(Video Clip version of this Full Review is now available at the end of this article)
(วีดีโอคลิปทดลองขับของรถคันนี้ อยู่ด้านล่างสุดของบทความนี้)

งานแสดงรถยนต์ Bangkok International Motor Show ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 24 มีนาคม – 4 เมษายน 2021 ที่ผ่านมา ถือว่าเสร็จสิ้นลงไปในจังหวะฉิวเฉียดกับการระบาดครั้งมโหฬารของเชื้อโรคบ้าๆ Covid-19 ในเมืองไทย จะอุบัติขึ้น เป็นระลอกที่ 3 และ 4 ต่อเนื่องกัน พอดี

ท่ามกลางบรรยากาศการเยี่ยมชมรถยนต์รุ่นใหม่ๆในแต่ละบูธ ภายใต้มาตรการ New Normal ซึ่งเป็นคำที่ผมเชื่อว่า คุณผู้อ่านทุกคนคงจะได้ยินจนเอียนอ้วกมามากพอแล้วนั้น นอกเหนือจากบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะพากันยกทัพมารอต้อนรับลูกค้า ด้วยสารพัดแคมเปญมากมาย ล่อตาล่อใจ หวังให้ผู้เข้าชมงาน แวะเซ็นใบจองกันแล้วนั้น

บนพื้นที่ของบูธ Hyundai อันมีเวทีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางงานตรงนั้น คนทั่วไป แค่เห็นกองทัพรถตู้รุ่นแซยิด ลากขายกันมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2008 อย่าง Hyundai H-1 และ Starex ยังคงจอดแจกยิ้มแฉ่ง อยู่ข้างๆ Hyundai Kona Electric ทุกคนที่ไม่ได้คิดจะมาจองรถตู้ไว้ใช้งาน ก็พร้อมใจเดินผ่านบูธนี้ไปอย่างง่ายดาย เพราะในตอนนั้น หม้อทอดติดล้อ Hyundai Staria ยังไม่เปิดตัวในไทย

แต่ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อย…แค่เพียงชำเลืองปรายหางตามองเข้าไปยังพื้นที่อันสว่างจ้าในบูธแล้ว คุณจะพบกับ SUV คันใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า สีน้ำเงินเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำ จอดสงบนิ่งอยู่ 1 คัน อาจจะฟังดูน่าห่อเหี่ยวใจสักหน่อย แต่ก็ต้องเล่าให้ฟังกันตรงๆว่า ในรอบสื่อมวลชน และรอบประชาชนทั่วไป วันแรกๆนั้น แทบไม่ค่อยมีใครเหลียวแลรถคันนี้เท่าไหร่ มีเพียงไม่กี่คน ที่สนใจ รับรู้ข่าวสารยานยนต์จากต่างประเทศเท่านั้น ที่พาสารร่างของตน เดินตัวปลิว มาหยุดดูรถคันนี้ ถึงขอบเวที

หนึ่งในชนกลุ่มน้อยเหล่านั้น น่าจะมีอยู่คนเดียว ที่ดวงตาลุกวาว…กว่าใครเพื่อน….

หมอนั่นหนะเหรอ?…ก็ผมเองไง!

ตามปกติแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา ของผู้ผลิตรถยนต์ ที่มักพยายามสรรหารถยนต์ต้นแบบ หรือรถยนต์รุ่นแปลกๆจากต่างประเทศ เข้ามาอวดโฉมให้คนไทย ได้สัมผัสกัน เหตุผลของการสั่งนำเข้ารถยนต์พิเศษเหล่านี้ หาใช่เพียงแค่เพื่อ การสำรวจและวิจัยตลาดถึงความต้องการของลูกค้าชาวไทยด้วยแล้ว…

อีกเหตุผลสำคัญรองๆลงมา ก็คือ ผู้จัดงาน ทั้ง Bangkok International Motor Show และผู้จัดงาน Motor Expo ต่างมีเงื่อนไขพิเศษว่า ถ้าบริษัทรถยนต์รายใด สั่งรถยนต์ต้นแบบ หรือรถยนต์รุ่นแปลกๆที่ ไม่เคยทำตลาดในเมืองไทยมาก่อน เข้ามาอวดโฉมในงานด้วยแล้ว ผู้จัดงาน ยินดีที่จะให้ส่วนลดค่าเช่าพื้นที่จัดแสดง เป็นกรณีพิเศษ

ยิ่งถ้าเป็นการเปิดตัว ออกสู่ตลาดครั้งแรกในเมืองไทย ส่วนลดค่าบูธก็จะยิ่งมากขึ้น และถ้ารถยนต์คันนั้น ถูกเปิดตัวครั้งแรกในโลก ณ งานใดงานหนึ่ง ผู้จัดงานนั้นๆ จะยิ่งมีส่วนลดค่าบูธเป็นกรณีพิเศษ จัดหนักกว่าปกติ เพราะถือว่า บริษัทรถยนต์เอง ก็มีส่วนช่วยเรียกแขกเหรื่อเข้ามายลโฉมรถยนต์รุ่นใหม่ ก่อนใคร ในงานของพวกเขาเลย

Hyundai Motor Thailand ภายใต้การบริหารของ บริษัท Sojitsu อันเป็น Trading Company รายใหญ่รายหนึ่งในญี่ปุ่น ก็มักเป็นอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งขยัน สั่งรถยนต์ต้นแบบ หรือรถยนต์รุ่นแปลกๆใหม่ๆ เข้ามาอวดโฉมในงานแสดงรถยนต์ ระดับใหญ่ ทั้ง 2 งาน อย่างสม่ำเสมอ บางครั้ง ก็แค่เอามาจอดโชว์ บางครั้งก็ นำมาเปิดตัวขายจริงกันในเมืองไทย บางครั้ง ก็แค่อยากจะสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภค บางคราว ก็เคยถึงขั้นมีอุบัติเหตุ ช่างจัดระบบไฟ ตกลงมาจากนั่งร้าน กระแทกใส่บั้นท้ายของรถยนต์ต้นแบบ จนกระจกฝาท้ายแตก และต้องหาผ้ามาคลุม ทำเป็น Gimmick ว่า เปิดผ้าคลุม สวยๆเก๋ๆ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ขายผ้าเอาหน้ารอด ก็มีมาหมดแล้วทุกรูปแบบ

เพียงแต่…การมาถึงของ SUV คันใหญ่โตที่สุดในตระกูล ภายใต้ชื่อ Hyundai Palisade ในคราวนี้ มันต่างออกไปจากปกติ สักหน่อย

ตอนแรก Hyundai คิดแค่ว่าจะนำเข้า Palisade มา 1 คัน เพื่ออวดโฉมในบูธกันเฉยๆ ไม่มีแผนจะเปิดตัววางขายในเมืองไทยมาก่อนเลย ถึงขั้น ล็อคประตูรถ และสงวนสิทธิ์ เปิดให้ดูภายใน เฉพาะแขกเหรื่อ บางกลุ่ม เท่านั้น (ไม่ใชอะไรหรอก กลัวว่าภายในจะเละเทะเสียหายไง คือมันเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว มันเคยมีเคสพวกโรคจิต เข้าไปในงานแสดงรถยนต์แบบนี้ แล้วใช้มีดคัตเตอร์ กรีดรถในงานทุกคัน โดยเฉพาะบูธ BMW ในปีก่อนๆ โดนหนักถึงขั้นต้องเปลี่ยนสลับรถในงานกันเกือบทั้งบูธ แล้วจับตัวคนก่อเหตุไม่ได้ด้วย)

ที่ไหนได้ กลายเป็นว่า มีเศรษฐีหลายคน พอมาเห็นคันจริง ถึงขั้นถามไถ่ทาง Hyundai เลยว่า จะสั่งนำเข้า เจ้ายักษ์คันนี้ มาเปิดตัวขายจริงในเมืองไทยกันเมื่อไหร่ และราคาเท่าไหร่!? ขอวางเงินจองก่อนเลยได้ไหม?

ไม่ใช่แค่เศรษฐีเหล่านั้น แม้แต่ผม ก็ยังกรี๊ดดดดด เลย!

พอเดินมาถึงเวทีของบูธ ผมก็ตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบกับรถคันจริงแล้ว มันสวยกว่าในภาพถ่ายเสียอีกด้วยซ้ำ! พี่อิน จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Hyundai เดินมาหาผม พร้อมกับกุญแจรถ ผมและน้องๆทีมเว็บ เราต่างขึ้นไปลองเล่นรถคันนี้ กันอย่างสนุกสนาน และตื่นตาตื่นใจในความใหญ่โต โอ่โถงของห้องโดยสาร และความตระการตาของงานออกแบบ ไปจนถึงพื้นผิวของวัสดุที่ใข้ภายในรถคันนี้ เพราะมันเหนือชั้นเกินไปกว่า Hyundai ทุกคันที่ผมเคยเจอมาในชีวิต (ไม่นับตระกูลหรูอย่าง แบรนด์ GENESIS นั่นต้องยกให้เขาไปเลย) มันเหมือนเรือยอชต์ติดล้อมากกว่า!

พอถามไถ่กับ พี่ตาเล็ก (อดีตผู้บริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ Nissan ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ Hyundai แห่งนี้ได้หลายปีแล้ว) ว่าอยากทดลองขับ Palisade ในตอนนั้น พี่ตาเล็กของผม เค้าก็ยังให้คำตอบไม่ได้เลยว่า Hyundai จะปล่อยรถคันนี้ให้ลองขับได้หรือไม่? และถ้าได้ จะต้องรอถึงเมื่อไหร่?

เวลาผ่านล่วงเลย มาจนถึงปลายเดือนกันยายน 2021 หลังจากที่ Hyundai เปิดตัว หม้อทอดติดล้อ Staria ไปแล้ว ในจังหวะที่ผมเริ่มป่วยเป็น Covid-19 พร้อมกับคุณแม่ ต้องนอน โรงพยาบาล และออกมากักตัวด้วยกัน 2 แม่ลูก อีก รวมแล้ว 1 เดือนเต็ม หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไป ท่ามกลางความยุ่งเหยิง ในการบริหารจัดการรถยนต์ทดสอบ และคิวงานต่างๆที่อลหม่านอยู่นั้นเอง ทาง Hyundai ก็โทรมาบอกว่า พร้อมแล้วที่จะปล่อยให้ผมได้ยืม Palisade มาทดลองขับ เป็นรายแรกในเมืองไทย!

ดีใจกระโดดโลดเต้นไปรอบบ้านกันเลยทีเดียว!

รถคันนี้ มีดีอะไรถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ? ถึงขั้นทำให้ผม กรีดร้อง อยากทดลองขับให้ได้ขนาดนี้

ก่อนที่จะเฉลยว่าทำไม…ผมจะพาคุณ มาทำความรู้จัก พี่ชายคนโตสุดในตระกูล SUV ภายใต้แบรนด์ Hyundai (ไม่นับรวมแบรนด์ Genesis) คันนี้ กันก่อน!

Hyundai Palisade เป็นรถยนต์ SUV แบบ 3 แถว 8 ที่นั่ง ระดับ Flagship ที่มีขนาดใหญ่โต และหรูที่สุด ในบรรดา SUV จาก Hyundai ทั้งหมด 8 รุ่น (ไล่จากเล็กไปถึงรุ่นใหญ่ ได้แก่ Venue, Creta, Kona, Nexo (ขุมพลัง Fuel Cell เติม Hydrogen เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น) Tucson, Santa Fe และ Palisade เข้าทำตลาดแทน Hyundai MaxCruz และ Santa Fe XL 3 แถวที่นั่ง Palisade ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็น รถยนต์ฝาแฝดกับญาติพี่น้องร่วมเครืออย่าง Kia Telluride  Full Size SUV เบาะนั่ง 3 แถว 8 ที่นั่ง เพื่อเน้นเจาะตลาดอเมริกาเหนือ เป็นหลัก

ความหมายของชื่อ Palisade (อ่านว่า แพ-ลิ-เสด) ตามภาษาไทยนั้น ในพจนานุกรม สอ เสถบุตร ได้แปลเอาไว้ว่า คือ “ค่ายระเนียด, ทิวเขา, รั้วไม้, รั้วเหล็ก” ที่มาของคำนี้ มาจากคำว่า “Palissade” ในภาษาฝรั่งเศสภาคกลาง ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Palus ในภาษา Latin ส่วนในวิชาชีววิทยา จะมีคำว่า Palisade cell หมายถึง “เซลที่มีรูปร่างค่อนข้างยาว เรียงตัวกันเป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบ อยู่ถัดจากชั้นเอปิเดอร์มิส ด้านบนของใบพืช ภายในมีคลอโรพลาสต์ จำนวนมาก”

ในสหรัฐอเมริกา คำว่า Palisade ตามความหมายของ Oxford Dictionary แปลว่า “high line of cliffs” หรือ แนวหน้าผาสูง หากดูจากชายฝั่ง Pacific แนวหน้าผาที่มีชื่อเสียงในหมู่ชาวอเมริกัน มีความยาวจาก รัฐ New Jersey ข้ามต่อเนื่องไปยัง มหานคร New York ยาวต่อเนื่องไปจนถึง แม่น้ำ Hudson จนถึงบริเวณ Haverstraw ในรัฐ New York ซึ่งมีความสูงถึง 168 เมตร!

อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์การตั้งชื่อรถยนต์ของ Hyundai แล้ว จะพบว่า พวกเขามัก นำชื่อที่เกี่ยวข้องกับเมือง หรือสถานที่ ในสหรัฐอเมริกา เอามาใช้กับบรรดา SUV รุ่นต่างๆ มาโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Santa Fe , Santa Cruz ,Tucson ฯลฯ

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน Hyundai ระบุว่า พวกเขาอ้างอิงถึง หน้าผา ริมชายฝั่ง (“references a series of coastal cliffs”) พวกเขาหวังว่า ชื่อรุ่นจะทำให้ผู้คนนึกถึง พื้นที่ Pacific Palisades อันเป็นย่านพักอาศัยของเหล่าดารา Hollywoods มหาเศรษฐี และกลุ่ม Celebrities รวมทั้งชนชั้นกลาง Middle Class ซึ่งตั้งอยู่ใน Los Angeles ตรงกลางระหว่าง บริเวณทางตอนเหนือของเขต Santa Monica และทางใต้ของ Malibu ในเขต Southern California (Westside ฝั่งตะวันตก) ริมมหาสมุทร Pacific

งานออกแบบของ Palisade นั้น เริ่มต้นขึ้นที่ ศูนย์ออกแบบ Hyundai Design Center ณ Fountain Valley เมือง Irvine มลรัฐ California และถูกนำไปปรับปรุงจนเสร็จสมบูรณ์ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) ของ Hyundai-Kia ที่ Namyang เกาหลีใต้

Christopher Chapman , อดีต Designer ของ Isuzu Technical Center of America ในปี 1989 และเคยเป็น Director of Automotive Design ที่ BMW ช่วงปี 1994 และเคยออกแบบ X5 X3 Z4 กับ 1-Series ที่เข้ามารับตำแหน่ง Senior Chief Designer ของ Hyundai Design North America มาตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2011 เล่าว่า “เราไม่ต้องการออกแบบ SUV ของเรา ให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันไปหมด และต่างกันแค่ขนาดตัวรถ เหมือนตุ๊กตา Russian doll แต่เราเลือกที่จะออกแบบรถ โดยได้แรงบันดาลใจจาก ตัวหมากรุก (chesses pieces) พวกมันมีขนาดเหมือนกัน แต่ละตัว มีบทบาทหน้าที่ในเกมแตกต่างกันไปในแต่ละตัวของมันเอง แต่ Palisade เปรียบเสมือนตัว King ในตารางหมากรุก ถือเป็น Flagship ตัวสำคัญ เพราะในอดีต เราไม่เคยทำรถยนต์ Full Size SUV หรือ Full Size Truck ที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน”

“ช่วงระหว่างการทำวิจัยศึกษาความเป็นไปได้ ในการพัฒนารถคันนี้ เราได้รับข้อมูลจำนวนเป็นตันๆ จากทาง HMA (Hyundai Motor America) รวมทั้งจากเกาหลีใต้ และมันประดังประเดเข้ามาหาพวกเราอย่างมาก และนั่นช่วยให้เรากำหนดทิศทางของบุคลิกตัวรถได้อย่างดี ขณะเดียวกัน เราได้นำความรู้สึกของผู้คนรอบข้าง รวมทั้งนักออกแบบในทีมของเรา จากการเดินทางไกลในวัยเด็กของพวกเขา ที่สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งเพื่อนและญาติวัยเยาว์ นั่งรวมอยู่ด้วยกันบนพื้นที่ด้านหลัง ของรถยนต์ Station Wagon ปลายยุค 1950 – 1970 รวมทั้ง ประสบการณ์ของ Interior Design Manager กับครอบครัวของเขา ขณะเดินทางบน Range Rover รุ่นแรก (1970) ผ่านไปทาง อัฟกานิสถาน ในปี 1976 ที่ยังไม่มีสงคราม ไปจนถึงประสบการณ์ของ Mr.Cole , Clay Modeller ในสมัยยังเด็ก เมื่อครั้งที่คุณพ่อของเขาเป็นเจ้าของ Chevrolet Suburban ปี 1976 เข้ามาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ Palisade ด้วย”

งานออกแบบภายนอกที่ชนะการคัดเลือกจากบรรดานักออกแบบใน Design Studio ของ Hyundai ทั่วโลก เป็นผลงานของ Mykola Kindratyshyn ตำแหน่ง Senior Creative Designer ของ Hyundai Motors America กล่าวว่า “สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากสุดในการพัฒนา Palisade คือ ครอบครัว เราต้องการนำเสนอ สมรรถนะ ความปลอดภัย และความสบายจากห้องโดยสารอันโอ่โถง”

ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น Chris เล่าต่อสั้นๆว่า “เราออกแบบภายในของ Palisade ภายใต้แนวคิด “The Serenity of Yacht” หรือความสงบในการเดินเรือยอชต์ โดยมุ่งเน้นไปที่ ความผ่อนคลาย (Relaxing) ความสบาย (Comfort) และ การผจญภัยร่วมกันของครอบครัว (Family Adventure) เป็นสำคัญ”

ผลจากความพยายามของทุกฝ่าย ทำให้งานออกแบบของ Hyundai Palisade ได้รับรางวัล Red Dot Award อันเป็นรางวัลด้านการออกแบบทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมอันทรงเกียรติจากเยอรมนี เมื่อ 25 มีนาคม 2019

