“หัวคนเพียงหัวเดียว บรรทุกความรู้เอาไว้ได้ไม่หมด” – สุภาษิตของชาวมาไซ….

แม้จะต้องใช้ชีวิตอยูในโลก On-Line ต่อวันค่อนข้างเยอะ แต่สารภาพตามตรงว่า มนุษย์ร่างอ้วน
อย่าง J!MMY ก็มีหลายเรื่องบนโลกนี้ ที่ตามคนอื่นเขาไม่ทัน หนึ่งในเรื่องนั้น ก็คือเรื่องใกล้ตัว
ที่คุณผู้อ่านหลายคน อาจจะยังไม่ทราบก็คือ ผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอุปกรณ์สื่อสารหรือ
พวก Gadget อะไรเหล่านี้เลย

ในยุคที่พ่อแม่สมัยใหม่ เริ่มหัดให้เด็ก 3 ขวบ ใช้นิ้วถูจอ iPad เล่นนั้น ผมยังคงตะบี้ตะบันใช้
โทรศัพท์ Sony Ericsson รุ่นช้าง (อย่าง Commander CHENG!) นั่งทับ ก็ทนถึก ยังไง
ก็ไม่พังอยู่ดี เพราะผมไม่แคร์ ไม่ได้ติดต่อใครเยอะขนาดนั้น และไม่เห็นความจำเป็นแต่อย่างใด

จนกระทั่งพักหลังที่ลักษณะการติดต่องานและธรรมชาติการสื่อสารเริ่มเปลี่ยนจากการใช้เสียง
เป็นการใช้ข้อมูล สมาคมถูกระจก (ห้ามผวน) สโมสร Facebook และผู้คนรอบๆข้างทั้งหลาย
ก็เริ่มบ่นว่า ไอ้ J!MMY นี่ช่างเป็นคนติดต่อสื่อสารด้วยยากเหลือเกิน เพราะจะโทรเข้ามือถือ
แบตเตอรี ก็ต้องเสี่ยงดวงยิ่งกว่า เสี่ยงเซียมซี ว่าแบ็ตมือถือมันจะหมดเมือ่ไห่ กว่าจะเช็คเว็บ
เช็ค E-Mail ก็ต้องกาง Notebook นั่งเล่นในร้านกาแฟสักร้าน (ที่ยังไม่เจ๊ง เพราะเราไปนั่ง
ร้านไหนสักปีนึงผ่านไป ร้านนั้น เจ๊งกันตลอด!) เดือดร้อนไปจนกระทั่งน้องๆในทีม แม้กระทั่ง
บิดา มารดา ตัวเอง ต่างลุกขึ้นมาพูดเป็นเสียง เดียวกันว่า…

“มึงซื้อ Smartphone มาใช้สักเครื่องนึงเถอะ”

แน่นอนครับ หลังจากที่ Sony Ericsson เครื่องเดิม เริ่มงอแง หนักข้อเอาเรื่องขึ้นเรื่อยๆ ก็ถึงแก่
กาลอันควรที่ผมต้องเริ่มต้องเข้าเว็บหาข้อมูลเรื่องมือถือทั้งๆที่ เมื่อก่อนไม่เคยสนใจใยดี โชคดีที่
ก็ได้ตาหน่อย mxphone.net กับ นาย Zipboy และน้องต๊อบ Philizophy (สมาชิกอีกคนของกลุ่ม
The Coup Team) มาช่วยเป็นที่ปรึกษา สเป็กของโทรศัพท์หลายเครื่อง ผ่านหูผ่านตาผมไปจน
ผมเริ่มรู้สึกว่า พัฒนาการมันไปไวกว่ารถยนต์อีกแหะ

ถึงแม้ท้ายที่สุด ผมจะจบลงกับ โทรศัพท์มือถือ ที่ทนมือทนตีน เขวี้ยงไม่พัง ตกไม่แตก แถม
ล้างน้ำได้สบายๆ ชนิด เปิดน้ำก๊อก หรือ เอาลงไปแช่ ถูสบู่ ต่อให้ รถเหยียบทับ แม่มก็ไม่พัง!
อย่าง Sony Xperia Go (ราคาตอนซื้อ 9,900 บาท ทั้งหมดที่เขียนมา ไม่ได้ค่าโฆษณาแอบแฝง
อะไรทั้งสิ้นเลย แถมไอ้ที่บรรยายมาทั้งหมดหนะ ก็ลองทำกับเครื่องตัวเองมาหมดแล้ว ว่ามัน
ทำได้จริงๆทั้งหมดนั่นละ ถึงได้กล้าเขียน!!)

แต่…การควานหาข้อมูลมือถือใหม่ มันก็บังเอิญมาพร้อมๆกันกับการที่ผมได้รถ Honda Civic FB
ทั้งรุ่น 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร ตัวท็อป มาลองขับ และนั้นก็เป็นที่มาของชื่อจั่วหัวของบทความรีวิว
ในครั้งนี้

คิดไปคิดมา ความแตกต่างระหว่างรถสองรุ่นนี้ มันช่างเหมือนกับการนำเอา iPhone 4 มาเปรียบ
เทียบกับ iPhone 4S เสียนี่กระไร!

เพราะความจริงแล้ว ผมมองว่า Civic FB มันก็คือ การนำรถรุ่นเดิม มาปรับปรุงแก้ไข รู้ว่าจุดใด
ส่วนไหนที่เคยเป็นจุดอ่อน ก็แก้ไขมัน ฟังดูแล้ว มันก็น่าจะเป็นเรื่องดี แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับ
กลับไม่ได้สร้างความฮือฮาเป็นปรากฏการณ์ตลาดแตกอย่างที่มันควรจะเป็นเหมือนเช่นเมื่อ
ครั้งที่ Civic FD เปิดตัวในบ้านเรา เดือนพฤษจิกายน 2005

ซึ่งตรงนี้อาจต่างกันนิดระหว่างรถกับ iPhone เพราะสำหรับ Civic ใหม่ มันก็ไม่ใช่ข้าวของที่
ถึงขั้นต้องมีใครไปต้องไปนั่งกางเต๊นท์รอหน้าโชว์รูมกันล่วงหน้า 1 คืน หรือขี่มอเตอร์ไซค์
ทั่วเมืองเพื่อหารถมาเป็นเจ้าของให้ได้เป็นเจ้าของก่อนใครในประเทศ อย่างที่ เกิดขึ้นกับ
iPhone

แต่ความแตกต่างที่เพิ่มจากรุ่นเดิมอันน้อยนิด ก็ยังเป็นประเด็นที่หลายคนตั้งแง่อคติเอาไว้
ก่อนแล้ว นับตั้งแต่วันที่รถเผยโฉมในเมืองนอก เรียกว่ายังไม่ได้ขับของจริง ก็ยื่นเรื่องคำ
ร้องขอดำเนินการด่าเอาไว้ล่วงหน้าเสียหลายเดือน ทั้งที่อันที่จริง ส่วนที่ดีขึ้น มันก็มี และ
ส่วนที่เหมือนเดิม ก็ยังมี เหมือนเช่นส่วนที่ยังปรับปรุงต่อได้อีก นั่นแหละ!

แต่ก่อนจะพาคุณไปรู้จัก Civic FB ใหม่มากขึ้นกว่านี้…เราคงต้องย้อนกลับไปดูความเป็นมา
ของรถรุ่นนี้สักเล็กน้อย

เปล่าเลย ไม่ใช่ ประวัติ History of Civic อย่างที่เราคิดและวางแผนจะเขียน จะทำกันไป
เรื่อยๆ ซึ่งถ้าอยากอ่านประวัติของรุ่นแรก คลิกที่นี่ และประวัติของรุ่น ที่ 5 EG คลิกทีนี่

หากแต่ หมายถึงความเป็นมาของ Civic FB ตัวมันเองเพียงลำพังเลยต่างหาก!

นับตั้งแต่การเปิดตัวออกสู่สายตาชาวโลก เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1972 จนถึงวันนี้ Honda ผลิต Civic ออกสู่
ท้องถนนทั่วโลกมาแล้ว มากกว่า 20 ล้านคัน!! ตัวเลขขนาดนี้ ถือว่า ไม่ะรรมดา สำหรับการผลิตรถยนต์ขาย
สักรุ่นหนึ่ง มันต้องมีบุคลิกที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบ ครองใจพวกเขาได้อย่างดี ทั้งในด้านสมรรถนะ อัตราเร่ง
ความประหยัดน้ำมัน ความสะดวกสบายในห้องโดยสาร และความไว้ใจได้ของตัวรถทั้งคัน

แต่กว่าที่จะมาถึงวันนี้ได้ Honda เอง ก็ลำบากไม่น้อย…เรื่องนี้ ไม่ต้องอื่นไกล แค่สถานการณ์ในเมืองไทย
ก็พอ ต้องย้อนหลังกันไปถึงสมัยที่ Honda ยังผลิต Civic Dimension ออกขาย ในวันที่ 17 พฤจิกายน 2000
กันก่อน ตอนนั้น Civic รุ่นที่ 7 เปิดตัวด้วยเส้นสายที่ไม่มีความแปลกใหม่ เหมือนต่อยอดมาจากรถรุ่นเดิม
มากกว่า แต่แล้ว เมื่อคู่แข่งอย่าง Toyota ที่เผชิญปัญหายอดขายตระกูล Corolla รุ่น AE-110 Series ลดลง
จากเดิม เลือกฮึดสู้ครั้งใหญ่ คราวนี้ Honda เอง ก็ถึงกับหวั่นใจ…และสิ่งที่พวกเขาวิตก ก็เป็นความจริง…

ต้องยอมรับเลยว่า การมาถึงของ Toyota Corolla ALTIS รุ่น Brad Pitt เป็น Presenter ที่เปิดตัวในบ้านเรา
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2001 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดรถยนต์กลุ่ม Compact C-Segment
ของเมืองไทย เพราะ Altis รุ่นนี้ กลายเป็นผู้กำหนดมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ในกลุ่มนี้ จนคู่แข่งที่ต่างเปิดตัว
รถยนต์ของตนไปก่อนหน้านี้ ถึงกับหงายเงิบไปตามๆกัน ได้แต่นั่งเฝ้าดู Toyota เก็บกวาดยอดขายอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มสุภาพสตรี จากเดิมที่ตัวเลขบัญชีของ Toyota Motor Thailand ขาดทุนเป็นตัวแดง
มันพลิกกลับมาเป็นตัวดำ มีกำไรขึ้นมาได้ในปี 2001 เพียงปีเดียวเท่านั้น! โอเค ส่วนหนึ่งนั้นมาจากความเจ๋ง
ของทีมงาน ที่นำโดย นายใหญ่อย่าง เรียวอิจิ ซาซากิ ในตอนนั้น แต่ต้องยอมรับด้วยว่า ส่วนใหญ่ เป็นผลมาจาก
การยอมรับของลูกค้าต่อตัวรถเองมากกว่า

Honda เลือกที่จะไม่อยู่เฉยๆ อย่างที่ค่ายอื่นเลือกทำ พยายามปรับโฉม Civic Dimension ของตน ในปี
2003 และ 2004 ให้ดูน่าสนใจขึ้น ต่อเนื่อง กระนั้น เส้นสายที่ดูเรียบๆ ไม่หวือหวา อนุรักษ์นิยม กลับ
เรียกลูดค้าได้แต่กลุ่มที่มั่นใจว่า ฉันจะไม่ซื้อ Toyota เด็ดขาด เท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่ ก็ยังเลือก
หันไปหา Altis อยู่ดี

เพื่อให้ยังสามารถต่อกรกับ Toyota ได้ Honda เลยตัดสินใจ ออกแบบ Civic ใหม่ ให้มีเส้นสายที่ล้ำยุค
ล้ำสมัยมากขึ้น แต่ยังคงมีบั้นท้ายแนวอนุรักษ์นิยมนิดๆ ผลก็คือ หลังการเปิดตัว ในเดือนพฤศจิกายน
2005 คราวนี้สถานการณ์ก็พลิกกลับ Civic FD กลายเป็นรถยนต์ขายดี ยอดฮิต ทั้งในบ้านเรา และใน
สหรัฐอเมริกา รวมทั้งแทบทุกประเทศที่เข้าไปจำหน่าย ถึงแม้ว่า Toyota จะส่ง Corolla ALTIS รุ่น
ปัจจุบัน ออกสู่ตลาดบ้านเราในเดือนมกราคม 2008 ก็ทำอะไร Civic ไม่ได้ จริงอยู่ว่า ถ้ารวมตัวเลข
ยอดขาย กลุ่มตลาด Taxi ด้วย ยังไงๆ Corolla Altis จะขายดีกว่า Civic อยู่แล้ว แต่ถ้าตัดกลุ่ม Taxi
ออกไปทั้งหมด…Civic นำ Altis อยู่พักใหญ่เลยละครับ!

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญของ Civic FD ก็คือ ในขณะที่ยอดขายของรถรุ่นนี้ ในตลาดหลักอย่าง
สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย ขายดีเป็นมาม่าแจกฟรี เดือนละหลายพันคัน แต่ในบ้านเกิดตัวเอง
ที่ญี่ปุ่น Civic FD ขายได้แค่เดือนละ 300 กว่าคันเท่านั้น ในช่วงเปิดตัว หลังจากนั้น ก็ร่วงเอาๆๆๆๆ
ในที่สุด เหลือแค่เดือนละ 100 กว่าคันเศษๆ เท่ากับว่า ความนิยมในรถยนต์ C-Segment Sedan ของ
ญี่ปุ่น ซบเซาลงจนถึงขีดสุดแล้ว อีกสาเหตุหนึ่ง ก็เป็นเพราะ Civic FD ตัวถังกว้างเกิน 1.7 เมตร จึง
ต้องเสียภาษีในพิกัดเดียวกับรถยนต์ราคาแพง 3 Numbers อย่าง Toyota Crown หรือ Honda Accord
นั่นจึงเป็นเหตุให้ Honda ต้องประกาศ ยุติการทำตลาด Civic ในญี่ปุ่นกันไปเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน
2010 เพราะแค่เดือนตุลาคม 2010 นั้น Civic มาตรฐาน ขายได้ที่ญี่ปุ่นแค่ 182 คัน ส่วนรุ่น Hybrid ที่
หมายจะต่อกรกับ Toyota Prius ก็ขายได้แค่ 270 คันเท่านั้น!!!

นอกจากนี้ Civic FD ยังมีปัญหาจุกจิกที่ลูกค้าเองก็ทะยอยบ่นและก่นด่า รอบคันของตัวรถ ทั้งกระจก
หน้าต่างตกราง หรือเสียง ดัง ต๊อกๆ ในห้องเครื่องยนต์ ฯลฯ อีกมากมาย

Honda จึงกลับมานั่งทบทวนดูอีกครั้ง ในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องการออกแบบ เรื่อง
การประกอบ แม้แต่ขนาดของตัวถังก็ยังต้องนำมาพิจารณากันใหม่เช่นกัน เพราะมีคำถามเกิดขึ้นมาก
โดยทั่วไปว่า ทุกวันนี้ Civic ขนาดใหญ่เกินไปหรือเปล่า?

ทีมวิศวกรของ Honda จึงเริ่มงาน พัฒนา Civic ใหม่ ในรหัสโครงการ 2HC ในช่วงปี 2007 โดยมี
Toyota Corolla ALTIS และ Hyundai Elantra ใหม่ เป็น Benchmark…

พูดถึง คู่รักคู่แค้นอย่าง Toyota กับ Honda นั้น แม้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา Toyota เอง ก็เคยช่วยเหลือ
Soichiro Honda สมัยยังไม่เริ่มทำจักรยานยนต์ขาย ด้วยการ ซื้อกิจการโรงงานทำแหวนลูกสูบของเขา
ไปทั้งหมด เพื่อประคับประคองธุรกิจให้ไปรอด ในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ปัจจุบันนี้ ทั้งคู่ ก็เป็นคู่แข่ง
ที่ฟัดกันดุเดือดมาๆในตลาดโลก

ผมว่า Honda กับ Toyota ต่างก็มีแนวคิดประหลาดๆ ในการทำรถยนต์ออกมาขาย ถึงจะไม่แปลกที่ต่าง
ก็ต้องศึกษาวิธีการผลิตรถยนต์ของกันและกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา มันชวนให้ฮาจริงๆ มาดูตัวอย่างกันเลย
ดีกว่า มี Case Study แปลเป็นไทยได้ว่า กรณีศึกษา ให้เราเห็นกัน 3 คู่รวด!

