(Video Clip version of this Full Review is now available at the end of this article)
(วีดีโอคลิปทดลองขับของรถคันนี้ อยู่ด้านล่างสุดของบทความนี้)

———————————————–

“Hamster”

Mark Pongswang หนึ่งในทีมเว็บของเรา ผุดโพล่งคำจำกัดความนี้ ออกมาโดยบังเอิญในระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปรอบทางด่วนเฉลิมมหานคร ช่วงกลางดึกคืนวันหนึ่ง บน รถเก๋งคันเล็กสีฟ้า คันนี้

ทำไมต้องเป็น Hamster?

ตามปกติแล้ว หนู Hamster เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลฟันแทะ ที่ น่ารัก มีความซุกซน อยากรู้อยากเห็น มันมีความคล่องแคล่ว ว่องไว ถึงจะตัวเล็ก แต่ก็มีความพิเศษในตัวของมันเอง มีทั้งนิสัยน่ารัก หรือดุร้าย ตามแต่ละสายพันธุ์  ทั้ง 5 ชนิด

“พี่ดูหน้าตามันสิ กระจังหน้าฟันหนูขนาดนี้ เหมือน ฟันหน้าของ Hamster ไหมหละ? อีกอย่างนึง Hamster ตัวนี้ มันค่อนข้างขยันเอาเรื่อง ถ้าจับไปวิ่งอยู่บนกงล้อ มันจะเป็น Hamster ที่มีแรงต้นดี แรงปลายก็ดี วิ่งไม่มีแผ่วเลย เหมือนพละกำลังของรถคันนี้ ขณะเดียวกัน ถึงตัวมันจะเหมือน Hamster แต่มันก็มีบุคลิกและลำตัวเหมือน Fusion กับ กระรอก ที่ชอบวิ่งไต่ไปตามต้นไม้ เลาะไปตามเสาไฟฟ้า ถ้าเปรียบกับ รถคันนี้ ก็คือ มันมุดดี จี๊ดจ๊าด ที่สำคัญ Feeling การขับ เราไม่ได้ตั้งความคาดหวังกับมัน แต่เอาเข้าจริง มันดีกว่าที่เราคาดคิดเอาไว้”

เออ ผมก็ว่า มันเหมือนจริงๆด้วยแหละ!

จะว่าไปแล้ว ช่วงเวลาก่อนที่เราจะยืมรถคันนี้มาทดลองขับกัน เราไม่ค่อยพบเห็น 2 Series Gran Coupe บนท้องถนนมากนัก แต่หลังจากที่ รถคันสีฟ้านี้มาอยู่ในมือเรา Mark ถึงกับตั้งข้อสงสัยเลยว่า ทำไมเจ้าตัวถึงได้พบเห็น 2 Series Gran Coupe ในปริมาณเยอะขึ้นผิดหูผิดตา คละเคล้ากันไป ทั้งป้ายขาว และป้ายแดง บางคัน ที่เจอ ก็เป็นสีฟ้าเหมือนกัน มาจอดอยู่ถัดจากกันต่อแถวเลย หรือในขณะที่เรากำลังแล่นทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงบนทางด่วนเชียงราก ก็มี 220i Gran Coupe M Sport สีเทาเข้ม ป้ายแดง ขับตามเราไปเรื่อยๆ ในระยะใกล้กัน ราวกับว่าเป็นความสุขของ ลูกค้ารายนั้น ที่ได้ขับรถตีคู่ไปกับพวกเรา ราวกับกำลังถ่ายหนังโฆษณากันเลยทีเดียว

การพบเจอเรื่องแปลกๆแบบนี้ อาจดูเป็นเหมือนเรื่องบังเอิญบนท้องถนนทั่วไปมากกว่า แต่ถ้ามาพิจารณากันดีๆ คุณจะพบว่า มันมีเหตุผลซ่อนอยู่

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนถึงทุกวันนี้  ผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งยุโรป พยายาม ขยายตลาด ลงมาเล่นกับลูกค้าที่อยากอัพเกรดจากรถญี่ปุ่น มาเป็นรถยุโรป ที่ผมขอเรียกว่า European Car’s First time buyers มากขึ้น เพราะมองว่า ผู้บริโภคชาวไทย จำนวนไม่น้อย ที่เริ่มมีฐานะการเงินดีขึ้น ทั้งจากธุรกิจค้าขาย On-line หรือการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาด Crypto Currencies ฯลฯ ก็เริ่มอยากจะยกระดับสถานะและคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น การเริ่มต้นอุดหนุนรถยนต์ยุโรป คันแรกในชีวิต ระดับราคา 1.8 – 2.2 ล้านบาท แทนที่จะซื้อ รถญี่ปุ่น รุ่นท็อป ระดับราคา 1.8 – 2 ล้านบาท จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าสังเกตดูให้ดีๆ จะพบว่า บรรดาผู้ผลิตชาวยุโรป เอง ก็เริ่มเลือกสรรหารถยนต์รุ่นเล็ก ระดับราคาไม่แพงนัก มาจัด Option ให้ดีๆ และตั้งราคาดึงดูดใจผู้บริโภคชาวไทยเพิ่มขึ้นมาก แต่ข้อจำกัดของแต่ละผู้ผลิต ก็ย่อมมีแตกต่างกันไป

BMW เอง ก็เป็นอีกผู้ผลิตฝั่งยุโรป ที่ยอมเล่นกับกระแสความต้องการของผู้บริโภคดังกล่าวนี้ด้วย เพียงแต่ว่า ในอดีตที่ผ่านมา พวกเขาพยายาม นำ 1-Series หรือ 2-Series เข้ามาลองทำตลาดดู แต่ด้วยการสั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน ทำให้ราคาขายปลีกค่อนข้างแพงไปในสายตาลูกค้า จึงมยอดขายอยู่ในวงจำกัด

จนกระทั่งกาลต่อมา BMW Thailand ตัดสินใจ สั่ง X1 SUV คันเล็ก เข้ามาประกอบขายในประเทศ ช่วยกดให้ราคาถูกลง จนเริ่มเก็บกวาดลูกค้าไปได้มากขึ้น จนเราได้เห็น X1 โลดแล่นบนถนนในบ้านเรา หนาตาขึ้นชัดเจน อย่างไรก็ตาม สำหรับรถเก๋งคัเล็กราคาถูกนั้น BMW เอง ก็ประสบปัญหา กับนโยบายการทำตลาด ของ บริษัทแม่ ที่จะสงวน 1-Series ตัวถัง Saloon เอาไว้ สำหรับตลาดเมืองจีนแผ่นดินใหญ่โดยเฉพาะเท่านั้น

เท่ากับว่า ทางเลือกที่เหลืออยู่ ก็คือ จำเป็นต้องนำ 2 Series Gran Coupe เข้ามาเปิดตลาด ในบ้านเรา แทน โดยเน้นรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว กว่าคู่แข่ง และมาพร้อมขุมพลังที่มีเรี่ยวแรงสูงกว่า หวังเอาใจลูกค้าวัยรุ่น กับกลุ่มสุภาพสตรี อันเคยเป็นกลุ่มเป้าหมายของ 1-Series ในอดีต เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม อยากให้เข้าใจกันเสียก่อนว่า นี่ไม่ใช่ รถยนต์ Sedan แท้ๆ อันที่จริง นี่คือ รถยนต์ Coupe 4 ประตู เสียด้วยซ้ำ สำหรับใครที่ยังงงๆ ไม่เข้าใจ หรือไม่รู้ว่า มันแตกต่างจากรถยนต์ Sedan อย่างไร ผมคงต้องบอกว่า ถ้าคุณนึกถึง Mercedes-Benz CLS หรือ CLA ออก 2-Series Gran Coupe ก็คือรถยนต์ประเภทเดียวกันนั่นละครับ แต่มีขนาดเล็กกว่า

แล้วที่มาที่ไปของรถคันนี้ เป็นอย่างไร ทำไม BMW ถึงตัดสินใจทำ 2-Series Gran Coupe ออกมา เหตุผลต่างๆ อยู่ข้างล่างนี้แล้วครับ คลิกเลื่อนลงไปอ่านต่อกันได้เลย!

ต้องยอมรับว่า การเปิดตัว Mercedes-Benz CLS ครั้งแรก ในปี 2004 ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ในการแตกขยายสายพันธ์รถยนต์ตัวถัง Coupe ให้มีตัวถังแบบ 4 ประตู ในหมู่ผู้ผลิตชาวยุโรป อย่างมาก ในตอนนั้น ขนาด Volkswagen ยังตัดสินใจ แตกหน่อ Passat รถยนต์นั่งขนาดกลางระดับ D-Segment ออกมาเป็นตัวถัง Coupe 4 ประตู ออกจำหน่าย ในชื่อ Volkswagen Passat CC (ซึ่งก็เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ช่วงปี 2010)

BMW เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงในตลาดกลุ่มนี้อยู่พักใหญ่ จนเริ่มเห็นลู่ทางความเป็นไปได้ในการขยายตัวของตลาดกลุ่มนี้ จึงเริ่มเปิดตัวรถยนต์ประเภท 4-door coupe ของตนเอง เป็นครั้งแรกในปี 2012 ในรูปของ BMW 6 Series Gran Coupe ตามมาด้วย BMW 4 Series Gran Coupe ในปี 2014 และหลังจากนั้น ในเดือนกันยายน ปี 2019 BMW 8 Series Gran Coupe ก็ได้ถูกเปิดตัวตามออกมา

อย่างไรก็ตาม BMW มองเห็นว่า ยังมีความต้องการของลูกค้าจำนวนหนึ่ง ที่มีอายุน้อย เก็บหอมรอมริบ เพื่อซื้อ BMW คันแรกในชีวิต แต่ยังมองว่า 3 Series รถยนต์กลุ่ม Premium Compact ที่กลายมาเป็น Benchmark ให้กับบริษัทรถยนต์ทุกค่ายไปแล้วนั้น อาจมีราคาเกินเอื้อมไปสักหน่อย อีกทั้ง การเติบโตด้านยอดขายทั่วโลกของ คู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz CLA อันเป็นรถยนต์ แบบ Premium Sub-Compact แบบ Coupe 4 ประตู ก็ยิ่งทำให้ ชาว Munich ตัดสินในตามประกบเพื่อนร่วมชาติชาว Stuttgart เพื่อเติมเต็ม line-up และต่อกรกับคู่แข่งชนิด หมัดต่อหมัด เอาให้เป็นมวยถูกคู่กันไปเลย BMW จึงตัดสินใจพัฒนา BMW 2 Series Gran Coupe รหัส F44 ออกมาทำตลาดทั่วโลก

BMW 2 Series Gran coupe ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้ UKL 2 platform ซึ่งเป็นพื้นฐานงานวิศวกรรมของ BMW ที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดเล็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรถที่มีขนาดมิติตัวถังที่เล็ก แต่มีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารที่มาก และเพื่อใช้สร้างรถยนต์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น BMW 1 Series (F40/F52), BMW X1 (F48), Mini Countryman (F60), BMW X2 (F39), BMW 2 Series Coupe (F45), BMW 2 series Active Tourer, Mini Countryman (F60), Mini Clubman (F54)

การเปิดตัวของ BMW 2 Series Gran Coupe นับว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์แบบ four-door coupe ขนาด Premium Sub-Compact ครั้งแรกของ BMW ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ BMW 2 Series Gran Coupe จะไม่มีรถโฉมก่อนหน้าให้ระลึกถึงโดยตรง

BMW เริ่มเปิดเผยถึงการพัฒนาขั้นสุดท้ายของ 2 Series Gran Coupe ผ่านภาพถ่ายรถยนต์ต้นแบบที่ออกแล่นทดสอบอยู่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2019 หลังจากนั้น พวกเขาก็เว้นว่างไปอีกพักใหญ่ รอจังหวะ ส่งรถยนต์ต้นแบบคันจริง ไปเปิดตัวครั้งแรก ณ งาน Los Angeles Auto Show ในวันที่ 16 ตุลาคม 2019 และกว่าจะพร้อมออกจำหน่ายจริง ก็ต้องรออีก 2-3 เดือน หลังจากนั้น โดย ช่วงแรกที่ออกสู่ตลาดโลก 2-Series Gran Coupe มีให้เลือกเพียง 3 รุ่นย่อย นั่นคือ 218i M235i และ 220d

23 กันยายน 2020 เพิ่มรุ่นย่อย 216d เริ่มออกสู่ตลาดในเดือนพฤศจิกายน 2020 หลังจากนั้น 15 ธันวาคม 2020 มีการเพิ่มรุ่นย่อย 220i และปรับปรุงข้อมูล ผลการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย และค่ามลพิษ ตามมาตรฐาน WLTP ตามด้วย การ Update เพิ่มรุ่น 220i xDrive ขับเคลื่อน 4 ล้อ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2021 และปล่อยออกสู่ตลาดยุโรป เมื่อ 3 มีนาคม 2021

27 พฤษภาคม 2021 เพิ่มสี Phytonic Blue metallic และ Skyscraper Grey metallic ก่อนที่จะมีการปรับปรุงครั้งล่าสุด ด้วยการ เพิ่มสีพิเศษ และรุ่นตกแต่งพิเศษ M235i xDrive Edition ColorVision เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2022 ที่ผ่านมา สำหรับตลาดยุโรป เท่านั้น

สำหรับประเทศไทย BMW Thailand สั่งนำเข้า 2-Series Gran Coupe มาเปิดตัวเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2020 โดยเป็นรุ่น 218i Gran Coupe M Sport วางเครื่องยนต์ B38 เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร Twin Power Turbo 140 แรงม้า (HP) บล็อกเดียวกับ BMW X1 sDrive18i และ MINI บางรุ่น แต่เนื่องด้วยเป็นการนำเข้ามาขาย แบบ CBU จึงทำให้ราคาขายของ 218i Gran Coupe M sport สูงถึง 2,399,000 บาท รายละเอียด Click Here ซึ่งใกล้เคียงกับราคาขายของ BMW 320d M sport อย่างมาก ทำให้ในสายตาของผู้บริโภคส่วนมากมองว่า การเพิ่มเงินไปซื้อ 320d นั้นคุ้มค่ามากกว่า อีกทั้งคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz A200 ได้ถูกนำมาประกอบในประเทศ CKD หลังจากที่ 218i Gran Coupe เปิดตัวได้ไม่นาน โดยที่มีราคารุ่นเริ่มต้นถูกกว่าถึง 400,000 บาท ดังนี้ BMW 218i Gran Coupe จึงมียอดขายไม่ดีเท่าใดนัก

จากนั้น 17 พฤศจิกายน 2020 จึงเปิดตัว 220i Gran Coupe’ M Sport เวอร์ชั่นประกอบในประเทศ (CKD) จากโรงงาน BMW Group manufacturing Thailand ที่จังหวัดระยอง ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ที่ การเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น 220i อันเป็นผลจากการ Upgrage ขุมพลัง มาเป็น แบบเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 192 แรงม้า (PS)  อีกทั้งยังมีการลดราคา รุ่น 220i M sport ลงอีก 230,000 บาท เหลือเพียง 2,169,000 บาท ยิ่งช่วยให้ลูกค้าจำนวนมาก เริ่มหันมาเมียงมอง จนเริ่มมียอดขายกระเตื้องขึ้น และทำตลาดมายาวๆจนถึงปัจจุบัน รายละเอียดความแตกต่าง Click Here