Hyundai เริ่มเผยความเคลื่อนไหวในการพัฒนา SUV รุ่นนี้ เป็นครั้งแรก ในรูปของการสร้างรถยนต์ต้นแบบ Hyundai HCD2 GrandMaster SUV ออกจัดแสดงในงาน Busan International Motor Show เมื่อ 7 มิถุนายน 2018 โดย ในตอนนั้น Hyundai เปิดเผย เป็นครั้งแรกว่า พวกเขาเตรียมจะสร้าง SUV ขนาดใหญ่ 3 แถวที่นั่ง ให้กับตลาดอเมริกาเหนือ โดยจะออกมาทั้งแบรนด์ Hyundai และ Kia ทั้ง 2 รุ่น มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปี 2019

ชื่อ GrandMaster นั้น เป็นตำแหน่งของเซียนหมากรุก ที่สามารถพิชิตหมากรุกแทบทุกเกมส์ เปรียบได้เหมือนกับเป็น SUV ที่มีคุณลักษณะมีบทบาทที่โดดเด่นในทุกด้าน

เส้นสายภายนอกถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวทางการออกแบบใหม่ “Sensuous Sportiness” อันเป็นการผสมผสาน สัดส่วน. งานวิศวกรรม, สไตล์และเทคโนโลยี เข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้โครงสร้างน้ำหนักเบา Light Architecture

ภาพถ่าและข้อมูลเพิ่มเติม ของ Hyundai HCD-2 Grandmaster – Click Here

5 เดือนต่อมา Hyundai Palisade เวอร์ชันจำหน่ายจริง ก็ถูกส่งไปอวดโฉมครั้งแรกในโลก ณ งาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2018 และออกสู่ตลาดในปี 2019 จัดเป็น Mid-size SUV 7 ที่นั่ง ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง (Platform) ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ไม่ใช่ SUV/PPV แต่เป็น Pure SUV) โดยมีคู่แข่งในตลาดกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ Chevrolet Traverse/GMC Acadia, Ford Explorer, Honda Pilot, Mazda CX-9, Subaru Ascent, Toyota Highlander

เวอร์ชันอเมริกาเหนือ รุ่นปี 2022 ยังคงมีให้เลือกทั้งหมด 14 รุ่นย่อย ต่อเนื่องจากรุ่นปี 2021 บนพื้นฐานขุมพลังแบบเดียว 2 ระบบขับเคลื่อน 2 รูปแบบที่นั่ง และ ระดับการตกแต่ง รวม 4 Trim ดังนี้

  • SE เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 8 Seater $ 33,150 เหรียญสหรัฐฯ
  • SE เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 8 Seater $ 34,850 เหรียญสหรัฐฯ
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 7 Seater $ 35,500 เหรียญสหรัฐฯ
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 7 Seater $ 37,900 เหรียญสหรัฐฯ (Convenience)
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 7 Seater $ 41,100 เหรียญสหรัฐฯ (Premium)
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 8 Seater $ 41,100 เหรียญสหรัฐฯ
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร AWD 7 Seater $ 37,200 เหรียญสหรัฐฯ
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร AWD 7 Seater $ 39,600 เหรียญสหรัฐฯ (Convenience)
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร AWD 7 Seater $ 42,800 เหรียญสหรัฐฯ (Premium)
  • SEL เบนซิน 3.8 ลิตร AWD 8 Seater $ 42,800 เหรียญสหรัฐฯ
  • Limited เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 7 Seater $ 45,390 เหรียญสหรัฐฯ
  • Limited เบนซิน 3.8 ลิตร AWD 7 Seater $ 47,090 เหรียญสหรัฐฯ
  • Calligraphy เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 7 Seater $ 46,690 เหรียญสหรัฐฯ
  • Calligraphy เบนซิน 3.8 ลิตร FWD 7 Seater $ 48,390 เหรียญสหรัฐฯ

รายละเอียดการปรับปรุงของรุ่นปี 2022 จากรุ่นปี 2021 นั้น มีเพียงแค่ การเพิ่มกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว เพิ่มระบบ Blind-Spot Collision Avoidance Assist , ระบบ RCTA (Rear Cross Traffic Collision Avoidance Assist) กับระบบ Safe Exit Assist จากเดิมที่เคยมีแค่ในรุ่น SEL ขึ้นไป ให้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของทุกรุ่นย่อยไปเลย

ส่วนสีตัวถัง Becketts Black ที่เคยถูกแทนที่ด้วย สีดำ Abyss Black Pearl ตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 นั้น สีดังกล่าว ก็ยังคงมีให้เลือกต่อเนื่องไปตลอดอายุตลาดของรถรุ่นปี 2022 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2022) ขณะเดียวกัน ภายในห้องโดยสาร สี Dark Brown ในรุ่นท็อป Calligraphy ที่เคยมีให้เลือก ก็ถูกปลดออกจากตารางอุปกรณ์ไปแล้วในปีนี้

ยอดขายสะสมในตลาดสหรัฐอเมริกานั้น ในปี 2019 อันเป็นปีแรกที่ออกสู่ตลาดเต็มทั้งปี ตัวเลขรวมอยู่ที่ 28,736 คัน แต่ย่างเข้าปี 2020 แม้จะมีการระบาดของ เชื้อ Covid-19 จนเกิดปัญหาขาดแคลน Chip ในการผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และยานยนต์ ไปจนถึงปัญหาผู้คนล้มตาย และปัญหาด้านระบบ Logistic ทั่วโลก แต่กลับกลายเป็นว่า Hyundai สามารถทำยอดขาย Palisade เฉพะในตลาดอเมริกาเหนือ ขึ้นมาได้สูงถึง 82,661 คัน

ตลาดเกาหลีใต้ ตามมาเป็นอันดับ 2 โดยเปิดตัวเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2018 ฝ่ายการตลาดของ Hyundai ใช้บริการ นักร้องวัยรุ่น วง BTS มาเป็น Presenter

ปัจจุบัน Palisade เวอร์ชันเกาหลีใต้ มีให้เลือกมากถึง 20 รุ่นย่อย บนพื้นฐาน ขุมพลัง 2 แบบ 2 ระบบขับเคลื่อน 2 รูปแบบที่นั่ง และ ระดับการตกแต่ง รวม 3 Trim เลือกได้อย่างอิสระ ดังนี้

  • Exclusive เบนซิน 3.8 ลิตร 2WD 8 Seater 36,730,000 วอน
  • Exclusive เบนซิน 3.8 ลิตร 2WD 7 Seater 37,030,000 วอน
  • Exclusive Diesel 2.2 ลิตร 2WD 8 Seater 38,230,000 วอน
  • Exclusive Diesel 2.2 ลิตร 2WD 7 Seater 38,530,000 วอน
  • Exclusive เบนซิน 3.8 ลิตร 4WD 8 Seater 39,080,000 วอน
  • Exclusive เบนซิน 3.8 ลิตร 4WD 7 Seater 39,380,000 วอน
  • Exclusive Diesel 2.2 ลิตร 4WD 8 Seater 40,580,000 วอน
  • Exclusive Diesel 2.2 ลิตร 4WD 7 Seater 40,880,000 วอน
  • Prestige เบนซิน 3.8 ลิตร 2WD 8 Seater 41,900,000 วอน
  • Prestige เบนซิน 3.8 ลิตร 2WD 7 Seater 42,200,000 วอน
  • Prestige Diesel 2.2 ลิตร 2WD 8 Seater 43,400,000 วอน
  • Prestige Diesel 2.2 ลิตร 2WD 7 Seater 43,700,000 วอน
  • Prestige เบนซิน 3.8 ลิตร 4WD 8 Seater 44,250,000 วอน
  • Prestige เบนซิน 3.8 ลิตร 4WD 7 Seater 44,550,000 วอน
  • Prestige Diesel 2.2 ลิตร 4WD 8 Seater 45,750,000 วอน
  • Prestige Diesel 2.2 ลิตร 4WD 7 Seater 46,050,000 วอน
  • Calligraphy เบนซิน 3.8 ลิตร 2WD 7 Seater 47,100,000 วอน
  • Calligraphy Diesel 2.2 ลิตร 2WD 7 Seater 48,600,000 วอน
  • Calligraphy เบนซิน 3.8 ลิตร 4WD 7 Seater 49,450,000 วอน (Best Choice Models)
  • Calligraphy Diesel 2.2 ลิตร 4WD 7 Seater 50,950,000 วอน

สำหรับความนิยมในตลาดบ้านเกิดตัวเองนั้น สำนักข่าว Yonhap ของทางการเกาหลีใต้ ได้สรุปไว้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2020 ว่า ในปี 2019 อันเป็นปีแรกที่ออกสู่ตลาด ลูกค้าแดนกิมจิ พากันอุดหนุน Palisade มากถึง 52,299 คัน จนกระทั่งถึงสิ้นปี 2020 Hyundai ทำยอดขาย Palisade ในตลาดบ้านตัวเองได้สูงถึง 64,791 คัน

มีการตั้งข้อสังเกตว่า ลูกค้าจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจ ยอมจ่ายเงินแพงขึ้น เพื่อขยับจาก Hyundai Santa Fe มาอุดหนุน Palisade ทั้งที่มีค่าตัวแพงกว่า แต่ เราต้องไม่ลืมว่า ตลาดเกาหลีใต้นั้น นิยมรถเก๋งขนาดใหญ่ ไปจนถึง SUV ขนาดใหญ่ (ปี 2020 ยอดขาย Hyundai Grandeur พี่ใหญ่รุ่นสูงกว่า Sonata คือรถยนต์ขายดีอันดับ 1 ในแดนกิมจิ) ดังนั้น ถ้าตัวเลขยอดขายจะออกมาเป็นแบบนี้ ก็มิใช่เรื่องน่าประหลาดใจ

หลังจากนั้น Hyundai ก็ค่อยๆเริ่มทะยอยส่ง Palisade ลงเรือไปถึงหลายประเทศทั่วโลก เริ่มจาก Philippines เปิดตัวในงาน Manila International Auto Show เมื่อเดือน เมษายน 2019 วางเครื่องยนต์ Diesel 2.2 ลิตร ตามด้วย Australia ในเดือนธันวาคม 2020 วางขุมพลัง V6 3.8 ลิตร และ Diesel 2.2 ลิตร

ส่วนตลาด Russia นั้น Hyundai ส่ง Palisade ขุมพลัง V6 3.5 ลิตร และ Diesel 2.2 ลิตร ไปขึ้นไลน์ประกอบที่โรงงาน Avtotorp ในเมือง Kaliningrad ออกจำหน่ายในเดือนธันวาคม 2020 ตามติด Australia และล่าสุด ตลาด Indonesia ก็ยังมีโอกาสได้เป็นเจ้าของ Palisade Diesel 2.2 ลิตร AWD มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 มาหมาดๆ

***** ขนาดตัวถัง / Dimension *****

Hyundai Palisade มีมิติตัวถังภายนอก ยาวทั้งคัน 4,980 มิลลิเมตร กว้าง 1,975 มิลลิเมตร สูง 1,750 มิลลิเมตร (รวมเสาอากาศแบบครีบฉลาม) ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) 1,708 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track) 1,716 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว (Wheelbase) 2,900 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 203 มิลลิเมตร มีมุมไต่ (Approach Angle) 18.5 องศา มุมจาก (Departure Angle) 20.3 องศา และมุมคร่อม (Ramp Breakover Angle) 17.9 องศา

น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 2,560 – 2,690 กิโลกรัม ตามแต่ละรุ่นย่อย ส่วนรุ่น V6 3.8 ลิตร GDI ขับเคลื่นล้อหน้า 7 ที่นั่ง ที่เรานำมาทดลองกันนี้ มีน้ำหนักตัวรวมอยู่ที่ 2,570 กิโลกรัม แต่น้ำหนักรถเปล่าๆ อยู่ที่ 1,940 กิโลกรัม (ตาม Eco Sticker)

หากเปรียบเทียบกับแฝดคนละฝาที่พัฒนาขึ้นร่วมกัน อย่าง KIA Telluride ที่มีความยาว 5,000 มิลลิเมตร กว้าง 1,990 มิลลิเมตร สูง 1,750 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,900 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า Palisade สั้นกว่า 20 มิลลิเมตร แคบกว่า 15 มิลลิเมตร แต่ความสูงและความยาวฐานล้อเท่ากันเป๊ะ

เมื่อเทียบกับคู่แข่งตรงรุ่นในต่างประเทศ เริ่มจาก Honda Pilot ที่มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,940 มิลลิเมตร กว้าง 1,996 มิลลิเมตร สูง 1,773 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,819 มิลลิเมตร จะพบว่า Palisade ยาวกว่า 40 มิลลิเมตร แคบกว่า 21 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 23 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวกว่า Pilot อยู่ 81 มิลลิเมตร

ถ้าจะเปรียบเทียบกับคู่แข่งในต่างประเทศ คุณอาจจะนึกไม่ออกว่าว่ารถคันนี้ ใหญ่โตขนาดไหน ดังนั้น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ก็คงต้องขอจับมาเปรียบเทียบขนาดกับ SUV/PPV รุ่นประชานิยมในเมืองไทย ขายดีในบ้านเรา อย่าง Toyota Fortuner ซึ่งมีความยาว 4,795 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance  193 มิลลิเมตร

เมื่อจอดข้างกัน จะพบว่า Palisade มีความยาวกว่า Fortuner ถึง 185 มิลลิเมตร กว้างกว่า 120 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 85 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า Fortuner 150 มิลลิเมตร

***** ภายนอก / Exterior *****

Palisade สีน้ำเงินเข้ม Moonlight Cloud คันนี้ มีงานออกแบบด้านหน้ารถ ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ และสร้างจุดสนใจให้กับทุกคนที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี นั่นคือ การแยกชุดไฟเลี้ยว LED รวมทั้ง ไฟ Daytime Running Light ขึ้นไปอยู่ด้านบน แทนชุดไฟหน้าเดิม ซึ่งถูกย้ายตำแหน่งลงมาไว้ที่เปลือกกันชนด้านล่าง ในตำแหน่งสำหรับติดตั้งไฟตัดหมอก ของรถยนต์ทั่วไป

อันที่จริง แนวคิดการจัดวางชุดไฟหน้าแบบนี้ เริ่มถูกนำมาใช้ครั้งแรกในโลกยานยนต์ โดย Nissan Juke เมื่อปี 2010 จากนั้น ก็ตามด้วยรถยนต์อีกหลายรุ่น รวมทั้ง Mitsubishi Expander ซึ่งคนไทยคุ้นเคยกันดี แต่สิ่งที่ทำให้ ชุดไฟหน้าของ Palisade ต่างออกไปจากรถยนต์เหล่านั้น ก็คือ ด้านข้างของโคมไฟหน้า จะมีช่องรับอากาศจากด้านหน้ารถ ให้ไหลผ่านออกไปทางด้านข้าง เพื่อช่วยระบายความร้อนให้กับระบบดิสก์เบรกคู่หน้า

โคมไฟหน้าแบบ Composite เรียงแนวตั้งแยกชั้นพร้อมไฟ LED headlight และไฟ LED เพื่อให้สัญญาณเลี้ยวเพิ่มความปลอดภัยและโดดเด่นมากขึ้น โคมไฟหน้าของรุ่นปกติ จะเป็น ไฟแบบ 2 ดวง แนวตั้ง แต่ถ้าเป็นรุ่น SEL , Limited หรือ Calligraphy จะเป็นไฟหน้า LED แบบ 3 ดวงแนวตั้ง โดยที่ตำแหน่งไฟหน้าด้านบน จะกลายเป็นไฟหรี่แทน และไฟดวงล่างสุดคือไฟสูง

เรื่องตลกก็คือ Palisade คันที่เรานำมาทดลองขับกันนั้น มีปัญหา ไฟหน้าขึ้นฝ้า ทั้งชุดโคมไฟหน้าที่เปลือกกันชนหน้า และชุด Daytime Running Light ด้านบน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับรถใหม่ถอดด้ามจากโรงงาน อย่างนี้

กระจังหน้า ทรง 8 เหลี่ยม แบบ Light Reflective Chrome Radiator Grille ขนาดใหญ่ สไตล์ Tall Nose กรอบและแผงกระจังเป็นโครเมียมทั้งหมด ออกแบบให้เส้นด้านข้าง โค้งรับกับชุดไฟหน้า บริเวณด้านข้างเปลือกกันชนหน้า ส่วนด้านบน เล่นแนวเส้นเหลี่ยมมุม ล้อไปกับชุดไฟ DRL และฝากระโปรงหน้า ลายของกระจังหน้านั้น ขึ้นอยู่กับตลาดที่จะส่งไปขาย โดยในช่วงแรก รุ่นล่างๆ จะใช้กระจังหน้าแบบ แถบซี่นอน แต่ระยะหลังๆ เห็นว่าเปลี่ยนมาใช้ลายกราฟฟิค คล้ายกับกระจังหน้าของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ แต่ออกแบบให้ดูมเอกลักษณ์ และมีมิติที่แตกตางกว่ากันมาก

เอกลักษณ์สำคัญ บนงานออกแบบตัวถังภายนอกของ Palisade อยู่ที่  การเดินเส้นคิ้วโครเมียมที่ลากต่อเนื่องมาจากบานประตูคู่หน้า โดยเส้นล่าง บริเวณเส้นสะเอวขอบน้าต่างด้านล่าง ถูกลากมาหยุดแค่แผงพลาสติกสามเหลี่ยมปลายสุดของขอบหน้าต่างบานประตูคู่หลัง ส่วนเส้นโครเมียมด้านบน ถูกลากยาวต่อเนื่อง ตัดผ่านเสาลังคาคู่กลาง C-Pillar แล้วหักลาดลงมา ขนาบข้างเส้นขอบกระจกหน้าต่างคู่หลังสุด แต่จบลงแค่ขอบด้านล่างเท่านั้น ไม่ได้ลากต่อไปจนถึงท้ายรถ

เส้นโครเมียมในลักษณะนี้ ดูเหมือนว่าทีมออกแบบของ Hyundai และ Kia น่าจะนำแรงบันดาลใจมากจาก Cadillac Escalade Full Size SUV สุดไอโซ ยอดนิยมของบรรดา Celebrities ผลงานของ General Motors สหรัฐอเมริกา เพราะก่อนหน้านี้ เราเคยเห็นเส้นสายลักษณะนี้มาแล้วครั้งแรก ใน Kia Carnival รุ่นล่าสุด

ขณะเดียวกัน ทีมออกแบบยังพยายามสร้างสมดุลของเส้นสายบนตัวรถ ด้วยการลากเส้น Body line ให้เป็นเส้นจีบ จากไฟหน้า ยาวจรดขอบด้านบนของไฟท้าย รวมทั้งการเสริมเส้นคิ้วเหนือซุ้มล้อทั้ง 4 ไปพร้อมกับประดับกาบพลาสติกเส้นบางสีดำด้านทำความสะอาดง่าย เพื่อเสริมภาพความเป็น SUV ที่พอจะลุยได้บ้างขึ้นมาให้ตัวรถดูทะมัดทะแม่งขึ้น ไปจนถึงการลากเส้นเฉียง ต่อเนื่องจากซุ้มล้อคู่หน้า จรดบานประตูคู่หลัง และต่อเนื่องไปจนถึงเปลือกกันชนหลัง เพื่อสร้างมิติ ให้เกิด Dynamic ของตัวรถ