เรื่องแรก คู่แรก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2002 Toyota ออก Soluna Vios ชนกับ Honda City (Asean Market)
จนสนั่นเมืองไทย กลายเป็นศึกช้างชนช้าง ความแตกต่างของทั้งคู่ก็คือ ขณะที่ Toyota เลือก สร้าง Soluna
Vios โดยออกแบบโครงสร้างตัวถังครึ่งคันหน้า ใหม่ทั้งหมด ไม่ได้ใช้ร่วมกับ Vitz/Yaris เจเนอเรชันแรก
(1999 – 2003 ไม่ได้นำเข้ามาประกอบขายในบ้านเรา) แต่ Honda เลือกจะนำโครงตัวถังด้านหน้าของเจ้า
Fit / Jazz รุ่นแรก มาใช้ร้วมกันใน City ทำให้หัวรถ Sedan รุ่นนั้น เล็ก สั้นไม่สมดุลกับขนาดบั้นท้ายที่
ใหญ่บานทะโร่โท่ นั่นคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ Vios เยอะจนกระทั่งยอดขายของ City กับ
Jazz 2 รุ่น รวมกัน ช่วงนั้น ยังไม่เท่ายอดขาย Vios เพียงตัวถังเดียว

ผลก็คือ พอมาเป็นเจอเนเรชันใหม่ อันเป็นรุ่นปัจจุบัน หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายศึกษากันและกัน คราวนี้ กลับ
กลายเป็นว่า Toyota ดันไปเห็น Honda ใช้โครงสร้างตัวถังบริเวณหัวรถครึ่งคันหน้าร่วมกันแล้วเกิดสนใจ
อยากทำบ้าง ผลก็ออกมาเป็น Vitz / Yaris เจเนอเรชัน 2 (ปี 2006) และ Vios ใหม่ (2007) ที่ใช้โครงสร้าง
ตัวถังครึ่งคันหน้าร่วมกัน ขณะที่ Honda กลับเปลี่ยนไปใช้แนวทางของ Toyota คือออกแบบให้หัวเก๋ง
ของทั้ง City และ Jazz รุ่นปัจจุบัน (2008) แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถใช้แทนกันได้

เรื่องถัดมา คู่ของรุ่นใหญ่ ขณะที่ Camry รุ่นปี 2002 ดูเป็นรถผู่ใหญ่มากขึ้น แต่ Accord G7 (2002) กลับ
เป็นรถยนต์คันใหญ่ ตัวแทนของกลุ่ม Young Executive หรือนักธุรกิจรุ่นใหม่ อายุยังน้อยๆ พอมาถึงปี
2006 Toyota เลย ออกแบบ Camry ใหม่ ให้ดูหนุ่มขึ้น ภายใต้แนวทาง Rejuvenier ทำให้ตัวรถชนะใจ
ลูกค้ากลุ่ม Young Executive มากขึ้น แต่ Accord กลับเดินสวนทางกัน ในรถรุ่นปี2007 หรือ G8 พวกเขา
ตัดสินใจ เพิ่มความภูมิฐาน เพื่อเน้นเอาใจลูกค้ากลุ่มสูงวัยมากขึ้น (เอ๋า!) จนพอมาถึงปี 2012 Camry ใหม่
กลับมาเป็นรถที่เหมาะกับผู้ใหญ่อีกครั้ง โดย Accord G9 ที่จะคลอดในบ้านเราต้นปี 2013 จะมีภาพลักษณ์
หนุ่มขึ้น อีกนิดหน่อย…มันอะไรกันวะเนี่ย?

และเรื่องที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Civic นั่นคือ ในปี 2005 ระหว่างที่ Toyota กำลังเร่งพัฒนา Corolla
ALTIS รุ่นปัจจุบัน ให้ทันออกสู่ตลาดช่วงปี 2006 ทันใดนั้น เมื่อ Honda เปิดตัว Civic FD ออกมาในงาน
Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม ปีนั้น Toyota ถึงกับช็อค และตัดสินใจ รื้องานออกแบบภายนอก ภายใน
ของ Corolla ที่ทำกันอยู่ แทบจะทั้งหมดทิ้ง เพื่อออกแบบขึ้นมาใหม่ จนต้องเลื่อนกำหนดการเปิดตัวออก
มาอีก 1 ปี และกลายเป็นว่า ตัวรถรุ่นปัจจุบัน มีหลายจุดที่ทั้งดี และด้อยกว่า Civic FD โดยเฉพาะในเรื่อง
ขนาดตัวถัง และห้องโดยสาร

พอมาถึงปีนี้ กลับกลายเป็นว่า Honda เลือกจะนำ Corolla Altis มาเป็น Benchmark! ว่าจะทำ Civic
ออกมาอย่างไร ให้น้ำหนักเบา มีขนาดที่เหมาะสม และบังคับขับขี่ง่าย คล่องตัว และโดนใจคนที่เคยเป็นลูกค้า
ของ Corolla มากขึ้น? ขณะที่ Corolla ALTIS รุ่นต่อไป ก็จะปรับบุคลิกให้แย่งลูกค้าจาก Civic มากขึ้น!

นี่เป็นแค่ ตัวอย่าง 3 เรื่อง และดูเหมือนว่าเรื่องชวนหัว น่าขัน ของทั้ง 2 ค่ายนี้ จะยังคงดำเนินต่อเนื่อง
ไปแบบนี้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่ทั้งคู่ ยังเป็นคู่แข่งในเวทีอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกเช่นนี้ต่อไป

ก่อนการเปิดตัว มีกระแสข่าวเล็ดรอดออกมาอย่างจริงจังว่า Civic FB จะมีขนาดตัวถังที่สั้นลงกว่าเดิม
มีระยะฐานล้อสั้นลง เนื่องจากทีมวิศวกรมองว่า รุ่นปัจจุบัน มีตัวรถที่ยาวเกินความจำเป็น และพวกเขา
สามารถ ออกแบบให้ห้องโดยสารภายใน มีพื้นที่กว้างขึ้นได้อีกนิด ทั้งที่ตัวรถจะสั้นลงกว่าเดิม

ผู้คนต่างพากันงุนงงว่า Honda จะทำได้อย่างไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะหั่นความยาวตัวรถออก
แต่เพิ่มขนาดพืนที่ห้องโดยสารจากเดิมอีกด้วย แม้เพียงเล็กน้อยก็ตามเถอะ

วันที่ 13 ธันวาคม 2010 Honda จัดการปล่อยภาพวาดของ Civic Concept ทั้งตัวถัง Sedan
และ Coupe ออกสู่สายตาชาวโลก เพื่อสร้างกระแสความสนใจ ให้เกิดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มเผยโฉม
เวอร์ชันตกแต่งให้เป็นรถต้นแบบ ในชื่อ Honda Civic Concept ทั้ง 2 ตัวถัง อวดโฉมในงาน
Detroit Auto Show หรือ North American International Auto Show เมื่อวันที่
10 มกราคม 2011

การปล่อยให้ผู้บริโภคได้เห็นรถต้นแบบกันก่อนจะขายจริงนั้น แปลว่า เป็นช่วงโค้งสุดท้าย ก่อน
จะปล่อยรถเวอร์ชันขายจริงออกสู่ตลาด ซึ่งหมายความว่า ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร ที่จะจัดการ
งานด้านการทำตลาด งานด้านเทคนิคการเตรียมสต็อกอะไหล่ และฝึกอบรมช่างซ่อมที่กระจาย
ตามศูนย์บริการต่างๆ ทั่วเขตอเมริกาเหนือ ซึ่งถือเป็นช่วงสุดท้ายของการเตรียมพร้อมก่อน
วางตลาดรถยนต์ทุกรุ่น

กระแสตอบรับ มากันหลากหลาย ส่วนใหญ่บอกว่า ไม่เห็นพัฒนาการด้านเส้นสายไปจากเดิม แถม
ยังบอกว่า งานออกแบบแย่ลงกว่ารุ่น FD ที่เพิ่งจะตกรุ่นไป แต่หลายคน ยังไม่ฟันธง รอดูตัวจริงกัน

คล้อยหลัง เพียง 3 เดือน เวอร์ชันอเมริกาเหนือ ก็ถูกขนส่งไปจัดแสดงในงาน New York Auto Show
พร้อมเปิดตัว และส่งถึงมือโชว์รูมผู้จำหน่ายทั่วสหรัฐฯ เพื่อเริ่มทำตลาดจริง อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่
18 เมษายน 2011 และคราวนี้ มากันพร้อมสรรพ ครบทุกรุ่นย่อย เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
กันไปมากๆ ทั้ง Civic รุ่นมาตรฐาน 1.8 ลิตร Sedan และ Coupe 2 ประตู ตามด้วย Civic HF Sedan
ที่ เน้นอุปกรณ์ตกแต่งภายนอก เพื่อช่วยลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ให้ประหยัดน้ำมันขึ้น โดยยังมี
Civic CNG ใช้พลังงานทางเลือกได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และก๊าซธรรมชาติอัด กับ Civic HYBRID ออกมา
เจาะกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ความประหยัดขณะขับในเมืองจากรถยนต์ Hybrid ประกบกับ Toyota Prius
โดยตรง และเวอร์ชันแรงสะใจ Honda Civic Si ยกเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร จาก Accord มาวางไว้ให้แรง
พุ่งกระฉูด เอาใจวัยรุ่น

ความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน เวอร์ชันไทย (ไม่นับรุ่น HF Si และ Hybrid ซึ่งใช้กระจังหน้า และ
ล้ออัลลอย กับลายไฟท้าย ลวดลายต่างกัน ) มีแค่ ชุดไฟท้าย ซึ่งจะไม่มีแผงทับทิม ยื่นมาจรดกับ
ช่องใส่ป้ายทะเบียน อย่างที่เวอร์ชันไทยมีมาให้ รวมทั้งอุปกรณ์ภายในที่ไม่เหมือนกันในและ
รุ่นย่อย เท่านั้น

ตัวถังในรุ่น Sedan จะมีขนาดเหมือนเวอร์ชันไทย แต่รุ่น Coupe 2 ประตู จะมีความยาว 4,473
มิลลิเมตร กว้าง 1,752 มิลลิเมตร สูง มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,618 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์ ของเวอร์ชันอเมริกาเหนือนั้น มีให้เลือกมากถึง 4 แบบ โดยเริ่มจากแบบมาตรฐาน R18A
บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี i-VTEC 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 17.69 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยในเมือง/นอกเมือง ตามมาตรฐาน EPA
รัฐบาลสหรัฐฯ 28/39 ไมล์/แกลลอน วางในรุ่นย่อย DX LX EX และ EX-L ทั้งตัวถัง Sedan Coupe
รวมทั้งรุ่น Civic HF (High Fuel-economy) อันเป็นรุ่นย่อยที่แทรกกลางระหว่างรุ่น LX และ EX
ใช้เครื่องยนต์เหมือนกับรุ่นมาตรฐานทุกประการ เพียงแต่ติดตั้งล้ออัลลอยลายใหม่น้ำหนักเบา 15 นิ้ว
ติดตั้งสปอยเลอร์หลังออกแบบพิเศษ เพื่อลดแรงเสียดทานด้านอากาศพลศาสตร์ ให้ดีขึ้น จนทำตัวเลข
อัตราสิ้นเปลืองนอกเมืองสูงถึง 41 ไมล์/แกลลอน ดีขึ้นกว่ารุ่นมาตรฐาน 2 ไมล์/แกลลอน

หากอยากได้ความประหยัด และใช้เชื้อเพลิงได้ 2 ทางเลือก มีรุ่น Civic CNG ที่ใช้เครื่องยนต์เดียวกัน
แต่ปรับจูนเครื่องยนต์ให้เหมากับการใช้ทั้งน้ำมันเบนซิน และ ก๊าซธรรมชาติ CNG (Compressed
Natural Gas) จนเหลือ 110 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดลดเหลือ 14.65 กก.-ม.ที่
4,000 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลือง ในเมือง/นอกเมือง/เฉลี่ย 27/38/31 ไมล์/แกลลอน

รวมทั้ง Honda Civic HYBRID IMA ใหม่ ที่ ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี หัวฉีด
พ่วงระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 23 แรงม้า (PS) พร้อมชุดเกียร์ CVT ในตัว และแบ็ตเตอรี แบบ
Lithium-ion รวมแล้วมีพละกำลังทั้งระบบ 110 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด
17.5 กก.-ม. ที่ 1,000-3,500 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มาตรฐาน EPA 44 ไมล์/แกลลอน

และรุ่รงแรงสุด Honda Civic SI มีทั้ง Sedan และ Coupe วางเครื่องยนต์ K24A จาก Accord เป็น
บล็อก 4 สูบ DOHC 2,354 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-Vtec 201 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 23.5 กก.-ม.ที่ 6,100 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองในเมืองดีขึ้น 1 ไมล์/แกลลอน เป็น
22 ไมล์/แกลลอน ส่วนนอกเมือง ดีขึ้น 2 ไมล์/แกลลอน เป็น 31 ไมล์/แกลลอน MPG มีทั้งเกียร์
อัตโนมัติ 5 จังหวะ และธรรมดา 6 จังหวะ ราคาขายในช่วงเปิดตัวของ Civic ใหม่ รวมทุกรุ่นย่อย
อยู่ที่ 15,605 – 26,750 เหรียญสหรัฐฯ

ปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2011 – 2012 เป็นต้นไป Civic เวอร์ชันอเมริกาเหนือ กว่าร้อยละ 95 จากปริมาณรถ
ที่มีจำหน่ายในตลาดทั้งหมด ณ ปี 2011 – 2012 ถูกผลิตขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือ ทั้ง โรงงานในเมือง
Greensburg มลรัฐ Indiana และ โรงงาน Alliston รัฐ Ontario ใน Canada ไม่ใช่จากโรงงาน
ญี่ปุ่น เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

ส่วนเวอร์ชันยุโรป Honda เผยภาพถ่ายชุดแรกออกมา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2011 คล้อยหลังการเปิดตัว
ของเวอร์ชันสหรัฐฯ ราวๆ 5 เดือน และเหมือนเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ นั่นคือ ตัวรถจะแตกต่างจากตลาดโลก
คนละเรื่อง คนละคัน กันเลยทีเดียว!

Mitsuru Kariya, Large Project Leader ของโครงการพัฒนา Civic Euro Version มองว่า เพราะ
ตลาดยุโรป มีความต้องการที่แตกต่างจากตลาดอื่นๆทั่วโลก อย่างชัดเจน เช่น ชอบซื้อรถยนต์ Hatchback
เป็นหลัก ใช้เครื่องยนต์ Diesel Turbo ปล่อยใลพิษต่ำ แต่ต้องแรงพอจะขับขี่ทางไกล รวมทั้ง Autobahn
และช่วงล่างต้องเยี่ยมพอจะเผชิญกับถนนก้อนอิฐโบราณอันเลวร้ายได้ จึงต้องการรถยนต์ที่แตกต่างจากตลาด
กลุ่มอื่นทั่วโลก ถึงจะชนะใจลูกค้าชาวยุโรป และแข่งขันในตลาดกลุ่ม C-Segment ของที่นั่นได้

ในเบื้องต้น มีตัวถัง Hatchback 5 ประตู ก่อนจะตามออกมาด้วยรุ่น 3 ประตู รวมทั้ง Station Wagon
ในลำดับถัดไป รุ่น Hatchback มีความยาว 4,285 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง 1,472 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,605 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์ มี 3 ขนาด ทั้งแบบเบนซิน บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,339 ซีซี หัวฉีด PGM-FI พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC  100 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร (12.9
กก.-ม.) ที่ 4,800 รอบ/นาที ตามด้วย รหัส R18A เวอร์ชันยุโรป เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี
PGM-FI และ i-VTEC 142 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตันเมตร (17.7 กก.-ม.)
ที่ 4,300 รอบ/นาที และ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,199 ซีซี Common-Rail i-DTEC 150 แรงม้า
(PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.6 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที ทุกรุ่น ขับเคลื่อน
ล้อหน้า และเลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 5 จังหวะ พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์
ไฟฟ้า EPS ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัต หลังทอร์ชันบีม ดิสก์เบรก 4 ล้อ พ่วง ABS / EBD /
Brake Assist / VSA / TCS ตามแต่ละรุ่นย่อย

และในรุ่นปี 2013 Honda เพิ่งประกาศ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2012 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ ว่า จะเพิ่ม
เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด จากตระกูล Earth Dreams Technology เป็นแบบ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1.6 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิง แบบ Common-Rail 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสงสุด 300 นิวตันเมตร หรือ
30.57 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที ปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ็อกไซด์ต่ำมาก เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น!

และแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ คุณจะไม่ได้เห็นในเวอร์ชันไทยอย่างแน่นอน เพราะ Honda แบ่งตัวถัง
Hatchback แบบนี้ ไว้ขายเฉพาะยุโรป เท่านั้น ขนาดคนญี่ปุ่นเอง ก็ยังไม่มีสิทธิ์ คิดเอาเองแล้วกัน!

ส่วนเวอร์ชันไทย นั้น ตามแผนดั้งเดิม Honda Automobile (Thailand) จะมีกำหนดเตรียมการ
เปิดตัว Civic ใหม่ รหัสรุ่น FB ที่เห็นอยุ่นี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2011 แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก
มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง ได้สร้างความเสียหายให้กับโรงงานของ Honda ในพื้นที่
นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอย่างมาก ถึงขั้นโรงงานจมอยู่ใต้
บาดาล นานแรมเดือน ก่อความเสียหาย ถึงขั้นต้องยุติการผลิตตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2011 เรื่อยมาจนเพิ่งจะ
ปรับปรุงฟื้นฟู และกลับมาเปิดดำเนินการเดินเครื่อง อย่างเป็นทางการอีกครั้ง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2012
ที่ผ่านมาหมาดๆ นี้เอง ทำให้ Honda จำเป็นต้องเลื่อนการเปิดตัว Civic ใหม่้ ออกมาจนถึง
วันที่ 10 พฤษภาคม 2012 อย่างจำใจ

แม้ว่าจะต้องเลื่อนเปิดตัวออกมาไกลจากกำหนดเดิ้มถึง 6 เดือน แต่ด้วยการจัดวางออพชีน กับราคาให้สมดุลกัน
ก็ช่วยให้ลูกค้า ที่เคยพากันร้องยี้ หลังจากเห็นภาพถ่ายชุดแรกจากเมืองนอก ก็เริ่มกลับมายอมรับได้ และเริ่ม
พากันอุดหนุน ซื้อหามาขับ จนตอนนี้ Civic ใหม่ ก็เริ่มวิ่งเล่นให้พบเห็นกันในหัวเมืองใหญ่ ทั่วประเทศ
ชนิด เกลื่อนพอกันกับบรรดา ECO Car รุ่นใหม่ๆ ทั้งหลาย เลยทีเดียว

ตัวถังของ Civic FB ใหม่ แบบ Sedan 4 ประตู มีความยาว 4,525 มิลลิเมตร กว้าง 1,755 มิลลิเมตร
สูง 1,434 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ ยาว 2,670 มิลลิเมตร ถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับ Civic FD รุ่นเก่า
จะพบว่า ความกว้างและความสูงหนะเท่าเดิม แต่ด้วยการหดระยะฐานล้อให้สั้นลงจากเดิม 2,700 มิลลิเมตร
ลงไป 30 มิลลิเมตร ทำให้ความยาวของตัวถัง ลดลงจากเดิม 15 มิลลิเมตร

ครับ ตัวรถมีขนาด สั้นลงกว่าเดิมจริงๆ เป็นไปตามกระแสข่าวลือที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ ช่วงปี 2010 เป๊ะ!