ต่อมา 10 มิถุนายน 2021 มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 220i Gran Coupe’ Sport ราคา 1,999,000 บาท เพื่อเน้นทำตลาดลูกค้าที่อยากได้ BMW คันแรกในชีวิต ในราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท กลายเป็น BMW 4 ประตู ที่มีค่าตัวถูกสุดในโชว์รูม ณ ขณะนั้น รายละเอียด Click Here

ล่าสุด ด้วยสถานการณ์ ปัญหาขาดแคลน Chip ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ เมื่อวันที่ พฤษภาคม 2022 ที่ผ่านมา BMW Thailand ประกาศปรับราคา 220i Gran Coupe M Sport ขึ้นมาเป็น ราคาใหม่ 2,239,000 บาท และเหลือทำตลาดในเมืองไทยเพียงรุ่นย่อยเดียว ณ ตอนนี้


Dimension / ขนาดตัวถัง

มิติตัวถัง ยาว 4,526 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,420 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถสุทธิ 1,375 กิโลกรัม ในรุ่นมาตรฐาน และ 1,430 กิโลกรัม ในรุ่น M Sport

อันที่จริง ถ้าต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่ตรงพิกัดที่สุด ก็ควรจะเทียบกับ Mercedes-Benz CLA-Class รุ่นล่าสุด เพราะถือว่าเป็นรถยนต์ ประเภทเดียวกัน คือ Premium Compact 4 ประตู แบบ Frameless Door ซึ่งมีตัวถังยาว ยาว 4,695 มิลลิเมตร กว้าง 1,834 มิลลิเมตร สูง 1,404 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,729 มิลลิเมตร

แต่เนื่องจากว่า ในประเทศไทย CLA มีจำหน่ายเฉพาะรุ่น CLA 35 AMG ซึ่งมีราคา และ ตำแหน่งการตลาดสูงกว่า 220i อย่างชัดเจน ดังนั้น มีทางเดียวคือ คงต้องเปรียบเทียบกับ Mercedes-Benz A200 Saloon ที่มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,556 มิลลิเมตร กว้าง 1,796 มิลลิเมตร สูง 1,425 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว (Wheelbase) 2,729 มิลลิเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่า 2-Series Gran Coupe สั้นกว่า A200 Saloon 30 มิลลิเมตร กว้างกว่าแค่ 4 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 5 มิลลิเมตร แต่ระยะฐานล้อ สั้นกว่า 59 มิลลิเมตร


Exterior / งานออกแบบภายนอก

งานการออกแบบดูเหมือนกับการนำ BMW 4-Series Gran Coupe มาทุบด้านหน้าและด้านหลัง ให้สั้นกระชับลง โดยแนวเส้นสายหลัก มาในสไตล์ classical coupe blueprint แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับตัวถัง แบบ 4 ประตู

ด้านหน้ามาพร้อมกระจังหน้า ทรงไตคู่ขนาดใหญ่แบบปานกลาง เป็นเอกลักษณ์ ของBMW วางชิดติดกัน ตัดกรอบด้วยวัสดุสีเงินเมทัลลิค โดยรายละเอียดด้านในกระจังเป็นเส้นแนวตั้งเรียงกันอย่างสวยงาม ไม่ดูดุเดือดเหมือน BMW รุ่นใหม่ๆ ในช่วง ปี 2021 – 2022 นี้

ชุดไฟหน้าเป็นแบบ Full LED กล่าวคือ ทั้งไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยว ไฟ DRL และไฟหรี่ ล้วนเป็นแบบ LED ทั้งสิ้น มาพร้อมระบบระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปรับระดับสูง – ต่ำอัตโนมัติ รายละเอียดในชุดไฟหน้าของ 220i M sport ถูกจัดเรียงแบบ four-eyed เพื่อผสานให้เข้ากับกระจังหน้าทรงไตคู่

ถัดลงมาเป็นกันชนดีไซน์ M Aerodynamics พร้อมวัสดุตกแต่งช่องดักลมสีดำเงา และไฟตัดหมอกคู่หน้า แบบ LED นอกจากนี้ยังมี Sensor กะระยะด้านหน้าทั้งหมด 6 จุด โดยเป็นเซนเซอร์สำหรับตรวจจับวัตถุด้านหน้า 4 จุด และเซนเซอร์สำหรับตรวจจับวัตถุด้านข้างอีก 2 จุด

ดีไซน์ด้านข้างมีรูปทรงเป็นแบบ 4 ประตู Coupe ที่มีจุดเด่นอยู่ที่กระจกหน้าต่างด้านข้าง ออกแบบในลักษณะที่เรียกว่า 6 Windows แถมยังใช้บานประตูแบบไร้เสากรอบหน้าต่าง หรือ Frame-less Door ทั้ง 4 บาน และรูปทรงของเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ที่มีความลาดมากกว่ารถยนต์ 4 ประตู Sedan ทั่ว ๆ ไป พร้อมแนวเส้น Hofmeister Kink อันเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์งานออกแบบบนเรือนร่างของ BMW ทุกคัน บริเวณ กระจกหน้าต่างคู่หลังสุด

กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ สามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ปรับมุมต่ำเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง มือจับเปิดประตูด้านนอกเป็นสีเดียวกับตัวรถ ที่สามารถฉายไฟสัญลักษณ์ BMW ลงพื้นได้ในยามค่ำคืน และมาพร้อมระบบ Comfort access ซึ่งรองรับระบบ Digital Key

ด้านหลังมาพร้อมชุดไฟท้าย แบบ Full LED ที่ถูกเชื่อมโดย Trim Piece สีดำเงา ซึ่งช่วยเสริมให้บั้นท้ายของรถ ดูมีความกว้าง และดูดุดันมากขึ้น ถัดลงมาเป็นเปลือกกันชนหลัง แบบ M Aerodynamics ที่มีช่องดักลมทั้งสองฝั่ง โดยมีเส้นสายพาดเชื่อมต่อ ระหว่างช่องดักลมด้านซ้าย และด้านขวา อย่างลงตัว โดยเส้นสายเส้นนี้ ถูกวางให้ขนานกับ Trim Piece สีดำเงาด้านบน ทำให้เส้นสายด้านท้ายรถค่อนข้างมีความเป็นระเบียบ และยังคงสเน่ห์ความเรียบร้อยของเส้นสายไว้ได้ ตามแบบฉบับของรถเยอรมัน

เปลือกกันชนหลัง ของ 220i Gran Coupe M sport ถูกติดตั้ง ชุด Sensor กะระยะ ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 6 ตำแหน่ง แบ่งเป็นเซนเซอร์สำหรับตรวจจับวัตถุด้านท้ายรถ 4 ตำแหน่ง และ เซนเซอร์สำหรับตรวจจับวัตถุด้านข้าง 2 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งของเซนเซอร์นั้น จะถูกวางในตำแหน่งที่ต่ำกว่าแผงไฟทับทิมเรืองแสงสีแดง เล็กน้อย

ด้านล่างของเปลือกกันชนหลัง ตกแต่งด้วยสี เทาดำ สอดรับกับท่อไอเสียทรงกลม ทั้ง 2 ฝั่ง ซ้าย – ขวา ทั้งนี้ท่อไอเสียทั้งสองฝั่งเป็นท่อเสียจริง มิใช่ท่อไอเสียหลอก แบบบางค่ายแต่อย่างใด

ล้ออัลลอย ติดรถมาจากโรงงาน เป็นลาย M Sport ขนาด 8 J x 18 นิ้ว สวมด้วย ยาง Bridgestone Turanza T005 ขนาด 225/40 R18 (Runflat) บอกไว้เป็นข้อมูลเล็กน้อยก็แล้วกันว่า ในรุ่น 220i Gran Coupe Sport ที่เพิ่งยกเลิกการจำหน่ายไป จะเป็นล้ออัลลอยขนาด 17” x 7.5”J ลาย 5 ก้านคู่ รัดด้วยยาง Runflat ขนาด 215/55 R17

ด้วยเส้นสายตัวรถทั้งคัน ที่สวยงาม สมส่วน ลงตัว ทำให้ 2-Series Gran Coupe เคยได้รับรางวัล Most Beautiful Car of the Year ในงาน the Festival Automobile International exhibition ซึ่งจัดขึ้นในกรุง Paris ระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2020

Interior / ภายในห้องโดยสาร

ระบบกลอนประตู ทำงานร่วมกับ Remote Control พร้อมกุญแจแบบฝั่งไว้ด้านในตัวรีโมท เมื่อพกกุญแจเดินเข้าใกล้รถ แล้วเอื้อมไปจับมือเปิดประตู ระบบจะปลดล็อกให้อัตโนมัติ และหากต้องการสั่งล็อกประตู ก็สามารถทำได้โดยใช้นิ้วแตะที่ช่องวงรี บนมือจับประตูทั้ง 4 บาน หรือจะกดปุ่มล็อก – ปลดล็อก จากกุญแจรีโมทก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีระบบสวิตช์ปลดล็อกฝาท้าย สวิตช์สั่งให้รถร้องเตือนเมื่อมีการบุกรุกจากผู้ไม่ประสงค์ดี และระบบ Immobilizer ฝังมาให้ด้วยเสร็จสรรพ

อันที่จริง ในรถรุ่นปี 2020 – 2021 มีระบบ Digital key ซึ่งสามารถใช้ Smart Phone หรือ Smart watch ในการปลดล็อค และสตาร์ทเครื่อง โดยไม่ต้องใช้กุญแจ สำหรับการปลดล็อค เพียงแค่นำโทรศัพท์ที่ถูกตั้งค่าให้ใช้กับรถ ให้อยู่ในรัศมี 1.5 นิ้ว จากมือจับประตู รถก็จะปลดล็อคให้ เมื่อเข้าสู่ภายในรถแล้ว หากต้องการสตาร์ทรถ ก็เพียงวางโทรศัพท์ลงในช่อง Wireless Charging แล้วกดปุ่ม Start stop ทั้งนี้ระบบ Digital Key นั้นรองรับโทรศัพท์ และ Smart watch บางรุ่นเท่านั้น แต่สำหรับสาวก iPhone ที่ใช้ iPhone ตั้งแต่รุ่น iPhone XR เป็นต้นไป ก็สบายใจได้ เพราะโทรศัพท์ของคุณรองรับการใช้งาน Digital Key แน่นอน

ทว่า ด้วยปัญหา Chip Shortage ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2020 จนถึงตอนนี้ และมีแนวโน้มรุนแรงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2023 ดังนั้น BMW จึงตัดสินใจ ถอดระบบ Digital Key ออกจากรถที่จำหน่ายในเมืองไทย ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม 2022 นี้ เป็นต้นไป

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า อาจต้องทำใจสักหน่อย เนื่องจากช่องประตู มีขนาดค่อนข้างเล็กใกล้เคียงกับรถญี่ปุ่น กลุ่ม B-Segment ECO-Car ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนตัวใหญ่ อาจต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณปรับเบาะนั่งในตำแหน่งต่ำสุด โอกาสที่ศีรษะจะโขกกับเสากรอบหลังคา ก็จะลดน้อยลง ส่วนการลุกออกมาจากรถนั้น เนื่องจากชายขอบด้านล่างของบานประตู ไม่ได้ปิดคลุมลงมาจนสุดด้านล่าง จึงมีโอกาสที่ขากางเกง หรือชายกระโปรงของคุณ อาจจะพาดไปโดนกับฝุ่นโคลน ที่ติดมากับ Skirt ด้านข้างตัวรถได้

ประตูทั้ง 4 บานเป็นแบบ Frameless Door ดังนั้น เมื่อเปิดประตูออกมา กระจกหน้าต่าง จะเลื่อนลงมานิดนึง และเมื่อปิดประตู หน้าต่างจะเลื่อนกลับขึ้นไปจนสุดยางกันเสียงที่ตัวถัง ตามเดิม ทั้ง 4 บาน เฉกเช่นเดียวกับ BMW ตัวถัง Coupe ทุกรุ่น ที่ผ่านมา

แผงประตูคู่หน้า มีลักษณะงานออกแบบไปในทิศทางเดียวกันกับ BMW ในยุคสมัยนี้ โดยติดตั้งมือเปิดประตู พลาสติกชุบโครเมียม พร้อมหมุดล็อกรถ ไว้ด้านบนสุด ถ้าจะเปิดประตู ก็สามารถดึงเปิดได้เลยทันที  ด้านบนของแผงประดูถูกขึ้นรูปด้วยวัสดุ แบบ Soft touch material

ถัดลงมา เป็นแผง Trim สีเงิน กัดลายขึ้นรูป Graphic เพื่อรองรับกับการส่องสว่างของไฟ Ambient Light ในยามค่ำคืน ประดับอยู่เหนือแผงลำโพงของชุดเครื่องเสียง ที่ยกระดับจากด้านล่าง ขึ้นมาอยู่ตรงกลางแผงประตู ร่วมกับแผงบุนุ่มหุ้มหนังบางๆ ประดับให้พอมีพื้นที่ Soft Touch อยู่บ้าง จุดที่จะทำให้แผงประตูของ 220i โดดเด่น และแตกต่างจาก BMW รุ่นอื่น ๆ คือการตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน แบบ illuminated Boston เพราะเป็นการตกแต่งที่มีใน BMW 2 Series Gran Coupe เท่านั้น

พนักวางแขน บุนุ่มด้วยฟองน้ำ หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ เดินตะเข็บด้ายจริงสีฟ้า ออกแบบให้ทำมุมลาดเอียง และมีมือจับสำหรับดึงปิดประตู ซึ่งไม่ได้ออกแบบให้เป็นช่องวางของจุกจิกใดๆมาให้เลย ออกแบบให้เทลาดลงไปทางด้านหน้ารถ ขณะที่แผงสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ก็จะเอนขึ้นตั้งรับในระดับที่เหมาะสม ทำให้การวางแขน ของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า สามารถวางได้ตำแหน่งพอดีตั้งแต่ข้อศอกจรดปลายนิ้ว

ถัดลงไปด้านล่าง เป็นช่องใส่ของจุกจิก พร้อมช่องวางขวด/แก้วเครื่องดื่ม มีขนาดพอให้วางแก้ว Starbucks ทรงสูงปานกลาง หรือขวดน้ำดื่มขนาด 7 บาท ได้ 1 ขวด

การตกแต่งภายในของ 220i นั้น ขึ้นอยู่กับว่า คุณเลือกสีตัวถังภายนอก เป็นสีอะไร? ถ้าภายนอกรถเป็นสีขาว Alpine White และสีดำ Black Sapphire ห้องโดยสารจะตกแต่งด้วย โทนสีดำผสมกับแดง โดยตัวเบาะ กับหนังบุแผงประตูจะเป็นสีแดง Magma Red ขณะที่แผงคอนโซลหน้า แผงประตูบางส่วน และผ้าหลังคาจะเป็นสีดำ

