To be the first is to be the best

จะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องบุกเบิกและทำให้เสร็จเป็นคนแรก

ผมได้ยินประโยคนี้ครั้งแรก สมัยที่เป็นเด็กสิวเต็มหน้า ติดสอยห้อยตามแม่ของตัวเองไปงานสัมนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์และเครื่องใช้สุภาพสตรียี่ห้อหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนาม)ในช่วงกลางยุค 90s ที่คนในบ้านเรากำลังโหมกระแส Multi-Level-Marketing กันในวงกว้าง

ของหลายอย่างในชีวิตนั้น..คนที่ได้รับความสำเร็จก่อน ก็มักจะเป็นคนที่ลองพยายามก่อนและทำได้ก่อน

เมื่อนั่งรถกลับบ้านมา ผมกับแม่คุยกันเรื่องปรัชญาข้อนี้ และแม่ลูกก็มีความเห็นตรงกันว่า ไม่จำเป็นเสมอไปหรอก (ว่ะ)

การที่คุณทำอะไรเป็นคนแรก มันการันตีความสำเร็จในชีวิตคุณแค่ช่วงหนึ่ง แต่การที่คุณจะเป็นผู้นำได้ตลอดไปนั้น คุณต้องรู้จักการถีบตัวเอง พัฒนาความรู้คิดหาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ และที่สำคัญ ต้องไม่ยอมแพ้..คุณคิดว่ามนุษย์วานรตัวแรกของโลกที่เอาหินมาลับเป็นมีดกับมนุษย์คนแรกที่สร้างกระบี่กับดาบขึ้นบนโลกมีชีวิตดีกว่าเจ้าของกิจการมีดพับ Victorinox หรือเปล่าล่ะครับ?

ในโลกของรถยนต์ มันก็มีการขัดแข้งขัดขาระหว่างปรัชญาต่างๆ ในลักษณะคล้ายกัน ทุกคนในโลกรู้ว่า Mercedes-Benz (หรือถ้าพูดให้ถูกต้องบอกว่า Carl Benz) คือผู้ที่ผลิตรถยนต์เป็นรายแรกของโลก และ Ford ก็สามารถผลิตรถ Model A ได้ตั้งแต่ปี 1903 ส่วน BMW นั้น กว่าจะผลิตรถคันแรกได้ก็ประมาณปี 1929 แถมยังเป็นรถ Dixi ซึ่งซื้อลิขสิทธ์การประกอบและนำชิ้นส่วนต่างๆของ Austin 7 มาใช้ด้วยซ้ำ

ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1930 คุณจะมองว่ารถของ BMW นั้นดูยังไงก็สู้ Mercedes-Benz หรือ Ford ที่สร้างรถมานานจนช่ำชองไม่ได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมีข้อแม้ คน..มีการตัดสินใจที่ถูกและผิด..ชีวิต..มีทางเลือกและสภาพแวดล้อมที่บังคับเราไป BMW พัฒนาตัวเองโดยประยุกต์ทักษะจากการเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์และมอเตอร์ไซค์ จนสามารถสร้างรถรุ่นต่อๆมาอันเป็นที่ยอมรับเช่นรุ่น 303 ซึ่งเป็น BMW รุ่นแรกที่ใช้กระจังหน้าไตคู่ และ 328 เป็นต้น

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 BMW ตกต่ำลงเพราะฝ่ายพันธมิตรห้ามไม่ให้โรงงานของชาวเยอรมันสร้างเครื่องจักรใดๆ อีก ฝ่ายบริหารและคนงานของ BMW ต้องเอาชีวิตรอดด้วยการปรับสายการผลิตในโรงงาน..แล้วเอามาสร้างหม้อกับกระทะขายเพื่อพยุงกิจการตัวเองให้รอด ถ้าพวกเขายอมแพ้ไปตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่สามารถถีบตัวเองขึ้นไปเป็นบริษัทผู้ผลิตรถหรู มีดีกรีใกล้เคียง Mercedes-Benz มากขึ้นในยุค 50s ด้วยรถอย่าง 501 และรถสปอร์ตเปิดประทุนอย่าง 507 ซึ่งสวย มีประสิทธิภาพ แต่ราคาแพงยิ่งกว่า 300SL เสียอีก

ในยุคนั้น BMW มุ่งหน้าผลิตรถหรูเพื่อพิสูจน์ตัวเอง รถที่พวกเขาทำก็ไม่ใช่ว่าแย่ แต่การเติบโตของตลาดรถหรูมันช้า และไม่ได้สร้างผลกำไรให้มากเท่าที่ควร รายได้หลักของบริษัทยังมาจากจักรยานยนต์ เพราะคนไม่มีเงินมากพอจะซื้อรถของ BMW ทีมผู้บริหารเลยไปเจรจาซื้อแบบของ Iso Rivolta Isetta ที่เป็นรถทรง Bubble car มาผลิตขายไปกว่า 160,000 คัน

แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะพลิกสถานการณ์ของบริษัท ในขณะที่ Mercedes-Benz กำลังไปได้ดีกับรถขนาดกลางและขนาดใหญ่รวมถึงรถสปอร์ต BMW กำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติถึงขนาดที่ประธานฯต้องเรียกประชุมแล้วเสนอว่า “เราคงต้องยอมขายกิจการให้ Mercedes-Benz!”

ทั้งบรรดาผู้บริหารชั้นรองลงมา ลูกจ้าง และสหภาพแรงงาน ต่างไม่เห็นด้วยและพยายามประท้วงคัดค้านจนตกไป สองพี่น้อง Herbert กับ Harald Quandt กวาดซื้อหุ้นของ BMW จนถือครองหุ้น 2 ใน 3 ของบริษัท และกำสิทธิ์ในการบริหารและนโยบายการดำเนินงานของ BMW ไว้ พี่น้องตระกูล Quandt มองว่า ที่ BMW ตาย เพราะมัวแต่ทำรถชั้นดีที่ไม่มีกำไร และไม่ยอมสร้างรถยนต์ที่เหมาะกับชนชั้นกลางอันเป็นตลาดที่กำลังเจริญเติบโต

พวกเขาจึงสั่งให้ทีมวิศวกร สร้างรถขนาดกลางที่ใช้เครื่องยนต์ 1.5-2.0 ลิตร มีรูปทรงที่สวย มีการขับขี่เป็นเลิศ และตั้งราคาในระดับที่ชนชั้นกลางพอใจที่จะซื้อ ภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี BMW ก็เปิดตัวรถ New Class รุ่นแรกคือรุ่น 1500 เป็นรถที่กำหนดปรัชญาในการสร้างของ BMW คือ “ขับสนุก ซื้อหาได้ ใช้งานง่าย และทรงสวย” ภายในเวลาแค่ปีเศษๆ ยอดขายของรุ่น 1500 ส่งผลให้บริษัทที่เคยเกือบต้องขายกิจการให้เบนซ์ กลายเป็นทำกำไรได้ Break even ในปี 1962

หลังจากที่รถอย่าง 1500 ประสบความสำเร็จมาก Herbert Quandt ก็มองเห็นตลาดอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มจะป๊อปตามวัฒนธรรม “เยอรมันยิ่งใหญ่ ใครๆก็ต้องมีรถ” จึงสั่งให้นำพื้นฐานของรถ 1500 มาพัฒนาต่อ โดยแตกแขนงออก รุ่นแรก มีขนาดตัวรถใกล้เคียงเดิม ทำเป็นรถ 2 ประตู วางเครื่องยนต์ 6 สูบเป็นหลัก รถรุ่นนี้กลายเป็น 2000C, 2000CS, 2800CS ซึ่งเป็นแม่แบบให้กับตัวถัง E9 (3.0 CSL) ในเวลาต่อมา พวกนี้คือบรรพบุรุษของ 6 และ 8-series ในปัจจุบัน

ส่วนรถอีกรุ่น Quandt บอกว่าอยากได้ขนาดเล็ก คล่องตัว แต่ต้องบรรทุกครอบครัวได้ วิศวกรจึงเอา 1500 มาหดฐานล้อให้สั้นลง และลดจำนวนประตูเหลือ 2 ประตู รถเหล่านี้กลายเป็นรุ่น 02-series (1502, 1602, 1802 และ 2002) ที่คนไทยรู้จักกันดีตั้งแต่ยุคหนังพากษ์เสียงสด ซึ่งในเวลาต่อมา มันก็ถูกพัฒนาจนกลายเป็นซีรีส์ 3 E21 2 ประตู บรรพบุรุษสายตรงของ F82, F32 และ F33 ที่อยู่ในบทความของเราวันนี้นั่นเอง

ดังนั้นแม้ว่า Mercedes-Benz จะผลิตรถได้ก่อน ตั้งหลักได้ก่อน และรวยก่อน แต่ BMW คือค่ายที่รู้จักการสร้างรถสำหรับนักขับที่มีขนาดตัวพอเหมาะได้ก่อน ใช้โดยสารได้จริง และขับมันส์จริงโดยคนซื้อไม่ต้องกระเป๋าแหก ความสำเร็จของ E21 ส่งผลให้ Mercedes-Benz ต้องเร่งพัฒนารถเล็กอย่าง W201 ออกมาแข่งในภายหลัง

และในวันนี้ BMW Thailand ก็เปิดโอกาสให้เราได้ทดลองขับทายาทของรถที่ดำเนินตามปรัชญาของ Herbert Quandt ตั้งแต่ 50 กว่าปีก่อน…คุณผู้อ่านครับ ขอแนะนำให้รู้จักกับ BMW ยุคใหม่ที่ไม่ใช่ SUV ไม่ใช่ MINI ครอบกระดอง BMW และไม่ได้แบกแบตเตอรี่หนักๆไว้ด้านท้าย

นี่คือ BMW ซีรีส์ 4 รถคูเป้กึ่งสปอร์ตซึ่งเพิ่งจะปรับโฉม (LCI) ไปเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางคู่แข่งที่ล้วนมีความโดดเด่นในมุมที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น C-Class Coupe, Audi A5 Coupe หรือ Lexus RC200t

รถทดสอบที่นำมาให้ลองในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย

  • 430i Coupe Luxury (F32)    ราคา 3,499,000 บาท
  • 430i Coupe M Sport (F32)  ราคา 3,799,000 บาท
  • 430i Convertible Luxury (F33) ราคา 3,999,000 บาท
  • 430i Convertible M Sport (F33) ราคา 4,299,000 บาท