Yuji Nishina วิศวกรโครงการพัฒนา Civic FB ใหม่ บอกว่า พวกเขาตั้งใจที่จะลดความยาวของรถลง
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมาย ในการทำรถรุ่นใหม่ ให้เบาขึ้น เพื่อเน้นความประหยัดน้ำมันมากขึ้น
แต่ต้องคงไว้ซึ่งสมรรถนะเท่าเดิม หรือดีกว่าเดิม รวมทั้งจะต้องมีขนาดห้องโดยสารเท่าเดิมอีกด้วย

เส้นสายทั้งคัน ก็ยกมาจากเวอร์ชันอเมริกาเหนือนั่นแหละครับ เพียงแต่ มีการตกแต่ง แผงทับทิม ให้
ยื่นต่อยาวออกมาจากชุดไฟท้าย จรดกรอบช่องใส่ป้ายทะเบียนด้านหลังรถ เพื่อให้มีความแตกต่างจาก
เวอร์ชันอเมริกาเหนือ และกลายเป็นอะไหล่ชิ้นพิเศษ สำหรับรถรุ่นนี้ ในตลาดโลก แค่นั้นเลย!

ประเด็นที่มีการถกเถียงมาโดยตลอดนั่นคือเรื่องเส้นสายตัวถัง ผู้คนส่วนใหญ่ ที่ได้เห็นภาพถ่ายแรก
กว่า 80 – 90 % พร้อมใจกันบอกว่า “มันไม่สวย” ซึ่งถือเป็นเรืองที่ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะภาพถ่าย
ช่วงแรกในสหรัฯ ก่อนหน้านี้ เป็นภาพ ที่ถ่ายออกมาแล้ว ไม่มุมมองความสวยของตัวรถมากนัก ผมมองว่า
มันมีเหตุผลมารองรับดังนี้

1. ก็ภาพถ่ายชุดแรกจากฝั่งอเมริกาเหนือหนะ มันดูได้ซะที่ไหนกันเล่า? มุมสวยของรถรุ่นนี้ คือการ
ถ่ายรูป โดยยกให้กล้องอยู่เหนือตัวรถ เป็นมุมกดต่ำลงมา เพื่อจะได้ให้เห็นเส้นสายแนวลิ่ม แบบ
One Motion Form ลากจากเส้นฝากระโปรงหน้า ยาวไปถึงหลังคารถ มากขึ้น แต่รูปชุดแรกที่ออกมา
ดันถ่ายทำใน Studio แถมยังเป็นรถสีเข้มๆ มืดๆ อีก Background ด้านหลัง ก็มืดเหลือเกิน อีกทั้ง
รายละเอียดการตกแต่ง เวอร์ชันอเมริกาเหนือ จะไม่ดู เปล่งประกายแวววับเหมือนเวอร์ชันไทย
ดังนั้น ไม่แปลกใจ ที่คนไทยจะเกลียดมันในแรกพบทันที

2. ถ้าใครที่ติดตามวงการรถยนต์โลกมานานหลายปี ก็คงพอจะรู้ว่า ตามปกติ ถ้าเมื่อใดที่บริษัทรถยนต์
ฝั่งญี่ปุ่น เปลี่ยนแนวเส้นสายให้กับรถยนต์ของตนกันใหม่แบบยกเครื่องผิดแผกไปจากเดิมแล้ว จง
มั่นใจได้เลยว่า รุ่นถัดไปในอีก 4-5 ปีข้างหน้า อย่าหวังจะเห็นการพลิกโฉมฉีกแนวเกิดขึ้นอีก แต่
รถที่จะตามมาหลังจากนั้น มักจะเป็นการนำ รถรุ่นเดิม มาปัดฝุ่น ขัดกลบลบเกลา เติมโน่นนี่นั่น
เข้าไปให้ดูดีขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ Toyota Corolla ALTIS รุ่นปัจจุบันไงครับ! ถ้าเทียบกับ
เจ้าอึ่งอ่าง Brad Pitt รุ่นปี 2001 นั่น จะเห็นได้ว่า เส้นสายลงตัวขึ้น และไดสัดส่วนมากขึ้น Honda
Civic ใหม่ ก็ใช้แนวทางเดียวกัน ในการออกแบบ คือ นำเส้นสายของรถรุ่นเดิม มาเกลากันเสียใหม่
จนดูลงตัวมากขึ้น

แต่ต้องยอมรับกันว่า แนวเส้นสายของตัวรถที่ดูลงตัวขึ้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลังนั้น มันจำต้อง
ลดทอน ความล้ำสมัย (Futuristic) ของรถรุ่นเดิม ลงไปพอสมควร และนั่นจึงไปกระทบกับความ
คาดหวังของลูกค้าทั่วโลก ที่คิดว่า รถน่าจะดูล้ำยุคต่อเนื่องไปอีกระดับ เอาให้หนีคู่แข่งทั้งหลาย
กันไปเลย สุดท้าย กลายเป็นว่า Hyundai Elantra ใหม่กลายเป็นตาอยู่ ที่มาถึงก็แย่งชิงภาพลักษณ์
ความล้ำยุค ไปจาก Civic แบบไม่มียำเกรงศักดิ์ศรีซามูไรกันเลยทีเดียว

อีกประการหนึ่งก็คือ การเล่นแนวเส้นสายตัวถังแบบ One Motion Form ที่ยังคงถูกนำมาใช้กับ
Civic ใหม่นั้น ทำให้ตำแหน่งของกระจกมองข้าง ที่เหมาะสม ยังคงอยู่ที่เดิมก็จริง แต่ในเมื่อ
Honda เลือกจะรักษา รูปแบบกระจกมองข้าง ให้ติดตั้งจากด้านข้างตัวถังเหมือนรถสปอร์ต
ดังนั้น การออกแบบให้บานกระจกหน้าต่างคู่หน้า จำเป็นต้องมี หูช้าง Opera เพิ่มเข้ามา จึง
ยังคงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยากอยู่ดี ถึงแม้ Honda จะบอกว่า มีการปรับปรุงให้มีมุมมองจาก
ตำแหน่งคนขับ หรือทัศนวิสัยที่ดีขึ้น ทั้งการลดความกว้างเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ลงก็ตาม

แม้ว่าเส้นสายจะละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อพินิจกันอย่างละเอียด ต่อให้ จ้องมองด้วยตาเปล่า
ชิ้นต่อชิ้น คุณจะพบว่า ไม่มีชิ้นส่วนตัวถังภายนอกชิ้นใด ที่ Civic FB กับ City จะสามารถสลับ
สับเปลี่ยนถอดใส่ซึ่งกันและกันได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว!

กระนั้น ในมุมมองส่วนตัวของผม ยังยืนยันว่า การที่ Civic ใหม่ คลอดออกมา ด้วยเส้นสายแบบนี้
ทำให้ผม มั่นใจ และมีความสุขมากๆ ว่า “ตูตัดสินใจไม่ผิดที่ซื้อ Honda City รุ่นปัจจุบัน!!” อยู่ดี

เพราะไม่ว่าคุณจะมองเส้นสายของรถคันนี้แล้ว ชอบหรือไม่ กรี๊ดกร๊าด หรือโห่ไล่ แต่สำหรับผม
ยิ่งพอได้มอง รถทั้ง 2 คัน จอดอยู่คู่กันในโรงรถที่บ้านแล้ว…

มันเป็นความรู้สึกที่ชวนให้คิดออกมาว่า  “ช่างเหมือนกันได้ เหนือคำบรรยายจริงๆ ” (ฮา)

การเปิดประตูนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 รุปแบบ หากเป็นรุ่น 1.8 ลิตร ทุกคัน (รถคันสีขาวฟ้า Frosty White)
จะใช้ กุญแจแบบพับเก็บได้ พร้อมรีโมทคอนโทรล การติดเครื่องยนต์ ต้องใช้วิธี เสียบกุญแจลงไปใน
รูกุญแจ ซึ่งติดตั้งไว้ที่คอพวงมาลัยฝั่งขวา แล้วบิดหมุนเพื่อติดเครื่องยนต์ เหมือนเดิม

แต่ในรุ่น 2.0 ลิตร (รถสีน้ำตาล Urban Titanium) จะใช้กุญแจแบบ Keyless Smart Entry พก
ไว้กับกระเป๋าเสื้อผ้า เดินเข้าไปใกล้บานประตูรถ ฝั่งคนขับ สามารถดึงมือจับเปิดประตูรถได้ทันที และถ้า
ต้องการจะล็อกรถ ก็แค่ ปิดประตูแล้วกดปุ่มสีดำ บนมือจับ รวมทั้งยังสามารถใช้ปุ่มกดสั่งล็อก – ปลดล็อก
ได้จากระยะไกล รวมทั้งฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ได้เหมือนกัน การติดเครื่องยนต์ จะใช้วิธีกดปุ่ม
สีแดง ซึ่งติดตั้งอยู่ใต้ชุดมาตรวัดฝั่งซ้ายมือ

ถือเป็น รถยนต์ Honda ประกอบในเมืองไทยรุ่นแรก ที่ติดตั้งระบบกุญแจ Smart Entry มาให้ (ซะที)

เมื่อเปิดประตูออกมา จะพบว่า รุ่น 2.0 ลิตร จะตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยโทนสีดำ ขณะที่รุ่น 1.8 ลิตร
จะตกแต่งด้วยสีเบจ มีรุ่น 1.8 S ตกแต่งด้วยเบาะผ้า ส่วนรุ่น 1.8 E โดยเฉพาะรุ่น 1.8 E-Navi คันนี้ จะใช้
หนังสังเคราะห์ และหนังแท้ หุ้มเบาะนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เหมือนรุ่น 2.0 ลิตร

การเข้า – ออกจาก ตัวรถ ยังคงทำได้สบายดี ต่อให้ปรับแหน่งเบาะนั่งเตี้ยสุด ก็ยังสูงกว่า ตำแหน่งเบาะนั่ง
ต่ำสุดของ Civic FD นิดนึง การลุกเข้า – ออก จึงไม่ต้องใช้แรงยกตัวขึ้นมากเท่า รถรุ่นเดิม

แผงประตูคู่หน้า มีตำแหน่งวางแขน ซึ่งวางได้จริง แต่ช่องใส่ของจุกจิก ที่อยู่ถัดลงมานั้น ใส่ได้แค่เอกสาร
หรือข้าวของเล็กน้อย ไม่สามารถวางแก้ว หรือขวดน้ำได้แต่อย่างใด

ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า Honda ติดตั้ง ยางขอบประตูด้านล่างมาให้ เพื่อหวังช่วยในการลดเสียงรบกวนจาก
พื้นถนน ลงไปส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ วัสดุด้านบนสุดของแผงบุข้างบานประตู จะเสริมด้วยฟองน้ำชิ้นบาง
ทำให้มีพื้นผิวสัมผัสที่นุ่มกว่าเดิม และช่วยเพิ่มความชื่นชอบให้ผู้บริโภคได้พอสมควรเลยทีเดียว

เบาะนั่งคู่หน้า มีการปรับปรุงให้นั่งสบายขึ้นนิดหน่อย คราวนี้ เบาะรุ่น 1.8 E และ 2.0 EL ทุกคัน จะมี
เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า 8 ทิศทางมาให้ แต่ไม่มีระบบจำตำแหน่งเบาะ (No Memory Seat)

พนักพิงหลัง ด้านบนรองรับช่วงไหล่ได้ แต่ยังไม่ถึงกับดีเด่นมากนัก ส่วนบริเวณรองรับกระดูกสันหลัง
ตรงกลาง แม้จะพยายามออกแบบให้โป่งนูน เพื่อรองรับอย่างดี แต่ในบางราย ก็ยังอาจทำให้เกิดอาการ
ปวดหลังนิดๆ ได้ หากขับขี่นานๆ เบาะรองนั่ง ยังคงสั้นไปนิดนึงเหมือนเดิมอยู่ดี แต่ยังถือว่ายอมรับได้

พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับเบาะคู่หน้า ถือว่าหายห่วง ไม่ต้องกังวล ส่วนพนักศีรษะเอง ก็มีการปรับปรุงให้
เป็นแบบตัน ซึ่ง นุ่ม เป็นมิตรต่อศีรษะ และไม่ดันหัว มากเท่า พนักพิงแบบเดิมใน Civic FD

การเข้าออกบานประตูคู่หลัง ทำได้ดีเสมอตัว พอกันกับทั้ง Civic FD และ City รุ่นปัจจุบัน เพียงแต่ว่า ด้วยการ
ออกแบบแนวขอบประตูบริเวณเสาหลังคา C-Pillar ให้ดูโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม ดังนั้น อาจต้องระมัดระวังศีรษะ
ขณะเข้า – ออกจากรถบ้าง

แผงประตูด้านข้าง ใช้วัสดุครึ่งท่อนบน เหมือนกับแผงประตูหน้า ส่วนตำแหน่งวางแขน วางได้จริงเหมือนกัน
แต่ ช่องใส่ของด้านข้างนั้น สามารถใส่เครื่องดื่ม หรือขวดน้ำได้ แต่ต้องวางกันดีๆนิดนึง นอกจากนี้ กระจก
หน้าต่าง ยังสามารถเลื่อนลงมาได้จนสุดบาน

เบาะนั่งด้านหลัง มีความยาวเบาะรองนั่ง ที่ถือว่า พอดีสำหรับคนที่มีช่วงขาไม่ยาวนักอย่างผม แถมมีมุมเอนของ
พนักพิง กำลังดี มีฟองน้ำซ่อนอยู่ด้านใน ที่นุ่มกว่าเบาะหลังของรุ่นเดิม นั่งสบายขึ้นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน
พื้นที่เหนือศีรษะ ด้านหลัง ก็เพิ่มมากขึ้น จากรุ่น FD ที่ต้องนั่งหัวชนเพดานกันตลอด ทำให้การโดยสารไปบน
เบาะหลังของ Civic F สบายขึ้นกว่าเดิม แต่อาจจะยังไม่ถึงกับดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนพนักศีรษะ นุ่มแน่นกำลังดี

อย่างไรก็ตาม พนักวางแขน พับเก็บได้ พร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ยังออกแบบมาไม่ดี ไม่สามารถใช้งาน
ในชีวิตจริงได้สะดวกเท่าใดนัก สำหรับเด็ก อาจจะวางแขนได้สบาย แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ หรือ สว.(สูงวัย) ก็อาจจะ
วางแขนตั้งแต่ข้อซอกลงไปไม่ได้ เว้นเสียแต่จะต้องนั่ง แบบปล่อยให้ร่าง ไหลลงต่ำกว่าระดับปกติเล็กน้อย
จึงจะใช้งานได้บ้าง

พื้นที่เหนือศีรษะ เพิ่มสูงขึ้นกว่า Civic FD เล็กน้อย คราวนี้ สรีระอย่างผม (สูง 171 เซ็นติเมตร)นั่งแล้ว หัวไม่ติด
หรือชนเพดาน ขณะเดียวกัน พื้นที่วางขา ได้รับผลกระทบจากการลดความยาวระยะฐานล้อลงมาเล็กน้อย ทำให้
พื้นที่วางขาด้านหลัง ดูเหมือนจะสั้นลงกว่าเดิมนิดนึง หากมองด้วยสายตา แม้ว่า Honda จะบอกว่า พื้นที่วางขา
ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในประเด็นนี้เลยก็ตาม

พื้นที่วางขา จะขึ้นอยู่กับการปรับเบานั่งเลย เพราะถ้าผมปรับเบาะ คนขับให้พอดีกับตำแหน่งนั่งขับปกติ แล้วย้าย
มานั่งด้านหลัง พบว่า ตำแหน่ง Leg Room จะมีขนาดลดลงจากเดิมนิดหน่อย ทั้งที่ตัวเลขจากการวัดโดยละเอียด
มันก็ยาวพอกับเดิมนั่นละ

แต่ข้อด้อยอย่างหนึ่ง ก็คือ เบาะหลังของ Civic FB ไม่ว่าจะเป็นรุ่นย่อยไหนๆ ก็ไม่สามารถพับลงมาเพื่อเปิด
ทะลุไปยังห้องเก็บของด้านหลังได้ ประเด็นนี้ Honda City น้องชายร่วมตระกูล เอาคุณงามความดีไปเฉยเลย!
เพราะ City แบ่งพับได้ทั้ง 2 ฝั่ง ซ้าย -ขวา แถมปรับเอนได้อีก 1 จังหวะด้วยซ้ำ!