แต่ถ้าใครเลือกสีภายนอกรถเป็น สีเทา Skyscrapper Grey และสีฟ้า Snapper Rock Blue แบบรถคันที่ เรา นำมามาทดลองขับ ภายในห้องโดยสารจะถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่ง ผ้าหลังคา แผงคอนโซลหน้า พวงมาลัย

เบาะนั่งคู่หน้า ใช้ฟองน้ำแบบ “แน่นติดนุ่ม” กำลังดี ติด Firm นิดๆ หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ Dakota สีดำ สามารถปรับเอน ตั้งชัน เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ได้ทั้ง 2 ฝั่ง แต่เฉพาะเบาะนั่งฝั่งเบาะคนขับ จะเพิ่มระบบจดจำตำแหน่งเบาะ (Memory Seat) มาให้ 2 ตำแหน่ง รวมทั้งเพิ่มสวิตช์ปรับขยายหรือหุบปีกเบาะมาให้เป็นพิเศษ ให้สัมผัสที่แน่นนุ่มกำลังดีกับแผ่นหลัง รองรับตั้งแต่ช่วงสะบักลงมาจนถึงก้นกบได้ดี ในแนวเบาะแบบกึ่งสปอร์ต แม้จะไม่มีตัวปรับดันหลังมาให้ แต่ก็มีจุดโป่งนูน ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ทำให้รองรับช่วงกลางแผ่นหลังได้ดีพอสมควร แถมยังมีปีกเบาะด้านข้างที่สูงประมาณนึง ช่วยเพิ่มความโอบกระชับให้กับลำตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าได้อย่างดี บางคนอาจจะไม่ชอบการดันหลังที่เหมือนจะมากไปนิด แต่พอใช้ชีวิตอยู่ด้วยจนคุ้นชิน ก็จะยอมรับได้สบายๆ

พนักศีรษะ มาเป็นก้อนที่มีฟองน้ำเสริมข้างใน แนว “นุ่ม” ผิดวิสัย BMW ทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ปรับระดับสูง – ต่ำได้ถึงแม้จะปรับมุมดันคอ ดันท้ายทอย เหมือน 3 Series ญาติผู้พี่ไม่ได้ แต่ตำแหน่งของพนักศีรษะ กลับไม่รบกวน หรือดันกบาล ใดๆเลย

เบาะรองนั่งคู่หน้า ใช้ฟองน้ำแบบบางประมาณหนึ่ง แต่เน้นความ “นุ่มแน่น” ออกแบบมาในลักษณะของเบาะรถสปอร์ต Bucket Seat ซึ่งโอบกระชับลำตัวอย่างมาก ตามปกติแล้ว ความยาวของตัวเบาะ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เหมาะสม  คือ ยาวแค่เกือบถึงขาพับ แต่ถ้าคุณคิดว่ายังไม่พอใจ ก็สามารถปรับความยาวของเบาะรองนั่ง ด้วยการดึงคันโยกเลื่อนเพิ่มความยาวของตัวรองท้องน่อง เพื่อ Support ให้เหมาะสมกับสรีระที่แตกต่างของมนุษย์ คันโยกนี้ มีมาให้ครบ 2 ฝั่ง ทั้งเบาะคนขับ และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย โดยส่วนตัว ผมชอบเบาะคู่หน้าของ 220i Gran Coupe มากกว่า A200 Saloon

เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ Pre-tensiner & Load Limiter น่าเสียดายว่า ไม่สามารถปรับระดับสูง – ต่ำ ใดๆได้เลย ดังนั้น ถ้าคุณปรับเบาะนั่งไม่ดี โอกาสที่สายเข็มขัดจะบาดกับลำคอของคุณก็มีสูงอยู่

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง เป็นข้อด้อยสำคัญของ 220i Gran Coupe คันนี้ ด้วยเหตุผลที่ตัวรถ ถูกออกแบบมาในสไตล์ ที่จงใจให้เป็น Coupe 4 ประตู ดังนั้น ช่องทางเข้า-ออกด้านหลัง จึงมีขนาดเล็กกว่า 1-Series Saloon ที่ทำตลาดเฉพาะในเมืองจีน อย่างชัดเจน รวมทั้งยังเล็กแคบกว่า Mercedes-Benz A200 Sedan ด้วย ถ้าให้พูดกันตรงๆยิ่งกว่านี้อีกก็คือ มันเล็ก และแคบพอๆกันกับ Mazda 2 แบบ 5 ประตู ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นปัจจุบัน เผลอๆ ช่องประตูคู่หลังของ Suzuki Ciaz , Toyota Vios และ Yaris Ativ ยังจะกว้างกว่า เสียด้วยซ้ำ!

แต่ถึงจะเล็กแคบขนาดไหน ผมก็สามารถเอาสรีระร่างอ้วนๆ ลอดเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของ 220i Gran Coupe ได้อยู่ เพียงแต่ว่า ต้องระวัง และก้มศีรษะให้เยอะๆ เพื่อไม่ให้ไปโขกกับเสาขอบหลังคาด้านบน ส่วนตอนลุกออกมาจากรถนั้น  ยังไงๆ ขาก็จะต้องกวาดไปโดนกับขอบด้านล่างของแผงประตูอยู่ดี และอาจต้อง จับยึดเบาะ หรือประตู เพื่อพยุงตัวลุกออกมา

กระจกหน้าต่างไฟฟ้า เลื่อนลงมาได้ไม่สุดขอบราง เป็นเพราะขนาดความกว้างของบานประตูด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนแผงประตูคู่หลัง ออกแบบในทิศทางเดียวกับแผงประตูคู่หน้า คันโยกเปิดประตูพลาสติกชุบโครเมียมสีเงิน และเดือยล็อกประตูยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนกัน ถัดลงมาเป็นแถบ Trim ตกแต่งสีเงิน และมีลำโพงคู่หลัง ย้ายขึ้นมาอยู่ตรงกลางของแผงประตู ร่วมกับแผงบุนุ่มหุ้มหนังบางๆ ประดับให้พอมีพื้นที่ Soft Touch อยู่บ้าง

พนักวางแขนบนแผงประตูคู่หลัง ออกแบบให้ลาดเอียง และตกแต่งด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ หุ้มฟองน้ำ แบบเดียวกับ บนแผงประตูคู่หน้า เพียงแต่ว่า มีขนาดสั้นกว่า ตามความกว้างของแผงประตูคู่หลัง จริงอยู่ว่า การวางแขนยังคงทำได้สบายตั้งแต่ข้อศอกจรดปลายนิ้ว ใกล้เคียงกัน แต่ความกว้างของตัวพนักวางแขน อาจจะแคบกว่า ด้านหน้า เล็กน้อย อีกทั้ง ปีกด้านข้างของพนักพิงเบาะหลัง ยังมีขนาดใหญ่ จนต้องทำโค้ง และกินพื้นที่เข้าใกล้แผงประตูมาก ส่งผลให้ข้อศอกของคุณ จำเป็นต้องไปโดนเข้ากับปีกเบาะดังกล่าว อาจก่อความไม่สบายนักสำหรับบางคน แต่สำหรับผม พอยอมรับได้ กับประเด็นนี้ ส่วนด้านล่างของแผงประตูคู่หลัง มีช่องใส่ขวดน้ำดื่มขนาด 7 บาท หรือแก้วเครื่องดื่มได้ 1 ตำแหน่ง รวมทั้งยังพอจะวางของจุกจิกได้บ้างนิดๆหน่อย

เบาะนั่งด้านหลัง ตกแต่ง และหุ้มด้วยหนัง Dakota แบบเดียวกับเบาะด้านหน้า และมีพักวางแขนตรงกลางให้ พร้อมกับช่องวางแก้ว แบบมีฝาปิดพับบานประตู สองตำแหน่ง นอกจากนี้ตัวพนักพิงหลัง ยังสามารถแบ่งพับได้ ในอัตราส่วน 40:20:40 หากคุณต้องการพับเบาะ จำเป็นต้องลงจากรถ ไปเปิดฝากระโปรงหลัง แล้วดึงคันโยกที่บริเวณเพดานด้านบน เหนือห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย มีเข็มขัดนิรภัยด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด 3 ตำแหน่ง เช่นเดียวกับเบาะคู่หน้า

แม้ว่าการเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง จะดูอึดอัดมากมาย ทว่า เมื่อคุณหย่อนบั้นท้ายลงบน เบาะนั่งด้านหลัง คุณจะพบว่า บรรยากาศด้านหลัง ที่ดูเผินๆแล้วน่าจะอึดอัดนั้น ในความเป็นจริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะ พนักพิงของเบาะหลังนั้น ถูกติดตั้งในตำแหน่งเอียงได้องศาเหมาะสมพอดี เพียงแต่ว่า ตัวพนักพิงนั้น จะเสริมด้วยฟองน้ำแบบ แน่นแอบนุ่มนิดๆ รองรับแผ่นหลังได้แทบทั้งหมด นั่งแล้วอาจไม่ถึงขั้น Support แผ่นหลังดีนัก คล้ายกับนั่งพิงแผงกระดานที่มีฟองน้ำเสริมอยู่ด้านหลัง แต่ ก็ยังอาจไม่ได้ให้ความนุ่มนวลมากมายอย่างคาดหวัง กระนั้น ภาพรวมแล้ว เบาะหลังก็ยังดีเพียงพอที่จะให้บุตรหลาน หรือคนที่มีสรีระร่าง เล็กกว่า 165 เซ็นติเมตร ลงไป ได้นั่งโดยสารไปด้วย

พนักวางแขน พร้อมข่องวางแก้ว แบบมีฝาปิดทั้ง 2 ฝั่ง สามารถยกกางลงมา โดยมีกระดูกงู ล็อกตำแหน่งเอาไว้ให้ ซึ่ง นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี ทว่า ตัวพนักวางแขนน่าจะยกให้สูงขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง จึงจะพอดีกับเพราะขนาดข้อศอกของผม ยังลอยตัวขึ้นมานิดนึง จากพนักวางแขนของรถคันนี้ เสียด้วยซ้ำ ทำให้การวางแขน ไม่สมดุลเล็กน้อยเมื่อเทียบกันกับแขนฝั่งที่วางอยู่บนแผงประตูคู่หลัง

พนักศีรษะ รูปตัว L คว่ำ มีขนาดเล็ก จำเป็นต้องยกขึ้นมาใช้งาน เพื่อไม่ให้ ขอบด้านล่างสุดของพนักศีรษะ ทิ่มตำช่วงต้นคอด้านหลัง แม้ว่า อาการจะน้อยกว่ารถคันอื่นๆที่เราเจอมาก็ตามเถอะ แต่เมื่อยกขึ้นแล้ว เจออุปสรรค ศีรษะชนเพดานพอดี กลายเป็นว่า ผู้โดยสารตัวสูง จะใช้ประโยชน์จากพนักศีรษะ ที่เสริมด้วยฟองน้ำแบบ “นุ่มแอบแน่น” แบบนี้ได้ไม่เต็มที่นัก

เบาะรองนั่ง มีมุมเงยที่อาจเตี้ยไปสำหรับคนขายาว ซึ่งอาจต้องนั่งชันขา แต่สำหรับคนตัวสูง 170 เซ็นติเมตร อย่างผม มองว่า พอดี เพราะตัวเบาะ รองรับกับช่วงต้นขาผมได้ดีอยู่ประมาณหนึ่ง ตัวเบาะรองนั่งมีความยาวปานกลาง ค่อนข้างสั้น ถึงจะสั้นน้อยกว่าเบาะคู่หน้า นิดเดียว ก็ตามเถอะ เสริมด้วยฟองน้ำแบบ “แน่น Firm แอบนุ่ม” ให้การรองรับที่ ใช้ได้

พื้นที่เหนือศีรษะ (Headroom) ของผู้โดยสารด้านหลัง นั้น น้อยกว่าที่คิด ต่อให้คุณตัวสูงแค่ 170 เซ็นติเมตร เท่ากับผู้เขียน ถ้านั่งแบบปกติ ศีรษะไม่พิงกับพนัก ก็จะพอมีพื้นที่เหนือศีรษะ เหลือราวๆ 2 นิ้วมือในแนวนอน แต่ถ้าคุณจะพยายามพิงพนักศีรษะ ก็จะพบว่า หัวของคุณ จะไปชนกับขอบหลุมเว้าของเพดานหลังคาพอดี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งถ้าคุณตัวสูง 180 เซ็นติเมตร เป็นต้นไป ยังไงๆ หัวก็ชนเพดาน นี่คือปัญหาของรถยนต์ 4 ประตู ซึ่งมักออกแบบให้มีหลังคาด้านหลัง โค้งมน เพื่อเน้นความสวยของเรือนร่างภายนอก มากกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องสรีระผู้โดยสารด้านหลัง

ทว่า ในทางกลับกัน พื้นที่วางขา (Legroom) กลับมีเหลือเยอะเกินคาด ต่อให้ผมปรับเบาะคนขับ ในตำแหน่งที่ผมถนัด เมื่อลองย้ายมานั่งบนเบาะหลัง ผมก็ยังมีพื้นที่วางขาเหลือมากถึง 2 ฝ่ามือ ในแนวตั้งซ้อนกัน นั่นแปลว่า ถ้าคุณมีสรีระร่างไม่ใหญ่โตนัก ก็น่าจะสามารถนั่งไขว่ห้างได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเกินความคาดหมายของผมไปพอสมควรเหมือนกัน

ฝากระโปรงท้าย เปิดยกขึ้นได้ทั้งจากสวิตช์ไฟฟ้า ทั้งที่รีโมทกุญแจ สวิตช์ที่ฝาท้าย สวิตช์ที่ แผงหน้าปัด ติดตั้งระบบ Comfort Access หรือระบบเตะเปิด เอาเท้าแกว่งใต้เปลือกกันชนหลัง โดยฝากระโปรงหลังจะปลดล็อก ดีดเปิดขึ้นมาเอง ด้วยแรงสปริง ส่วนตอนปิดฝากระโปรงหลัง คุณยังต้องใช้มือปิดด้วยตัวเองเหมือนรถยนต์ปกติทั่วไป

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง มีความจุ 430 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ของเยอรมนี ถือว่ากว้างในระดับหนึ่ง ลึกพอประมาณ ไล่เลี่ยกับบรรดารถยนต์ B-Segment หรือ C-Segment ฝั่งญี่ปุ่น ผรังฝั่งขวา มีตาข่ายใส่ของด้านข้าง และช่องจ่ายไฟ 12 V พร้อมจุดยึดสัมภาระ มีพื้นห้องเก็บสัมภาระแบบฝาปิดพับครึ่ง และยกออกมาได้

เมื่อยกพื้นรถขึ้นมา จะพบถาดวางของขนาดใหญ่ สำหรับเก็บซ่อนข้าวของต่างๆ ทั้งข้าวของที่ ไว้ ช่วยลดปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์เล็ดรอดเข้าสู่ห้องโดยสาร และแน่นอนว่า 220i Gran Coupe ทุกคัน จะไม่มียางอะไหล่ใส่มาให้ มีเพียงชุดปะยาง Tyre Repair Kit ที่ให้มาทดแทน