กระจกมองข้าง มีไฟเลี้ยว LED ในตัว มือจับเปิดประตู พ่นสีเดียวกับตัวรถ เสาอากาศด้านบนเป็นแบบ ครีบฉลาม Shark Fin กระจกยังลมด้านหลังมาพร้อมไล่ฝ้า เปิด-ปิดด้วยสวิตช์ไฟฟ้า สปอยเลอร์ด้านหลัง ออกแบบให้โค้ง สวยงามต่อเนื่องกัน มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED อยู่ด้านบน ใบปัดน้ำฝนหลังพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง

กระจกหน้าต่างด้านหลัง เป็นแบบ Wrap around ล้อมรอบจากเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar วางทับลงไปบนเสาหลังคาคู่หลังสุด D-Pillar เชื่อมท้ายรถ 2 ฝั่งเข้าด้วยกันในสไตล์ Panoramic เน้นให้เห็นความกว้างของบริเวณเบาะนั่งแถว 3 และพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง

ชุดไฟท้ายเป็นแบบ LED รูปทรงชวนให้นึกถึงไฟท้ายของ Cadillac Escalade อยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ประดับด้านข้างด้วยแถบสีเงิน ส่วนช่องใส่ป้ายทะเบียน ออกแบบให้ดูกว้าง คล้ายกับ ม่านเวทีโรงละคร เพื่อให้ป้ายทะเบียนเด่นอยู่ตรงกลาง ด้านบนช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง ประดับด้วยสัญลักษณ์ Hyundai พร้อมโลโก้ชื่อรุ่น Palisade ติดเรียงกัน แต่เว้นช่องไฟไว้เยอะหน่อย เหมือนพวก SUV ตามสมัยนิยม

นอกจากนี้ เปลือกกันชนหลัง ยังมีการประดับแถบสีเงิน ลากจากซุ้มล้อคู่หลัง มาบรรจบอยู่ด้านข้างของแผงทับทิมพร้อมไฟถอยหลัง ที่สว่างพอสมควร บริเวณตรงกลาง จะมีการประดับ Defuser หลัง เป็นสีเงิน และใช้ปลายท่อไอเสียแบบคู่

การออกแบบ มุมของเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar สปอยเลอร์หลัง ช่องระบายความร้อนด้านหน้า ด้านข้างและบริเวณด้านหลัง ทำให้ Palisade ลู่ลมด้วยความสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ เพียง Cd 0.33 ต่ำกว่า SUV ทั่วๆไป

ล้ออัลลอย ในรุ่นที่เรานำมาทดลองขับ เป็นสี Two-tone ปัดเงา มีขนาด 7.5J x 18 นิ้ว ระยะ Offset + 49.5 มิลลิเมตรสวมยาง Bridgestone Dueler H/P Sport AS (Made in Japan) ขนาด 245/60R18

แต่ในรุ่นที่แพงขึ้นไป จะมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 7.5J x 20 นิ้ว สวมยางขนาด 245/50R20 Hyundai แนะนำให้ใช้ลมยาง 240 kPa หรือ 35 psi ทั้ง 4 ล้อ ทั้ง 2 ขนาดยาง ส่วนล้ออะไหล่มีขนาด 4.0T x 18 นิ้ว พร้อมยางอะไหล่ขนาด T155/90R18 ลมยาง 420 kPa หรือ 60 psi ติดตั้งมาให้บริเวณใต้ท้องรถด้านหลัง แบบเดียวกับรถกระบะ หรือ SUV/PPV ทั่วๆไป ในยุคนี้

***** ภายในห้องโดยสาร / Interior *****

ระบบกลอนประตู เป็นแบบ Smart Key Remote ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายระบบ Keyless Entry ทั่วไปคือ เมื่อพกกุญแจรีโมท เดินเข้าใกล้ประตูคู่หน้าในระยะไม่เกิน 80 เซนติเมตร แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มยาง 4 เหลี่ยม ที่อยู่ด้านข้างมือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ กลอนประตูทั้ง 4 บาน ก็จะปลดล็อกให้อัตโนมัติ หากต้องการล็อกประตู ก็สามารถกดปุ่ม 4 เหลี่ยม ที่มือจับประตูซ้ำอีกครั้ง หรือกดปุ่มล็อก – ปลดล็อกที่กุญแจรีโมทก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีไฟส่องสว่าง ที่มือจับประตู ทั้ง 4 บาน เพื่อการมองเห็นในยามค่ำคืน มาให้อีกด้วย

การเข้า – ออก จากบานประตูคู่หน้าทำได้สะดวกสบายมาก ส่วนหนึ่งเพราะช่องประตูคู่หน้าทั้งกว้างและสูง เหมาะสมกับสรีระของคนฝรั่งมังค่าอยู่แล้ว ส่วนการลุกออกจากรถนั้น เนื่องจากบานประตูคู่หน้าถูกออกแบบให้มีชายล่างยื่นคลุมธรณีประตูลงไป ทำให้คุณสามารถก้าวลงจากรถได้โดยไม่ต้องกลัวปัญหาขากางเกงหรือกระโปรงเปื้อน

แผงประตูหน้าแบ่งเป็น 3 ท่อน ท่อนบนสุดหุ้มหนัง ประดับด้วย trim ลายไม้สีอ่อน ดูคล้ายกับไม้ที่ใช้ประดับเรือยอชต์ มือเปิดประตูพลาสติกสีเงินพร้อมสวิตช์ล็อกอยู่ในที่เดียวกัน มีสวิตช์ Memory Seat จำตำแหน่งเบาะ 2 หน่วยความจำ

ท่อนกลางประดับแผงข้างด้วยหนัง ถัดลงมาเป็นพนักวางแขนบุนุ่มหุ้มหนัง พร้อมมือจับดึงประตู ที่ออกแบบมาให้เป็นช่องเก็บของจุกจิกได้ในตัว สามารถวางท่อนแขนได้สบายพอดี ตั้งแต่ข้อศอกจรดปลายนิ้ว

พนักวางแขน ยังเป็นสถานที่ติดตั้งของ แผงสวิตช์กระจมองข้างแบบปรับและพับเก็บได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมระบบปรับกระจกมองข้างลงต่ำ ขณะถอยหลัง เพื่อเพิ่มการมองเห็นบริเวณด้านข้างพื้นรถ รวมทั้งแผงสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าแบบ One Touch Auto ทั้ง 4 บาน ใชัโทนสีเงิน เรืองแสงด้วยสีฟ้า

ท่อนล้างของแผงประตูคู่หน้า เป็นแผงพลาสติก ออกแบบให้เป็นช่องใส่เอกสารและของจุกจิก สามารถวางขวดน้ำขนาด 7 บาท ได้ 1 ขวด พร้อมไฟสีแดง เพื่อความปลอดภัยขณะเปิดประตูยามค่ำคืน

เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มด้วยหนัง Nappa สีเบจ เจาะรู มีพัดลมระบายอากาศและ Heater อุ่นเบาะ มาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง นอกจากนี้ ยังสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง จากสวิตช์ที่อยู่ด้านข้างฐานเบาะรองนั่ง แต่เฉพาะเบาะนั่งฝั่งคนขับเท่านั้นที่จะมีตัวปรับดันหลัง (Lumbar Support) และ หน่วยความจำเบาะนั่ง Memory Seat 2 ตำแหน่ง มาให้

พนักพิงหลังออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่เอาใจชาวอเมริกันอย่างชัดเจน ด้วยฟองน้ำที่หนานุ่ม ให้สัมผัสที่สบายไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ตั้งแต่ช่วงหัวไหล่ลงไปจนถึงก้นกบ มีสวิตช์ปรับดันหลังเพิ่มเข้ามาให้เฉพาะฝั่งคนขับ แต่ไม่สามารถปรับตัวดันหลังสูง-ต่ำได้ ส่วนปีกข้างบุด้วยฟองน้ำแบบหนาแน่นนุ่ม ให้สัมผัสเหมือนโดนโอบกอดจากคนตัวใหญ่กว่า

พนักศีรษะคู่หน้า ใช้ฟองน้ำแบบ “นุ่มมมมม” ปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ 6 ตำแหน่ง รองรับศีรษะรวมถึงท้ายทอยและต้นคอได้ค่อนข้างดี ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่งใช้ฟองน้ำหนานุ่ม มีความยาวพอดีถึงขาพับ นั่งสบาย ปรับมุมเงยได้พอสมควร

ภาพรวมของเบาะคู่หน้า ถือว่า นุ่มมมม นั่งสบายมากกกก เหมาะกับการขับรถเดินทางไกลอย่างแท้จริง ให้สัมผัสที่ดีงามไม่แพ้เบาะนั่งของ SUV ระดับ Premium ชั้นสูง ยืนยันให้เลยครับว่า รถเหล่านั้นบางคันยังนั่งไม่สบายเท่านี้

เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับ สูง – ต่ำได้ พร้อมระบบลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ Pretensioner & Load Limiter

การขึ้น – ลง จากบานประตูคู่หลัง ทำได้สะดวกโยธินมากๆ สมกับเป็น SUV คันใหญ่ การก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะแถว 2 ไม่ต้องออกแรงปีนขึ้นไปเยอะ เหมือนอย่าง Hyundai Staria เพราะว่า พื้นรถเตี้ยกว่า Staria อย่างชัดเจน แถมยังมีการออกแบบ แผงพลาสติก ให้เป็นบันได เล่นระดับเล็กน้อย เพื่อให้ก้าวขึ้นรถได้สะดวกขึ้น

ส่วนการลุกออกจากรถก็สะดวกเหมือนกับบานประตูคู่หน้า เพราะชายล่างของบานประตูคู่หลังถูกออกแบบให้คลุมซ่อนธรณีประตูเหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่มีปัญหาเรื่องขากางเกงหรือชายกระโปรง เปื้อนเศษฝุ่นจากด้านข้างตัวรถ เช่นกัน

กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One touch Auto สามารถเลื่อนลงได้จนสุดขอบแผงประตู นอกจากนี้ ยังติดตั้งม่านบังแดด แบบเลื่อนขึ้นเกี่ยวตะขอ 2 จุดด้านบน มาให้ทั้ง 2 ฝั่งอีกด้วย

แผงประตูคู่หลังออกแบบได้น่าสนใจมาก เพราะแม้ว่าท่อนบนจะมีดีไซน์ต่อเนื่องจากแผงประตูคู่หน้า เหมือนกัน โดยมีลำโพง Tweeter ติดมาให้ใกล้กับมือจับเปิดประตู ทั้ง 2 ฝั่ง แต่พนักวางแขนซึ่งบุนุ่มหุ้มหนัง พร้อมมือจับดึงปิดประตูในตัว ซึ่งสามารถวางแขนได้สบายเหมือนกันกับพนักวางแขนคู่หน้านั้น ทีมออกแบบเลือกจะย้ายตำแหน่งช่องวางแก้วและวางขวดน้ำจากด้านล่างขึ้นมาไว้ด้านบน ร่วมกันกับพนักวางแขน เพื่อให้เครื่องดื่มในแก้วหรือขวด อยู่ใกล้มือผู้โดยสารมากขึ้น ตำแหน่งช่องวางแก้วแบบนี้ยังสามารถพบได้ใน Hyundai Staria อีกด้วย ส่วนด้านล่างมีช่องวางแก้วขนาดเล็กแถมมาให้อีก 1 ตำแหน่ง รวมทั้งช่องใส่ลำโพง

ตามปกติ Palisade มีให้เลือกทั้งรุ่น 7 ที่นั่ง และ 8 ที่นั่ง ซึ่งอย่างหลังจะมาพร้อมเบาะนั่งแบบ Bench Seat แบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 แต่รุ่นที่เรานำมาทดลองขับกัน เป็นแบบ 7 ที่นั่ง จึงได้เบาะแถวกลางแบบ Captain Seat ที่สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า- ถอยหลังได้ มาแทน

สิ่งที่ถือว่าเด็ด และไม่ค่อยพบเห็นใน SUV ทั่วๆไป ก็คือ Hyundai ติดตั้ง พัดลมปรับความเย็นให้เบาะ 3 ระดับ และ Heater อุ่นเบาะ 3 ระดับ มาให้กับเบาะ Captain Seat เหมือนกับเบาะคู่หน้าอีกด้วย!! สวิตช์เปิด – ปิดและเลือกระดับความร้อนความเย็น อยู่บนแผงควบคุมระบบปรับอากาศ ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง นั่นแหละ!

ตัวเบาะนั่งนั้น พนักพิงหลังใช้ฟองน้ำแบบหนานุ่ม แอบแน่นนิดๆ ให้สัมผัสที่สบาย รองรับแผ่นหลัง ตั้งแต่ช่วงหัวไหล่จนถึงก้นกบ ได้นุ่มและชวนผ่อนคลาย เหมือนเบาะคู่หน้า ต่างกันตรงแค่ไม่มีปีกข้างเบาะที่หนาและฟูขึ้นมาแบบพนักพิงคู่หน้า เท่านั้นเลย

ด้านข้างพนักพิงหลังทั้งเบาะฝั่งซ้ายและขวา มีพนักวางแขน หุ้มหนังสังเคราะห์ พับเก็บได้ ติดตั้งมาให้ด้วย สามารถวางท่อนแขนได้พอดี พื้นผิวเนียนละมุน ไม่มีรอยเย็บด้ายมาทำให้เกิดความระคายเคืองผิวหนังแต่อย่างใด

พนักพิงหลัง ทั้งฝั่งซ้ายและขวา สามารถปรับตั้ง และ เอนนอน ได้มากถึง 10 ตำแหน่ง รวมทั้งยังสามารถพับเบาะลงไปให้แบนราบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังได้ ต่อเนื่องจากเบาะแถว 3 ด้วยการยกคันโยกบริเวณด้านข้างฐานรองเบาะ พนักพิงจะถูกปลดล็อก แล้วคุณก็สามารถพับลงราบได้ทันที

พนักศีรษะบุด้วยฟองน้ำนุ่มแต่บาง ชวนให้นึกถึงพนักศีรษะของ Volvo รุ่นใหม่ๆ และถ้าต้องการความสบาย ต้องยกขึ้นใช้งาน เลือกปรับระดับได้ 3 ตำแหน่ง รองรับศีรษะได้ดีพอสมควร เบาะรองนั่งใช้ฟองน้ำแบบหนานุ่มแอบแน่นนิดๆ มีความยาวถึงขาพับเหมือนเบาะรองนั่งคู่หน้าไม่มีผิด ส่วนปีกข้าง ก็ให้สัมผัสเหมือนๆกับเบาะคู่หน้า มี เข็มขัดนิรภัยคู่กลาง เป็นแบบ ELR 3 จุด ตามปกติ

ภาพรวมเบาะนั่ง Caption Seat ให้ความสบายในการเดินทางได้ดีมากๆ ไม่แพ้เบาะคู่หน้า ต่างกันแค่ไม่มีปีกข้างหนาๆ มาโอบกระชับสีข้างเท่านั้น จากเท่าที่เคยเจอมา มันอาจยังเป็นรอง เบาะ Captain Seat ของ Honda Odyssey Gen 5 และ Toyota Alphard / Vellfire / Lexus LM แต่ก็เป็นรองแค่นิดเดียวเท่านั้น ยืนยันและย้ำกันตรงนี้เลยว่า นั่งสบายมากๆ !

การเข้า-ออกจากเบาะแถว 3 ให้กดสวิตช์ไฟฟ้าที่บริเวณบ่า ตัวพนักพิงหลังจะโน้มขึ้นไปข้างหน้า และให้เราเลื่อนเบาะ Caption Seat ขึ้นหน้าได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้การก้าวขึ้นไปนั่งสะดวกขึ้น เพราะระยะห่างระหว่างพนักพิงหลังที่โน้มแล้วกับกรอบช่องประตูคู่หลังค่อนข้างกว้าง ส่วนการก้าวลงจากรถนั้นทำได้ดีปานกลาง ควรจับแผงประตูคู่หลังและเหยียบบันไดพลาสติกที่ออกแบบไว้ก่อนก้าวลงจากรถทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย

พื้นที่โดยสารของเบาะแถว 3 นั้น มีขนาดใหญ่กว่า SUV/PPV ที่ผลิตขายในประเทศไทยทุกรุ่นทั้งหมด! แม้ว่าการจัดวางเบาะนั่งทั้ง 3 แถวจะยังคงเป็นลักษณะ Theatre Seat หรือเรียงแถวแบบเบาะโรงภาพยนตร์ ทำให้ต้องยกเบาะรองนั่งของเบาะแถว 3 ไว้สูงกว่า เบาะแถว 2 และคู่หน้า แต่ทีมออกแบบของ Hyundai ก็ยังพยายามจัดการพื้นที่ได้อย่างดี เพื่อความสบายของผู้โดยสารแถว 3

พนักพิงหลังแยกปรับซ้ายขวาในอัตราส่วน 60:40 และปรับเอนได้ 8 ตำแหน่ง พนักพิงหลังแม้จะออกแบบมาให้แบนราบแต่ก็บุด้วยฟองน้ำหนานุ่มและแน่น จึงรองรับแผ่นหลังได้ดีกว่าเบาะแถว 3 ของ SUV ทั่วไป พอสมควร ขณะเดียวกัน พนักศีรษะ ขึ้นรูปด้วย ฟองน้ำ “แน่นเกือบแข็ง” ถ้านั่งโดยสารไปเฉยๆ ขอบด้านล่างจะทิ่มตำช่วงต้นคอได้ ดังนั้น จึงควรยกขึ้นใช้งาน แม้จะทำได้แค่เพียง 1 ตำแหน่ง ก็ตาม

เบาะรองนั่งติดตั้งมาค่อนข้างเตี้ย มีมุมเงยนิดหน่อย ใช้ฟองน้ำ “หนานุ่ม แต่แข็งกว่าเบาะแถวกลาง” กระนั้นก็ยังถือว่าน่าจะให้ความสบายกับผู้โดยสารตัวน้อย ขาสั้น อายุราวๆ 8 ปีขึ้นไป ได้ดีอยู่

พื้นที่เหนือศีรษะของเบาะแถว 3 ถ้าปรับเบาะเอนจนสุด จะเหลือพื้นที่เหนือศีรษะถึง 3 นิ้วมือในแนวนอน แต่ถ้าตั้งเบาะจนสุดก็จะเหลือพื้นที่ 4 นิ้วมือในแนวนอน เป็นผลมาจากการออกแบบเพดานให้เว้าลึกขึ้นไปเล็กน้อย