อีกข้อด้อยหนึ่งก็คือ ไม่มีการติดตั้งจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้แต่อย่างใด

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เมื่อเปิดขึ้นมา ก็จะพบการเก็บงาน บริเวณโครงเหล็กรูปตัว C ที่ใช้ยึดฝากระโปรง
กับตัวถัง ด้วยชิ้นพลาสติก ดูสวยงาม ส่วนช่องทางเข้าห้องเก็บของ ดูเหมือนว่า ส่วนฐาน ติดกับเปลือกกันชน จะ
แคบลงกว่าเดิมนิดนึง

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาดใหญ่กว่าที่คิด ความจุ 12.5 ลูกบาศก์ฟุต มีข้อติอยู่เรื่องเดียว คือ เนื่องจากต้อง
ใส่ยางอะไหล่แบบเต็มวง เท่าขนาดล้อติดรถมาให้จากโรงงาน ทำให้ หลุมใส่ยางอะไหล่ ตื้นไปหน่อย จนต้อง
ยกพื้นห้องเก็บของให้สูงขึ้นเล็กน้อย เสียพื้นที่ในการวางสัมภาระที่มีความสูง ไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเทียบกับ
ทั้งรถรุ่นเดิม และ City รุ่นปัจจุบัน

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบทั้งยางอะไหล่ และเครื่องมือประจำรถ ติดตั้งเอาไว้ประจำที่ เรียบร้อยพร้อม
สำหรับการใช้งานในยามฉุกเฉิน

แต่ถ้าคิดว่า พื้นที่ห้องเก็บของ Civic มีขนาดเล็กแล้วละก็ อย่าให้สายตาของคุณ หลอกตัวคุณเองได้ ดูจากภาพข้างบนนี้
ก็คงจะเห็ฯแล้วว่า น้องโจ๊ก V10ThLnD แห่ง The Coup Team ของเรา และตากอล์ฟ เด็กปั้ม Caltex ที่ช่วยเราเติม
น้ำมันกันเป็นประจำนั้น สามารถเข้าไปนอนได้พร้อมกัน 2 คนขนาดนี้ ผมว่า อย่างน้อยๆ พื้นที่ด้านหลัง ก็น่าจะ
ใส่ถุงกอล์ฟได้ 2 ใบใหญ่ได้แน่ๆ ในเบื้องต้นละ

แผงหน้าปัดของ Civic FB กลายเป็นประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ในการวิพากษ์วิจารณ์ ของผู้คนทั้วไป
เนื่องจาก แผงหน้าปัดของ Civic FD รุ่นที่แล้ว ออกแบบมาได้ล้ำสมัยมาก เป็นแบบ 2 ชั้น มาตรวัดรอบ
เครื่องยนต์ ไว้ด้านล่าง มาตรวัดความเรว แสดงผลเป็นตัวเลข Digital ไว้ด้านบน ถึงจะใช้งานยากกว่ากัน
นิดนึงปุ่มเยอะกว่ากันหน่อยนึง แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มีความสุข ที่ได้เห็นว่า รถตัวเองมีแผงหน้าปัดเท่ๆ
ไว้คุยข่มโม้ชาวบ้านเขาได้ ว่ารถข้า หน้าปัดดีไซน์ เหมือนรถต้นแบบ

แต่พอมาเป็น Civic FB ทุกอย่างกลับตาลปัตร จริงอยู่ ทีมออกแบบพยายามจะแก้ปัญหาที่พบใน รถรุ่นเดิม
ทั้งการย้ายตำแหน่งคันเกียร์ ถอยหลังเข้ามาใกล้การเอื้อมมือถึงของคนขับมากขึ้น ลดปริมาณปุ่มสวิชต์
บนแผงหน้าปัดให้เหลือเท่าที่จำเป็น ออกแบบให้แผงควบคุมเครื่องเสียง / ระบบนำทาง เอียงเข้าหาคนขับ
เพื่อความสะดวกในการควบคุม ขณะขับขี่มากขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้ งยังคงพยายามยึดถือรูปแบบ
ของมาตรวัด 2 ชั้น ไว้เหมือนเดิม และลดการสะท้อนแสงแดดในช่วงกลางวัน จนมองเห็นตัวเลขความเร็ว
ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ก้านเบรกมือ ก็ยาวขึ้นกว่าเดิม และย้ายมาไว้ข้างลำตัวคนขับอย่างที่ควารเป็นเช่นเดิม
ด้านบน มีแผงบังแดด แต่ไม่มีไฟส่องแต่งหน้ามาให้ เพราะ Honda มองว่า ใช้ไฟอ่านแผนที่ช่วยได้ใน
ตอนกลางคืน ก็คงพอกันแหละ

แต่ปัญหาก็คือ คราวนี้ กลายเป็นว่า ความสวยงาม ที่เคยมี หายเกลี้ยงไปหมด! วัสดุพลาสติก Recycle ที่
ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ และไม่ได้ต่างจากรถรุ่นที่แล้วเท่าใดนัก กลับถูกนำไปขึ้นรูปและประกอบเข้าไป
จนดูกลายเป็นงาน Look Cheap! ไปเลย หน้าจอตรงกลาง คล้ายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ McIntosh รุ่นแรก
ในปี 1984 ยิ่งมองไปที่ช่องแอร์ ยิ่งหาความสมมาตร และสมดุล ไม่เจอเลย!

แถมคราวนี้ ถ้าเป็นรุ่นมีระบบนำทาง จะกลายเป็นว่า คราวนี้ คนขับต้องดูหน้าจอ มากถึง 4 จอ เลยทีเดียว!

มันเยอะไปไหมครับ การทำแผงหน้าปัดรถยนต์ จำเป็นต้องแตกต่างจากเครื่องบิน เพราะมีความซับซ้อน
น้อยกว่า และโอกาสที่ผู้ขับขี่จะประสบอุบัติเหตุจากการละสายตาลงมาใช้งานอุปกรณ์ในรถนั้น มีมากกว่า
การชนกันกลางอากาศของเครื่องบินด้วยสาเหตุเดียวกันเสียอีก! นี่เล่นทำชุดมาตรวัดมาถึง 4 จอ….

ผมละนึกถึงเพลง “ใครหนอ” ขึ้นมาเลยทีเดียว

“ใครหนอ ชักชวน ดูมาตรวัด 4 จอ รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ…….ถอย Civic เอย!”

จากฝั่งขวา มาทางซ้ายมือ สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า มีปุ่มล็อกกันการเปิด-ปิดกระจก
หน้าต่างฝั่งผู้โดยสาร ทั้ง 3 บาน และมีสวิชต์ฝั่งคนขับ ปรับเลื่อนขึ้น – ลง ได้ครั้งเดียว
ในแบบ One-Touch พร้อมสวิชต์ ปลดและล็อก กลอนประตู เซ็นทรัลล็อก มาให้ตามปกติ

ก้านสวิชต์บนคอพวงมาลัย มีสวิชต์ไฟหน้า AUTO มาให้ในรุ่น 2.0 ลิตร ส่วนก้านสวิชต์
ใบปัดน้ำฝน รุ่น 2.0 ลิตร และ 1.8 E NAVI จะเป็นแบบปรับหน่วงเวลาตามปกติ แต่ในรุ่น
1.8 E มาตรฐาน กับ 1.8 S ที่เหลือ จะเป็นแบบมาตรฐาน มีจังหวะ เบา และแรง มาให้แค่นั้น

พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ประดับด้วยอะลูมีเนียม และหุ้มหนังในบางรุ่นย่อย ออกแบบขึ้นใหม่
หน้าตาคล้ายกับพวงมาลัยของ CR-V หากแต่ดูดีๆจะพบว่า งานออกแบบ ต่างกัน และถือเป็น
พวงมาลัยคนละแบบกัน มีการปรับปรุงตำแหน่งปรับระดับสูง – ต่ำ และใกล้ – ห่าง ให้สามารถ
ปรับระดับได้สะดวกและยืดหยุ่น กับสรีระของผู้ขับขี่แต่ละคน กระนั้น สวิชต์ควบคุมระบบล็อก
ความเร็วคงที่ Cruise Control ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งขวา กับสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และ
สวิชต์ควบคุมการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth และสวิชต์ควบคุมระบบหน้าจอ
แสดงผลข้อมูลแบบอัจฉริยะ i-MID  จะอยู่ด้านซ้ายของพวงมาลัย ก็แถบจะยกมาจาก CR-V
รุ่นใหม่กันเลยนั่นแหละ!

การติดเครื่องยนต์ รุ่น 2.0 ลิตร ที่ติดตั้งกุญแจรีโมท Smart Key ใช้วิธี กดปุ่มสีแดง ฝั่งซ้าย ด้านหลัง
พวงมาลัย แต่ในรุ่น 1.8 ลิตร ทุกคัน ยังต้องเสียบกุญแจกับคอพวงมาลัยฝั่งขวาแล้วบิดสตาร์ต ตามเดิม

รวมทั้งยังมีการปรับตำแหน่งของคันเกียร์  ให้เลื่อนเข้ามาอยู่ใกล้มือผู้ขับขี่มากขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย

ชุดมาตรวัด ยังคงเป็นแบบ 2 ชั้น เหมือน Civic FD รุ่นก่อน ทีมออกแบบยังคงอ้างว่า มันมีประโยชน์ในด้าน
การช่วยลด การเคลื่อนที่ของสายตาในการมองเพื่อรับทราบข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นจากชุดมาตรวัด และช่วยลด
ระยะเวลาในการรับรู้ข้อมูลให้กับผู้ขับ แผงมาตรวัดเรืองแสงสีฟ้าพื้นสีขาว จะเรืองแสงขึ้นมาอัตโนมัติเพื่อ
ต้อนรับผู้ขับขี่ในขณะที่ก้าวขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งคนขับ และจะสว่างขึ้นครบ 100% เมื่อติดเครืองยนต์

ชุดมาตรวัดแบบนี้ ก็ยังคงมีส่วนในการบอกผู้ขับขี่ไปในตัวว่า คุณปรับตำแหน่งพวงมาลัยถูกต้องหรือไม่
เพราะถ้าปรับให้ถูกต้องกับสรีระของคุณ ขอบด้านบนของพวงมาลัย ต้องอยู่กึ่งกลาง ระหว่าง มาตรวัด
ความเร็ว และชุดมาตรวัดรอบ ไม่บังส่วนใดส่วนหนึ่ง ของมาตรวัดทั้งคู่เลย

นอกจากนี้ Civic ใหม่ ยังติดตั้งระบบ Eco Assist เหมือนเช่นใน CR-Z CR-V StepWGN และ
Odyssey เป็นโปรแกรมการขับขี่ ที่ออกแบบเพื่อช่วยให้คุณผู้อ่าน สามารถฝึกขับประหยัดน้ำมันได้
มีแถบแสดงผล ความประหยัดน้ำมัน เป็นแนวตั้ง ขนาบข้าง ตัวเลขบอกความเร็วรถ จะเปลี่ยนไปตาม
รูปแบบการขับขี่ของคุณเป็นแถบสีฟ้า แสดงว่า คุณขับแบบปกติ ยิ่งเข้มขึ้น แสดงว่ายิ่งเหยียบคันเร่ง
เยอะ แต่ถ้าเป็นแถบสีเขียว แสดงว่า ขับประหยัดขึ้นกว่าเดิม แถบสีนี้จะเปลี่ยนไปมา ตลอดเวลา
สร้างความหรรษาเฮฮาปาจิงโกะ แก่ชาว The Coup Teram ของเราเป็นอันมาก!

อีกทั้งยังมี สวิชต์ เปิด-ปิดโปรแกมการขับขี่ ECON Mode On/Off  ติดตั้งที่ฝั่งขวา ของแผงหน้าปัด
ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ถ้ากดปุ่ม ECON On คันเร่งและลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า Drive-by-Wire ของเครื่องยนต์
จะตอบสนอง ช้าลงนิดนึง โปรแกรมของเกียร์อัตโนมัติ ก็จจะปรับการทำงานให้เน้นเปลี่ยนเกียร์เร็ว
ไม่ลากรอบ รวมทั้งเครื่องปรับอากาศก็จะทำงานน้อยลง เท่าที่จำเป็น เพื่อเพิ่มความประหยัดน้ำมัน
แต่ถ้า กดปุ่ม ECON Off  ทุกการตอบสนอง จะกลับมารวดเร็วว่องไวตามปกติ

ลูกเล่นใหม่ของ Civic FB ที่เพิ่มเข้ามา นั่นคือ จอ Monitor สี ขนาด 5 นิ้ว แสดงข้อมูล ที่เรียกว่า
Intelligent Multi-Information Display (i-MID) ซึ่งจะแสดงผลข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวรถ นาฬิกา
และข้อมูลจากชุดเครื่องเสียง แม้กระทั่งหน้าปกของอัลบั้มเพลงนั้นๆ อีกทั้งยังสามารถที่จะปรับตั้ง
การทำงานของระบบไฟฟ้าต่างๆ ในรถ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตัวคุณเอง หรือจะใส่ภาพ
หน้าจอเป็น Wallpaper ตามต้องการ จากไฟล์ภาพที่คุณต้องโหลดใส่จาก Flash Drive USB ก็ได้
(รุ่นมาตรฐาน ทำได้ แต่ทั้ง 2 รุ่น ท็อป ที่มีระบบนำทาง อย่างที่เห็นอยู่นี้ ทำไม่ได้จ้า)

การควบคุม ทำได้จาก สวิชต์ บนพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือ ทั้งหมด คิดไม่ออก บอกไม่ถูก ไปเริ่มต้นที่
ปุ่ม Menu จากนั้น เลื่อน ซ้ายๆ ขวาๆ ขึ้นๆ ลงๆ ตามอัธยาศัย ลองเล่นดูแป๊บเดียว ก็จะใช้งานได้
ง่ายดายมาก เปลี่ยนสีได้ 4 เฉดตามภาพข้างบนนี้

เครื่องเสียงในรุ่น 2.0 ลิตร และ 1.8 E NAVI คันที่เรานำมาทดลองขับกันนั้น จะเป็นชุดเดียวกัน ประกอบ
ไปด้วย วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD แบบแผ่นเดียว สามารถรองรับแผ่น CD-Rs WMA และไฟล์
MP3 พร้อมช่อง AUX โดยจะแสดงผลบนหน้าจอ i-MID มีระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็ว
Speed Voulme Control และ ลำโพง 6 ชิ้น (รวมทวีตเตอร์ ที่บริเวณเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ซึ่งออกแบบ
มาให้ดูกลมกลืนกับแผงหน้าปัดรถดี ดุจลำโพงทวีตเตอร์จาก “บ้านหม้อ”

นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ได้ทั้ง USB Flash Drive ติดตั้งอยู่ในกล่องคอนโซลกลาง
รองรับกับอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ iPod , Flash Drive ที่สามารถรองรับการเปิดไฟล์ทั้ง AAC, MP3 หรือ WMA ได้
แถมยังสามารถ เชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth ของโทรศัพท์มือถือหลายรุ่น นอกจากนั้น Bluetooth
ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เล่นเพลง ได้ หรือ เล่นเพลงจากโทรศัพท์มือถือของคุณออกทางลำโพงได้เลย

คุณภาพเสียง? ทำใจครับ ไม่ได้ดีเด่มากมายอย่างที่คิด คือ มันแทบไม่ต่างจาก Civic FD รุ่นเดิมเลย ผมยัง
มั่นใจว่า ถ้าเปิดเท่ียบกันตัวต่อตัว ถอด USB FlashDrive จาก Civic 2.0 มาฟังใน City 1.5 รุ่นปัจจุบัน
คุณจะรู้ว่า เครื่องเสียงของ City ก็ยังฟังแล้วเสนาะหู มากกว่า ใน Civic ใหม่อย่างแน่นอน!

ส่วนระบบนำทางที่ติดตั้งมาให้นั้น ยังคงเป็นของ Garmin โดยใช้แผนที่ ESRI และเป็นเวอร์ชันที่ดูเหมือนว่า
จะยังไม่ได้ Update ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เป็นชุดเดียวกับที่จะพบได้ใน Honda StepWGN , CR-Z และ
Odyssey ใหม่ ดังนั้น การแสดงแผนที่ ซึ่งปกติแล้ว มันควรจะเป็นรูปกราฟฟิคสวยๆ ในบางครั้ง จะกลายเป็น
ภาพที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับ ผลงานวาดภาพฝีมือของ ช้าง ที่ใช้งวงจับพู่กันระบายลงไปบนผืนผ้า….

นี่ยังไม่นับความยากลำบากในการใช้งาน แค่จะหาตำแหน่งที่ตั้ง ของสำนักงานสักแห่ง บนถนนพระราม 4
ผมกรอกแทบตาย จะพิมพ์ชิดติดกันก็แล้ว จะเว้นวรรค เว้นช่องไฟก็แล้ว ระบบก็จะขึ้นรูปนาฬิกาทรายค้นหา
ก่อนจะบอกว่า “ไม่พบข้อมูล” และเป็นอย่างนี้ 6-7 รอบ จนผมอยากจะตะโกนด่าอีระบบเวรตะไลให้ลั่นรถว่า

“ฮ่วย! แล้ว อีถนน ที่มึงแสดงขึ้นอยู่บนหน้าจอเนี่ยที่เราจอดรถกันอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ ติดไฟแดงแล้วชาติเศษๆ
เยี่ยงนี้ ถ้ามันไม่ใช่ถนนพระราม 4 แล้วจะให้เรียกว่าถนนห่าอะไรวะ?” อยากจะจับถอดออกมา เขวี้ยงทิ้ง
ลงถังขยะ กทม. ริมสี่แยกนั่นเสียจริงๆ! โอย ใช้งานยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน!! จะพิมพ์แต่ละทีก็ยาก ถ้า
คิดจะหวังพึ่งพาระบบนี้ มีทางเดียวคือ คุณต้องตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วอาบน้ำอย่างใจเย็น ออกจากบ้านช้าๆ ค่อยๆ
ย่างเท้าขวาออกมา ระวังจิ้งจกร้องทัก ก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถช้าๆ แล้วค่อยๆ ติดเครื่องยนต์ ค่อยๆ
พิมพ์ลงไปบนหน้าจอ Touch Screen ช้าๆ ทีละตัว ทีละตัว แล้วต้องคิดเผื่อความโง่ของระบบด้วยนะ ว่า
มันอาจจะถูกโปรแกรม มาให้เขียนชื่อถนน ในแบบที่เราไม่ได้ใช้กันจริงๆ หรือเปล่า เช่น Rama 4 Rd.
อาจต้องเขียนว่า Thanon Phraram 4 (ชิบหาย!!!)

ถ้ามันยากเย็น และต้องใช้ความละเมียดพิถีพิถัน พอๆกับการเตรียมทำขนมไทย ร้านคุณป้าสมรศรี และ
คุณหญิงไขแสง ไขสือ ไขประตู สกรู น็อต ขนาดนี้ ก็ไม่ต้องใช้ (แม่ง) เลยดีกว่า ขับรถออกจากบ้าน แล้ว
โทรถามทางเอาเอง ยังจะสะดวกรวดเร็ว ง่ายดายเสียกว่า!!

ชาว Honda ที่รัก ถ้าคิดจะแถมระบบนำทางมาให้ลูกค้าทั้งที ก็ช่วยเลือกรุ่นที่มันใช้งานง่ายๆ และไม่สับสน
วุ่นวาย จนชวนให้ข้าพเจ้าต้องด่าทอแบบนี้ซะทีเถอะ! ไม่เช่นนั้น ก็ช่วยไป Update เวอร์ชันล่าสุดแถมให้
ลูกค้าทั้งหลาย ก่อนส่งมอบรถไปด้วย จะกราบขอบพระคุณอย่างสูง!