การออกแบบแผงหน้าปัด เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ BMW รุ่นอื่น ๆ ในยุคสมัยนี้ คอนโซลกลางมีเหลี่ยมสัน ตกแต่งด้วย Trim ที่เรียกว่า Illuminated Boston สีเงินเมทัลลิค แบบด้าน ฝังไฟสร้างบรรยากาศ Ambient light (เลือกปรับได้จากหน้าจอ รวม 6 สี) ไว้ด้านใน  ลวดลายคล้ายกับผ้าไหม ต่อเนื่องจรดแผงประตูคู่หน้าทั้ง 2 ฝั่ง แต่อาจมีสีพรรสรรพางค์ให้เลือกไม่มากนัก เมื่อเทียบกับ A200 Saloon ส่วนพื้นผิวของคอนโซลมีการเดินตะเข็บด้วยด้ายสีน้ำเงิน

มองไปด้านบน จะพบ ไฟอ่านแผนที่ แบบ LED พร้อม ambient light และกระจกมองหลัง แบบตัดแสงอัตโนมัติ ขณะเดียวกัน แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า พร้อมฝาเลื่อนเปิด-ปิด และไฟแต่งหน้า ฝั่งไว้บนเพดานหลังคา

จากฝั่งขวา มาทางซ้าย

มือเปิดประตู มีสวิตช์ Central Lock มาให้ เฉพาะฝั่งคนขับ ถัดลงมาเป็น แผงสวิตช์กระจกหน้าต่าง เป็นแบบ One Touch กดเพื่อเลื่อนลง หรือยกสวิตช์เพื่อดึงขึ้น ในจังหวะเดียว ครบทั้ง 4 บาน ติดตั้งร่วมกับสวิตช์ปรับและพับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า

ชุดควบคุมไฟหน้าของ 220i จะอยู่ใต้ช่องแอร์ด้านขวา ของฝั่งคนขับ ควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้า, ระบบไฟหน้าอัตโนมัติ (Auto) , ไฟตัดหมอกหน้า, ไฟตัดหมอกหลัง, ไฟ Parking, ไฟสูง, และเร่ง-ลด ความสว่างของชุดมาตรวัด

พวงมาลัย เป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง 3 ก้าน ทรง M performance ตกแต่งด้วยวัสดุ แบบกึ่งเงา สีเงิน พร้อมสวิตช์ Multi-Function บนก้านพวงมาลัยทั้ง 2 ฝั่ง แผงสวิตช์คอนโทรลด้านซ้าย ใช้ควบคุมระบบ Cruise Control with Braking Function ส่วนด้านขวาใช้สำหรับ ควบคุมเครื่องเสียง และการแสดงผลของชุดมาตรวัด วงพวงมาลัย มีขนาดอวบอูมใหญ่เกินกำมือรอบได้ครบ หลายคนอาจจะชอบ แต่ผมมองว่า แอบอวบอูมไปหน่อย

ก้านไฟเลี้ยว รวมทั้งสวิตช์กดเลือกเมนู หน้าจอบนมาตรวัด และตั้งค่า Reset ชุด Trip Meter อยู่ด้านซ้ายของพวงมาลัย ตามแบบฉบับของรถยุโรป ส่วนก้านสวิตช์ใบปัดน้ำฝนอยู่ด้านขวา มาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหน้า

ชุดมาตรวัดแบบ Full Digital Virtual Cockpit Professional มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ BMW Operating System เวอร์ชั่น 7.0 มาในแนวเดียวกับ BMW ยุคใหม่แทบทุกรุ่น แยกชุดมาตรวัดความเร็ว กับมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง ไว้ฝั่งซ้าย ส่วนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น กองไว้ฝั่งขวา แต่แสดงเข็มวัดขึ้น ในทิศทางกวาดขึ้นทางขวา ตรงกันข้ามกับมาตรวัดความเร็วซึ่งกวาดเข็มขึ้นทางซ้ายตามปกติ

จริงอยู่ว่า หน้าจอแบบใหม่นี้ สามารถเลือกแสดงผลข้อมูลได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น แผนที่ การชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ มาตรวัดแรง G มาตรวัดแรงม้า และแรงบิด ในขณะใช้งานจริง แสดงรายการชื่อเพลง หรือช่องวิทยุ ตำแหน่งเกียร์ รวมทั้งการปรับเปลี่ยน Graphic ไปตามโหมดการขับขี่ ทั้ง ECO PRO, ECO , จะแสดงหน้าจอเป็นแถบสีฟ้า ขณะที่ Comfort จะเป็นมาตรวัดแบบปกติ ส่วน Sport หรือ Sport Individual จะเป็นหน้าจอที่ลดจำนวนขีดแถบบอกความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ออกไปให้มากสุด หรือจะปรับให้การแสดงผล เป็นแบบ มีแถบขีดตามเดิม เลือกได้จากหน้าจอ BMW ConnectedDrive

อย่างไรก็ตาม พูดกันตรงๆคือ การออกแบบงาน Graphic บนหน้าจอ โดยเฉพาะตรงกลางมาตรวัด ซึ่งพยายามออกแบบให้แสดงแผนที่ได้ แต่มันไม่ใช่ภาพแบบ 3 มิติ ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นแค่ลายเส้นถนนเท่านั้น ซึ่งเมื่อมองรวมกันแล้ว ชวนให้งุนงง ดูเลอะสายตาไปหมด

จอกลางเป็นระบบสัมผัส Touch Screen แบบ Live Cockpit Professional ขนาด 10.25 นิ้ว ทำมุมเอียงเข้าหาคนขับเล็กน้อย พร้อมระบบ BMW ConnectedDrive และรองรับ Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย ควบคุมได้โดยสวิตช์วงกลมขนาดใหญ่ เลื่อนขึ้น-ลง-ซ้าย-ขวา และหมุนได้ บริเวณคอนโซลเกียร์ สามารถเลือกใช้งานเครื่องปรับอากาศ เชื่อมต่อโทรศัพท์ด้วยระบบ Bluetooth แสดงระบบนำทางผ่านดาวเทียม เลือกได้ทั้งจากในตัวรถ หรือผ่าน Google Map การตั้งค่าระบบต่างๆในตัวรถ รวมทั้งชุดเครื่องเสียง Hifi Loud Speaker 6 ลำโพง ให้คุณภาพเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ดีงามใช้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีคู่มือผู้ใช้รถ แบบ Video Clip ซึ่งคงต้องบอกว่า เวอร์ชันพากย์เสียงภาษาไทยนั้น เสียงพี่ผู้ชายเค้า แข็ง แห้ง และตลกมาก!

นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่า Driver’s Profile ของคุณเองได้ ทั้งตำแหน่งนั่งขับ การปรับเบาะนั่งไฟฟ้า ตำแหน่งพวงมาลัย กระจกมองข้าง หรือ เพลงที่คุณชื่นชอบ และค่ากำหนดต่างๆ เฉพาะตัวของคุณ ผ่าน App My BMW ดยสามารถ Save เอาไว้ ไปใช้กับรถยนต์ BMW คันอื่นๆ ก็ได้

จากซ้าย ไป ขวา ช่องเก็บของ พร้อมฝาปิด Glove Compartment มีขนาดมาตรฐานพอกันกับ BMW รุ่นเล็ก รุ่นก่อนๆ ดังนั้น มันจึงมีขนาดใหญ่พอสำหรับเก็บสมุดคู่มือผู้ใช้รถ และเอกสารประจำรถ เป็นหลัก

ถัดลงมาเป็นช่องแอร์สีเงิน แบบกึ่งเงาทรง 5 เหลี่ยม เป็นสถานที่สิงสถิตย์ของ สวิตช์ไฟฉุกเฉิน รวมทั้งเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกอิสระ ซ้าย-ขวา พร้อมหน้าจอแสดงอุณหภูมิ  และปุ่มควบคุมของระบบ ถัดลงมา เป็นแผงควบคุมชุดเครื่องเสียง ยังดีที่มีสวิตช์เร่งหรือลดระดับเสียง Volume แบบมือหมุนมาให้อยู่ ขณะที่แผงสวิตช์ยังคงอนุญาตให้ผู้ขับขี่ ตั้งค่า Shortcut ให้กับ ปุ่มเหล่านี้ได้โดยอิสระ เมื่อใดที่รูดปุ่มเหล่านี้ หน้าจอมอนิเตอร์ จะขึ้นคำสั่งของแต่ละสวิตช์ที่เราตั้งค่าเอาไว้ให้เลือกใช้งาน

ฝั่งซ้ายของคันเกียร์ ถูกติดตั้งสวิตช์ควบคุมระบบ BMW Connected Drive นอกเหนือจาก แป้นสวิตช์วงกลม ขนดใหญ่ ที่สามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง โยกซ้าย-ขวา และหมุนไปมา ซ้าย-ขวา ได้แล้วนั้น ยังมีปุ่ม Shortcut ไปยังหน้าจอได้โดยตรง ทั้ง Media สื่อบันเทิงต่างๆ เพลงจาก USB หรือ Bluetooth , Map แผนที่, NAV ตั้งค่าระบบนำทาง , ปุ่มรูปโลก และปุ่ม COM สำหรับเชื่อมต่อ Internet ปุ่ม Back ย้อนกลับหน้าจอก่อนหน้า และปุ่ม Option หรือถ้าคิดไม่ออกบอกไม่ถูก กดปุ่ม Main กลับไปหน้าจอหลัก

ฝั่งขวาของคันเกียร์ ไล่จากด้านบนสุด เป็น สวิตช์ เปิด – ปิด ระบบควบคุมเสถียรภาพ DSC และ DTC รวมทั้งสวิตช์ เปิด-ปิด เซ็นเซอร์กะระยะช่วยจอด สวิตช์ เปิด-ปิด ระบบ Auto Start Stop (สำหรับดับเครื่องยนต์ขณะจอดติดไฟแดง และเมื่อถอนเท้าจากเบรก เครื่อยนต์จะติดขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อช่วยลดมลพิษขณะติดเครื่องยนต์เดินเบา) ถัดลงมาเป็น สวิตช์ติดเครื่องยนต์ Start Engine ชุดสวิตช์เลือกโปรแกรมการขับขี่ Sport , Comfort , ECO PRO และสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ระบบ Auto Brake Hold

บริเวณคอนโซลเกียร์ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ แบบ Piano Black ซึ่งมีความเงางาม แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องรอยขีดข่วน ถัดไปด้านหน้า จะพบช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง พร่อมทั้งช่องจุดบุหรี่ และช่องจ่ายไฟ แบบ USB A

ส่วนช่องชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charging นั้น อาจเคยมีในรถรุ่นปี 2020 – 2021 ทว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2022 เป็นต้นไป อุปกรณ์ชิ้นนี้ จำเป็นต้องถูกถอดออก เนื่องจาก ปัญหาการขาดแคลน Chip ประมวลผล ที่ส่งผลกระทบกับการผลิตอะไหล่ชิ้นนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระนั้น ลูกค้าเก่าบางรายที่อุดหนุน 220i Gran Coupe ไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็มีความเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

กล่องคอลโซลกลาง ที่ติดตั้งคั่นกลางระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้านั้น มีพนักพักแขน หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ซึ่งสามารถวางแขนได้จริง สบายตั้งแต่ข้อศอกลงไป เมื่อเปิดฝากล่องแล้ว จะพบช่องชาร์จไฟ แบบ USB A 1 ตำแหน่ง

ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง ยังมีช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แบบรวม ไม่ได้แยกโซน สำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้าย – ขวา เฉกเช่น 320d G20 แต่อย่างใด ถัดลงมาจากช่องแอร์ จะพบกับช่องจ่ายไฟ แบบ USB C 2 จุดสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง โดยเฉพาะ

หากมองขึ้นไปด้านบน จะพบกับผ้าหลังคาสีดำ สี Anthracite อันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW รุ่น M sport และจะพบกับไฮไลต์ประการหนึ่งของ 220i M sport นั่นคือ หลังคากระจก Panoramic Glass Roof ซึ่งสามารถปรับองศาให้เอียงเปิดเล็กน้อย หรือเลื่อนเปิด เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกรถ และช่วยเพิ่มความโปร่งของห้องโดยสาร หรือจะปิดทึบ งดรับแสงจากดวงอาทิตย์ ด้วยม่านโปร่งสีดำ ซึ่งกันแสงได้จริงๆ คู่แข่งอย่าง Mercedes A200 AMG ไม่มีหลังคากระจกแบบนี้มาให้

อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตดีๆ คุณจะพบว่า 220i Gran Coupe ไม่มีมือจับศาสดาบนเพดานหลังคามาให้เลยแม้แต่ตำแหน่งเดียว! ดังนั้น มือจับที่แผงประตู จึงกลายเป็น มือจับเพียงตำแหน่งเดียวที่ผู้โดยสาร จะใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจขณะที่เจอผู้ขับขี่กำลังซิ่งกระจุย

ทัศนวิสัย ด้านหน้า ให้การมองเห็นที่ค่อนข้างเป็นปกติของรถยนต์ขนาดเล็กทั่วไป ที่มีกระจกบังลมด้านหน้า ลาดชัน คือ เหมือนจะตีบ แต่ควมจริงแล้ว ถ้าปรับเบาะนั่งลงต่ำสุด ก็ยังจะพอมองเห็นฝากระโปรงหน้าได้อยู่ ช่วยให้การกะระยะ สำหรับบางคน ยังทำได้อย่างสบายๆ แต่สำหรับคนที่มีสรีระร่างไม่สูงนัก ขอแนะนำให้ปรับเบาะองนั่ง สูงขึ้นจากปกติอีกสักหน่อยจะมองทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar มีความหนาพอสมควร ทั้งฝั่งซ้าย หรือฝั่งขวา กระนั้น ก็ยังถือว่า ไม่ค่อยบดบังรถที่แล่นสวนมา จากทางโค้งขวา บนถนนสวนกันสองเลน มากนัก ถือว่า ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย ขณะที่เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งซ้าย ก็ไม่ได้บดบังรถที่แล่นสวนทางมา ขณะเลี้ยวกลับรถอย่างที่คาดไว้แต่แรก

กระจกมองข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง มีขนาดใหญ่กำลังดี กระนั้น ต่อให้ปรับตำแหน่งกระจก ให้มองตัวถังเห็นเพียงขอบๆแล้ว คุณจะพบว่า กรอบพลาสติกด้านในของฝาครอบกระจกมองข้าง ยังแอบกินพื้นที่ขอบด้านนอกของตัวกระจกนิดนึงอยู่ดี

หันไปมองทางด้านหลัง จากตำแหน่งคนขับ ถึงแม้ว่า ลักษณะของกระจกบังลมด้านหลังจะดูตีบเตี้ย และเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar จะหนามากๆ แต่การเจาะช่องหน้าต่าง ด้านข้าง เป็นแบบ 6 Windows ช่วยเพิ่มการมองเห็นยานพาหนะที่แล่นมาทางด้านข้างฝั่งซ้ายได้อยู่ประมาณหนึ่ง กระนั้น ถ้าคุณจะต้องเปลี่ยนเลนเข้าช่องทางคู่ขนาน อย่าได้ไว้ใจในสัญชาตญาณตัวเอง ขอแนะนำให้หันมองไปทางด้านลังด้วย เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรมและการทดลองขับ **********
************ Technical Information & Test Drive **********

