของมาใส่สองรอบ ก็อย่าลืมล็อครถนะครับ ความสะดวกสำหรับบางคน ก็เป็นช่องทางเอาเปรียบของบางคนได้เหมือนกัน

พื้นที่เก็บของด้านหลัง ถ้ามีการตั้งเบาะแถวสามขึ้น ก็จะเหลือที่ให้ใส่ของน้อยลง แต่ยังสามารถนำกระเป๋าเดินทางแบบยาว 54 x 38 เซนติเมตรใส่ไปตามขวางได้ แต่ถ้าไม่ได้มีใครนั่งแถวสาม ก็ดึงเชือก พับลง แล้วเบาะมันจะอยู่ในแนวเกือบราบไปกับพื้นห้องบรรทุกสัมภาระ ใส่ของชิ้นโตได้มากมายเกินพอ เวลาเปิดท้ายรถแล้วจะพับเบาะแถวสามลง ให้ดึงเชือกอันที่อยู่ด้านล่าง (ต่อเข้ากับเชือกสำหรับเอนเบาะแต่โผล่หางออกมาด้านหลัง) ส่วนเชือกอันบนเอาไว้ให้เหนี่ยวและดึงเบาะขึ้นมาได้ง่ายเฉยๆ

บรรยากาศภายใน ดูทันสมัยขึ้นเป็นกอง ด้วยแดชบอร์ดที่ผสมผสานระหว่าง Design Language แบบใหม่ วิธีการวางจอกลางกับพวงมาลัยจะดูคล้ายกับ Nisan Kicks แต่ถ้าบอกว่าเหมือน Nissan Kicks ผมแนะว่าลองเอารูปมาทาบกันดูครับจะเห็นว่า 80% ไม่เหมือนเลย ช่องแอร์สองช่องตรงกลางน่าจะดูคล้ายกับ X-Trail ส่วนการดีไซน์บริเวณรอบๆคันเกียร์ จุดนั้นก็ทำได้ดูดีขึ้น แดชบอร์ดด้านบนสุดยังเป็นวัสดุแข็ง แต่ด้านที่หันเข้าหาคนนั่งจะหุ้มด้วยวัสดุนุ่มเย็บตะเข็บ

เรียกได้ว่าถ้าไม่นับที่วางแก้ว ณ ช่องแอร์ที่โดนตัดออกไป การปรับเปลี่ยนภายใน ทำให้บรรยากาศหลักแสน ค่อยดูสมหลักล้านมากขึ้น และเวลาใช้งานจริงก็ง่าย วางสวิตช์ต่างๆไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม การเคลียร์พื้นที่เปลี่ยนจากเบรกมือก้านเป็นปุ่มเบรกมือไฟฟ้ายังช่วยให้สามารถนำสวิตช์บางส่วนเข้ามาในจุดที่เอื้อมมือกดได้สะดวกขึ้น มันต้องแบบนี้สิการแก้ไขที่จริงจัง แม้ว่ามันจะไม่ดูมีเส้นสายเว้าโค้งล้ำยุคแบบ Fortuner กับ Pajero Sport และไม่ดูเหลี่ยมคมอารมณ์ดุดันแบบ MU-X แต่มันเป็นภายในที่สวยแบบมีระเบียบ และดูเป็นรถของปี 2020 มากกว่าเดิมเป็นกอง

บนแผงประตูมีชุดสวิตช์กระจกไฟฟ้า พร้อมระบบ One-touch กดครั้งเดียวลงหมดที่ฝั่งคนขับ และ สวิตช์สำหรับล็อคประตู ในบริเวณใกล้กันก็จะมีสวิตช์สำหรับปรับกระจกมองข้าง และ สวิตช์พับกระจกมองข้างไฟฟ้า

ถัดมา ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาลงมาใกล้เข่าขวาคนขับ จะมีสวิตช์ปุ่มเปิด/ปิด Parking Sensor, ปุ่ม Trip Reset, ปุ่มเปิดฝาถังน้ำมัน กับปุ่มปรับความสว่างไฟหน้าปัด ซึ่งทำมาแบบแอบหรู เพราะใช้แบบปุ่มกด -/+ ซึ่งการทำเป็นปุ่มแบบนี้เข้าใจง่าย ดูสวยงาม อาจจะปรับได้ไม่เร็วเท่าสวิตช์หมุน แต่ก็ดีกว่าของคู่แข่งบางค่ายที่ต้องกดๆๆๆเข้าไปในเมนูย่อยบนจอ MID แล้วปรับ อย่างไรก็ตามผมว่าการเอาปุ่มฝาถังน้ำมันมาไว้ตรงนั้น มันก็ยังมีความเสี่ยงที่จะกดผิดได้อยู่ น่าจะแยกออกไปไว้ไกลๆหน่อย ส่วนด้านล่างลงไปอีก จะมีสวิตช์เปิด/ปิดระบบรักษาเสถียรภาพและการยึดเกาะ VDC กับปุ่มกดเปิดฝาท้ายไฟฟ้า อันนี้ก็เหมือนกันที่ผมว่ายังเรียงไม่ถูกใจผม สวิตช์ VDC น่าจะมาสลับตำแหน่งกับปุ่มเปิดฝาถังน้ำมันมากกว่า มันเป็น Sense ของการออกแบบรถญี่ปุ่นที่แต่ไหนแต่ไรมา คันโยกเปิดฝาท้ายกับเปิดฝาถังน้ำมันตั้งแต่ยุค 90s ถ้าไม่ได้ใช้คันโยกเดียวกัน ก็จะอยู่ใกล้ๆกัน

ผมใช้เวลามองหาสวิตช์สำหรับเปิด/ปิดระบบ Lane Departure Warning นานเท่าไหร่ก็ไม่พบ มีวิธีเดียวที่จะปิดมันได้คือต้องเข้าจาก Menu การปรับตั้งค่าของจอ MID บนหน้าปัด ตรงนี้คือส่วนที่ไม่สะดวกนัก น่าจะทำสวิตช์ให้เปิด/ปิดได้ง่ายๆสักอัน ส่วนสวิตช์ปรับองศาไฟหน้า ไม่มีแล้ว เพราะเป็นไฟหน้าตั้งองศาแบบอัตโนมัติแล้ว