เท่านั้นยังไม่พอ โบนัสชิ้นงามของการมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ก็คือ M4 7 DCT สีเหลือง ราคา 8,299,000 บาท ซึ่งถูกสั่งเข้ามาเพื่อให้สื่อมวลชนหลายท่านได้ลองสัมผัสสมรรถนะแห่งตระกูล M บนสนามพีระเซอร์กิต เรียกได้ว่าเป็นอาหารจานพิเศษจริงๆเพราะถ้าคุณเดินเข้าไปโชว์รูม BMW แล้วสั่ง M4 ตอนนี้ ทางบริษัทจะปิดรับสั่งชั่วคราว..แต่ใบ้ให้ว่าจะมีของดีตามมาปลายปี

นอกจากนี้ ผมและคุณอู๋ spin9 แห่ง mini-th และ bimmer-th ยังได้มีโอกาสขับ 430i Coupe M Sport จากกรุงเทพไปสนามแข่ง และขับ 430i Coupe Luxury กลับจากสนามแข่งมากรุงเทพ ทำให้เราได้รับรู้ประสิทธิภาพและความต่างของรถสองรุ่นนี้มากขึ้น

430i Coupe มีความยาวตัวถัง 4,640 มิลลิเมตร กว้าง 1,825 มิลลิเมตร สูง 1,377 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,810 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้ากว้าง 1,547 มิลลิเมตร แทร็คหลัง 1,593 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงตัวถัง 130 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 60 ลิตรค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศเท่ากับ 0.29 น้ำหนักตัวถังวัดตามมาตรฐาน DIN อยู่ที่ 1,490 กิโลกรัม

รถคันสีฟ้า Snapper Rocks Blue (ซึ่งเป็นสีโทนใหม่ที่ดูท่าว่าจะเตะตากว่าสี Estoril Blue เสียอีก!) ที่เห็นในภาพ เป็นรุ่นที่ตกแต่งแบบ M Sport ซึ่งจะมีจุดจำแนกความแตกต่างภายนอกจากรุ่น Luxury คือชุดแต่ง M Aerodynamics ล้ออัลลอยแบบ Double Spoke 5 ก้านคู่ ขอบกระจกหน้าต่างเป็นวัสดุสีดำเงาและมีซันรูฟในรุ่น Coupe

430i Convertible มีความยาวตัวถัง 4,640 มิลลิเมตร กว้าง 1,825 มิลลิเมตร ความสูงรวมหลังคา 1,384 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,810 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้ากว้าง 1,544 มิลลิเมตร แทร็คหลัง 1,593 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงตัวถัง 130 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 60 ลิตรค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศเท่ากับ 0.30 น้ำหนักตัวถังวัดตามมาตรฐาน DIN อยู่ที่ 1,710 กิโลกรัม

การตกแต่งของรถคันเปิดประทุนสีส้ม Sunset Orange (ซึ่งเป็นสีใหม่เช่นกัน) นี้ เป็นแบบ Luxury ซึ่งจะเน้นความหรูหราด้วยล้ออัลลอยลาย Multi Spoke 10 ก้านคู่ แต่ยังดีที่ได้ขนาด 19 นิ้วเท่ารุ่น M Sport (ในเมืองนอก ถ้าคุณไม่สั่งออพชั่นอะไรเพิ่มเลย 430i จะได้ล้อขอบ 17 นะครับ) ภายนอกรถ กันชน และขอบกระจกหน้าต่างจะตกแต่งด้วยโครเมียม หากเป็นรุ่นหลังคาแข็ง Luxury จะไม่มีซันรูฟมาให้

M4 Coupe (F82)  มีความยาวตัวถัง 4,671 มิลลิเมตร กว้าง 1,870 มิลลิเมตร ความสูงรวมหลังคา 1,383 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,812 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้ากว้าง 1,579 มิลลิเมตร แทร็คหลัง 1,603 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงตัวถัง 120 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 60 ลิตรค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศเท่ากับ 0.34 น้ำหนักตัวถังวัดตามมาตรฐาน DIN อยู่ที่ 1,497 กิโลกรัม

คุณจะสังเกตได้ว่าแม้ M4 จะใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ทว่าน้ำหนักตัวรถจะมากกว่า 430i Coupe ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ แค่ 7 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะมีการนำวัสดุน้ำหนักเบามาใช้ในหลายจุด เช่น CFRP- Carbon Fiber Reinforced Polymer ซึ่งนำมาใช้ที่หลังคา (เบากว่าหลังคาเหล็กใน 430i 6 กิโลกรัม) ฝากระโปรงหลังก็ทำมาจาก CFRP เพลากลางเปลี่ยนจากโลหะเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ (เบากว่าเพลา 430i 40%) ฝากระโปรงหน้าและแก้มหน้าทำจากอะลูมิเนียม

นี่คือสาเหตุที่ทำให้ M4 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 6 สูบสามารถควบคุมน้ำหนักตัวรถ และบาลานซ์หน้า/หลัง 52.3% : 47.7% เอาไว้ได้ (คือ BMW ชอบบอกว่ารถของพวกเขากระจายน้ำหนัก 50 : 50 เสมอ ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้นหรอกครับหลังเติมของเหลวเข้าไป)

ห้องโดยสารในรุ่น Luxury จะมาในโทนคัสตาร์ดคาราเมล (ผมตั้งชื่อให้เอง และกรุณาอย่าเพิ่งหิว) ใช้เบาะสีครีมอ่อน Dakota ซึ่งดูน่าจะเลอะง่าย บวกกับลายไม้ Fineline Light กับแดชบอร์ดตอนบนสีเข้ม

เบาะนั่งในภาพที่เห็นเป็นของรุ่น Convertible Luxury แต่รุ่น Convertible M Sport ก็จะมีลักษณะเหมือนกันโดยต่างกันที่สีของเบาะ เนื่องจากรุ่นเปิดหลังคาทั้งหลายนั้นจะไม่มีเสากลาง ชุดเข็มขัดนิรภัยจึงต้องอาศัยยึดเอากับเบาะ ทำให้ตัวเบาะของรุ่นเปิดหลังคาเหล่านี้ต้องมีลักษณะต่างกันกับรุ่นคูเป้ และต้องมีความแข็งแรงของส่วนพนักพิงและจุดยึดต่างๆสูงกว่ามาก

เบาะนั่งแบบ Convertible เป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบบันทึกความจำฝั่งคนขับ 2 ตำแหน่ง สามารถปรับเอนได้ ยกตัวเบาะขึ้น ปรับองศาลาดเทไปข้างหน้า/หลังได้ และมีส่วนรองน่องที่สามารถปรับยื่นออกมาได้ (ใช้มือปรับ) พนักพิงศีรษะสามารถปรับขึ้นลงได้ แต่ปรับดัน/ถอยหลังไม่ได้

ตัวเบาะใช้ฟองน้ำแข็งปานกลาง แต่บริเวณส่วนปีกข้างจะนุ่มขึ้นเล็กน้อย มันไม่ใช่เบาะนั่งที่เน้นความสบายแบบสุดๆ แต่ดูเหมือนเบาะที่เน้นการขับทางไกล และเผื่อการเทโค้งระดับมือสมัครเล่นเอาไว้บ้าง ขนาดคนตัวผอมแห้งอย่างคุณอู๋ spin9 ยังบอกว่าเบาะรู้สึกบีบๆ ผมเองก็นั่งแล้วรู้สึกว่าโดนปีกข้างบีบ แต่มันไม่ได้รู้สึกน่ารำคาญอะไร เป็นการบีบเพื่อสร้างความกระชับมากกว่า

ส่วนห้องโดยสารของรุ่น M Sport จะมีโทนสี 2 แบบ ขึ้นอยู่กับสีภายนอกของรถ ถ้าคุณสั่งรถสีฟ้า สีน้ำเงิน สีส้ม ก็จะได้ภายในสีดำแบบในภาพ แต่ถ้าคุณสั่งรถสีขาว ก็จะได้ภายในเป็นสีแดง ซึ่งแม้จะแปลกแหวกประเพณีคนไทยไปหน่อยแต่ถูกใจเด็กซิ่งวิ่งแบบอินดี้แน่นอน จากนั้น เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูน่าเบื่อเกินไป ก็จะมีการตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ Gloss และลายอะลูมิเนียม Hexagon

คันในภาพข้างบนนี้ เป็นรถสเป็ค M Sport หลังคาแข็ง รถรุ่น Coupe ทั้ง Luxury และ M Sport จะใช้เบาะแบบหนึ่ง รถ Convertible ทั้ง Luxury และ M Sport ก็จะใช้เบาะอีกแบบหนึ่ง..ไม่ได้แบ่งตามระดับ Trim การตกแต่ง แต่แบ่งตามตัวถังเสียมากกว่า

เบาะนั่งแบบของรุ่น Coupe นั้น ปรับไฟฟ้าทั้งคู่ แต่เบาะฝั่งคนขับจะมีระบบความจำ 2 ตำแหน่ง ปรับเอนเบาะ ยกเบาะ เทเบาะได้เหมือนเบาะของรุ่น Convertible และปรับรองน่องได้เหมือนกัน จุดที่ดีกว่าก็คือพนักพิงศีรษะ จะมีปุ่มอยู่ข้างๆ ซึ่งสามารถกดและปรับลักษณะการดันหัวได้ว่าต้องการดันมากหรือน้อย ถ้าปรับไปตำแหน่งที่ดันน้อยสุด จะให้ความสบายพอประมาณ ไม่ดันหัวจนน่ารำคาญเกินไป ส่วนลักษณะตัวเบาะทั้งส่วนเบาะรองนั่งและพนักพิงหลัง ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับรุ่น Convertible

สำหรับห้องโดยสารของ M4 นั้น…คุณอาจจะคาดหวังเอาไว้มากกว่านี้ แต่เอาเข้าจริงมีจุดที่แตกต่างจาก 430i M Sport น้อยมาก ภายในเป็นโทนสีดำ เบาะนั่งเป็นแบบกึ่งบัคเก็ตซีทที่คล้ายของ M Sport แต่พนักพิงศีรษะจะต่อเป็นชิ้นเดียวกับเบาะ ปีกข้างทั้งส่วนพนักพิงหลัง และเบาะรองนั่งจะมีความสูงและแข็งกว่าเบาะของ 430i เพื่อให้เหมาะกับจุดประสงค์การใช้งานของรถ ส่วนรองน่องจะไม่สามารถปรับยื่นออกมาได้ แต่ยังมีสวิตช์ปรับไฟฟ้ามาให้ทั้ง 2 ข้าง และมีระบบความจำ 2 ตำแหน่งที่ฝั่งคนขับ

ตัวเบาะให้ความรู้สึกสปอร์ตเวลานั่ง ฟองน้ำที่ใช้ในเบาะจะแข็งขึ้น ปีกต่างๆจะแข็งขึ้น เพราะปกติผมนั่งทับปีกเบาะ 430i มันจะยู่ ยอมแพ้น้ำหนักตัวของผม แต่ปีกข้างของเบาะ M4 จะมีความแข็งแทงขาผมสวนขึ้นมาได้มากกว่า ส่วนปีกข้างจะแข็งกว่ากันไม่มาก ไม่ใช่เบาะที่ขับทางไกลสบายที่สุด แต่เป็นเบาะที่น่าจะดีไซน์มาแบบกลางๆระหว่างการซัดตึงในสนามกับการใช้งานบนถนน