ในตลาดโลก 2-Series Gran Coupe มีขุมพลังให้เลือก 6 แบบ รวม 10 รุ่นย่อย สำหรับแต่ละประเทศที่มีความต้องการแตกต่างกันไป ทั้งเบนซิน และ Diesel ดังนี้

กลุ่มเบนซิน

– 218 i เครื่องยนต์ รหัส B38B15 เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,499 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พร้อม ระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC ระบบแปรผันหัวแคมชาฟต์ Double VANOS และระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger เดี่ยว กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (HP) ที่ 4,600 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร (22.41 กก.-ม.) ที่ 1,480 – 4,200 รอบ/นาที

– 220i & 220i xDrive เครื่องยนต์ รหัส B48B20 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC ระบบแปรผันหัวแคมชาฟต์ Double VANOS และ ระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger เดี่ยว กำลังสูงสุด 178 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 – 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.) ที่ 1,350 – 4,200 รอบ/นาที

– 228i & 228i xDrive (US Market Only) เครื่องยนต์ รหัส B48B20 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC ระบบแปรผันหัวแคมชาฟต์ Double VANOS และ ระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger เดี่ยว กำลังสูงสุด 228 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 – 6,230 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร (30.57 กก.-ม.) ที่ 1,250 – 4,800 รอบ/นาที มีจำหน่ายเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือเท่านั้น

– M235i xDrive เครื่องยนต์ รหัส B48B20 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC ระบบแปรผันหัวแคมชาฟต์ Double VANOS และ ระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger เดี่ยว กำลังสูงสุด 306 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 – 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร (45.85 กก.-ม.) ที่ 1,800 – 4,500 รอบ/นาที

กลุ่ม Diesel

– 216 d เครื่องยนต์ รหัส B37C15 Diesel 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,499 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 84.0 x 90.0มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 Common-rail หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ แรงดันสูงสุด 2,000 bar  และระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger เดี่ยว กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร (27,51 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,250 รอบ/นาที

– 218 d เครื่องยนต์ รหัส B47D20 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 84.0 x 90.0มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 Common-rail หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ แรงดันสูงสุด 2,500 bar  และระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger เดี่ยว กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (HP) ที่ 4,600 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร (22.41 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที

– 220d & 220d xDrive เครื่องยนต์ รหัส B47D20 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 Common-rail หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ แรงดันสูงสุด 2,500 bar  และระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger เดี่ยว กำลังสูงสุด 188 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (22.41 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที

Thai version

สำหรับเวอร์ชันไทยนั้น ช่วงแรกที่เปิดตัว รุ่น 218i ประกอบนอก นำเข้าทั้งคัน วางเครื่องยนต์ B38B15 เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.5 ลิตร Turbo 140 แรงม้า (HP) เวอร์ชันเดียวกับตลาดโลก และถูกยกเลิกการทำตลาดไป เมื่อรุ่นประกอบในประเทศ เปิดตัวตามออกมา และจำหน่ายกันจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน ขุมพลังของ 220i Gran Coupe เหลือเพียงแบบเดียว เป็นเครื่องยนต์ รหัส B48B20 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ พร้อม ระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC ระบบแปรผันหัวแคมชาฟต์ Double VANOS และระบบอัดอากาศ Twin Power Turbocharger กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,600 รอบ/นาที

เครื่องยนต์ดังกล่าว ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วย เกียร์อัตโนมัติ แบบคลัตช์คู่ (Dual Clutch) 7 จังหวะ แต่ไม่มีแป้น Paddle Shift มาให้ มีอัตราทดเกียร์ ดังนี้

เกียร์ 1……………………4.16
เกียร์ 2…………………..2.45
เกียร์ 3…………………..1.39
เกียร์ 4…………………..0.98
เกียร์ 5…………………..0.76
เกียร์ 6…………………..0.68
เกียร์ 7…………………..0.55
เกียร์ถอยหลัง………….3.36
อัตราทดเฟืองท้าย……3.79

220i Gran Coupe มาพร้อมโปรแกรมการขับขี่ DYNAMIC Select สามารถเลือกเปลี่ยนได้ที่สวิตช์ข้างคันเกียร์ โดยมีให้เลือก 4 โปรแกรม ดังนี้

  • ECO PRO – เน้นขับประหยัด เกียร์เปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงเร็วขึ้น ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำ คันเร่งไฟฟ้าหน่วงช้า
  • Comfort – สำหรับการขับขี่ปกติทั่วไป คันเร่งไฟฟ้าหน่วงช้า
  • Sport – พวงมาลัยหนักขึ้น คันเร่งไวขึ้น เน้นการใช้เกียร์ต่ำเพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้สูง ใกล้ช่วง Max Power เสียงเครื่องยนต์กระฮึ่มเร้าใจขึ้นนิดหน่อย
  • Individual – แยกปรับการทำงานของ คันเร่ง เกียร์ พวงมาลัย และระบบ ESP อิสระจากกัน ผ่านเมนูบนหน้าจอกลาง ได้ทั้ง Menu ECO PRO และ Sport

นอกจากนี้ บนหน้าจอ Monitor ยังสามารถเลือกแสดงหน้าจอ Sport Display ซึ่งจะแสดง ข้อมูล แรงม้า แรงบิด แรงดันบูสต์ Turbo และ อุณหภูมิน้ำม้นเครื่อง แบบ Real Time ให้ดูได้อีกด้วย

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 7.1 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed 238 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อยู่ที่ 148 กรัม/กิโลเมตร

ส่วนตัวเลขสมรรถนะจริงจะเป็นอย่างไรนั้น เราทำการทดลองจับเวลากันในยามค่ำคืน ด้วยมาตรฐานดั้งเดิม คือ เปิดแอร์ นั่ง 2 คน น้ำหนักตัวผู้ขับขี่ และสักขีพยาน รวมกัน 2 คน ไม่เกิน 170 – 180 กิโลกรัม ตัวเลขที่ออกมา มีดังนี้

ความเร็วบนมาตรวัดเทียบความเร็วบน GPS

  • ความเร็วบนมาตรวัด 100 km/h > GPS 98.9 km/h
  • ความเร็วบนมาตรวัด 110 km/h > GPS 108.9 km/h

จากตัวเลขที่ออกมา อัตราเร่งของ 220i Gran Coupe อยู่ในช่วงกลางๆของตาราง ถ้าเปรียบเทียบกับรถยนต์ในกลุ่มพิกัดใกล้เคียงกันแล้ว สมรรถนะของ 220i จะถือว่า พอกันกับ MINI Clubman Cooper S รุ่นก่อนๆ หรือแม้กระทั่ง Hyundai Veloster GDI Turbo รุ่นแรก (ตกรุ่นไปแล้ว) แต่ เนื่องจาก คู่แข่งที่แท้จริงของ 220i Gran Coupe ในเมืองไทย ณ ขณะี้ มีแค่ A200 Saloon เราก็คงต้องเทียบกันแค่ 2 รุ่นนี้เป็นหลัก เท่านั้น

เมื่อดูในตาราง คุณจะพบว่า อัตราเร่ง ทั้ง 0 – 100 และ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น ยังไงๆ 220i Gran Coupe ก็ทำผลงานออกมาได้ดีกว่า A200 Saloon ทั้ง 2 หมวด โดยเฉพาะในช่วงเร่งแซง นั้น 220i จะไวกว่า A200 ถึง 1 วินาที ถ้ามองกันเฉพาะแค่ตัวเลข แน่นอนว่า ผลลัพธ์มันก็ออกมาให้เราเห็น ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว แม้แต่สัมผัสจากแรงดึงที่เกิดขึ้นจริง ก็ยังสัมผัสได้ถึงความแรงที่แตกต่างกันชัดเจน เพียงแต่ว่า ถ้าคุณไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องรถ เป็นคนที่ มีรถไว้เพื่อขับใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่คนที่ที่แคร์กับอัตราเร่งมากมายนัก เอาแค่ขับไปทำงาน ขับไปเที่ยว ชิลๆ ก็พอแล้วนั้น คุณก็อาจไม่เห็นความแตกต่างในประเด็นนี้มากนัก

อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมของคนที่จับรถ หรือผ่านรถมาเยอะ ในการขับขี่จริง อัตราเร่งของ 220i Gran Coupe ที่มีมาให้ ถือว่า แรงในระดับ เรียกได้ตามสั่ง สมตัว ตอบโจทย์ และให้แรงดึงที่น่าตื่นเต้น ตามสมควร เท่าที่คุณจะคาดหวังได้จากรถยนต์ระดับนี้ สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับรถแรงๆ จะรู้สึกว่า แรงดึงมันเยอะ รถพุ่งทะยานได้ดีเอาเรื่อง แต่สำหรับคนที่เจอรถแรงๆมาเยอะแล้ว ผมเองก็ยังรู้สึกว่า แอบประหลาดใจกับแรงดึงที่เกิดขึ้น จากช่วงเกียร์ 1 และ 2 อยู่เหมือนกัน ว่า มันกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า และยืดหยุ่นต่อการใช้งานในทุกย่านความเร็วมากกว่าที่คิด ไม่ต้องมานั่งกังวลตอนกดคันเร่ง เพื่อจะแซงรถพ่วงคันข้างหน้าเลย

การไต่ความเร็วขึ้นไปนั้น ชัดเจนกว่า 220i Gran Coupe ทำได้ดีกว่า A200 แบบไม่ต้องสืบ คือในช่วงออกตัว จนถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภาพรวมแล้ว ค่อนข้างใกล้เคียงกัน แน่นอนว่า 220i Gran Coupe ซึ่งมีเครื่องยนต์โตกว่า แอบมีภาษีดีกว่ากันนิดหน่อย เพราะยังให้แรงบิดออกมาในช่วงรอบกลางๆ ที่ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าช่วงรอบปลายๆ หลังจาก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป จะพบว่า ความไหลลื่น แตกต่างกันมาก และ 220i ก็เรียกอัตราเร่งได้ ตามสั่งกว่า ปกติแล้ว เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร พ่วง Turbo มักจะมีแรงบิดช่วงปลาย ค่อนข้างเหี่ยว แต่ไม่ใช่กับ 220i Gran Coupe คันนี้ เพราะเรียกได้ว่า แรงบิดเรียกได้อย่างต่อเนื่อง มาเป็น Flat Torque ทำให้ผมสามารถพาเจ้า Hamster คันนี้ ขึ้นไปแตะระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้บ่อยเท่าที่ต้องการเลยทีเดียว

การตอบสนองของคันเร่งนั้น ใน โหมด ECO PRO และ Comfort ยังถือว่าค่อนข้างหน่วงไปหน่อย อย่างจงใจ แม้จะไวกว่า Mercedes-Benz A200 ในโหมดเดียวกัน ราวๆเสี้ยววินาทีก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้จับเวลา คุณอาจจะรู้สึกได้ว่า มัน Lag พอๆกันและนั่นอาจเป็นที่มาว่า บางคนจะเข้าใจว่า ทั้ง 2 รุ่นนี้ ให้การตอบสนองช่วงออกตัวไปคล้ายๆกัน

แต่ ถ้าเทียบให้เห็นภาพ คันเร่งของ A200 นั้น เมื่อกดลงไปปุ๊บ ก็จะรอสักประมาณเกือบๆ 1 วินาที แล้วก็ “ทะยานไปเลยยย” ก่อนจะเริ่มเหี่ยวเฉาลงไปหลังรอบกลางๆ ขณะที่คันเร่ง ของ 220i นั้น กดลงไปปุ๊บ ก็ขอเวลาคิดนิดนึง แล้วจึงจะ “อ่ะ Ok ไปๆๆๆ” แล้วก็ไหลไปต่อเนื่องหลังจากนั้น โหมด ECO PRO ใช้เวลาตั้งแต่เหยียบจมมิด จนรถตอบสนอง ราวๆ 0.8 วินาที เหมือนคนที่เมา ถูกปลุก ยังตั้งสติไม่ได้ แต่ต้องลุกออกจากเตียงทันทีอย่างงัวเงีย แต่ โหมด Comfort จะไวขึ้นกว่านั้นนิดนึง คือเหลือราวๆ 0.3 – 0.4 วินาที

ส่วนโหมด Sport นั้น แม้คันเร่งจะไวกว่าชัดเจนมาก ในระดับที่เรียกว่า “แตะปุ๊บมาปั๊บ” เฉพาะกรณีที่คุณคาเกียร์เอาไว้แถวๆ เกียร์ต่ำ หรือคารอบเครื่องยนต์ไว้ในระดับสูงๆ อยู่แล้ว ทว่า ในบางจังหวะ ถ้าต้องกดคันเร่งจมมิดสุดอย่างปัจจุบันทันด่วน ก็แอบจะ Lag นิดๆอยู่บ้างเหมือนกัน ราวๆ 0.1 – 0.3 วินาที เพียงแต่จะ หน่วงสั้นกว่า โหมด Comfort ก็เท่านั้นเอง ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเห็นคันเร่งไฟฟ้า ในโหมด Comfort ไวขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง  ให้ใกล้เคียงกับ โหมด Sport สักหน่อย ก็ยังดี ถ้าไม่เช่นนั้น คุณก็ต้องเข้าไปปรับแก้ในโหมด Sport Individual โดยตั้งค่าเครื่องยนต์ ให้เป็นแบบ ปกติ Comfort ส่วนเกียร์ ให้ตอบสนอง เป็นแบบ Sport ก็น่าจะช่วยเพิ่มการตอบสนองของคันเร่งกับเกียร์ ให้ไวตามใจคุณมากขึ้นเล็กน้อย

สิ่งที่ผมยังคงแอบหงุดหงิดเล็กๆ อีกประการหนึ่งก็คือ อาการเย่อ กระฉึกกระฉักเล็กๆ ในขณะขับคลานๆไปด้วยความเร็วต่ำ ในเมือง ซึ่งมักเป็นอาการปกติของเกียร์แบบ Dual Clutch ที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างในบางจังหวะ แม้ว่า อาการดังกล่าว ถือว่าน้อยแล้ว เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ Dual Clutch แบบนี้ โดยทั่วไป ที่เราเคยเจอมา บางคนอาจไม่ชินกับรถ และเข้าใจว่า เกียร์กระตุก ทั้งที่จริงๆแล้ว มันคืออาการปกติของเกียร์แบบนี้

ถ้าต้องเทียบกับ Mercedes Benz A200 Saloon แล้ว แทบไม่ต้องสืบเลยครับว่า แม้ทั้งคู่จะมีระบบอัดอากาศ Turbocharger เข้ามาช่วยเหมือนกัน แต่งานนี้ 220i Gran Coupe ได้คะแนนนำไปในหมวดนี้อย่างช่วยไม่ได้ เพราะความจุกระบอกสูบที่มากกว่า พละกำลัง ทั้งแรงม้า และแรงบิดมากกว่า น้ำหนักตัวก็ไล่เลี่ยกัน จึงไม่น่าแปลกใจว่า 220i จะทำอัตราเร่งออกมาดีกว่า ทำผลงานออกมาได้ดีกว่าที่ผมคาดคิดไว้

NVH : Noise , Vibration & Harshness
เสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และอาการสะท้าน