แผงควบคุมตอนกลาง มีจอกลาง ไล่ลงมา มีแผงควบคุมระบบปรับอากาศ ซึ่งก็ออกแบบแผงสวิตช์ใหม่ เป็นเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกปรับอุณหภูมิ ซ้าย/ขวา พร้อมระบบฮีทเตอร์ทำความอุ่น ถัดลงมาด้านล่าง มีช่อง USB ช่อง Power Outlet สวิตช์เปิดปิดแอร์ชุดหลัง และสวิตช์ปรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้านล่างสุด มีช่องสำหรับวางโทรศัพท์ Wireless Charger ซึ่งผมลองชาร์จกับ iPhone SE ใส่เคส DEFENSE แล้ว สามารถชาร์จได้แต่ช้าหน่อย

จอกลางขนาด 9 นิ้ว อัปเดตหน้าตาจนดูใหม่ขึ้น แม้จะไม่ได้มีลูกเล่นพิเศษอะไรมาก แต่ก็มีฟังก์ชั่นพื้นฐานครบ และสามารถต่อใช้ Apple CarPlay กับมือถือได้โดยไม่ต้องเสียบสาย USB แล้ว แต่สิ่งที่ผมชอบคือ เครื่องเสียงในรุ่นท้อป 2.3 VL 4WD ซึ่งให้มาเป็นเครื่องเสียง BOSE 8 ลำโพง พร้อม Amplifier ใต้เบาะคนขับ ตอนแรกเสียงแปร่งๆหน่อย แต่ผมลองปรับไล่ใน Sound Settings ดู พบว่า ลำโพงชุดที่ดีมันจะอยู่ข้างหน้า ส่วนลำโพงที่อยู่ด้านหลังมีแค่สองตัวและมีบทบาทในการให้เสียงน้อยไปนิด ผมปรับ FADER มาด้านหน้ามากกว่าหลัก (F1 – F2) และไล่เบสกับแหลมใหม่ ออกมาคือจบ ได้เสียงที่หนักแน่น กังวาน และมีรายละเอียดดีกว่าเครื่องเสียงแบบทั่วไปในระดับนึง เวลานั่งเบาะหลัง เปิด Hotel California แล้วดังเสียงหน่อย ก็ได้บรรยากาศคอนเสิร์ตอยู่..ภายในต้นทุนเท่าที่รถล้านกลางมันจะให้ได้

กระจกมองหลัง ยังเป็นแบบที่ปรับได้สองโหมด คือโหมดใช้กล้องส่อง ซึ่งจะช่วยเห็นด้านหลังรถได้เคลียร์แม้ว่าคุณจะมีของบังอยู่เต็มท้ายรถก็ตาม กับอีกโหมดก็คือสับคันโยกใต้กระจก มันก็จะกลายเป็นกระจกธรรมดา ส่วนฟังก์ชั่นกล้องรอบคัน จากเดิมที่ฝังอยู่ในกระจกมองหลัง ซึ่งถึงแม้จะอยู่ในระดับสายตาแต่ก็มีจอที่ขนาดเล็กเกินไป มาคราวนี้ ฟังก์ชั่นดังกล่าวจะย้ายมาอยู่ที่จอกลางแทน

คุณยังได้กล้องรอบคันเหมือนเดิม สามารถกดปุ่มเปลี่ยนเป็นกล้องส่องท้ายล้วนๆ หรือปรับเป็นกล้องส่องหน้ารถและล้อฝั่งซ้ายเพื่อใช้ในการลุยออฟโรดก็ได้ หรือเมื่อคุณเข้าเกียร์ขับสี่ ใช้โหมด 4L รถก็จะเปิดกล้องในมุมออฟโรดมาให้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าวิ่งเร็วเกิน 15-20 กม./ชม. ขึ้นไปกล้องมันก็จะปิดไปเอง

หน้าปัดของ Terra Minorchange นั้น แม้จะดูเหมือนเปลี่ยนแค่จอ MID ตรงกลาง ขยายขนาดจาก 5 เป็น 7 นิ้ว แต่จริงๆแล้วเปลี่ยนใหม่ทั้งแผง สังเกตส่วนสีขาวบนเข็ม กับตำแหน่งรูปอุณหภูมิน้ำหม้อน้ำต่างกัน ..ดังนั้นของใหม่นี้ก็เหมือนของ Navara Minorchange แหละครับ เป็นแบบเรืองแสง มีจอกลาง MID เป็นจอสี สามารถแสดงผลเป็นภาษาไทยเหมือนกัน โชว์ค่าอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย, อัตราสิ้นเปลืองแบบ Real-time, แสดงระยะทางที่เหลือซึ่งสามารถวิ่งได้ด้วยน้ำมันในถังเหมือน Navara แต่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือหน้าจอสำหรับโหมด Off-road ทั้งเรื่ององศาเอียงของตัวรถและระบบขับเคลื่อน นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง 4 ล้อมาให้ด้วย

แม้ว่ายุคนี้ผู้คนจะเรียกหาหน้าปัดแบบจอสีขนาดใหญ่เต็มพื้นที่กันหมดแล้ว แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนๆในคลาส ก็คงมีแค่ Pajero Sport ที่เป็นจอสีเต็ม นอกนั้นใช้เข็มกับจอผสมกันหมด และหน้าปัดของ Navara ก็ยังเป็นหน้าปัดที่แม้ไม่มากด้วยสีสันลวดลาย แต่ออกแบบมาได้ดูหรูหรา อ่านค่าง่าย มีลูกเล่นต่างๆอย่างที่ควรมี ไม่ว่าใครจะพัฒนาไปขนาดไหน แต่ในความเห็นผม หน้าปัด Navara เอ้ย..Terra ก็ยังเป็นบาลานซ์ที่ดีที่สุดระหว่างความสวย ลูกเล่น และการใช้งาน ในบรรดารถทั้งหมดในระดับเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังสงสัยสำหรับเรื่องอุปกรณ์ภายในนี้คือ ระบบเบรกมือไฟฟ้า ซึ่งไหนๆมาดีขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่ให้ Auto Brake Hold มาซะเลยเล่า แม้ว่า Nissan จะบอกว่าระบบของเขานี้ ออกแบบให้คุณสามารถเอานิ้ววักเพื่อให้เบรกมือล็อครถอยู่นิ่งกับที่ได้ และเมื่อกดคันเร่งแล้วระบบเบรกมือก็ปลดการทำงานเองได้ มี Effect คล้ายกันกับ Auto Hold นั่นแหละ แต่ผมมองว่า มันน่าจะสะดวกกว่าถ้าใส่มาให้มันสมบูรณ์ครบระบบไปเลย Pajero Sport มีให้ MU-X ก็มีให้ แต่ Fortuner ยังใช้คันเบรกมือแบบเก่าอยู่ เอ้า..ก็ถ้าว่ากันตามจริง ความสะดวกสบายเวลารถติด Terra ก็อยู่กลางๆของกลุ่มแหละ

