สิงหาคม 2014 หรือเมื่อ 1 ปีที่แล้ว

ผมกำลังอยู่ในช่วงเวลาสุดท้าย ก่อนจะต้องส่งคืน Lexus ES300h ให้กับ
ทีม Lexus Division ของ Toyota Motor (Thailand) เข้าไป ทั้งที่ใจลึกๆนั้น
ยังไม่ค่อยอยากคืน

ทุกครั้งที่ได้ขับ Lexus ผมมักสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เหนือกว่ารถยนต์
Toyota ทั่วไป อย่างชัดเจน หนำซ้ำ ยังเกินหน้าเกินตาบรรดาพี่เบิ้ม ฝั่ง
เยอรมันี อย่าง BMW และ Mercedes-Benz เสียด้วยซ้ำ

โดยเฉพาะหัวข้ออันเกี่ยวข้องกับความนุ่มสบาย การเก็บเสียง สัมผัสจาก
วัสดุตกแต่งภายในรถ (Perceived Quality) ที่แอบเหนือชั้นกว่าฝรั่งมั่งค่า
ไปพอสมควร

กระนั้น ES300h ก็ยังมีความแตกต่างไปจาก Lexus รุ่นอื่นๆ ที่ผมได้เคย
ลองขับในช่วงตั้งแต่เปิดเว็บไซต์ Headlightmag.com เป็นต้นมา

อาจเพราะ มันไม่ใช่ Lexus ที่พยายามจะ Sport ขึ้น เหมือนอย่างรุ่น GS
หรือแม้แต่ NX ทว่า มันยังคงเป็น Lexus ในแบบดั้งเดิม ที่ผม และใครอีก
หลายต่อหลายคนชื่นชอบ นั่นคือ Lexus ที่สืบทอดบุคลิกความสบายเพื่อ
ความสุนทรีย์ในการเดินทาง ทั้งการขับขี่ แบบ Cruising และ การนั่งอยู่บน
เบาะหลัง จากรุ่นใหญ่ตระกูล LS ลงมาอยู่ใน ตระกูล ES โดยไม่ขัดเขิน

สารภาพเลยว่า ผมเขียนรีวิวของ ES300h คันสีดำในครั้งนั้น อย่างเต็มที่
ตรงไปตรงมา ว่า หากคุณไม่โกหกดตัวเอง หรือยีดติดกับรถยนต์ตราดาว
เป็นสรณะ ES300h คือร่างจำแลงของ Lexus LS460 ดีๆนี่เอง ไม่แปลก
ที่ผมจะกล้ายืนยันว่าการนั่งอยู่บนเบาะหลังของ ES300h ให้บรรยากาศ
ผ่อนคลายได้มากกว่า Mercedes-Benz E-Class W212 รุ่นปัจจุบัน (ซึ่ง
ใกล้ตกรุ่น) เสียอีก!

แต่…นั่นไม่ได้ช่วยให้ ES300h ขายดีขึ้นเลย…..

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_01

1 ปีผ่านไป ไว ยิ่งกว่า เด็กส่งพิซซ่า พลีชีพ ในกรุงเทพมหานคร

หลังบทความรีวิวของ ES300h เผยแพร่ออกไป ใน Website ของเรา เมื่อ
วันที่ 11 สิงหาคม 2014 ริมาณของ ES300h ที่ขายได้ นับจากนั้น มันช่าง
น้อยมากพอๆกับปริมานแหล่งน้ำ ในทะเลทรายซาฮาร่า

มันช่างน้อยจนน่าเศร้า ทำให้เราต้องส่งชื่อของรถเก๋งรุ่นนี้ เข้าไปอยู่ใน
กลุ่ม “รถดี ที่ขายไม่ดี ในประเทศไทย” ไปอย่างน่าเสียดาย

ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ การที่ Toyota Motor Thailand ตัดสินใจกันแล้วว่า
จำใจต้องพับแผนการนำ Lexus ES มาประกอบขายในบ้านเรา ทำให้
โอกาส นำ Lexus มาแจ้งเกิดกางตลาดรถยนต์ระดับหรูของเมืองไทย
กลายเป็นเรื่องยากเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา

เหตุผลดังกล่าว ทำให้ Toyota จำใจต้องนำเข้า ES300h รุ่นใหม่ จาก
ญี่ปุ่น แบบ สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU : Complete Built Unit) เข้ามาขาย
ลูกค้าชาวไทยกันต่อไป ซึ่งเมื่อบวกภาษีศุลกากร สรรพสามิตและค่า
ใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้ง กำไร เข้าไปจนเต็มอัดรา ค่าตัวของ ES ใหม่
จึงกระโดดจากรถรุ่นก่อนๆ ขึ้นมาทาบรัศมีกับ แบรนด์หรูยอดนิยม
จากเยอรมันี อย่าง Mercedes-Benz E-Class กันตรงๆตัว

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_02_EDIT

ES300h โฉม Minorchange นั้น เผยโฉมในตลาดโลกครั้งแรก ใน
งาน Shianghai Auto Show เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2015 ที่ผ่านมา
การนำมาเปิดตัวในประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2015
ทำให้ Lexus ยังคงรักษาสถิติ ในการนำรถยนต์รุ่นใหม่ มาเปิดตัว
ในประเทศไทย ได้ฉับไว คล้อยหลังจากตลาดโลกแค่เพียงราวๆ
3 เดือน เท่านั้น!

เหตุที่ต้องเปิดตัวในเมืองจีนก่อน ก็เป็นเพราะลูกค้าวัย 35 ปีชาวจีน
กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ที่ขึ้นมามีบทบาทสำคัญ เพระาพวกเขา
เริ่มอุดหนุน ES มากกว่าลูกค้าวัย 50 ปีขึ้นไป ชาวอเมริกัน ซึ่งเคย
เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเดิม ของรถรุ่นนี้ แล้วนั่นเอง

>> Full Review รีวิวทดลองขับรุ่นเดิม สามารถคลิกอ่านได้ที่นี่ครับ <<

คุณผู้อ่านคงสงสัย ว่า ความแตกต่าง จากรุ่นเดิม มันถูกเพิ่มเติม
เข้ามา อย่างไร มากน้อยแค่ไหน?

งั้นเรามาดูกัน!

ความแตกต่างภายนอก :

กระจังหน้าถูกออกแบบขึ้นใหม่ นำเส้นสายแบบ Spindle Grill มาใช้อย่าง
หนักหน่วงเพิ่มขึ้นจากเดิมไปอีก เสริมแถบโครเมียมเข้าไปให้หรูเรียบๆ
แต่มีความโฉบเฉี่ยวมากขึ้นนิดหน่อย

ชุดไฟหน้าก็ต้องเปลี่ยนใหม่ให้สอดรับ กับเส้นสายใหม่มากขึ้น เป็นแบบ
LED headlamps พร้อมไฟ Daytime Running Lights ในสไตล์หัวลูกศร

ชุดไฟท้ายเองก็ต้องเปลี่ยนงานออกแบบตัวโคมด้านในใหม่ทั้งหมด แต่ยัง
ใช้กรอบนอกแบบเดิมอยู่ มีแถบ Illumination รูปตัว L พร้อมด้วยไฟฉุกเฉิน
ติดสว่างขึ้นเองอัตโนมัติ เมื่อคุณต้องเหยียบเบรกกระทันหัน เพื่อเตือนให้
รถคันที่แล่นตามมารับรู้ (Active brake lamps) เช่นเดียวกับเปลือกกันชน
ด้านหลัง ที่ปรับเส้นสายใหม่เล็กน้อย ให้รับกับ Theme การออกแบบของ
ตัวรถทั้งคัน

ล้ออลูมินัมอัลลอย ขนาด 17 นิ้ว เปลี่ยนลวดลายใหม่ ให้เป็นแบบปัดเงา
ดูดีขึ้นกว่าเดิม

สีตัวถังจากเดิมที่มีทั้งหมด 6 สี ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่อีก 4 สี ดังนี้

– Platinum Silver Metallic
– Black
– Red Mica Crystal Shine
– Mercury Gray Mica
– Sonic Titanium
– Sleek Ecru Metallic
– Sonic Quartz (สีใหม่)
– Graphite Black Glass Flake (สีใหม่)
– Amber Crystal Shine (สีใหม่)
– Deep Blue Mica (สีใหม่) 

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_Interior_01

ความแตกต่างภายในห้องโดยสาร จากรุ่นเดิม :