ส่วนพื้นที่วางขา จะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับความกรุณาของผู้โดยสารแถวกลาง แต่ตามปกติแล้ว พื้นที่วางขาจะเหลือมากพอให้ผู้โดยสารแถว 3 นั่งไขว่ห้างได้ถึง 2 ห้าง ต่อให้เลื่อนเบาะแถว 2 ถอยหลังจนสุด ก็ยังเหลือพื้นที่วางขาในระดับวางได้พอดี สอดขาเข้าไปใต้เบาะคู่กลางได้

เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด รวม 3 ตำแหน่ง แต่สายเข็มขัดสำหรับผู้โดยสารตรงกลาง จะถูกเก็บม้วนขึ้นไปซ่อนไว้บนช่องเก็บ บนเพดานหลังคา เพื่อความเรียบร้อย และไม่เกะกะรบกวนคนนั่งบนเบาะแถว 3

ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้น ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เปิดและปิดได้ ผ่านสวิตช์บนกุญแจ Smart Key Remote หรือกดสวิตช์เหนือช่องติดแผ่นป้ายทะเบียน มีระบบ Smart Tailgate แค่เพียงพกรีโมท เข้าใกล้ฝาท้าย ระบบก็จะยกฝาท้ายขึ้นให้เอง โดยอัตโนมัติ รวมทั้งมีสวิตช์ กดปิดฝาท้ายลงมาเองโดยอัตโนมัติอีกด้วย เหมือนกับใน Hyundai Staria เวอร์ชันไทย

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระ เมื่อยังไม่ได้พับเบาะใดๆทั้งสิ้น มีขนาดความจุ 509 ลิตร (311 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี) และมีความยาวจากขอบธรณีห้องเก็บของด้านหลัง จนถึงขอบล่างของเบาะแถว 3 อยู่ที่ 558 มิลลิเมตร แต่เมื่อดึงสลักเชือกเพื่อพับเบาะแถว 3 ลงไปราบกับพื้น ความจุจะเพิ่มขึ้นอีก 788 ลิตร (704 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA) และถ้าพับเบาะแถว 2 ตามลงไปด้วย ความจุจะเพิ่มขึ้นอีก 1,150 ลิตร รวมทั้งสิ้น มากถึง 2,447 ลิตร โดยมีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 2,184 มิลลิเมตร! ยาวพอให้คุณและครอบครัว สามารถนอนในรถตอนกลางคืน ระหว่างออกไปตั้งแคมป์ได้แน่ๆ

เมื่อยกพื้นขึ้น จะพบว่า ใต้พื้นห้องเก็บของ มีพื้นที่พอให้วางรองเท้าผ้าใบได้ราวๆ 6 คู่ เหมาะสำหรับเก็บซ่อนสัมภาระที่มีกลิ่นแรง หรือเลอะเทอะเปรอะเปื้อน บริเวณเดียวกันยังมี แม่แรงยกรถและชุดเครื่องมือเปลี่ยนยางอะไหล่มาให้

ผนังห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายทั้ง 2 ฝั่ง ออกแบบให้มี พนักวางแขน พร้อมช่องวางแก้วน้ำฝั่งละ 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารแถว 3 สามารถวางท่อนแขนได้พอดี จนถึงข้อศอก มีลำโพงขนาดเล็กซ่อนไว้ที่เสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ช่องเสียบหัวเข็มขัดนิรภัยของเบาะแถว 2

นอกจากนี้ ผนังฝั่งซ้าย ติดตั้ง Sub-Woofer ของชุดเครื่องเสียง Infinity ถัดขึ้นไปด้านบนเป็นสวิตช์พับเบาะแถวที่ 2 ด้วยไฟฟ้า (ในบางตลาด จะเพิ่มสวิตช์กดพับเบาะแถว 3 ได้)  และมีช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12V 180W ให้อีก 1 ตำแหน่ง ไม่เพียงเท่านั้น ด้านล่างของผนังทั้ง 2 ฝั่ง ยังติดตั้ง ขอยึดเกี่ยวรั้ง สำหรับผูกเชือกตรึงสัมภาระให้แน่นหนามาให้ครบถ้วน

แผงหน้าปัด เป็นอีกจุดเด่นสำคัญในงานออกแบบของ Palisade แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ด้านบนสุดเป็นวัสดุบุนุ่มหุ้มหนังสีดำ ติดตั้งหน้าจอแสดงผลตรงกลางขนาด 10.25 นิ้ว เป็นแบบกึ่งลอยตัว ล้อไปกับแผงตกแต่ง Trim ลาย Beech Wood ซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์คล้ายไม้สีอ่อนเสริมด้วยแถบเส้นสีดำวางซ้อนกันในแนวระนาบ เพิ่มสัมผัส Premium ราวกับได้แรงบันดาลใจมาจาก เรือ Yacht ระดับหรู แผงหน้าปัดส่วนกลางเป็นแบบบุนุ่มหุ้มด้วยหนังสีเท่าอ่อน ตกแต่งด้วยแถบสีเงิน องค์ประกอบต่างๆ บนแผงหน้าปัดถูกวางในแนวนอน ซึ่งช่วยให้ภายในห้องโดยสารที่กว้างอยู่แล้ว ยิ่งดูกว้างขึ้นไปอีก

จากฝั่งขวา ไล่ไปทางซ้าย

แผงควบคุมบริเวณบานประตูฝั่งคนขับตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน ประกอบด้วยสวิตช์สั่งงานขั้นพื้นฐาน ได้แก่ สวิตช์ปรับและพับกระจกมองข้าง สามารถตั้งค่าให้พับอัตโนมัติเมื่อสั่งล็อกรถ สวิตช์ Central Lock สวิตช์ควบคุมการเลื่อนขึ้น – ลงของกระจกหน้าต่างแบบ One-touch ทั้ง 4 บาน พร้อมระบบป้องกันการหนีบ Jam Protection เฉพาะคู่หน้า

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาคนขับเป็นตำแหน่งติดตั้งสวิตช์ควบคุมต่างๆ ไล่เรียงจากซ้ายไปขวา เป็นสวิตช์เปิด – ปิดระบบ Traction Control สวิตช์เปิด – ปิดระบบ Lane Keeping Assist สวิตช์เปิด – ปิดระบบ Blind-Spot Collision Avoidance Assist สวิตช์ปรับความสว่างชุดมาตรวัด และสวิตช์หมุนปรับระดับไฟหน้า ถัดลงมาด้านล่างเป็นสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า EPB และสวิตช์สั่งเปิด – ปิดฝาท้ายไฟฟ้าจากภายในรถ

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทั้ง สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างจากตัวผู้ขับขี่ (Tilt & Telescopic) ด้วยก้านคันโยกที่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย วงพวงมาลัยหุ้มด้วยหนังสีดำ ที่จับแล้วให้สัมผัส Premium ใช้ได้ เดินตะเข็บด้ายสีเทา

สวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวาใช้สำหรับปรับการแสดงผลของหน้าแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi-information Display) และควบคุมการทำงานของระบบ Smart Cruise Control ซึ่งสามารถปรับระยะห่างจากรถคันข้างหน้าได้ 4 ระดับ ทำงานได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง พร้อมฟังก์ Stop & Go และระบบเตือนเมื่อรถคันข้างหน้าเคลื่อนตัวออกไป ส่วนก้านบนพวงมาลัยฝั่งซ้ายประกอบด้วยสวิตช์ปรับโหมดการทำงานของชุดเครื่องเสียง สวิตช์สั่งงานด้วยเสียง (Voice Command) สวิตช์ปรับระดับเสียง สวิตช์เลื่อน Track หรือ คลื่นวิทยุ รวมทั้งปุ่มรับสาย – วางสายโทรศัพท์

ด้านหลังก้านพวงมาลัย ติดตั้งแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift มาให้ สำหรับใช้งานแบบ Manual Mode โดยแป้นเปลี่ยนเกียร์ขึ้น (+) จะอยู่ฝั่งขวา ส่วนแป้นเปลี่ยนเกียร์ลง (-) จะอยู่ทางฝั่งซ้าย ผู้ขับขี่สามารถใช้ Paddle Shift ได้ในขณะอยู่ตำแหน่งเกียร์ D หากต้องการออกจากโหมด Manual ให้กดแป้น + ค้างไว้ราวๆ 2 – 3 วินาที สมองกลเกียร์ก็จะกลับมาทำงานในโหมด D ปกติ

ก้านควบคุมที่ติดตั้งอยู่บริเวณคอพวงมาลัย ฝั่งขวาสำหรับควบคุมการเปิด – ปิด ไฟเลี้ยว รวมทั้งการทำงานของชุดไฟหน้า – ไฟท้าย ซึ่งมาพร้อมระบบเปิด – ปิดอัตโนมัติ ส่วนฝั่งซ้ายสำหรับควบคุมระบบทำความสะอาดกระจกบังลมหน้าและหลัง ก้านปัดน้ำฝนด้านหน้าเป็นแบบอัตโนมัติทำงานร่วมกับ Rain Sensor ส่วนด้านหลังจะมีฟังก์ชันปัดอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง

ด้านข้างช่องแอร์ฝั่งซ้ายมือคนขับเป็นสวิตช์ Push Start/Stop Engine สีเงิน เรืองแสงสีฟ้า เมื่อใช้เท้าขวาเหยียบเบรก แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มสตาร์ท จะมีกราฟฟิกรูปภาพด้านข้างตัวรถของ Palisade แสดงขึ้นมาบนชุดมาตรวัด พร้อมกับเสียง Welcome Sound … ดึ๊ง ดึ๊ง ดึ๊ง ดึ๊ง ที่ชวนให้นึกถึงเสียงเปิด-ปิดระบบ ของเครื่องซักผ้า Samsung รุ่นใหม่ๆ ชะมัด!

ชุดมาตรวัดเป็นแบบผสมผสาน วงกลมฝั่งขวาเป็นมาตรวัดความเร็ว และอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น วงกลมฝั่งซ้ายเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ พร้อมปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง ตัวเลขและเข็มวัดเป็นแบบเรืองแสงสีขาวปนน้ำเงินอ่อนๆ บริเวณกึ่งกลางของชุดมาตรวัดเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Multi-information Display แบบสี TFT ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนบนสุดแสดงตำแหน่งเกียร์ และระยะทางที่สามารถวิ่งต่อไปได้ ส่วนล่างสุดแสดงอุณหภูมิภายนอก การทำงานของระบบ Lane Keeping Assist โหมดการขับขี่ และ ODO Meter / Trip Computer ในขณะที่ส่วนกลางสามารถเลือกปรับให้แสดงได้หลากหลายฟังก์ชัน อาทิ ตัวเลขความเร็วดิจิตอล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เข็มทิศ แรงดันลมยาง ระดับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีระบบ Blind Spot View Monitoring ซึ่งจะแสดงภาพด้านข้างตัวรถ ทั้ง 2 ฝั่ง บนมาตรวัดกันไปเลย ช่วยลดจุดบอดในขณะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายหรือขวา ก่อนเปลี่ยนช่องจราจร สารภาพว่า ผมชอบวิธีการเอาภาพจากกล้องขึ้นจอมาตรวัดแบบนี้ มากกว่า Honda Lane Watch เสียอีก!

บนกระจกบังลมหน้า มีระบบแสดงข้อมูลความเร็ว ระบบนำทาง และสัญญาณเตือนต่างๆ ยิงขึ้นกระจกบังลมหน้า HUD Head-Up-Display สำหรับแสดงตัวเลขความเร็วแบบดิจิตอล และการทำงานของระบบ Smart Cruise Control สามารถปรับตำแหน่งให้เหมาะสมกับระดับสายตาของผู้ขับขี่แต่ละคนได้จากเมนู Setting บนหน้าจอชุดมาตรวัด

หน้าจอกลางเป็น จอ Monitor สี แบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 10.25 นิ้ว ติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวอยู่บนแผงหน้าปัด ใช้สำหรับแสดงการทำงานของชุดเครื่องเสียง Premium Audio System 12 ลำโพง พร้อม External Amplifier จาก Infinity สามารถเล่นวิทยุ AM / FM เล่นเพลงจาก USB เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth รวมทั้งรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ให้คุณภาพเสียงที่ใส มีมิติเสียงที่ชัดเจน กระจ่าง ดีงามมากๆ

คันที่เรานำมาทดสอบในครั้งนี้ ไม่ได้ติดตั้งชิปของระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System มาให้ ดังนั้น ตำแหน่งปัจจุบันของตัวรถที่แสดงบนหน้าจอจึงเป็นที่อยู่ของ สำนักงานใหญ่ Hyundai ใน Australia อย่างที่เห็น

ลูกเล่นพิเศษที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วไปก็คือ ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้ว่าจะสร้างความสงบเงียบภายในห้องโดยสารด้วยการเปิดระบบ Quiet Mode เพื่อปล่อยคลื่นเสียงความถี่ต่ำออกมาหักล้างกับเสียงรบกวนจากภายนอก หรือจะเปิดระบบเสียง Ambient Sound of Nature บนแผงหน้าจอ Monitor กลาง เพื่อสร้างบรรยากาศเสมือนจริง ซึ่งจะมี 6 รูปแบบให้เลือกดังนี้

  • Lively Forest : เสียงจากป่า มีนกร้องเป็นระยะๆ
  • Calm Ocean Wave : เสียงคลื่นซัดฝั่งยามทะเลสงบ ผ่อนคลายได้ดีสุด
  • Rainy Day : เสียงสายฝนพรำ เปาะแปะๆ
  • Open Air Cafe : เสียงผู้คนในร้านกาแฟ เหมาะจะเปิดเอาไว้เวลาคุยโทรศัพท์หลอกภรรยาว่านั่งในร้านกาแฟ
  • Warm Fireplace : เสียงของบรรยากาศเตาผิงไฟในห้องรับแขกกลางฤดูหนาว
  • Snowy Villege : มาพร้อมเสียงย่ำเท้าลงไปบนหิมะ Mode นี้ บางคนอาจรู้สึกจั๊กกะจี้หูได้

การเดินทางไกลในรถคันใหญ่ยาว มีปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือ ผู้โดยสารด้านหลัง บางทีก็ไม่ได้ยินเสียงของคนขับหรือผู้โดยสารด้านน้าสุด เพราะอยู่ไกลกันเกินไป Hyundai จึงติดตั้งระบบ In-Car Intercom with Rear seat Conversation มาให้ เพื่อให้ทุกคนในรถ ตั้งแต่เบาะหน้าสุด จนถึงเบาะแถว 3 สามารถพูดคุยกัน และได้ยินเสียงของกันและกันได้ทั่วถึงมากขึ้น

 

นอกจากนี้ยังมีระบบแจ้งเตือนว่ามีผู้โดยสาร เด็ก สุนัข หรือแมว อยู่ในรถ Rear Occupant Alert ทำงานโดยใช้ Ultrasonic Sensor ซึ่งติดตั้งบนเพดานหลังคา เหนือผู้โดยสารแถว 2 – 3 ถ้าดับเครื่องยนต์แล้ว ระบบตรวจพบสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหว ระบบจะแจ้งเตือนบนชุดมาตรวัดก่อน ว่าให้สำรวจเบาะหลังดีๆ แต่ถ้าลงจากรถแล้ว ระบบอาจจะสั่งให้แตรรถร้องแจ้งเตือน รวมทั้งส่งข้อความ SMS เข้าไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณด้วยอีกครั้งหนึ่ง (ระบบนี้ ก็มีใน Hyundai Staria เวอร์ชันไทย แล้วเช่นเดียวกัน!)

แน่นอนว่า รถคันใหญ่ขาดนี้ การถอยหลังเป็นเรื่องยากลำบาก ดังนั้น Hyundai จึงติดตั้ง ระบบ Surround View Monitor มาให้ โดยจะแสดงภาพจากกล้องที่ติดตั้งอยู่รอบคัน รวม 4 ตัวโดยอัตโนมัติ เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง หรือกดปุ่มรูปกล้อง (VIEW) บนคอนโซลกลาง สามารถเลือกได้จากเมนูที่อยู่ทางซ้ายสุดของหน้าจอว่าจะให้แสดงเฉพาะมุมที่ต้องการ เช่น ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง หรือภาพมุมสูงรอบทิศทางแบบ Bird-eye View

จากซ้าย มาทางขวา

เหนือหัวเข่าผู้โดยสารด้านหน้า เป็นกล่องเก็บของ Glove Compartment ขนาดใหญ่ พร้อมไฟส่องสว่างข้างใน ใหญ่พอให้ใส่คู่มือผู้ใช้รถเล่มหนาเตอะ แถมยังสามารถใส่เอกสารประจำรถต่างๆ ได้อีกพอสมควร

ใต้ช่องแอร์คู่กลาง เป็นแผงสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และระบบ Infotainment ในรถ ยังถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ทีมออกแบบของ Hyundai ยังคงเลือกติดตั้ง สวิตช์ สำหรับกด เป็น Shortcut แยกออกมาจาก Menu บนหน้าจอ Touchscreen ซึ่งช่วยลดการละสายตาจากถนนขณะคลำหาปุ่มเรียกใช้งานยามขับขี่ ลงไปได้มากโข

แผงคอนโซลกลางที่เชื่อมต่อจากแผงหน้าปัดด้านหน้า ลอยตัว Floating เป็นแบบ Bridge Type คล้ายกับ Honda HR-V รุ่นเดิม ด้านบนตกแต่งด้วยวัสดุ Cross Metal ที่มีทั้งลวดลายและผิวสัมผัส ไม่ได้เนียนเรียบไปเสียทีเดียว

ด้านล่าง เป็นพื้นที่สำหรับเก็บของ แบบมีแผ่นกันลื่น มีความยาว 330 มิลลิเมตร กว้าง 240 มิลลิเมตร สูง 263 มิลลิเมตร มีความจุถึง 9 ลิตร พื้นที่ด้านล่างดังกล่าว ใหญ่พอให้คุณสามารถวางกระเป๋าถือสตรี หรือแม้แต่ รองเท้าส้นสูงได้ 1 คู่ สบายๆ มาพร้อมช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า Power Outlet 12V 180W 1 ตำแหน่ง และ USB Type A 1 ตำแหน่ง

ด้านหน้าสุดของคอนโซลกลางเป็นแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกฝั่ง 3-zone พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอล สามารถแยกปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย ด้านหน้าฝั่งขวา และห้องโดยสารตอนหลังได้อย่างอิสระ หรือจะปรับให้ทำงานร่วมกันโดยกดปุ่ม SYNC ก็ได้เช่นกัน โดยอุณหภูมิจะปรับได้แต่ 16.0 – 28.0 องศาเซลเซียส ส่วนความแรงพัดลมปรับได้ 7 ระดับ ให้ความเย็น รวดเร็ว ใช้การได้ แม้ในวันที่คุณจอดรถตากแดดทิ้งไว้เป็นเวลานานๆก็ตาม นอกจากนี้ ยังแสดงการทำงานได้บนจอมอนิเตอร์ Touch Screen 10.25 นิ้วด้านบนได้อีกด้วย