อุปกรณ์ความปลอดภัย

มีสองสิ่งที่เพิ่มเข้ามา

  • ระบบ Intelligent Forward Collision Warning (IFCW) เตือนก่อนชน (ทุกรุ่นย่อย)
  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ IEB (ทุกรุ่นย่อย)

ส่วนสิ่งที่มีอยู่เดิมก็เช่น

  • ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
  • ระบบช่วยลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)
  • ระบบตรวจจับวัตถุและบุคคลรอบคัน Moving Object Detection (MOD)
  • ระบบเตือนเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (IDA)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านด้านหลัง (RCTA)
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง Lane Departure Warning (LDW)
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหน้า 4 ตำแหน่ง
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง 4 ตำแหน่ง
  • ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย)

สิ่งที่ยังขาดอยู่ ก็น่าจะเป็นระบบกระตุกพวงมาลัยดึงรถกลับเลน ซึ่ง Terra นี้จะมีแต่ระบบเสียงเตือน แต่ Navara มีทั้งเสียงเตือน และบิดพวงมาลัยช่วยแก้ได้ด้วย ถ้าให้ผมเดา ก็น่าจะเป็นเพราะการพยายามทำราคารถให้ไม่ทะลุล้านห้านั่นแหละ จึงต้องตัดตัวนี้ออกไป กับอีกระบบคือ Adaptive Cruise Control ซึ่งไม่น่าขาดไปเลย เพราะว่ารถรุ่นอื่นในเซกเมนต์นี้ เขามีกันหมดทุกรุ่นแล้ว

ภาพรวมในแง่อุปกรณ์เสริมความปลอดภัย ก็ได้ดีตรงพวกกล้องนี่ล่ะ แต่ขาดแค่สองเรื่องที่ว่าไป แล้วผมจะไม่มีอะไรให้ติอีกเลย ก็เข้าใจว่าต้องการควบคุมราคา แต่ Nissan ก็ต้องพนันดวงด้วยว่าลูกค้าจะให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้มากจนไม่มอง Terra เลยหรือไม่

***** รายละเอียดทางวิศวกรรม*****

จุดที่เปลี่ยนแปลง

  • ปรับจูนคันเร่งให้ตอบสนองไวขึ้นที่ช่วงรอบต่ำ ความเร็วต่ำ
  • ปรับปรุงรองรับเชื้อเพลิง B20
  • เปลี่ยนแร็คพวงมาลัยชุดใหม่ อัตราทดไวขึ้น 12% (หมุนซ้ายไปขวาสุด จาก 3.8 เหลือ 3.4 รอบ)
  • ปรับน้ำหนักที่ความเร็วต่ำให้เบาลง
  • ระบบเบรกเปลี่ยนใหม่หมด จานหน้าเพิ่มขนาดจาก 296 มม. เป็น 350 มม. และเพิ่มดิสก์เบรกหลังจานขนาด 330 มม. (รุ่น E เบรกหลังยังเป็นดรัม)

เครื่องยนต์รหัส YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร 2,298 ซีซี. DOHC Twin-Turbo Intercooler (เทอร์โบคู่) กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 85.0 x 101.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.4 : 1 กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที โปรแกรมเครื่องยนต์ปรับจูนให้เข้ากับน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานยูโร 4

ที่จริงมันก็ไม่ใช่เครื่องยนต์ใหม่อะไร มันคือผลงานร่วมพัฒนาระหว่าง Renault กับ Nissan สมัยที่ยังจูบปากกันอยู่ โดยบางรุ่นพวกพลังต่ำๆเริ่มทำมาขายกันตั้งแต่ราวปี 2010 และปรับปรุงเรื่อยมา จนมาถึงเวอร์ชั่น 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบที่อยู่ใน Navara สเป็คเมืองนอก ก่อนที่จะเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อ 3 ปีก่อนใน Terra โฉมแรก ชุดเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 ตัว ออกแบบให้รับหน้าที่ในช่วงรอบเครื่องที่ต่างกัน ลูกนึงรับรอบต่ำ -> แล้วมีช่วง Switching ที่จะทำงานครอสกัน 2 ลูก -> รอบสูงเทอร์โบโข่งใหญ่รับหน้าที่ไป สิ่งที่ต่างจากเครื่อง Bi-Turbo ใน Ford ก็คือ Ford ใช้เทอร์โบเล็กเป็นแบบแปรผัน ส่วน Nissan/Renault ใช้เทอร์โบแบบไม่แปรผันเลยสักลูก

มันไม่ใช่เครื่องทวินเทอร์โบที่ทำมาเพื่อเค้นแรงม้า แต่เป็นการใช้เทอร์โบที่ขนาดเหมาะกับแต่ละช่วงรอบเครื่องช่วยกันรับหน้าที่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการแสดงกำลังที่ราบเรียบเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่รอบต่ำยันรอบสูงมากกว่า

สำหรับเรื่องการบำรุงรักษา Nissan แจ้งว่า สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 20,000 กิโลเมตรได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณใช้เชื้อเพลิงแบบ B20 “เป็นประจำ” ก็ให้เปลี่ยนที่ 10,000 กิโลเมตร เพราะเชื้อเพลิงอาจส่งผลให้น้ำมันเครื่องเสื่อมประสิทธิภาพไวขึ้น..เรื่องนี้แล้วแต่เลยนะครับ ส่วนตัวผมถ้าซื้อ Terra ใช้ ผมก็เปลี่ยนทุก 10,000 โลแหละ เพราะต้องการให้น้ำมันเครื่องมีประสิทธิภาพใกล้เคียง 100% อยู่ตลอด + ผมตีนไม่เบา