– การตกแต่งภายใน ยังคงไม่แตกต่างไปจากเดิม เพียงแต่มีทางเลือกใหม่
“ภายในสีเบจ / น้ำตาล” สำหรับใครก็ตาม ที่เบื่อเบาะนั่งสีดำเต็มแก่แล้ว
มาให้ได้เป็นเจ้าของกัน

– เบาะนั่งคู่หน้า และเบาะนั่งแถวหลัง ยังคงมีทรวดทรงเหมือนเดิม แต่
ลวดลายของเบาะหนัง ถูกปรับปรุงใหม่ เพิ่มตะเข็บแนวตั้ง บริเวณที่
ใช้รองรับส่วนกลางแผ่นหลังของมนุษย์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการ
ยุบและคืนตัวหลังจากนั่งโดยสารเรียบร้อยแล้ว

– เบาะนั่งคู่หน้า ยังคงปรับระดับได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมกับ
หน่วยความจำตำแหน่งเบาะ (Memory Seat) ได้ 3 ตำแหน่ง เช่นเดิม
รวมทั้งยังมีสวิตช์ไฟฟ้าปรับตำแหน่ง ของตัวดันหลัง และระบบเลื่อน
เบาะนั่งถอยหลัง พร้อมทั้งยกพวงมาลัยขึ้นด้วยไฟฟ้า ขณะที่ผู้ขับขี่
ลุกเข้า – ออก Comfort Seat ซึ่งมีมาให้เฉพาะเบาะนั่งฝั่งคนขับเท่านั้น
แต่ สามารถปรับตัวยกขึ้นแบบ Ottomann รองรับช่วงต้นขาของผู้ขับขี่
ได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า

– เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและหลัง ยังคงให้สัมผัสที่สบาย เหมือนเช่นเดิม
เบาะคู่หน้า ปรับได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า แน่นอนว่า เรื่องยกเว้น ก็คงมีแค่
ตำแหน่งพนักศีรษะคู่หน้า ยังคงดันกบาลผมพอประมาณ ตามเคย อยู่ดี
ส่วนตำแหน่งวางแขน ทั้งบนแผงประตูด้านหน้า ด้านหลัง และพนัก
วางแขน ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เหมือนเดิมเป๊ะ!

– Moonroof เปิดปิดด้วยสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมแผงบังแดด มีมาให้ตามเดิม

– พวงมาลัย ปรับเปลี่ยนงานออกแบบนิดหน่อย ให้ดูสปอร์ตขึ้นกว่าเดิม
แต่ยังคงตกแต่งด้วย ลายไม้ธรรมชาติ พร้อมปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย
อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม

– ชุดมาตรวัด Optitron และ จอแสดงผลข้อมูล Multi Information Display
ออกแบบขึ้นใหม่ เพื่อให้ดูข้อมูลได้ง่ายขึ้น ทั้ง Trip Computer หน้าจอ
เครื่องเสียง เชื่อมกับระบบนำทาง เพื่อแจ้งเส้นทาง ฯลฯ ให้เหมือนกัน
กับตระกูล Lexus รุ่นอื่นๆ

– ระบบ Infotainment พร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม ถูก Upgrade หน้าจอ
เป็นแบบใหม่ เพื่อให้เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น (More user friendly) ส่วน
แผนที่ และการป้อนข้อมูล รวมทั้งการใช้งาน ชุด Remote Touch ยังคงเป็น
เช่นเดิม คือเมื่อคุณเลื่อนนิ้วไปบนแป้นสี่เหลี่ยม คุณสามารถเลื่อนแป้นไป
ตามตำแหน่งล็อก ต่างๆ ตามหน้าจอที่ปรากฎขึ้นมา ซึ่งจะเปลี่ยนไปทุกครั้ง
ที่มีการเปลี่ยนหน้าจอ จะกดยืนยันลงไปเลย หรือกด Enter ที่ด้านข้างของ
ตัวแท่นวางมือ Remote Touch ก็ทำได้เหมือนกันทั้งคู่

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_Engine_01

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังของ ES300h เป็นระบบ Hybrid ชุดเดียวกันกับที่คุณเคยเจอมาแล้ว
ใน Toyota Camry Hybrid รุ่นปัจจุบันนั่นเอง ยังคงเหมือนเดิม และไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น