ถัดมาด้านหลังเป็นเกียร์ไฟฟ้าแบบกดปุ่ม Shift-by-Wire แบบเดียวกับ Hyundai ยุคใหม่ๆ ติดตั้งอยู่ใกล้กับสวิตช์ Auto Brake Hold สวิตช์หมุนปรับโหมดการขับขี่ Drive Mode รวมทั้งสวิตช์เปิด – ปิดการทำงานของเซ็นเซอร์รอบคัน 8 จุด และกล้องมองภาพรอบทิศทาง Surround View Monitor

ใกล้กันนั้น เป็นสวิตช์เปิด – ปิด การทำงานของระบบอุ่นพวงมาลัย สวิตช์ปรับระดับพัดลมระบายอากาศ เพิ่มความเย็นให้เบาะ รวม 3 ระดับ หรือ ระบบ Heater อุ่นเบาะ 3 ระดับ ซึ่งติดตั้งมาให้สำหรับเบาะนั่งฝั่งคนขับและฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า

ถัดมาด้านหลังอีกนิด เป็นกล่องเก็บของพร้อมฝาเลื่อนเปิด – ปิด ภายในมีแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย Wireless Charger (สำหรับสมาร์ทโฟนที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วยมาตรฐาน Qi) และช่องเชื่อมต่อโทรศัพท์กับระบบความบันเทิงแบบ USB type A นอกจากนี้ ยังมีช่องวางแก้วน้ำพร้อมแท่นยึดล็อกแบบหมุนเก็บได้เมื่อไม่ใช้งาน 2 ตำแหน่ง

ฝั่งซ้ายของเบาะนั่งคนขับเป็นกล่องเก็บของที่เชื่อมต่อจากคอนโซลกลาง ฝาปิดด้านบนหุ้มด้วยหนังสีเทาอ่อน ออกแบบให้เป็นพนักวางแขนในตัว ซึ่งก็สามารถวางท่อนแขนช่วงข้อศอกได้สบายอยู่ ภายในติดตั้งช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบ Power Outlet 12V 180W และแบบ USB type A มาให้อย่างละ 1 ตำแหน่ง พร้อมถาดวางสิ่งของขนาดเล็ก จำพวก เหรียญ หรือบัตรจอดรถ บุผ้าไว้ที่พื้นกล่อง เพื่อลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ คุณสามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้

ส่วน ด้านหลังของกล่องคอนโซลกลาง เป็นแผงสวิตช์ควบคุม ทั้งเครื่องปรับอากาศ สำหรับห้องโดยสารตอนหลัง มีฟังก์ชันการทำงานครบเช่นเดียวกับด้านหน้า สามารถปรับได้ทั้งอุณหภูมิ ความแรงลม และเลือกรูปแบบการทำงานได้ว่าจะให้เป่าเข้าหาลำตัว เท้า หรือเป่าพร้อมทั้ง 2 แบบ และสามารถแสดงข้อมูลการปรับระบบแอร์ ได้บนหน้าจอมอนิเตอร์ 10.25 นิ้ว อีกด้วย และที่พิเศษกว่า SUV คันอื่นๆ ก็คือ มีสวิตช์ปรับระดับพัดลมระบายอากาศ เพิ่มความเย็นให้เบาะ รวม 3 ระดับ หรือ ระบบ Heater อุ่นเบาะ 3 ระดับ สำหรับเบาะนั่ง Captain Seat แถวกลางมาให้อีกด้วย!!!

ใต้แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศด้านหลัง ยังมีปลั๊กไฟ 12V อีก 1 ตำแหน่ง ไม่เพียงเท่านั้น ด้านหลังของพนักพิงคู่หน้า ยังมีช่องเสียบ USB มาให้ ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง อีกด้วย!

เมื่อนับรวมกันทั้งคันรถแล้ว Palisade มีช่องวางแก้วรวมกันมากถึง 12 จุด และมีช่องวางขวดน้ำดื่ม แยกต่างหากอีก 4 จุด! ส่วนจุดชาร์จ USB สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีถึง 6 ตำแหน่ง ได้แก่ แผงควบคุมกลาง 1 จุด กล่องคอนโซลกลาง อีก  1 จุด ด้านหลังพนักพิงเบาะคู่หน้า 2 ตำแหน่ง และ ผนังด้านข้างของผู้โดยสารแถว 3 ทั้ง 2 ฝั่ง รวม 2 ตำแหน่ง

มองขึ้นไปด้านบน เพดานหลังคารวมถึงเสาหลังคา A, B และ C Pillar หุ้มด้วยผ้าสักหลาดสีเทาอ่อน แบบเดียวกับรถยนต์ระดับหรูอย่าง Rolls Royce ให้สัมผัสที่เนียนละเอียด และความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา ทว่า มีมือจับศาสดามาให้ที่เหนือช่องทางเข้าออกบานประตูคู่หลัง แค่ 2 ตำแหน่ง เท่านั้น ไม่มีมาให้สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า เนื่องจากพื้นที่ของหลังคากระจก Sunroof กินพื้นที่ไปเยอะ แต่ยังมีพื้นที่เหลือ สำหรับช่องแอร์ผู้โดยสาร บนเพดาน ทั้งผู้โดยสารแถวกลางและแถวหลังสุด รวม 4 ช่อง หน้าตาและตัวครีบ คล้าย ช่องแอร์ของรถเมล์ปรับอากาศในบ้านเรา

แผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง หุ้มด้วยผ้าสักหลาด มีช่องเสียบนามบัตร กระจกแต่งหน้า พร้อมไฟส่องสว่าง ฝังบนเพดานหลังคา สามารถดึงส่วนยืดขยายออกมาได้ราวๆ 2 นิ้ว ตรงกลางเป็นสวิตช์ควบคุมไฟอ่านแผนที่คู่หน้าและไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารตอนหลังแบบ LED กระจกสำหรับสอดส่องความเรียบร้อยของลูกๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลัง รวมถึงสวิตช์ควบคุมม่านบังแดดไฟฟ้าสำหรับหลังคากระจก Sunroof แบบ 2 ตอน แต่เฉพาะหลังคากระจกบานหน้าเท่านั้นที่สามารถเลื่อนเปิด – ปิด หรือกระดกส่วนท้ายขึ้นได้

เหนือสุดของกระจกบังลมหน้า เป็นศูนย์รวมเรดาห์และกล้องที่คอยทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุต่างๆ ตลอดจนเส้นแบ่งช่องจราจร เพื่อนำไปประมวลในการส่งข้อมูลไปให้ตัวสั่งการทำงานของสารพัดระบบความปลอดภัยขั้นสูง นอกจากนี้ ยังติดตั้งกระจกมองหลังมาให้ เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ (Electro-chromatic Mirror)

ทัศนวิสัยด้านหน้ารถ นั้น เนื่องจากตำแหน่งเบาะนั่งคนขับที่เตี้ยสุด จะอยู่สูงกว่าเบาะคนขับรถเก๋งทั่วไป แต่ต่ำกว่าเบาะคนขับของ SUV/PPV และรถกระบะยกสูง ทำให้ การมองเห็นสภาพการจราจรข้างหน้า ค่อนข้างดี มองเห็นฝากระโปรงหน้า การกะระยะ ทำได้ไม่ยากนัก ที่แน่ๆ Nissan Teana J31 กับ J32 และ Lexus RX รุ่นปี 2009 – 2013 ยังกะระยะด้านหน้ารถได้ยากกว่า Palisade ชัดเจนมาก

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ไม่ค่อยบดบังรถที่แล่นสวนมา จากทางโค้งขวา บนถนนสวนกันสองเลน มากนัก ถือว่า ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย ขณะที่เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งซ้าย ก็ไม่ได้บดบังรถที่แล่นสวนทางมา ขณะเลี้ยวกลับรถอย่างที่คาดไว้แต่แรก

กระจกมองข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง มีขนาดใหญ่กำลังดี ต่อให้ปรับตำแหน่งกระจก ให้มองตัวถังเห็นเพียงขอบๆแล้ว คุณจะพบว่า กรอบพลาสติกด้านในของ ฝาครอบกระจกมองข้าง มันกินพื้นที่ขอบด้านนอกของตัวกระจกไปนิดเดียวจริงๆ

หันไปมองทางด้านหลัง จากตำแหน่งคนขับ แม้ว่าเสาหลังคา C-Pillar และกรอบประตูคู่หลัง จะมีขนาดใหญ่โต จนแอบบดบังจักรยานยนต์ได้ทั้งคัน แต่ด้วยขนาดของกระจกหน้าต่างคู่หลังสุด รวมทั้ง กระจกบังลมหลัง บริเวณฝากระโปรงท้าย มีขนาดใหญ่ ทำให้ช่วยเพิ่มความโปร่งโล่งสายตามากขึ้น ช่วยให้คุณมองเห็นรถที่แล่นตามมาได้ดีขึ้นนิดๆ กระนั้น การเปลี่ยนช่องทางจราจร เบี่ยงเข้าเลนซ้าย หรือ ขวา ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เพราะบางที สำหรับบางคนแล้ว เพียงแค่เหลือบมอง อาจไม่เพียงพอ

******* รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ *******
******** Technical Information & Test Drive *********

Palisade ทำตลาดทั่วโลก ด้วยทางเลือกขุมพลัง มากถึง 3 แบบ แบ่งเป็น เบนซิน V6 สูบ ถึง 2 แบบ และ Diesel 1 แบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของตลาดในแต่ละประเทศ

– เวอร์ชัน South Korea, North America, Australia, New Zealand และตลาดส่งออกใหญ่ๆ ฯลฯ ทั่วโลก จะได้ขุมพลังหลัก เป็น เครื่องยนต์ Lambda-II รหัส G6DN เบนซิน V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.8 ลิตร 3,778 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 96 x 87 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ GDi (Gasoline Direct Injection) จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle ตามลำดับสูบ 1-2-3-4-5-6 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual CVVT กำลังสูงสุด 295 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 355 นิวตันเมตร (36.2 กก.-ม.) ที่ 5,200 รอบ/นาที

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชัวโมง รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า อยู่ที่ 7.8 วินาที ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ อยู่ที่ 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด (Top Speed) ล็อกไว้ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ข้อมูลการบำรุงรักษา

  • น้ำมันเครื่อง เกรด ACEA A5/B5 เปลี่ยนถ่ายครั้งละ 6.5 ลิตร
  • น้ำหล่อเย็น 8.9 ลิตร

– สำหรับบางตลาด เช่น Russia และประเทศที่มีข้อจำกัดด้านภาษี จะได้ใช้ขุมพลังรุ่นท็อป ที่ลดทอนขนาดความจุกระบอกสูบลงมา เป็นเบนซิน V6 3.5 ลิตร เป็นการทดแทน โดยจะไม่มีเครื่องยนต์นี้ ใน South Korea , North America, Australia และ New Zealand

เป็น เครื่องยนต์ Lambda-II รหัส G6DC-5 เบนซิน V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร 3,470 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92 x 87 มิลลิเมตร จุดระเบิดตามลำดับสูบ 1-2-3-4-5-6 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ MPI (Multi-Point Fuel Injection) กำลังสูงสุด 277 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร (34.2 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชัวโมง รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า อยู่ที่ 8.1 วินาที ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ อยู่ที่ 8.2 วินาที ความเร็วสูงสุด (Top Speed) ล็อกไว้ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ข้อมูลการบำรุงรักษา

  • น้ำมันเครื่อง เกรด ACEA A5/B5 เปลี่ยนถ่ายครั้งละ 5.7 ลิตร
  • น้ำหล่อเย็น 8.9 ลิตร

– ส่วนลูกค้าที่อยากได้ขุมพลัง Diesel Turbo นั้น Hyundai เตรียมทางเลือกไว้ให้ เฉพาะในตลาดใหญ่ๆ ทั้งใน South Korea, Australia, New Zealand, ASEAN ฯลฯ แต่ไม่มีในเขต North America

เป็น เครื่องยนต์ R-II รหัส D4HB-5 Diesel 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร 2,199 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 85.4 มิลลิเมตร x 96 มิลลิเมตร จุดระเบิดตามลำดับสูบ 1-3-4-2 ถูกปรับจูน ตามมาตรฐานมลพิษ และน้ำมันของตลาดโลก ที่แตกต่างกัน

หากเป็นรุ่นที่ยังใช้มาตรฐานมลพิษ Euro II, III ไม่ต้องติดระบบ DPF (Diesel Particular Filter) กำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 193 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด เท่ากันคือ 45.0 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที

แต่ถ้าเป็นเวอร์ชันที่จูนมาเพื่อรองรับมาตรฐานมลพิษ Euro IV , V ที่เข้มงวดขึ้น มีระบบ DPF (Diesel Particular Filter) ตัวเลขกำลังสูงสุดจะขึ้นไปถึง 202 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที  แรงบิดสูงสุด เท่ากันคือ 45.0 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที

ตัวเลขจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชัวโมง รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า อยู่ที่ 10.2 วินาที ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ อยู่ที่ 10.5 วินาที ความเร็วสูงสุด (Top Speed) ล็อกไว้ที่ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ข้อมูลการบำรุงรักษา

  • น้ำมันเครื่อง เกรด ACEA C3 or C2 สำหรับตลาดที่ไม่ต้องติดระบบ DPF (Diesel Particular Filter) และ A3/B4 สำหรับตลาดที่ติดระบบ DPF เปลี่ยนถ่ายครั้งละ 6.5 ลิตร
  • น้ำหล่อเย็น 8.9 ลิตร

สำหรับ Palisade ที่เราทดลองขับกันนี้ เป็นรุ่นย่อย SEL V6 ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่ผลิตและส่งขายใน Australia วางเครื่องยนต์ Lambda-II รหัส G6DN เบนซิน V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.8 ลิตร 3,778 ซีซี กระบอกสูบ x ชวงชัก 96 x 87 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ GDi (Gasoline Direct Injection) จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle (เหมือนขุมพลัง Hybrid ของ Toyota) พ่วงด้วยระบบแปรผันวาล์ว Dual-CVVT รวมทั้งมีระบบ Auto Stop & Go มาให้

กำลังสูงสุด 277 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร (34.2 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที สามารถเติมน้ำมันเบนซิน 95 , Gasohol 95 E10 ได้

จากการทดสอบตามมาตรฐานของ รัฐบาลไทย เพื่อทำเรื่องยื่นขอ Eco Sticker เอาไว้ก่อนการจำหน่าย Palisade V6 คันนี้ ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในเมือง 13.4 ลิตร/100 กิโลเมตร นอกเมือง 5.9 ลิตร/100 กิโลเมตร เฉลี่ย 8.6 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 11.6 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูง 204 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งเกินจากพิกัด 200 กรัม/กิโลเมตร มาเล็กน้อย ส่งผลให้ หากนำเข้ามาทำตลาดจริง ต้องเสียภาษีสรรพสามิต พิกัด 40%

ด้านระบบส่งกำลัง Palisade ทุกรุ่นจะถูกติดตั้ง เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก Hyundai POWER TECH รุ่น A8LF1 หรือ A8LF2 ตามแต่ละประเทศที่เข้าไปทำตลาด

เกียร์ลูกนี้ เป็นรุ่นเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน Kia Grand Carnival รุ่นปี 2019 , Kia Carnival ใหม่ รุ่นปี 2021 , Kia Sportage รวมทั้งบรรดา รถเก๋งขับเคลื่อนล้อหน้า ขนาดใหญ่ ในตระกูล Kia และ Hyundai

มีโปรแกรม ECO สำหรับการขับขี่ที่เน้นความประหยัดนำมัน เกียร์จะตัดเปลี่ยนเร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อทดรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำลง โดย อัตราทดเกียร์ เหมือนกันกับ Kia Grand Carnival รุ่นปี 2019 และ Carnival ใหม่ รุ่นปี 2021 ทุกประการ (ยกเว้น อัตราทดเฟืองท้าย) ตัวเลขมีดังนี้

เกียร์ 1…………………………..4.808
เกียร์ 2…………………………..2.901
เกียร์ 3…………………………..1.864
เกียร์ 4…………………………..1.424
เกียร์ 5…………………………..1.219
เกียร์ 6…………………………..1.000
เกียร์ 7…………………………..0.799
เกียร์ 8…………………………..0.648
เกียร์ Reverse (R)………………3.425

ส่วน อัตราทดเฟืองท้าย นั้น อยู่ที่ 3.648 ทั้ง รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อ AWD (เปรียบเทียบกับ Kia Carnival อยู่ที่ 3.510 และ Hyundai Staria จะอยู่ที่ 3.320)

การเปลี่ยนเกียร์ ไม่ต้องใช้คันเกียร์ อีกต่อไป เพราะทีมวิศวกร เปลี่ยนมาใช้ แป้นเปลี่ยนเกียร์ เป็นแบบกดปุ่ม Shift-By-Wire (SBW) หน้าตาเหมือน Hyundai Staria ใหม่ ชนิดแทบจะยกมาถอดใส่กันเลย

ด้วยการคำนึงถึงความปลอดภัย เกียร์จะถูกเปลี่ยนเข้าสู่ตำแหน่ง P (Park) ในทันทีที่คุณดับเครื่องยนต์ หรือ ปลดเข็มขัดนิรภัยฝั่งคนขับออก แล้วเปิดประตูลงจากรถ ทั้งที่เครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ และถ้าต้องการปลดเกียร์ว่าง เพื่อจอดรถซ้อนคัน หรือจอดรถในแนวยาวแบบ Parallel Parking เพียงแค่ เหยียบเบรกค้างไว้ กดปุ่ม N (Neutral เกียร์ว่าง) ค้างไว้ 1 วินาที แล้วกดปุ่มดับเครื่องยนต์ ภายใน 30 วินาที

ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าคุณจะออกรถ เข้าเกียร์ D หรือ R แต่ยังไม่ปิดประตูคนขับ คอมพิวเตอร์จะสั่งให้เกียร์ ดีดกลับไปอยู่ที่ P ตามเดิม เพื่อความปลอดภัย จนกว่าจะปิดประตูรถแล้วเท่านั้น จึงจะเคลื่อนรถด้วยเกียร์ D หรือ R ได้ ซึ่งฟังก์ชันทั้งหมดข้างต้นนี้ ก็มีอยู่แล้วใน Hyundai Staria และ Kia Carnival ใหม่ เวอร์ชันไทย