กล่องลิ้นชักด้านหน้า ผู้โดยสารฝั่งซ้าย มีขนาดใหญ่พอประมาณ เอาแค่เก็บ ซองและสมุดคู่มือ กับเอกสาร
ประจำรถ ก็ค่อนข้างกินพื้นที่ไปกว่า 50% แล้ว พอจะเหลือพื้นที่อยู่บ้าง ไม่มากนัก

ส่วนช่องเสียบ USB จะถูกซ่อนอยู่ใน กล่องเก็บของ คอนโซลกลาง พร้อมฝาปิด เป็นที่วางแขนแบบเลื่อน
ขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ (ข้อนี้ ถือว่า ทำได้ดี) มีช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง สามารถเลื่อนตำแหน่งตัวล็อกแก้ว
แบบรางเลื่อนได้ พร้อมฝาปิดแบบเลื่อน เหมือนเช่นรุ่นก่อนหน้านี้ ทั้งรุ่น 1.8 E-Navi และ 2.0 ลิตร จะ
ติดตั้งอุปกรณ์จุดนี้ มาให้แบบนี้ เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น

ทัศนวิสัย เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ Honda ตั้งใจปรับปรุงให้ดีขึ้น หลังมีเสียงบ่นจากลูกค้า และผู้คนที่
ลองขับ รถรุ่นเดิม ว่ามันกะระยะลำบาก คราวนี้ การมองทางข้างหน้าจะชัดเจนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
การปรับงานออกแบบชุดมาตรวัดความเร็วด้านบน ช่วยเพิ่มการมองเห็น และแยกแยะข้อมูลดีขึ้น
ลดแสงสะท้อนที่ทำมุมกับตัวเลข Digital ในบางช่วงเวลาได้ดีขึ้น

ส่วนเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา นั้น ถูกออกแบบให้ดูบางลง 9% แต่ มีพื้นที่การมองเห็นดีขึ้น
36% ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่การกะระยะจากมุมขวาของรถทำได้ดีขึ้น แต่ยังพอมีการบดบัง
รถที่แล่นสวนมาในโค้งขวา บนถนนสวนกันสองเลน อยู่บ้าง แต่ลดน้อยลงกวารุ่นเดิม

ขณะเดียวกัน เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ที่ดูบางลง ยังช่วยให้ การเลี้ยวกลับรถสะดวกขึ้น มองเห็น
รถคันที่แล่นสวนทางมาได้ดีขึ้นนิดหน่อย ถือว่า Honda ตัดสิ นใจถูก ที่ย้ายตำแหน่งของเสาค่ำยัน
A-Pillar จาก

แต่สิ่งที่ยังขัดใจผมอยู่ก็คือ ตำแหน่งของ กระจกมองข้าง มันไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งมาไว้ชิดกัน
กับตัวผู้ขับขี่มากขนาดนี้เลย ถ้าเลื่อนถอยหลัง ไปอยู่ที่มุมสามเหลี่ยม บริเวณ ขอบล่างของเสา
หลังคาคู่หน้า A-Pilllar จะช่วยให้ไม่ต้องทำกระจกหูช้างเพิ่มเข้ามาโดยไม่จำเป็น เอ๊ะ หรือว่า
ทีมวิศวกร จะลดระดับกระจกหน้าต่างคู่หน้าลงมาได้ไม่สุด เลยต้องทำแบบนี้?

ได้แต่ทิ้งข้อสงสัยในประเด็นนี้ไว้แบบนี้เท่านั้น เพราะครั้นจะให้ผม เลาะแผงประตูของรถออกมา
ก็คงไม่ใช่เรื่องควรทำ หากประกอบกลับเข้าไปไม่เหมือนเดิม อันนี้ งานเข้า พระเสาร์แทรกแหงๆ

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลัง การออกแบบพื้นที่กระจกบังลมด้านหลัง มีส่วนช่วยเพิ่มการมองเห็น
บรรดาเพื่อนผู้ร่วมสัญจรที่ขับตามหลังมา มากขึ้นนิดนึง รวมทั้งกระจกหน้าต่างของบานประตู
คู่หลัง ก็มีพื้นที่มากขึ้นนิดนึง เช่นเดียวกัน การกะระยะถอยหลัง ถือว่าทำได้ดีขึ้น แต่นิดเดียว
ถ้าคนที่ชินกับการถอยรถอย่างผม พึ่งพากระจกมองข้างอย่างเดียว ก็เอาตัวรอดได้ แต่สำหรับ
บางคน ที่ยังไม่ชินแบบผม และยังต้องเหลียวหันมองด้านหลังรถกันอยู่ อาจต้องกะระยะดีๆ
หรือไม่ก็ต้องไปขอของแถม จากพนักงานขาย เป็นเซ็นเซอร์ถอยหลังมาสักหน่อยก็ดี

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

แม้ว่า ทีมวิศวกรของ Honda จะบอกว่า Civic FB ถูกสร้างขึ้นบนพื้น Platform ใหม่หมด เพราะมีการหั่นระยะ
ฐานล้อให้สั้นลงกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้ว Civic FB ก็ถือเป็นการนำโครงสร้างวิศวกรรมของ Civic FD
มาปรับปรุงใหม่ ให้ดีขึ้นนั่นเอง อีกทั้งในภาพรวม โครงสร้างด้านวิศวกรรมหลักๆ ของเวอร์ชันไทย ก็จะเหมือน
เวอร์ชันอเมริกาเหนือในภาพข้างบนนี้ (เฉพาะรุ่น Sedan 1.8 ลิตร) กันชนิดที่เรียกได้ว่า ยกถอดมาได้เกือบ
ทั้งยวง ยกเว้นอะไหล่บางชิ้นที่จำเป็นของบรรดารถพวงมาลัยซ้ายทั้งหลาย

เริ่มจากการปรับปรุงเครื่องยนต์ ตระกูล R บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทั้งการ
ควบคุมการไหลเวียนของไอดี สู่ห้องเผาไหม้ เพิมเซ็นเซอร์ ควบคุมการไหลเวียนของอากาศที่ทำงาน
ได้ดีขึ้น พร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนไอเสีย ลดแรงดันไหลกลับเข้าสู่ระบบฟอกอากาศ
Catalytic Converter  เพิมประสิทธิภาพของระบบ Valve Timing เพิ่ระบบ ACG Generation
Control ควบคุมไดชาร์จ ให้ชาร์จไฟอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงให้ เครื่องยนต์ ตระกูล R สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง เบนซินแก็สโซฮอลล์
E85 ได้ ทั้งการเปลี่ยนวัสดุของวาล์ว และบ่าวาล์ว เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน ของเอธานอล
เปลี่ยนอุปกรณ์ทั้งท่อน้ำมัน และหัวฉีด ให้รองรับเป็นพิเศษ หัวเทียนจุดระเบิด ชุบนิเกิล ปรับปรุงให้
ติดเครื่องยนต์ขณะเครื่องเย็น ง่ายขึ้น โดยตัดการทำงานของระบบ i_VTEC 1 วาล์ว และใช้มอเตอร์สตาร์ท
กำลังสูง ฯลฯ อีกมากมาย

ในเมื่อการพัฒนาและยกระดับเครื่องยนต์ ตระกูล R จนทำผลงานออกมาได้ดีขึ้นจนทัดเทียมกับเครื่องยนต์
K20Z2 เวอร์ชันที่วางใน Civic FD รุ่นเดิมได้แล้ว เหตุไฉน จึงต้องยืนยันใช้เครื่องยนต์เดิมให้มันสิ้นเปลือง
ต้นทุนการขึ้นสายการผลิตด้วยละ?

ว่าแล้ว Honda เลยจัดการปลดเครื่องยนต์ K20Z2 บล็อก 4 สูบ DOHC  16 วาล์ว 1,998 ซีซี 150 แรงม้า (PS)
ออกจากตระกูล Civic ไป แล้วแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ รหัส R20A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 96.9 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC กำลังสูงสุด เพิ่มขึ้นเป็น 155 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 19.4 กก.-ม. ที่ 4,300 รอบ/นาที ติดตั้งทดแทน มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ แต่มีการปรับ
อัตราทดเกียร์ให้ แตกต่างจากรุ่น 1.8 ลิตร นิดหน่อย

ส่วน รุ่น 1.8 ลิตร จะยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์ รหัส R18A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 87.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1 เท่ากัน จ่ายเชื้อเพลิงด้วย
หัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
17.7 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที

รุ่นเครื่องยนต์ R20A จะมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ให้เลือกเพียงแบบเดียว พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์
แบบ Paddle Shift ที่ด้านหลังของพวงมาลัย ฝั่งซ้ายเป็นแป้น – ลดตำแหน่งเกียร์ ฝั่งขวาเป็นแป้น + ตบเพื่อ
เพิ่มตำแหน่งเกียร์ ส่วนฐานรองเกียร์ จะมีแค่ P R N D และ S (Sport Mode) ล็อกตำแหน่งเกียร์ ลากรอบ
ได้สูงขึ้นนิดนึง อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..2.651
เกียร์ 2 ………………………..1.516
เกียร์ 3 ………………………..1.081
เกียร์ 4 ………………………..0.772
เกียร์ 5 ………………………..0.566
เกียร์ถอยหลัง …………………2.000
อัตราทดเฟืองท้าย …………….4.562

ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ R18A มีระบบส่งกำลังให้เลือกได้ทั้งเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ อัตราทดเกียร์ จะแตกต่าง
จากเกียร์ลูกเดียวกัน ของรุ่น 2.0 ลิตร แถมมีตำแหน่งเกียร์ D3 2 และ 1 มาให้ จนชวนให้นึกถึงตำแหน่ง
เกียร์อัตโนมัติ ของ Honda Accord ตาเพชร รุ่นปี 1990 !!!…อัตราทดเกียร์ที่ต่างกัน มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..2.666
เกียร์ 2 ………………………..1.534
เกียร์ 3 ………………………..1.021
เกียร์ 4 ………………………..0.920
เกียร์ 5 ………………………..0.524
เกียร์ถอยหลัง …………………1.956
อัตราทดเฟืองท้าย …………….4.437

และ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ที่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำรีวิวของรุ่นเกียร์ธรรมดา แต่เราก็มีตัวเลขอัตราทด
ของเกียร์ลูกนี้ และเฟืองท้าย มาให้ได้ศึกษากัน ดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..3.142
เกียร์ 2 ………………………..1.869
เกียร์ 3 ………………………..1.235
เกียร์ 4 ………………………..0.948
เกียร์ 5 ………………………..0.727
เกียร์ถอยหลัง …………………3.307
อัตราทดเฟืองท้าย ……………4.294

นอกเหนือจากนี้ วิศวกรของ Honda ยังให้ความสำคัญกับเรื่องอากาศพลศาสตร์ บริเวณใต้ท้องรถ เพื่อช่วย
ให้ตัวรถ ลู่ลม และต้านอากาศน้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะส่งผลถึงประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ที่จะ
เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การบริโภคน้ำมันเชื้เพลิงจะลดลง ประหยัดมากขึ้น

พื้นที่บริเวณใต้ท้องรถถูกออกแบบให้มีลักษณะที่แบบเรียบ ช่วยให้การไหลผ่านของลมไปยังส่วนต่างๆ
ทั้งด้านบน ด้านล่าง และรอบๆ ตัวรถ มีประสิทธิภาพดีขึ้น ส่งผลให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลดลง
3.4% เมื่อเปรียบเทียบกับ Civic FD รุ่นเดิม การออกแบบตัวควบคุมลมที่อยู่ด้านใต้เปลือกกันชนหน้า
ซึ่งจะทำให้ทิศทางการไหลของลมเข้าสู่เครื่องยนต์ ช่วยในเรื่องการระบายความร้อนดีขึ้น อีกทั้งยังมี
การใช้พลาสติกที่มีน้ำหนักเบาติดตั้งอยู่ด้านล่างของห้องเครื่องยนต์  ถังน้ำมัน กับชิ้นส่วนบริเวณตัวถัง
ด้านท้าย ซึ่งทำให้การไหลผ่านของลมใต้ท้องรถดีขึ้น  ลดอัตราการปล่อยไอเสีย, การควบคุมรถและ
การทรงตัวในย่านความเร็วสูง และลดเสียงดังรบกวนที่จะเข้าสู่ห้องโดยสาร

เอาละ อ่านรายละเอียดของตัวรถมามากพอแล้ว มาดูตัวเลขกันเลยดีกว่า ว่า Civic ใหม่ จะทำผลงาน
ออกมาได้ดีกว่ารุ่นเก่ามากน้อยแค่ไหน เราทำการทดลองจับเวลาหาอัตราเร่งกันในยามดึกสงัดเช่นเคย
คือ นั่ง 2 คน เท่านั้น (ผมกับ คุณกล้วย BnN แห่ง The Coup Channel) เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า
กระแสลมปะทะด้านข้าง ต้องสงบ หรือน้อยที่สุด ถนนที่เราใช้ทดลอง จะโล่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถึงขั้น ปราศจากรถกันชั่วขณะ และตัวเลขที่ Civic FB ใหม่ ทำได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด มีดังนี้

จากตัวเลขในตารางทั้งหมด คุณผู้อ่านจะเห็นว่า รุ่น 1.8 ลิตรนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับ Civic FD 1.8 ลิตร
ที่ใช้เครื่องยนต์เดียวกัน แต่เป็นเวอร์ชันเก่ากว่า จะแรงขึ้นกว่าเดิม นิดเดียว ตัวเลขดีขึ้นราวๆ 0.5 วินาที
และแม้จะถือว่าแรงกว่ารถยนต์ พิกัด 1.8 ลิตร ทุกรุ่นในตลาด อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งก็ยังไม่สามารถโค่น
แชมป์ในพิกัด อย่าง Corolla ALTIS 1.8 CVT ลงได้เลยอยู่ดี

ส่วนตัวเลขในรุ่น 2.0 ลิตร นั้น เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ที่การจับเวลาอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระหว่าง
รถรุ่นเดิม ปี 2005 กับรถรุ่นใหม่ ปี 2012 ออกมาได้ตัวเลขค่าเฉลี่ย 10.38 วินาที เท่ากันพอดีเป๊ะ! Deja vu ไปไหม?
แต่พอเป็นช่วงเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว รถรุ่นใหม่ ทำได้ฉับไวกว่า ราวๆ 0.25 วินาที ถือว่า ตัวเลข
สมรรถนะ ออกมา พอๆกันกับรุ่นเดิม ไม่หนีกันมากนัก แม้จะเปลี่ยนจากระบบขับวาล์ว SOHC มาเป็น DOHC
ก็ตาม กระนั้น ก็ยังไม่อาจโค่นแชมป์ในกลุ่มนี้อย่าง Toyota Corolla ALTIS 2.0 CVT ได้ รายนั้นเขาแรงจริงๆ

สรุปได้ว่า ตัวเลขที่ออกมาของ Civic FB นั้น ถือว่า แรงเป็นอันดับต้นๆของตลาด อาจด้อยกว่าชาวบ้านเขา
ก็แค่ไม่กี่เสี้ยววินาที  ทั้งรุ่น 1.8 และ 2.0 ลิตร แต่ท้อปสปีดจะด้อยลงกว่ารุ่นเดิม

ในการขับขี่จริงๆ การตอบสนองของรุ่น 1.8 ลิตร มันก็ยังไม่ได้สร้างความแตกต่างไปจาก Civic FD 1.8 เดิม
เท่าใดนักหรอกครับ แหงละ เครื่องยนต์เดียวกันนี่หว่า แม้จะปรับปรุงรายละเอียดภายในนิดหน่อย และตัวเลข
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ไวกว่าเดิม 0.5 วินาที แถมอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เร็วกว่าถึง
1 วินาที แต่สิ่งที่จะทำให้คุณไม่รู้สึกว่ามันต่างไปจากเดิมเลย ก็อยู่ที่ แรงดึงนั่นละครับ ที่มีมาให้ในระดับพอกันกับ
รุ่นเดิมเลย แถมยังมีพละกำลังในช่วงหลัง 5,000 รอบ/นาที ก็ยังมีมาให้ได้แอบยิ้มที่มุมปากกันนิดๆ อย่างเคย

ช่วงเร่งแซงรอบกลางๆ ถือว่าทันใจขึ้นกว่าเดิมนิดเดียว การรอลุ้น ระหว่างแซงรถสิบล้อคันข้างหน้า จะใช้เวลา
น้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ะพอช่วงหลังจาก 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป หรือหลังช่วง 5,500 รอบ./นาที
ขึ้นไป เป็นช่วงใกล้จะเปลี่ยนจาก เกียร์ 3 ขึ้นเกียร์ 4 รอบเครื่องยนต์ ก็เริ่มเพิ่มขึ้นจะช้าลง และทำให้ความเร็ว
เพิ่มขึ้นช้าลงตามไปด้วย ยิ่งพอเข้าเกียร์ 4 ที่ความเร็ว 172 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปแล้ว ทีนี้ ปลายหวีเหี่ยวกันเลย
ต้องใช้เวลานานมาก และต้องมานั่งลุ้นกันนานมากๆ ว่า ความเร็วสูงสุด มันจะไปจบที่ตัวเลขเท่าไหร่

ผมออกจะกลัว รถที่ทำความเร็วสูงสุดด้วยตัวเลขสูงๆ แต่ กว่าจะไต่ขึ้นไปถึงความเร็วจุดนั้นได้ ต้องใช้เวลานาน
และชวนให้ต้องลุ้นกันนานๆ ทั้งลุ้นว่า เมื่อไหร่หนอ ตัวเลขมันจะหยุดนิ่งซะที (โว้ย) แล้วก็ต้องมานั่งลุ้นว่า
จะมีพวกขับงี่เง่า ออกมาอยู่เลนขวา ตัดหน้าจนทำให้ต้องเบรกกระทันหันกันไหม? แต่ Civic ใหม่ ก็ใช้เวลา
ไต่ขึ้นไปถึงความเร็วสูงสุด หลัง จาก 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง นานอยู่เหมือนกัน

เท่ากับว่า อัตราเร่งจองรุ่น 1.8 ลิตร ถือว่า ไม่อืดอาด ใช้การได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องมั่นใจว่าจะเลือกรุ่นนี้จริงๆ
และไม่คิดจะข้ามรุ่น ไปจ่ายเงินแพงขึ้น แล้วเลือก Civic 2.0 นะครับ ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะรักชอบ
พละกำลังของรุ่น 2.0 ลิตรมากกว่า ก็เป็นได้

มาดูรุ่น 2.0 ลิตร กันบ้าง อัตราเร่ง ในช่วงออกตัว เกียร์ 1 มันขึ้นช้าไม่ได้ต่างจากรุ่น 1.8 นักหรอกครับ แต่ความ
แตกต่างจะเกิดขึ้น ทันทีที่เริ่มเข้าสู่ช่วงรอยต่อจากเกียร์ 1 เข้าสู่เกียร์ 2 แล้วหลังจากนั้น อัตราเร่งก็จะเริ่มไหล
มาอย่างต่อเนื่อง และจะแรงกำลังสนุก ในช่วงรอบเครื่องยนต์ปลายๆ อันเป็นบุคลิกประจำที่พบได้ในเครื่องยนต์
ของ Honda ส่วนใหญ่ และ…จะบอกให้เลยว่า มันแทบไม่ได้แตกต่างไปจาก เครื่องยนต์ K20A DOHC ตัวเดิม
ที่ถูกปลดประจำการออกไปนั่นเลย!