เครื่องยนต์ เป็นแบบ 2AR-FXE เบนซิน  4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,494 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 90.0 x 98.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยหัวฉีด EFI จุดระเบิดในรูปแบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบแปรผัน
วาล์วที่หัวแคมชาฟต์ VVT-i

ถึงจะเป็นเครื่องยนต์แบบเดียวกัน แต่ก็ถูกปรับจูนให้แตกต่างจากเวอร์ชัน
ที่ติดตั้งใน Camry Hybrid นิดหน่อย เหมือนอย่างเช่นที่เคยเขียนเล่าไว้
ในรีวิว ES300h รุ่นก่อนปรับโฉม

กำลังสูงสุดจากเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว อยูที่ 160 แรงม้า (PS) ที่ 5,700
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตันเมตร (21.7 กก.-ม.) ที่ 4,500 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วย ชุดระบบส่งกำลัง P314 ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า
กระแสสลับ แบบแม่เหล็กถาวร Premanant Magnet Type รุ่น 2JM
ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ หรือ 143 แรงม้า (PS)
ทำหน้าที่เป็นทั้งมอเตอร์ระบบขับเคลื่อน รับกำลังไฟฟ้าจากแบ็ตเตอรี ไป
หมุนล้อคู่หน้า และจะทำหน้าที่เสมือน Generator (เครื่องกำเนิดพลังงาน)
ส่งไฟฟ้ากลับไปยังแบ็ตเตอรี ในขณะที่คุณชะลอความเร็ว หรือเหยียบเบรก
ให้รถไหลจนหยุด เพื่อให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จึงต้องมีการติดตั้งระบบ
Power Spilt Device หรือ Power Control Unit เพื่อควบคุมมอเตอร์ ระบบ
ขับเคลื่อน เพื่อทำหน้าที่เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ไปด้วยในตัว
ทำงานร่วมกับแบ็ตเตอรี แบบ Nickel-Metal Hydride

รวมกำลังสูงสุดจากระบบขับเคลื่อนอยู่ที่ 151 กิโลวัตต์ หรือ 205 แรงม้า
(PS) เท่ากันกับ ขุมพลังของ Camry Hybrid เป๊ะ

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_Engine_02

คันเกียร์ ยังคงเป็นแบบขั้นบันได  มีโหมด บวก-ลบ มาให้ ล็อกอัตราทดเกียร์
ได้ 6 จังหวะ จนถึงตอนนี้ Toyota ยังไม่เปิดเผยอัตราทดเกียร์ กับเฟืองท้าย
ของ ES300h ให้เราแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ถัดขึ้นไป เหนือคันเกียร์ ยังคงเป็น สวิตช์หมุนปรับเปลี่ยนโปรแกรมการขับขี่
Drive Select Mode ที่ยังคงมีให้เลือกทั้งหมด 4 Mode เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น
Normal Mode กดปุ่มลงไป เพื่อขับขี่ตามปกติ สำหรับการใช้งานในเมืองหรือ
เดินทางไกล ECO Cmode บิดไปทางซ้าย เพื่อเน้นความประหยัด โปรแกรมนี้
คันเร่งจะตอบสนองช้าลง Lag ลง เครื่องปรับอากาศ จะทำงานน้อยลง

ส่วนโปรแกรม Sport Mode บิดสวิตช์ไปทางขวา เอาไว้สำหรับช่วงเวลาที่คุณ
อยากขับรถให้สนุกขึ้น เน้นการตอบสนองของคันเร่งไวขึ้น ลัดเลาะตามทางโค้ง
ไหล่เขาทางภาคเหนือ และ EV Mode สำหรับขับแบบรถไฟฟ้าล้วนๆ สามารถ
กษาความเร็ว ได้สูงถึง 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่อเนื่องจนกว่าไฟในแบ็ตเตอรีจะ
ลดต่ำถึงขีดที่กำหนด ระบบนี้จะทำงานเมื่อไฟในแบตเตอรีเหลือเกินกว่า 3 ขีด
เท่านั้น

ข้างๆกัน เป็นสวิตช์เปิด – ปิดระบบควบคุมเสถียรภาพ Traction Control

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_Interior_16

 ความแตกต่างจากรุ่นเดิม?