ข้อมูลการบำรุงรักษา : น้ำมันเกียร์ ATF SP-IV รุ่นเบนซิน 7.0 ลิตร Diesel 7.1 ลิตร

Palisade ทุกขุมพลัง มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ HTRAC AWD Active on-demand ซึ่งสามารถเลือกโปรแกรมการทำงานได้ ด้วยสวิตช์มือหมุน Multi-Terrain Control บริเวณติดกับสวิตช์เปลี่ยนเกียร์ Shift-by-wire

หลักการทำงานของระบบนี้คือ โดยปกติ ระบบจะควบคุมให้ขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นหลัก ในอัตราส่วน การกระจายแรงบิดล้อคู่หน้า/คู่หลัง อยู่ที่ 100 : 0 แต่เมื่อหมุนสวิตช์ โปรแกรมการขับขี่ ที่ได้เลือกเอาไว้ ระบบจะสั่งการให้ล็อกการกระจายแรงบิดลงสู่ล้อคู่หน้า / หลัง ได้ ในอัตราส่วน 80 : 20 แปรผัน จนถึง 50 : 50 ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่คุณเลือก ดังต่อไปนี้

  • Snow : สำหรับการขับขี่บนทางหิมะ หรือทางลื่นเป็นพิเศษ ระบบจะส่งแรงบิดไปยังล้อคู่หน้า / หลัง เพิ่มขึ้นแบบแปรผัน จนถึงสัดส่วน 50 : 50
    .
  • Mud : สำหรับการขับขี่บนเส้นทางโคลน ทันทีที่ตรวจพบอาการล้อหมุนฟรี ระบบ Electronic Torque Conteol Distribution จะสั่งเพิ่มแรงบิดลงสู่ล้อที่มีการยึดเกาะดีกว่าทันที
    .
  • Sand : สำหรับการขับขี่บนทะลทราย ระบบจะควบคุมการกระจายแรงบิด และแรงเบรก ระหว่างล้อคู่หน้า/หลัง ให้เหมาะสม อย่างอิสระทั้ง 4 ล้อ เพื่อการตะกุยไปตามทรงทรายโดยไม่ติดหล่ม

ข้อมูลการบำรุงรักษา

  • น้ำมันเฟืองท้าย 0.7 ลิตร
  • น้ำมัน Transfer case oil เบนซิน 0.7 ลิตร Diesel 0.65 ลิตร
  • ทั้ง 2 รายการข้างต้น ใช้น้ำมัน Hypoid Gear Oil มาตรฐาน API GL-5 หรือ SAE 75W/85

นอกจากนี้ สำหรับรุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อ ถ้าคุณกดปุ่มเลือกระบบตรงกลาง สวิตช์มือหมุน จะเปลี่ยนตัวเอง จากโปรแกรมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (Terrain Mode) มาเป็น สวิตช์เลือกโปรแกรมการขับขี่บนทางเรียบ (Drive Mode) โดยคุณสามารถเลือกใช้โปรแกรมได้ 4 Mode ดังนี้

  • Comfort : เป็นโปรแกรมหลัก สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ที่เน้นความสบาย
    .
  • Eco : เน้นการขับขี่ เพื่อความประหยัดน้ำมัน ดังนั้น คันเร่ง จะตอบสนองต่อเท้าขวา ช้ากว่าปกตินิดเดียว และ เครื่องปรับอากาศ จะปรับอุณหภูมิล็อกไว้แค่ 25 องศาเซลเซียส เท่านั้น
    .
  • Sport : เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตเพิ่มขึ้นนิดๆ คันเร่งจะตอบสนองไวขึ้นเล็กน้อย ให้พอจับสังเกตได้ มาตรวัด จะถูกเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นมาตรวัดการเหยียบคันเร่ง แบบ Analog เป็นแถบสีส้ม หน่วยเป็น เปอร์เซนต์ ส่วนมาตรวัดความเร็ว กลายเป็นตัวเลข Digital พร้อมแถบสีแดงเล็กๆ บางๆ
    .
  • Smart : ระบบจะเรียนรู้จาก อัลกอริทึม (algorithm) ในการขับขี่ของคุณ แล้วจะนำมาปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Palisade ที่เรานำมาทดลองขับกันในคราวนี้ เป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า สวิตช์หมุนดังกล่าว จึงถูกตัดออกไป เหลือเพียง สวิตช์สำหรับหมุนเลือกโปรแกรมการขับขี่ ทั้ง 4 Mode  ได้แก่ Comfort, Eco, Sport และ Smart เพียงเท่านั้น โดยการเลือกหมุนในแต่ละครั้ง จะปรากฎภาพกราฟฟิค ยืนยันการเลือกของคุณบนหน้าจอกลางของชุดมาตรวัด

สมรรถนะจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เรายังคงทำการทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง ตามมาตรฐานเดิม คือ ทดลองในเวลากลางคืน เปิดแอร์ ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส พัดลม เบอร์ 1 ไม่เกินเบอร์ 2 เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน ผู้เขียน (J!MMY) น้ำหนักตัว 110 กิโลกรัม และ น้อง Mark Pongsawang ทีมเว็บของเรา น้ำหนัก 60 กิโลกรัม  ผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้

 


เห็นตัวเลขแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ?

ใครก็ตามที่ดูตัวเลขแล้วอุตริคิดว่า ไม่เห็นจะแรงตรงไหนเลย คงต้องถามกันตรงๆว่า ลืมแล้วเหรอ ตัวเลขที่เห็นนี้ เกิดขึ้นโดย SUV คันใหญ่ น้ำหนักตัว ปาเข้าไป 2.5 ตัน นะครับ! แต่ทำตัวเลขออกมา พอกันกับรถเก๋ง D-Segment ขุมพลัง Hybrid หรือ รถยนต์ไฟฟ้า EV คันกระเปี๊ยกเลยนะเฮ้ย!?

ย้ำกันเหมือนเช่นเคย ว่า เราไม่สนับสนุนให้ทำการทดลองความเร็วสูงสุดด้วยตัวคุณเองเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายต่อชีวิต ของคุณผู้อ่าน และเพื่อนร่วมทางอีกด้วย เราทำการทดลองเพื่อให้ได้รู้ข้อเท็จจริง สำหรับการใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการศึกษา ในด้านวิศวกรรม ของผู้คนทั่วไปเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะทำความเร็วสูงขนาดนี้ กับรถบ้านๆ แบบนี้ หากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้นมา เราไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ในทุกกรณี

โดยปกติแล้ว เครื่องยนต์ V6 จะมีบุคลิกอย่างหนึ่ง นั่นคือ  ให้สัมผัสถึงพลังแรงบิดได้ชัดเจน ในช่วงรอบกลางๆ  ดังนั้น ในการขับขี่จริง อัตราเร่งของ Palisade นั้น ถือว่า สมกับที่วางเครื่องยนต์ V6 3.8 ลิตร จริงๆ เพราะทันทีที่คุณกดคันเร่งลงไปจมมิดตีนขวา Palisade จะพาคุณออกตัวล้อฟรีทิ้ง จนถึงความเร็วราวๆ 35 -38 กิโลเมตร/ชั่วโมง หน้ายางถึงจะเริ่มจับกับพื้นถนน ได้ดีขึ้น บอกเลยว่า ต่อให้คุณไม่ได้ไปปิดระบบ Traction Control ยังไงๆ ล้อคู่หน้า ก็จะถูกแรงบิดจากเครื่องยนต์ ปั่นฟรีทิ้งอยู่ดี

แรงดึงจากช่วงออกตัว ชัดเจนมากว่า มันพาคุณพุ่งขึ้นไปอย่างสุภาพ แต่ด้วยบุคลิกของเสียงเครื่องยนต์ แรงดึง หรือสัมผัสของตัวรถที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า บ่งบอกชัดเจนว่านี่คืออารมณ์ของ “ราชสีห์กำลังเกรี้ยวกราด”และรู้สึกได้ถึงความหมายของคำว่า “ทรงพลัง” อย่างแท้จริง ทั้งที่แรงบิดก็มีอยู่แถวๆ 335 นิวตันเมตร ต่อให้ลากขึ้นไปจนถึงระดับ 5,000 รอบ/นาที ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงดึงที่ “ไหลมาเทมา” อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เรี่ยวแรงจะไปหมดเอาช่วง 5,500 รอบ/นาที เสียด้วยซ้ำ ยิ่งคุณใช้ความเร็วสูงเท่าไหร่ แม้ว่าตัวรถจะนิ่งสนิท แต่คุณจะสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของ เครื่องยนต์บล็อกนี้

ไม่เพียงเท่านั้น ขุมพลัง V6 บล็อกนี้ ยังให้แรงบิดที่ต่อเนื่อง ตั้งแต่รอบๆต้นๆ จนถึงช่วงความเร็วปลายๆ ดังนั้น เรื่องการเร่งแซง หายห่วง ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเหยียบคันเร่งลงไปแบบไหน จะเติมลงไปอย่างแผ่วเบาให้รถค่อยๆทะยานขึ้นไป หรือจะกดคันเร่งลงไปลึกๆ Palisade พร้อมจะรับมือกับความต้องการของคุณได้ทันที

ส่วนเกียร์อัตโนมัตินั้น นอกจากจะทำงานได้ราบรื่น นุ่มนวล แทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์เลยแล้ว เกียร์ลูกนี้ยังฉลาดมาก ไม่โง่ สัมผัสได้เลยว่า สมองกลพยายามอ่านลักษณะการเหยียบคันเร่ง การใช้ความเร็ว ไปจนถึงการทำนายล่วงหน้าด้วยว่า คุณจะเร่งส่งต่อไป หรือจะชะลอรถลงมา ดังนั้น การเปลี่ยนเกียร์ จึงเกิดขึ้นได้ไวมากๆ ไม่ว่าจะปล่อยให้รถเปลี่ยนเกียร์ลงมาเอง หรือใช้แป้น Paddle Shift ที่สามารถ เชนจ์เกียร์ลงต่ำได้รวดเดียว 2 จังหวะ ขึ้นไป ก็ตาม

ถ้าคุณใช้คันเร่งใน Mode Eco หรือ Comfort คันเร่งจะแอบหน่วงนิดๆ ไม่ถึงกับเยอะนัก แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็น Mode Sport คันเร่งจะตอบสนองไวขึ้นมาก ชนิดที่เรียกว่า “ไวทันที” เติมคันเร่งปุ๊บ แรงบิดมาปั๊บ แถมเกียร์ยังจะเปลี่ยนลงต่ำ ไปรอ ณ รอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นไว้ให้เสร็จสรรพ เพื่อพร้อมรับคำสั่งพร้อมรบจากคนขับได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าคุณชะลอความเร็วลงมา และเลือกใช้ Mode Smart แล้วละก็ โปรแกรมการขับขี่ จะเปลี่ยนจาก Mode Sport ซึ่งเดิมอยู่ในสภาพพร้อมรบ ให้ลงมาเป็น Mode Comfort แทนโดยอัตโนมัติ

ถึงแม้จะเป็น SUV คันใหญ่ แต่เสียงจากขุมพลัง V6 ยามแผดคำรามระหว่างกวาดรอบเครื่องยนต์ขึ้นไปนั้น หวานมาก! ต้องยอมรับฝีมือการจูนเสียงของวิศวกร Hyundai เลยจริงๆ

การเก็บเสียง แรงสั่นสะเทือน และอาการสะท้าน
NVH : Noise , Vibration & Harshness

ต้องยอมรับเลยว่า ขุมพลัง V6 3.8 ลิตร ของ Hyundai บล็อกนี้ ทำงานด้วยเสียงแผ่วเบามาก มี 2-3 ครั้ง ที่ผมขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งคนขับ แล้วยังเผลอกดสวิตช์ดับเครื่องยนต์เฉยเลย ทั้งที่เครื่องยนต์มันทำงานอยู่ ในรอบเดินเบาขณะหยุดนิ่ง ช่วง 800 รอบ/นาที การเก็บเสียงเครื่องยนต์ และแรงสะเทือนเข้ามายังห้องโดยสารนั้น ทำได้ดีมากๆ เกินความคาดหมายของผมไปไกล

ขณะเดินทางด้วยความเร็ว ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง บรรยากาศในห้องโดยสาร เงียบสงบดีมากเกินคาดหมาย เสียงยางจากพื้น มีเข้ามาให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เยอะนัก ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิวถนนเป็นหลัก ถ้าเป็นยางมะตอยใหม่ๆเรียบๆ เสียงก็จะเงียบสนิทเป็นปกติ แต่พอเจอยางมะตอยเก่าๆ หรือพื้นถนนปูนซีเมนต์ เสียงจากซุ้มล้อ ก็ดังเพิ่มขึ้นไม่มากอย่างที่คิด ภาพรวมแล้ว การเก็บเสียงจากพื้นถนน ทำได้ดีมาก

แต่เมื่อใช้ความเร็วเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ผมกลับได้ยินเสียงหวีดร้องจากสายลม บริเวณแถวๆกระจกหน้าต่างฝั่งขวามือ พบว่า มันมาจากกระจกมองข้างฝั่งคนขับ และมันเกิดขึ้นอยู่เพียงจุดเดียวเท่านั้น ซึ่งอันที่จริง เสียงแบบนี้ มันไม่ควรเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ยังดีที่ว่า เสียงหวีดร้องดังกล่าว แม้จะดังพอจะก่อความรำคาญให้ผมได้ แต่ก็ไม่ได้เพิ่มระดับเสียงขึ้นไปในย่านความเร็วที่สูงกว่านี้ อาจเพราะโดนเสียงกระแสลมไหลผ่านตัวถังรถ กลับจนเบาลงก็เป็นได้

ถ้าตัดเสียงหวีดร้องดังกล่าวออกไป บรรยากาศในห้องโดยสารของ Palisade จะเงียบสงบ ชวนให้เกิดความผ่อนคลาย คล้ายกับการนั่งอยู่บนอัครยานยนต์ของมหาเศรษฐี คุณยังคงไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดคุยกัน จนกระทั่งเข็มความเร็วไต่ขึ้นไปถึงระดับ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง กระนั้น เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถจะค่อยๆดังขึ้นไปตามความเร็วที่คุณใช้ และจะดังขึ้นชัดเจนมาก เมื่อขึ้นไปถึงความเร็วที่ระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เชื่อไหมว่า ในระดับความเร็วดังกล่าว ห้องโดยสารของ Palisade ก็ยังมีแนวโน้มว่าน่าจะเงียบกว่า คู่แข่งร่วมพิกัดจากผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่น

ระบบบังคับเลี้ยว / Steering Wheel

พวงมาลัยเป็นแบบ Rack and pinion พร้อมระบบช่วยผ่อนแรงแบบ Power ไฟฟ้า แบบ Column Mounted Motor Driven Power Steering (C-MDPS) อัตราทดเฟืองพวงมาลัยอยู่ที่ 15.6 : 1 หมุนจากซ้ายสุด / ขวาสุด ไปยังขวาสุด / ซ้ายสุด Lock to Lock ได้ 2.87 รอบ รัศมีวงเลี้ยว 11.8 เมตร เต็ม 1 รอบวงกลม (5.9 เมตร ช่วงเลี้ยวกลับรถ)

พวงมาลัย มีน้ำหนัก 2 แบบ ในโหมด Comfort ปกติ น้ำหนักพวงมาลัยจะเบา แต่ไม่เบาโหวง และแอบหนืดกว่าพวงมาลัยของ Staria นิดหน่อย เหมาะกับการบังคับควบคุมรถไปตามตรอกซอกซอย หรือการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก น้ำหนักพวงมาลัยแบบนี้ เข้าใจได้ว่าถูกเซ็ตมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวอเมริกัน ประเภทครอบครัว ซึ่งมักต้องการรถยนต์ที่มีพวงมาลัยเบาประมณหนึ่ง แต่ยังต้องให้ความมั่นใจในการถือตรงไปพร้อมกันด้วย

แต่พอเป็นพวงมาลัยใน Mode Sport ผมบอกเลยว่า ความหนืดที่เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณหนึ่งนั้น สัมผัสได้ในขณะเลี้ยวเข้าโค้ง แม้จะหนืดขึ้นไม่มากนัก แต่เมื่อมาผสมผสานกับช่วงล่าง และโครงสร้างตัวถังแบบนี้แล้ว ผมกลับมองว่า การ Setting แบบนี้ต่างหาก ที่ วิศวกร Hyundai ตั้งใจให้พวงมาลัยของ Palisade เป็นอย่างแท้จริง เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าวัยผู้ใหญ่ที่ยังสนุกกับการขับรถเองอยู่ และเป็น Setting ที่เหมาะสมกับตัวรถมากๆ

ยิ่งพอเลียวพวงมาลัย พารถหลบหลุมบ่อ ทั้งในช่วงความเร็วคลานๆ หรือ หักหลบรถขับช้าแช่ขวา ในย่านความเร็วเดินทาง ผมแอบสัมผัสได้ถึงบุคลิกของ รถยนต์ยุคใหม่ ที่ใช้ Modular Platform ซึ่งเน้นให้พื้นที่ห้องเครื่องยนต์ จนถึงผนังกั้นห้องเครื่องยนต์ และฐานเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar Stiff ขึ้น ช่วยเพิ่มสัมผัสแก่ผู้ขับขี่ ว่าตัวรถคล่องแคล่วในการบังคับเลี้ยวมากขึ้น

ค่อนข้างเชื่อว่า ทีมวิศวกร Hyundai น่าจะต้องเรียนรู้มาจาก การเซ็ตพวงมาลัยของรถยุโรป ในยุคปัจจุบันมาแน่ๆ เพราะความต่อเนื่องในการหมุนพวงมาลัย มีความคล้ายคลึงกันอยู่ อยากจะบอกว่า ไม่ต้องแก้ไขแล้วนะ Setting แบบนี้ คือลงตัวมากแล้ว สำหรับการเป็นพวงมาลัยใน SUV คันใหญ่อย่าง Palisade

ระบบกันสะเทือน / Suspension

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ Multi-Link โดยติดตั้งช็อกอัพ กับคอยล์สปริง ในตำแหน่ง แยกออกจากกัน มาพร้อมเหล็กกันโคลง และระบบปรับสมดุลระหว่างช่วงล่างด้านหลังกับด้านหน้า ขณะบรรทุกหนัก Self Leveling Suspension

แพช่วงล่างและปีกนกเป็นวัสดุเหล็กหล่อ แต่ดุมล้อและคอม้าทำจากอลูมิเนียม ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเปรียบเทียบกับ Kia Grand Carnival รุ่นที่แล้ว จะพบว่า ตำแหน่งจุดยึดช่วงล่าง และชิ้นส่วนต่างๆ นั้น คล้ายคลึงกัน แต่ชิ้นส่วนต่างๆ ทั้ง ช็อกอัพ แพช่วงล่าง สปริง คอม้า ดุมล้อ ปีกนก ฯลฯ นั้น แทบไม่ได้ใช้ร่วมกันเลย ออกแบบขึ้นมาใหม่แทบทั้งหมด

ใครก็ตามที่มองหา SUV ซึ่งมีช่วงล่างแนวนุ่มสบาย บอกเลยว่า Palisade คือคำตอบ เพราะถูกเซ็ตมาเอาใจคนรักความนุ่มอย่างชัดเจน แม้จะยังไม่ถึงขั้น นุ่มเท่า Lexus รุ่นแพงๆก็ตาม โดยเฉพาะ ขณะขับขี่ในย่านความเร็วต่ำ แม้จะเติมลมยางเอาไว้ 35 psi ทั้ง 4 ล้อ ตามคำแนะนำของผู้ผลิตในคู่มือผู้ใช้รถ ก็แทบจะไม่พบเจออาการตึงตังเลย เมื่อเจอเนินสะดุด ลูกระนาด ช่วงล่างด้านหลังของ Palisade จะแอบมีจังหวะ Rebound นิดๆ เบาๆ ประมาณ 1-2 ครั้ง เบาๆ จนชวนให้เข้าใจได้ว่า ช่วงล่างด้านหน้า แอบ Firm กว่าด้านหลังขึ้นมานิดๆ แน่นอนครับ ด้านหลังเขาต้องออกแบบมาเผื่อเรื่องการรับน้ำหนักจากการบรรทุกทั้งผู้โดยสารและสัมภาระนั่นแหละ คงต้องทำความเข้าใจในจุดนี้ด้วย

ช่วงความเร็วเดินทาง ในช่วง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างยังคงให้ความสบาย นิ่ง นุ่ม ติด Firm หน่อยๆ อาจมีการขึ้นๆ ลงๆ ไปตามสภาพลอนคลื่นบนพื้นถนนอยู่บ้าง แต่ไม่เยอะนัก เพียงแต่ขณะขับผ่านรอยต่อทางด่วน ด้วยแก้มยาง Bridgestone Dueler HP Sport ที่จะแข็งพอสมควร ก็อาจส่งแรงสะเทือนขึ้นมาให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกได้อยู่บ้าง ถ้าเปลี่ยนเป็น Bridgestone ALENZA ได้ ก็น่าจะนุ่มขึ้น และลดอาการขณะผ่านรอต่อทางด่วนลงไปได้อีกพอสมควร กระนั้น ถ้าคุณใช้ความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล่นผ่านพื้นผิวขรุขระปะยางมะตอยไม่เรียบ ช่วงล่าง Palisade จะซับแรงสะเทือนเอาไว้ได้ค่อนข้างดีเกินความคาดหมาย พอกันกับ Premium SUV จากยุโรปราคาแพงๆกว่านี้เสียด้วยซ้ำ!