ด้านระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อม Manual Mode +/- ดันข้างหน้าเพิ่มเกียร์ ดึงข้างหลังเพื่อลดเกียร์ แต่ไม่มี Paddle shift มาให้เล่น เป็นเกียร์ลูกเดียวกันกับ Navara โดยอัตราทดเกียร์มีดังนี้

  • เกียร์ 1……….4.886
  • เกียร์ 2………3.169
  • เกียร์ 3……….2.027
  • เกียร์ 4………1.411
  • เกียร์ 5………1.000
  • เกียร์ 6………0.864
  • เกียร์ 7………0.774
  • เกียร์ถอยหลัง 4.041 อัตราทดเฟืองท้าย 3.357

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นแบบ Part-time มีสวิตช์ปรับโหมดที่คอนโซลกลาง เลือกได้ระหว่างโหมด 2WD (ขับหลัง) – 4H (ขับสี่ทดปกติใช้บนถนนฝุ่นหรือลูกรัง) และ 4Lo ซึ่งเป็นเฟืองทดสำหรับการลุยแบบเต็มขั้น

ทั้งนี้ระบบขับเคลื่อนของ Terra นั้นจะไม่มี Center diff เพื่อทดความต่างในการหมุนระหว่างล้อคู่หน้ากับหลัง ดังนั้นจะใส่ 4H วิ่งบนถนนยางมะตอยไปทั่วประเทศแบบระบบ Super Select II ของ Pajero Sport นั้น ยังไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม Terra ก็มีระบบ Rear diff Lock ล็อคล้อหลังซ้ายและขวาให้หมุนไปพร้อมกัน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการส่งกำลังลงพื้นได้ดีเมื่อต้องลุยบนทางลื่นแบบออฟโรด

Rear diff Lock จะเปิดใช้งานเฉพาะในเกียร์ 4Lo ซึ่งการเข้าเกียร์นี้ คุณต้องจอดรถนิ่ง ปลดเกียร์ว่างก่อนที่จะบิดสวิตช์ไป 4Lo ส่วนลักษณะการแบ่งถ่ายกำลัง จะกระจายหน้า/หลัง 50 : 50 ทั้งในเกียร์ 4H และ 4Lo

ช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังแบบ 5-Link Suspension เลือกรูปแบบโช้คอัพกับสปริงที่มีระยะยุบและยืดค่อนข้างยาว เพื่อหวังผลทั้งเรื่องความนุ่มนวลในการขับ เพิ่มโอกาสการเกาะถนนเมื่อต้องกระโดดคอสะพานโหดๆ และช่วยให้ล้อมีโอกาสยืดไปแตะพื้นส่งแรงขับเคลื่อนได้มากขึ้นเวลาลุยแบบออฟโรดแล้วเจอด่านล้อยก แต่ทั้งนี้ Nissan ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มกับสปริงและโช้คเมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว

ระบบบังคับเลี้ยว ยังใช้พวงมาลัยแบบ Rack and Pinion พร้อมระบบเพาเวอร์แบบไฮดรอลิกอยู่ ซึ่งในรุ่นเดิม มีข้อตำหนิที่อัตราทดพวงมาลัยยาวยานเกินเหตุ จะเลี้ยวมุมฉาก จะกลับรถ ก็ต้องหมุนพวงมาลัยหลายรอบ Nissan เลยเปลี่ยนแร็คใหม่เลย ..แต่เดิมนั้น Navara จะใช้แร็คที่ทดยาวสุด (4.1 รอบ Lock-to-Lock)  Terra ยาวรองลงมา (3.8 รอบ Lock-to-Lock) แต่พอ Navara ใหม่เปิดตัว ก็ใช้แร็คที่ปรับอัตราทดเหลือ Lock-to-Lock 3.4 รอบ Nissan ก็เอาแร็คนี้แหละมาใช้ใน Terra ใหม่ แล้วก็ยังมีการปรับน้ำหนักช่วงความเร็วต่ำให้เบาลง เนื่องจากมีลูกค้าบ่นเยอะว่า เวลาขับในเมือง จอดรถ กลับรถ อยากให้พวงมาลัยเบากว่านี้

ส่วนที่สำคัญคือระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ ที่มีในรุ่น VL 2WD และ VL4WD จากเดิมที่ใช้เบรกหลังดรัม

สิ่งที่ผมชอบ..พูดตรงๆนะ ไม่ใช่การที่เปลี่ยนเป็นดิสก์ 4 ล้อ แต่เป็นเรื่องของการปรับสเป็คเบรกหน้าใหม่ด้วย คาลิเปอร์ 2 Pot กับขยายขนาดจานเบรก จาก 296 มม. เป็น 350 มม. ส่วนจานหลังก็มีขนาด 330 มม. ซึ่งถือว่าโต ใหญ่จนเต็มพื้นที่ล้อ 18 นิ้ว คุณไม่สามารถเอาล้อ 17 มาใส่กับเบรกชุดนี้ได้แน่นอน ตรงที่ถือว่าดี เพราะ Terra รุ่นเดิม ยังมีขนาดเบรกที่ค่อนข้างเล็กไปหน่อยเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของรถ

เท่ากับว่า ในเรื่องวิศวกรรม ส่วนที่ดี ก็ยังคงอยู่ และส่วนที่เคยโดนด่า ก็ได้รับการปรับปรุงเพิ่ม แต่มันจะดีแค่ไหน?