และไม่ว่าคุณจะขับ 430i หรือ M4 คุณต้องปรับพวงมาลัยด้วยมือนะครับ ใช้คันโยกข้างใต้คอพวงมาลัยเพื่อปลดล็อค จากนั้นจะเลื่อนขึ้นลง หรือเข้า/ออก ก็ปรับตามถนัด ช่วงการเลื่อนเข้า/ออกของซีรีส์ 3 และซีรีส์ 4 สามารถเลื่อนเป็นระยะได้ค่อนข้างมากกว่ารถญี่ปุ่นหลายรุ่น ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะรองรับนักขับที่ขนาดตัวต่างๆกันได้มากกว่า

แผงแดชบอร์ดและห้องโดยสารตอนหน้า มาในสไตล์ที่เด็กประถมก็ตอบได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ BMW สมัยใหม่ (แต่ต้องเป็นเด็กประถมที่บ้ารถหน่อย) นอกเหนือจากโทนสีห้องโดยสารที่ต่างกันแล้ว รถรุ่น  Luxury กับ M Sport จะมีจุดต่างกันที่พวงมาลัย รุ่น Luxury จะใช้พวงมาลัย 3 ก้านตันๆ ปักโลโก้ BMW Individual และไม่มี Paddlshift ส่วนรุ่น M Sport จะได้พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้านหน้าตาเกือบจะเหมือนกับของ M4 และมี Paddleshift มาให้ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รุ่น มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง, Cruise Control และระบบ Speed Limiter มาให้

ในรุ่น Coupe หากเป็นรุ่น M Sport จะมีสวิตช์สำหรับเปิดซันรูฟมาให้ อยู่รวมกับชุดสวิตช์ไฟห้องโดยสารเหนือกระจกมองหลัง ส่วนรุ่นเปิดประทุน จะไปมีสวิตช์ซันรูฟหาพระแสงอะไร..ไม่รู้..แต่สวิตช์เปิด/ปิดหลังคาจะอยู่ถัดจากปุ่มหมุน iDrive มาข้างหลัง ส่วนกระจกแต่งหน้าทุกรุ่น จะมีไฟส่องมาให้ทั้ง 2 ข้าง แต่ตัวกระจกออกจะเล็กไปสักนิดเวลาแต่งหน้าปะแป้งศรีจันทร์อาจต้องหันไปหันมาหลายรอบหน่อย

เบรกมือยังเป็นแบบคันโยกดั้งเดิม ซึ่งแม้จะโบราณ แต่คอดริฟท์แบบ Handbrake Turn น่าจะชอบ ส่วนบริเวณพนักเท้าแขนตรงกลางนั้น ได้ระดับระนาบเดียวกับที่เท้าแขนตรงประตู และยังสามารถเลื่อนหน้า-หลังเพื่อรองรับแขนได้ค่อนข้างพอดี

แผงควบคุมจากมุมมองคนขับ รุ่น Convertible จะมีปุ่มกดกระจกไฟฟ้า 4 บาน ในขณะที่รุ่น Coupe จะมีแค่ 2 บานหน้า ถัดมาทางซ้ายใต้ช่องแอร์จะมีสวิตช์ลูกบิดสำหรับควบคุมไฟหน้า ซึ่งทุกรุ่นจะได้ไฟหน้าแบบ BMW Adaptive LED พร้อมระบบไฟสูงปรับต่ำอัตโนมัติ และระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (บิดสวิตช์ไปตำแหน่ง A)

สวิตช์สตาร์ทเป็นแบบปุ่ม ซ่อนอยู่บนแดชบอร์ดด้านซ้ายของคอพวงมาลัย พร้อมกับสวิตช์ยกเลิกการทำงานของระบบ Auto Start/Stop

ถัดมาที่จอด้านบน BMW 430i ใช้จอ iDrive เจนเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งมีขนาด 8.8 นิ้ว มี Graphic การขยับเขยื้อนคนละแบบกับ 420d/420i ล็อตแรกๆ แต่ยังไม่มีระบบ Gesture Control (หลายคนชอบ แต่ผมไม่แคร์ เพราะลองใช้ในซีรีส์ 5 กับ 7 แล้ว เอามือกดปุ่มเองยังเร็วซะกว่า) หน้าจอ iDrive รุ่นใหม่ยังมีระบบเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่น BMW LapTimer ซึ่งสามารถดาวน์โหลดผ่าน AppStore และ PlayStore แล้วคุณจะสามารถเอาสมาร์ทโฟนมาใช้จับเวลารอบสนามแข่งของคุณได้ (โชว์เป็นภาพกราฟฟิคนะครับ ไม่ใช่เป็น VDO พร้อม Overlaid data แบบของ Porsche)

ข้างใต้ช่องแอร์ จะเป็นชุดแผงสวิตช์สำหรับเครื่องเสียง ซึ่งรุ่น M Sport จะได้ชุดเครื่องเสียงของ Harman/Kardon มาด้วย (แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ลองฟังว่าคุณภาพเสียงจะดีขนาดไหน เพราะมัวฟังแต่เสียงเครื่องยนต์มากกว่า) ถัดจากชุดคุมเครื่องเสียง ก็จะเป็นแผงสวิตช์ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิแยกฝั่งได้ แต่ถ้าจะสั่งปรับ 2 ข้างพร้อมกันด้วยปุ่มเดียว (Dual/Sync) ผมยังหาวิธีทำไม่ได้ครับ

ทางด้านขวาของคันเกียร์ เป็นที่อยู่ของสวิตช์เปิดปิดระบบ Dynamic Traction Control และชุดสวิตช์ปรับโหมดการตอบสนองของรถ (ซึ่งเราจะไปว่ากันในหมวดระบบส่งกำลังต่อ) ส่วนด้านซ้ายของคันเกียร์ เยื้องมาข้างหลัง จะเป็นสวิตช์สำหรับระบบ iDrive ซึ่งนอกจากจะหมุนๆเพื่อเลือกสิ่งที่ต้องการได้แล้ว เวลาจะกรอกตัวอักษรสักตัว คุณสามารถเอานิ้วลากๆ เป็นรูปตัวอักษรลงที่ด้านบนของปุ่มหมุนนั่นเลยก็ได้ ซึ่งผมลองดูแล้วสามารถใช้การได้ดีพอสมควร

ผมยังไม่มีโอกาสทดสอบระบบนำทางของ 430i อย่างจริงจังนัก รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าไม่มีจอทัชสกรีน การป้อนค่าต่างๆก็คงต้องหมุนๆๆ หรือเขียนๆๆ แล้วกด ซึ่งก็พอทำใจได้ แต่พยายามค้นหาและป้อน Destination ให้ระบบพาไปสนาม Bira International Circuit แล้วไม่พบข้อมูล ผมก็ยอมแพ้แล้วใช้วิธีกรอกค่าเส้นรุ้งเส้นแวงแทน

อีกข้อหนึ่งที่เกือบลืมพูด คือ รุ่น Luxury จะไม่มีกล้องมองหลังนะครับ มีแต่เซนเซอร์ PDC โชว์บนจอเป็นภาพกราฟฟิค ซึ่งสำหรับรถราคาระดับ 3.5 ล้านนี่ ควรจะมีมาให้ได้แล้วครับ ไม่ต้องรอให้ถอยเหยียบต้นโป๊ยเซียนของพ่อตาล้มค่อยไปติด

ส่วน M4 นั้น ขอพูดถึงในแบบภาพรวม เพราะจุดแตกต่างจาก 430i M Sport นั้นมีน้อยมาก พวงมาลัยของ M4 จะดูคล้ายกัน แต่ก้านด้านล่างของ M4 จะมีร่อง (430i M Sport เป็นก้านตัน) คันเกียร์ของ M4 จะมีลักษณะต่างกัน มีวิธีการขยับใช้งานที่ต่างกัน (ไม่มีเกียร์ P) สวิตช์ควบคุมนิสัยรถจะมีความซับซ้อนมากกว่า สามารถเข้าถึงการควบคุมได้หลายฟังก์ชั่นมากกว่า

นอกเหนือจากนี้ไปแล้ว เกือบทุกส่วนดูเหมือน หรือคล้ายกันมากจนแทบแยกไม่ออก

ชุดแผงมาตรวัด มีลักษณะคล้ายกันทุกรุ่น ใครก็ตามที่หวังไว้ว่า 430i LCI จะได้ใช้หน้าปัด Full Digital แบบในซีรีส์ 5 ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ เพราะเรายังได้จอแบบเข็มกึ่งดิจิตอลแบบที่พบได้ในซีีรีส์ 3 นั่นล่ะ  แต่แม้จะเริ่มล้าสมัยไปบ้าง หน้าปัดแบบเข็มง่ายๆอย่างนี้ล่ะครับที่มองง่าย เข้าใจง่าย และใช้การได้ดีในทุกสภาพแสง แดดส่องแยงมาหน่อยก็ยังมองเห็นเข็มอยู่ ยิ่งเป็นตอนกลางคืนที่ตัวเลขต่างๆจะเรืองแสงเป็นสีส้มนั้น คือจุดพีคของอารมณ์คนรัก BMW มันเป็นเอกลักษณ์ที่ดูดี ชวนให้นึกถึงสมัย E36 กับ E46 มาก

ผมเปล่าหลอกด่าว่าหน้าปัดโบราณนะครับ หรือใครอาจจะบอกว่าโลกมันไปยุคดิจิตอลแล้ว ทำไมตาแพนยังเชียร์หน้าปัดเข็มอยู่ ไม่รู้สิครับ ขนาดรถผมเองหน้าปัดมาจากโรงงานเป็นดิจิตอล พอใช้งานซิ่งมากๆแล้วก็ไปเปลี่ยนเป็นแบบเข็ม แล้วผมก็ไม่ได้ชอบหน้าปัดโดยวัดจากการเป็น TFT หรือ Analog แต่ผมดูหน้าปัดที่อ่านค่าง่ายทั้งกลางวันกลางคืน และใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่าครับ