อัตราเร่ง มาอย่างทันเท้า ทันใจ แม้แต่ช่วงเวลาที่ต้องการเร่งแซง แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างน่าชมเชยคือ มีการปรับปรุง
ให้สมองกลเกียร์ “ทำงานฉับไวในความเร็วที่เหมาะสม” แล้ว ไม่ใช่แค่ เกิดอาการคันนิ้วเท้าอันเกิดจากเชื้อรา
ในร่มผ้า จนต้องเอาขอบเล็บนิ้วโป้งเท้าขวาไปเสียดสีถูไถกับด้านข้างนิ้วชี้เท้าขวาด้วยกันปุ๊บ เกียร์ตบเปลี่ยน
ลงให้ทันที 1 จังหวะ อย่างใน Civic FD 2.0 ตอนนั้น ผมขับรถรุ่นนี้ไปด้วยความรำคาญมาก ออกปากด่าเลย
“บ้านป้ามึงซิ จะรีบเปลี่ยนเกียร์ทำห่านอะไร แค่คันนิ้วตีนเฉยๆ มึงก็รีบถวายชีวิตเปลี่ยนเกียร์ให้ กลัวโดน
กูกระทืบหรือยังไงฟะ ไอ้แช่แฟ้บ !?

พอเป็น Civic 2.0 FB อาการที่ว่า หายไป การเปลี่ยนเกียร์ ฉลาดขึ้น และ ทันต่อความต้องการจริงๆมากขึ้น
บทที่เกิดการคันนิ้วตีน กระดิกคันเร่งลงไปนิดๆ เกียร์จะไม่ตอบสนองอะไร จนต้องแตะเพิ่มน้ำหนักลงไป
อีกนิดนึง จึงจะเปลี่ยนเกียร์ให้ เออ อย่างนี้ค่อยคุยกันรู้เรืองหน่อย ฉันไม่ใช่ ซูสีไทเฮา ที่แกจะต้องรีบมา
เปลี่ยนเกียร์เอาใจถวายชีวิต ราวกับกลัวโดนสั่งตัดหัวประหาร 7 ชั่วโคตรขนาดนั้น…ต้องแบบนี้ครับ กำลังดี
แล้วยิ่งในช่วงรอบกลางๆ จนถึง ปลายๆ อัตราเร่งที่มีให้นั้น สบายเหลือเฟือ พอจะพาคุณพ้นจากสถานการณ์
ไม่พึงประสงค์ต่างๆนาๆได้ ตามเคย

วัยรุ่นคนไหน ที่บอกว่า เครื่องยนต์ SOHC (Single Camshaft) สู้ เครื่องยนต์ DOHC หรือ Twin Cam ไม่ได้
เครื่องยนต์ R20A นี่แหละ คือ หลักฐานชิ้นสำคัญ ที่จะมาหักล้างความเชื่อในใจคุณ มันไม่ใช่แค่ตัวเลขในตาราง
เท่านั้น ที่ไม่ต่าง หากแต่ยังรวมถึงแรงดึงและการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของความเร็วรถ จากการขับขี่จริง ที่แทบ
ไม่ได้แตกต่างกันเลย อีกด้วย! ดังนั้น น้องๆที่รักทั้งหลาย อย่าดูแค่ ตารางสเป็กอย่างเดียวนะจ้ะ ต้องลองขับด้วย
จึงจะเห็นข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ ซึ่งต่อให้กางโบรชัวร์ ตีลังกาหลายตลบ ก็จะไม่มีทางรู้ จนกว่าจะได้ขับจริงๆ !!

แต่ สังเกตว่า ลักษณะ การเพิ่มขึ้นของความเร็วรถนั้น ทั้งรุ่น 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร จะคล้ายคลึงกันมากๆ จน
ต้องใช้นาฬิกาจับเวลามาช่วย จึงจะเห็นความแตกต่าง ว่า รุ่น 2.0 ลิตร ยังไงๆ ก็เร็วกว่า 1.8 ลิตร วันยังค่ำอยู่ดี

ส่วนความเร็วสูงสุด คราวนี้ได้ยินมาลอยๆ ว่า Honda เลืกใช้วิธีการล็อกความเร็วสูงสุดเอาไว้ ที่ระดับ 200
กิโลเมตร/ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าคุณออกรถจากโชว์รูมเดิมๆ มา ถ้าจะหวังตัวเลขระดับ 225 – 227 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อย่างที่เคยทำได้กับ Civic FD 2.0 บอกได้เลยว่า “เจ้าอย่าหวัง” แค่ 209 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นก็เกินจะพอแล้ว
รถยนต์บ้านๆแบบนี้ พี่จะเร่งท็อปสปีดให้เร็วไปกันทำไมนักหนาาาาา!

ระบบบังคับเลี้ยว ยังคงเป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน ก็จริง แต่ Honda เลือกจะเปลี่ยนให้
รุ่น 1.8 ลิตร มาใช้ระบบเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า เหมือนเช่นรุ่น 2.0 ลิตร กันเสียที ด้วยเหตุผล
ที่ว่า ระบบพวงมาลัยแบบนี้ จะไม่กินแรงเครื่องยนต์ ลดการสูญเสียกำลังในระบบขับเคลื่อนลงได้
ในทางตรง และทางอ้อม แถมคราวนี้ ยังเพิ่มระบบควบคุมการบังคับทิศทางพวงมาลัย (Motion
Adaptive Electric Power Steering System หรือ MA-EPS) มาให้ด้วย

งิธีการทำงานของระบบนี้ ก็เข้าใจไม่ยาก ระบบจะช่วยเพิ่มอาการ ขืนพวงมาลัย ให้ผู้ขับขี่มากขึ้น
ถ้าเลี้ยวเข้าโค้งขวา พวงมาลัยจะพยายามขืนตัวมาทางซ้ายให้มากขึ้นนิดๆ ให้พอดีกับการหักเลี้ยว
ของผู้ขับขี่ และยิ่งถ้า ติดตั้งกับรุ่น 2.0 ลิตร ซึ่งมีระบบสารพัดตัวช่วย ระบบ EPS ก็จะประสาน
การทำงานเข้ากับระบบ VSA ทั้งหมด เพื่อคำนวน หาการหมุนพวงมาลัยที่เกิดขึ้น กับความเร็ว
ของรถ แถมยังเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ของ ABS เพื่อดูว่าจะต้องช่วยส่งแรงต้าน ไปขืนพวงมาลัย
ขณะรถเสียหลัก แค่ไหน

นอกจากนี้ วิศวกรของ Honda ยังได้ปรับปรุงตำแหน่งการติดตั้ง เสริมความแข็งแรงของจุดยึดชุด
แร็คพวงมาลัย กับพื้นตัวถัง ไปจนถึงการปรับปรุงการตอบสนองทั้งในช่วงความเร็วต่ำ และช่วง
ความเร็วสูง ให้เป็นธรรมชาติ และใกล้เคียงกับพวงมาลัย เพาเวอร์ แบบไฮโดรลิก ในรุ่นก่อนๆ

ในการขับขี่จริง ช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับคลาน หรือหาที่จอดในตัวเมือง พวงมาลัยมีความหนืด
อยู่ในเกณฑ์น้อย น้ำหนักเบา หมุนคล่องมือกำลังดี ซึ่งเป็นลักษณะพวงมาลัยแบบที่ สุภาพสตรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาสาวออฟฟิศ ซึ่งเป็นลูกค้าที่อุดหนุน Civic FD เยอะมากๆ จะชื่นชอบ
พวงมาลัยแบบนี้ เพราะบังคับควบคุมง่าย และพาให้รถมุดไปตามใจปราถนา ได้ง่ายดาย สบาย
เพิ่มขึ้นนิดนึง ถ้าเปรียบเทียบจาก รุ่น FD เดิม

แต่สำหรับผม ในฐานะผู้ชาย หากเคยขับรุ่น 2.0 ลิตร มาก่อน ก็คงจะพบว่า พวงมาลัย ตอบสนอง
ได้ใกล้เคียงกับรถรุ่นเดิม พอจะจับได้ว่า มีแรงขืนพวงมาลัย ขณะเลี้ยว เพิ่มจากพวงมาลัยไฟฟ้า
ใน Civic FD 2.0 เดิม นิดเดียว และต้องสังเกตกันจริงๆ จึงจะพบ

แต่ถ้าเคยขับ Civic FD รุ่น 1.8 ลิตรมาก่อน อาจจะต้องปรับความคุ้นเคยกันอีกนิด เพราะความหนืด
ของพวงมาลัย EPS มันยังไม่อาจเทียบเท่าได้กับพวงมาลัยเพาเวอร์กลไกไฮโดรลิกในรุ่นเดิม ซึ่งมี
ความหนืดที่เหมาะสมกว่า หากจะต้องขับทางไกล

สิ่งที่ยังต้องแก้ไขกันอยู่บ้าง ก็คือ ในช่วงความเร็วเดินทาง ยังพอจะมีอาการแวบซ้าย-ขวา นิดๆหน่อยๆ
ให้พอได้สัมผัส ขณะขับขี่เดินทางไกล ในแบบเดียวกับที่พบเจอได้ใน Mazda 3 ใหม่ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับ
สภาพพื้นผิวถนน ละกระแสลมปะทะด้านข้างในขณะนั้นด้วย เพราะในช่วงที่ลมสงบนิ่งๆ จะไม่ค่อย
เจออาการดังกล่าว

ความแม่นยำในการบังคับเลี้ยว ก็ทำได้ดีไม่แพ้รุ่นเดิม  สั่งแค่ไหน เลี้ยวตามแค่นั้น ยิ่งถ้าเป็นทางตรง
บนถนนที่เรียบและนิ่ง พวงมาลัยจะไม่วอกแวกชวนสะกิดใจใดๆเลย แสดงว่า จริงๆแล้ว พวงมาลัย
ปรับเซ็ตมาดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่จะว่าไปแล้ว มันควรจะมีความตึงมือ และ On-Center Feeling ที่นิ่ง
มั่นใจกว่านี้อีกนิดนึง ลดระยะฟรี ที่น้อยอยู่แล้ว ลงไปกว่านี้อีกนิดเดียว การตอบสนองของพวงมาลัย
ไฟฟ้า ในภาพรวมจะดีขึ้นกว่านี้ได้อีก ภาพรวมถือว่า พวงมาลัยของ Civic ใหม่ อยู่ในเกณฑ์ ค่อนข้างดี
อาจยังไม่เทพมากขนาด พวงมาลัยของ Ford Focus , Mitsubishi Lancer EX , Chevrolet
Cruze ถือว่าเสมอตัว หนืดมั่นใจกว่า Nissan Sylphy นิดนึง และทำได้ดีกว่า Toyota Corolla ALTIS

ระบบกันสะเทือนได้รับการปรับปรุงใหม่ ด้านหน้ายังคงเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต แต่ด้านหลังมีความ
เปลี่ยนแปลง จากแบบ ปีกนกคู่ Duble Wishbone มาเป็นแบบ Multi-Link มีการปรับปรุง ทั้งการเพิ่มช่วง
ระยะชักของช็อกอัพ ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลกว่าเดิมขึนอีกนิด เพิ่มความสามารถในการรองรับ
น้ำหนักของบุชยางต่างๆ และ ลดการเสียดสีในแกนช็อกอัพ

การดูดซับแรงสะเทือนในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับผ่านลูกระนาด หรือหลุมบ่อเล็กๆตามตรอกซอยต่างๆ
แม้จะดีขึ้นกว่า Civic FD เดิม แต่ก็แค่นิดนึง ยังสัมผัสได้ถึงความตึงตังอยู่บ้างนิดๆ ไม่ว่าจะเป็นล้อ 16 นิ้ว
ในรุ่น 1.8 ลิตร หรือล้อ 17 นิ้วในรุ่น 2.0 ลิตร ก็ตาม แต่เวลาขับผ่านลูกระนาดต่างๆ ถ้าไม่ได้ออกแบบมา
เป็นไม้หน้าสาม วางรองพื้นเฉยๆ แต่เป็นลูกระนาดแบบพื้นปูน ก็จะยังสัมผัสการซับแรงสะเทือนที่
ถือว่า พอใช้ได้ตามสไตล์ Honda

ขณะที่ช่วงความเร็วเดินทาง และความเร็วสูงนั้น ช่วงล่างของ Civic ใหม่ ให้ความมั่นใจที่ดีขึ้นเล็กน้อย
ในช่วงที่หาตัวเลขความเร็วสูงสุดนั้น มีช่วงหนึ่ง ซึ่งผมจำเป็นต้องพาเจ้า Civic 1.8 เข้าโค้งยาวต่อเนื่อง
บนทางด่วน ช่วงเส้นเชียงราก ขากลับเข้าเมือง ไปด้วยระดับความเร็วที่สูงมากถึง 203 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และ Civic ใหม่เอง ก็ผ่านบททดสอบโหดๆ นั้นได้อย่างฉิวเฉียด!

การเปลี่ยนเลนกระทันหันที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง หักซ้าย ไปขวา  อย่างเหมาะสม ไม่เร็วไป
ทิ้งระยะ ให้รถถ่ายน้ำหนักกลับมานิ่ง ตั้งตรงเสียก่อน แล้วค่อนหักเลี้ยวจากเลนขวา ไปซ้าย จะพบว่า
อาการดีดดิ้นของบั้นท้าย น้อยลงจาก Civic FD ชัดเจน คุมอาการบั้นท้ายดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นแบบฉีก
จนน่าประทับใจขนาดนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า ระบบกันสะเทือน มีส่วนช่วยให้ตัวรถ บังคับควบคุม
ได้คล่อง และง่ายขึ้นกว่ารุ่นเดิม ชัดเจน แต่ไม่เยอะนัก มาในแนว ตึงตังเล็กๆช่วงความเร็วต่ำๆ แต่
นุ่มหน่อยๆ ในย่านความเร็วสูง แต่ไม่แน่น ไม่ถึงกับหนึบมาก เซ็ตมาปานกลาง กำลังดี อันเป็น
สไตล์การเซ็ตช่วงล่าง แบบ Honda ที่พบได้ในรถของพวกเขาหลายๆรุ่น

ระบบห้ามล้อของทุกรุ่นเป็น ดิสก์เบรก 4 ล้อ เฉพาะคู่หน้า มีรูระบายความร้อนมาให้ เสริมการทำงาน
ด้วยระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจาย
แรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน หรือ
Brake Assist เฉพาะรุ่น 2.0 ลิตร จะเพิ่มระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicla Stability Assit) ซึ่ง
ทำหน้าที่แบบเดียวกับระบบ VSC นั่นเอง และมีระบบ TCS (Traction Control System) เสริมเข้ามา
ให้อีกด้วย

การตอบสนองของระบบเบรกในภาพรวมนั้น ไว้ใจได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม แป้นเบรกตอบสนองดีมาก
หยุ่นเท้าพอประมาณ มีระยะเหยียบที่ไม่ลึก ไม่ตื้นจนเกินไป เหยียบแค่ไหน รถก็หน่วงความเร็ว
ลงให้แค่นั้น เบรกค่อนข้าง Linear ดี ถือว่า เป็นพัฒนาการที่ทีมวิศวกร ทำได้ดี แป้นเบรก นอกจากนี้
ระบบ Brake Assist ก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างรวดเร็วปานกลาง คือ แค่เหยียบเบรกไว้ในตำแหน่ง
ใดตำแหน่งหนึ่ง เบาๆ ไม่ต้องกดลงไปลึก เหยียบหรือแตะให้นิ่งไว้ รถจะยิ่งหน่วงและชะลอตัว
เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าเหยียบลึกและแช่ยาว จะเห็นความแตกต่างชัดขึ้น

ยิ่งช่วงที่จะต้องหน่วงรถลงมา จากย่านความเร็วสูง ระดับ 180 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงมา อยู่ที่
ระดับ 80 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่า ทำได้อย่างดี หนักแน่น นิ่ง และมั่นใจได้เลยทีเดียว ถ้าคิดว่า
มันเป็นระบบเบรกสำหรับรถยนต์ Compact บ้านๆ สักรุ่นแบบนี้ ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีเลยละ แต่
ถ้าต้องการความมั่นใจมากยิ่งขึ้นกว่านี้ ใครจะไปปรับแต่งเพิ่มเอาเองในภายหลัง ก็ตามสบาย

โครงสร้างตัวถังของ Civic ใหม่ ยังคงเป็นแบบ Unit-body (ก็ Monocoque เชื่อมติดกันเป็นชิ้นเดียว
นั่นแหละ) ถูกออกแบบให้เพิ่มการใช้เหล็กที่มีความแข็งแรงสูง หรือ High – Strength Steel มากถึง
55% จากโครงสร้างทั้งคัน ขณะที่รุ่น FD เดิม มีปริมาณการใช้เหล็กประเภทนี้แค่ 50% จากโครงสร้าง
ทั้งคันเท่านั้น วิธีการนี้ ช่วยลดน้ำหนักให้เบาขึ้นจากรุ่นเดิมถึง 7% และถึงแม้ว่าโครงสร้างตัวถังจะ
เบาขึ้น แต่มีความทนทานต่อการบิดตัวดีขึ้นถึง 10% และยังใช้แนวคิดการปรับปรุงโครงสร้างตัวถัง
ในแบยบ G CON มาใช้ร่วมด้วย เหมือนเช่น Civic รุ่นเดิม ส่วนรายละเอียดการปรับปรุงต่างๆ
ก็เป็นไปตามภาพ สไลด์ ที่ทาง Honda จัดทำให้พวกเราได้ชมกันนี้

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

สิ่งที่ทำให้หลายๆคน ถึงกับบ่น Civic FD รุ่นก่อนกันขรม ก็คือ มันเป็นรถยนต์นั่งที่ให้ความประหยัด
น้ำมันขณะขับทางไกลได้ดีมาก แต่พอเป็นการขับขี่ในเมือง การณ์จะกลับตาลปัตร มันจะกลายร่างเป็น
รถยนต์ขนาดกลางที่กินน้ำมัน พอกันกับ รถยนต์ขนาดใหญ่กว่า เลยทีเดียว

ปี 2006 ผมทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ Civic FD 1.8 ลิตร ได้ 15.2 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนรุ่นท็อป
2.0 ลิตร ทำได้ 14.7 กิโลเมตร/ลิตร คราวนี้ มาดูสิว่า ด้วยมาตรฐานการทดลองดั้งเดิมของเรา นั่นคือ เติม
น้ำมันเบนซิน 95 ขับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ซึ่ง เหมือนเดิมทุกประการ Civic FB
จะทำตัวเลขความประหยัดได้ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน? ได้เวลาที่เราจะพิสูจน์กันแล้วละ ว่าความพยายาม
ในการพัฒนา เพื่อช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ให้ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมนั้น จะเห็นผลเป็นรูปธรรม
ได้แค่ไหน?