ส่วนในย่านความเร็วสูงเกิน 120 จนถึง Top Speed 217 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น ช่วงล่าง พาให้ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าได้ค่อนข้างเสถียร นิ่งพอสมควร แต่ไม่ถึงกับนิ่งสนิท ถ้าเจอกระแสลมปะทะด้านข้างรถที่แรงมากๆ ก็อาจมีอาการเป๋เบียงออกข้างได้นิดหน่อยเหมือนรถยนต์ทั่วไป อยู่ดี

ต้องยอมรับเลยว่า ช่วงล่างนั้น ถูกปรับเซ็ตมาให้รองรับและสอดคล้องกับสมรรถนะของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง เรียกได้ว่า อยู่ในสภาพพร้อมรบ ถ้าคุณโมโหโกรธารถขับช้าแช่ขวา หรือพวกชอบจี้ตูดไร้มารยาททั้งหลาย ก็แค่กดคันเร่งลงไปไม่ถึงกับต้องจมมิดเต็มตีน Palisade จะพาคุณพุ่งหนีหายไป ดุจพี่หมีร่างใหญ่ พุ่งแหวกผ่านฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว แต่ Moment ของตัวรถ ที่คนภายนอกเห็น จะเกิดความกลัว แม้แต่ สุดยอดนักขับมารยาทเลวทรามอย่าง Fortuner หลายคันที่เราเจอมา ยังถึงกับต้องยอมหลบให้แต่โดยดี เพราะคนทั่วไป คงไม่คิดหรอกว่า SUV ก้อนขนมปังฟาร์มเฮาส์ติดล้อคันเบ้อเร่อเบ้อร่าขนาดนี้ มันพุ่งไปอย่างน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ? โดยเฉพาะการเป็รถขับเคลื่อนล้อหน้า พอออกตัวเร็วๆ หน้ารถก็ยกขึ้นชัดเจนมาก ท้ายรถก็กดลง พุ่งโจนทะยานไปแบบนั้น ใครไม่กลัวก็แปลกแล้วละ ถ้าคุณทำความคุ้นเคยกับตัวรถได้ บอกเลยครับ มันไม่น่ากลัว มันรื่นรมณ์มากเสียด้วยซ้ำ

ขณะเข้าโค้ง สัมผัสได้ถึงบุคลิกของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ายุคใหม่ ที่ใช้ Platform ยุคใหม่ ซึ่งเน้นให้การขับขี่สนุกขึ้น ควบคุมรถได้กระชับยิ่งขึ้น เป็น Feeling ของรถใหญ่ แต่ไม่หนักมากเกินไป เพิ่มความคล่องแคล่วให้กับตัวรถได้ดีทั้งที่ตัวรถก็มีขนาดใหญ่โตแบบนี้

บนโค้งขวารูปเคียว ย่านมักกะสัน เรื่องตลกก็คือ Palisade คันใหญ่ เข้าโค้งขวาแรกที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนมาตรวัด ต่อเนื่องไปยัง โค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Eastin ก็ยังรักษาความเร็วไว้ได้ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งที่ Hyundai Kona Electric ญาติผู้น้อง ตัวเล็กกว่า น่าจะกระชับกว่า แต่กลับกลายเป็นว่า ทำความเร็วในโค้งได้แค่ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนมาตรวัด ทั้ง 2 โค้ง

อาการของบั้นท้าย ค่อนข้างมีความเป็นกลาง (Neutral) กว่า และพอมีโอกาสให้บั้นท้ายจะกวาดออกด้านข้างง่ายขึ้น แต่ถ้าถึงขั้นท้ายปัด โอกาสจะแก้อาการให้รถกลับมาตั้งลำตรงๆ น่าจะง่ายกว่า Ioniq Electric พอสมควร

ส่วนทางโค้งรูปตัว S จากทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสุขุมวิท 62 ขึ้นไปยังทางด่วนยกระดับบูรพาวิถี ผมสามารถพา Ioniq เข้าโค้งขวาแรกด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ตัวรถเอียงออกทางซ้ายน้อยลงกว่า Ioniq Electric นิดเดียว ส่วนโค้งซ้ายยาวๆ ที่มีลอนคลื่นบนพื้นผิวโค้งนั้น ผมไต่ขึ้นไปได้ถึง 112 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ซึ่งนั่นก็ถึง Limit ที่ยางรับมือไม่ไหวอีกต่อไป ปิดท้ายด้วยโค้งขวายกระดับ Palisade เข้าโค้งดังกล่าวได้ที่ 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด)

ผมชอบแคแรคเตอร์ในการเข้าโค้งของ Palisade ก็ตรงที่ ต่อให้คุณใช้ความเร็วสูงก่อนถึงโค้งมากแค่ไหน พอถึงหน้าโค้ง แค่ถอนเท้าจากคันเร่ง ไม่ต้องแตะเบรก แต่ค่อยๆเริ่มเลี้ยว ส่งรถเข้าไปอยู่ในโค้งได้เลย ตัวรถจะเอียงแค่ไหนก็ตาม แต่มันพาคุณออกจากโค้งได้อย่างสวยงามและปลอดภัยแน่ๆ ถ้าไม่ไปเล่นพิเรนทร์ใดๆทั้งสิ้น มันมีความพยายามของหน้ารถที่พยายามจะเบนหัวออกนิดๆ แต่ท้ายรถก็จะพยายาม Balance ตัวรถให้อย่างดี ดึงเอาไว้นิดๆ คล้ายๆกับ Mazda CX-5 2.2 Diesel รุ่นแรกอยู่นิดๆ เหมือนกัน

ภาพรวมของช่วงล่าง Palisade นั้น ถูกเซ็ตมาให้เหมาะสมกับบุคลิกตัวรถ คือ เน้นความนุ่มสบาย เอาใจคนรักครอบครัว แต่ไม่ได้นิ่มจนยวบยาบน่ากลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ถ้าคุณต้องรีบเร่งในวันงานเข้า Palisade ก็พร้อมจะกลายร่างจากเรือยอชต์ติดล้อ กลายเป็นราชสีห์ผู้โกรธเกรี้ยวขึ้นมาได้ง่ายดาย แค่เพียงกระทืบคันเร่งเพิ่มลงไป ขณะเดียวกัน อากัปกิริยาของตัวรถขณะอยู่ในโค้ง หรือการขับขี่บนพื้นผิวไม่เรียบ ในย่านความเร็วสูง บ่งบอกเลยว่า ทีมวิศวกรของ Hyundai นั้น เซ็ตรถให้มีช่วงล่างดีๆ ได้เหนือชั้นกว่าผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่นที่ยังมัวแต่กังวลกับต้นทุนจนเกินไป ได้สำเร็จแล้ว

ระบบห้ามล้อ / Brake

Palisade ทุกรุ่นย่อย ทุกคัน ทั้งโลก ถูกติดตั้ง ดิสก์เบรก มาให้ครบทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้า มีครีบระบายความร้อน เส้นผ่าศูนย์กลาง 340 มิลลิเมตร หนา 30 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกคู่หล้งเป็นแบบปกติ เส้นผ่าศูนย์กลาง ของเวอร์ชันอเมริกาอยู่ที่ 305 มิลลิเมตร หนา 11 มิลลิเมตร แต่เวอร์ชัน Australia และในรถคันที่เรานำมาทดลองขับ อยู่ที่ 314 มิลลิเมตร หนา 18 มิลลิเมตร ใช้หม้อลมเบรกขนาด 10.5 นิ้ว น้ำมันเบรก ใช้เกรด FMVSS116 DOT3 หรือ DOT4 ส่วนระบบเบรกมือ เป็นแบบสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Brake Hold

เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brakeforce Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก BAS (Brake Assist System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control) ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSA (Trailer Stability Assist) และระบบจัดการเสถียรภาพการทรงตัว VSM (Vehicle Stability Management)

แป้นเบรก มาในสไตล์คล้ายกับ SUV ฝั่งญี่ปุ่น คือมีระยะเหยียบปานกลาง ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป แต่มีน้ำหนักค่อนข้าง เบา แตะลงไปเพียง 10% แรก จะยังไม่ค่อยสัมผัสถึงการทำงานของระบบเบรก ต้องแตะลงไปถึงประมาณ 20% ของระยะเหยียบทั้งหมด จึงจะพอสัมผัสได้จางๆว่า Caliper เริ่มทำงานแล้ว กระนั้น แป้นเบรกลักษณะนี้ เหมาะมากสำหรับใครที่ชอบขับขี่แบบคลานๆไปตามสภาพการจราจรติดขัดแบบกรุงเทพมหานคร แล้วชอบท้าทายตัวเองว่า จะเบรกจนรถหยุดอย่างไร ให้เนียนกริ๊ป โดยปราศจากอาการหน้าทิ่ม หากต้องการให้เป็นเช่นนั้น คุณก็ควบคุมเท้าขวาจากแป้นเบรกของ Palisade ได้ไม่ยากเลย

เมื่อเริ่มเหยียบลงไปอย่างต่อเนื่อง คุณจะพบว่า เบรกนุ่มมากกกกกกกกกก หนืดเท้ากำลังดี ไม่หนักไม่หน่วง เบาแต่ไม่เบาโหวง ต่อให้เหยียบเบรกกระทันหัน คุณก็ยังสัมผัสได้ว่า ตัวรถจะหน้าทิ่มลงไปอย่างนุ่มนวล Smooth dive ในสไตล์เดียวกับพวกรถหรูฝั่งญี่ปุ่น อย่าง Toyota Crown รุ่นเก่าๆ ด้วยซ้ำ นุ่มถึงขั้นว่า ถ้าคุณนั่งใน Palisade แล้วเกิดอาการหัวทิ่มหัวตำคะมำหงายหลัง คุณควรจะไล่คนขับรถคนปัจจุบันออก แล้วหาคนใหม่มาทำหน้าที่แทนเถอะ

การหน่วงชะลอรถลงมาจากย่านความเร็วสูงๆ นั้น ต่อให้คุณจำเป็นต้องกระทืบเบรกลงมาจากระดับ 200 กิโลเมตร/ ชั่วโมง ตัวรถก็ไม่มีอาการปัดเป๋ใดๆทั้งสิ้น ยังคงหน่วงความเร็วรถอย่างฉับพลัน ได้อย่างนุ่มนวล แถมเบรกยังไม่ fade ง่ายเสียด้วยสิ เรื่องเบรก ถือว่า Palisade ทำได้ดีกว่าที่ทุกคนคาดคิดจริงๆ

***** ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ *****
******** Active Safety , ADAS & Passive Safety *******

ด้านระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน Hyundai Palisade มาพร้อมแพกเกจความปลอดภัย ADAS (Adaptive Driver Assistance System) ภายใต้ชื่อ Hyundai SmartSense อันประกอบด้วย ระบบปลีกย่อย ดังนี้

– ระบบหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า FCA (Forward Collision Avoidance Assist)
– ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา BCA (Blind-Spot Collision Avoidance Assist)
– ระบบแสดงภาพจุดอับสายตา BVM (Blind-Spot View Monitor)
– ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร LKA (Lane Keeping Assist)
– ระบบหลีกเลี่ยงการชนด้านหลัง RCCA (Rear Cross Traffic Collision Avoidance Assist)
– ระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ Smart Cruise Control พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go
– ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัว LVDA (Leading Vehicle Departure Alert)
– ระบบป้องกันการออกจากรถเมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้าง SEA (Safe Exit Assist)
– ระบบร้องสัญญาณเตือนให้ตรวจสอบผู้โดยสารด้านหลังก่อนลงจากรถ ROA (Rear Occupant Alert)
– ระบบไฟสูงอัตโนมัติ HBA (High Beam Assist)
– ระบบตรวจจับสมาธิคนขับ DAW (Driver Attention Warning)

นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยเชิงปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุ Passive Safety ได้แก่
– ถุงลมนิรภัย รวม 6 ใบ ประกอบด้วย ถุงลมคู่ด้านหน้า Front Airbags
– ถุงลมนิรภัยคู่ด้านข้าง Side Airbags
– ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง Side Curtain Airbags
– เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ทั้ง 7 ที่นั่ง
– จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX ณ เบาะแถวกลาง ทั้ง 2 ฝั่ง

Hyundai Palisade ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย ด้วยคะแนน 5 ดาว จากการทดสอบการชน ตามข้อกฎหมายของรถยนต์ทุกรุ่นที่จะทำตลาดในสหรัฐอเมริกา จาก หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางถนน National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA)

นอกจากนี้ IIHS (The Insurance Institute for Highway Safety สถาบันประกันความปลอดภัยทางหลวง ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่หวังผลกำไร จะทำการศึกษา ทดสอบ เพื่อลดการสูญเสีย บาดเจ็บและเสียหายของทรัพย์สินในการใช้รถยนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ยังเลือกให้ Palisade เป็น 1 1 ใน รถยนต์ที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในด้านความปลอดภัย “Top Safety Pick+” ประจำปี 2021 อีกด้วย รายละเอียดเพิ่มเติม Click อ่านต่อได้ที่ https://www.iihs.org/ratings/vehicle/hyundai/palisade-4-door-suv/2021

******การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย******
*************Fuel Consumption Test *************

ในอดีตนั้น ทุกคนรับรู้กันว่า ขุมพลัง V6 พิกัด 3.8 ลิตร ซึ่งมักวางอยู่ในรถยนต์ American หรือ Australia ได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดแห่งการสูบน้ำมัน แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน หลายๆค่าย พยายามหาหนทางในการปรับปรุงข้อบกพร่องนี้ จนกระทั่ง เริ่มทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ขณะวิ่งทางไกล ได้ดีขึ้น ด้วยโอกาสนี้ เราจะหันมาดูผลงานจาก วิศวกรชาวเกาหลีใต้กันบ้างว่า พวกเขา จะลบจุดด้อยด้านความประหยัดน้ำมันของเครื่องยนต์บล็อกโตขนาดนี้ ได้แค่ไหน?

เราจึงยังคงทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา คือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ขับทดลองในเวลากลางคืน ในช่วงที่ประเทศของเราอยู่ในสภาวะ เคอร์ฟิว เนื่องจาก การระบาดของเชื้อ Covid-19 ทำให้เราจำเป็นต้องปรับรูปแบบการทำงาน ด้วยการ ตื่นนอนตอนตี 3 และเดินทางมาถึงปั้มน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ตอนตี 4.15 น. จากนั้น เราจึงเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron จนเต็มถัง แบบหัวจ่ายตัด

เมื่อเติมน้ำมันจนเต็มถัง ขนาด 71 ลิตร เสร็จเรียบร้อย เราก็ขึ้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัย กดสวิตช์ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ กดปุ่ม Set 0 บน Trip Meter (กรณีนี้ คือ เลื่อนหน้าจอ MID บนมาตรวัด มาที่ Drive Info แล้วกดปุ่ม OK บนพวงมาลัย แช่เอาไว้ เพื่อ Reset ตั้งค่า แบบเดียวกับรถตู้ Staria) ระบบวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะเปลี่ยนเป็นค่าเริ่มต้น ทั้งหมด

เราเริ่มเดินทาง จากปั้ม Caltex ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดไปออก ปากซอย โรงเรียนเรวดี สู่ถนนพระราม 6 เลี้ยวขวา ขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปสุดปลายทาง ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ ขับขึ้นทางด่วน ย้อนเส้นทางเดิม โดยใช้มาตรฐานการทดลองดั้งเดิม คือ แล่นด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Radar Cruise Control ให้ทำงานไปด้วย ซึ่งเมื่อขึ้นเนินทางชัน เกียร์จะเปลี่ยนลดลงมาจาก 8 เหลือ 7 ไม่ได้ตัดลดเปลี่ยนลงมาพรวดพราดเหมือนรถญี่ปุ่นหลายค่าย และถ้าแรงบิดมากพอ ที่จะไต่ขึ้นสะพาน ที่ไม่ได้ลาดชันมากนัก เกียร์ก็จะคาไว้ที่ เกียร์ 8 อย่างนั้น ถือว่า ฉลาดใช้ได้ ระดับหนึ่ง

เมื่อลงทางด่วนที่ด่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมัน Techron เบนซิน 95 ณ หัวจ่ายเดิม และใช้วิธีเติมแบบหัวจ่ายตัด เหมือนช่วงที่เติมครั้งแรกทุกประการ

มาดูตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันดีกว่า

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด Trip Meter 93.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 7.46 ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 12.53 กิโลเมตร/ลิตร

ไม่เลวเลยครับ เครื่องยนต์บล็อกใหญ่ เอาใจลูกค้าชาวอเมริกัน แต่กินน้ำมันขณะขับขี่ทางไกลประมาณนี้ ถือว่า ประหยัดน้ำมันใช้ได้แล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะรู้ต่อไปแหละว่า เครื่องยนต์ V6 ใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าเติมน้ำมันเต็ม 1 ถัง 71 ลิตร จะแล่นได้ไกลแค่ไหน

เท่าที่ผมลองจับตัวเลขมาจากการขับขี่ใช้งานจริง ในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เจอสภาพการจราจรติดขัดน้อยครั้งมากๆ ส่วนใหญ่ พาขึ้นไปวิ่งเล่นบนระบบทางด่วนเป็นหลัก น้ำมัน 1 ถัง จะสามารถพาคุณแล่นไปได้ไกล เกิน 500 กิโลเมตร ไปมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับลักษณะการเหยียบคันเร่งของคุณ ถ้าขับโหดๆหน่อย อาจจะได้เห็นตัวเลข 450 กิโลเมตร แต่จะไม่ต่ำไปกว่านี้ หรือถ้าขับประหยัดๆ อาจจะได้เห็นตัวเลข 600 กิโลเมตร ได้ไม่ยากเลย

********** สรุป / Conclusion **********
SUV ไซส์ใหญ่ สายนุ่ม ขับสบายทั้งครอบครัว เหมือนนั่งเรือยอชต์หรูติดล้อ
แรงเกินคาด ฉลาดชะมัด ประหยัดเกินคิด แต่ติดเรื่องราคา ที่แพง เพราะภาษีนำเข้า!