การปรับค่าที่แสดงบนจอส่วนที่เป็นดิจิตอล ทำโดยกดปุ่ม BC ที่ก้านไฟเลี้ยว (ก้านซ้ายของคอพวงมาลัย) ซึ่งจะปรับโชว์ค่าต่างๆไม่ว่าจะเป็นระยะทางวิ่ง อุณหภูมิ หรือระยะทางที่เหลือวิ่งได้ด้วยน้ำมันในถัง ในกรณีที่เปิดใช้ระบบนำทางก็จะมีลูกศรชี้นำพาหาทางสว่างมาให้อันเล็กๆ กับบอกระยะทางว่าอีกกี่กิโลเมตรจะถึงจุดเลี้ยว ไม่ได้ช่วยอะไรมาก..แต่ก็ดูพยายามที่จะยัดมาให้เท่าที่ทำได้ ไม่ปล่อยให้เป็นจอว่างๆ

ชุดมาตรวัดของ 430i Luxury กับ M Sport จะเกือบเหมือนกัน ต่างกันเพียงเส้นแดงๆเล็กๆที่ตีเป็นวงกลมในมาตรวัดแค่นั้น ส่วน M4 จะได้มาตรวัด M ของแท้ มีไฟเหลือขึ้นเพื่อจำกัดรอบการทำงานในขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็น (แต่เรดไลน์จริงอยู่ที่ 7,600 รอบต่อนาที) และมาตรวัดความเร็วมีตัวเลขสุดที่ 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เผื่อใครอยากจะซนไปปลดล็อค โมฯเครื่องเพิ่มจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเปลี่ยนมาตรวัดใหม่

 

******รายละเอียดทางวิศวกรรม*******

430i ทุกรุ่น จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน Modular 500 ซี.ซี. ต่อ 1 สูบ ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวมาแทนเครื่องยนต์ N-Series ได้ไม่กี่ปี โดยมีรหัสว่า B48B20B เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. TwinPower Turbo จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Direct Injection ติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Twin-scroll 1 ลูก มีขนาดความจุ 1,998 ซี.ซี. จากขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก เท่ากับ 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 ให้แรงม้าสูงสุด 252 แรงม้า ที่ 5,200- 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,450 – 4,800 รอบต่อนาที

จากตัวเลขอ้างอิงของทาง BMW บ่งชี้ว่าเมื่อเครื่องยนต์นี้ไปอยู่ใน 430i Coupe จะทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 5.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปล่อย CO2 147 กรัมต่อกิโลเมตร (เมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ)

แต่ถ้าไปอยู่ในบอดี้เปิดประทุน น้ำหนักที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช้าลง เป็น 6.3 วินาที แต่ตัวเลขความเร็วสูงสุดกับอัตราการปล่อยมลภาวะจะเท่ากับตัว Coupe อย่างน่าฉงนเพราะถ้าน้ำหนักต่างกันขนาดนี้ ตัวเลข CO2 ก็น่าจะต่างกันบ้าง

430i ทุกรุ่น จะมาพร้อมกับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Sport StepTronic ซึ่งเป็นเกียร์ของ ZF รุ่น 8HP50 มีข้อมูลอัตราทดเกียร์ดังนี้

เกียร์ 1 ……………… 5.000

เกียร์ 2 ……………… 3.200

เกียร์ 3 ……………… 2.143

เกียร์ 4 ……………… 1.720

เกียร์ 5 ……………… 1.314

เกียร์ 6 ……………… 1.000

เกียร์ 7 ……………… 0.822

เกียร์ 8 ……………… 0.640

เกียร์ถอยหลัง  3.456 อัตราทดเฟืองท้าย  2.813

คุณสามารถใช้สวิตช์ข้างคันเกียร์ เลือกโหมดการตอบสนองได้ 3 แบบ คือ Eco Pro, Comfort, Sport ส่วนรุ่น M Sport จะมีโหมด Sport + เพิ่มเข้ามาให้ด้วย คุณสามารถใช้โหมด Launch Control เพื่อความสนุกเวลาออกตัวได้ด้วยการเอาเท้าซ้ายจมเบรกไว้ กดโหมด Sport กดปิดแทร็คชั่นคอนโทรล ผลักคันเกียร์ไป D/S (เข้าโหมด S) เอาเท้าขวาจมคันเร่งแล้วปล่อยเบรกเพื่อออกตัว ล้อจะหมุนฟรี หน้ารถอาจจะเป๋ขวา และลดเวลาที่ใช้สำหรับ 0-100 ลงได้ประมาณ 0.3-0.5 วินาที

ในโหมด Sport และ Sport + จะมีการปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้หน่วงมือมากขึ้น แต่ความต่างจะไม่มากนัก ไม่เหมือนกับการปรับน้ำหนักพวงมาลัย เบา-กลาง-หนักของ Volvo V40 ซึ่งแบบนั้นคุณจะรู้สึกได้ทันทีว่าต่างกันคนละเรื่อง

สำหรับ M4 จะได้เครื่องยนต์ที่ประกอบโดย M Division ซึ่งจะเปลี่ยนรหัสตัวอักษรจาก M, N หรือ B ไปเป็น S และนี่ก็คือ S55B30To ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ Direct Injection ขนาดความจุ 2,979 ซี.ซี. (3.0 ลิตร) จากระยะปากกระบอกสูบ 84.0 ช่วงชัก 89.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 อัดปอดให้ม้าด้วยเทอร์โบชาร์จของ Mitsubishi แบบ Single-scroll 2 ลูก ตั้งบูสท์เอาไว้ 1.25 บาร์ สร้างแรงม้าสูงสุดได้ 431 แรงม้าที่ 5,500-7,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 1,850-5,500 รอบต่อนาที

เครื่องยนต์บล็อคนี้ออกแบบเพื่อความทนเป็นพิเศษ ใช้เสื้อสูบอะลูมิเนียมแบบตัน (Closed-deck) ข้อเหวี่ยงแบบฟอร์จ ทนงานหนักแต่เบากว่าข้อเหวี่ยงของเครื่อง 6 สูบรุ่นปกติ 3 กิโลกรัม ใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้า ส่งน้ำไประบายความร้อนเครื่องยนต์ตามอุณหภูมิและการขับขี่ มีปั๊มน้ำแยกสำหรับระบายความร้อนแกนกลางเทอร์โบ มีออยล์คูลเลอร์แยกสำหรับน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์  เปลี่ยนอินเตอร์คูลเลอร์จากแบบอากาศ เป็นแบบน้ำ ตัวอินเตอร์คูลเลอร์ติดอยู่ด้านบนเครื่อง ต่อท่อกับปั๊มน้ำเข้าไประบาย และถ่ายความร้อนออกมาที่หม้อน้ำพิเศษสำหรับอินเตอร์คูลเลอร์ที่อยู่ด้านหน้าขวาของตัวรถ

แม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ทำจากอัลลอยทั้งก้อน แต่พอมีชุดเทอร์โบและอุปกรณ์ต่างๆเสริมเข้าไป น้ำหนักของ S55B30 เบากว่าเครื่องยนต์ S65B40 V8 4.0 ลิตรใน M3 E92 เพียงแค่ 10 กิโลกรัมเท่านั้น..น้อยกว่าที่คิดไว้พอสมควร

จากตัวเลขอ้างอิงของทาง BMW แจ้งว่า M4 รุ่นเกียร์คลัตช์คู่ และใช้ Launch Control ช่วย จะทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 4.1 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 13.4 วินาที และมีความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปล่อย CO2 194 กรัมต่อกิโลเมตร

M4 คันที่ BMW นำมาให้เราทดลองขับ จะใช้เกียร์คลัตช์คู่ M-DCT 7 จังหวะ

อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………4.806

เกียร์ 2 ……………….2.593

เกียร์ 3 ……………….1.701

เกียร์ 4 ……………….1.277

เกียร์ 5 ……………….1.000

เกียร์ 6 ……………….0.844

เกียร์ 7 ……………….0.671

อัตราทดเฟืองท้าย 3.462 เกียร์ถอยหลัง 4.172

ในการใช้งานเกียร์นั้น ต้องเรียนรู้วิธี เพราะ Pattern เกียร์จะไม่เหมือน PDK ของ Porsche หรือรถเยอรมันคันเกียร์ไฟฟ้าแบบอื่นๆ BMW M4 นั้นจะไม่มีเกียร์ P เวลาจะจอดนิ่งๆ ต้องตบคันเกียร์ไปทางซ้ายแล้วดึงเบรกมือเอา ถ้าจะถอยหลัง ต้องตบซ้ายแล้วดันขึ้น ถ้าจะเข้าเกียร์เดินหน้า ต้องตบไปทางขวา ก็จะเข้าสู่โหมดเดินหน้า ดูบนหน้าปัดว่าเป็น D หรือ S หากเป็น S คุณจะต้องเล่นเกียร์ด้วยตัวเอง ถ้าลากรอบจนสุด เกียร์จะไม่เปลี่ยนขึ้นสูงให้โดยอัตโนมัติแบบ 430i

คุณสามารถใช้สวิตช์บริเวณรอบๆคันเกียร์เพื่อปรับนิสัยการตอบสนองของรถได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองคันเร่ง ความหน่วงมือของพวงมาลัย ความแข็งของโช้คอัพ ปุ่มเล็กๆที่อยู่หลังคันเกียร์ยังช่วยให้คุณเลือกได้ว่าจะให้เปลี่ยนเกียร์นุ่มหรือกระชากขนาดไหน ถ้ามันมีหลายโหมดมากนัก คุณสามารถตั้งค่าต่างๆแล้วบันทึกเอาไว้ในปุ่ม M1 หรือ M2 ที่พวงมาลัยได้เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งาน

นอกจากนี้ เกียร์ M-DCT 7 เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ยังมีระบบ Stability Clutch Control ซึ่งกล่อง ECU จะสั่งให้คลัตช์จับ หรือจาก เพื่อช่วยในการดึงรถออกจากอาการอันเดอร์/โอเวอร์สเตียร์ โดยทำงานสอดคล้องกับระบบควบคุมการทรงตัวของรถ

430i ใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Joint Spring Strut Axle ซึ่งใช้ปีกนกและดุมล้อที่ทำจากอะลูมิเนียม ลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับการใช้เหล็กแบบช่วงล่างปกติ (BMW ขยันใช้ช่วงล่างอะลูมิเนียมมาตั้งแต่ปี 1995 ใน E39 แล้ว) ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ Five-Link

อย่างที่เราทราบกันว่า 430i มีทั้งรุ่น Luxury และ M Sport ช่วงล่างของทั้ง 2 รุ่นนี้ก็เซ็ตมาต่างกัน โดย Luxury จะได้ช่วงล่างสเป็คมาตรฐาน ในขณะที่ M Sport ก็จะได้ช่วงล่าง “M Sport Suspension” ซึ่งไม่ได้ระบุว่าใช้สปริงเตี้ยลงหรือไม่ แต่ในภาพรวม คือมีช่วงล่างที่หนึบขึ้นกว่าเดิม ช่วงล่างของ 430i ทุกรุ่น เป็นแบบปรับความหนืดไม่ได้