เรื่องที่น่าอัศจรรย์ ของ 220i Gran Coupe คันนี้ ก็คือ การเก็บเสียงในห้องโดยสาร เพราะในช่วงคลานช้าๆในเมือง ต่อให้คุณยืนนอกรถแล้วได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังชัดเจน ทว่า เมื่อก้าวเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร คุณจะแทบไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้ามาเท่าไหร่เลย ทั้งที่บานประตูก็เป็นแบบ Frameless Door แต่ด้วยยางขอบหน้าต่างที่ค่อนข้างหนา ทำให้การเก็บเสียงลม ทำได้ดีเกินคาดมากๆ จนบางครั้ง ก็ชวนให้สงสัยว่า นี่เรากำลังขับรถยนต์ไฟฟ้า BEV อยู่หรือเปล่า

ยิ่งในขณะขับขี่ในเมือง เสียงที่คุณจะได้ยิน ค่อนข้างเบามาก กลายเป็นว่า เสียงจากยานพาหนะบนการจราจรที่รายล้อมรอบตัวคุณ จะดังเข้ามารบกวนบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ไม่มากอย่างที่คิด ช่วยเพิ่มความรื่นรมณ์ในการขับขี่ได้อย่างดีเกินคาด

ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงความเร็วเดินทาง จนถึงย่านความเร็วสูง บรรยากาศภายในห้องโดยสาร ก็ยังถือว่าเงียบมาก กว่าที่เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถ จะเริ่มเล็ดรอดเข้ามาให้คุณได้ยิน เข็มความเร็ว ก็ต้องผ่านขึ้นไปถึงระดับ 130 – 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้ว และต่อให้ใช้ความเร็วถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณก็ยังแทบไม่ค่อยได้ยินเสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถเข้ามามากนัก อาจจะมีเสียงกระแสลมจากซุ้มล้อ และเสียงยางติดรถ Bridgestone ที่เล็ดรอดขึ้นมาบ้างตามปกตินิสัย แต่ ยังถือว่าเบามาก เมื่อเทียบกับรถยนต์ Premium ทั่วไปในระดับเดียวกัน

แต่เมื่อมองในมุมกลับ ก็แอบเป็นเรื่องน่าเสียดายว่า เราแทบไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ซึ่งควรจะแผดลั่น ไพเราะเสนาะหู ใดๆบ้างเลย

อย่างไรก็ตาม เสียงที่ทำเอาผมตกอกตกใจอยู่แทบจะทุกครั้งที่จะต้องได้ยิน ก็คือ เสียงปิดประตูรถ ที่ค่อนข้างดัง และชวนให้หวั่นใจในความแข็งแรง (เมื่อฟังจากเสียงเพียงอย่างเดียว) เมื่อตั้งใจฟังดีๆจะพบว่า มันคือเสียงของกลอนประตู กับบานประตูนั่นละครับ ไม่ได้เกี่ยวกับ กระจกหน้าต่างเลยแม้แต่น้อย กระนั้น เสียงปิดประตูมันดังจนชวนให้ผมกลัวว่าจะทำกระจกแตกเข้าสักวันหนึ่ง ทั้งที่มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ ก็ตาม

Steering Wheels / ระบบบังคับเลี้ยว

พวงมาลัยเป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมระบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า Electric Power Steering (EPS) รวมทั้ง ระบบ Servotronic function  รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร ส่วน อัตราทดเฟืองพวงมาลัยจะอยู่ที่ 15.0:1

พวงมาลัย สามารถปรับระดับความหนืดได้ 2 แบบ คือ

– แบบ Comfort ซึ่งจะมีน้ำหนักเบา เป็นมาตรฐาน สำหรับการขับขี่ทั่วไป
– แบบ Sport ซึ่งจะหนืดขึ้นกว่าปกติ นิดหน่อย

ไม่ว่าคุณจะเลือกปรับแบบไหนก็ตาม ต้องบอกไว้ก่อนว่า พวงมาลัยแอบดีกว่าที่คิด ระยะฟรีของพวงมาลัยค่อนข้างน้อย และมีน้ำหนักขืนมือ พอสมควร แม้จะเลือกโหมด Comfort ไว้ก็ตาม

ในช่วงความเร็วต่ำ หากปรับพวงมาลัยเป็นแบบ Comfort พวงมาลัยจะ หนืดกว่า และหนักกว่า นิดนึง แต่ยังคงความคล่องแคล่วในการหักเลี้ยวอยางที่คุณคาดหวังอยู่ดี กระนั้น ถ้าเป็นคุณสุภาพสตรี หรือ LGBTQ อาจจะชอบพวงมาลัยของ A200 มากกว่า เพราะว่า เบากว่า 220i นิดๆ ยิ่งถ้าปรับโหมด Sport แต่ใช้ความเร็วต่ำด้วยแล้ว น้ำหนักพวงมาลัยของ 220i Gran Coupe นั้น ต่อให้หนักและหนืดขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่า A200 นิดนึงอยู่ดี

ส่วนความเร็วเดินทางนั้น หากใช้โหมด Comfort ผมมองว่า คุณยังสามารถบังคับควบคุมรถพอได้ จนถึงความเร็วระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลังจากนั้น ถ้าอยากได้ความมั่นใจในขณะถือตรงเพิ่มขึ้น ควรต้องเปลี่ยนไปใช้โหมด Sport แทน ซึ่งพวงมาลัยที่หนักและหนืดขึ้นไปอีกนิดหน่อย จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพ และความมั่นใจมากขึ้นชัดเจน

ถ้าต้องเปรียบเทียบกับพวงมาลัยของ Mercedes-Benz A200 จะพบว่า ใน Mode Comfort หรือ Normal นั้น พวงมาลัยของ 220i Gran Coupe จะหนักกว่า A200 นิดนึง แต่ในช่วงความเร็วเดินทาง จนถึงความเร็วสูง ความหนืด ของ 220i ถือว่าใช้ได้ โดยพวงมาลัยของ A200 จะเนือยกว่าหน่อยๆ และหนักกว่า 220i นิดหน่อย แต่ถ้าปรับเข้าโหมด Sport ทั้งคู่แล้ว จะพบว่า ความมั่นใจในการถือตรงของพวงมาลัย ทั้ง 2 คู่แข่ง ถือว่า ใกล้เคียงกัน และพวงมาลัยของ 220i จะนิ่งกว่า และเบากว่าเล็กน้อย

Suspension / ระบบกันสะเทือน

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ Single-joint spring strut พร้อมเหล็กกันโคลง โดยปีกนกคู่หน้า ใช้โครงสร้าง ทำจาก aluminium น้ำหนักเบา ผสมกับเหล็กกล้า ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-link บนโครงสร้าง ทำจาก aluminium น้ำหนักเบา ผสมกับเหล็กกล้า แยกสปริงและช็อกอัพออกจากกัน อยู่คนละเบ้า พร้อมเหล็กกันโคลง ช็อกอัพ ถูกเซ็ตเป็นแบบ M Sport Suspension

ช่วงล่างถูกเซ็ตมาในแนว “กระชับ แน่น แข็ง แทบไม่ค่อยมีความนุ่มเท่าใดนัก” โดยช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับขี่ใช้งานในเมือง คุณจะสัมผัสได้ว่า ช่วงล่างค่อนข้างแข็ง ในระดับที่เรียกว่า แข็งกว่า A200 ชัดเจน เนื่องจากในระหว่างแล่นผ่าน เนินสะดุด หลุมบ่อ ลูกระนาด หรือพื้นผิวขรุขระเล็กๆน้อยๆนั้น แรงกระแทกที่ส่งขึ้นมา มันไม่มากพอให้ช็อกอัพยุบตัว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ช็อกอัพถูกเซ็ตมาให้ยุบตัวน้อย เอาแค่เท่าที่จำเป็นจริงๆ นั่นจึงทำให้คุณพบว่า 220i ค่อนข้างแข็ง ตึงๆ อยู่ตรงกลางระหว่าง M340i (ซึ่งแอบนุ่มและสมดุลกว่า จนทำให้ช่วงล่างของ 220i ดูแข็งกว่า M340i ไปเลย) กับ MINI Cooper (ซึ่งก็สะเทือนเลื่อนลั่นไปแทบทุกอวัยวะภายใน ตับ ม้าม ไต หัวใจ และเซี่ยงจี๊ เกินไปหน่อย) หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ แข็งจนถึง ม้าม และหัวใจ แต่ยังไม่ถึงขั้นสะเทือนตับ ไต และเซี่ยงจี๊! เท่า MINI ที่แน่ๆ ช่วงล่างของ 220i Gran Coupe แข็งกว่า A200 Saloon ชัดเจน แถมบุคลิกบางอย่างของตัวรถ ขณะแล่นไปตามสภาพถนนรูปแบบต่างๆ ก็ชวนให้นึกถึง MINI รุ่นปัจจุบัน อยู่หลายครั้งเหมือนกัน

ทว่า ความแข็งแบบนี้นั่นแหละ ที่ทำให้ ตัวรถมีเสถียรภาพการทรงตัวในย่านความเร็วสูงมากๆ ได้นิ่งเกินคาดคิด ลองคิดดูแล้วกันว่า ณ ความเร็ว Top Speed 241 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมสามารถปล่อยมือออกจากพวงมาลัยของ 220i คันนี้ ได้นานถึง 10 วินาที โดยไม่ต้องแก้อาการรถใดๆเลย!! อาจพอมีอาการแกว่งซ้าย-ขวา ตามกระแสลมบ้างนิดหน่อย ตามประสารถยนต์ขนาดเล็ก แต่ก็ไม่เยอะนัก ดังนั้น เท่ากับว่า 220i คันนี้ สอบผ่านเรื่องการทรงตัวย่านความเร็วสูงไปได้สบายๆ แบบไม่มีข้อกังขาใดๆอีก

ขณะเดียวกัน การเข้าโค้ง กลายเป็นจุดเด่นของ 220i Gran Coupe ไปอย่างไม่น่าเชื่อ ลองคิดดูว่า ขนาดยางติดรถ เริ่มมีสภาพไม่ค่อยสู้ดี แต่บนทางด่วนเฉลิมมหานครนั้น ณ โค้งขวารูปเคียว ย่านมักกะสัน 220i Gran Coupe M Sport พาผมเข้าโค้งขวาแรกที่ความเร็ว 106 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ต่อเนื่องไปยัง โค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Eastin ก็ยังรักษาความเร็วไว้ได้ถึง 106 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) เช่นเดียวกัน ถ้าถามว่า ใช้ความเร็วในโค้งเยอะกว่านี้ได้ไหม คำตอบคือ ได้อีกนิดหน่อย อันที่จริง อาการของบั้นท้าย ค่อนข้างมีความเป็นกลาง (Neutral) กว่า และพอมีโอกาสให้บั้นท้ายจะกวาดออกด้านข้างง่ายขึ้น แต่ถ้าถึงขั้นท้ายปัด โอกาสจะแก้อาการให้รถกลับมาตั้งลำตรงๆ ก็ยังพอจะง่ายอยู่ประมาณหนึ่ง เมื่อใดที่ตัวรถจะเริ่มมีอาการบั้นท้ายออกนิดๆ แก้อาการง่ายๆ แค่ถอนเท้าจากคันเร่ง และคืนพวงมาลัย และเลี้ยงให้ผ่านโค้งตามความเหมาะสม แค่นั้น

ส่วนทางโค้งรูปตัว S จากทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสุขุมวิท 62 ขึ้นไปยังทางด่วนยกระดับบูรพาวิถี ผมสามารถพา 220i Gran Coupe เข้าโค้งขวาแรกด้วยความเร็ว 108 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ตัวรถเอียงออกทางซ้ายน้อยลงกว่า นิดเดียว ส่วนโค้งซ้ายยาวๆ ที่มีลอนคลื่นบนพื้นผิวโค้งนั้น ผมไต่ขึ้นไปได้ถึง 121 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ซึ่งนั่นก็ถึง Limit ที่ยางรับมือไม่ไหวอีกต่อไป ปิดท้ายด้วยโค้งขวายกระดับ เข้าโค้งดังกล่าวได้ที่ 132 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด)

แม้แต่ในโค้งหักศอกโหดๆ เช่น สะพานโค้งเลี้ยวขวา จาก ห้าแยกลาดพร้าว วิภาวดีรังสิต มุ่งหน้าเข้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งปกติ ค่อนข้างลื่นและอันตราย Mark ก็ยัง ทะลึ่ง พา 220i Gran Coupe สาดและหักเลี้ยวเข้าโค้งดังกล่าวด้วยความเร็วได้สูงถึง 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) โดยมีอาการท้ายออกนิดๆ ทั้งที่โค้งนี้ ปกติแล้วไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ดังนั้น ภาพรวมของช่วงล่าง 220i Gran Coupe ถือว่า เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ที่มีบุคลิกคล้ายกับรถขับเคลือนล้อหลัง เน้นความกระชับ แน่น แข็ง ซึ่งอาจลดทอนความสบายในการขับขี่ไปตามสภาพการจราจรในเมือง แต่กลับจะช่วยเสริมส่งให้การเข้า – ออกจากทางโค้งสารพัดรูปแบบ รวมทั้งการทรงตัวในย่านความเร็สูง ทำได้ดีเกินหน้า รถยนต์ในขนาดและพิกัดเดียวกันไปเยอะเอาเรื่อง

Brake / ระบบห้ามล้อ

ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ โดยจานเบรคคู่หน้า มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 300 มิลลิเมตร พร้อมครีบระบายความร้อน และคาลิเปอร์แบบ 1 pod ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 280 มิลลิเมตร พร้อมครีบระบายความร้อน และคาลิเปอร์แบบ 1 Pod เสริมด้วยระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ ดังนี้

•  ระบบป้องกันล้อล็อค ABS (Anti-Lock Braking System)
•  ระบบช่วยเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)
•  ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ DSC (Dynamic Stability Control)
•  ระบบควบคุมการยึดเกาะถนนน DTC (Dynamic Traction Control)
•  ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Cornering Brake Control)
•  ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน DBC (Dynamic Brake Control)

แป้นเบรก มีระยะเหยียบ ปานกลาง มีน้ำหนักเบา ในช่วง 10 – 20% แรก เหยียบลงไป คุณอาจไม่รู้สึกอะไรนัก ทั้งที่คาลิเปอร์ก็เริ่มจับกับจานเบรกแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เมื่อพ้นจุดดังกล่าวแล้ว หรือเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปเป็น 20 – 30% จะพบว่า ระบบเบรกให้ความต่อเนื่อง  (Linear) ค่อนข้างดี คืออยากจะชะลอรถแค่ไหน ก็เหยียบเบรกสั่งลงไปเพียงเท่านั้น ให้การตอบสนองที่ไว้ใจได้

ขณะคลานไปตามสภาพการจราจรในเมือง ถ้าต้องการ เลี้ยงเบรก หรือเลียเบรก เพื่อชะลอรถให้หยุดนิ่งแบบเนียนๆ ช้าๆ อาจพอทำได้แต่ไม่ถึงกับง่ายนัก ต้องเกร็งขาขวากันพอสมควร เพราะตัวรถ จะมีอาการ”ทิ่มจึก” เล็กๆ หลังจากรถหยุดนิ่งสนิทดีแล้ว