*****การทดลองขับ*****

ในการทดสอบช่วง Lock down ที่เดินทางไกลมากๆค่อนข้างลำบาก ผมจึงเลือกเส้นทางในแถบชานเมือง ที่ใช้ทดสอบรถเป็นประจำเพื่อที่จะได้เทียบกับรถโฉม 2018 ได้ชัดเจน ไม่ได้มีโอกาสนำไปลุยแบบออฟโรด เพราะถ้าลุย ลุยเสร็จล้างอีกกว่าจะเอี่ยม แล้วผมมีเวลากับรถแค่วันเดียว ที่ต้องถ่ายรูปเองบางส่วน ถ่ายคลิป ถ่าย Insert บางส่วนเองด้วย และต้องขับจับอาการรถ ก็ต้องเลือกอยู่บนทางดำ ทางขรุขระแบบถนนชานเมืองล่ะครับ

เรื่องอัตราเร่ง ผมทดสอบคนเดียว ช่วงกลางวันที่อากาศค่อนข้างร้อน

0-100 กม./ชม. ก็ยังจบในช่วงเวลาประมาณ 11.5 วินาที และอัตราเร่งแซงช่วง 80-120 กม./ชม. จบใน 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด ล็อคที่ 189 กม./ชม. ซึ่งก็ดูจะสูสีกันกับรุ่น 2018 ก็ไม่แปลกเพราะเครื่องยนต์เดิม เพียงแต่บางจุดที่ผมรู้สึก (อาจจะคิดไปเองก็ได้) ก็คือ เมื่อจมคันเร่งออกตัวแบบ 100% รุ่น 2018 จะออกแรงกว่านิดๆ แต่หลังจากนั้นแล้วก็มาแบบเรื่อยๆมีพลังทุกช่วง แต่รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ตอนออกจะตื้อกว่านิดๆแต่หลังจาก 2,500 รอบไปก็เหมือนจะไหลกว่านิดๆเช่นกัน เลยไปจบที่ตัวเลขเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งคาแร็คเตอร์จะเริ่มใกล้เคียงเครื่อง Navara 2.3 กล่าวคือ มันจะไม่มาแบบเป็นลูกระเบิด แต่จะไล่แรงแบบต่อเนื่อง กดตรงไหนก็มีแรง แต่จะไม่มีช่วงไหนที่แรงเป็นพิเศษ

ถ้าเล่นเกียร์โหมด Manual คุณลองลากรอบเล่นดูก็ได้ครับ เข็มวัดรอบตวัดไป 4,000 อย่างเนียนและไหลต่อไปหา 5,000 อย่างสบายอารมณ์ แต่มันไม่ได้ช่วยให้ประโยชน์เรื่องอัตราเร่งเท่าไหร่ คุณให้มันสับเกียร์ขึ้นที่ 4,000 มันก็เร็วพอกัน เพราะแรงบิดมันดูจะกว้างและเท่ากันไปเสียหมด แบบนี้ ผู้ใหญ่น่าจะชอบ แต่วัยรุ่นอาจจะไม่ เพราะถ้าใครชอบแรงแบบดึงระเบิดๆ Fortuner 2.8 เครื่องใหม่ 204 แรงม้า ดึงออกสนุกกว่า ตีนต้นออกเร็วกว่าชัดเจน แต่ถ้าลอยลำอยู่ แล้วกดพร้อมกัน อาจจะวิ่งมองหน้ากันได้พักใหญ่ๆ ส่วน MU-X แม้เครื่องจะมาจากโลกสมัยเก่า แต่ก็ปอดโต 3.0 ลิตร แรงม้าและแรงบิดเท่ากับ Terra แต่วิ่งจริง ตอนออกตัว MU-X ก็ดึงระเบิดกว่าเหมือนกัน และกลับไปสูสีกันอีกรอบช่วงลอยตัวเช่นกัน

วิศวกร Nissan บอกว่า เขาตั้งใจจูนเครื่องมาให้มีนิสัย ไล่แรงบิด น้อยไปมาก แล้วพยายามคงอยู่ไปให้ยันปลาย อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้บางคนบอกว่า Terra ไม่แรง แต่พอจับเวลาดู เอ๊า มันก็เร็วนี่หว่า

ส่วนอุปนิสัยด้านอื่นก็มีการเซ็ตคันเร่ง เวลากด 30-50% ที่ช่วงรอบต่ำ จากเดิมรถจะพยายามใช้เกียร์สูงแล้วปล่อยให้แรงบิดพารถทะยานไป ในรถรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ จะมีการเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ 1-2 ขั้นเลย ทำให้มีลักษณะ กดเท่าเดิม รถไปไวขึ้น มีความกระปรี้กระเปร่าในความเร็วต่ำเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากนั้นไป Terra ก็ยังคงเป็นรถที่สุภาพในการแสดงออก จากเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบจนมีแค่ Panther Bi-Turbo 2.0 ของ Ford เท่านั้นแหละที่แข่งเรื่องความเงียบกันได้ และยังมีเกียร์ 7 จังหวะที่ทำงานได้เรียบ เกียร์เปลี่ยนนุ่ม ต่อเนื่อง อาจจะไม่นุ่มถึงขั้นเกียร์รถเก๋งเบนซินแต่ก็ดีมากแล้วสำหรับเกียร์ที่ติดตั้งในรถพื้นฐานกระบะแบบนี้

ข้อเสียของเกียร์ตัวนี้ มีอย่างเดียวคือเวลาเล่น -/+ เอง บางครั้งเราสั่งขึ้นเกียร์ เอามือตบคันเกียร์ไปแล้ว มีอาการรอนานกว่าจะเปลี่ยนเกียร์ให้

ส่วนพวงมาลัยที่ปรับอัตราทดมาใหม่นั้น พอขับแล้วก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ทว่ายังไม่ได้มากจนทำให้มีคาแร็คเตอร์ที่น่าประทับใจ มันแค่ช่วยให้ความอุ้ยอ้ายของรถ ลดน้อยลง จากเดิม พวงมาลัย Terra นั้นยาวยานมากจนทำให้พวงมาลัยของ Fortuner ปี 2005 ดูเป็นพวงมาลัยสปอร์ตไป มาคราวนี้ Terra 2021 ก็ปรับจนหลุดพ้นเขตนั้นมา..แล้วก็ไปอยู่ใกล้เคียงกับ Fortuner ’05 นั่นแหละ มันยังไม่ใช่พวงมาลัยที่ไวจนขับคล่อง มันยังมีความเป็นรถกระบะแฝงอยู่ น้ำหนักหน่วงกลางที่ไม่ค่อยมี ระยะฟรีที่เยอะ ก็ยังอยู่ ซึ่งด้วยส่วนตัวแล้ว ผมชอบพวงมาลัยที่มีน้ำหนักช่วยหน่วงตอนถือพวงมาลัยตรงเยอะๆ และปรับระยะฟรีให้กระชับมากกว่า