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) อัตราทดพวงมาลัย 15.0 : 1 (ในช่วงถือตรง) ซึ่งในรุ่น M Sport จะมีระบบพวงมาลัยแปรผันตามการหมุนและความเร็วมาให้

ระบบเบรก ทุกรุ่น ใช้ดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกหน้าหลังเป็นแบบมีร่องระบายความร้อนทีขอบจานเบรก คาลิเปอร์เบรก เป็นแบบ 1-Pot ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หน้าตาดูค่อนข้างธรรมดา

ยางที่ใช้ เป็นของ Bridgestone Potenza S001 RFT (Run Flat) Treadwear 280 ยางคู่หน้า ใช้ขนาด 225/40R19 คู่หลังขนาด 255/35R19 ซึ่งยางรุ่นนี้ ทาง Bridgestone จัดอยู่ในคลาส Sport+Luxury ซึ่งทำมาเพื่อการขับขี่ แต่ไม่ได้ Hardcore เท่าพวก RE003 ที่เป็นยางสปอร์ตซึ่งไม่สนเรื่องความสบาย แต่ก็ไม่ได้เน้นวิ่งนุ่มทับนกพิราบตายแล้วไม่รู้สึกอย่างพวก GR100

ส่วน M4 ก็ใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Joint Spring Strut Axle และด้านหลังอิสระ Five-Link เหมือน 430i แต่รายละเอียดบางส่วนจะต่างกันเช่นซับเฟรมหลังซึ่งจะยึดเข้ากับตัวถังโดยตรง ไม่มีบุชยาง นอกจากนี้ M4 ของเรายังมาพร้อมกับช่วงล่าง M-Adaptive Suspension ซึ่งสามารถปรับความหนืดของโช้คอัพได้โดยอัตโนมัติและเลือกปรับความแข็งตามที่ต้องการได้

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) อัตราทดพวงมาลัย 15.0 : 1 (ในช่วงถือตรง) มีระบบพวงมาลัยแปรผันตามการหมุนและความเร็ว แต่ชุดบังคับเลี้ยวทั้งหมดจะเป็นพาร์ทเฉพาะรุ่น ไม่เหมือนกับ 430i วิธีการตั้งโปรแกรมมอเตอร์ไฟฟ้าก็ไม่เหมือนกัน โดยที่พวงมาลัยของ M4 จะไม่มีการให้มอเตอร์ช่วยออกแรงตั้งพวงมาลัยให้ตรงเวลาคืนพวงมาลัย ใช้แรงดึงตามธรรมชาติเท่านั้นไม่มีการผ่อนหรือเสริมแรงช่วยเวลารถหน้าดื้อหรือท้ายปัด ไม่มีการปรับหนืดเพื่อรองรับถนนขรุขระ ทั้งหมดนี้เพื่อให้คนขับซึมซาบไปกับนิสัยของพวงมาลัย 100% ตามที่รถสมรรถนะสูงควรเป็น

ระบบเบรก ใช้ดิสก์เบรก 4 ล้อ M Compound Brake จานเบรกหน้าหลังเป็นแบบมีร่องระบายความร้อนทีขอบจานเบรกและมีเจาะรู คาลิเปอร์เบรก เป็นแบบ 4-Pot ด้านหน้าและ 2-Pot ด้านหลัง คาลิเปอร์พ่นสีน้ำเงิน สามารถสั่งออพชั่น M Carbon Ceramic Brake ได้ คาลิเปอร์จะเปลี่ยนเป็นสีทอง ด้านหน้าเป็นแบบ 6-Pot และด้านหลังเป็นแบบ 4-Pot

ยางหน้า 255/35ZR19 หลัง 275/35ZR19 รถทดสอบในสนามใช้ยาง Continental ContiSport Contact 5P Treadwear 240 ซึ่งเป็นยางสปอร์ตวิ่งถนนสำหรับคนชอบการขับขี่แบบรุนแรง แต่ยังไม่ใช่ยาง Semi-Racing สำหรับสนามแบบพวก Yokohama AD08, Pirelli P-Zero Corsa หรือ Toyo ตองแปด

 

*****การทดลองขับ******

รถที่เรามีโอกาสได้ลองขับทั้งบนถนน มอเตอร์เวย์ และในสนามคือ 430i Coupe รุ่น Luxury และ M Sport ดังนั้นจึงสามารถเก็บอาการของรถมาเล่าได้ค่อนข้างตรงกับการใช้งานจริงมากขึ้น สำหรับรุ่นอื่นๆนั้น ทาง BMW จัดให้เราขับในสนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ซึ่งสามารถตอบโจทย์เรื่องการวัดประสิทธิภาพในโค้งได้ แต่อาจยังไม่ได้พบกับสถานการณ์ที่เราจะพบบนถนนจริง เช่นคอสะพานโหดๆ อย่างมอเตอร์เวย์ไปชลบุรี หรือถนนขรุขระแบบที่พบทั่วไป

สำหรับการขับในสนามแข่ง เรามีทีม Instructor จาก xSpan เป็นผู้ขับนำในรถ 330e แต่อย่าเพิ่งมองว่าเอา M4 มาหวดตาม 330e แล้วจะได้รู้อะไรเหรอ..ทีมงานเหล่านี้คือคนประเภทที่ดูดโค้ก กระโดดขึ้นรถ 320d Iconic เดิมสนิททั้งคันแล้ววิ่งรอบสนามพีระได้ 1 นาที 25 วิโดยเอามือถือวิทยุสื่อสารไว้ข้างนึงด้วย ดังนั้นถึงเราจะไม่ได้ไปเร็วกันแบบสุดๆ แต่ก็พอให้ได้กดตึงกันหลายดอกแน่นอนครับ จุดที่วางกรวย ก็วางลึกเข้าไปจากขอบสนามพอสมควร ยังพอให้ปีน S1 กับ S2 เล่นได้นิดๆ ได้รู้นิสัยของรถเบื้องต้นในระดับที่ผมพอใจล่ะครับ

430i Coupe M Sport

ผมขับ 430i รุ่นนี้จากจุดพักรถบนมอเตอร์เวย์ ไปจนถึงสนามแข่ง ระหว่างทางนั้นก็พยายามสำรวจอาการของรถ และการตอบสนองในช่วงต่างๆ พูดได้เลยครับว่า ถ้าไม่นับเรื่องเสียงเครื่องยนต์เทอร์โบสมัยใหม่ มันคือรถที่มีเอกลักษณ์ความเป็น BMW อยู่อย่างครบถ้วน พละกำลังมาเป็นช่วงกว้าง มีแรงดึงตั้งแต่รอบต่ำแค่ 2,400 รอบต่อนาที แล้วกวาดลากยาวไปจนผ่าน 6,500 รอบต่อนาทีแบบเนียนๆ เกียร์ ZF 8 จังหวะ ทำงานดีอย่างที่เคยเป็นมาตลอด แต่ดูเหมือนว่าโหมด Comfort จะมีนิสัยผู้ดีมากขึ้น ตอบสนองนุ่มนวลขึ้นและพยายามขึ้นเกียร์สูงอยู่เสมอ แต่ถ้าคุณตอกคันเร่งแรงๆ ความเป็นผู้ดีก็จะจบลง กลายเป็นผู้ร้ายใจโหดแทน

โหมด Sport และ Sport + รอบจะดีดสูงขึ้น เกียร์คาไว้ในระดับกลางๆ ไม่ได้สูงมากนัก คุณอาจจะแปลกใจที่โหมด Sport + ของ BMW 430i นั้นบ้ารอบบ้าเลือดน้อยกว่า Sport Plus ใน C250 Coupe ซึ่งดุราวกับพยายามจะบอกว่า “ชั้นไม่ใช่เบนซ์แบบที่พ่อแกรู้จัก” แต่ BMW แม้จะใส่โหมดโหด ก็ยังเน้นบาลานซ์ที่สัมพันธ์กันระหว่างเกียร์กับคันเร่ง มันจะโหดเมื่อคุณตอกคันเร่ง 70-100% เท่านั้น

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนถนนช่วงกลางวัน น้ำมันแก๊สโซฮอล Shell V-Power มีผมและคุณอู๋นั่ง น้ำหนักรวมน่าจะเกินมาตรฐานปกติของ Headlightmag ไป 60-70 กิโลกรัม ใส่เกียร์ D แล้วกระทืบออกตามปกติ ได้ตัวเลข 8.15 วินาที อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน Comfort Mode 5.5 วินาที Sport Mode 5.3 วินาที

ช่วงออกตัวไม่แรงมากอย่างที่คิด แต่พอลงเกียร์ 2 ไปก็ดึงแรงขึ้นเรื่อยๆ และต่อเนื่องไปจนผ่าน 200 ได้อย่างง่ายดาย ผมเคยลองขับ Audi A5 45 TFSI Quattro มาก่อนหน้านี้ รู้สึกแปลกใจที่ในการออกตัวแบบปกตินั้น A5 สามารถเร่งถึง 100 ได้เร็วกว่า (อาจเพราะมีระบบขับสี่และเกียร์คลัตช์คู่) แต่พอเลย 100 เป็นต้นไป ความต่างจะน้อยลง แม้ว่ารถทั้งสองคันจะมีแรงม้าเท่ากัน และ A5 มีแรงบิดมากกว่า 430i อยู่ 20 นิวตัน-เมตรก็ตาม

และถ้าเทียบกับ Lexus RC200t ..คนละอารมณ์กันเลยครับ Lexus ทำตัวเหมือนรถไฟความเร็วสูง วิ่งตรงๆ เร็วๆแล้วมั่นคงมากราวกับไม่มีอะไรจะทำให้มันเสียหลักได้ แต่การตอบสนองของคันเร่งมันน่าหงุดหงิดเหลือเกิน มีพลังแต่กลับอมแล้วค่อยๆคายพลัง พอเรียกก็ไม่มา พอมาก็มาเหมือนประชด แม้จะใส่โหมด Sport + แล้วก็ตาม ส่วน 430i นั้นลำพังแค่ Sport ธรรมดา คันเร่งก็คม ตอบสนองไวแบบกำลังดี คิกดาวน์ด้วยคันเร่งระดับความลึกต่างๆกันแล้วคุณก็จะได้ความแรงในการพุ่งที่ต่างกันแล้วแต่จะกำหนด โดยไม่ต้องยุ่งกับเกียร์โหมด M ด้วยซ้ำ

ช่วงล่างของ 430i Coupe M Sport มีความหนืดในระดับผู้ใหญ่ขับเร็ว ไม่ใช่เด็กซิ่ง ดังนั้นมันจึงสามารถแล่นไปบนมอเตอร์เวย์ได้อย่างมั่นใจ จะมีอาการส่ายซ้ายขวาแบบแปลกๆบ้างเมื่อกระโดดคอสะพานแรงๆ แต่ก็ไม่ได้ส่ายเยอะจนเสียความมั่นใจ เป็นการส่ายน้อยๆที่ทำให้นึกถึง BMW ยุคที่ยังใช้ช่วงล่างหลังเซมิเทรลลิ่งอาร์ม ซึ่งทำให้คุณสนุกมากกว่าระแวง