ยิ่งการหน่วงรถลงมาจากย่านความเร็วสูงนั้น ผมทดลอง เหยียบเบรกจากความเร็ว Top Speed 241 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนเหลือแค่ 70 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ตัวรถ อาจมีการทำงานของระบบ ABS ดังครืดๆๆๆ และระบบกระจายแรงเบรก ให้พอสัมผัสได้อยู่บ้าง ตัวรถอาจพอจะมีอาการปัดเป๋ จากบั้นท้ายอยู่นิดๆ แต่ตัวรถถูกหน่วงความเร็วลงมา ได้ไว เอาเรื่อง และแทบไม่มีอาการ Fade ถือว่ายังไว้ใจได้

เพียงแต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ Mercedes-Benz A200 Saloon แล้ว แป้นเบรก ของ 220i Gran Coupe จะเบากว่านิดหน่อย ในช่วงระยะเหยียบ 30% แรก และ เมื่อเหยียบลงไปจนจมสุด ก็ไม่ได้ถึงขั้นหยุ่นเท้า หรือหนืดเท้า เท่ากับ A200 Saloon เลย

สรุปว่า ถ้าคุณชอบแป้นเบรกที่หนืดๆ นุ่มๆ ต้านเท้า รวมทั้งการเลียเบรกให้รถหยุดอย่างนิ่มนวลในสภาพการจราจรติดชัด ระบบเบรกของ A200 น่าจะถูกใจคุณมากกว่า หยุดรถได้มั่นใจกว่านิดหน่อย  แต่ ถ้าคุณชอบ Feeling ความต่อเนื่อง และการหน่วงรถลงมาจากยานความเร็วสูงที่ยังไว้ใจได้ ระบบเบรกของ 220i Gran Coupe ก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดี ไม่แพ้กัน ตามที่คุณคาดหวัง

***** ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ *****
******** Active Safety , & Passive Safety *******

เนื่องจาก 220i Gran Coupe ถือเป็นรถยนต์รุ่นพื้นฐาน ที่มีค่าตัวถูกที่สุด ในกลุ่ม รถยนต์ 4 ประตู ของ ค่ายใบพัดสีฟ้า ในบ้านเรา ดังนั้น บรรดาอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ จึงมีติดตั้งมาให้ ในระดับ เท่าที่จำเป็น และบางอย่าง ก็มีเกินหน้าชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่บ้าง ดังนี้

• ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง Side Impact Protection
• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า รวม 2 ใบ
• ถุงลมนิรภัยด้านข้าง คนขับและผู้โดยสารด้านหน้า รวม 2 ใบ
• ม่านถุงลมนิรภัย รวม 2 ใบ
• กล้องมองภาพขณะถอยหลังเข้าจอด
• ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant
• Sensor กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า – ด้านหลัง
• Crash Sensor หรือเซ็นเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน
• ชุดปะยางฉุกเฉิน
• ระบบ Teleservice
• ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน S.O.S. (Intelligent Emergency Call) กรณีเกิดอุบัติเหตุ ให้กดปุ่มที่อยู่ด้านบนเพดานหลังคา ระบบจะแจ้งหน่วยกู้ภัยเข้ามาให้การช่วยเหลือทันที

BMW 2-Series Gran Coupe ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน ของรถยนต์ที่วางจำหน่ายในยุโรป EURO NCAP ในระดับ 5 ดาว ในปี 2019 โดยได้คะแนน ด้านการปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection : AOP) 35.9 คะแนน ​(94%) ด้านการปกป้องผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection : COP) 43 คะแนน (87%) ทั้งนี้รุ่นที่ถูกนำไปทดสอบ คือ BMW 118i LHD Hatchback เหตุที่ Euro ncap ใช้ผลการทดสอบเดียวกันกับ 1 series เป็นเพราะ BMW 2 Series Gran Coupe มีชิ้นส่วนด้านหน้าที่เป็นสาระสำคัญของโครงสร้างเหมือนกับ 1 Series หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรง แก้มข้าง คานกันชนด้านหน้า แดชบอร์ด และระบบกันสะเทือน

Link: https://cdn.euroncap.com/media/59453/euroncap-2019-bmw-2-series-gran-coupe-datasheet.pdf

ขณะเดียวกัน การทดสอบจากทางสถาบันประกันภัย IIHS ของสหรัฐอเมริกา นั้น BMW 2-Series Gran Coupe ก็ผ่านการทดสอบด้านโครงสร้างในระดับ Good ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบชนด้านหน้าแบบ Moderate Overlap ซึ่งคือการทดสอบชน ที่จะมีจุดปะทะตั้งแต่ด้านมุมซ้ายของรถ จนถึงจุดกึ่งกลางรถ, การทดสอบการชนด้านหน้า แบบ Small Overlap ซึ่งคือการทดสอบชน ที่จะมีจุดปะทะนับจากด้านมุมซ้ายของรถมา 25%, การทดสอบชนชนด้านข้าง, การทดสอบความแข็งแรงของหลังคา, การทดสอบเบาะนั่ง และพนักพิงศรีษะ กรณีโดนชนด้านท้าย (รุ่นที่ถูกนำไปทดสอบ คือ 2020 BMW 228i xDrive Gran Coupe LHD 4WD USDM)

แต่อย่างไรก็ดีในการทดสอบความสามารถในการส่องสว่างของไฟหน้ารถ BMW 2 Series กลับได้ผลการทดสอบในระดับที่ไม่ดีนัก โดยได้รับผลการทดสอบในระดับ Marginal สำหรับรุ่นไฟหน้า LED Projector และ Poor สำหรับรุ่นที่ไฟหน้า Adaptive LED เหตุที่รุ่น Adaptive LED ได้คะแนนที่ต่ำกว่า เป็นเพราะลำแสงของไฟต่ำที่ฟุ้งเกินมาตรฐาน และอาจแยงตาผู้ขับขี่ ที่ขับรถสวนมาได้

Link: https://www.iihs.org/ratings/vehicle/bmw/2-series-gran-coupe-4-door-sedan/2020

******การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย******
***************Fuel Consumption Test ***************

ทุกคนมักเข้าใจว่า เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ แล้วมีระบบอัดอากาศ Turbocharger นั้น มันจะต้องกินน้ำมันแหงๆเลย แต่ผมกำลังจะบอกคุณว่า BMW เป็นผู้ผลิตรถยนต์ ที่มี Technology การพัฒนาเครื่องยนต์สันดาป ให้ทั้งแรงและประหยัดเชื้อเพลิงเป็นอันดับ 1 ของโลก มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว และ 220i Gran Coupe คันนี้ ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าว ที่เข้ามาเปลี่ยนความคิดและความเข้าใจของผมไปอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้

เรายังคงทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา ด้วยการนำรถไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ณ สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน โดยเติมเต็มถัง หัวจ่ายตัด

สักขีพยาน และผู้ช่วยในการทดลอง ตามมาตรฐาน ขับเปิดแอร์ นั่ง 2 คน คือ น้อง Mark Pongswang ทีมเว็บของเรา น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม รวมกับผู้เขียน 102 กิโลกรัม รวมแล้ว 162 กิโลกรัม ยังอยู่ในเกณฑ์ ไม่เกิน 170 – 180 กิโลกรัม

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อย เราก็ขึ้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัย กดสวิตช์ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ กดปุ่ม Set 0 บน Trip Meter โดยการเลื่อนสวิตช์บนก้านพวงมาลัย สีดำ แล้วแช่ค้างไว้ ระบบวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะ Reset เป็นค่าเริ่มต้น ทั้งหมด

เราเริ่มเดินทาง จากปั้ม Caltex ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดไปออก ปากซอย โรงเรียนเรวดี สู่ถนนพระราม 6 เลี้ยวขวา ขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปสุดปลายทาง ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ ขับขึ้นทางด่วน ย้อนเส้นทางเดิม โดยทั้ง 2 คัน จะใช้มาตรฐานการทดลองดั้งเดิม คือ ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

เมื่อลงทางด่วนที่ด่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมัน Techron เบนซิน 95 ณ หัวจ่ายเดิม และใช้วิธีเติมแบบหัวจ่ายตัด เหมือนช่วงที่เติมครั้งแรกทุกประการ

มาดูตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันดีกว่า

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด 93.3 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 4.92 ลิตร
หารออกมา ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 18.96 กิโลเมตร/ลิตร

เรื่องตลกก็คือ ตัวเลขที่ออกมานี้ ทำเอา รถเก๋ง B-Segment หรือ ECO-Car 1.2 ลิตร ฝั่งญี่ปุ่น ต่ารงพากันค้อนขวับ เพราะนี่คือตัวเลขที่รถยนต์ในกลุ่มดังกล่าว ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเค้นทำออกมา เพื่อให้ได้ความประหยัดในระดับเดียวกันนี้ ขณะที่ BMW ทำตัวเลขนี้ได้ สบายๆ

ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้ว กลายเป็นว่า Mercedes-Benz A200 Saloon ซึ่งมีความจุกระบอกสูบเครื่องยนต์ น้อยกว่า (1.3 ลิตร Turbocharger) กลับทำตัวเลขความประหยัดตามมาตรฐานการทดลองแบบเดียวกัน ของเว็บเรา ผลออกมา ด้อยกว่า 220i ประมาณ 1 กิโลเมตร/ลิตร และให้พละกำลังน้อยกว่า อย่างชัดเจน

แล้วถ้าถามว่า น้ำมันเชื้อเพลิง 1 ถัง สามารถแล่นได้ไกลแค่ไหน ถ้าดูจากมาตรวัด จะพบว่า แม้จะแล่นไปแล้ว เกือบๆ 100 กิโลเมตร แต่ถ้าคุณขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ตลอด สม่ำเสมอแล้วละก็ น้ำมัน 1 ถัง จะพาคุณไปได้ไกลราวๆ 750 กิโลเมตร แต่ถ้า คุณขับแบบโหดๆหน่อย น้ำมัน 1 ถัง อาจจะพาคุณแล่นได้ราวๆ ไม่น่าเกินไปกว่า 500 กิโลเมตร ซึ่งก็ยังถือว่าประหยัดใช้ได้อยู่ดี

********** สรุป / Conclusion **********
Hamster ติดล้อ คันน้อย บุคลิกเหมือน กระรอก
แรง ประหยัด ขับดีกว่าที่คิด  :
This is your first BMW!

สารภาพตามตรงว่า ก่อนหน้าที่ผมจะได้ลองขับ 220i Gran Coupe นั้น ผมก็ไม่ได้คิดที่จะเหลียวและมันมากนัก พอจะรู้แหละว่า ต่อให้ รถคันนี้ จะเป็น BMW 4 ประตู ที่มีราคาถูกสุดใน Line-up ของ ค่ายใบพัดสีฟ้าในบ้านเรา ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็น BMW ยังไงๆ มันก็น่าจะมีบุคลิกการขับขี่ ที่ไว้วางใจได้ว่า ขับดีสมตัว ตามกำลังทรัพย์แน่ๆ กอปรกับโอกาสและจังหวะเวลาในชีวิต ยังไม่เอื้ออำนวยให้ผมได้สัมผัสกับ Hamster นิสัยกระรอก คันนี้

พอได้มาสัมผัสคันจริง ผมค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจว่า ไม่เพียงแต่สิ่งที่ผมคิดไว้ ในทุกด้านของรถคันนี้ จะถูกต้องตรงเผงเท่านั้น แต่ 220i Gran Coupe M Sport คันนี้ ยังแอบมีคุณงามความดีหลายอย่าง รวมกันจนทำให้ผมเริ่มชื่นชอบเพิ่มเติมขึ้นมาได้

ข้อดีของ 220i Gran Coupe มีหลายประการด้วยกัน เริ่มต้นด้วย รูปลักษณ์ภายนอก มันคือ Hamster จริงๆด้วย ไม่ต้องไปนับกระจังหน้าที่ดูคล้ายกับฟันเหยินๆชอบแทะ ของ Hamster นั่นเพียงอย่างเดียว แต่ผมหมายถึงเส้นสายของรถทั้งคัน ที่แม้จะดูเหมือน Hamster แต่มันก็ดูสวย ลงตัวกับขนาดของตัวรถ ยิ่งมีบานประตูแบบ Frameless Door ด้วยแล้ว ยิ่งเสริมบุคลิกความเป็นรถยนต Coupe 4 ประตู ให้เด่นชัดและแตกต่างจากคู่แข่งทุกคันในตลาดอีกด้วย

ประการต่อมา แม้ว่าการก้าวเข้า – ออกจากตัวรถ จะเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับคนตัวใหญ่ แต่ภายในห้องโดยสาร ที่มีความเป็น Typical BMW ก็ยังคงให้บรรยากาศที่ดี และกระชับสรีระได้ ใกล้เคียงกับพี่ใหญ่อย่าง 3-Series อยู่เหมือนกัน ตำแหน่งนั่งขับ พวงมาลัย มาตรวัดต่างๆ ตั้งตรงเผง แทบไม่ค่อยจะเยื้องเลย อีกทั้งข้าวของลูกเล่นที่ให้มา ก็เพียงพอสำหรับการเป็น BMW คันแรก สำหรับคนที่เริ่มต้นอยากจะคบหากับรถยุโรป ค่ายใบพัดสีฟ้า

จุดเด่นสำคัญของ 220i Gran Coupe อยู่ที่ สมรรถนะของมัน การเปลี่ยนจากเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.5 ลิตร Turbo มาเป็น 4 สูบ 2.0 ลิตร Turbo ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉง และความกระปรี้กระเป่า สมรรถนะในการขับขี่ ให้สนุกมากขึ้นกว่าเดิม เปรียบเสมือน Hamster น้อย ที่ทำตัวเยี่ยงกระรอก วิ่งมุดลัดเลาะ ไปตามธรรมชาติของมัน แถมยังมีเรี่ยวแรงต่อเนื่องยาวๆ เป็นกระรอกปั่นจักร แทบไม่ยอมลดความเร็วลงเลย จนกว่าเราจะจับมันถอนออกมาเอง ด้วยความเก่งกาจของวิศวกรชาว Munich คุณจะได้ทั้งความแรง ตั้งแต่ช่วงรอบต้นๆ ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงรอบปลายๆ แถมท้ายด้วยความประหยัดน้ำมัน ในระดับที่ เกินความคาดหมายไปเล็กน้อยด้วยซ้ำ ต่อให้ขับแบบธรรมดา หรือขับแบบบ้าระห่ำในวันฝนพรำ ก็ตาม