– การทำงานของระบบ Hybrid : เหมือนเดิม
– อัตราเร่ง : เหมือนเดิม ดังนั้น จึงไม่ต้องทำการทดลองใดๆซ้ำ
– การทำงานของเกียร์ : ยังคงเหมือนเดิม
– ความประหยัดน้ำมัน : เหมือนเดิม จึงไม่ต้องทำการทดลองซ้ำ
– การเก็บเสียง : ยังเงียบสงบดี ในระดับที่คุณคาดหวังได้ตามเดิม
– การตอบสนองของระบบเบรก : ก็เหมือนรุ่นเดิมอีกนั่นแหละ!

อ้าว! แล้วสิ่งที่แตกต่างจากเดิมละ มันอยู่ตรงไหน?

คำตอบก็คือ ทาง Lexus แจ้งว่า มีการปรับปรุงค่าของช็อกอัพ ให้แข็งขึ้นนิดๆ
เพื่อให้มีบุคลิกสปอร์ตเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่ไม่ได้มีข้อมูลบอกเพิ่มเติมอื่นใด
นอกเหนือจากนี้

แล้วมันจะแข็งขึ้นแค่ไหนกันละนั่น?

ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับคลานไปตามตรอกซอกซอย คุณจะพบว่าช่วงล่าง
แอบแข็งขึ้น “แค่เพียงนิดเดียวจริงๆ” เฉพาะเวลาขับผ่านเนินลูกระนาด และ
หลุมบ่อหรือฝาท่อต่างๆ มันต่างจากรุ่นเดิมน้อยมากชนิดที่ว่า ถ้าคุณไม่เป็นคน
ช่างสังเกต จะแทบไม่มีทางรับรู้ความแตกต่างนี้เลย

นอกนั้น การตอบสนอง ในช่วงความเร็วเดินทาง และความเร็วสูง ยังคงเหมือน
รุ่นก่อนปรับโฉม ไม่มีผิดเพี้ยน! ยังคงพาคุณเดินทางไปยังนุ่มสบาย และสงบ
ในแบบที่ผมต้องการจากรถรุ่นนี้ เช่นเดิม

แค่นี้ละครับ!

ด้านระบบความปลอดภัย ยังคงติดตั้งสารพัดตัวช่วยมาให้ครบครัน ดังนี้

– ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ( Vehicle Stability Control)
– ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ( Traction Control System)
– ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ( Anti-lock Brake System)
– ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)
– ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution)
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)
– ไฟเบรกฉุกเฉิน (Emergency Brake Light)
– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
– ระบบป้องกันการโจรกรรม (Immobilizer)
– ระบบช่วยจอด (Parking Assist)

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการติดตั้ง 2 ระบบใหม่ เพิ่มเข้ามาเป็นครั้งแรก นั่นคือ

ระบบเตือนเมื่อมีรถด้านหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
ขณะเตรียมถอยรถออกจากช่องจอด ถ้ามีรถยนต์ จักรยานยนต์ หรือวัตถุใด
ตัดผ่านด้านหลังรถกระทันหัน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้คุณเหยียบ
แป้นเบรกได้อย่างทันท่วงที

ระบบสัญญาณเตือนมุมอับสายตา ขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist + BSM)
นี่คือสิ่งที่ผมคาดหวังจะเห็นเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ หลังจากนี้
หากมีรถยนต์ หรือจักรยายนต์ แล่นเข้ามาทางด้านข้างตัวรถ ในรัศมีที่กำหนดไว้
จะมีสัญญาณไฟเตือนสีเหลืองอำพัน กระพริบพร้อมเสียงเตือนดัง “ปี๊บๆ” ให้คุณ
รับรู้ว่า อย่าเพิ่งเปลี่ยนเลนในตอนนั้น ระบบนี้มีประโยชน์มาก สำหรับใครที่ชอบ
ขับรถแบบ เก้ๆกังๆ หรือพวกที่เปลี่ยนเลนแต่ลืมดูกระจกมองข้างเป็นประจำ

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_06

********** สรุป **********
นุ่มสบาย สงบและบางด้านแอบดีกว่า E-Class แต่ราคา ก็พอกับ E-Class นั่นแหละ

หลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานราวๆ 7 วัน ผมยังคงยืนยันตามเดิมว่า ES300h
ยังคงเป็นรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้า ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ที่ให้ความ
สบายในการขับขี่ ไปจนถึงการนั่งโดยสาร ในแบบที่เกินความคาดหมาย