พอมาวิ่งในสนาม รถก็ทำตัวอย่างที่ผมคาดไว้ การเลี้ยวโค้งต่างๆเป็นไปอย่างแม่นยำ สำหรับรถหนัก 1.5 ตันที่ใช้ยางเรเดียลสปอร์ต โค้งยูเทิร์นซ้ายแรก ผมวิ่งตาม M4 และรถนำโดยที่รถไม่มีอาการผิดแปลกใดๆ จะกี่โค้งๆ ต่อให้ใส่ความเร็วเพิ่ม รถก็จะแสดงออกอย่างเป็นกลาง แต่ถ้าคุณตั้งใจตบเบรกในโค้ง หรือกดคันเร่งส่งตอนที่รถกำลังเลี้ยว อาการแบบรถขับหลังจะมาครบ แต่มาในลักษณะที่มือใหม่ขับก็สนุกได้ ไม่ใช่จะโฮกฮากแว้งกัดให้เรากลัว

คุณอาจจะบอกว่า..ก็ผมขับรถคันนั้นเป็นมือแรกนี่หว่า ถ้าให้รถมันวิ่งรอบสนามหลายๆรอบ อาการมันก็ต้องเปลี่ยน..แหะ แหะ ผมได้ขับ M Sport อีกรอบหลังจากผ่านมือคนอื่นไปพอสมควร การตอบสนองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยางไถลเพิ่มขึ้นจากเดิมเพียงนิดเดียวครับ

โช้คอัพและสปริง M Sport Suspension คุมอาการของรถอยู่หมัด วิ่งผ่านโค้ง S1 กับ S2 ที่ต้องหักซ้ายและขวาแบบต่อเนื่อง ตัวรถดีดกลับคืนได้อย่างเป็นธรรมชาติ..มันอาจจะไม่ใช่รถแข่ง แต่มันคือรถที่คุณจะขับไปบุรีรัมย์ หวดเล่นขำขำ แล้วขับกลับกรุงเทพได้อย่างมีความสุขบนทุกรูปแบบเส้นทาง

430i Coupe Luxury

รถรุ่น Luxury ใช้ยาง S001 แบบเดียว และขนาดเดียวกันกับรุ่น M Sport แต่สิ่งที่ต่างกันคือช่วงล่างซึ่งเป็นสเป็คมาตรฐาน และพวงมาลัยซึ่งไม่ได้แปรผันตามการเลี้ยว แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันจะสละคราบจากสปอร์ตคูเป้กลายเป็นรถบ้านนุ่มนิ่มปิ้งปุ๋งหม้อหุงข้าวเย็นนะครับ

ลองคิดดูว่าคุณมอง 330e อย่างไร มอง 320d LCI อย่างไร ช่วงล่างของ 430i Coupe Luxury ก็ตอบสนองแบบนั้น การซับแรงกระแทกบนถนนขรุขระ (ถนนหน้าสนามพีระฯ กำลังซ่อมอยู่อย่างขนานใหญ่) มีความนุ่มสบายเหมือนจับรถซาลูนยุโรปยุค 90s มาเพิ่มความแข็งช่วงล่างอีกหน่อยแล้วก็ใส่ยางแก้มเตี้ย มันไม่แข็งจนน่ารำคาญ และไม่ยวบจนเกินไป อันที่จริงถ้ามองว่านี่คือรถใส่ล้อขอบ 19 กับยาง Run flat ผมคิดว่ามันสบายเกินคาด ซับแรงกระแทกพวกกรวดหินได้ดีกว่า C250 Coupe ด้วยซ้ำไป

ทั้ง 430i Coupe Luxury และ M Sport จะมีคาแร็คเตอร์ BMW อยู่เต็มขั้น แต่การปรับเซ็ตช่วงล่างจะปรับให้รถมีบุคลิกที่ต่างกันเล็กน้อย M Sport จะคมกว่ากันนิดๆ และ Luxury วิ่งถนนไม่เรียบสบายกว่านิดๆ เช่นกัน ในการวิ่งบนมอเตอร์เวย์ คุณอาจไม่รู้สึกว่ามันต่างจนกว่าจะใช้ความเร็วระดับ 190 ซึ่ง Luxury จะออกอาการส่ายหวิวๆมากกว่ากันชัดเจน

เครื่องยนต์กับเกียร์เป็นชุดเดียวกัน ดังนั้นเรื่องการตอบสนองและการควบคุมพลังจึงไม่ต่างจากรุ่น M Sport ยกเว้นเรื่องที่ตัว Luxury ไม่มี Paddleshift ดังนั้นบางคนที่ชอบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยอาจจะรู้สึกไม่ถนัด

การขับในสนามพีระฯ 430i Coupe Luxury ยังสามารถวิ่งไล่กวดตามรถคันอื่นในขบวนได้ไม่ยาก อาการของรถค่อนข้างเป็นกลาง จนกว่าคุณจะลงคันเร่งหรือเบรกหนักๆในขณะเลี้ยว มันให้ความรู้สึกปลอดภัย มั่นใจ แต่ไม่มากเท่ารุ่น M Sport เช่นในโค้ง U-turn แรกนั้น รุ่น Luxury จะยวบมากกว่า ยิ่งถ้าเป็นช่วงโค้ง S1 กับ S2 เวลาหักพวงมาลัยซ้าย-ขวาเร็วๆ จะพบว่า Luxury ช่วงล่างยุบเยอะกว่า คืนตัวช้ากว่า และถ้าผมไม่รู้สึกไปเอง Luxury ต้องหักพวงมาลัยมากกว่ากันนิดๆ แต่น้ำหนักหน่วงมือไม่ได้ต่างจากรุ่น M Sport แบบรู้สึกได้

บางที หากคุณเป็นคนที่ซื้อซีรีส์ 4 เพราะรูปร่าง ไม่ใช่คนแบบที่เน้นสมรรถนะการขับขี่ ไม่ได้เป็นโรคเห็นถนนว่าง เห็นโค้งแล้วต้องเล่น ช่วงล่างของ 430i Coupe Luxury ก็ดีพอ..เพราะมันก็ตอบสนองดีพอๆกับ 330e Luxury นั่นล่ะครับ ไว้ใจได้บนถนน แต่อุ้ยอ้ายบ้างบนสนามแข่ง 430i ไม่ต้องแบกน้ำหนักแบตเตอรี่ จึงหักเลี้ยวไปมาได้คล่องกว่านิดๆด้วยซ้ำ

430i Convertible M Sport

พื้นฐานของรถแม้จะเหมือนรุ่น Coupe แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้แสดงออกอย่างนั้นเลย ในขณะที่รุ่น Coupe M Sport ขับได้หวานฤทัยมากบนสนามแข่ง แต่ Convertible M Sport ให้ความรู้สึกเหมือนขับรถคนละคัน

ลองคิดแบบนี้ครับ 430i Coupe น้ำหนักตัวเปล่า 1,490 กิโลกรัม..แต่พอคุณต้องทำเป็นบอดี้เปิดประทุน มันไม่ได้ทำให้ตัวรถเบาลง ยิ่งถ้าใส่หลังคาแข็งแบบพับได้ คุณยิ่งต้องแบกน้ำหนักมอเตอร์หลังคา โช้คไฮดรอลิก นอกจากนี้ตัวถังก็ต้องออกแบบซีกหลังให้ทนขึ้น เพราะไม่มีเสา B-pillar ถ้าไม่ทำตรงนี้ตัวถังก็จะบิดง่าย การปรับปรุงโครงสร้างทั้งหมดทำให้น้ำหนักเพิ่มมากอีก 220 กิโลกรัมเป็น 1,710 กิโลกรัม…หนักกว่า 530i M Sport เกือบ 100 กิโลกรัม และเบากว่า 330e M Sport แค่ 25 กิโลกรัม

แต่น้ำหนักชุดหลังคา 430i Convertible มันแขวนอยู่ซีกบนของบอดี้ แต่น้ำหนักแบตเตอรี่ของ 330e มันอยู่ในระนาบเดียวกับล้อ ดังนั้นพอเจอโค้งหนักๆ อาการตอบสนองของรถจึงขาดความคม ถ้าเข้าโค้งมาเร็วๆ แล้วเบรกพร้อมเลี้ยว ในจุดที่ Coupe Luxury ผ่านไปได้สบายๆ Convertible M Sport จะยวบพอกันแต่ยางไถลจนรถวิ่งออกนอกแนวมากกว่า เวลากดคันเร่งตอนออกจากโค้งเร็วๆ ท้ายรถก็ออกอาการไถลมากกว่า และมันเป็นการไถลที่เกิดจากน้ำหนัก ไม่ใช่เพราะพลังของรถ มันจึงสั่งโดยตรงผ่านคันเร่งไม่ได้

อย่าเพิ่งคิดว่ามันแย่ครับ ถ้าคุณขับซีรีส์ 5 F10 แล้วรู้สึกพอใจ บางที 430i Convertible M Sport ก็อาจทำได้พอๆกัน และรู้สึกคล่องกว่าเพราะรถมีขนาดเล็ก แต่ศูนย์ถ่วงไม่ได้ต่ำอย่างที่คิด

430i Convertible Luxury

คุณอาจจะมองหน้าผมในรูปข้างบนแล้วก็เริ่มคาดเดาได้เลยว่าเป็นอย่างไร นี่คือจุดที่ตอกย้ำว่า ถ้าคุณซื้อ 430i Convertible ก็ขอให้เข้าใจว่ามันคือรถที่เอาไว้ขับเล่น เปิดหลังคาเมื่อโอกาสอำนวย ซิ่งทางตรงได้บ้างเมื่อคุณอยาก แต่ถ้าคิดจะเล่นโค้งหรือขับเล่นในสนามกับเพื่อน คุณต้องทำใจว่าคุณมาถึงที่นี่พร้อมกับความเสียเปรียบทางกายภาพอย่างใหญ่หลวง

ผมขับ 430i Convertible Luxury อยู่ท้ายขบวน และไม่แปลกใจที่ทีมงานจัดให้รถคันนี้ปิดท้ายขบวนในทุกกลุ่ม เพราะแม้จะพยายามใช้ความเร็ว พยายามเข้าโค้งโดยรักษาระยะห่างกับรถคันหน้าให้ดีที่สุด แต่ก็รู้สึกเหนื่อยและตามคันอื่นในกลุ่มไม่ทัน เพราะ  Convertible Luxury นั้น ใส่ช่วงล่างสเป็คมาตรฐานที่นุ่ม และตัวรถก็หนักเหมือนรถใหญ่ ดังนั้นเมื่อพยายามใช้สปีดตามพวก Coupe ให้ทัน มันจึงมีอาการหน้าดื้อกับท้ายปัดผสมปนเปไปทุกโค้ง