แต่คุณยังสามารถขับทางไกลได้ ไม่ต้องไปเกร็งกับพวงมาลัยมากนักหรอกเพราะระยะฟรีมันเยอะ ถึงมือเราจะขยับตอนรถวิ่งผ่านปูดถนนบ้างมันก็ไม่ได้ส่งผลอันใดกับเสถียรภาพรถ น้ำหนักพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำเบาลง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยรวมแล้วผมชอบพวงมาลัยที่ทดพอดีๆแบบ Fortuner มากกว่า หรือไม่ก็เอาอย่าง Ford Everest ซึ่งเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่เบาได้ใจเวลาวิ่งคลานๆและหนืดมือแถมยังคล่องเวลาวิ่งที่ความเร็วสูง สิ่งที่พวงมาลัยของ Terra ยังมีดีอยู่บ้างคือ มันไม่เก็บเอาความสั่นสะเทือนทุกสภาพถนนมาสั่นมือคุณอย่างที่ Fortuner เป็น ดังนั้น หากคุณทำตัวให้ชินกับระยะฟรีได้ ก็จะขับ Terra ทางไกลๆได้แล้วสบายมือกว่า

ส่วนช่วงล่าง ผมรู้สึกว่า Terra เป็นรถที่มีคาแร็คเตอร์เหมาะกับการเป็นรถเดินทางไกลมาก เพราะไม่ได้นุ่มแบบเป็นสำลี แต่เป็นความนุ่มที่พยายามบาลานซ์กับความมั่นคงไปด้วยกัน การซับแรงกระแทกที่ความเร็วต่ำ บางช่วงอาจจะรู้สึกว่า Pajero Sport กับ MU-X เป็นรถที่นิ่มนวลกว่า แต่เมื่อเริ่มใช้ความเร็วสูงขึ้น Terra สามารถวิ่งตรงๆไปได้อย่างมั่นคง คัดกรองเอาแรงกระแทกจากถนนสภาพแย่ๆทิ้งไปได้เยอะ และสามารถวิ่งทรงตัวได้มั่นคงจนต้องขึ้นไปถึงประมาณ 170 นั่นแหละ ถึงจะเริ่มรู้สึกวูบวาบบ้าง

รถที่มีลักษณะช่วงล่างใกล้เคียงกับ Terra มากที่สุดในตอนนี้คือ Everest 2.0 ซึ่งปรับให้นุ่มลงกว่าสมัยเครื่อง 3.2 ลิตร แต่เวลาทิ้งโค้งแล้วหักกลับ จะพบว่าบอดี้ของ Terra คุมการยวบได้อยู่มือกว่า อาจจะมาจากน้ำหนักตัวถังที่เบา ทำให้ไม่เป็นภาระช่วงล่างมาก แต่เป็นรถที่มุ่งตอบสนองลูกค้ากลุ่มที่ชอบขับทางไกล ไปตรงๆ เร็วๆทั้งคู่ ส่วน Fortuner Legender นั้น แม้จะปรับลดความสะเทือนจากสมัยรุ่น TRD ลงมาแล้ว และเป็นรถที่มุดสนุก เวลาหักซ้ายขวาตัวรถยวบน้อยกว่าคนอื่น แต่มันจะมีความน่ารำคาญจากอาการดิ้นดุดๆๆๆของช่วงล่างไปตามพื้นถนนอยู่เนืองๆ เมื่อเรามองว่าลูกค้า SUV เซกเมนต์นี้ส่วนมาก ไม่ได้ชอบมุดหรอเล่นโค้ง เราก็ต้องโฟกัสที่ความรู้สึกหนักแน่นไว้ใจได้ ไปพร้อมกับความสบาย ซึ่งในแง่นี้ Terra ยืนหัวกลุ่มอย่างไม่ต้องสงสัยในเรื่องช่วงล่าง

ระบบเบรก มีอาการตอบสนองคล้ายเดิม คือช่วงแรกๆจะไม่ค่อยจับ แต่พอกดไปลึกๆจะเริ่มสนองตอบดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เราต้องกดลึกลงไปกว่ารุ่นเดิมนิดหน่อยเพื่อให้ได้แรงหน่วงเท่ากัน ..และนั่นไม่ได้แปลว่าเบรกห่วยกว่านะครับ แค่ระยะเหยียบมันเปลี่ยนไป สิ่งที่ดีขึ้นชัดเจนคือ ระบบเบรกใหม่นั้น ทนงานบู๊ได้ดีกว่าเดิมชัดเจน และเทียบกับ Navara Pro-4X ที่รถน้ำหนักเบากว่ากันมากแต่ระบบเบรกยังเป็นแบบเดิม กลายเป็นว่า Terra ทนทานต่ออาการเฟดได้ดีกว่ากันแบบคนละเรื่อง

สิ่งอื่นที่ชอบอีกคือ ความสุขสันติเวลาขับเดินทางไปเรื่อยๆ จะ 110..120 หรือ 140 เสียงเครื่องยนต์ก็เงียบ..อาจจะไม่ได้เงียบแบบ BMW X3 แต่ถือว่าเป็นเครื่องดีเซลเชิงพาณิชย์ที่เก็บเสียงดี ไม่โวยวาย การที่ Nissan เพิ่มกระจกประตูคู่หน้าแบบ Acoustic Glass มาให้ ยิ่งทำให้รถเดิมที่ค่อนข้างไปทางเงียบอยู่แล้ว (เครื่องเงียบกว่าญี่ปุ่นเจ้าอื่น เสียงลมสูสี Fortuner) ตอนนี้ ก็มีเสียงลมค่อยลง..คือไม่ถึงกับหายไปนะ แต่ค่อยลงไปอีก ซึ่งก็ดีและทำให้เป็นรถเงียบอันดับต้นของคลาสไปได้ แม้ว่าเสียงรบกวนทางซีกหลังของรถจะเหมือนรุ่นเดิมก็ตาม

ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองนั้น สามารถใช้ผลเดิมของทางเว็บเราก็ได้ เพราะเรามีการเอารุ่น 2018 มาทดสอบไว้แล้ว ได้ 14.45 กม./ลิตร..แพ้ MU-X 1.9 ขับหลังแค่ 0.3 กม./ลิตร และดีกว่ารถของค่ายอื่นที่แรงม้าใกล้เคียงกันทั้งหมด นี่คือการทดสอบโดยทีมพี่ J!MMY วิ่ง 110 เปิดแอร์ตอนกลางคืนนะครับ

ครั้งนี้ ผมลองจับเล่นๆ วิ่งจากจุดเริ่มต้น ใช้ความเร็วแบบ 110-120 มีการทำอัตราเร่ง 0-100, 80-120, 0-180 และไล่ทำท้อปสปีดด้วย นอกนั้นก็ขับมุ้งมิ้งอยู่แถว 110-120 เหมือนเดิม ตัวเลขบนจอยังออกมา 11.4 กม. ต่อลิตร ซึ่งสำหรับรถพิกัดม้า 180-200กว่าตัวในคลาส ถ้าอัดแบบนี้ตัวเลขก็ใกล้เคียงกันประมาณนี้แหละครับ

บทสรุปการรีวิว Nissan Terra Minorchange

Likes: แก้ แก้ แก้จนถ้านี่เป็นเสื้อผ้า Terra ก็คงเกือบเปลือยละครับ หล่อขึ้น ต่างจาก Navara มากขึ้น ของครบขึ้น ช่วงล่างนั่งสบายแต่ไม่โหวง เครื่องเงียบ การเก็บเสียงลมด้านหน้าดีขึ้น ราคาไม่ฉีกจากเดิมมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้

Dislikes: แรงตีนต้นยังสู้ Fortuner 2.8 กับ MU-X 3.0 ไม่ได้ ไม่มีเบาะไฟฟ้าฝั่งคนนั่ง ไม่มี Adaptive Cruise Control กับ Auto Brake Hold พวงมาลัยไวขึ้นแต่ยังขับในเมืองไม่คล่องมือเท่าคู่แข่งอยู่ดี

ถ้าความเปลี่ยนแปลงของ Navara Minorchange ทำให้คุณเริ่มรู้สึกดีกับ Nissan มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงของ Terra Minorchange ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความรู้สึกว่า Nissan เริ่มจะรับฟังผู้บริโภคมากขึ้นแล้ว หลังจากที่ทำตัวเป็นคนอินดี้ คิด Product แบบตามใจตนเองแล้วมาพยายามให้ฝ่ายการตลาดขายในสิ่งที่ลูกค้าไม่เข้าใจหรือไม่ได้ถวิลหามาตั้งแต่แรก..มาคราวนี้ ผมกลับรู้สึกว่า Terra คือรถที่พยายามลดความอินดี้แบบเชื่อแต่ตนเองลง แล้วพยายามดูความเป็นไปของโลกรถยนต์มากขึ้น ซึ่งอันนี้เราไม่มีทางรู้ว่ามันจะเป็นผักชีจานด่วนที่มากู้สถานการณ์เพียงครั้งเดียว หรือมันจะเป็นจุดเริ่มต้น สู่ทัศนคติการบริหารที่เปลี่ยนไป และจะช่วยให้คนของ Nissan ในไทย สามารถรับของดีๆมาขายได้มากขึ้น

แต่ในวินาทีนี้ แม้ว่า Terra Minorchange จะไม่ใช่รถที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า ดีที่สุดในคลาส และต่อให้เอาราคามาคิดด้วย ก็ยังมีรถอย่าง MU-X 3.0 ที่เป็นเจ้าตลาดตัวโตในราคาที่แพงกว่า Terra ไม่ถึงแสน แต่ Terra ก็เป็นรถที่ถูกปรับปรุงจนมีความน่าสนใจมากขึ้น มีหน้าตาที่ชวนให้ลูกค้าอยากมาลองขับมากขึ้น

การปรับปรุงภายนอกและภายใน ทำให้ Terra เหลือจุดที่เหมือน Navara น้อยลง จนถ้าใครบอกว่า Terra เหมือน Navara แล้วเป็นข้อเสีย คุณก็ลองไปเทียบกับรถของเจ้าอื่น มันก็มีดีกรีความเหมือนกับ Pick-up Brother บ้านเดียวกัน เท่าๆกับที่ Terra เป็นอยู่ในตอนนี้นั่นแหละ ส่วนจะสวยหรือไม่นั้น แล้วแต่คนมอง บางท่านอาจจะบอกว่าดูเหมือน Fortuner แต่ผมเชื่อว่าถ้าให้ลูกค้าตัวจริงเลือกระหว่างโฉมนี้ กับโฉมที่แล้ว รุ่นใหม่น่าจะได้คะแนนใจมากกว่าเยอะ

เรื่องอุปกรณ์นั้น แม้จะยังส่งเรือถึงฝั่งแต่ยังไม่เทียบท่า..เช่น ให้เบรกมือไฟฟ้ามา แต่ยังไม่มี Auto-Brake Hold ยังไม่มี Adaptive Cruise Control คอพวงมาลัยยังปรับระยะใกล้ไกลไม่ได้ เบาะฝั่งคนนั่งยังปรับด้วยมือ ขนาดล้อแม็กไม่ได้โตเท่าของคู่แข่ง แต่ว่ากันตามจริง ก็ไม่มีคู่แข่งรายไหนที่มาแล้วครบในทุกสรรพสิ่ง MU-X Ultimate ก็ไม่ได้มีกล้องรอบคัน Fortuner ก็ยังใช้คันเบรกมือ และ Pajero Sport ก็ไม่ได้มีชุดเครื่องเสียง BOSE Premium Sound แต่มีระบบขับสี่ที่ปรับ 4H วิ่งทางดำได้เจ้าเดียวในกลุ่ม เป็นต้น