คนส่วนใหญ่ไม่คิดกันหรอกครับว่า รถญี่ปุ่นหนะเหรอ จะทำผลงานออกมา
ได้ดีเท่ารถเยอรมัน บอกได้คำเดียวจริงๆว่า คุณควรไปลองขับ และนั่งด้วย
ตัวของคุณเอง อย่าเพิ่งมาเชื่อคำพูดของผมให้มากนัก

ทุกความรู้สึกอันแสนสุขสงบและสบายในการเดินทาง ที่ผมชื่นชอบ ยังคง
มีอยู่ในรถรุ่นนี้ อย่างเต็มเปี่ยม เช่นเดิม

เรื่องน่าเศร้าก็คือ ค่าตัวของ ES300h ที่ยังคงแพงเกินไปในความคิดของ
ลูกค้าชาวไทย ขนาดรุ่นปรับโฉมตามออกมา ปัญหาเรื่องราคา ก็ยังเป็น
อุปสรรคในการทำตลาดของรถรุ่นนี้ ตามเดิม

ES300h Luxury            3,500,000  บาท
ES300h Premium         3,970,000 บาท

ป้ายราคาที่แพงจนเทียบเท่า Mercedes-Benz E-Class W212 กันขนาดนี้
ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า มันทำให้ ลูกค้าส่วนใหญ่ ยังคงเลือกมองหาดวงดาว
แปะหน้ารถกันอยู่ดี

มันเป็นเรื่องค่านิยม ของสังคมไทย ซึ่งสืบเรื่องต่อเนื่องมาจากค่านิยม
เดียวกันในประเทศจีน  นั่นจะยังคงทำให้ Mercedes-Benz กวาดต้อนลูกค้า
กลุ่มที่ตั้งใจ และอยากไขว่คว้าดวงดาว ไปจนแทบจะหมดเกลี้ยง

แน่ละครับ Mercedes-Benz ผูกรากฝังลึกมานานในเขตแคว้นย่านเอเซีย
เพราะ ในยุคสมัยที่เพิ่งเริ่มมีรถยนต์กันครั้งแรก เมื่อราวๆ 120 ปีก่อนนั้น
บรรดาชนชั้นสูง ราชวงศ์ และขุนนาง ต่างพากันสั่งรถยนต์ตราดาว เข้ามา
ใช้งานในยุคที่ “ประชายานยนต์” ยังไม่นิยมกัน

ส่วน Lexus เป็นแบรนด์ที่เพิ่งเกิดในปี 1989 ดังนั้น เหนื่อยหน่อยละครับ
สำหรับการเจาะใจลูกค้าชาวไทย มันไม่ง่าย เหมือนการชนะใจลูกค้าชาว
ฮ่องกงมาเก๊า ซึ่งที่นั่น Lexus ฟัดเหวี่ยงสูสี ทัดเทียม Mercedes-Benz ได้
อย่างสบายๆ

ไม่เพียงเท่านั้น คู่แข่ง อย่าง BMW ก็อยู่ในช่วงเริ่ม ดัมพ์ราคา 5-Series
ประกอบในประเทศ ลงมาจนอยู่ในระดับที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วย

ถ้าเช่นนั้น ก็คงเหลือทางเดียวแล้วละที่จะทำให้ค่าตัวของ ES ถูกลงมาได้
คือ จับมาประกอบที่โรงงาน Gateway เลยเสียที!

แต่เราจะมีวันได้เห็น Lexus ประกอบในประเทศไทยกันหรือไม่นั้น
มันคงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วง 1-2 ปีนี้ และคงเป็นเรื่องของอนาคต

อนาคตที่ดูช่างเลือนลางเต็มที…..

—————————-///————————-

2015_08_Lexus_ES300h_Minorchange_07

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks :

ทีม Lexus Group Department และฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

—————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
11 กันยายน 2015

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 11th,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are welcome! CLICK HERE!
———————————————————————————————–

บทความที่ควรค่าต่อการอ่านประกอบเพิ่มเติม
+ ทดลองขับ Lexus ES300h : LS Junior วางขุมพลัง Camry Hybrid! นุ่มอย่างแตกต่าง ต้องลองขับถึงจะรู้!