ยิ่งในช่วงโค้ง 100R แม้จะไม่ได้เข้าด้วยความเร็วสูงมาก (แค่ตามรถคันอื่นๆให้ทัน) Convertible Luxury ออกอาการส่ายโคลงมากที่สุด รถไถลออกจากแนววิ่งมากที่สุด ในช่วงสุดท้ายตอนออกโค้งรถสไลด์ออกนอกแนวมากจนเกือบเหยียบกรวยวงนอก (คันอื่นไม่เป็น) ยิ่งพอผ่านโค้ง S1 กับ S2 ตัวรถยวบมากและคืนตัวช้ามาก มากจนผมรู้สึกว่า ขอแลกรถกันขับกับ 330e คันที่วิ่งนำได้มั้ย

คุณอาจจะด่าผมที่เอาปลาอย่าง Convertible มาปีนต้นไม้แข่งกับรถ Coupe ตัวแข็งๆ คุณก็คงถูกล่ะครับ แต่หลังจากลองรถ Convertible 2 รอบ วิ่งรอบพีระฯร่วม 6 รอบ ผมยืนยันได้ว่าการใช้รถเปิดหลังคาได้นั้น คุณได้ความเท่เวลาจอดมีตติ้ง คุณได้อารมณ์โรแมนติค animal animal เวลายามเย็นบนหุบเขาที่อากาศสบาย ขับไปกุมมือแฟนไป…แต่อยากจะได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง คุณยอมเสียมันหรือเปล่าล่ะครับ?

M4 Coupe DCT

ลืมทุกสิ่งที่เคยรู้สึกกับ 430i เพราะ M4 คือรถที่แตกต่างกันมาก เหมือนคุณเอาแมวป่าแคนาดาไปเทียบกับเสือโคร่ง..มันดูคล้ายกัน ตบคุณเหวอะได้เหมือนกัน แต่การตบแต่ละครั้งของเสือจะสร้างความเสียหายต่อศัตรูได้มากกว่า การเขยิบพลังจาก 252 เป็น 431 แรงม้า และ 350 กลายเป็น 550 นิวตันเมตรทำให้รถเปลี่ยนไปเป็นคนละคัน ในขณะที่ 430i มีนิสัยสุภาพ รู้ใจ และโหดเมื่อคุณสั่ง M4 จะทำตัวเหมือนเพื่อนชายนิสัยนักเลงที่สุดในชั้นเรียนที่แม้นคู่อริสบตาก็ถลกแขนเสื้อวิ่งเข้าไปต่อยในทันที

ผมกดคันเร่งแค่  70% ก็ดูดทำระยะติด 330e ที่บี้เต็มกำลังได้สบาย มีรอบหลังที่คุณอู๋ xSpan ขับพานั่งรอบสนามโดยมีผม คุณอู๋ spin9 และพี่ตั้ม Grandprix นั่งไปด้วย ออกตัวแบบกดจมธรรมดา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงยังจบใน 5.9 วินาที ออกโค้ง U-turn ด้วยความเร็ว 80 ตอกคันเร่งลงไป เพียง 3.7 วินาทีก็แตะ 120 และใช้เวลาอีกไม่ถึง 7 วินาทีก็ไปแตะ 170 คุณอาจจะมองว่ามันเป็นแค่เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร แต่การแสดงออกจริงของมันนั้น เมื่อรอบหมุนเกิน 2,500 ขึ้นไป มันทำตัวประหนึงเครื่อง V8 จริงๆ

เมื่อขับเข้าโค้ง U-Turn ผมลองกดเบรกระหว่างที่รถกำลังมีแรงเหวี่ยงไปทางขวา (คือมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำในการขับปกติ แต่ผมมักลองทำเพื่อดูอาการของรถ) ในโค้งเดียวกัน ความเร็วเท่ากัน เบรกเหมือนกัน 430i จะเบรกโดยไม่ออกอาการอะไร แต่ M4 จะสไลด์ท้ายออกในทันที ทำให้ผมรู้สึกขนลุก กลัวไปพักใหญ่ๆ เพราะอันที่จริงผมจะถนัดรถขับหน้ากับขับสี่มากกว่า และไม่ได้ชอบรถที่ดริฟท์ท้ายกวาดง่ายๆนัก

แต่สำหรับสื่อมวลชนท่านอื่นๆที่มีประสบการณ์มากกว่าผม เขามองว่ามันเป็นรถที่ให้อภัยคนขับ ถึงมันจะพยายามทำให้เรากลัวในตอนแรก แล้วในที่สุดระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็จะเข้ามาช่วยเซฟไม่ให้รถหมุน

ซึ่งก็จริง เพราะเมื่อผมพยายามขับแบบที่ควรขับ เบรกและเร่งตามตำรา ไม่เล่นอะไรแผลงๆ M4 วิ่งไปตามไลน์บนสนามอย่างแม่นยำ พวงมาลัยหน่วงมือกว่า 430i มาก ผมไม่มีโอกาสได้ลองว่ามันถ่ายทอดความรู้สึกอย่างไรเวลารถหน้าดื้อยางไถล..เพราะภายในการขับอัด 50-75% แบบนี้ M4 ไม่มีอาการหน้าดื้อให้เห็น แม้แต่เสียงยางก็แทบจะไม่ได้ยิน มีแต่อาการกวาดท้ายตามนิดๆ เพื่อให้รถหันไปตรงตามไลน์ที่ควรเป็น

พวงมาลัยไม่ได้ไวมากแบบพวก WRX STi หรือ Suzuki Swift (ขออภัยที่เปรียบรถข้ามคลาสแต่หลายคนจะเห็นภาพได้ชัดกว่า) เวลาวิ่งปีนขอบ S จะมีแรงกระตุกมาที่พวงมาลัยเยอะกว่า 430i โดยรวมผมว่าถ้าไวกว่านี้ ก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นเพราะดูเหมือนว่าตัวรถก็มีนิสัยพร้อมจะสไลด์พร้อมจะเลี้ยวอยู่ในตัวแชสซีส์อยู่แล้ว

ประสิทธิภาพของรถแสดงออกชัดเจนขึ้นเมื่อคุณอู๋ นักขับของ xSpan ลองขับพาผมนั่งรอบสนาม จึงได้เห็นว่าเมื่อคุณส่งเสือให้คนขี่เสือคุม อาการรถออกมาคนละเรื่องกับเวลาผมขับ แม้จะบรรทุกน้ำหนักมหาศาลบนรถ M4 สามารถยิงเข้าออกทุก U Turn และ 100R ได้อย่างรวดเร็ว การยุบและยืดของช่วงล่างเป็นไปอย่างกระชับ มันสะเทือนกว่า 430i นิดเดียว แต่พอโยกแรงๆกลับคุมอาการตัวถังได้อยู่หมัด ยิ่งออกจาก 100R กดคันเร่งจมแป๊บเดียวก็ปาเข้าไป 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนเบรกต้าบเดียวลงมาเหลือ 120 ภายในเสี้ยววิแล้วตัดเข้าโค้ง 100R อย่างสวย

ถ้าคุณขับตามตำรา Play แบบ Safe รถก็จะ Safe ตาม (แม้จะแอบส่งความรู้สึกขนลุกมาหน่อยๆ) และถ้าคุณปรับการตอบสนองไปในโหมดที่ก้าวร้าวที่สุด มันก็จะเป็นปิศาจที่นิสัยรุนแรง ดีดดิ้น เหมาะกับนักขับที่ปฏิกริยาตอบสนองไว รู้จักเทคนิคการแก้ไขอาการของรถที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หากผมมีลูกชายอายุ 18-20 ปี ผมอาจจะยอมให้เขาขับ 430i แต่จะไม่ให้แตะ M4 เด็ดขาดจนกว่าเขาจะสามารถ “สั่ง” 430i ได้เหมือนแขนขาของตัวเองเสียก่อน..ถึงแม้สมัยนี้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทรงตัวจะพัฒนาไปมาก แต่ต้องไม่ลืมว่า M4 เป็นรถที่มีความชัดเจน ว่ามันถูกทำขึ้นมาเพื่อคนที่เป็นนักขับ ชื่นชอบอุปนิสัยของรถขับหลังพลังสูงอย่างแท้จริง และต้องมีความเก่งกาจ รู้จักโลก รู้จักรถ ในระดับหนึ่ง

 

***สรุปเบื้องต้น****

M4 อสูรร้ายหลายบุคลิก ขับไปมีตติ้งก็เก๋ ขับเล่นในสนามก็มันส์

430i Coupe รถคูเป้ขับหลังที่สนุก บันเทิง คุ้มราคา

430i Convertible..ความเท่ที่ต้องยอมแลกด้วยสมรรถนะ

สำหรับ M4 นั้น ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะมันคือรถ Performance Car อย่างแท้จริงที่มีองค์ประกอบถึงพร้อม ทั้งพลังที่มหาศาล เกียร์ที่มีบุคลิกแบบรถมอเตอร์สปอร์ต พวงมาลัยที่เซ็ตมาได้ดีมากแล้วถ้ามองว่ามันเป็นเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ความที่คุณสามารถเซ็ตการตอบสนองแยกกันระหว่าง พวงมาลัย เครื่องยนต์ ช่วงล่าง และเกียร์ ยิ่งมีส่วนทำให้มันปรับตัวเข้ากับความชอบของนักขับที่แตกต่างกันแต่ละคนได้มากขึ้น

แต่อย่าคิดว่ามันจะทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กใจดี รถตระกูล M อย่างไรก็ต้องแฝงความโหดให้สมกับภาพลักษณ์ที่เป็นรถแรง มีดีกรีมอเตอร์สปอร์ต คนขับก็เปรียบเสมือนกับคนเลี้ยงเสือ ถ้าคุณกล้าพอ และเก่งพอ คุณจะมีความสุข และความภูมิใจทุกวินาทีที่ได้อยู่กับมัน ไม่ว่าจะเป็นตอนจอดมีตติ้งที่ Rest Area ตอนขับไปอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวอารมณ์บนทางด่วน หรือบนสนามแข่งในวัน Track Day กับเพื่อนๆ