ยิ่งมาเจอกับการตอบสนองของพวงมาลัย ที่มีอัตราทดกำลังดี น้ำหนักกำลังเหมาะ ช่วงล่างที่แข็ง ตึงไปหน่อยในช่วงความเร็วต่ำ แต่ให้เสถียรภาพที่โคตรดีเกินตัว นิ่งกว่าท่คิดในย่านความเร็วสูงๆ แถมยังพร้อมจะพาคุณสาดและพุ่งออกจากโค้งไป โดยทิ้งรถคันอื่นเอาไว้เป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อยในกระจกมองหลัง ผนวกกับระบบห้ามล้อ ที่ไว้ใจได้ ตอบสนองกำลังดี พอจะ Linear อยู่และการเก็บเสียงที่ดีเกินคาดหมายไปไกลเอาเรื่อง แถมด้วยราคากับ Option ที่ ชวนให้เข้าถึงได้ง่าย ในกรณีที่คุณอยากได้รถยุโรปป้ายแดง สักคัน ก็ยิ่งเสริมให้ 220i Gran Coupe เหมาะจะเป็น BMW คันแรก ในชีวิตของใครหลายคนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ข้อที่ควรปรับปรุง ของ 220i Gran Coupe มันก็ยังคงมีอยู่ ในหลายๆจุด ซึ่งบางเรื่อง พอจะแก้ไขปรับปรุงได้ แต่บางเรื่อง อาจจะต้องรอปรับปรุงกับรถรุ่นต่อไป ในภายภาคหน้า

ไม่มี ระบบ ADAS อย่าง Blind Spot และ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ประเด็นนี้ ผมมองว่า 2 Option ดังกล่าว น่าจะถูกติดตั้งมาให้กับรถยุโรป แทบทุกรุ่นได้แล้ว ยิ่งถ้ากลับมามองว่า หากคุณต้องจ่ายเงิน 2 ล้านบาท ต้นๆ เพื่อรถยนต์ยุโรประดับนี้ คุณก็สมควรได้ Option ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัย ทั้งขณะขับขี่ เปลี่ยนเลน หรือถอยหลังออกจากช่องจอดรถ กันเสียที

คันเร่งในโหมด Comfort ควรไวกว่านี้อีกนิดนึง เข้าใจดีว่า โหมด Comfort มีไว้สำหรับการขับขี่ทั่วไป แต่ในภาวะคับขัน บางที ผู้ขับขี่ อาจจะไม่ทันได้สติพอที่จะรีบเปลี่ยนไปยังโปรแกรม Sport ดังนั้น คันเร่งในโหมด Comfort ควรจะตอบสนองให้ฉับไวขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง น่าจะเหมาะสมกับบุคลิกอันแสนคล่องตัว ของ 220i มากกว่านี้ ส่วน ECO PRO กับ Sport นั้น ปล่อยการตอบสนองของคันเร่งไว้ตามเดิมหนะดีแล้ว

ช่วงล่าง ในย่านความเร็วต่ำ ค่อนข้างแข็งเอาเรื่อง สำหรับคนที่คุ้นเคยกับ BMW ยุคอดีต มาก่อน อาจมองว่า นี่คือเรื่องปกติ ซึ่งผมเองก็เป็นคนกลุ่มนั้น แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ เพิ่งเริ่มต้นสัมผัสกับ BMW ครั้งแรก และคิดเห็นต่างจากผม อาจมองว่า ช่วงล่างแข็งเอาการในขณะขับผ่าน เนินสะดุด หลุมบ่อ ลูกระนาดต่างๆ อยากบอกว่า มันแลกมากับความมั่นใจที่เหนือชั้น เมื่อครั้นต้องสาดโค้งแรงๆ หรือหักหลบในสถานการณ์ฉุกเฉิน

กลอนประตู เสียงดังมากจนน่าตกใจ สารภาพเลยว่า ครั้งแรกที่ผมขึ้นมานั่งบนรถ แล้วปิดประตูนั้น เสียงมันดัง แข็งกระด้าง หยาบ มากๆ ชวนให้สะดุ้งเลยว่า นี่เราไปทำอะไรให้รถเค้าพัง หรือหน้าต่างเขาแตกหรือเปล่าวะเนี่ย? ตอนแรก ผมนึกว่า มันเป็นเสียงของกระจกหน้าต่างแบบ Frameless Door ที่กระทบกับ ยางขอบประตู แต่พอสังเกตดีๆ ไม่ใช่ครับ มันเป็นเสียงของกลอนประตูชัดๆ ต่อให้เทียบกับ Frameless Door ของ BMW คันอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เสียงก็ไม่ดังจนน่าตกใจขนาดนี้

ช่องทางเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลัง มีขนาดเล็กแคบจนเกินไป เข้าใจแหละว่า ถ้าทีมออกแบบของ BMW จะเนรมิตให้ ช่องประตูคู่หลัง มันกว้างใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พวกเขาก็ย่อมทำได้ แต่นี่คือ แนวทางการออกแบบรถยนต์ ในสไตล์ 4-Door-Coupe ที่ ไม่ได้มุ่งเน้นความสบายในการเดินทางของผู้โดยสาร มากเท่ากับ อรรถรสจากการขับขี่

ชุดมาตรวัด Full Digital Virtual Cockpit Professional อ่านค่อนข้างยาก เพราะ การออกแบบงาน Graphic บนหน้าจอ ดูแล้วชวนให้งุนงงสับสน ตรงกลางมาตรวัด พยายามออกแบบให้แสดงแผนที่ได้ แต่กลับเป็นแค่ลายเส้นถนน ไม่ใช่ภาพ 3 มิติ แบบ Audi Virtual Cockpit จึงกลายเป็นว่า เมื่อมองรวมกันแล้ว ชวนให้งุนงง ดูเลอะสายตาไปหมด

เข็มขัดนิรภัย ควรจะปรับระดับสูง-ต่ำได้ สักที เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถจะปรับเบาะได้พอดีกับตำแหน่งของสายเข็มขัดนิรภัย สำหรับผมเอง สายเข็มขัด ก็เกือบๆจะพาดบาดคอผมอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ช่วยไม่ได้ครับ วิธีคิดของวิศวกรเยอรมันก็คือ ถ้าคุณปรับตำแหน่งเบาะนั่งถูกต้อง เข็มขัดนิรภัย จะพอดีกับสรีระของคุณเอง

การถอด Digital Key และ Wireless Charger ออกไปจากรถรุ่นปี 2022 ประเด็นนี้ สำหรับผมแล้ว ไม่ค่อยถือว่าเป็นปัญหาใหญ่เท่าใดนัก เพราะผมมองว่า มันเป็น Option ที่ไม่ได้ถึงขั้นจำเป็นต้องมีขนาดนั้น มันจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า มีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร Nice to have มากกว่า แต่สำหรับลูกค้าบางคน โดยเฉพาะสายที่ชอบ Gadget ซึ่งอยากได้ความคุ้มค่า ก็คงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ประมาณว่า จ่ายเงินมาแพง แต่ Option 2 รายการนี้ ถูกตัดออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะมันเป็นผลมาจากปัญหา Chip Shortage ซึ่งเกิดขึ้นและส่งผลกระทบไปทุกวงการทั่วโลก

คู่แข่งในตลาด / Competitors

จริงอยู่ว่า ในระดับราคา 2 ล้านบาท ต้นๆ ทางเลือกที่มีอยู่นั้น หลากหลายเหลือเกิน เลือกกันแทบไม่ถูก แต่ถ้าพิจารณาดีๆ คุณจะพบว่า คู่แข่ง ที่ค่อนข้างใกล้เคียงทั้งรูปแบบตัวถัง และสเป็กของตัวรถ กับ 220i Gran Coupe มากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Mercedes-Benz A200 Saloon

แน่นอนว่า ทั้ง 2 รุ่น เหมาะกับ กลุ่มลูกค้าหลักๆ 2 กลุ่ม นั่นคือ กลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ ที่อยากจะซื้อรถใหม่ป้ายแดง เป็นของขวัญลูกหลาน ซึ่งไม่ได้สนใจเรื่องรถยนต์มากนัก แต่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หมาดๆ อีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ วัยรุ่น ที่ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือกิจการที่สร้างมากับมือ อยากให้รางวัลกับชีวิตตัวเองสักหน่อย อยากเริ่มต้นกับรถยุโรป เป็นคันแรกในชีวิต แต่งบประมาณยังเอื้อมไม่ถึงพอที่จะปีนป่ายขึ้นไปอุดหนุน Mercedes-Benz C-Class หรือ BMW 3-Series ไม่เพียงเท่านั้น บางคนอาจจะมองว่า 2 รุ่นข้างต้นนี้ อาจจะใหญ่เกินไปสำหรับพวกเขา ก็มี

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทั้ง 2 คัน ต่างมีบุคลิกเฉพาะตัว ที่เอาใจกลุ่มลูกค้าซึ่งมีรสนิยมแตกต่างกัน

ถ้าคุณชอบ ความมุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง ของสีพรรณสรรพางค์ ในห้องโดยสาร โดยเฉพาะ Ambient Light 64 สี และไม่ได้แคร์ในเรื่องอื่นใดของตัวรถมากนัก ยืนยันเลยว่า Mercedes-Benz A 200 Saloon คือทางเลือกที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด เพราะตัวรถเองก็มีสมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งาน ประหยัดน้ำมันในระดับที่ถือว่า ดีเกินคาดแล้ว ถ้าคิดเสียว่านี่คือรถยุโรป แถมมีค่าภาษีประจำปี ถูกกว่า 220i

แต่ถ้าใครที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญ กับความแรง สมรรถนะ บุคลิกการขับขี่ แถมพกด้วยความประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่าขึ้นไปอีก แต่ต้องยอมรับให้ได้กับช่วงล่างที่แข็งกว่า ในการใช้ชีวิตประจำวันสักหน่อย รวมทั้งการเข้า – ออกจากรถที่ยากกว่าพอสมควร คงต้องยอมรับความจริงกันว่า 220i Gran Coupe เหนือกว่า จบกว่า ในแทบทุกด้าน

ถ้าคุณตัดสินใจจะเลือก 220i Gran Coupe ควรเลือกรุ่นย่อยไหน?

หากคุณถามคำถามข้างบนนี้กับผม ในช่วงปี 2020 ผมอาจจะตอบว่า ถ้าคุณกัดฟันไหว การจ่ายเงินเพื่อขึ้นไปเล่นรุ่น M Sport 2,169,000 บาท น่าจะช่วยเพิ่มเติมเต็มความต้องการของคุณได้มากกว่ารุ่นปกติ ที่เปิดราคามาเพียงแค่ 1,999,000 บาท

แต่พอมาถึงปี 2022 นี้ ด้วยปัญหาการขาดแคลน Chip Microprocessor สำหรับการประกอบรถ ทำให้ หลายๆบริษัท จำเป็ต้องตัด Option บางรายการออก แต่สำหรับ BMW นั้น พวกเขาถึงขั้นต้องตัด 220i Gran Coupe รุ่นล่างสุด ออกไป ทำให้ทางเลือกรุ่นย่อย ของ 2-Series Gran Coupe ในเมืองไทย เหลือเพียงแค่รุ่นเดียว นั่นเท่ากับว่า ถ้าคุณต้องการ 220i Gran Coupe จริงๆ ก็จะมีแค่เฉพาะรุ่น M Sport ให้เลือก ด้วยราคาค่าตัว 2,239,000 บาท ซึ่งให้ Option มาอยู่ในเกณฑ์พอรับได้

ถึงจะมีข้อดีข้อด้อย รวมกันมากน้อยขนาดไหน ท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลาต้องจากกัน ผมก็ยอมรับว่า การเอา เจ้าหนู Hamster ที่ให้ Performance ไวเหมือนกระรอก คันนี้ ออกจากห้วงความคิด ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะนี่คือรถคันหนึ่ง ที่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย แต่กลับสร้างความประทับใจทิ้งไว้ในระดับกำลังดี

จริงอยู่ว่า BMW รุ่นใหม่ๆ นั้น ถูกเซ็ตรถออกมา ให้เน้นความนุ่มสบายมากขึ้น เพื่อหวังจะแย่งชิงลูกค้ามาจากเพื่อนร่วมชาติ ชาว Stuttgart จนบุคลิกการขับขี่แบบเดิมๆที่ นักขับรถหลายคนเคยชื่นชอบ เริ่มค่อยๆเจือจางลงไป แต่สำหรับ 220i Gran Coupe แล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะอุปนิสัยรถขับสนุก ที่หลายคนเคยคาดหวังไว้จากค่ายใบพัดสีฟ้า มาคราวนี้ มันยังคงอยู่ครบ แถมดีขึ้นกว่าเดิมด้วย ถ้าคุณไม่ติดว่า นี่คือรถขับเคลื่อนล้อหน้า

จะว่าไปแล้ว ณ วันนี้ ถ้าใครจะยังคงติดค่านิยมว่า BMW ก็ควรจะเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังสิ รถขับล้อหน้า ไม่ใช่ BMW แท้ๆ ผมก็คงต้องขอดักคอไว้ตรงนี้เลยว่า มันคือความคิดที่เชยมาก เพราะ 220i Gran Coupe ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นด้วยตัวของมันเองแล้วว่า การทำรถขับเคลื่อนล้อหน้า ให้ขับสนุก ขับดี และมีบุคลิกคล้ายกับรถขับเคลื่อนล้อหลัง ได้ขนาดนี้ มันไม่เกินวิสัยทัศน์ และความสามารถของวิศวกรที่เมือง Munich กันเลย ที่สำคัญ ผลลัพธ์ มันออกมาดีจนกระทั่ง ทำให้ผมลืมไปเลยด้วยซ้ำว่า นี่คือรถขับเคลื่อนล้อหน้า อย่าลืมว่า โลกทุกวันนี้ ผ่านพ้นรอยต่อของศตวรรษ 21 มา ตั้ง 22 ปีแล้ว เราอย่าไปเอาประเด็นที่คนรุ่นพ่อเราเขาเคยถกเถียงกันไว้ กลับมาปัดฝุ่นถกกันใหม่เลยครับ

ยิ่งเมื่อมานั่งมองว่า การจ่ายเงิน 2 ล้านกว่าบาทต้นๆ แต่ได้รถรุ่นเริ่มต้น ที่ขับสนุกเอาเรื่องแบบนี้ ประหยัดน้ำมันเกินเบอร์ไปเยอะถึงเพียงนี้ ข้าวของลูกเล่นที่ให้มา ก็พอรับไหวอย่างนี้ ต้องถือว่า 220i Gran Coupe เป็นรถยนต์ที่ แอบดีเกินคาด แอบ”ฟาด”กว่าที่คิด

คราวนี้ ก็เหลือแต่เพียงว่า รถคันนี้ มันจะตอบโจทย์ความต้องการในใจคุณมากน้อยแค่ไหน อย่างที่บอกครับว่า ถ้าคุณชอบความมุ่งมิ้ง ฟรุ่งฟริ้ง ก็คงต้องไปหา Mercedes-Benz A200 Saloon แต่ถ้าคุณ ให้คุณค่ากับการขับขี่ในองค์รวม 220i Gran Coupe คือคำตอบที่ลงตัวกว่า

แต่ถ้าตัดสินใจแล้ว ตอนนี้ ก็เหลือแค่ว่า คุณจะทนรอคอยเข้าคิวสั่งจอง และรอรับรถไหวแค่ไหน

เรื่องนี้ต้องไปถามผู้จำหน่าย BMW ทั่วประเทศเอาเอง!

———————–///———————–

ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

เตรียมข้อมูลโดย Navarat Panutat

J!MMY

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์ในประเทศ ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถายรถยนต์ในต่างประเทศ และภาพกราฟฟิค เป็นของ
BMW AG.

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
6 มิถุนายน 2022

Copyright (c) 2022 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole 
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
June 6th,2022