ดังนั้น จุดอ่อนของรุ่นเดิม 2018 ที่ด้อยในเรื่องออพชั่น คราวนี้มันก็ดีขึ้น เพียงแต่ต้องมองว่าสิ่งที่ Nissan ยังขาดอยู่นั้น คุณมองว่ามันสำคัญสำหรับคุณขนาดไหน ซึ่งแต่ละคนก็ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์แต่ละชิ้นไม่เท่ากัน อย่างผมนี่ ผมเฉยๆกับฝาท้ายเตะเปิด แต่ใจน่ะอยากได้ Auto-Brake Hold กับ Adaptive Cruise Control มากกว่า แต่ถ้าไปถามคนอื่น เขาก็จะคิดต่างจากผม

แต่ท้ายสุด ไม่ว่าจะขาดอะไรไป Nissan ก็ยังราคาถูกที่สุด เมื่อเอารถเวอร์ชั่น 4WD ตัวท้อปมาเทียบกับคู่แข่งอยู่ดี จึงเข้าใจได้ว่าการขาดหายไปของอุปกรณ์บางชิ้น เพราะ Nissan ต้องพยายามทำราคาให้ห่างจาก Isuzu มากที่สุด เพราะถ้าราคาเท่ากัน ลูกค้าส่วนมากไปหาเจ้าตลาดอยู่แล้ว ขนาดห่างกัน 80,000 บาท บางคนไม่เคยขับ Terra เลย ใจก็ไปหา MU-X แล้ว โดยที่ไม่ได้ลองขับรถคันจริงด้วยซ้ำ

ความที่รถมันน่ามองขึ้น อย่างน้อยก็จะดึงลูกค้าให้มาลองสัมผัสส่วนอื่นของรถที่มันซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างที่บาลานซ์ความมั่นใจกับความสบายได้ลงตัวกับประเภทรถ วิ่งทางยาวสบายและมั่นคง เครื่องยนต์และการขับเคลื่อน ที่แม้จะไม่ได้เร่งออกตัวดีดดีแบบคู่แข่งที่เครื่องโตกว่า แต่ถ้าเทียบกับ Pajero Sport 2.4 ลิตรที่พิกัดใกล้กัน Nissan ก็ยังเร่งได้ดีกว่า โดยที่อัตราเร่งแซง ก็ไล่ๆกันกับพวกความจุโตได้ เครื่องยนต์เวลาวิ่งทางไกลก็เงียบ เสียงลมเข้าที่ประตูหน้าก็เงียบกว่าโฉมเดิม ที่เหลือที่คุณต้องไปวัดกันเอาเองคือเรื่องความสบายของตัวเบาะนั่นล่ะครับ

ถ้าคุณลองแล้วพบว่ามันได้ มันเข้ากับตัวคุณ Terra ก็จะเป็นรถที่นอกจากราคาถูกสุดในกลุ่มแล้ว ยังมีความสามารถในการเป็นสิงห์วิ่งทางยาว ขับเดินทางไกลได้อย่างสบายตัวที่สุดในกลุ่ม..ยกเว้นตอนคุณอยากใช้ Adaptive Cruise ซึ่งมันไม่มี และตอนขับขึ้นเขาทางโค้งโหดๆ ซึ่งคุณยังต้องหมุนพวงมาลัยเหนื่อยกว่าคู่แข่งอยู่ดี

ผมคงสามารถพูดเกี่ยวกับรถคันนี้ ได้แค่นี้ ส่วนการที่ Nissan Terra ใหม่ จะสามารถขยับ Market Share จาก 5 เป็น 20% ได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สภาวะเศรษฐกิจการเงินที่เข้าขั้นวิกฤติ จะมีคนอยากซื้อรถระดับนี้เหลือเท่าไหร่ ส่วนในเรื่องของการขาย แต่ละโชว์รูม กับสำนักงานใหญ่ก็ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงให้ลูกค้าได้รับรู้ถึงข้อดีของรถ แน่นอนว่า ถ้าผมเป็นลูกค้าเข้าไปถึงศูนย์แล้วเจอคำว่า “ถ้าผมให้ลองแล้วพี่จะจองเลยมั้ย” หรือให้ขับ แต่วนหน้าศูนย์ 2 ยูเทิร์นความเร็วยังไม่ถึง 60 ใครมันจะไปรู้ว่ารถมันมีดี ขับแบบนั้นบนถนนเรียบๆ ขอโทษ รถอะไรก็เกือบจะเหมือนกันแหละ

ขนาดท่านประธานเองยังบอกว่า เขามอง Nissan เป็น “Small-player” ที่ต้องทำงานหนักกว่าแบรนด์หลัก ผมว่าเราก็ต้องอาศัยความพยายามจริงจังให้ลูกค้าได้เข้าถึงรถ ซึ่งที่ผ่านมา ก็เห็นความพยายามในการเอาข้อมูลที่กรอกลงเว็บเพื่อขอโบรชัวร์ มีคนติดต่อมาถามว่าสนใจรุ่นไหน (ซึ่งอันที่จริงผมไม่ได้จะซื้อ อิชั้นแค่จะดาวน์โหลดโบรชัวร์เลยต้องกรอกเบอร์ไปงั้นแหละ) อันนั้นก็อาจจะช่วยได้ในแง่การ Connect ลูกค้าเข้ากับโชว์รูม ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้ปิดการขาย เจอคนเก่งๆมืออาชีพที่มนุษยสัมพันธ์และจิตวิทยาดี ก็จบขายการได้ แต่ไปเจอประสบการณ์อย่างอื่น ก็ซวยไป ลูกค้าที่ไม่ใช่สายรถ บางทีเขาไม่อินกับรถ ถ้าเจอคนขายที่เขาไม่ถูกใจ เขาไม่ได้เปลี่ยนไปโชว์รูมอื่นนะครับ..เขาไปหายี่ห้ออื่นที่อยู่ใกล้เขามากกว่า

ที่แน่ๆ ถ้ายอดขายของ Terra 2021 ไม่ดีกว่าเดิม..มันไม่ได้มีเหตุมาจากรถห่วยหรือสเป็คล้าหลังอีกต่อไป

—–/////—–


ขอขอบคุณ / Special Thanks to:

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เอื้อเฟื้อรถทดสอบ

Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นของ Nissan Motor และผู้เขียน ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 21 สิงหาคม 2021

Copyright (c) 2021 Text and PicturesUse of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First published in www.Headlightmag.com. August 21st, 2021