คุณอาจจะมองว่าเงิน 8.299 ล้านมันแพงสำหรับการซื้อ BMW..ผมไม่ค้านหรอกครับ เพราะในราคานี้คุณสามารถซื้อ Porsche 718 Cayman S 350 แรงม้าได้เลย ดังนั้นถ้าจะมองว่า M4 มีข้อเสียตรงไหน ก็คงเป็นเรื่องราคาที่ทำให้ลูกค้าที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ BMW ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะคุณสามารถซื้อ C43 Coupe ที่แรงน้อยกว่ามาก แต่มีระบบขับสี่และราคาแค่ 5.19 ล้านบาท หรือจะไปเล่น Porsche ซึ่งแรงม้าน้อยกว่า แต่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่โหดแบบแตกต่างอย่างรถเครื่องวางกลาง และมีรูปทรงที่ดึงดูดตาทุกเพศทุกวัย

แม้แต่คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ BMW ก็มีหลายคนที่ยอมแพ้กับค่าตัวของ M4 แล้วหันไปคบกับ M2 ซึ่งมีค่าตัว 5.99 ล้านบาท แรงม้าน้อยกว่าเยอะ แต่อย่างน้อยก็มีโลโก้ BMW และเป็นรถขับหลังที่มันส์ได้ไม่แพ้กัน ดังนั้นถ้าคุณจะควักเงินขนาดนี้เล่น M4 ..มีเงินอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องรักมันมากจริงๆด้วย

สำหรับคนที่ “เงินไม่ใช่ปัญหา” และตั้งใจว่าจะเล่น M4 จริงๆ ผมจะบอกว่า แม้ช่วงนี้ BMW Thailand จะยังไม่รับสั่งรถเพิ่ม แต่พอเข้าใกล้ช่วงปลายปี จะมีของเล่นมาเร้าอารมณ์เราอีกครั้ง และอาจจะมีรุ่น M4 CS มาด้วยก็ได้ถ้าคุณสู้ราคาไหว

ส่วน 430i Coupe นั้น เป็นรถขับหลังที่คุณสามารถจะขับใช้งานได้เหมือนคุณขับซีรีส์ 3 ไปทำงาน ไปท่องเที่ยว ไปซิ่งเล่นๆกับเพื่อน ล้อ 19 นิ้วกับยางแก้มเตี้ยไม่ได้ทำให้มันกระด้างมากอย่างที่คิด เครื่องยนต์ตอบสนองดีตามสไตล์ BMW Twin Power Turbo ตีนต้นถีบออกอาจไม่แรงเท่าพวก Hot Hatch 2.0 ลิตรเทอร์โบ แต่พอเข้าเกียร์ 2 ก็ไหลยาวและต่อเนื่องไปจนถึงความเร็วปลาย เสียงเครื่องยนต์ 4 สูบฟังดูแน่น แม้จะไม่ไพเราะแบบพวก 6 สูบ เกียร์ 8 จังหวะทำงานได้ดีเช่นเดียวกับ BMW รุ่นอื่นๆที่ใช้เกียร์แบบเดียวกัน

การตอบสนองของช่วงล่างจะแตกต่างกันระหว่างรุ่น Luxury และ M Sport รุ่นแรกจะมีบุคลิกนุ่มนวล สบาย เหมาะกับผู้ใหญ่ วิ่งทางไกลไม่หวิวจนกว่าจะเกิน 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน M Sport จะแข็งขึ้น หนึบขึ้น เหมาะสำหรับคนที่วิ่งเร็วๆและตรงยังไม่พอ ต้องเลี้ยวแรงด้วยอีกต่างหาก

ถ้าคุณเป็นคนที่ซื้อ 430i เพราะรูปร่างเป็นหลัก และไม่สนใจคุณสมบัติข้ออื่น รุ่น Luxury จะประหยัดเงินคุณได้หลายแสนบาท คุณได้ภายในที่ดูหรู ปลอดโปร่ง และสมรรถนะการขับขี่ที่เกือบจะเหมือนกัน แต่ถ้าคิดจะไปสายแต่ง ชอบเล่นเกียร์เอง ไม่ต้องลังเลครับ รุ่น M Sport มาครบ พร้อมด้วยช่วงล่าง เครื่องเสียง Harman/Kardon ซันรูฟ พวงมาลัยสปอร์ตพร้อม Paddleshift และโหมด Sport + เป็นการควักเงินก้อนโตอยู่ แต่มาแบบทีเดียวจบจากโรงงาน

หากเทียบกับคู่แข่งอย่าง C250 Coupe แล้ว BMW อาจได้เปรียบเรื่องความแรงจากพลัง 252 แรงม้า บวกกับการเซ็ตช่วงล่างและแชสซีส์ ซึ่ง BMW ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า มีอาการดิ้นเมื่อเจอถนนไม่เรียบน้อยกว่า ทิ้งโค้งได้เนียนกว่า (M Sport เทียบกับ AMG Dynamic) แต่เบนซ์สมัยใหม่นี้ ไม่ได้ตอบสนองเป็นเต่าเหมือน 20 ปีก่อน ถ้าคุณใส่โหมด Sport Plus มันจะโหดไม่แพ้ BMW แม้อัตราเร่งจะไม่ไหลลื่นเท่า นอกจากนี้ การที่เป็นรถประกอบในประเทศ ทำให้ C250 Coupe ทำราคาได้ถูก รุ่นท้อป AMG Dynamic ราคา 3.59 ล้านบาท และถ้าไม่คิดจะเอามาซิ่ง รุ่น Sport ซึ่งใช้ช่วงล่างแบบธรรมดา อาจจะนุ่มย้วย แต่ก็ได้อุปกรณ์ติดรถมากมายกว่า BMW รุ่นล่างสุดในราคาแค่ 3.24 ล้านบาท

ส่วน Audi A5 Coupe 45 TFSI Quattro S Line นั้น มีพลังอัตราเร่งที่ไล่ฆ่าไปกับ BMW ได้ แต่บุคลิกของรถจะแตกต่างกัน BMW เน้นสนุก มันส์ ซุกซน มั่นแบบแฝงเสียวนิดๆ ส่วน Audi นั้นทุกอย่างคือความชัวร์ คือความมั่นใจ มันไม่เปิดโอกาสให้คุณซนเท่าไหร่ แต่ความปลอดภัยในการขับสูงมาก แต่พอเจอราคา 4.299 ล้านบาท ผมเชื่อว่าหลายคนก็อาจยอมเปลี่ยนใจไปหา BMW หรือ Mercedes-Benz ได้

สำหรับรถรุ่นเปิดประทุนนั้น หากคุณวางแผนไว้แล้วว่าจะเอาไว้ขับกินลม และซิ่งบ้างแค่บางครั้งบางคราว ผมกลับมองว่ารุ่น Convertible Luxury ที่ช่วงล่างย้วยๆนี่ล่ะเหมาะ คุณไม่ต้องจ่ายเงินแพงๆเพื่อซื้อรุ่น M Sport ก็ได้ แค่จัดรุ่น Luxury มาแล้วไปหาช่วงล่าง Upgrade ในภายหลัง หรือปล่อยไว้เป็นแบบเดิมก็ได้เหมือนกัน รถแบบนี้คือรถที่คุณนำมาขับเพื่อความเท่ เป็นรถที่คุณเอ็นจอยเพราะการเดินทางมันรื่นรมย์ ไม่ใช่เพราะคุณอยากไปถึงไวๆ

นอกจากนี้ภายในสีครีมสะอาดตา กับลักษณะการตกแต่งของรุ่น Luxury มันจะเข้ากับบรรยากาศโดยรวมของตัวรถ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกมีความสุขกับทริปต่างจังหวัดกับคนที่คุณรัก ไม่ต้องสนใจสิ่งที่ผมตำหนิเรื่องการตอบสนองของช่วงล่างก็ได้ เพราะคุณคงไม่เอารถ Convertible ไปแข่งในสนามพีระเซอร์กิต หรือแก่งกระจาน เซฟเงินส่วนต่างกับรุ่น M Sport เอาไว้เปลี่ยนล้อลายสวยๆที่คุณชอบ หรือสั่งชุดแต่งอื่นๆมาใส่ก็ได้ (ยกเว้นว่าคุณเห็นชุดแต่ง M Sport สวยกว่ามาก..ก็ข้ามไปเอา M Sport เลยแล้วกัน)

ผมยังไม่สามารถเปรียบเทียบรถคันนี้กับคู่แข่งได้เต็มปากนัก เพราะ Audi ยังไม่มีรถ Convertible 4 ที่นั่งขายในไทย และผมยังไม่ได้ขับ C300 Cabriolet AMG Dynamic ราคา 4,240,000 บาท หากคุณมีโอกาสก็น่าจะลองดูก่อน เพราะมันคือคู่เปรียบที่ใกล้เคียงที่สุด และภายในของ Mercedes-Benz ก็ทำมาได้สวยงามคนละชั้นกับ BMW จริงๆ

แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกรถรุ่นไหน ก็ขอให้มีความสุข จะเป็นรถเปิดประทุน หรือหลังคาแข็ง จะเป็นรถ 4 สูบหลากบุคลิก หรือจะเป็น M4 6 สูบตัวโหด ถ้าคุณต้องการรถขับเคลื่อนล้อหลังที่ตอบสนองหัวใจของมนุษย์ FR แล้วล่ะก็ วินาทีนี้ คุณคงต้องรีบตัดสินใจ ก่อนที่ยุคแห่งแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะคืบคลานเข้ามาและความหมายของ Driver’s Enjoyment จะเปลี่ยนไป

430i กับ M4 นี้ อาจจะเป็นสัญญาณท้ายๆ ของยุคที่เราจะสนุกกับพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนๆ.. มี Logo BMW อยู่หน้ารถ และมาในราคาที่คุณไม่ต้องขายบ้านขายอุดมการณ์เพื่อเป็นเจ้าของ

อีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า อาจไม่มีคำว่าคิกดาวน์ สับเกียร์ หรือการตอบสนองของพวงมาลัยเหลือในนิตยสารและเว็บไซต์ยานยนต์อีกต่อไป

ผมแค่ภาวนาว่าในวันที่ผมเกษียณ เลิกยุ่งกับงานทางด้านรถยนต์และมีเงินเก็บมากพอ BMW ในประเทศไทยจะยังมีรถที่เปิดโอกาสให้เรามีอารมณ์ร่วมกับการขับขี่ สนุกได้ และใช้งานได้ ตามปรัชญาที่ท่าน Herbert Quandt เคยให้ไว้เมื่อครึ่งศตรวรรษที่แล้ว

เพราะถ้า BMW เลิกทำรถขับสนุก ผมก็ว่าคงไม่มีรอยยิ้มบนท้องถนนเหลือให้กับ Petrol Head อย่างพวกเราอีกต่อไปแล้วล่ะครับ

———//////———-

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์

บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ


Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายโดยช่างภาพจาก BMW Thailand/ผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
28 กรกฎาคม 2017

Copyright (c) 2017 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
28 July 2017

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!