ผมนำ Civic ทั้ง 2 คัน ไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 TECHRON ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน
ฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์ และถัดจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แค่เพียงเดินถึงกันไม่กี่ก้าว ตามเคย เราเติม
น้มันเบนซิน 95 ในการทดลอง เช่นเดียวกับรถยนต์เบนซิน ทุกคัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเราเพิ่งจะ
เปลี่ยนมาใช้ Caltex กันตั้งแต่ช่วง 2 ปีก่อน เพราะ Caltex เป็นบริษัทเดียว ที่ยังขายน้ำมันเบนซิน 95 อยู่

แน่นอน เราต้องเติมและกรอกน้ำมัน จนถึงขั้น หยอด ไป ขย่ม เขย่ารถไป เพื่ออัดให้น้ำมันล้นเอ่อขึ้นมา
จนเต็มล้นแน่นปรี่ ชนิดที่ เอาไม้เสียบลูกชิ้น ดันลิ้นกันกระฉอกลงไป ก็ไม่มีทางเติมให้เต็มเกินกว่านี้อีก
ซึ่งก็ใช้เวลาในการเติมน้ำมันต่อครั้ง มีราวๆ ครึ่งชั่วโมง

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จ จนเต็มแน่นเอ่อขึ้นมา เราปิดฝาถัง คาดเข็มขัดนิรภัย เซ็ตตั้งค่า ของระบบคำนวน
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในรถ เพื่อเช็คความเพี้ยน เป็นการสอบทานไปในตัว เซ็ต 0 บน Trip Meter A
เพื่อวัดระยะทาง ติดเครื่องยนต์

พร้อมแล้ว เราก็ออกรถ มุ่งหน้าไปเลี้ยวกลับ บนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้าย เข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไป
ออกปากซอยโรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้าย เข้าถนนพระราม 6 ไปเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6
ขับมุ่งหน้าไปยังปลายสุดสายทางด่วนอุดรรัถยา (เส้นเชียงราก) ที่ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้น
ทางด่วนสายเดิมที่ด่านเดิม ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน

สักขีพยานของเรา ในคราวนี้ เป็นน้องโจ๊ก V10 ThLnD หนึ่งใน The Coup Team ของเรา ซึ่งปกติ
จะมาช่วยงานในด้านการทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็นหลัก

เมื่อเข้าเขตเมือง เราลงทางด่วนกันที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้าย กลับเข้าสู่ถนนพหลโยธิน แล้ว
เลี้ยวกลับ เข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 TECHRON ที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม
และเติมน้ำมันกันด้วยวิธีการเดิม เหมือนกันเป๊ะ ทั้งขาไป และขากลับ

รวมทั้ง การเติมแบบกรอก หยอด ขย่ม เขย่า รถ กันจนน้ำมันเอ่อล้นขึ้นมาถึงปากคอถังแบบนี้
บันทึกมาให้ดูกันอีกครั้ง เพื่อให้รู้ว่า เราทำกันแบบนี้ ทั้งขาไปและขากลับจริงๆ มิได้ทำแบบ
แหกตาขอไปที แต่ประการใด ทำทั้งที ต้องทำให้สมบูรณ์ และอย่างจริงจัง เสมอ

เมื่อคำนวนตัวเลขกันออกมาแล้ว ผลลัพธ์ออกมาดังต่อไปนี้

รุ่น 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter A อยู่ที่ 93.0 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.92 ลิตร
เมื่อหารกันแล้ว ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.70 กิโลเมตร/ลิตร

ถือว่า ประหยัดขึ้นจาก Civic FD รุ่น 2.0 ลิตร ถึง 1 กิโลเมตร/ลิตร!

รุ่น 1.8 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter A อยู่ที่ 92.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.76 ลิตร
เมื่อหารกันแล้ว ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16.00 กิโลเมตร/ลิตร

ถือว่า ประหยัดขึ้นจาก Civic FD รุ่น 1.8 ลิตร ราวๆ 0.8 กิโลเมตร/ลิตร

และเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน หากเป็นกลุ่ม 1.8 ลิตร แน่นอนครับ เวลานี้ Civic FB
กินขาดคู้แข่งเขาไปทั้งหมด และต่อให้เป้นรุ่น เบนซิน 2.0 ลิตรด้วยแล้ว ก็ถือว่า ประหยัดกว่าใครเพื่อน
ในกลุ่มซามูไรด้วยกันเอง

แต่ถ้านำตัวเลขของ รถยนต์ Diesel Turbo ทั้ง 2 รุ่น ในกลุ่ม อย่าง ford Focus TDCi ตัวเดิม และ Chevy
Cruze 2.0 LTZ Diesel Turbo มารวมไว้ด้วยแล้ว งานนี้ ต้องยกให้ 2 คาวบอยอเมริกันเขาไปจริงๆ เพราะ
ตัวเลขที่ทำได้ มันประหยัดในแบบที่น่าพึงพอใจ

ทีนี้ น้ำมัน 1 ถัง จะแล่นใช้งานได้กี่กิโลเมตร สำหรับ Civic FB แล้ว ยืนยันให้เลยว่า ในรุ่น 1.8 ลิตรนั้น
จะได้ราวๆ 500 – 550 กิโลเมตร เป็นอย่างเก่ง ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร นั้น อาจทำได้ถึง 500 กิโลเมตร แต่ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร และนิสัยการขับขี่ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลอีกด้วย

********** สรุป **********
Civic FD + City 2008 + Corolla ALTIS Minorchange = CIVIC FB

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มาร่วมๆ 1 สัปดาห์เต็ม กับรถ 2 คัน ผมก็ขอยืนยันว่า Civic ใหม่ เปรียบได้กับ
พัฒนาการที่เกิดขึ้น จาก iPhone 4 ไปสู่ iPhone 4s…แค่นั้น…ยังไม่อาจถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงไปเป็น
iPhone 5 ได้อย่างแน่นอน

ทำไม?

อ่ะ ลองมาดูกัน!

โทรศัพท์ iPhone 4 ของ Apple นั้น ถือเป็น iPhone รุ่นแรกที่มีการเปลี่ยนงานออกแบบใหม่ โดยสแตนเลส
เป็นแกนกลาง และเสาอากาศ วัสดุหน้าหลัง เป็นกระจก นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ Apple ใช้เทคโนโลยี
หน้าจอละเอียดระดับ Retina Display ซึ่งสายตาไม่สามารถแยกออกได้ คมชัดเท่ากับการอ่านหนังสือจาก
กระดาษ กล้องถ่ายรูปในตัวเป็นแบบ 5 ล้าน Pixel ความละเอียดระดับ 720 HD และมีกล้องด้านหน้าเป็น
ครั้งแรก

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับ Honda Civic FD ที่เปิดตัวออกสู่ตลาด ในเดือนตุลาคม 2005 รถรุ่นนั้นต้องถือว่าเป็น
พัฒนาการก้าวกระโดด ที่ฉีกแนวออกมาจาก Civic Dimension รุ่นปี 2000 กันไปแบบคนละเรื่อง! ทั้งงาน
ออกแบบภายนอก ที่มีด้านหน้าล้ำยุค ผสมกับบั้นท้ายอนุรักษ์นิยม ดูภูมิฐาน การขยายขนาดตัวรถให้ใหญ่
ขึ้นในทุกสัดส่วน (จนขายดีในสหรัฐฯ และเมืองไทย แต่ขายไม่ออกในบ้านตัวเอง) การนำเครื่องยนต์ใหม่
ทั้งรุ่น R18A ขนาด 1.8 ลิตร และ K20Z2 2.0 ลิตร มาวางในรุ่นนี้เป็นครั้งแรก แถมยังมีจุดขายที่ แผงหน้าปัด
2 ชั้น ทั้งหมดนี้ ทำให้ตัวรถดูล้ำสมัย และฉีกแนวทางไปจากที่เคยเป็น และเรียกลูกค้าเข้าโชว์รูมได้อุ่นหนา
ฝาคั่ง

แล้ว iPhone 4s ละ…มันก็คือรุ่นปรับปรุง ของ iPhone 4 ที่แก้ปัญหาเสาอากาศ ย้ายขีดแบ่งสัญญาณ ยกระดับ
กล้องถ่ายรูป ให้เป็น 8 ล้าน Pixel ถ่าย Video ระดับความละเอียดสูงขึ้นเป็น 1080 HD ยกระดับความเร็วของ
Chip ประมวลผล หรือ CPU เพิ่มขึ้น 2 เท่า และมีลูกเล่น Siri สั่งงานให้ทำได้ด้วยเสียง..แค่นั้น

ถ้านำมาเปรียบเทียบกัน Civic FB ใหม่ ก็ ถูกยกระดับขึ้นไปในแนวทางนี้ด้วยเหมือนกัน คือ มีการปรับปรุง
เส้นสายการออกแบบให้ลงตัวยิ่งขึ้น แต่ในตอนแรก ผู้คนกลับเกลียดมันเยอะมาก ทั้งที่จริงๆแล้วเส้นสาย
ลงตัวกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นเพาะ ผู้บริโภค คาดหวังจะเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด เหมือนเช่น
ที่เคยเกิดขึ้นในยุคของ Civic FD ปี 2005 ก็เป็นไปได้

แล้วความเปลี่ยนแปลงอื่นๆที่เหลือละ? OK ยอมรับนะว่า Civic ใหม่ มีการขับขี่ที่ คล่องแคล่วกว่าเดิมนิดนึง
แม้ว่า สัมผัสจากตำแหน่งคนขับ ในวันเปิดตัว ของทั้ง 2 รุ่น ในช่วงเวลาต่างกัน 6 – 7 ปี จะพบว่า Civic FD
ในวันที่รถเปิดตัวใหม่ๆ Firm และเหมือนจะแน่นหนากว่า Civic FB ซึ่งมีการออกแบบให้เน้นลดน้ำหนัก
ส่วนเกินลงในทุกจุดที่ไม่จำเป็น ลดแรงเสียดทานต่างๆ ทั้งในระบบเครื่องยนต์กลไก และในด้านอากาศ
พลศาสตร์ เพื่อช่วยให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ดีขึ้น มีประสิทธิภาพในการขับขี่ดีขึ้น ซึ่งวิศวกร Honda
ก็บรรลุเป้าหมายของพวกเขาไปแล้ว ชัดเจนว่า Civic ใหม่ ประหยัดน้ำมันขึ้น อัตราเร่ง พอๆกันกับรุ่น
FD ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จะเห็นผลชัดเจนแค่รุ่น 1.8 ลิตร มากกว่า ส่วนรุ่น 2.0 ลิตรนั้น พอกันกับ
รุ่นเดิม (แม้จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ จาก K20Z2 DOHC มาเป็น R20A SOHC ก็ตาม)

บุคลิกการขับขี่ในภาพรวม เปรียบได้กับการผสมผสาน Honda Civic FD รุ่นเดิม เข้ากับ Packaging
น้ำหนักที่เบากว่า รวมทั้งเส้นสายและมุมมองทัศนวิสัยที่ดีขึ้น ของ Honda City รุ่นปัจจุบัน 2008 กับ
ความคล่องตัว ในการตอบสนอง การใช้งานในเมือง (City Agility) จาก Toyota corolla ALTIS รุ่น
ปัจจุบัน ไว้ด้วยกัน จนกลายเป็น Civic FB ใหม่

ใช่ครับ Civic ใหม่ ยังเป็นรถที่คุณ ซื้อหามาเป็นเจ้าของ ใช้งานในชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม และ
มันไม่ได้เลวร้าย อย่างที่สื่อมวลชนในต่างประเทศ ถึงขั้น ตั้งข้อกังขา เพียงแต่ว่า ถ้าคุณชอบสัมผัส
ของรถที่ หนักแน่น แบบรถยุโรป ต้องทำใจครับ มันไม่ได้หนักแน่นขนาดนั้น Civic ยังคงเป็นรถ
ญี่ปุ่น ที่เน้นความเบา ขับสบาย ขับง่าย ขับคล่อง ในแบบที่มันเคยเป็นตลอดหลายรุ่นที่ผ่านมานั่นละ

แต่ถ้าถามว่า ถึงขั้นที่ควรจะตัดสินใจซื้อเลยไหม? ก็คงต้องขึ้นอยู่กับว่า คุณอยู่ในสถานะใด?

– ถ้าคุณมองหา รถยนต์พิกัด Compact C-Segment สักคันหนึ่ง และยังไม่เคยใช้ Honda Civic มาก่อน
นี่คือตัวเลือกที่คุณควรจะนำมาพิจารณา เพราะคุณงามความดีของมัน ถือว่า ใช้ได้

– แต่ ถ้าคุณใช้ Civic FD อยู่ อยากจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ FB ผมคงต้องบอกคุณว่า ทนใช้คันเก่าไปอีก
สักพักหนึ่งก่อนก็ได้ เพราะความเปลี่ยนแปลงจากรถรุ่นเดิมของคุณ มาเป็นรถรุ่นใหม่นั้น มันไม่เยอะ
ดุจการเปลี่ยนจาก iPhone 4 เป็น iPhone 4s แค่นั้นเลย ทุกอย่างดีขึ้น แต่ก็แค่ดีขึ้นจากเดิมนิดหน่อย

เพราะข้อด้อย ที่ควรจะปรับปรุง มันก็ยังคงมีอยู่ บางอย่าง ดีขึ้น แต่บางอย่างก็โผล่มาในรุ่นนี้

แผงหน้าปัดคือสิ่งแรกที่ควรแก้ไข มาตรวัดและ จอแสดงข้อมูล เยอะไปไหมครับ ดึงความสนใจจาก
ผู้ขับขี่ ออกจากพื้นถนนกันเลยทีเดียว มีมากถึง 4 จอ ในรุ่นท็อป เพื่ออะไรกันเนี่ย? ผู้ขับขี่ ควรจะ
ใช้เวลาอ่านข้อมูลจากจอเพียง 2 หรือ เต็มที่สุดคือ 3 จอ ไม่ใช่ 4 จอแบบนี้ แถมการออกแบบ ก็ดูจะ
เน้นการจดวางตำแหน่ง มากกว่าความสวยงาม จนกลายเป็นความไม่ลงตัว ผิดไปจากแผงหน้าปัด
ของ Civic FD รุ่นที่แล้ว อันที่จริง จกลับมาออกแบบ หน้าปัด ให้มีมาตรวัดหลัก และหน้าจอแสดง
ข้อมูล กับระบบนำทาง รวมไว้ในตำแหน่งเดียวกันเลย น่าจะช่วยให้สะดวกต่อการขับขี่ และสะดวก
ต่อการผลิตในโรงงาน มากขึ้นกว่านี้หรือเปล่า? นั่นเป็นการบ้านที่ ทีมออกแบบของ Honda R&D
ควรจะนำไปทำเป็นการบ้านต่อ ใน Civic รุ่นต่อไป

ทัศนวิสัย คือ ประการต่อมา มันไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องทำกระจกหูช้างเพิ่มขึ้น เพียงแค่ต้องการ
รักษารูปแบบการติดตั้งกระจกมองข้าง ไว้บนแผงประตู ในลักษณะของรถสปอร์ต ทั้งที่ท้ายสุดแล้ว
มันกลับทำให้งานออกแบบของรถ ดูถอยหลังเข้าคลอง เหมือนรถในยุค 1960 ที่ต้องมีกระจกหูช้าง
บานพับเปิดกางออกได้ เพื่อรับอากาศจากภายนอกรถ ซึ่งสุดท้าย แม้ว่า ทัศนวิสัยด้านหน้า จะดีขึ้น
กว่า Civic FD รุ่นเดิมจริง แต่การมีเสาอะไรสักอย่าง มาขวางสายตา ขณะกำลังจะเลี้ยวกลับรถ นั่น
ก็เป้นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้ายอม “ไม่เท่” แล้วย้ายตำแหน่งกระจกมองข้าง มาไว้ที่มุมเสาคู่หน้า
A – Pillar แทน แบบ Honda City เรื่องก็จบแล้ว ลดต้นทุนทำกระจกบานหูช้างลงไปได้อีกด้วย