” If you’re rich, you live in Beverly Hills. (ถ้าคุณร่ำรวย คุณอยู่ใน เบฟเวอรี ฮีลส์)
If you’re famous you live in Malibu. (ถ้าคุณโด่งดัง คุณอยู่ใน มาลีบู)
If you’re lucky, you live in Pacific Palisades.” (ถ้าคุณโชคดี คุณอยู่ใน แปซิฟิค แพลิเสดส์)

Sylvia Gibson Phelps ผู้วายชนม์ ซึ่งเคยทำงานอยู่ในบริษัทโฆษณา Grey Advertising ดูแล Account รถยนต์ Honda ในตลาดอเมริกาเหนือช่วงปี 1979 และ พำนักอยู่ในบ้าน ย่าน Pacific Palisade เคยเขียน Slogan ให้กับเขตเมือง Palisade ที่เธออยู่อาศัย ออกมาเป็นประโยคข้างต้น…และชื่อของ Palisade ก็มาจากย่านพักอาศัย ริมอ่าว ใน California ในสหรัฐอเมริกา เหมือนเช่นชื่อรุ่นของ SUV จาก Hyundai รุ่นอื่นๆ

ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีบ้านอยู่ใน Pacific Palisade แต่ผมโชคดีมากๆ ที่ได้มีโอกาส ลองขับ SUV 3 แถว 7 ที่นั่ง ไซส์พี่หมี อย่าง Hyundai Palisade คันนี้ บนถนนเมืองไทย…เป็นคนนอกบริษัท Hyundai Motors Thailand คนแรกเสียด้วย! แม้ว่า บทความนี้ จะคลอดหลังจาก Full Review เวอร์ชัน Video Clip ไปแล้วหลายเดือนก็ตาม แต่การที่ผมเลือกปล่อยบทความ Full Review นี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 อย่างนี้ มันมีเหตุผลของมันอยู่ รอคุณค้นพบอยู่ในย่อหน้าด้านล่างสุดของบทความนี้ ไม่ต้องเลื่อนลงไปตอนนี้หรอกครับ อาจต่อเนื่องลงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เอง

ต้องยอมรับกันตามตรงเลยว่า Hyundai Palisade เป็นรถยนต์จากเกาหลีใต้อีกรุ่นหนึ่ง ที่ทีมออกแบบสามารถถ่ายทอดแรงบันดาลใจร่วมกันของสมาชิกในทีม ทั้งประสบการณ์ในการเดินทางไปกับครอบครัวเมื่อครั้งพวกเขายังเยาว์วัย ในรถยนต์ Station Wagon ผสมผสานกับความรู้สึกสงบ สบาย ผ่อนคลาย ในการแล่นเรือยอชต์ กลั่นกรองออกมาเป็น แนวทางการออกแบบ ที่เด่นชัดเจน และพยายามประคับประคอง นำพาให้ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น เป็นไปตามแนวคิดตั้งต้น ได้มากที่สุด แถมยังเป็นรถยนต์หนึ่งในไม่กี่รุ่น ที่เวอร์ชันผลิตออกจำหน่ายจริง กลับมีรูปร่างที่ลงตัวกว่า เวอร์ชันต้นแบบ นับเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคสมัยนี้

ใครก็ตามที่เคยเห็นรถคันนี้ แค่ในรูป แล้วบอกว่ามันไม่สวย ถ้ามีโอกาส ขอแนะนำให้ไปลองสัมผัสของจริง ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่า วัสดุการตกแต่งที่ดีเยี่ยม เหนือชั้นกว่า รถยนต์ Premium Brand จากเยอรมนี ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท หลายๆรุ่น โดยเฉพาะ เบาะหนัง Nappa อันหนานุ่มแสนสบาย ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ไปจนถึงการออกแบบ User Interface ที่ดี ให้สัมผัสที่ชวนให้นึกถึงการออกไปดูแผ่นฟ้าและผืนสมุทรสีคราม บนเรือยอชต์หรู จะทำให้คุณเปลี่ยนใจกลับมาหลงรักรถคันนี้ได้แน่ๆ

เหนือสิ่งอื่นใด สมรรถนะในการขับขี่ ที่พร้อมพาคุณพุ่งทะยานดุจราชสีห์กำลังเกรี้ยวกราด เลี้ยวลัดเลาะได้คล่องแคล่วเกินคาดหมาย ผสานรวมเข้ากับความนุ่มสบายเพื่อทุกรูปแบบการโดยสาร ได้อย่างรื่นรมณ์สมสถานะความเป็นผู้นำรุ่นใหญ่สุดในตระกูล SUV ของ Hyundai แถมพกมาด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัยเหนือพิกัด และความประหยัดน้ำมันในระดับที่น่าแปลกใจ แม้จะใช้ขุมพลังใหญ่ระดับ V6 3.8 ลิตร แต่กลับกินน้ำมันแค่พอๆกันกับรถกระบะ Double Cab 4 ประตู อย่าง Ford Ranger 2.2 ลิตร เท่านั้น

เพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมง ที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับพี่หมีสีน้ำเงินเข้มคันเบ้อเร่อเบ้อร่านี้ วลีข้างล่าง ก็ผุดโพล่งขึ้นมาในหัว….

“Palisade ความพิเศษ ที่ยากจะปฏิเสธ!”

ใช่ มันเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่พิเศษตลอดเวลาตั้งแต่เปิดประตูขึ้นไปนั่งขับ จนถึงวันที่ต้องส่งคืนรถ ยิ่งเมื่อสัมผัสกับตัวแล้ว ยิ่งยากจะปฏิเสธว่า Palisade คือ Technology Showcase ที่ Hyundai ต้องการจะอวดชาวโลกว่า ทุกวันนี้ แบรนด์เกาหลีใต้ อย่างพวกเขา กำลังมุ่งหน้า พัฒนารถยนต์ออกมาให้ดีเยี่ยม ล้ำหน้าไปกว่ารถญี่ปุ่น รถอเมริกัน หรือแม้แต่รถยุโรป เขาแล้วยังไงละ!

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะบอกว่า รถทั้งคัน มันดีงามไปหมดโดยไม่มีข้อควรปรับปรุงใดๆเลย เห็นทีจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปสักหน่อย แน่นอนครับ ตลอดระยะเวลา 10 วันที่อยู่ด้วยกันกับพี่หมีสีน้ำเงินคันนี้ ผมเจออะไรบางอย่าง ที่คิดว่า น่าจะนำไปปรับปรุงแก้ไขได้อีก แม้ว่า อาจจะเป็นปัญหาเฉพาะคัน ก็ตาม

ข้อที่ควรปรับปรุง / Things must be improve

1. ไฟหน้า และไฟ Daytime Running Light มีไอน้ำเกาะ มักเกิดขึ้นหลังจากฝนตกหนักๆ หรือเจอไอน้ำค้างยามเช้า พูดกันตรงๆก็คือ รถใหม่ถอดด้ามขนาดนี้ ไม่ควรมีปัญหานี้เลย ถ้าต้องสั่งเข้ามาขายเมื่อไหร่ ก็คงต้องบอกให้ทางโรงงานในเกาหลีใต้ แก้ไข Defect ในประเด็นนี้กันด้วย เพราะต่อให้ไม่ส่งผลต่อการใช้งาน แต่ลูกค้าในบ้านเรา ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ

2. เสียงกระแสลมหวีดเบาๆ ที่กระจกมองข้างฝั่งขวา (และเป็นเฉพาะฝั่งขวาด้านคนขับเท่านั้นด้วยนะ) ปัญหานี้ ลูกค้าของ Palisade ในสหรัฐอเมริกา เจอกันหลายคัน และบางรายก็ใช้วิธีปัญหาด้วยตนเอง

3. อาการเกียร์สั่นกระพรือเบาๆ ขณะเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ขณะลดความเร็วลงต่ำจนเกือบหยุดนิ่ง คาดว่า น่าจะเป็นปัญหาเฉพาะคัน ลอง Reset สมองกลเกียร์ก่อนว่าดีขึ้นไหม ถ้าไม่ อาจต้องถ่ายน้ำมันเกียร์ออกสัก 1 รอบ แต่ถ้ายังไม่หาย ก็คงต้องรื้อออกมาดูกันแล้วละ

4. Menu บนหน้าจอ Infotainment 10.25 นิ้ว แอบใช้งานยากในหลายเมนู ยังดีที่ทีมออกแบบ เลือกทำปุ่ม Shortcut เอาไว้บนแผงควบคุมกลางมาให้ด้วย มิเช่นนั้น คงนั่งปวดกบาลกว่านี้แน่ๆ ถ้าจะให้ดี ควรปรับปรุง User Interface ให้ใช้งานง่ายขึ้นกว่านี้สักหน่อย จะดีกว่า

***** คู่แข่งในตลาด / Competitors *****

เนื่องจาก Palisade เป็น SUV คันใหญ่ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจตลาดอเมริกาเหนือเป็นหลัก ดังนั้น คู่แข่งสำคัญของ Hyundai ก็จะเป็น SUV 7 ที่นั่ง ขนาดใหญ่ สร้างบนพื้นตัวถัง (Platform) ของรถเก๋ง ไม่ว่าจะเป็น คู่แข่งร่วมตระกูลและชาติพันธ์อย่าง Kia Telluride ไปจนถึง คู่แข่งต่างเชื้อชาติ ทั้งฝั่งญี่ปุ่นอย่าง Honda Pilot , Mazda CX-9 , Nissan Pathfinder , Subaru Ascent, Toyota HighLander หรือฝั่งอเมริกาอย่าง Buick Enclave , Chevrolet Traverse , Dodge Durango และ Ford Explorer รวมทั้ง คู่แข่งจากเยอรมนี อย่าง Volkswagen Atlas

อย่างไรก็ตาม ตัวเลือกทั้งหมดข้างต้นนี้ ไม่มีจำหน่ายในเมืองไทยเลยแม้แต่รุ่นเดียว ดังนั้น หาก Palisade จะถูกสั่งเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกวางตำแหน่งการตลาด ตามราคา ให้ไปชนกับ Premium Compact SUV จากฝั่งยุโรป จำพวก Audi Q5, BMW X3 , Mercedes-Benz GLC ไปจนถึง Volvo XC60 ซึ่งทุกคัน ทั้งหมดนี้ ล้วนมีขนาดตัวรถ เล็กกว่า นั่งไม่สบายเท่า ช่วงล่างนุ่มไม่เท่า และแรงไม่เท่า Palisade เลยแม้แต่คันเดียว!

เหตุผลที่ Hyundai นำ Palisade อันเป็น Flagship SUV รุ่นสูงสุด หรูสุด และแพงสุด เข้ามาอวดโฉมในบ้านเรา ก็เพื่อจะแสดงให้คนไทยได้เห็นว่า ณ วันนี้ เทคโนโลยีและคุณภาพในด้านการประกอบและคุณภาพการขับขี่ ของรถยนต์เกาหลีใต้ เดินทางมาไกล และรุดหน้าไปไม่แพ้รถญี่ปุ่น หรือรถยุโรปแล้ว หลายๆด้าน ก็เอาชนะไปได้แล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ ในอดีตที่ผ่านมา ด้วยข้อจำกัดด้านภาษีนำเข้าของประเทศไทย และนโยบายของสำนักงานใหญ่ที่เกาหลีใต้ ทำให้เราไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกับ Hyundai รุ่นใหม่ๆ ที่ศิวิไลซ์ กว่า บรรดา Excel , Accent , Eleantra, Sonata,Scoupe , Tiburon หรือแม้แต่ H-1 รุ่นก่อนๆที่เคยเข้ามาโลดแล่นบนถนนเมืองไทยในอดีต กันเท่าใดนัก

การนำเข้า Palisade เข้ามาอวดโฉมในเมืองไทย เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนแล้วว่า นับจากนี้ เราจะได้เห็น รถยนต์รุ่นใหม่ๆของ Hyundai ทะยอยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ปี 2022 นี้เป็นต้นไป ภายใต้การนำเข้าของ Hyundai Motors Thailand เอง บางรุ่น อาจจะเคยทำตลาดมาก่อนแล้วในต่างประเทศ แต่เพิ่งปรับโฉม Minorchange ไปในตลาด Indonesia สดๆร้อนๆ อย่าง Hyundai Creta ขุมพลัง เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร 115 แรงม้า (PS) เกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งจะมาพร้อมกับอุปกรณ์ระดับ Full Option มีค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 8 – 9 แสนกว่าบาท มีกำหนดเปิดตัว กลางเดือนมีนาคม 2022

จากนั้น ตามมาติดๆด้วย เวอร์ชันหรู ของหม้อทอดติดล้อ Hyundai Staria Premium ซึ่งหลายคนกำลังรอคอยพบความหรูหราที่มากกว่า Staria รุ่นมาตรฐาน กำหนดเปิดตัวในช่วงงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2022

ไม่เพียงเท่านั้น ใครที่กำลังรอ รถยนต์ไฟฟ้า Hyundai Ionic 5 ซึ่งกำลังโด่งดังในยุโรป และขายดิบขายดี จนจองคิวกันยาวข้ามปี ขอยืนยันว่า ลูกค้าชาวไทย จะได้เป็นเจ้าของ Ionic 5 ส่งตรงจากโรงงานในเกาหลีใต้ (ไม่ใช่ Indonesia) ภายช่วงครึ่งแรกของปี 2022 นี้อย่างแน่นอน!! เพราะตอนนี้ รถตัวอย่าง ก็ถูกสั่งเข้ามาอวดโฉมกันแล้วที่ บูธ Hyundai ชั้น 3 ของอาคาร Samyan Mitrtown ตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์ 2022 ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่เปิดราคา แต่คาดว่า ค่าตัวก็น่าจะแพงเอาเรื่องอยู่ เพราะทั้งวัสดุในห้องโดยสาร และการตกแต่งต่างๆ อยู่ในระดับเดียวกับ Palisade พร้อมเครื่องเสียงชั้นดีจาก BOSE แถมยังใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูก หน้า-หลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อ 305 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 605 นิวตันเมตร ดังนั้น อย่าแปลกใจถ้าราคาอาจจะป้วนเปี้ยนแถวๆ 2 ล้านบาทกลางๆ

แต่บางรุ่นที่กำลังจะตามมาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่าง Hyundai Stargazer ถือว่า น่าสนใจ ไม่น้อยเลยละ เพราะจะเป็น Minivan ระดับเดียวกับ Mitsubishi Xpander , Suzuki XL7 และ Toyota Veloz ซึ่งจะมาถึงในราคาที่จับต้องได้ง่ายมากขึ้น คาดว่าน่าจะมีระดับราคา Price range ป้วนเปี้ยนแถวๆระดับ บวกลบ 8 แสนกว่าบาท เช่นกัน

ปีนี้ Hyundai จะเริ่มบุกตลาดเมืองไทยอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อหวังให้คนไทยได้รู้ว่า เกาหลีใต้ ไม่ได้มีดีแค่ บรรดาหนุ่มหล่อ อปป้า ในละครซีรีส์ หรือเครื่องไฟฟ้า LG กับมือถือและ TV Samsung เท่านั้น!

ภาพลักษณ์ Hyundai ในสายตาคนไทย ที่ อยู่ในระดับกลางๆ ไม่แย่ จะถูกยกระดับขึ้นให้สูงมากกว่านี้ได้หรือไม่ คงต้องมาดูกันในระยะยาว เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับว่า บริษัทแม่ในกรุง Seoul จะตั้งใจมากว่าครั้งก่อนๆที่ผ่านมามากน้อยแค่ไหน ผมคงปล่อยให้คุณไปนั่งจิบโชจูรอดูกันต่อไป

แต่ที่แน่ๆ ท่ามกลาง Hyundai รุ่นใหม่ๆ ที่กำลังทะยอยมาเปิดตัวในเมืองไทย มันมีอยู่เพียงรุ่นเดียว ทีจะยังไม่พร้อมขายจริงในตอนนี้ ทั้งที่ มีการส่งรถคันจริง ไปผ่านขั้นตอน Homologation เพื่อทำ ECO Sticker กับหน่วยงานภาครัฐของไทย เสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่นเพราะ Hyundai เกาหลีใต้ ยกเลิกแผนจะจำหน่าย SUV รุ่นหนึ่งนั้น ในบ้านเรา ตอนนี้ ไปก่อน โดยยังไม่มีกำหนดว่าจะพร้อมนำเข้ามาทำตลาดได้เมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องที่ น่าเสียดายไม่น้อยเลย

ก็รถคันที่คุณเพิ่งอ่านบทความรีวิวจบลงไปสดๆร้อนๆ มาถึงบรรทัดนี้ เนี่ยแหละครับ!

——————————-///——————————-

ขอขอบคุณ / Special Thanks to:

บริษัท Hyundai Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆอย่างดียิ่ง

เตรียมข้อมูลตัวรถโดย Yutthapichai Pantumas (QCXLoft)

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียนและ Hyundai Motors
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
22 กุมภาพันธ์ 2022

Copyright (c) 2022 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
Febuary 22nd, 2022

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE

———————————————————