ด้านการขับขี่ ผมมองว่า แม้จะมีการปรับปรุงระบบกันสะเทือนแล้ว แต่ด้วยเหตุที่ตัวรถให้สัมผัสการ
ขับขี่ ที่คล้ายกับจะเบาขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น ช่วงล่าง ควรจะต้องถูกปรับแต่งให้มีความหนึบเพิ่มขึ้นอีก
สักหน่อย ให้มันถ่วงดุล คานกัน ในลักษณะ หยิน หยาง เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าโค้ง
มากยิ่งขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย รวมทั้ง พวงมาลัยเอง ก็ยังต้องปรับปรุงให้มีความหนืดในขณะขับขี่
ด้วยความเร็วสูงเพิ่มกว่านี้อีกนิดนึง มีน้ำหนักมากขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ
จากเดิมที่ถือว่าดีขึ้นกว่า Civic FD แล้ว ให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ได้อีก

ที่สำคัญ ใส่ใจในเรื่องคุณภาพการประกอบให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย อย่าให้มีเสียงบ่นจากลูกค้า
เล็ดรอดออกมาตามคลับผู้ใช้รถยนต์รุ่นนี้ มากนัก นั่นคงจะเป็นข้อที่ผมอยากจะฝากให้กับ Honda
ไปจัดการยกระดับ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ Civic ใหม่ สมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่านี้ได้อีก

*** BUYER’s GUIDE ***
นอกเหนือจากคู่แข่งในตลาดแล้ว คู่แข่งคันอื่น เมื่อเทีนยบกับ Civic ใหม่ เป็นอย่างไรกันบ้าง?

Toyota Corolla ALTIS เพิ่งจะออกรุ่น เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ ทำให้ค่าตัวของรุ่น 1.8 E ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐาน
ของ 1.8 ลิตร แต่ตกแต่งในระดับปานกลาง ลดลงมาจาก 869,000 บาท เหลือ 829,000 บาท ซึ่งช่วยให้แข่งขันในตลาด
ได้ต่อไป แต่ที่เหลือ อย่างที่เรารู้กันดีว่า คุณงามความดีของ Altis รุ่นนี้คือ สมรรถนะจากเครื่องยนต์ ที่ให้ทั้งความแรง
และความประหยัดตีคู่มาด้วยกันได้ในระดับกำลังดี อาจจะประหยัดน้อยกว่า Civic นิดนึง แต่อัตราเร่ง ชนะขาด แถม
ยังมีชื่อชั้นของ Toyota รับรอง เรื่องศูนย์บริการ ช่างซ่อม และอะไหล่ ที่แพร่หลาย เพียงแต่ข้อด้อยก็คือพวงมาลัยซึ่ง
ยังเบาไป แม้น้ำหนักจะใกล้เคียง Civic FB แล้ว แต่ ในช่วงความเร็วต่ำ ยังเบาไปหน่อย Civic ทำได้ดีกว่าในจุดนี้
ส่วนช่วงล่าง ถึงจะขับดีในการขับขี่ทั่วไป แต่ถ้าต้องเลี้ยวเข้าโค้งหนักๆ เมื่อใด ก็ยังสู้คู่แข่งคันอื่นๆ ไม่ได้ แถมเกียร์
CVT นั้น ควรจะขับแบบถนอมๆ อย่ากระชากกระชั้น มันจะอยู่กับคุณได้นานๆ

Nissan SYLPHY นี่เป็นคู่ต่อกร ที่น่าตจับตามอง ใครที่คิดจะซื้อ Civic อาจต้องหลุมรักห้องโดยสาร ที่ดูน่านั่งกว่า
Civic แต่ อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ถือว่า ทำได้พอกันกับเพื่อนพ้อง ไม่ได้แรงอย่างที่คิด เพราะดันเซตมา
เน้นประหยัดน้ำมัน การใช้เกียร์ CVT ก็เป็นอีกข้อน่าเป็นห่วงอยู่ เหมือนเช่น ALTIS และ Lancer EX แต่ถ้า
ต้องการความคุ้มค่า รวมทั้งราคาที่น่าเหลียวกันมาชำเลืองมอง…ก็ลองดูได้ เพียงแต่ เลือกโชว์รูมให้ดีๆ แล้วกัน

Mazda 3 แน่นอนว่า ช่วงล่างดีเป็นอันดับต้นๆ ของตลาด แต่การปรับเซ็ตพวงมาลัยมาให้เบาขึ้น อาจได้ใจ
ลูกค้าสุภาพสตรี แต่คนรัก Mazda เดิมๆ จะร้องยี้แน่ๆ อัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลือง ในรุ่น 2.0 ลิตรไม่ได้
ดีขึ้นไปกว่ารถรุ่นเดิมนักเลย และมีแนวโน้มว่าอาจเป็นเช่นเดียวกันในรุ่น 1.6 ลิตร ห้องโดยสาร เหมาะ
สำหรับคนโสด เป็นหลัก ถ้าคิดจะนั่งเบาะหลัง ต้องสำรวจสรีระของตนให้ดีก่อน แม้จะทำออกมาใหญ่
ขึ้นกว่าเดิม แต่ก็น้อยมากๆ ศูนย์บริการ มีมากขึ้น แต่ความเก่งของช่างซ่อมยังเป็นเรื่องที่ควรตั้งข้อกังขา

Chevrolet Cruze ถึงจะเป็นรถที่มีช่วงล่าง Lively ขับสนุกบนทางโค้ง และมั่นใจได้บนทางตรง ก็คงต้องเป็นรุ่น
1.8 ลิตร ที่ยังมีอัตราเร่ง เรือยเปื่อย ไม่ถึงกับดีนัก ถ้าอยากได้ความสะใจ ต้องเล่นรุ่น Diesel urbo 2.0 LTZ ที่ให้
คุณได้ครบทุกความต้องการ แต่ต้องแลกกับค่าตัวที่แพงลิ่ว 1.2 ล้านบาทเศษ แถมศูนย์บริการ ก็ยังมีเสียงบ่นเข้ามา
เรื่อยๆ แม้จะไม่มากเท่า 2 ค่ายข้างล่าง ก็ตาม

Mitsubishi Lancer EX ยังคงทำตัวเป็น ฉลามน้อยผู้น่าสงสาร ได้คงเส้นคงวา ถึงจะมีช่วงล่างดีในระดับหัวแถว
และเครื่องยนต์ในรุ่น 2.0 ลิตร ก็แรงใช้ได้ แต่ถ้าคิดจะเอาไปแต่งต่อ ก็คงลำบาก หากใช้เกียร์ CVT อยู่อย่างนี้
อีกทั้งรุ่น 1.8 ลิตร ก็ถือว่า ยังมีเรี่ยวแงด้อยกว่าชาวบ้านเขาอยุ่ พอจะฟัดเหวี่ยงได้กับ Focus 1.6 ลิตร ใหม่ เท่านั้น
สำคัญสุดก็คือ รูปร่างที่ออกแนวผ้ชายทะมัดทะแมง จนสาวๆ ส่วนใหญ่ พากันเกลียด และศูนย์บริการที่ยังต้อง
ปรับปรุงในเรื่อง ฝีมือการซ่อมบำรุง และการดูแลต้อนรับลูกค้า หาศูนย์บริการที่ดีได้ แต่ต้องงมหาในสระน้ำ

Ford Focus ใหม่ ยืนยันว่าขับดีขึ้น กลายเป็น C-Segment ที่ขับดีที่สุดในกลุ่ม เมื่อมองจากภาพรวม แต่การซื้อ
รถเก๋ง เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ราคา 8 แสนกว่าบาท แลกกับ ของเล่นอีเล็กโทรนิกส์ในรถเต็มอัตราศึก แม้จะทำให้
ความคุ้มค่าสูงที่สุดในกลุ่ม แถมได้ช่วงล่างที่ดีที่สุดในกลุ่ม กับการบังคับรถที่ทำได้ในระดับหัวแถวของกลุ่ม แต่
เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร และ 2.0 ลิตร ก็ยังไม่คณามือ นักขับตีนโหด แถมระบบอีเล็กโทรนิกส์ ที่เยอะแยะมากมาย
ขนาดนี้ ชวนให้เกิดความเป็นห่วง ในการซ่อมบำรุง เพราะบริการหลังการขายของ Ford นั้น เวลานี้ ถือว่า มี
เสียงด่าจากลูกค้าเยอะมากๆๆๆ ศนย์บริการที่ดี มีไม่ถึง 5-6 แห่งจากทั้งประเทศ ดังนั้น ต้องทำใจล่วงหน้า

Hyundai ELANTRA เหมาะกับคนเท้าขวาหนัก ชอบขับรถ เพราะอัตราเร่ง ดีมาก ชนิด Civic ต้องค้อนขวับ
ช่วงล่าง ทำได้โอเค แต่พวงมาลัยยังต้องปรับปรุงอีกสักหน่อย นอกนั้น มันน่าใช้ไม่แพ้ Civic แต่สิ่งที่ทำให้
หลายคนไม่กล้าจับจอง คือค่าตัวที่แพงกว่าใครเพื่อน แลกกับออพชันที่ไม่มีอะไรโดดเด่น เมื่อเทียบกับ
คู่แข่งคันอื่นๆ ในตลาด

คำถามสุดท้าย ถ้าจะต้องเลือก Honda Civic ใหม่ รุ่นย่อยไหน ถึงจะดูคุ้มค่าที่สุด?

จากทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ที่มีราคาขายปลีกหน้าโชว์รูม ในแต่ละรุ่น ต่างกันมากชัดเจน ดังนี้
1.8 i-VTEC S MT                    773,000 บาท
1.8 i-VTEC S AT                     828,000 บาท
1.8 i-VTEC E AT                     909,000 บาท
1.8 i-VTEC E AT NAVI            964,000 บาท
2.0 i-VTEC EL AT NAVI       1,124,000 บาท

สำหรับคนที่คุ้นเคยกับเกียร์ธรรมดา หรือไม่ได้ต้องการรถยนต์ที่มีอุปกรณ์พิเศษมากมายนัก แค่มี
พอให้อำนวยความสะดวกได้ สมกับเงินที่จ่ายไป รุ่นพื้นฐาน 1.8 S เกียร์ธรรมดา ก็มีถุงลมนิรภัย
คู่หน้า ระบบ ABS และ EBD ถือว่าครบครัน และเพียงพอแล้ว เพียงแต่คุณต้องยอมรับได้ว่า
อุปกรณ์ในรุ่น S ที่จะขาดหายไปก็คือ ระบบปรับระดับสูง-ต่ำของไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟตัดหมอก
ด้านหน้า ระบบปรับความเร็วใบปัดน้ำฝน หมุนที่ก้านเพื่อเลือกระดับหน่วงเวลาได้เอง แบบ
Intermitance ล้ออัลลอย ก็ให้มาแค่ขนาด 15 นิ้ว ไม่มี Cruise Control ไม่มีรีโมทกุญแจ
Smart Key ไม่มีปุ่มติดเครื่องยนต์ ไม่มีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift พวงมาลัยก็ไม่หุ้มหนังให้
เครื่องปรับอากาศก็เป็นสวิชต์มาตรฐาน ธรรมดาๆ ไม่ใช่แบบอัตโนมัติ อย่างในรุ่น E ไม่มีเบาะ
คนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ไม่มีระบบนำทางผ่านดาวเทีนยม GPS ไม่มีระบบ Hand Free
(Bluetooth) ลำโพงก็ให้มาแค่ 4 ชิ้น ซ้าย – ขวา – หน้า – หลัง ไม่มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง i-SRS
ไม่มีระบบ VSA ซึ่งทั้งหมดทั้งหลายที่กล่าวมานี้ มันคืออุปกรณ์ที่แทบไม่จำเป็นต้องติดมาให้
เลยด้วยซ้ำ เป็นของฟุ่มเฟือยเท่าไหร่ เว้นเสียแต่ ใบปัดน้ำฝนปรับหน่วงเวลาได้เอง กับระบบ
VSA ซึ่งถ้าติดมาให้ได้ก็ดี แต่รู้ว่า คงเป็นไปไม่ได้ รุ่น 1.8 S ทั้งเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ
ถือได้ว่า ติดตั้งออพชันพื้นฐาน ที่จำเป็น มาให้อย่างเพียงพอแล้ว และมีอุปกรณ์ความปลอดภัย
มาให้ในระดับที่ครบถ้วน เทียบเท่ากับรุ่นท็อปของบรรดา B-Segment 1.4 – 1.6 ลิตร รวมทั้ง
ECO Car ตัวท็อป…ไม่น่าเกลียด และซื้อหาได้ครับ

สำหรับคนที่ตัดสินใจว่าจะเเลือกรุ่นใดกันดี ระหว่าง 1.8 E กับ 1.8 E NAVI นั้น ผมมองว่า ระบบ
ระบบนำทาง ไม่จำเป็น เพราะคุณสามารถหา เครื่องนำทาง Gamin หรือ Nuvi มาแทน ในราคา
ถูกกว่าแถมมี Software ที่ Update กว่า ก็จ่ายถูกกว่า เว้นเสียแต่ คุณจะอยากได้ เครื่องเล่น DVD
(ซึ่งจะเอามาดูหนังในรถ ก็คงดูได้แค่ตอนรอสัญญาณไฟเขียว ขณะติดอยุ่ตามสี่แยกต่างๆ) และ
กล้องมองภาพจากด้านหลังรถ ขณะถอยหลังเข้าจอด แบบ Built-in ติดตั้งมาจากโรงงาน ซึ่งเหมาะ
กับคนที่มีปัญหาในการถอยหลังเข้าจอดมากๆ ความแตกต่าง มันมีแค่นี้เลย

ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร นั้น ถ้าอยากได้จริงๆ ต้องถามตัวเองก่อนว่า เรื่องอัตราเร่ง เป็นสิ่งจำเป็นแค่ไหน
เพราะสิ่งที่คุณจะได้เพิ่มมาจากรุ่น 1.8 E NAVI ก็มีแค่ ไฟหน้า HID พร้อมระบบปรับระดับลำแสง
อัตโนมัติ มือจับประตูโครเมียม กุญแจรีโมท Smart Key พร้อมปุ่มสวิชต์ติดเครื่องยนต์ ล้ออัลลอย
17 นิ้ว การตกแต่งห้องโดยสารสีดำ และถุงลมนิรภัยด้านข้าง i-SRS ทั้ง 2 ฝั่ง แค่นั้น!! ถ้าไม่ได้มี
ชีวิตที่เร่งรีบขนาดต้องเร่งแซงกันตลอดต่อเนื่องแล้วละก็รุ่น 2.0 ลิตร ก็ไม่จำเป็นแต่อย่างใด แต่
มันก็เป็นตัวเลือกที่ใช้ได้เทียบแข่งกับ Corolla ALTIS 2.0 ลิตร ได้สมน้ำสมเนื้อ แต่ออพชัน จะ
ด้อยกว่า Ford Focus 2.0 GDI กระนั้น ราคาก็ยังถูกกว่า Chevrolet Cruze 2.0 LTZ Diesel
Turbo และมีพวงมาลัย ที่มั่นใจได้ดีกว่า Mazda 3 ใหม่ 2.0 ลิตร (แถมมีห้องโดยสารด้านหลังที่นั่ง
สบายกว่าอีกด้วย)

———————————-

ทั้งหมดนี้ คงพอจะเป้นแนวทางคร่าวๆ ให้คุณได้เห็นว่า Civic ใหม่ เหมาะกับคุณหรือไม่ แต่
เหนือสิ่งอื่นใด คือ การทดลองขับ ซึ่งจะช่วยให้คุณยืนยันกับตัวเองในขั้นสุดท้ายได้ว่า มัน
เป็นรถที่คุณจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย อีก 4-5 ปีข้างหน้า ร่วมกันได้ดีแค่ไหน

ปัญหาใหญ่ของ โชว์รูมผู้จำหน่าย Honda ในช่วงที่ผ่านมา ก็คือ หลายโชว์รูม มักไม่ค่อยให้
ลูกค้า ได้ทดลองขับ มีทั้งคิวรถที่ไม่ว่างจริงๆ หรือไม่ก็อ้างกันหน้าด้านๆ ทั้งที่กุญแจก็อยู่ใกล้ๆ
ให้ลูกค้าเห็นคาตา นี่ยังไม่นับเรื่องลูกเล่นของพนักงานขายบางราย บางโชว์รูม ที่ต้องบังคับ
พ่วงลูกค้าซื้ออุปกรณ์เสริม แทนที่จะแถมให้ รู้อยูว่า พนักงานขาย Honda หนะ Commision
โคตรจะน้อยเลย เมื่อเทียบกับรถยี่ห้ออื่น ที่อยู่รอดกันได้ ก็มาจากปริมาณการปล่อยรถใน
แต่ละเดือน กระนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาหากินกันด้วยวิธีการแบบนี้

อีกเรื่องหนึ่ง ก็คงจะเป็น การวิเคราะห์ปัญหาของช่างในศูนย์บริการ ที่บางครั้ง อ่านปัญหา
ไม่ขาด แต่ดันเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป หรือไม่ก็ พุดกับลูกค้าว่า “เป็นอาการปกติของ
รถรุ่นนี้” ทั้งที่มันเห็นกันทนโท่เลยว่า คันอื่นๆ ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันสักหน่อย!

ถ้าเจอเซลส์คนไหน ไม่ให้คุณลองขับ เปลี่ยนโชว์รุม ครับ ไม่ต้องไปง้อโชว์รูมนั้น และ
ถ้าใคร ที่เจอเซลส์เล่นไม่ซื่อ..หรือ ช่างในศูนย์ฯแห่งใด เป็นแบบนี้ ไม่ต้องแจ้ง ผู้จัดการ
ของโชว์รูมนั้นๆหรอกครับ โทรเข้าไปที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ให้เขาจัดการเลยดีกว่า

คนประเภทนี้ ต้องเชือดทิ้งสถานเดียว เพื่อให้ Honda ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์
ที่ได้ชื่อว่า ดแลและบริการลูกค้าดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย เพราะสถานภาพที่ว่า
มันค่อยๆลดทอนลงมาอย่างช้าๆ ในสายตาลูกค้าคนไทยมาได้พักหนี่งแล้ว

ยังไม่สาย ที่ทุกฝ่ายจะช่วยกันแก้ปัญหานี้…อย่างจริงจังครับ

—————————-///—————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพ Illustration เป็นของ Honda Motor Co. ประเทศญี่ปุ่น

ห้ามนำส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด ไปใช้โดยมิได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 22 พฤศจิกายน 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 22nd,2012 
J!MMY

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here